[Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]  (อ่าน 50395 ครั้ง)

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน
by JackXy Wu


Rainverse : คือเวิร์สหนึ่งที่คนจะได้ยินเสียงของเนื้อคู่เมื่อฝนตก ขยายความคือเวลาปกติจะได้ยินเสียงตามปกติทุกอย่าง
ยกเว้นเวลาฝนตกที่จะเกิดอาการหูดับ เสียงรอบด้านหายไป แต่จะได้ยินเสียงเนื้อคู่ตัวเองแทนค่ะ

ติดแฮชแท็กพูดคุยกันได้ที่แท็กนี้นะคะ >> #คุณผู้มากับสายฝน




*****************************************************************************************


Prologue
Listen to the falling rain

 
แพทริคมีตัวตนอยู่ในโลกที่ไร้เสียงฝนตก...

โลกที่เขาอาศัยช่างแปลกประหลาด เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของอายุจะได้ยินเสียงโซลเมตตัวเองผ่านสื่อกลางอย่างสายฝน บ้างได้ยินช้า บ้างได้ยินเร็ว หากวันไหนเสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ หมายความว่าใกล้ถึงเวลาได้สื่อกับโซลเมตจากอีกสุดสายปลายทางแห่งโชคชะตา

แพทริคจำได้ว่าเสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาอายุสิบแปดปีก็เหลือเพียงความเงียบงัน ทุกครั้งที่ฝนตก ความเงียบนั้นควรถูกแทนที่ด้วยเสียงของ ‘โซลเมต’ แต่แพทริคเป็นข้อยกเว้น

เขาคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงโซลเมตของตัวเอง

แพทริคคิดว่าคุณโซลเมตเกลียดเขา

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านคู่แห่งโชคชะตาด้วยความคิดที่ว่านี่มันยุคไหนแล้ว การตามหาโซลเมตเป็นเรื่องไร้สาระ ใครกันจะตกหลุมรักคนคนหนึ่งได้เพียงแค่ได้ยินเสียง ไม่ต่างอะไรกับการถูกคลุมถุงชนจากพระเจ้า

แต่สำหรับแพทริคน่ะ

“เฮ้...”

เสียงหายใจจากทางนั้นสะดุดไป เขาลองทักซ้ำอีกครั้ง

“นี่ ได้ยินผมไหม?”

เสียงทุ้มกระซิบเรียก ทว่าความพยายามไม่เป็นผล เขาถอนใจ เบนสายตาออกนอกหน้าต่าง สายฝนเทกระหนำแต่กลับได้ยินเพียงความเงียบงัน

คำถามที่ไร้เสียงตอบรับทำให้แพทริคเกลียดฤดูฝน เกลียดความเงียบตอนหูดับที่น่าอึดอัด หงุดหงิดโซลเมตตัวเองที่ไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงทักทายกัน มีเพียงเสียงหายใจเบาๆ ให้เขาได้ยินเท่านั้น แม้จะลองทักอีกหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับ

หยดน้ำฝนเกาะพราวบนหน้าต่าง ไหลกลิ้งทิ้งตัวลงมาเจิ่งนองบนขอบ อากาศเย็นชื้นแทรกผ่านอณูกำแพงเข้ามาในตัวบ้าน เสียดแทงสู่ห้วงความรู้สึก

เคยมีคนพูดไว้ว่าคนเราจะรู้สึกเหงาเวลาฝนตก แพทริคเองก็เช่นกัน

เหงา...และว้าเหว่

คูณสองไปเลย เยี่ยม!

“ใจคอจะไม่ตอบกันหน่อยเหรอ”

มีเพียงเสียงถอนใจบางเบาตอบกลับมา

“เฮ้อ...”

แพทริคมีตัวตนอยู่ในโลกที่ไร้เสียงฝนตก...

ในช่วงขณะนั้น เสียงของโซลเมตที่ควรจะได้ยินก็ไม่มีเช่นกัน
.
.
.
.
.
 
[1]I’m gonna throw out my raincoat
Mmm, I hope it’s all right
Gonna find my rainbow
And hang it up in the sky
Blues pass me by

เสียงเพลงแนวป๊อบแจ๊สเคล้าเสียงเปียโนหวานดังคลอภายในร้านกาแฟบริเวณหัวมุมตึก ไม่ไกลจากที่ทำงานของแพทริคเท่าไหร่ เขามักแวะร้านนี้เสมอหลังเวลาเลิกงาน ผ่อนคลายจิตใจไปกับเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ช่วยให้หัวสมองปลอดโปร่ง ดวงตาสีฟ้าใสหลุบต่ำ มองไอร้อนจากแก้วโกโก้ระเหยไปในอากาศ กลิ่นหอมหวานให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลายนิ้วโอบแตะแก้ว สัมผัสอุ่นแทรกซึมผ่านผิวเนื้อ

พลันเพลงในร้านค่อยๆ เงียบลงคล้ายวิทยุถูกหรี่เสียง ไม่เพียงแค่เสียงเพลง แต่ทุกสรรพเสียงในร้านทั้งหมดก็วูบดับไป เสียงวิ้งอื้ออึงดังก้องในหู ทุกอย่างจมสู่ความเงียบงัน แพทริคขมวดคิ้ว เขาเบนสายตาออกนอกหน้าต่างโดยอัตโนมัติ ท้องฟ้ามืดครึ้มมาพร้อมกับหยาดฝนโปรยปราย

อีกแล้วสินะ

ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนั้นเขากลับไม่ได้ยินเสียงมันเลยสักนิด รวมถึงสรรพเสียงรอบกายที่หายไปด้วยเช่นกัน อาการหูดับตอนฝนตกน่ารำคาญเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แพทริครู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเฝ้าดูภาพผ่านหน้าจอโทรทัศน์ที่ถูกปิดเสียงเอาไว้

อึดอัด เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ส่วนคนที่ควรอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ดันเป็นพวก ‘พูดน้อย’ แพทริคเคยได้ยินอีกฝ่ายพูด เพียงแต่ไม่ได้พูดกับเขา ถึงอย่างนั้นก็แทบนับคำได้อยู่ดี

เป็นคนที่...มนุษย์สัมพันธ์ติดลบหรือไงนะ?

ความเคลื่อนไหวตรงหน้าทำให้แพทริคเหลือบตามอง เจ้าของโต๊ะตรงข้ามเขาเป็นเด็กสาวอายุไม่เกินสิบหกปี เธอนั่งอยู่คนเดียว ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุข ริมฝีปากขยับไหวแต่เขาไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร ไร้การติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสารใดๆ เธอเพียงแค่คุยกับโซลเมตตัวเอง

ทุกคนได้ยินเสียงโซลเมตทุกครั้งที่ฝนตก แพทริคเองก็ ‘เหมือนจะ’ ได้ยิน แม้เป็นเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็ตาม ตอนนั้นเขาอายุสิบแปด พยายามชวนอีกคนคุยแทบตายแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากเสียงถอนใจหรือไม่ก็เสียงอื่นๆ ที่เจ้าตัวเผลอหลุดออกมา

‘ฮัดชิ้ว!’

มาแล้วสินะ

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว แพทริคเผลอหลุดยิ้ม โลกที่เงียบงันถูกเติมเต็มด้วยเสียงเขาคนนั้น ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อได้ยินเสียงสูดจมูกดังขึ้นเบาๆ ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน

“ไม่สบายเหรอ”

เขาเปรยขึ้นมา เสียงจากอีกฝั่งเงียบไปครู่หนึ่ง แพทริคไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่ เคยมีกรณีที่ทางฝั่งเขาฝนตกแต่อีกฝั่งไม่ตก กลายเป็นว่ามีเขาฝ่ายเดียวที่ได้ยินเสียงของอีกคน

“กินยาหรือยัง” เขาลองถามย้ำ

‘ฟืด...’

“ไปกินยาซะ”

พอแกล้งทำเสียงดุก็ได้ยินเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูกคล้ายไม่พอใจ นั่นไง ทางนั้นได้ยินเสียงเขาจริงๆ แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แพทริครู้ว่าอีกฝ่ายดื้อ ซ้ำยังดื้อเงียบ ตลอดเวลาห้าหกปีที่เขาพยายามจะสื่อสารด้วยทำให้ค้นพบนิสัยนี้ของโซลเมต

ถอนหายใจใส่เขาบ้างล่ะ ส่งเสียงขึ้นจมูกคล้ายรำคาญบ้างล่ะ

“เมื่อไหร่คุณจะยอมมาเจอผม”

‘...’

“น่าคุณ...จะหกปีแล้วนะ อย่างน้อยมาเป็นเพื่อนกันไม่ดีหรือไง”

แพทริคออกตัวด้วยประโยคโน้มน้าวเดิมๆ อย่างที่บอก ไม่ใช่ทุกคนจะตกหลุมรักโซลเมตของตัวเอง คนบางส่วนจึงเลือกปิดกั้นการสื่อสารกับโซลเมต เขาไม่รู้เหตุผลของอีกคนหรอกว่าเพราะอะไร ได้แต่เดาไปอย่างนั้น

“โอเค ไม่เจอกันก็ได้” แพทริคถอนใจเมื่ออีกฝ่ายประท้วงใส่ด้วยความเงียบ “อย่างน้อยขอรู้จักชื่อก็ยังดี”

‘...’

“เงียบอีกแล้ว” เผลอใช้น้ำเสียงตัดพ้ออีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ “คุณจะกลัวผมทำไม นี่ตื๊อถามมานานหลายปีขนาดนี้น่าจะเห็นความตั้งใจของผมบ้างนะ”

‘...’

“คุณ...”

น้ำเสียงงอแงถูกส่งออกไปเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ที่จริงเขาก็งอแงกับคุณโซลเมตตลอดแต่อีกฝ่ายใจแข็งเหลือเกิน ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ถ้าไม่ตีเนียนเงียบหายก็คงส่งเสียงขึ้นจมูกรำคาญเขา

แต่ว่านะ ครั้งนี้น่ะ

‘นี่...’

เสียงกระซิบแผ่วจากอีกฝั่งเกือบทำให้แพทริคเผลอปล่อยมือจากแก้วโกโก้ เขาหน้าตาตื่น ขมวดคิ้วมุ่นด้วยกลัวว่าตัวเองจะหูฝาด

“เดี๋ยว เมื่อกี้คุณพูดกับผมเหรอ” หรือว่าคุยกับคนอื่น?

‘ขี้โวยวาย...’ เสียงอีกฝ่ายดังไม่ต่างกับกระซิบ แต่ชัดเจนพอให้แพทริครู้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย น้ำเสียงคุณโซลเมตทุ้มต่ำ นิ่งขรึม เขาไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ แพทริครู้อยู่แล้วว่าคุณโซลเมตของเขาเป็นผู้ชาย ‘...ครั้งหน้า’

“ฮะ?”

‘เห็นแก่ความพยายาม...’

“...”

‘ครั้งหน้าที่ฝนตก ผมจะบอกชื่อกับคุณ’

เสียงของคุณโซลเมตเงียบหายไปพร้อมกับสายฝนที่ซาลง น้ำฝนเจิ่งนองเต็มท้องถนนทำให้แพทริครู้ว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การคิดไปเอง

สรรพเสียงรอบตัวกลับมาเป็นปกติ เพลงแจ๊สหวานบรรเลงถึงฮุคสุดท้าย เสียงหัวเราะจากเด็กสาวโต๊ะตรงข้ามทำให้แพทริคเผลอยกยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างที่หยุดนิ่งไปกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ชายหนุ่มทอดสายตามองนอกหน้าต่าง ผ่านกระจกใสที่มีเม็ดฝนเกาะพราว พวกมันรวมตัวกันก่อนไหลกลิ้งตกลงบนขอบหน้าต่าง

เป็นครั้งแรกที่แพทริคเฝ้ารอให้ฝนตกอีกครั้งไวๆ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2018 23:04:35 โดย JackXy Wu »

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
Chapter 1
Sebastian

 
[Patrick]

ผมจำได้ว่าเสียงฝนตกกระทบพื้นเป็นยังไงแม้จะไม่ได้ยินนานแล้วก็ตาม มันดังเปาะแปะ เสียงเล็กๆ แต่กังวานใส และยังจำได้อีกว่าเสียงนั้นจางหายไปตอนไหน

“แพท...”

เสียงเรียกชื่อขาดหายไป ย่างเข้าฤดูฝนทีไร อาการหูดับมักสร้างปัญหาให้ผมทุกที การทำงานที่เน้นการสื่อสารหยุดชะงักเมื่อทุกสรรพเสียงดับวูบไปในวินาทีเดียวกับที่สายฝนโปรยปราย ตาลุงมาคัสยกมือตบหน้าผาก มองหน้าผมด้วยแววตาปลงตก ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดที่ไม่ได้ยิน

‘เก็บป้ายเข้ามาเร็ว!’

โอเค เข้าใจแล้ว ผมยกนิ้วทำสัญลักษณ์โอเค สาวเท้าเดินออกไปหน้าตึก ทันทีที่เปิดประตูออกเม็ดฝนก็กระเซ็นเข้าใส่ อากาศเย็นทำให้รู้สึกขนลุก ในขณะที่กำลังเอื้อมมือหยิบป้ายโปรโมชั่น รถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านด้วยความรวดเร็ว น้ำบนพื้นสาดกระเซ็นเข้าเต็มเสื้อผมที่โชคร้ายยืนอยู่ตรงนั้นพอดี

“บ้าเอ๊ย!” ได้แต่ตะโกนด่าออกไปแม้จะรู้ว่าไม่มีใครได้ยินอะไรก็ตาม “ก็เห็นอยู่ว่ามีคนยังจะขับรถเร็วขนาดนั้น ฉันยังไม่อยากอาบน้ำตอนนี้นะ!”

ในโลกแห่งความเงียบนั้น เสียงหนึ่งดังก้องชัดในหัวผม

‘หึๆ...’

“เฮ้!” ผมขมวดคิ้วมุ่น “โดนรถเหยียบน้ำกระเด็นใส่ไม่ตลกนะคุณ”

เสียงหัวเราะเงียบหายไป กลายเป็นเสียงลมหายใจขลุกขลักคล้ายเจ้าตัวกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ นั่นไง คุณโซลเมตชักจะเอาใหญ่แล้ว

“นี่คุณ”

‘...’

“คุณครับ” ผมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ไม่ต้องทำเป็นเงียบเลย จะโผล่มาหัวเราะผมแล้วหายไม่ได้นะ”

‘ไม่ได้ตั้งใจโผล่’ อีกคนว่าเสียงขรึม ‘แค่เผลอ...’

“เผลอแล้วก็...โอ๊ย!” ผมยกมือกุมหัว หันกลับไปเจอลุงมาคัสกอดอกทำหน้านิ่วใส่ อีกฝ่ายถลึงตา โคลงศีรษะไปทางป้ายที่สั่งให้เก็บและผมยังไม่ได้ลงมือทำ ผมส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ขยับปากเอ่ยขอโทษแม้จะรู้ว่าลุงมาคัสไม่ได้ยิน “ก็เขาชวนคุย”

‘หึ...’

