Chapter 7
Better when we are together
[Patrick]
หลังรับโทรศัพท์สายนั้นเซบาสเตียนดูเปราะบางอย่างน่าใจหาย ผมห่วงเขาจนอาสาพาตัวเองมาอยู่ข้างๆ แม้จะโดนปฏิเสธในตอนแรกก็ตาม เซบาสเตียนอายุมากกว่าผม หลายๆ ครั้งที่ผมรู้สึกว่า ว้าว! คนๆ นี้ดูเป็นผู้ใหญ่จัง นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาปฏิเสธจะรับความช่วยเหลือ แต่ถึงเซบาสเตียนจะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ
ผมทำใจทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้จริงๆ
เป็นผู้ใหญ่กว่าแล้วยังไง พึ่งพิงคนที่เด็กกว่ามันเสียศักดิ์ศรีตรงไหน?
ตอนนี้เลยกลายเป็นผมนั่งตัวแข็งเกร็งอยู่ในห้องพักระดับ VIP ที่มีบอดี้การ์ดชุดดำยืนเรียงอารักษ์ขารอบห้อง แน่นอนว่าห้องของ ‘ซีมอน รอสซ์’ การป้องกันต้องแน่นหนาเป็นธรรมดา ถ้าเซบาสเตียนไม่ยืนกรานจะให้ผมเข้ามาด้วย ผมคงโดนการ์ดกันไว้ตั้งแต่หน้าห้อง
“ฝนใกล้หยุดแล้ว”
ผมหันมองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เรียวขายาวยกพาดโต๊ะรับแขกตรงหน้า สองมือกอดอกหลวมๆ หลังเอนพิงโซฟา เบนหน้ามองออกนอกประตูระเบียงกระจกที่เกาะพราวไปด้วยเม็ดฝน ท่าทางผ่อนคลายจนผมนึกขำตัวเอง
พวกเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันจริงๆ นั่นแหละ
ในขณะที่ผมเกร็งกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงเต็มห้อง เซบาสเตียนกลับทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ผมส่งเสียงขานรับในลำคอ ตาจ้องมองช่วงลำคอของคนที่นั่งข้างๆ นึกอยากเอียงหน้าซบสูดกลิ่นหอมจากตัวเขาอีกสักครั้ง แถมอุณหภูมิบนตัวเซบาสเตียนก็อุ่นกำลังดี และผมชอบมันสุดๆ ไปเลย
สิบนาทีต่อมาฝนก็หยุดตก
เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังห้องเป็นเสียงแรกที่ดังเข้าโสตประสาทการได้ยิน
“อัล...นายไปตามแมทธิวมา”
“รับทราบครับคุณเซบาสเตียน”
หนึ่งในบอดี้การ์ดโค้งหัวรับคำก่อนเดินออกไปข้างนอก เซบาสเตียนหันมาทางผม ดวงตาสีเขียวหรี่ลงจากนั้นมุมปากก็กระตุกยิ้ม
เท่จนอยากโดดเข้าใส่
“เป็นอะไรเจ้าแมวยักษ์ นั่งตัวเกร็งขนาดนั้น”
“คุณรู้ อย่าแกล้งถามเลย”
“ก็บอกแล้ว” เสียงหัวเราะหึดังเข้าหู “ว่าให้กลับไปก่อน นายดื้อเองนะแพท”
“ก็ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว”
“ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้น?”