“คุณ!”

ยังไม่ทันได้โวยวายอีกคนให้สมใจก็โดนลุงมาคัสตบไหล่หนักๆ ไปที ผมถอนใจ ยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ รีบจัดการงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จจากนั้นเดินดุ่มๆ กลับเข้าร้าน

ผมเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งในย่านกลางเมือง แต่เหมือนลุงมาคัสจะยัดเยียดตำแหน่งเบ๊สารพัดประโยชน์ให้ผมด้วยเพียงเพราะเราเป็นญาติกัน คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เดินผ่านโซนคาร์ดิโอชั้นหนึ่ง โบกมือให้เพื่อนเทรนเนอร์คนอื่นที่ส่งสายตาสอบถามมาว่าจะไปไหน ผมเลยชี้เสื้อที่เปียกโชกของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ แทนคำตอบ

น้ำข้างถนนสกปรกจะตาย

ผมกดลิฟต์ รอจนมันเปิดถึงเดินเข้าข้างในโดยมีชั้นสี่เป็นจุดหมายปลายทาง ลืมบอกไปว่าตึกแห่งนี้เป็นโซนฟิตเนสไปแล้วสาม ส่วนชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุดลุงมาคัสกันไว้เป็นโซนที่พักส่วนตัว บางทีผมก็ค้างที่นี่แทนที่จะกลับคอนโดฯ ตัวเองที่อยู่ไกลออกไป

ประตูห้องพักชั้นบนสุดถูกเปิด ผมถอดเสื้อตัวที่เปียกออก ร่างกายสมส่วนที่มีกล้ามเนื้อเรียงตัวกันอย่างสวยงามสมฐานะเทรนเนอร์สะท้อนกับบานกระจก ผมยิ้มชื่นชมหุ่นตัวเองด้วยความภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คว้าหยิบเสื้อยืดอีกตัวมาสวมใส่แล้วทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ความเงียบรอบตัวยังคงดำเนินต่อไปเพราะฝนยังไม่หยุดลงเม็ด เงียบจนน่าอึดอัดใจ

“นี่คุณ”

‘...’

“คุยเป็นเพื่อนหน่อย” ผมหลับตา ส่งเสียงคุยกับคุณโซลเมตที่เงียบหายไปตั้งแต่ผมเดินกลับเข้าร้าน “ทำไมไม่ตอบ หรือฝนแถวบ้านคุณหยุดตกแล้ว จะว่าไปพวกเราน่าจะอยู่เขตเดียวกันนะ ฝนตกทีไรทั้งฝั่งคุณฝั่งผมตกพร้อมกันทุกที”

ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงถอนใจ ผมขมวดคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าเสียงถอนใจนั้นแฝงคำด่าเอาไว้กลายๆ ปกติผมไม่ใช่คนร้อนตัว
เท่าไหร่ แต่ครั้งนี้อดแก้ตัวไม่ได้

“ก็มันเงียบ เลยชวนคุย”

‘ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร...’

“จริงสิ” ผมเบิกตากว้าง “คราวก่อนคุณสัญญากับผมเอาไว้”

‘หึ...ลืมแล้ว’

อีกฝ่ายพูดอย่างไร้เยื่อใย เล่นเอาผมตาโต เด้งตัวลุกนั่งหลังตรง

“คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ ก็คุณสัญญาแล้ว เป็นลูกผู้ชายควรทำตามสัญญาให้ได้ไม่งั้น...”

‘แพท...’ เสียงทุ้มจากอีกคนทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้จนเผลอเงียบไป ‘คุณขี้โวยวาย รู้ตัวไหม?’

“เหอะ...”

ผมแค่นเสียง ไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พอผมเงียบไปอีกฝ่ายก็เงียบตาม ทิ้งผมไว้ในโลกไร้เสียง ผมถอนใจอีกครั้ง รู้สึกว่าเวลาที่ฝนตกและทุกเสียงหายไปไม่ต่างอะไรกับโลกที่หยุดนิ่ง เข็มนาฬิกาชีวิตหยุดเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งนี้มีใครคนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น ใครคนหนึ่งที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า

โซลเมตของผม...

...ที่พูดน้อยสุดๆ

“อย่าเงียบสิคุณ”

‘ไม่มีอะไรให้ต้องพูด’

“มีสิ” ผมว่าเสียงขุ่น “บอกชื่อคุณมาได้แล้ว ทำตามสัญญาด้วยครับคุณ”

พอทวงอีกรอบ คุณโซลเมตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา คราวนี้เจ้าของเสียงไม่ปิดบังความรำคาญที่แฝงอยู่ในนั้นเลยสักนิด ผมมุ่นหัวคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงจากอีกฝั่งก็ดังขึ้นมา

‘เซบาสเตียน’

“หืม?”

‘ชื่อผม...เซบาสเตียน’

“เยี่ยม ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะเซ็บ”

‘สนิทกันหรือไง’ เซบาสเตียนว่าเสียงเข้ม ผมหลุดหัวเราะออกมา จินตนาการหน้าอีกฝ่ายได้เลยว่าต้องขมวดคิ้วหน้าตึงอยู่แน่ๆ ที่โดนเรียกชื่อตีสนิทแบบนั้น ‘หัวเราะอยู่ได้’

“ทีคุณยังเรียกผมว่าแพทก่อนเลย สนิทกันเหรอ?”

‘...’

“พอเถียงสู้ไม่ได้ก็เงียบ โธ่คุณ”

‘เมื่อไหร่ฝนจะหยุดสักที’

“ใจร้ายชะมัด”

‘ผมจะทำงาน ไม่มีสมาธิ’

“งั้นผมร้องเพลงให้คุณฟังดีไหม?” ผมหัวเราะอีกครั้ง รู้สึกสนุกที่ได้ยั่วอีกฝ่ายให้หัวเสีย ถือซะว่าเอาคืนที่เซบาสเตียนทำเมินเงียบใส่ผมมาเกือบหกปีแล้วกัน

‘แพท...’

“ครับเซ็บ ว่าไงครับ”

‘อยากให้ผมเงียบไปอีกสักห้าหกปีไหม...’

ผมยิ้มค้าง รีบหุบปากฉับเมื่อโดนอีกฝ่ายขู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง กว่าจะตื๊อให้เซบาสเตียนพูดด้วยได้ใช้เวลาตั้งหลายปี ผมไม่เสี่ยงให้อีกฝ่ายหงุดหงิดแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิมหรอก ไม่งั้นผมนี่แหละที่จะประสาทตายเอาซะก่อน

ผมได้แต่บ่นงึมงำในลำคอ

ฝนยังไม่หยุดตก ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป ได้ยินเสียงหายใจของเซบาสเตียน แจ่มชัดยิ่งกว่าเสียงใดๆ อยากชวนคุยแต่ก็กลัวอีกคนรำคาญ ผมได้แต่นั่งเงียบ หยิบหนังสือมาอ่าน ตัวอักษรไม่มีเสียงแต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่แพ้กัน
ผมคิดว่าเซบาสเตียนไม่ต่างอะไรกับหนังสือ

ไร้เสียง

แต่ตัวตนบอกเล่าทุกอย่าง

จากน้ำเสียงทุ้มต่ำ เรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ทำให้ผมคิดว่าเซบาสเตียนน่าจะเป็นคนนิ่งขรึม โลกส่วนตัวสูง สนิทและไว้ใจคนอื่นยากพอสมควร ดูได้จากกว่าจะยอมเปิดใจคุยกับผมก็ผ่านมาหลายปี ถึงอย่างนั้น...ผมคิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
แต่ถ้าคุยกับผมมากกว่านี้จะดีมาก

ผมไม่ใช่คนเอาแต่ใจหรือชอบเรียกร้องความสนใจ แต่กับเซบาสเตียนต่างออกไป ไม่รู้ทำไมถึงอยากเรียกร้องให้คุณโซลเมตคนนี้สนใจเหลือเกิน

อดรนทนอ่านหนังสือต่อได้ไม่เท่าไหร่ก็ยอมแพ้ ต้องยอมรับว่าไม่มีสมาธิอยู่กับมันเท่าไหร่ โสตประสาทผมเอาแต่โฟกัสเสียงหายใจเบาๆ ของเซบาสเตียน

“คุณ”

‘...’

“เซ็บ...” ลองส่งเสียงเรียกไปอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบรับ “มันเงียบเกินไป ผมเบื่อ”

‘ไม่ทำงานหรือไง’

“วันนี้ลูกค้าไม่มาเทรนครับ” ผมว่าเสียงระรื่น ยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อทำให้เซบาสเตียนคุยด้วยได้

‘เทรน?’

“ผมเป็นเทรนเนอร์น่ะ”

‘อืม’

“คุณสนใจไหม ซื้อชั่วโมงเทรนกับผมได้นะ รับรองผลลัพธ์ออกมาถูกใจแน่”

‘ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งเทรนเนอร์’

“เฮ้ ก็ให้ผมได้ขายของหน่อย”

‘ทำไมชอบพูดอะไรไร้สาระไปเรื่อย’

“เขาเรียกว่าชวนคุย”

‘ไร้สาระ’

“คนเราจำเป็นต้องคุยแต่เรื่องมีสาระหรือไงคุณ?” ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เอนตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาเหลือบขึ้นจ้องเพดานห้องนิ่งๆ ริมฝีปากเปื้อนรอยยิ้ม “บางทีถ้ามีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระได้ก็ผ่อนคลายดี คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอเซ็บ?”

‘ไม่ใช่กับคุณ’

“ใจร้ายจังนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมหลุดหัวเราะ ไม่ได้ถือสากับคำตอบห้วนๆ ของเซบาสเตียนเท่าไหร่ “ถึงคุณจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมพร้อมคุยเรื่องไร้สาระกับคุณตลอดเลยน้า”

‘ผมไม่เห็นประโยชน์ของมัน’ เสียงนิ่งถอนใจเฮือก ‘ไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือไงกัน’

“ทุกอย่างสำหรับคุณต้องได้ผลประโยชน์เหรอ”

‘ก็ควรเป็นอย่างนั้น’

“เซ็บ คุณนี่จริงๆ เลย” ผมส่ายหัว “จริงจังเกินไปหรือเปล่า งั้นเวลาคุยกับเพื่อนสนิทก็คุยเล่นกันไม่ได้เลยสิ”

‘ผมไม่มีเพื่อนสนิท’

ผมชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เสียงของเซบาสเตียนยังคงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ผมกลับสัมผัสถึงอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้

เงียบเหงา

ว้าเหว่

เหมือนทั้งชีวิตที่ผ่านมาอยู่ตัวคนเดียว

ผมเม้มปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมค่อนข้างรับมือไม่ถูกกับอะไรที่อ่อนไหวแบบนี้ ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะปลอบใจอีกฝ่าย

“ถ้าไม่รังเกียจ...ผมเป็นเพื่อนสนิทให้คุณได้นะ”

‘...’

“อืม อาจจะเร็วไปถ้าถึงขั้น ‘สนิท’ งั้นเอาเป็นเราเริ่มต้นเป็นเพื่อนกันดีไหม คงจะดีใช่ไหมล่ะถ้ามีใครคอยให้คุณพูดเล่นด้วยได้” ผมเงียบไป ส่วนเซบาสเตียนไม่ได้ตอบรับอะไร เล่นเอาคนเสนออย่างผมหน้าเริ่มเสีย อดคิดไม่ได้ว่าที่ทำลงไปมันดีแล้วแน่เหรอ เกิดเซบาสเตียนรู้สึกเหมือนโดนรุกล้ำความเป็นส่วนตัวล่ะ? แต่เมื่อเริ่มไปแล้วก็สายเกินกว่าจะถอยหลังกลับ ผมยิ้มแหย หัวเราะแหะๆ พยายามต่ออย่างไม่ย่อท้อ “นี่...มีผมเป็นเพื่อนดีมากเลยน้า”

‘ยังไง’

เยี่ยม อย่างน้อยเซบาสเตียนก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธ

ผมกำมือดึงเข้าหาตัว ขยับปากร้อง ‘เยส’ โดยไม่ออกเสียง ก่อนเริ่มพรีเซ้นต์ตัวเองต่อ

“ผมน่ะชวนคุยเก่งนะ”

‘หมายถึงพูดมากหรือเปล่า’

“โธ่ ฟังให้จบสิคุณ” อดงอแงใส่ไม่ได้เมื่อโดนรู้ทัน ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ดังจากอีกฝ่าย ผมหน้ามุ่ย เอาน่า อย่างน้อยก็ทำให้เซบาสเตียนหัวเราะได้ ผมจะไม่เอาเรื่องอีกฝ่ายแล้วกัน “ชวนคุยเก่งก็คือชวนคุยเก่งไง ชวนคุณคุยได้ทุกเรื่องนั่นแหละ อย่างบอกอรุณสวัสดิ์ วันนี้คุณทานอะไร งานเป็นยังไงบ้าง แมวบ้านคุณยังตีกับหมาบ้านข้างๆ อยู่ไหม...”

‘ผมไม่เลี้ยงแมว’

“ผมแค่ยกตัวอย่างครับ” ผมหัวเราะร่วน “เป็นไง น่าสนใจไหม”

‘ยังไม่เท่าไหร่’

“เรื่องมากนะคุณน่ะ”

‘พอๆ กับที่คุณพูดมาก’

“คุณนี่ก็บ่นผมเรื่องนี้บ่อยจังนะเซ็บ”

‘ฝนใกล้หยุดแล้ว’

“เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะ” ผมกลอกตา เบนสายตามองผ่านหน้าต่าง เม็ดฝนเบาลงจากตอนแรกมาก คาดว่าอีกไม่กี่นาทีน่าจะหยุดตก

ถึงเวลานั้นทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม

บ้าจริง ต้องรีบปิดการขายแล้ว

“สรุปจะรับพิจารณาผมเป็นเพื่อนไหม ผมบอกอรุณสวัสดิ์คุณได้ทุกเช้าเลยนะ”

‘แพท...’ เซบาสเตียนถอนใจ คล้ายอีกฝ่ายเอือมระอา ‘ฝนไม่ได้ตกทุกวันให้คุณคุยกับผมหรอกนะ’

“อย่างน้อยนี่ก็หน้าฝน ผมว่าเรามีโอกาสได้คุยกันอีกหลายครั้งเลยล่ะ” มุมปากผมยกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนใจอีกครั้ง “หรือไม่ผมขอช่องทางติดต่อ...”

‘แพท...’

“โอเคๆ ไม่ขอก็ได้ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้น” ผมรีบพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดุของอีกฝ่าย “แต่จริงจังนะ อยากเจอคุณชะมัด”

‘ผมไม่อยากเจอ’

“ครับๆ รู้แล้วน่า เย็นชาอะไรขนาดนั้น ผมไม่หลอกขายคอร์สให้คุณหรอกน่า”

‘...’

“งั้นลองเก็บไปคิดดูนะ ที่ผมเสนอไป” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “รับพิจารณาผมเป็นเพื่อนคุณหน่อยนะ อย่างน้อยเราก็เป็นโซลเมตกัน”

‘อืม’

“เยี่ยม!”

‘ผมเองก็อยากรู้...’

“ครับ?”

‘...ว่าการมีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระด้วยมันดียังไง’

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

‘...?’

“แต่ที่แน่ๆ มีคนบอกอรุณสวัสดิ์ทุกวันมันดีนะครับ”

ผมไม่รู้ว่าเซบาสเตียนจะเห็นด้วยกับผมไหม เพราะเสียงทุ้มจางหายไปพร้อมกับโสตประสาทที่กลับมาได้ยินเสียงรอบตัวอีกครั้ง เสียงหวานใสของนกน้อยที่ทำรังอยู่นอกระเบียงดังเข้ามาภายในห้อง ผมหลุบตาลง มุมปากยกยิ้มกับตัวเอง
ผมไม่เคยเข้าหาใครขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นโซลเมตเลยรู้สึกพิเศษด้วย หรือไม่ก็...

แค่เพราะคนนั้นคือเซบาสเตียน

ก็แค่นั้น...


***************************************************************************************
ทอล์กท้ายบทหนึ่ง สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเอานิยายมาลงเล้าครั้งแรก ไม่ชินระบบเลย และใช่ค่ะ เราไม่ได้ลงเองแต่วานเพื่อนมาลงให้ กราบขอบพระคุณ Hazel_nut ด้วยนะคะ ชื่อคุ้นๆ ใช่มั้ย คนเขียนเรื่อง Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ! นั่นแหละค่ะ 55555 ยังไงฝากนิยายด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.จะพยายามให้เพื่อนมาอัพให้บ่อยๆ นะคะ 555555555555555555555


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2018 22:01:17 โดย JackXy Wu »

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 2
Sound of rain...Sound of you

 
[Sebastian]
ผมไม่คิดว่าการออกมาข้างนอกโดยไม่พกร่มในฤดูฝนเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่ออกมาซื้อของที่มินิมาร์ทใกล้ๆ คอนโดฯ ตัวเองเท่านั้น จนกระทั่งฝนเม็ดนึงตกลงใส่หัว จากเล็กน้อยค่อยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองเบาลงทุกทีรวมถึงเสียงอื่นๆ รอบตัว ฝนตกหนักขึ้นจนทัศนวิสัยถูกบดบังด้วยสายฝน อาการหูดับเข้าครอบงำโสตประสาทการได้ยินของผมอีกครั้ง

เป็นหน้าฝนที่น่าหงุดหงิด

‘เฮ้!’

โดยเฉพาะเสียงของใครบางคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ

‘มานี่เร็ว ได้ยินไหมเนี่ย อย่าไปตรงนั้น!’

ผมขมวดคิ้ว คล้ายเจ้าของเสียงไม่ได้พูดคุยกับผมเหมือนทุกที ผมเดินเรียบไปกับร้านค้าข้างทาง อาศัยกันสาดที่ยื่นออกมาหลบเม็ดฝน เสียงของแพทริคยังดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุดลง และผมก็ไม่คิดจะพูดแทรกให้อีกคนหยุด

ขืนทำแบบนั้นแพทริคคงชวนคุยจ้อยาวกว่าเดิม

‘ทำไมดื้อแบบนี้ ตัวเปียกหมดแล้ว มาเร็ว’

‘อย่าพูดยากสิไอ้หนู’

‘เฮ้ ไม่เห็นต้องข่วนกันเลย’

ข่วน?

เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าชะงัก ผมเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าแพทริคกำลังเล่นอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บตัวเก่งนักแหละ

“แพท”

ผมสาบานได้เลยว่าไม่รู้ตัวตอนเอ่ยปากเรียกอีกคน

เสียงโวยวายจากฝั่งนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงขานรับด้วยความแปลกใจจะดังขึ้น

‘ว้าว คุณทักผมก่อนเหรอเนี่ย?’

“ทำอะไร”

ผมทำเมินแล้วถามกลับ แพทริคส่งเสียงหัวเราะมาก่อนตอบรับ

‘ช่วยเจ้าตัวเล็กนี่อยู่’

“เจ้าตัวเล็ก?”

‘ลูกแมวน่ะครับ’ แพทริคขยายความ ‘เกาะอยู่บนต้นไม้ เหมือนจะลงมาเองไม่ได้ด้วย ไม่รู้หลงมาจากไหน ฝนก็ตกจนมันเปียกทั้งตัวแล้วเนี่ย’

“แล้วที่บอกว่าช่วย...” ผมเผลอทำเสียงดุใส่ “ไม่ใช่ว่าคุณกำลังปีนต้นไม้หรอกนะ”

‘ว้าว คุณเดาเก่งจัง’

“แพท” ผมกดเสียงต่ำ “ลงมา มันอันตราย”

‘ไม่เป็นไรๆ ผมปีนต้นไม้เก่ง’

“คุณประมาทเกินไป” ยิ่งพูดเสียงผมก็ยิ่งกดต่ำด้วยความไม่ชอบใจ “ฝนตก มันลื่นคุณไม่เข้าใจหรือไง แล้วเมื่อกี้เจ้าแมวนั่นข่วนคุณด้วยใช่ไหม”

‘ผมไม่คิดว่าคุณจะขี้บ่นขนาดนี้นะเนี่ย’

เสียงแพทริคหัวเราะเบาๆ ส่งผลให้คิ้วของผมผูกกันแน่นกว่าเดิม ผมสาวเท้าเร็วขึ้นเหมือนกับว่าต้องการไปให้ถึงตัวคนดื้อดึง แม้ในความจริงนั้นผมจะไม่รู้ก็ตามว่าแพทริคอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้

‘น้องไม่ได้ดุขนาดนั้น แค่ตกใจผมเฉยๆ’

“แพท...”

‘ครับๆ ดุจัง ได้ตัวน้องแล้ว กำลังจะลงครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ’

เป็นอีกครั้งที่ผมขมวดคิ้ว วันนี้ผมขมวดคิ้วไปกี่รอบแล้วไม่รู้ แต่ต้นเหตุมีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ ฝีเท้าที่เร่งรีบผ่อนลงเมื่อได้ยินแพทริคบอกว่ากำลังจะลงจากต้นไม้ ผมหลุบสายตามองพื้นในขณะที่ก้าวเลี้ยวตรงหัวมุมถนนเพื่อมุ่งหน้าสู่คอนโดฯ

ห่วงงั้นเหรอ?

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอารมณ์ความรู้สึกนี้กับใครมาก่อน ยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้ยินเพียงแค่เสียงด้วยแล้ว หรือเพราะแพทริคเป็นโซลเมตของผม ทุกอย่างมันเลยต่างจากปกติ?

ผมส่ายหัว เหตุผลนี้มันไร้สาระเกินไป

แต่มีบางสิ่งที่ไร้สาระกว่า

อย่างเช่นความบังเอิญเป็นต้น

ตรงหน้าผมคือชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังปีนลงจากต้นไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเล เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกโชกจากสายฝนที่ลงเม็ดไม่หยุด แขนข้างหนึ่งอุ้มห่อผ้าไว้แนบอกทำให้การปีนลงจากต้นไม้ดูยากลำบากพอสมควร

ผมยืนจ้องอีกฝ่ายจากใต้ชายคาหน้าร้านเบเกอร์รี่ แม้ในใจจะบอกว่าไม่ใช่ คงไม่มีเรื่องบังเอิญน่าตลกอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกับชีวิตผมหรอก

แต่ว่า...

รู้ตัวอีกทีก็เอ่ยปากออกไปแล้ว

“แพท”

‘ครับ?’

“ลงมาหรือยัง”

‘อา...ลงแล้ว’

“แน่ใจ?”

‘แน่ใจสิ’ เสียงอีกฝ่ายเจือแววร่าเริงกว่าปกติ ผมส่ายหัว ตัดสินใจเดินเข้าร้านเบเกอร์รี่ ขยับปากพูดขอยืมร่มจากคุณตาเจ้าของร้านและชี้มือประกอบจนอีกฝ่ายเข้าใจ ฝากถุงสินค้าที่ตัวเองซื้อมาไว้ที่ร้านชั่วคราว ‘คุณอยู่ข้างนอกเหรอ ยืมร่มใครน่ะ?’

เป็นคนขี้สงสัยจริงๆ

ผมไม่ตอบคำถามนั้น เดินตรงไปหาคนที่ใกล้จะลงจากต้นไม้แล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังเดินไปหา ผมมองเขาที่ขยับปากพูดไม่หยุด สอดคล้องกับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว กระทั่งเดินมาถึงจุดหมาย เสียงที่เคยดังก้องในหัวผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงที่ได้ยินออกมาจาก ‘ปาก’ คนตรงหน้า

และผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าแพทริคช่างเป็นคนที่ขยันหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวเก่งจริงๆ นั่นแหละ

อาจเพราะอีกฝ่ายใกล้ถึงพื้นแล้วเลยทำให้เกิดความประมาท อุบัติเหตุอย่างการ ‘ลื่น’ จึงตามมาอย่างช่วยไม่ได้ และถึง ‘แพทริค’ จะขยันหาเรื่องเจ็บตัวเก่ง แต่ก็นับว่าอีกฝ่ายมีความโชคดีอยู่บ้าง...

...อย่างการที่ผมพุ่งเข้าไปพยุงอีกคนทันไม่ให้ล้มหน้าทิ่มพื้นนั่นแหละ

“เกือบไปแล้ว” เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ อีกฝ่ายเงยหน้ามองผม แววตาฉายประกายขอบคุณในขณะที่ริมฝีปากคลี่ยิ้มแหย “ขอบคุณครับ”

รูปปากขยับไหวเชื่องช้าหมายให้ผมอ่านออก แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องอ่านปากเพราะได้ยินคำขอบคุณนั้นชัดเจนคงไม่ทำแบบนี้

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใส เส้นผมสั้นสีจินเจอร์เด่นสะดุดตาเปียกลู่แนบกรอบใบหน้าขาวซีด กระสีจางกระจายเต็มช่วงจมูกและข้างแก้ม แพทริคสูงพอๆ กับผมและรูปร่างอีกฝ่ายก็ดีสมกับที่อวดอ้างตัวว่าเป็นเทรนเนอร์ ผมพยักหน้ารับคำขอบคุณโดยไม่พูดอะไร อยากรู้ว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป

“เฮ้อ” เจ้าของผมสีจินเจอร์ก้มมองห่อผ้าในอ้อมกอดซึ่งเมื่อสังเกตดีๆ แล้วถึงพบว่าเป็นเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ผมสังเกตเห็นเส้นขนสีส้มขะมุกขะมอมที่เปียกลู่ “โชคดีนะเนี่ยพวกเรา”

“อืม โชคดี แค่เกือบหน้าฟาดพื้น”

“โอ๊ะ เซ็บ คือผมอธิบายได้นะเมื่อกี้...เดี๋ยว ทำไมเสียงมัน...?” คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูดกับลูกแมวในอ้อมแขนชะงักไปก่อนเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าใสจ้องสบกับผมนิ่ง มันแฝงไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัดจนมุมปากผมเผลอกระตุกยิ้ม

“ไง”

“ซ...เซ็บ?!”

เสียงในหัวกับเสียงจากคนตรงหน้าผสานกันอย่างลงตัว ไม่จำเป็นต้องสงสัยอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในเมื่อคำตอบชัดเจนขนาดนี้แล้ว

“ไหนบอกลงมาแล้ว”

“คือ...”

“คุณโกหก”

“เดี๋ยว นี่คุณคือ...”

“หลักฐานคาตายังจะเถียง?” ผมเลิกคิ้ว ร่มสีเหลืองถูกยื่นไปกันฝนให้กับแพทริคที่เหมือนจะอึ้งไปจนทำตัวไม่ถูก “ชอบตากฝนนักหรือไง”

“อ่า...”

“ไม่เห็นจะคุยเก่งเหมือนที่พูด” ผมแกล้งว่าหน้านิ่ง ลอบสังเกตสีหน้าแพทริคที่เผยอปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่เปล่งเสียงออกมาสักที ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างจนอดคิดไม่ได้ว่ามันจะหลุดออกมาหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ถ้าพวกเรายืนตากฝนกันอยู่แบบนี้ ถึงจะมีร่มก็ตามแต่ละอองฝนอาจทำให้ไม่สบายได้ “ตามผมมา”

“...”

“แพท...ผมจะไม่พูดซ้ำนะ”

“โอเคๆ”

คนที่ยืนนิ่งค้างรีบพยักหน้าขานรับพร้อมสาวเท้าเดินพร้อมผมกลับมาที่หน้าร้านเบเกอร์รี่ พอคุณตาเจ้าของร้านเห็นสภาพพวกเราทั้งคู่ก็ทำไม้ทำมือให้ไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับหาผ้าเช็ดตัวมาให้โดยไม่ลืมหยิบมาเผื่อเจ้าตัวเล็กโดยไม่รังเกียจ ผมเลยสั่งเครื่องดื่มร้อนพร้อมกับขนมปังเป็นการตอบแทน

“...”

“คุณจะจ้องผมอีกนานไหม” ผมถอนหายใจ เบนสายตามาสบกับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องเอาๆ “ดูแลเจ้าตัวที่อยู่ในเสื้อแจ็คเกตของคุณหน่อยเถอะ ดิ้นจนจะตกแล้ว”

“นี่คุณจริงๆ เหรอเนี่ย”

“คำถามคุณดูไม่ฉลาดเลยนะแพท”

“ให้ตายเถอะพระเจ้า” แพทริคอุทาน ยังคงเขม็งตาจ้องผมไม่ละไปไหน “ถึงคุณไม่ตกใจแต่ผมตกใจนะ ก็แค่...จู่ๆ ก็เจอคุณนะเซ็บ คุณที่เมินเสียงเรียกผมมาหลายปี ทำเหมือนไม่อยากรู้จักกัน พอยอมคุยด้วยก็ปล่อยผมพูดคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ใครจะไปคิดว่าคุณจะเดินมาหาง่ายๆ แบบนี้ล่ะ พระเจ้า นี่มันเกินกว่าที่ผมจะตั้งตัวทันนะ”

“พูดจบหรือยัง”

“โธ่เซ็บ ผมพูดจริงนะ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณโกหกนี่”

“เซ็บ...”

ผมแสร้งทำเมินเสียงโอดครวญของแพทริค ยกแก้วโกโก้ร้อนขึ้นจิบ รับรู้ถึงสายตาที่มองมาอย่างไม่ลดละ ถึงจะน่ารำคาญนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรอีกฝ่าย จะว่าไปผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ผมไม่ใช่พวกเข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ กำแพงผมค่อนข้างสูงมากทีเดียว การที่ผมเข้าหาแพทริคและเปิดเผยตัวเองนับเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมพอสมควร

“นี่คุณ”

“...อะไร”

“ใจคอจะนั่งเงียบแบบนี้เหรอ ได้เจอกันทั้งที” ดูเหมือนแพทริคจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้ว ไม่งั้นนิสัยชอบชวนคุยชอบตีสนิทคงไม่กลับมา “คุณพักอยู่แถวนี้เหรอ แล้ว...”