“ผมเป็นห่วง”
เซบาสเตียนเลิกคิ้วเหมือนถามว่าเขาดูน่าเป็นห่วงตรงไหน ผมไล่สายตามองคนที่เอนหลังพิงโซฟา ขาเหยียดพาดโต๊ะอย่างสบายอกสบายใจแล้วหาคำพูดไปค้านไม่ออก เซบาสเตียนตอนนี้ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ
แอ๊ด…
เสียงเปิดประตูทำให้ผมเงียบลง แมทธิวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแจ่มใสเหมือนเป็นคนละคนกับตอนที่ซีมอน รอสซ์อยู่ในห้องฉุกเฉิน
“ฝนหยุดสักที”
“เรื่องมันเกิดได้ยังไง”
“อา...เรื่องนั้น…” แมทธิวลากเสียง ดวงตาเบนมาสบผมแล้วคลี่ยิ้ม “อืม...บางทีเราคงต้องเชิญเพื่อนใหม่ออกไปรอข้างนอกสักพักนะเซ็บ”
“อา พวกคุณตามสบายเลยครับ” ผมรีบลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้แมทธิว ไม่ติดใจกับการออกปากไล่ทางอ้อม นี่เป็นเรื่องในครอบครัวและผมเป็นคนนอก ผมไม่ควรเข้ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว “ผมก็ว่าจะออกไปหาอะไรทานพอดี”
“แมวส้ม”
“ครับ?” ผมชะงักเท้า หันกลับมาขานรับเซบาสเตียน ดวงตาคมสีเขียวมรกตจ้องสบผมนิ่ง
“เสร็จแล้วจะตามไป”
“...?”
“นายไม่ได้เอารถมานี่” เขาถอนใจ มองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าแค่นี้คิดไม่ได้หรือไง “จะไปส่ง ขอคุยธุระก่อน”
“ครับ” ผมพยายามกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม “ผมจะรอนะ”
เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดหรือรั้งอะไรไว้อีก ผมเลยหันไปผงกหัวบอกลาแมทธิวตามมารยาทแล้วเดินออกจากห้อง แอบสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นบอดี้การ์ดอีกชุดยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า แถมพอยิ้มให้ก็ไม่ยอมยิ้มตอบอีกต่างหาก
มนุษย์สัมพันธ์แย่จริงๆ
ผมเดินเตร่อย่างไร้เป้าหมาย ในโรงพยาบาลแบบนี้มันยากที่จะหาอะไรทำฆ่าเวลาจริงๆ ผมจนปัญญาจนต้องลงลิฟต์มาชั้นหนึ่ง ถามนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ว่าที่นี่มีที่ๆ พอจะให้ผมไปนั่งเล่นรอคนได้ไหม คำตอบที่ได้คือในเขตโรงพยาบาลมีร้านกาแฟตั้งอยู่ ผมสามารถไปรอที่นั่นได้ หลังถามทางจนแน่ใจว่าจะไม่หลง ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย
กริ๊ง
เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเมื่อเปิดเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมลอยแตะจมูก โต๊ะส่วนใหญ่ถูกจับจองเกือบหมด ผมกวาดสายตาหาที่นั่งให้ตัวเอง โชคดีที่โต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุดยังว่างอยู่
“รับอะไรดีคะ”
“โกโก้ร้อนที่นึงครับ ขอบคุณ”
ผมไม่ค่อยดื่มกาแฟเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น ยกเว้นต้องถ่างตาทำงานดึกๆ โกโก้ร้อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ผมหยิบไอแพดขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ข่าวดังในโซเชียลเน็ตเวิร์คตอนนี้คงหนีไม่พ้นข่าวของซีมอน รอสซ์ที่ถูกลอบยิง กองทัพนักข่าวที่ถูกกันไว้หน้าโรงพยาบาลเป็นพยาน ผมเลื่อนอ่านข่าวไปเรื่อยๆ ข้อมูลบางแหล่งก็ใส่สีตีไข่เยอะเกินจนดูออก