“แพท”

“หือ?”

“พูดมาก”

“เซ็บบบบ”

“อายุเท่าไหร่” ผมพูดแทรกขึ้นมา ปรายตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนจะโตแต่ตัว “ทำไมถึงได้งอแงเป็นเด็กๆ”

“ผมจะยี่สิบสี่แล้วนะ ไม่เด็กสักหน่อยคุณ”

“เด็กกว่าผมอยู่ดี” ผมตอบเสียงเรียบ

“หืม? คุณอายุเท่าไหร่ ดูๆ แล้วไม่น่าห่างจากผมมากนะ” เจ้าคนหัวสีจินเจอร์ทำหน้าประหลาดใจ ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันเล็กน้อย “ยี่สิบห้าใช่ไหม ผมเดานะ”

“เกือบถูก”

“น้อยกว่าหรือมากกว่า?”

“มากกว่า”

“หืม” เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นแพทริคทำตาโตใส่ “ยี่สิบหกใช่ไหม”

“ยี่สิบเจ็ด”

“ถามจริง?”

“ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก”

“แล้ว...” แพทริคลากเสียง ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมาที่ผม ผมเลิกคิ้ว “คุณมีแฟนหรือยัง”

“ถามทำไม”

“ก็...อยากรู้เฉยๆ” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ดวงตาสีฟ้าใสฉายประกายซื่อ...ไปนิดนึง ผมถอนหายใจเมื่อสังเกตเห็นแววแพรวพราวแฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น “...ไม่ได้เหรอครับ”

“...”

“ว้า...ใจร้ายจัง ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ เนอะ” ประโยคหลังก้มหน้าลงไปคุยกับเจ้าก้อนขนในอ้อมแขน ผมมองริมฝีปากอีกฝ่ายที่ยกยิ้มก่อนแพทริคจะอุ้มเจ้าลูกแมวส้มขึ้นมาให้หันหน้ามาจ้อง ขนสีส้มเมื่อถูกเช็ดจนแห้งกลับมาฟูฟ่องเหมือนเดิม ดวงตากลมโตสีฟ้าใสไม่ต่างจากคนอุ้มจ้องหน้าผมเขม็ง

ขนสีส้มเข้ม

ดวงตาสีฟ้าซีด

ปากเล็กๆ ที่ขยับไหวไปมาทว่าไม่มีเสียง ผมคิดว่าถ้าฝนหยุดตกเมื่อไหร่เจ้าตัวเล็กนี่คงส่งเสียงร้องไม่มีวันหยุดแน่ๆ

เหมือนคนที่เก็บมันมาไม่มีผิด

“ฝนใกล้หยุดแล้ว”

“เปลี่ยนเรื่องเฉย”

“แล้วคุณจะอยากรู้อะไรนักหนา” ผมถอนหายใจ สบสายตากับคนขี้สงสัยตรงๆ “รู้ไปแล้วจะได้อะไร”

“ก็...” ผมเฝ้ามองแพทริคกลอกตาไปมาเหมือนกำลังหาคำแก้ตัว ก่อนอีกฝ่ายจะหยุดสายตาไว้ที่ผมเหมือนเดิมแล้วคลี่ยิ้มเผล่ “...เผื่อมีโอกาส”

“จะไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น”

“ผมหมายถึงโอกาสเป็นเพื่อน”

“อยากเป็นเพื่อนแต่ถามเรื่องแฟน?”

พอย้อนถาม แพทริคก็หัวเราะร่วนอย่างไม่ออมเสียงเลยสักนิด แน่ล่ะ ไม่มีใครได้ยินนอกจากพวกเราเอง ดวงตาสีฟ้าหยีโค้ง รอยยิ้มแต้มประดับบนใบหน้า อีกฝ่ายอุ้มเจ้าก้อนขนสีส้มแนบอก ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่หัวเล็กในขณะสายตาจ้องมาที่ผม มันเป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหลังจากนี้คงสลัดแพทริคไม่พ้นแล้วแน่ๆ

“โอเค พูดตามตรงก็ได้ ผมค่อนข้างสนใจคุณนะ”

“ไร้สาระ นายเพิ่งจะเจอฉัน” ผมปฏิเสธเสียงเรียบ เปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทอีกต่อไป “เรื่องโซลเมตนี่ก็เหมือนกัน”

“คุณไม่คิดว่าเรื่องโซลเมตมันเป็นสิ่งพิเศษเหรอ”

“ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน” ผมเลิกคิ้ว “แค่คนสองคนถูกบังคับให้ได้ยินเสียงกันและกัน ผูกมัดไว้ด้วยคำว่า ‘โซลเมต’ ทั้งที่ไม่ใช่ความต้องการเลยสักนิด”

“คุณมองโลกแง่ร้ายจัง”

“ฉันมองโลกตามความเป็นจริง” ผมแก้

“แต่ว่านะ ผมน่ะ...” แพทริคหลุบตาลงต่ำ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะกลับมาสบผมอีกครั้ง “ผมมองว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เข้าใจเรามากที่สุดคนนึงท่ามกลางคนหลายพันล้านคน มันคงยากนะถ้าจะตามหาคนคนนั้นด้วยตัวเองคนเดียว คุณไม่คิดเหรอว่าที่เราได้ยินเสียงกันเป็นเพราะพระเจ้าท่านอยากช่วยให้ต่างคนต่างหากันเจอเร็วขึ้น”

ถ้าเป็นปกติผมคงตอบกลับว่า ‘ไร้สาระ’ และใช่ ผมกำลังจะพูดคำนั้น แต่เมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง คำปฏิเสธกลับถูกกลืนลงคอไป ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่าทำไมอะไรๆ ที่ควรเหมือนเดิมกลับไม่เหมือนเดิมเมื่อแพทริคอยู่ตรงหน้า

ผมยังคงเป็นตัวเองเหมือนเดิม แต่เป็นความเหมือนเดิมที่โดนแพทริคทำให้ไม่เหมือนเดิม

“สรุปคุณมีแฟนหรือยังน่ะ?”

“จะรู้ให้ได้เลยใช่มั้ย” ผมถอนหายใจ

“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่จะถามจนกว่าคุณจะตอบ”

ให้ตาย ผมชักอยากซัดเจ้าคนหน้ายิ้มนี่สักทีซะแล้ว

“ไม่มี”

“เยี่ยม”

“และก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะสนใจนาย”

“คุณก็ตัดโอกาสผมเกินไป”

“อยากให้ตัดมากกว่านี้ไหมล่ะ” ผมเลิกคิ้ว “กลับไปไม่คุยด้วยอีกดีไหม”

“โธ่ เซ็บครับ...”

ผมส่ายหัวไปมาเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงตัดพ้อ และถึงแม้ระหว่างนั้นเสียงอื่นรอบตัวจะค่อยๆ กลับมาดังตามเดิมจนกระทั่งกลับมาเป็นปกติในที่สุดเมื่อฝนเม็ดสุดท้ายตกกระทบพื้น ถึงอย่างนั้นเสียงของแพทริคก็ยังคงเด่นชัดออกมาจากเสียงอื่นรอบกาย

“เมี้ยวๆๆๆๆ”

เสียงเล็กๆ ร้องขึ้นมา และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ

พูดมากเหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ...

“ฝนหยุดตกแล้ว” ผมพูดขึ้น

“จะไล่ผมกลับล่ะสิ”

“เปล่า นายอยากอยู่ก็อยู่ต่อสิ” ผมว่าหน้านิ่ง เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจ “เพราะฉันจะไปเองต่างหาก”

“ก็นึกว่าอยากอยู่ด้วยกันต่อ”

“นายก็เหมือนกัน”

“ครับ?...”

“เปียกไปทั้งตัวแบบนั้นรีบกลับไปอาบน้ำกินยาดักซะ ป่วยขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ผมว่าทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินไปหน้าเคาน์เตอร์ จัดการจ่ายค่าขนมและเครื่องดื่มทั้งหมดโดยไม่ถามความเห็นจากแพทริคสักนิด ก่อนสาวเท้าตรงไปยังประตูร้าน มือวางแตะบนที่จับ ยังไม่ทันได้ผลักออกไปเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น

“เซ็บ”

ผมชะงัก หันหน้ากลับไปมองเจ้าคนหัวสีจินเจอร์โดดเด่นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีฟ้าใสมองตรงมาทางผม ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบางเบา

“คุณเป็นคนใจดีนะ รู้ตัวไหม”

“...”

“เพราะงั้นช่วยยิ้มเยอะๆ หน่อยนะครับ”

ผมไม่ตอบอะไรและหันหน้ากลับ ผลักบานประตูออกไปข้างนอก บรรยากาศหลังฝนตกเย็นชื้นกว่าปกติ ท้องฟ้าที่ไร้แสงแดดทำให้รู้สึกเหมือนเวลาย่างเข้าช่วงเย็นทั้งที่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ ได้กลิ่นไอดินหลังฝนตกลอยอยู่ในอากาศบางเบา

และเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่

ใบหน้าที่มักจะไม่แสดงอารมณ์ก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา


*****************************************************************************************


ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โรแมนติกจังเลย ได้ยินเสียงเมื่อฝนตก ขอบคุณมากค่ะ  :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :mc4:


ดีๆ

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
Chapter 3

Sometimes you just need someone to talk to

 

[Patrick]


ถ้าให้ผมนิยามคำว่าบังเอิญ คงนิยามสั้นๆ ว่า...

“เซ็บ!”

ผมส่งเสียงทักทายไปอย่างร่าเริงแต่กลับได้รับสายตานิ่งๆ และเสียงถอนใจมาแทนนี่หมายความว่าไงกันนะ ผมสาวเท้าตรงไปหาเซบาสเตียน อีกฝ่ายวางอาหารแช่แข็งกลับใส่ตู้แช่เย็นและทำท่าจะเดินหนี

“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งหนี คุยกันก่อนสิ”

“ฉันไม่ว่าง”

“เฮ้ นี่วันอาทิตย์นะ คุณทำงานอะไรชีวิตถึงดูวุ่นวายตลอดเวลาเนี่ย”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเจ้าแมวยักษ์” เซบาสเตียนยกมือห้ามผมไว้ไม่ให้เข้าประชิดตัว ผมขมวดคิ้ว เอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตัวเอง ดวงตาคมสีมรกตจ้องผมนิ่ง “ขอฉันอยู่อย่างสงบสักวันเถอะ”

“พูดเหมือนผมกวนคุณทุกวัน”

“ถ้าทำได้นายคงทำ”

“คิดมากน่า” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเจอคุณที่มินิมาร์ทนี่ คุณอยู่แถวนี้เหรอเซ็บ”

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”

“ผมก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน คอนโดฯ A น่ะ” ผมยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนว่าอีกคนอยากรู้หรือไม่ ถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก “แต่ส่วนใหญ่ช่วงนี้จะพักที่ฟิตเนสของลุงผมมากกว่า”

“พูดจบหรือยัง”

“ถ้าบอกว่ายัง?”

“ก็พูดต่อไป ฉันไปล่ะ”

“เฮ้เซ็บ เซ็บ โธ่ ใจร้ายจัง”

ผมมองแผ่นหลังกว้างที่หันหลังให้แล้วเดินหนีไปโดยไม่ร่ำลา ผมส่ายหัว มุมปากอมยิ้มกับท่าทางรำคาญของเซบาสเตียน

น่าสนใจดี

ยิ่งกำแพงสูงยิ่งท้าทายในการเข้าหา

ผมสงสัยว่าตัวเองจะสามารถข้ามผ่านกำแพงของเซบาสเตียนได้ไหม ถ้าไม่...บางทีผมอาจต้องทุ่มสุดตัววิ่งชนให้ทะลุไปเลย

คิดพลางเดินเอาถุงอาหารสำหรับลูกแมวไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ แน่นอนว่าสำหรับเจ้าตัวเล็กขนฟูที่ผมบังเอิญไปช่วยเอาไว้เมื่อวาน ผมตัดสินใจรับเลี้ยงมันไว้และมันเองก็ดูพร้อมใจรับผมเป็นทาสเหมือนกัน


“หืม?”

เผลอหลุดเสียงออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อระหว่างเดินกลับคอนโดฯ ผมเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาเดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล

เส้นผมตัดสั้นสีดำสนิท

แผ่นหลังกว้างและส่วนสูงที่โดดเด่น

ดูเหมือนว่าความบังเอิญยังคงทำหน้าที่ของมันต่อจนกว่าผมกับเซบาสเตียนจะสนิทกันมากกว่านี้ ผมหรี่ตาลง อมยิ้มมุมปาก สาวเท้าเร่งเดินไปข้างหน้าจนกระทั่งเดินตีคู่ได้สำเร็จ

“ไม่ได้ตั้งใจตามมานะครับ” ผมรีบพูดขึ้นมาทันทีที่ใบหน้าของเซบาสเตียนหันมา ดวงตาสีเขียวหรี่ลงราวกับจะบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดจนต้องสำทับอีกที “คอนโดฯ ผมกลับทางนี้”

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร”

“คุณจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้น รู้ครับว่าด่าผมอยู่ในใจ”

เสียงถอนใจดังขึ้นเบาๆ ผมคลี่ยิ้มเผล่ เวลาที่เซบาสเตียนหาคำพูดมาโต้ตอบไม่ได้มันทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมา แม้ว่าคุณโซลเมตของผมจะอายุมากกว่าก็ตาม

 

‘ล่าสุดซีมอน รอสซ์ ยืนยันไม่มีส่วนในเหตุการณ์การลอบทำร้าย ไมเคิล ลี ตามที่ถูกกล่าวอ้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้นักธุรกิจรายใหญ่ทั้งสองจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันอย่างหนักก็ตาม...’

 

เสียงประกาศข่าวผ่านวิทยุดังแว่วออกมาจากร้านขายหนังสือพิมพ์ข้างทาง ผมชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย อดเงี่ยหูฟังไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อนักธุรกิจดังผู้ทรงอิทธิพล

“ช่วงนี้ดูเขาจะมีปัญหาเยอะนะ”

“อะไรของนายอีกล่ะ”

“ซีมอน รอสซ์” ผมตอบ เลิกสนใจข่าวนั้นแล้วก้าวเดินต่อไป “ซีมอน รอสซ์ดังจะตาย ถึงไม่ตามข่าววงการธุรกิจแต่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ ‘เสือร้ายแห่งรอสซ์’ บ้างสิ คุณไม่รู้จักเหรอ”

“ดังในเรื่องแย่ๆ” น้ำเสียงของเซบาสเตียนเรียบนิ่งไม่ระบุอารมณ์ “ใครจะไม่รู้จักนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่คนนั้น ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์ที่สุด ใครหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งได้ง่ายๆ”

“เรื่องธุรกิจมันก็พูดยากนะครับ ยังไงก็ต้องนึกถึงผลประโยชน์ไว้ก่อน มันเป็นเรื่องปกตินะผมว่า”

“อืม”

เซบาสเตียนขานรับในลำคอ พวกเราทั้งคู่เดินกันต่อเงียบๆ โดยไร้เสียงพูดคุยอะไรอีก แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งเดินมาเกือบถึงหน้าคอนโดฯ ผมสังเกตเห็นกลุ่มคนท่าทีแปลกๆ รวมตัวอยู่แถวนั้น ไหนจะรถตู้คันใหญ่สองสามคันที่ข้างรถแปะโลโก้สำนักข่าวซุบซิบชื่อดังประจำประเทศนั่นอีก

“ให้ตายสิ!”

“ฮะ อะไรคุณ?” ผมหันมองคนข้างตัวที่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วสบถออกมาเสียงดัง ยังไม่ทันได้รับคำตอบ กลุ่มคนพวกนั้นก็หันมาทางพวกเราซะก่อน

“นั่น มาแล้ว!”

เสียงสูงหวีดแหลมของนักข่าวสาวคนหนึ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักข่าวคนอื่นหันพรึ่บมาทางเดียวกัน ผมจำได้ว่าตัวเองกะพริบตาไปทีเดียวเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกทีรอบตัวก็ถูกรุมล้อมไปด้วยกลุ่มนักข่าว ไมค์และเครื่องอัดเสียงถูกจ่อมาตรงหน้า

ไม่สิ

ไม่ได้จ่อมาที่ผม แต่เป้าหมายคือเซบาสเตียนที่อยู่ข้างผมต่างหาก

“เซบาสเตียนคะ! จริงหรือเปล่าคะเรื่องที่คุณจะไม่สืบทอดธุรกิจครอบครัวต่อเพราะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของพ่อคุณ!?”

“แล้วเรื่องที่คุณทะเลาะกับพี่ชายจนย้ายออกจากคฤหาสน์นี่จริงเท็จแค่ไหนครับ!?”

“ทะเลาะกันเรื่องมรดกใช่ไหมคะ?!”

“ตระกูลรอสซ์แตกคอกันมีมูลความจริงมากแค่ไหนกันครับ?!”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตกใจอะไรก่อนดี ระหว่างเซบาสเตียนคือทายาทตระกูลรอสซ์ กับ อีกฝ่ายคว้าข้อมือผมแล้วจับฉุดให้วิ่งฝ่าวงนักข่าวเข้าไปในคอนโดฯ

“คีย์การ์ด เร็ว!”

“ฮะ?!”

“สแกนคีย์การ์ดเข้าตึกเร็ว คอนโดฯ นายนี่!”

พอโดนเร่งอย่างนั้นผมก็จำต้องหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาสแกนเข้าตึกอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ถือว่ารวดเร็วพอที่จะหนีนักข่าวจากภายนอก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองเจ้าของร่างสูงที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องนักข่าวผ่านบานประตูกระจกใส

“อีกนานกว่าคนพวกนั้นจะไป” ผมพูดขึ้นลอยๆ “หรือไม่ก็คงดักรอคุณข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ”

“ฉันรู้ ไม่ต้องย้ำ”

“คุณจะเอาไงต่อล่ะ?”

“ตึกนี้มีทางออกอื่นอีกไหม”

“มีประตูหลังสำหรับขนขยะไปทิ้ง” ผมยักไหล่ จ้องสบกับดวงตาสีมรกต “แต่คุณคิดว่านักข่าวพวกนี้จะไม่ไปดักรอเหรอครับ?”

“ให้ตายสิ!”

ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นเซบาสเตียนแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปกติคนหน้านิ่งมักจะทำหน้านิ่งไม่ก็หน้าเบื่อหน่ายใส่ พอเห็นแสดงอารมณ์แบบอื่นบ้างก็น่ามองไม่น้อย

“หรือไม่ก็...” ผมหรี่ตาลง อมยิ้มน้อยๆ ในขณะเสนอทางเลือกอื่น “ไปหลบที่ห้องผมก่อนดีไหม”

“คิดจะทำอะไร”

“ก็คิดจะช่วยคุณไง” ผมว่าตาใส ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าไม่ไว้ใจของเซบาสเตียน “น่าเซ็บ ผมดูมีพิษภัยหรือไงล่ะ”

“นายมันตัวป่วน”

“เชื่อเถอะว่านักข่าวข้างนอกนั่นป่วนคุณมากกว่าผมแน่ๆ”

ผมอมยิ้ม ลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของเซบาสเตียนเงียบๆ จนอีกฝ่ายถอนใจแล้วพยักหน้ารับ

“ก็ได้”

“ครับ ตามผมมาเลย”

ผมว่าพลางเดินนำเข้าลิฟต์ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงชั้นจุดหมาย ผมแตะคีย์การ์ดและเปิดประตูนำเข้าไปตามด้วยเซบาสเตียน เสียงร้องแหลมสูงดังต้อนรับพร้อมกับร่างเล็กสีส้มที่วิ่งเข้าหา

“เฮ้ซูกกี้” ผมย่อตัวลงไปลูบหัวมัน เจ้าเหมียวส่งเสียงครางในลำคอด้วยความพอใจ ผมลุกขึ้น หันมองเซบาสเตียนแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย “ตามสบายนะคุณ ถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็เปิดทีวีดูได้นะครับ”

“อืม”

เขารับคำในลำคอ เดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาในห้องรับแขกและหยิบรีโมทโทรทัศน์มากดเปิด ผมเลิกคิ้ว เอียงคอมองท่าทีเขา คิดว่าเซบาสเตียนจะดูอึดอัดมากกว่านี้ซะอีก แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่เขาไม่คิดมากอะไร

ผมเดินเข้าโซนห้องครัว จัดการทำแซนวิสและเครื่องดื่มง่ายๆ เพื่อต้อนรับแขก ทันทีที่วางจานลงบนโต๊ะรับแขกก็ได้รับสายตาไม่ไว้ใจจากอีกคนทันที

โอเค ผมดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นหรือไง?

“ไม่ได้ใส่ยาพิษน่า กินได้ครับ” ผมว่าในขณะทรุดตัวนั่งข้างเขา

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”

เซบาสเตียนว่า เขาเป็นอย่างนี้ตลอด เวลาผมร้อนตัวพูดแก้ตัว เขาจะบอกว่าไม่ได้ว่าอะไร แต่สายตานี่ชัดเจนมากบอกเลย

“ว่าแต่…” ผมเกริ่นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบไป “จะเอาไงต่อดี นักข่าวพวกนั้น”

“ก็รอจนกว่าพวกเขาจะถอดใจ”

“ข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ”

“ช่างมัน” เซบาสเตียนพูดเสียงเรียบ ดวงตาสีมรกตจ้องหน้าจอโทรทัศน์ “ฉันจะค้างห้องนาย”

“หืม?”

“ทำไม” เขาหันมา จ้องหน้าผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง “หรือเปลี่ยนใจไม่อยากให้ฉันอยู่แล้ว พอรู้ว่าฉันเป็นรอสซ์ก็ไม่อยากช่วยแล้วสินะ”

“ฮะ? เดี๋ยวๆ คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ”

“ช่างเถอะ อย่าสนใจเลย”

“เฮ้เซ็บ” ผมเรียกชื่อเขา ทอดสายตาจ้องคนที่ทำหน้านิ่งขรึมแต่แววตาหม่นลง “จะไม่ให้ผมไม่สนใจได้ยังไง ดูเหมือนคุณกำลังไม่สบายใจนี่”

“เรื่องไร้สาระ”

“คุณจำได้ไหม” ผมตบมือลงบนหน้าขาเขาเบาๆ ทำให้เซบาสเตียนหันหน้ามามองผมจนได้ ผมยิ้มให้ หวังว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้อีกฝ่ายสบายใจไม่มากก็น้อย “ที่ผมเคยบอกไว้ว่าบางทีคนเราก็ต้องการใครบางคนไว้คุยเรื่องไร้สาระด้วย”

“...”

“ผมว่าผมเป็นคนนั้นให้คุณได้นะ” ผมสบตาเขา อยากให้เซบาสเตียนสัมผัสได้ว่าผมหมายความตามนั้นจริงๆ “ถ้าเรื่องไร้สาระนั้นมันทำให้คุณไม่สบายใจก็บอกผมได้ ผมพร้อมรับฟัง”

จริงๆ นะ ผมคิดว่าสำหรับใครคนนึงการมีคนให้พูดคุย รับฟัง และเข้าใจเราเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

“เพราะฉันเป็นรอสซ์”

“ยังไงครับ?” ผมถามเมื่อไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร เซบาสเตียนถอนหายใจ เขาสบตาผม

“ไม่มีใครชอบคนตระกูลรอสซ์ นายน่าจะเคยได้ยิน ‘ชื่อเสีย’ ของตระกูลนี้ดี”

“ก็...เคยได้ยินบ้าง”

“ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” คราวนี้เซบาสเตียนหันหน้าหนี เขาหลุบสายตาลงต่ำ จ้องมองรีโมทโทรทัศน์ในมือเหมือนไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน “ฉันอยู่ในสังคมที่ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน ตอนแรกก็คิดว่าทุกคนดีด้วย แต่พอโตขึ้นก็รู้อะไรมากขึ้น รอยยิ้ม ความหวังดีพวกนั้นทั้งหมดคือการเสแสร้ง ทั้งที่เกลียดฉัน เกลียดนามสกุลฉันแทบตายแต่กลับทำเหมือนว่าไม่คิดอะไรเพราะคำว่า ‘อิทธิพลของตระกูลรอสซ์’ เหอะ…”

“นั่นทำให้คุณไว้ใจคนยากงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าหาฉันเพราะหวังดีหรอกนะ ถ้าไม่ทำดีด้วยเพราะหวังผลประโยชน์ก็ไม่กล้ามีปัญหาด้วยเพราะเกรงในอำนาจพ่อฉันเลยแสร้งยิ้มให้ทั้งที่ในใจเกลียดแทบตาย ตลกนะว่าไหม คนเราเกลียดกันได้ทั้งที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันก่อนด้วยซ้ำ”

เซบาสเตียนสบตาผม ดวงตาสีเขียวมรกตฉายประกายแข็งกร้าวแต่ผมกลับเห็นบางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น

ความอ่อนแอและเดียวดาย

เสือดำแห่งรอสซ์ นั่นคือคำเรียกทายาทลำดับสองของตระกูลรอสซ์ที่ผมเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้าง มาถึงตอนนี้ก็คิดว่าไม่เกินจริงสักนิด เซบาสเตียนเหมือนเสือดำ เขาสันโดษ เดียวดาย หลบซ่อนและหลีกเลี่ยงตัวเองออกจากสังคมอย่างเกือบสมบูรณ์ สื่อไม่เคยถ่ายภาพหน้าเต็มๆ เขาได้ชัดเจนเลยสักครั้ง เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ผมไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายว่าเป็นทายาทตระกูลดัง

“มันก็จริงอย่างที่คุณว่า” ผมสบตาเขา “คนเราเกลียดกันง่ายเกินไป แค่ได้ยินว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้เป็นอย่างงั้นก็พาลเกลียดตามทั้งที่ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกันสักครั้ง แต่คุณรู้ไหมเซ็บบางทีเรื่องนี้มันก็ช่วยให้เราคัดกรองคนที่จะเข้ามาในชีวิตได้นะ อย่างผมไงที่ไม่ได้เป็นแบบคนพวกนั้น ผมชอบคุณจะตาย”

“เกือบดีแล้ว ถ้านายไม่ชมตัวเองตบท้าย”

“แต่คุณก็ชอบใช่ไหมล่ะ”

“ใครว่า”

“รอยยิ้มของคุณไง” ผมว่ายิ้มๆ มองคนที่เผลอหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้วอดแซวไม่ได้ “เมื่อกี้คุณยิ้มนะเซ็บ ผมเห็น ว่าไง ใจอ่อนกับผมแล้วใช่ไหมล่ะ”

“สำคัญตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า”

“ถ้าทำให้คุณยิ้มได้ก็ถือว่าผมน่าจะสำคัญพอตัวนะ”

“หึ เจ้าแมวยักษ์เอ๊ย”

เซบาสเตียนยิ้มออกมา แม้จะไม่ได้ยิ้มกว้างแต่การที่คนหน้านิ่งขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มก็ถือว่ามากพอแล้ว ผมสบตาเขา ดวงตาสีเขียวมรกตไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป มันฉายประกายอ่อนลงและมีชีวิตชีวากว่าเดิม

“ผมไม่ใช่ซูกกี้นะ”

“นายกับเจ้าแมวนั่นเหมือนกันอย่างกับแกะ”

“ตรงไหนเนี่ย”

“ขนส้มตาฟ้า” เซบาสเตียนว่าหน้านิ่ง แต่ในดวงตาฉายประกายวาว ผมเบิกตากว้าง รีบปกป้องสิทธิความเป็นมนุษย์ของตัวเองทันที

“เดี๋ยวๆ นี่ผมคนนะครับไม่ใช่ขนแมว” ผมยื่นหน้าไปใกล้เขา “แมวที่ไหนจะหล่อขนาดนี้”

“หาเรื่องชมตัวเองเก่งดีนะเจ้าแมว”

“เฮ้ บอกว่าไม่ใช่แมว”

“โอเค แมวยักษ์” เซบาสเตียนหัวเราะหึๆ “โวยวายแบบนี้เพราะเจ้าของไม่ให้กินอาหารใช่ไหม”

“เซ็บ!”

ผมโอดครวญเมื่อโดนอีกฝ่ายแกล้ง เซบาสเตียนจ้องหน้าผม เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนฝ่ามือใหญ่จะตบเบาๆ ลงบนหัวผม

“ทำตัวดีๆ แล้วจะให้กินวิสกัส”

“พูดจาไร้สาระนะคุณน่ะ”

“ก็อย่างที่นายบอกไง”

“หืม?”

“บางทีคนเราก็ต้องการใครบางคนไว้คุยเรื่องไร้สาระด้วย”

“...”

“มีนายรับหน้าที่นี้ไว้ก็ไม่เลว”

เซบาสเตียนพูดทิ้งไว้สั้นๆ เขาสบตาผมอยู่อีกไม่กี่วินาทีก็เบนกลับไปสนใจซีรี่ย์สืบสวนบนหน้าจอทีวีตรงหน้า ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขา เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเซบาสเตียนบอกว่าแปลกที่คนเราสมัยนี้เกลียดกันได้ง่ายดาย

ผมเองก็น่าจะเป็นคนแปลกคนหนึ่ง...