แต่บางข้อมูลที่ผู้คนคอมเม้นต์กันใต้แหล่งข่าวก็ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้ว
ฉันเคยได้ยินว่า ‘เซบาสเตียน รอสซ์’ ปฏิเสธการหมั้นกับ ‘เมลิน่า มอเรน’ ทายาทตระกูลดังที่เคยเป็นคู่ค้ากับรอสซ์มานาน ไม่แน่นะ การโดนหักหน้าครั้งนี้อาจทำให้ ‘มาร์ค มอเรน’ ไม่พอใจจนสั่งคนไปยิงสั่งสอนซีมอนก็ได้
ใต้คอมเม้นต์นั้นมีการตอบกลับนับสิบ ผมเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วเผลอกดดูอย่างห้ามไม่ได้
เซบาสเตียนเป็นคนปฏิเสธแต่กลับไปยิงคนพ่อเนี่ยนะ ไม่เมคเซ้นส์เอาซะเลย
ข่าวนั้นเกือบจะเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาสั่งยิงเอาตอนนี้
คนจะได้ไม่พุ่งเป้าไปที่มาร์คไงล่ะ
เฮ้! สติหน่อยเถอะพวกคุณ เท่าที่อ่านมาฉันยังหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่เจอเลย ถ้าฉันเป็นมาร์คแล้วคิดจะยิงใครสักคนล่ะก็ คนๆ นั้นควรเป็นเซบาสเตียน ไม่ใช่ซีมอน
ผมวางไอแพดลงบนโต๊ะ ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับซีมอนสักนิด ที่สนใจตอนนี้มีแค่เรื่องของเซบาสเตียนและเมลิน่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซบาสเตียนมีคู่หมั้น...ไม่สิ เขาปฏิเสธเธอ ข่าวนี้น่าจะใหญ่พอสมควรแต่ทำไมผมถึงไม่รู้กัน?
“โกโก้ร้อนมาแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมเงยหน้าส่งยิ้มก่อนรับแก้วโกโก้มา กลิ่นหอมหวานของมันช่วยให้ความคิดที่สับสนของผมผ่อนคลายลง ผมกุมแก้วไว้ด้วยสองมือ สัมผัสอุ่นร้อนนาบผิวเนื้อ มันไม่ร้อนมากจนลวกผิว และผมค่อนข้างชอบอุณหภูมิระดับนี้
ไอสีขาวลอยขึ้นมาแล้วจางหายไปในอากาศ
ถ้าความคิดยุ่งเหยิงที่ผมมีต่อเซบาสเตียนหายไปเหมือนไอสีขาวนี่ก็คงดี เพราะตอนนี้ผมต้องยอมรับว่าหวงเขามากๆ ถึงพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม มีแค่สถานะ ‘โซลเมต’ ที่ทำให้ผมอุ่นใจว่าระหว่างเรายังมีสายใยบางๆ รั้งเอาไว้
ที่ผมบอกว่าสนใจเซบาสเตียนมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และความสนใจในวันนั้นมันเติบโตเป็นความรู้สึกที่มากขึ้นกว่าเดิม
เพิ่มเติมและอัดแน่นอยู่ในใจ
กริ๊ง…
เสียงกระดิ่งร้านดังกังวาน ทว่าผมยังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง เสียงฝีเท้าที่เดินตรงมาฟังดูห่างไกล กระทั่งเก้าอี้ข้างตัวผมถูกดึงออกและมีใครบางคนทรุดตัวลงนั่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง
“มองแก้วโกโก้แล้วเหม่อแบบนี้ แน่ใจว่าไหว?”
“อ่า…” ผมกะพริบตา สติกลับคืนมาและพบว่าเซบาสเตียนนั่งจ้องหน้าผมด้วยแววตาสงสัย “คิดอะไรนิดหน่อยครับ คุณตามมาถูกได้ยังไง”
พวกเราไม่ได้แลกเบอร์กัน และเขาไม่ได้โทรมาถามผมแน่ๆ ว่าอยู่ที่ไหน
“ฉันส่งบอดี้การ์ดตามนายมา แล้วอะไรนิดหน่อยที่ว่านั่น…” เขาหลุบสายตามองบนโต๊ะ หน้าจอไอแพดผมยังเปิดค้างอยู่หน้าเว็บเดิม “...ใช่เรื่อง ‘อดีต’ คู่หมั้นฉันหรือเปล่า”
“...”