...ที่เผลอตัวชอบใครบางคนได้ง่ายดายเช่นกัน


*****************************************************************************************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2018 21:36:23 โดย JackXy Wu »

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อยากอ่านต่อแร้วววววว อยากให้กำกับหัวเรื่องว่าเป็นแนวเรนเวิสด้วยค่ะ เผื่อคนอยากอ่านแนวนี้จะได้เห็น

ออฟไลน์ idoloveyou555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมถึงละมุนกันได้ขนาดนี้

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักดี.... :catrun:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:


แมวอีกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จัดการแก้ไขแล้วค่าาา

 :mew1:  :mew1:  :mew1:


อยากอ่านต่อแร้วววววว อยากให้กำกับหัวเรื่องว่าเป็นแนวเรนเวิสด้วยค่ะ เผื่อคนอยากอ่านแนวนี้จะได้เห็น

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 4

I can’t get your voice out of my head


[Sebastian]


ติ๊กๆๆ

เสียงเข็มนาฬิกาดังอยู่ข้างหู มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามสติการรับรู้เมื่อผมตื่นเต็มตา

ผมลุกจากที่นอน แพทริคยังคงหลับอยู่ ผ้าห่มสีขาวคลุมจนเกือบมิดหัวเหลือโผล่มาเพียงเส้นผมสีจินเจอร์ยุ่งเหยิง เมื่อวานผมตัดสินใจค้างที่ห้องของแพทริคเพื่อหลบนักข่าว ตอนแรกคิดว่าจะนอนที่โซฟาจะได้ไม่รบกวนเจ้าของห้อง แต่แมวยักษ์ตัวนี้ดื้อรั้นเกินไป มันเอาแต่ส่งเสียงเงี้ยวง้าวเดินวนไปมาทั่วห้องกดดันจะให้ผมนอนบนเตียงเดียวกันให้ได้

ไม่ได้อยากตามใจ

แค่ตัดรำคาญ ไม่งั้นคงไม่ได้นอน

ผมถอนใจ มองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเช้านี้มืดครื้มกว่าปกติ ผมได้คำตอบในวินาทีต่อมาที่เม็ดฝนร่วงหล่นจากท้องฟ้า

เสียงเข็มนาฬิกาเบาลง...เบาลง…

จนกระทั่งสรรพเสียงดับวูบไป ทุกอย่างถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองแสนเงียบงัน…

“อือ...เซ็บ อย่าดึงผ้าห่ม…”

...แต่ก็ไม่ซะทีเดียว

ผมชะงักมือที่เผลอออกแรงดึงผ้าห่มจากตัวแต่กลับกระทบไปถึงคนที่แชร์ผ้าห่มด้วยกัน แพทริคดึงผ้าห่มกลับ เขาขดตัวเป็นก้อนกลมสีขาว เส้นผมสีจินเจอร์เป็นสีเดียวที่โดดเด่นออกมา

สีสันหนึ่งเดียวและเสียงหนึ่งเดียวในโลกที่ซีดจางของผม

“โทษที”

“อืม…”

เขาขานรับในลำคอสั้นๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากผ้าห่ม แพทริคขี้เซา เขาชอบพื้นที่อบอุ่น อุปนิสัยแบบนี้สมแล้วที่ผมเรียกเขาว่าแมวยักษ์

ผมส่ายหัว เอี้ยวตัวจะลงจากเตียง เท้าแตะพื้นได้ไม่ทันไรชายเสื้อกลับถูกยึดไว้ ผมหันมอง พบว่าคนที่ซุกตัวในผ้าห่มตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาแล้ว ดวงตาสีฟ้าคมกริบปรือปรอย ผมคิดว่าแพทริคน่าจะยังไม่ตื่นเต็มตาแต่พยายามเบิกตาจะจ้องผมให้ได้ ใบหน้าขาวซีดตอนตื่นนอนขับเน้นให้กระสีจางบริเวณจมูกและข้างแก้มดูเข้มขึ้นมา

แพทริคคล้ายศิลปะที่มีชีวิต

บางอย่างที่ธรรมดาแต่เมื่อเป็นเขากลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

“เดี๋ยว…”

เสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ผมขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงไปใกล้แพทริคซึ่งยังไม่ตื่นดีแต่พยายามขยับริมฝีปากคุยด้วย

“พูดไม่รู้เรื่องก็นอนต่อเถอะ”

“ไม่...ผม…” เสียงพึมพำเบาๆ ในลำคอคล้ายเสียงแมวคราง ดวงตาสีฟ้ากึ่งเปิดกึ่งปิดพยายามสบตาผม “อา...อรุณ...สวัสดิ์”

“หืม?”

“ตามสัญญา…”

ผมเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้เข้าใจในทันที แต่ก็ไม่ยากเกินจะเข้าใจ


‘ผมเองก็อยากรู้...ว่าการมีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระด้วยมันดียังไง’

‘ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ มีคนบอกอรุณสวัสดิ์ทุกวันมันดีนะครับ’


ก็แค่บทสนทนาสั้นๆ เมื่อนานมาแล้ว คำพูดธรรมดาที่ผมไม่คิดว่าแพทริคจะใส่ใจหรือจดจำเลยไม่หวังจะได้รับ

ในอกรู้สึกอุ่นวาบ ผมพยักหน้ารับ ส่งเสียงตอบกลับเบาๆ ในลำคอ คำพูดง่ายๆ แต่กลับพูดออกมาอย่างเก้อเขินกว่าที่ควรจะเป็น

“อืม...อรุณสวัสดิ์”

ผมเกลียดน้ำเสียงตัวเองที่สั่นเหมือนคนไม่มั่นใจ ในขณะเดียวกันรอยยิ้มของแพทริคกลับทำให้ผมยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย สมอง และความรู้สึกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะหาคำตอบได้จริงๆ


“จะไปแล้วเหรอ”

แมวยักษ์ตื่นแล้ว ดวงตาสีฟ้ามองตรงมาที่ผม แพทริคยังคงนั่งอยู่บนเตียงกับชุดนอนยืดๆ ย้วยๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงผิดจากเวลาปกติที่เขามักจะแต่งตัวเนียบอยู่ตลอดเวลา

“ฉันก็มีงานต้องทำ” ผมเลิกคิ้วใส่เขา “นายไม่ไปทำงานหรือไง”

“ผมเข้างานเก้าโมง”

“นี่เจ็ดโมงแล้ว ไปเตรียมตัวซะ”

“คุณจะไม่เป็นไรใช่ไหม” เจ้าแมวยักษ์ถามผมในขณะยกมือลูบๆ เส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่

“อะไร?”

“พวกนักข่าวไง”

“แล้วไง”

“ผมหมายถึง…” แพทริคกลอกตา “ถ้านักข่าวยังดักรอคุณอยู่ล่ะ?”

“ฝนตกแบบนี้ ดักรอไปก็ไม่ได้อะไร”

“อา จริงด้วย”

ผมส่ายหัวให้กับคนเอ๋อที่ตื่นแล้วแต่สติยังไม่ตื่นตาม หลังตรวจเช็กเรียบร้อยว่าไม่ได้ลืมของอะไรไว้ที่ห้องแพทริคผมก็บอกลาเขาสั้นๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก แมวยักษ์ไม่ได้ส่งเสียงรั้งผมไว้ โลกทั้งใบเงียบงัน มันควรเป็นสิ่งที่ผมเคยชิน แต่ความเคยชินนั้นถูกทำลายไปแล้ว

ผมหันหลังกลับ จ้องสบกับดวงตาสีฟ้าซีดที่มองตรงมา

“นายจะไม่บอกว่า ‘แล้วเจอกัน’ หน่อยหรือไง”

ดวงตาสีฟ้าซีดเข้มขึ้นจนกระจ่างใส เสียงหัวเราะดังก้องในโลกที่เงียบงัน แพทริคพยักหน้ารับ

“ครับ แล้วเจอกันนะ”

ในที่สุด...ในใจผมก็ไม่มีอะไรค้างคาให้รู้สึกรำคาญอีกต่อไป


พื้นที่หน้าคอนโดฯ แพทริคกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไร้วี่แววนักข่าวพวกนั้น ผมกางร่มในมือที่ยืมมาจากแพทริค ก้าวเดินเลียบฟุตปาธ แมวยักษ์คงหลับต่อแล้ว ผมได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังก้องในหัว คงจะหลับสบายจริงๆ ผมหวังว่าเขาจะไม่หลับเพลินจนไปทำงานสาย

ผมค่อนข้างไม่ชอบหน้าฝน มันเฉอะแฉะและเปียกชื้น บนพื้นถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำทำให้ต้องระมัดระวังในการก้าวเดินมากกว่าปกติ ละอองฝนบางส่วนกระเซ็นโดนแขน เมื่อประสาทการได้ยินดับวูบทำให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นทำงานได้ดีกว่าเดิม ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นของอากาศ เม็ดฝน ได้กลิ่นชื้นของดินและต้นไม้

เมื่อก่อนผมรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่

‘อือ ซูกกี้อย่ากวน’

เสียงในหัวพึมพำไม่ได้ศัพท์

ผมยิ้ม

แต่เมื่อเปิดใจ ฝนตกวันนี้ก็ไม่ว้าเหว่อีกต่อไป


คอนโดฯ ผมอยู่ถัดจากคอนโดฯ ของแพทริคอยู่สองช่วงตึก ผมย้ายออกมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว ระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดมากทำให้ผมรู้สึกวางใจว่าจะไม่โดนใครก็ตามที่พยายามขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผมตามก่อกวน

แต่คงเข้มงวดไม่มากพอเท่าไหร่

ผมปิดประตูห้องด้วยท่าทีปกติ ตาจ้องมองคนที่นั่งเอนตัวบนโซฟาเหยียดเท้าพาดโต๊ะรับแขกอย่างไร้ความเกรงใจ หน้าจอโทรทัศน์ถูกเปิดเอาไว้ ภาพบนจอเคลื่อนไหวแต่ไร้เสียง ผมเดินเข้าไปใกล้ ตบมือลงบนไหล่อีกฝ่าย ไม่แรง แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เขาหันมา ดวงตาสีเขียวมรกตสบเข้ากับผม ริมฝีปากขยับพูดทักทาย

‘ไงน้องชาย’

ผมอ่านปากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แมทธิว รอสซ์ หรืออีกคำเรียกหนึ่ง

จากัวร์แห่งรอสซ์

ฉลาด ว่องไว ผู้ล่าที่เลือดเย็น

‘ไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ’ แมทธิวขยับปากพูดกับผมราวกับอาการหูดับไม่เป็นอุปสรรคระหว่างเราสักนิด ‘นับวันนายชักจะเย็นชาขึ้นทุกทีนะเซ็บ’

“หยุดพูดสักทีแมท”

‘ฉันแค่คิดถึงน้องชาย’

“มันน่ารำคาญที่ต้องมาคอยอ่านปากนาย”

ผมว่าตามตรง แมทธิวหัวเราะ ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงนั้นแต่พอเดาออกว่ามันคงเป็นเสียงหัวเราะที่น่ารำคาญน่าดู ทุกอย่างที่เป็นพี่ชายต่างแม่คนนี้น่ารำคาญสำหรับผมเสมอ พวกเราอายุห่างกันแค่ปีเดียวผมจึงไม่เคารพเขาเท่าไหร่

‘หือ เซ็บ...อะไรน่ะ ผมกรนเสียงดังเหรอ’

เสียงหนึ่งดังก้องในหัว ผมชะงัก ลืมไปว่ายังมีใครอีกคนที่ได้ยินเสียงผม

“ขอโทษที ฉันปลุกนายเหรอ”

‘อืม คุณเสียงดัง’ แพทริคว่าเสียงงัวเงีย ‘คุณคุยกับใครเซ็บ?’

“ไม่มีอะไร นอนต่อเถอะ”

‘อืม…’

“อย่านอนเพลิน เข้าใจไหม?”

‘ครับ รู้น่า’

ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินแพทริคขานรับด้วยน้ำเสียงกึ่งงอแง ก่อนรอยยิ้มจะหุบลงเมื่อเห็นสายตาของแมทธิวจ้องมองมา เขาหรี่ตาลง ผมมองสบสายตาจับผิดนั้น

‘ยอมคุยกับคนนั้นแล้วเหรอ’

ผมเงียบ ไม่ตอบรับอะไร

‘นึกว่าจะใจแข็งนานกว่านี้’ สายตาแมทธิวแพรวพราว ‘เห็นนายเปิดใจได้ก็ดี’

“...”

‘จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ’ เขาเลิกคิ้วก่อนอมยิ้มมุมปาก ‘อา...เสียงนายจะปลุกโซลเมตที่กำลังหลับอยู่ใช่ไหมถ้าฉันอ่านปากนายไม่ผิด โอเค เข้าใจแล้ว ไม่เห็นต้องทำตาดุใส่ แต่เห็นนายแคร์คนอื่นแบบนี้แล้วแปลกดี อืม...งั้นรอฝนหยุดตกค่อยคุยกัน ระหว่างนี้ฉันยึดทีวีห้องนายก่อนนะ’

ผมไม่ตอบรับอะไร แมทธิวอยากยึดอะไรก็ช่างเขาเถอะ ผมหมุนตัวหนีเดินเข้าห้องนอน คว้าเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ นึกอยากดีดนิ้วทีเดียวเหมือนธานอสแล้วแมทธิวที่นั่งกระดิกเท้าอยู่ในห้องรับแขกสลายหายไป

เสียดายที่ทำได้แค่คิด


ฝนหยุดตกในอีกเกือบสองชั่วโมงต่อมา เป็นระยะเวลาที่น่ารำคาญเมื่อในห้องคุณมีพี่ชายต่างแม่คอยเดินวนเวียนไปมา พูดจาไม่หยุดปากแม้จะรู้ดีว่าพูดไปผมก็ไม่ได้ยิน ผมนึกสงสารโซลเมตเขาขึ้นมาที่ต้องมาฟังอะไรไร้สาระแบบนี้ ภาวนาให้แถวบ้านอีกฝ่ายฝนไม่ตก จะได้ไม่ต้องปวดหูเพราะเสียงของแมทธิวถึงสองชั่วโมง

“หยุดตกสักที”

“มีอะไรก็ว่ามา” ผมถอนใจ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวเยื้องกับแมทธิว “แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง ฉันจำได้ว่านายไม่มีคีย์การ์ดห้อง”

“มีสิ” แมทธิวยักคิ้ว ดวงตาสีเขียวส่องประกาย “คีย์การ์ดของฉันก็คือ ‘รอสซ์’ ยังไงล่ะ”

นั่นสินะ แค่คำว่ารอสซ์คำเดียวก็มีอิทธิพลมากพอทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ

น่าเสียดายที่ผมเกลียดมัน

“นายมีธุระอะไรแมท”

“เข้าเรื่องเร็วไปหรือเปล่า นี่ช่วงพี่น้องไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบไง”

“ฉันไม่มีเวลามาฟังนายพล่ามทั้งวัน”

“วันนี้เข้าคลาสเหรอครับคุณอาจารย์พิเศษ”

“แมท”

“โอเคๆ” แมทธิวยกสองมือขึ้นยอมแพ้ แต่แววตาดูสนุกที่ได้แกล้งหยอกผมเล่น “ฉันแค่จะมาบอกว่าพ่ออยากให้นายกลับไป”

“ไม่กลับ”