“แพท” น้ำเสียงเข้มทุ้มต่ำ เซบาสเตียนจ้องหน้าผม “ลืมเอาปากมาหรือไง”
“คือ...เปล่า”
“งั้นก็ตอบคำถามฉัน”
น้ำเสียงเขาเหมือนคุณครูจอมเฮี้ยบกำลังคาดคั้นให้เด็กนักเรียนสารภาพความผิด แม้เซบาสเตียนจะเป็นอาจารย์จริงๆ แต่ผมไม่ได้เป็นนักเรียนของเขา ถึงอย่างนั้น...น้ำเสียงนั่นก็มีอิทธิพลทำให้ผมยอมตอบแต่โดยดี
“อื้ม…”
“แมวโง่” เซบาสเตียนถอนใจหนัก เขาจ้องหน้าผม “จะทำตัวเป็นแมวหงอยทำไม ในข่าวก็บอกอยู่ว่าฉันปฏิเสธ”
“ผมแค่…” ผมขมวดคิ้ว ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่พึมพำเสียงเบา “...หวงคุณ”
“มีสิทธิ์หวงงั้นเหรอ”
“ไม่มี”
“ก็รู้ตัวนี่” เสียงเรียบเฉยชาจนน่าใจหาย ผมเงยหน้าจ้องเขา เผลอตัวตัดพ้อเสียงขึ้นจมูก
“คุณใจร้าย”
“แต่นายก็ยังชอบ…” เขาสวนกลับหน้าตาย “ฉันพูดถูกไหม?”
ผมสบตากับเซบาสเตียน ไม่รู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร เหมือนจะเปิดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ชัดเจนว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา ความสับสนทำให้ผมแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกไป ซึ่งก็คงถูกใจเซบาสเตียน เขายิ้ม เป็นยิ้มมุมปากนิดๆ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น
เขายกฝ่ามือขึ้นแตะหลังคอผม ขยี้เส้นผมบริเวณนั้นเบาๆ ผมเอียงคอแนบกับฝ่ามือเขาเพื่อรับสัมผัสนั้น มือเซบาสเตียนอุ่นกว่าแก้วโกโก้ที่เริ่มเย็นชืดในมือ เป็นอุณหภูมิที่ไม่เย็นเกินไป ไม่ร้อนเกินไปและผมชอบความอบอุ่นนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“คุณชอบผมบ้างไหมเซ็บ”
“ไม่รู้สิ” เขาตอบกลับรวดเร็วพอๆ กับที่ผมกะพริบตา ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยปอยผมที่ท้ายทอยผมไปมา บางทีเซบาสเตียนคงคิดว่าตัวเองลูบขนแมวยักษ์อยู่จริงๆ ก็ได้ “แต่สีผมนายสวยดี ฉันชอบ”
“คุณชอบมัน...งั้นเหรอ?”
“แปลกหรือไง”
เขาดึงมือออกไปตั้งศอกเท้าคางกับโต๊ะ ทิ้งสัมผัสร้อนผะแผ่วไว้บนหลังคอผมให้รู้สึกอาลัยและโหยหา
“คุณรู้ไหมเซ็บว่าคนที่มีลักษณะแบบผมเขาเรียกกันว่าพวกจินเจอร์ แฮร์ (Ginger Hair)” ผมสบตาเขา “เคยมีความเชื่อว่าจินเจอร์ แฮร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายนะ”
“หืม? เพราะอะไร”
“เพราะพวกเราดูแปลกจากคนทั่วไป ทั้งสีผม สีผิว กระ หรือแม้กระทั่งสีของดวงตาที่ซีดกว่าปกติ” ผมอธิบายพลางสังเกตสีหน้าของเซบาสเตียน เขาสบตาผม ไม่ได้พูดแทรก แต่ก็ดูตั้งใจฟังดี “แม่ผมเป็นจินเจอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอมีผม ผมก็ได้ยีนส์มาจากแม่เต็มๆ...”
ผมชะงักไปเมื่อเซบาสเตียนเปลี่ยนมาจับมือผม กุมเบาๆ ไม่แน่นไม่หลวมเกินไป ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีมรกต เขามองมาด้วยสายตาที่อ่อนลง
ผมเคยบอกไว้ว่าเซบาสเตียนใจดี
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่าแพท”
ซึ่งเขาก็ใจดีจริงๆ นั่นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมยิ้ม ในอกรู้สึกอุ่นวาบไปกับความห่วงใยที่ได้รับ “ตอนเด็กผมโดนแกล้งบ่อย อืม...มันก็ไม่ต่างอะไรกับเหยียดผิวในปัจจุบันหรอก เคยโดนล้อว่าเป็นพ่อมด แวมไพร์เพราะผิวขาวซีดกว่าคนทั่วไปด้วย แต่พอโตขึ้นพวกเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยแกล้งเท่าไหร่แล้ว อย่างว่าแหละ เด็กจะไปเข้าใจความแตกต่างได้ยังไง”
“นายดูมองโลกในแง่ดีจนฉันไม่คิดว่า...”
เขาขมวดคิ้ว คล้ายไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายโดยไม่ให้กระทบความรู้สึกผม
เซบาสเตียนเป็นคนที่ภายนอกดูแข็งแต่ภายในอ่อนโยน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบเขาไปมากกว่านี้ได้หรือเปล่า
“เรียกว่าปรับตัวเก่งดีไหมนะ” ผมยิ้ม “พอคุณบอกว่าชอบมันผมเลยรู้สึกตกใจนิดหน่อย”
“ก็แปลก แต่สวยดี”
“เซบาสเตียน”
“...?”
“ผมคิดว่าที่พระเจ้าเลือกให้พวกเราเป็นโซลเมตกันเพราะท่านต้องการเติมเต็มเราทั้งคู่” คำพูดผมดูเพ้อฝัน มันน่าอายที่พูดจาอะไรแบบนี้ออกมา แต่เซบาสเตียนไม่ได้หัวเราะ เขาใช้ดวงตาสีมรกตมองผม รอคอยให้พูดต่อไป “ผมและคุณต่างก็ไม่สมบูรณ์แบบ พวกเรามีความทรงจำวัยเด็กที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้น…”
“พูดต่อสิแพท”
เขาว่าเมื่อผมเงียบไป
“เพราะงั้น…” ผมเม้มปาก มองสบตากับคนหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าภายในใจคิดอะไร “บางทีพวกเราอาจจะเป็นคนที่เข้าใจกันและกันได้ดีที่สุด เติมเต็มให้กันจนสมบูรณ์”
ความเงียบดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เซบาสเตียนมองสำรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ผมเหมือนถูกเขาเปิดเปลือยทุกความรู้สึกด้วยสายตาคู่นั้น
“พระเจ้าเก่งขนาดนั้นเชียว?”
“...”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อเรื่องนี้” คำตอบของเซบาสเตียนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ “...แต่บางทีพระเจ้าอาจจะเล่นเกมจับคู่เก่งจริงๆ ก็ได้”
“เซ็บ”
ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นตบเบาๆ ที่ข้างแก้มผม ปลายนิ้วปัดผ่านผิวเนื้อ...อ้อยอิ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านร่าง เซบาสเตียนคลี่ยิ้มออกมา
ทุกอย่างรอบตัวดูจืดชืดไปถนัดตาเมื่อเซบาสเตียนยิ้ม ตัวตนของเขาที่อยู่ตรงหน้าผมชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของผมเอาไว้จนไม่อาจละสายตา
“พยายามเข้าล่ะเจ้าแมวยักษ์”
ถ้าพระเจ้าเก่งที่ผูกพันพวกเราไว้ด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา
เซบาสเตียนก็เก่ง...ในการขยันทำให้ผมหลงอยู่ในวังวนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
*****************************************************************************************