“เฮ้ รู้ไหมว่านายออกมามันมีข่าวบ้าๆ บอๆ หลุดไปเยอะแค่ไหน ฉันกับนายทะเลาะกันมั่งล่ะ แย่งมรดกกันบ้างล่ะ ร้ายสุดคือฉันใส่ร้ายนายจนพ่อเข้าใจผิดไล่นายออกจากบ้าน”

“เหตุการณ์คุ้นๆ แต่บทตัวร้ายก็เหมาะกับนายดีนะแมท”

“ขอโทษทีที่ภาพลักษณ์ฉันมันเป็นอย่างนั้นนะ” เขากลอกตา ดูหัวเสียนิดหน่อย “ถึงแม้ความจริงฉันจะเป็นพี่ชายที่ดี คอยสอดส่องดูแลนายอยู่ลับๆ ด้วยความเป็นห่วง รู้ไหมว่าถ้าไม่ได้ฉันช่วยไว้พวกนักข่าวคงกรูกันมาดักรอนายที่คอนโดฯ นี่แล้ว แต่ให้ตายสิเซ็บ ที่ฉันปล่อยข่าวหลอกๆ ไปว่านายอยู่คอนโดฯ A ใครจะไปรู้ว่านายจะไปโผล่หัวอยู่ที่นั่นจริงๆ”

นี่สินะสาเหตุที่พวกนักข่าวพากันไปดักรอหน้าคอนโดฯ ของแพทริค

“คอนโดฯ เพื่อน”

“อา...เพื่อน”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องแมท” ผมจ้องหน้าเขา “ว่ากันตามตรงนายก็ไม่เชิงช่วยฉันหรอก ถ้าเป้าหมายนายคือต้องการให้ฉันกลับไป ถ้าจะช่วยจริงๆ นายปล่อยข่าวว่าฉันอยู่อีกฟากของมุมเมืองเลยยังได้”

“โอเคๆ นายนี่มองฉันขาดเสมอเลยนะ รู้ไหมว่าถ้านายช่วยบริหาร…”

“ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามในเครือรอสซ์”

“ฉันจำได้น่า” แมทธิวกระตุกยิ้ม “ถึงบอกว่าเสียดาย”

“ถ้าธุระของนายมีแค่นี้ก็กลับไปได้แล้วมั้งท่านประธาน” ผมเรียกประชดเขาด้วยตำแหน่งของเจ้าตัว “อย่ามาเสียเวลากับรอสซ์นอกคอกอย่างฉันเลย”

“เซ็บ ยังไงนายก็เป็นน้องชายฉัน”

“นั่นสินะ พี่ชายแสนดีที่ทำให้พ่อส่งฉันไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายปี”

“เฮ้ ความอิจฉาของเด็กๆ นายอย่าผูกใจเจ็บน่า”

“เอาเป็นว่าฉันอยู่ตรงนี้สะดวกใจกว่า” ผมยกมือห้ามแมทธิวที่ทำท่าจะพูดแทรก “ถึงไม่มีเรื่อง ‘นั้น’ ฉันก็มีความคิดจะออกมาอยู่คนเดียวอยู่ดี”

“เฮ้อ...ตอนแรกฉันว่าจะไม่บอกนายเพราะนายก็ปฏิเสธชัดเจนว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องของรอสซ์ แต่อย่าลืมเซ็บ เลือดในตัวนายคือรอสซ์ นายเป็นรอสซ์ 100% ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงก็ตาม”

“มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะแมท”

“คราวนี้อันตรายจริง” เขาสบตาผม สองมือประสานกัน โน้มตัวเข้ามาใกล้ “พ่อเหยียบหางมันเข้าเต็มๆ และทางนั้นจะเอาให้ตาย นายอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัยเซ็บ กลับไปด้วยกันเถอะ”

“นายดูถูกฉันเกินไป” ผมหัวเราะหึ สบตากับแมทธิวที่มองตอบด้วยสายตาจริงจัง “อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่คนเดียว นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพ่อส่งเจ้าพวกนั้นคอยตามฉันอยู่ห่างๆ”

“อา…”

“หรือต้องให้ฉันไปลากคอคนสวนด้านล่างขึ้นมาเค้นคอสารภาพว่าถูกส่งมาแฝงตัวคอยจับตาดูฉันให้นายฟังดีล่ะแมท?” ผมส่ายหัว “ฉันไม่กลับไป ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“เฮ้อ…”

“ฉันต่างหากที่ควรถอนใจ”

“นายดื้อดึงเกินไป” แมทธิวส่ายหัว แววตาที่มองมาดูเหนื่อยใจ “ก็ตามใจนายแล้วกัน ฉันถือว่าเตือนแล้ว หลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็หวังว่านายจะป้องกันตัวเองได้”

“นายบอกว่าไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นรอสซ์”

“...?”

“เคยมีรอสซ์คนไหนพลาดท่าง่ายๆ บ้างล่ะ จริงไหม”

แมทธิวสบตาผม ดวงตาสีเขียวฉายประกายวาว เขายิ้มมุมปาก ตบไหล่ผมหนักๆ แล้วลุกขึ้น

“ใช่ พวกเราคือรอสซ์”

“...”

“แล้วเจอกันไอ้น้องชาย”

ผมมองตามจนอีกฝ่ายเดินหายลับสายตา เสียงประตูห้องถูกปิดลง ผมถอนหายใจ เอนตัวพิงกับพนักโซฟา แม้ว่าผมจะเกลียดความเป็นรอสซ์ในตัวเอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านิสัยผมได้รับอิทธิพลจากการเป็นรอสซ์มาไม่น้อย

รอสซ์คือเสือร้าย พวกเราคือผู้ล่าและหยิ่งทะนง

ใครก็ตามที่คิดยุ่งกับเสือร้าย พวกเราจะไม่ปล่อยให้มันทำได้ง่ายๆ แน่!


*****************************************************************************************


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มาเฟียร้าย..กะนายแมวเหมียว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
สนุกติดตามนะคะ คุณเซ็บเริ่มเอ็นดูเจ้าแมวยักษ์แล้วล่ะสิ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ว๊าวชอบแนวนี้จัง  :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 5

You are my catnip



[Patrick]


“วันนี้ยิ้มบ่อยนะ มีอะไรดีๆ เหรอ”

“ดูออกเลยเหรอ”

“ปากจะฉีกไปถึงหูแล้วแพท”

ผมหัวเราะออกมาเมื่อเทเรซ่า เพื่อนที่เป็นเทรนเนอร์ด้วยกันทักขึ้นในช่วงพักเที่ยงของวัน เธอเลิกคิ้ว หรี่ตาจ้องผมด้วยสายตาจับผิดในขณะยกมือรวบเส้นผมยาวสีบรอนซ์เป็นหางม้า

“มีเรื่องดีๆ อย่างที่ว่านั่นแหละเทซ”

“บอกหน่อย”

“ผมบอกดีไหมนะ”

“แพท!”

“ครับๆ ไม่เห็นต้องตีกันเลย” ผมลูบแขนข้างที่ถูกฝ่ามือเทเรซ่าฟาด เผลออมยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องดีๆ ที่ว่า “ก็แค่...ช่วงนี้เหมือนเขาเปิดใจให้ผมเยอะขึ้น”

“อ๋อ คุณโซลเมต” เทเรซ่าพยักหน้ารับ เธอหยิบแซนวิสกัดไปคำใหญ่ ผมเห็นแล้วเผลอขมวดคิ้วนิดหน่อย กี่แคลฯ กันนะ? “เขาน่ารักไหม พามาเจอหน่อยสิ”

“น่ารักไหมงั้นเหรอ” ผมทวนคำถาม ในหัวปรากฎภาพของเซบาสเตียน ผู้ชายตัวสูงหน้าคมตาดุ พูดน้อยและติดจะขี้รำคาญ แม้ว่าภาพลักษณ์เขาจะห่างจากคำว่าน่ารักไปมาก แต่ว่า… “น่ารักมากๆ เลยล่ะ”

“ยิ้มกว้างขนาดนี้คงจะน่ารักมากจริงๆ”

“ฮ่าๆๆๆ”

“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ ทำไมหัวเราะขนาดนั้น”

ผมพยายามกลั้นขำ ปลายนิ้วยกปาดน้ำตาที่เล็ดออกมา เทเรซ่ามองผมด้วยสายตางุนงง แน่ล่ะ ถ้าเธอเจอเซบาสเตียนจริงๆ คงจะหันมาถามผมว่า ‘นี่น่ะเหรอนิยามคำว่าน่ารักของนาย’ ถึงตอนนั้นผมคงไม่อธิบายให้เธอเข้าใจหรอกว่าเซบาสเตียนน่ารักยังไง ความน่ารักของเขาเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสเองถึงจะรู้

และผมค่อนข้างไม่อยากให้คนอื่นสัมผัสความน่ารักของเขาซะด้วยสิ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ผมก็หัวเราะไปงั้นแหละ”

“ให้จริงเถอะ”

ผมยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไรและหันไปจัดการกับอาหารกลางวันต่อ ผมมองออกนอกหน้าต่างโซนแคนทีน ท้องฟ้าวันนี้ก็ยังมืดครึ้มไม่ต่างจากตอนเช้าที่ฝนตก ผมภาวนาให้มันตกอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เฉอะแฉะและอากาศเย็นไปนิดแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมอยากคุยกับเซบาสเตียนมากกว่า

จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ให้ช่องทางติดต่ออื่นกับผมเลย

น้อยใจนิดหน่อย แต่เทียบกับที่รู้แล้วว่าเขาเป็นใครมันก็ไม่ยากถ้าจะตามหาตัว

Rrrr

เสียงโทรศัพท์มือถือของเทเรซ่าดังขึ้น ผมไม่ได้สนใจนักจนกระทั่งได้ยินเสียงเธอบ่นอย่างฉุนเฉียวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง ทำไมไม่ฟังกันบ้าง เธอนี่ อย่าพูดแทรกฉันนะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงเรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องหนีไปไหนเลยนะ ฉันจะไปรับ”

“มีเรื่องอะไรเทซ?”

ผมถามเมื่อเธอวางสาย เทเรซ่าถอนใจ เธอสบตาผม

“น้องสาวฉันน่ะสิ”

“ทีน่า?”

“ใช่” เทเรซ่าพยักหน้ารับ “ยัยนั่นเพิ่งสอบใบขับขี่ผ่านเลยเห่อขอยืมรถฉันขับไปมหา’ลัย วันแรกก็ได้เรื่องเลย ไปเสยเสาหน้าตึกเข้าให้”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ผมขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ผมเคยเจอทีน่าอยู่บ่อยๆ เลยสนิทกับเธอพอสมควร “เรียกประกันแล้วใช่ไหม”

“ทีน่าจัดการเรียบร้อยแล้ว เธอไม่เป็นอะไรมาก มีแค่รอยช้ำนิดหน่อย แต่รถนี่หน้ายุบเลย เฮ้อ รถฉัน…”

“เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ไม่เป็นไรๆ” เทเรซ่าโบกมือปฏิเสธ “นายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวลูกค้าก็ว่าเอาหรอก มีเทรนต่อไม่ใช่เหรอ ถึงนายจะเป็นหลานเจ้าของฟิตเนสก็ใช่ว่าจะโดดงานได้ตามใจชอบนะ เดี๋ยวคุณมาคัสก็หักเงินเดือนเอาหรอก”

“คุณโทมัสโทรมาเลื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว” ผมยักไหล่ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ช่วงบ่ายไม่มีงานอะไรด้วย ตาลุงมาคัสไม่น่าจะว่าอะไร ผมว่างพอดีน่าเทซ เธอเองก็ไม่ได้ขับรถมาใช่ไหมล่ะ”

“ก็ใช่”

“งั้นก็อย่าปฏิเสธครับ” ผมยิ้มให้ เทเรซ่าเลยส่ายหัวใส่ แต่มุมปากอมยิ้มน้อยๆ

“เอาใจเก่งแบบนี้ มิน่าทีน่าถึงเพ้อหานายตลอด”

“ว้า รู้สึกผิดกับโซลเมตของทีน่าเลยแฮะ”

“ลดๆ มั่งก็ได้นะความใจดีของนายน่ะ” เทเรซ่าลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำผมออกจากโซนแคนทีน เธอเอี้ยวหน้าหันกลับมาสบตาผมแวบนึง “ระวังคุณโซลเมตของนายจะหึงเอา”

ผมยิ้ม ไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่เดินเคียงไปกับเทเรซ่า

เซบาสเตียนจะหึงงั้นเหรอ?

อืม...งั้นผมคงต้องใจดีกับคนอื่นอีกเยอะๆ เพราะนั่นฟังดูดีทีเดียว


ระยะทางจากฟิตเนสมาถึงมหาวิทยาลัยของทีน่าใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ยัยตัวแสบนั่งรอผมกับเทเรซ่าอยู่ใต้ตึกเรียน ทันทีที่เธอเห็นพวกเราก็พึมพำเสียงเบา

“ขอโทษ…”

“ให้ตายสิทีน่า” เทเรซ่าเสยผมด้วยความหงุดหงิด เธอยืนกอดอกเขม็งตาจ้องทีน่า

“ฉันขอโทษแล้วไงเทซ”

“ฉันเตือนเธอแล้วนะทีน่าว่าอย่าเพิ่งรีบ เธอก็ไม่ฟัง”

“โธ่ ใครจะไปรู้”

“ฉันนี่แหละที่รู้” เทเรซ่าจ้องทีน่าจนผมชักจะกลัวแทน “เธอเป็นคนใจร้อน ตัดสินใจแบบไม่คิดให้ถี่ถ้วน เฮ้อ แล้วดูสิรถฉันเยินขนาดนั้น พรุ่งนี้ฉันจะเอาอะไรขับไปทำงานฮะ?”

“เธอก็นั่งรถสาธารณะไปแบบวันนี้สิ โอ๊ย!”

“ไม่ต้องมาร้องเลย ฉันตีแค่นี้ยังเบาไป”

“เทซ! ยัยคนใจร้าย!” ทีน่าลุกขึ้นเถียง

“เออ คนใจร้ายที่ให้ยัยน้องสาวตัวดียืมรถมาชนเสาเล่นนี่แหละ!”

“พอๆ หยุดก่อนเลยทั้งคู่” ผมที่เงียบฟังมานานเข้าไปห้ามสองสาวไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้ เทเรซ่าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เธอเป็นผู้ใหญ่พอที่จะคุมอารมณ์เมื่อถูกห้าม แต่ทีน่านี่สิ เธอเพิ่งจะสิบแปด ยังอยู่ในวัยที่เลือดร้อนพอสมควร “ทีน่าใจเย็นก่อน”

“แพทก็ดูสิ เทซว่าฉัน”

“เทซว่าเพราะเป็นห่วงไง” ผมยิ้มให้ทีน่า อีกฝ่ายร้อนมาเราควรเย็นกลับ “เทซเป็นห่วงเธอไง เธอก็รู้ว่าพี่สาวเธอเป็นพวกปากร้ายใจดี เห็นบ่นเรื่องรถแบบนั้นแต่ที่จริงเทซห่วงเธอมากๆ ผมรับรองได้เลย แทบจะวิ่งจากฟิตเนสมาที่นี่เลยนะ”

“แพทพอเลย”

“เห็นไหม พอผมพูดถูกเข้าหน่อยก็เขินเลย ทีน่าดูสิ”

“แพท!”

“คิก…”

“นั่น ยิ้มแล้ว” ผมหัวเราะ วางมือบนศีรษะทีน่าแล้วจับโยกเบาๆ “เป็นพี่น้องกันคุยกันดีๆ ทีน่าก็รู้ตัวใช่ไหมว่าทำรถของเทซเสียหาย ตรงนี้ก็ต้องยอมรับนะครับ”

“อือ รู้แล้วน่าแพท”

“ดูนะแพท น้องสาวฉันเชื่อฟังนายมากกว่าฉันที่เป็นพี่สาวอีก”

“เพราะแพทใจดียังไงล่ะ แบร่”

“ยัยทีน่า!”

ผมหัวเราะ มองสองพี่น้องที่กลับมาตีกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการตีกันปกติไม่ใช่ทะเลาะอย่างเมื่อครู่ ผมไม่มีพี่น้อง แต่เห็นเทเรซ่ากับทีน่าดูสนิทกันแล้วก็นึกอิจฉานิดหน่อย อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่เหงาเวลามีกันและกัน

ระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นตาเดินตัดผ่านด้านหลังเทเรซ่าและทีน่าไป ผมหรี่ตามองจนมั่นใจก่อนหันกลับมาหาเทเรซ่า

“เดี๋ยวเธอพาทีน่ากลับไปก่อนแล้วกัน”

“หืม แล้วนายล่ะ”

“เหมือนเจอคนรู้จักน่ะ” ผมยิ้ม หยิบกุญแจรถยัดใส่มือเทเรซ่า “ขับรถผมไปก่อนเลยเทซ ไม่ต้องห่วง”

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ ตามนี้แหละ”

“โอเค”

เทเรซ่าพยักหน้ารับ พวกเธอโบกมือให้ผมก่อนพากันเดินไปยังลานจอดรถที่ผมจอดเอาไว้ ผมมองจนพวกเธอเดินไปไกลระยะหนึ่งถึงหมุนตัวไปตามทางที่เห็น ‘เขา’ ก้าวไป

ผมไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายโดดเด่นอยู่แล้วหรือเพราะสายตาผมมีแค่เขาถึงหาเจอได้ง่ายๆ อีกฝ่ายสวมเชิ้ตแขนยาวสีดำ กับกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีเดียวกัน ในมือหอบแฟ้มและกระเป๋าเอกสารดูวุ่นวาย ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ ยังไม่ทันได้ประชิดตัว อีกฝ่ายก็ชะงักฝีเท้าแล้วหมุนตัวมาประจันหน้าผมเหมือนรู้ว่ากำลังถูกตาม

ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเมื่อเห็นผมยิ้มเผล่อยู่ด้านหลัง

“สะกดรอยตามมางั้นเหรอแมวยักษ์”

“เซ็บ~”

“ไม่ต้องมางอแงใส่” เซบาสเตียนถอนใจ “ฉันเห็นนายอยู่กับผู้หญิงสองคนนั้น ใคร?”

“อ้าว เห็นผมแล้วเดินหนีไม่มาทักกันเนี่ยนะ?”

“ก็ไม่รู้จะเข้าไปทักทำไม”

“คุณจะเย็นชาเกินไปแล้วนะเซ็บ” ผมเบะปาก “อ่อนโยนกับผมหน่อยน่า”

“ใครจะใจดีเหมือนนายล่ะ ยิ้มหวานให้คนอื่นไปทั่ว”

“หืม…”

“อะไร?” เซบาสเตียนหรี่ตา ดูท่าไม่ไว้ใจ

“น้ำเสียงคุณดู…” ผมพยายามกลั้นรอยยิ้ม “เหมือนหวงผมเลย”

“เข้าข้างตัวเองเก่งดีนะ”

“คุณหวงผม”

“ไร้สาระ ฉันไม่ได้หวงนาย”

“หวงผมแน่ๆ”

“นี่เจ้าแมวยักษ์ดูปากฉันนะ” เซบาสเตียนถลึงตาจ้องผม “ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องหวงนายเข้าใจไหม”

พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังเดินหนีไปทันที แต่คนอย่างผมไม่ปล่อยให้เซบาสเตียนหนีไปไหนได้ง่ายๆ หรอก ผมสาวเท้าเดินตามไปติดๆ ปากก็พูดไม่หยุด

“มีสิเหตุผลน่ะ” ผมเอื้อมมือคว้าชายเสื้อเขาไว้ เซบาสเตียนชะงัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าดุหันมาทางผม แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ดุผมสมใจ ผมก็ชิงเอาคางไปเกยไหล่กว้างแล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้เซบาสเตียนซะก่อน “เพราะผมเป็นแมวยักษ์ของคุณไงเซ็บ”

กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเซบาสเตียนลอยเข้าจมูก ไม่หวานเกินไปเหมือนน้ำหอมผู้หญิง แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นๆ เหมือนหน้าฝน

ผมเคยได้ยินว่ากัญชาแมวมีฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้ม

เซบาสเตียนคงไม่ต่างอะไรกับกัญชาแมว สำหรับแมวยักษ์อย่างผม รู้ตัวอีกทีก็เผลอแนบแก้มกับไหล่เขาแล้วไถไปมาเบาๆ

ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องสบมานิ่ง เซบาสเตียนไม่ได้มีท่าทีเขินอายกับการเข้าประชิดตัวของผม เขาทำหน้าเหมือนเหนื่อยใจ ก่อนจะดีดนิ้วใส่จมูกผมไปทีนึง ผมส่งเสียงร้องประท้วง ดึงหน้าออกมายกมือลูบจมูกป้อยๆ

คุณกัญชาแมวใจร้าย แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นของอีกฝ่ายก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก

ล่องลอย อ้อยอิ่ง…

...ชวนให้หลงใหล

“แมวดื้อ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

“ผมดื้อเพราะอยากให้คุณสนใจ”

“ไม่ใช่แค่ฉันที่สนใจ นี่ที่สาธารณะ ไม่คิดจะสนใจสายตาคนอื่นหรือไงแพท”

“ก็…” ผมกลอกตา สุดท้ายก็จ้องสบกับอีกฝ่าย “ถ้าตอบว่าไม่คุณจะตีผมอีกไหม”

“ตี”

“อ่า งั้นสนก็ได้ครับ”

“นายนี่จริงๆ เลย”

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ผมมองแฟ้มเอกสารที่เซบาสเตียนหอบอยู่ด้วยความสนใจ

“ทำงาน”

“ทำงาน?” ผมทวนคำ เงยหน้ามองเขา สงสัยว่าใบหน้าผมจะมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน เซบาสเตียนเลยถอนใจใส่อีกครั้ง

“ฉันเป็นอาจารย์พิเศษ”

“ลุคคุณดูไม่เหมือนอาจารย์เลย”

“เลิกไร้สาระได้แล้ว นายกำลังทำให้ฉันเสียเวลา”

“เดี๋ยวสิเดี๋ยว” ผมรีบเดินตามเซบาสเตียนที่สาวเท้าเดินหนี อีกฝ่ายไม่ฟังเสียงเรียกของผมเลยสักนิด “คุณสอนเสร็จหรือยัง หลังจากนี้ว่างไหม”

“นายไม่มีการมีงานทำจริงๆ ใช่ไหมแพท ถึงได้มาว่างกวนฉันได้ตลอดเวลา”

“คุณอย่าดุผมสิ” ผมแสร้งทำหน้าหงอย เดินเคียงไปกับเขา “ผมแค่ทำตามสัญญา”

“สัญญาอะไรอีก”

“เมื่อเช้าไง”

“อะไร”

“ที่ผมบอกว่าแล้วเจอกัน” ผมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายตอนเห็นสีหน้าของเซบาสเตียนฉายแววเก้อเขินขึ้นมาแวบนึง “ผมกำลังทำตามสัญญาอยู่ไง คุณไม่อยากเจอผมเหรอ”

“...”

“อ้อ จริงสินะ แน่นอนสิว่าต้องอยากเจอ ไม่งั้นเมื่อเช้าคุณจะทักผมทำไมจริงไหม”

ใบหูเซบาสเตียนกลายเป็นสีแดงจัด เขาหันมาถลึงตาใส่ผม แฟ้มหนักๆ ถูกจับยัดใส่อ้อมแขน ผมหน้าเบ้เมื่อรู้สึกถึงความหนักของมันที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ถือตามฉันมาเจ้าแมวยักษ์”

“เซ็บ~”

“ประท้วงเหรอ”

“เปล่าครับ” ผมอมยิ้ม ยอมตกเป็นเบ๊ให้เซบาสเตียนแต่โดยดี “แค่จะบอกว่าตอนคุณเขินน่ารักดี”

“เจ้าแมวยักษ์!”

“ถ้ามีคุณเป็นเจ้าของก็ยอมนะ”

ผมว่าหน้าตาย เซบาสเตียนตวัดสายตามอง เขาถอนหายใจ วางมือลงผมหัวผมแล้วขยี้ซะแรง

“อย่าเรียกร้องให้มากนักแพท นายไม่อยากได้ฉันเป็นเจ้าของหรอก”

“หืม ทำไมล่ะ?”

เซบาสเตียนหยุดเดิน เขาหันมาเผชิญหน้ากับผม ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องตรงมาไม่ละไปไหน ผมเหมือนถูกดึงดูดให้ตกลงไปในวังวนนั้น

หลุมลึกที่ไร้ซึ่งทางออก

“ฉันเป็นพวกหวงของ”

“...”

“หวงจนนายจะรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ”

“ฟังดูผูกมัดดี” ผมยักไหล่ สบตาสู้เขาอย่างไม่ยอมแพ้ “ทำไงดี ผมชอบโดนผูกมัดซะด้วยสิ”

เซบาสเตียนไม่ตอบอะไรอีก เขาสบตาผมอยู่อีกครู่หนึ่งก็ถอนใจ หมุนตัวเดินต่อไป ผมเดินตามเขาอย่างไม่เร่งรีบ สายตามองตามแผ่นหลังกว้างนั้น มุมปากเผลอกระตุกยิ้ม

เซบาสเตียนอาจยังไม่รู้ ว่าผมเองก็เป็นพวกชอบเอาชนะ

ยิ่งเขาปฏิเสธผมยิ่งเข้าหา บางที...เสือร้ายอย่างเขา อาจสยบให้แมวยักษ์อย่างผมก็ได้ ใครจะไปรู้

หลอกล่อเหยื่อด้วยร่างแมวเหมียว เคยได้ยินกันไหมครับ :)



*****************************************************************************************



ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
 :-[ :-[ หลอกล่อด้วยร่างแมวเหมียวอะไรกันบ้่าจริงงงงง

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เค้าเริ่มจะมุ้งมิ้งกันแล้ว..วววววว น่ารัก  :katai3: :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ตายๆๆ คุณเซ็บโดนเจ้าแมวยักษ์อ้อนแบบนี้ไม่ดีต่อใจแน่เลย :hao7:
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน เนื้อเรื่องหน้าติดตามดีค่ะ หาอ่านแนวนี้ยากด้วย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แมวแพทกล้าหลอกเสือเซ็บซะงั้น เซ็บเขินแล้วน่ารักจังค่ะ ชอบเวลาคู่นี้อยู่ด้วยกันจังมันฟุ้งๆ  :o8: ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 6

You always beside me


[Sebastian]


แมวเป็นสัตว์ชอบเรียกร้องความสนใจ แพทริคเองก็ไม่ต่างกัน ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องผมไม่วางตา เป็นแววตาใสๆ ที่ผมคิดว่ามันแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ผมมองเขาแล้วเห็นภาพแมวยักษ์ตัวหนึ่งกำลังหมอบซุ่ม สายตาเหลือบมองตามผม...ซ้าย...ขวา หรือไม่ว่าผมจะขยับตัวไปทางไหนก็ตาม หางเรียวยาวสะบัดไปมาคล้ายกำลังวางแผนในใจและหาจังหวะตะครุบ

แต่ถ้าจะตะครุบผม แพทริคคงต้องพยายามหนักหน่อย

เพราะเสือไม่มีวันตกเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ

“อาจารย์คะ…”

นักศึกษาในคลาสยกมือถามคำถาม ผมหันมองเธอ สะบัดเรื่องแมวยักษ์ออกไปจากหัวแล้วอธิบายเนื้อหาในส่วนที่นักศึกษาคนนั้นไม่เข้าใจให้เธอฟังอีกครั้ง ปกติเวลาผมทำงานมักจะไม่เอาเรื่องอื่นมาคิดให้เสียสมาธิ แต่เรื่องของแพทริคกลับคอยวนเวียนอยู่ในหัวจนน่ารำคาญใจ

กว่าผมจะสลัดเขาหลุดได้ก็เกือบเข้าคลาสสอนเลท เจ้าแมวยักษ์ตัวดี เห็นผมใจอ่อนให้หน่อยก็ทำเป็นได้ใจจะเรียกร้องมากกว่าเดิม

“เจอกันอาทิตย์หน้า พวกคุณอย่าลืมงานที่ผมสั่งนะครับ”

เวลาสามชั่วโมงผ่านไป หลังให้การบ้านนักศึกษาเรียบร้อยผมก็บอกเลิกคลาส พวกเขาพากันทยอยเดินออกจากห้อง ผมพยักหน้าให้เมื่อมีคนกล่าวลา จนในห้องเหลือผมคนเดียว เอกสารประกอบการสอนถูกจับยัดใส่แฟ้ม ผมตรวจจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่ลืมอะไรถึงเดินออกมา ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาที่ตัวเองเพิ่งปล่อยกำลังจับกลุ่มซุบซิบอะไรบางอย่าง

ผมเกือบเดินผ่านแล้วถ้าไม่ใช่ว่าหางตาเหลือบเห็นเส้นผมสีจินเจอร์ที่โดดเด่นออกมาจากผนังสีขาวเข้าซะก่อน

แมวยักษ์เหมือนรู้ตัวว่าถูกจ้อง...ผมหมายถึง เขารู้ว่าถูก ‘ผม’ จ้อง คนที่เอาแต่ก้มหน้าปัดนิ้วไปมาบนไอแพดถึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้กัน

ผมได้ยินเสียงลูกศิษย์ตัวเองกรี๊ดเบาๆ

แพทริคเก็บไอแพดใส่กระเป๋าเป้ เขาเดินตรงมาที่ผม ดวงตาสีฟ้าจ้องมาอย่างล็อกเป้าหมาย ไม่วอกแวกมองอย่างอื่นข้างทางสักนิด

“คุณสอนเสร็จแล้ว”

“นายไม่มีงานมีการทำจริงๆ ใช่ไหม” ผมเลิกคิ้ว “โดนไล่ออกขึ้นมาอย่ามาโทษฉันนะ”

“คุณใส่แว่นแบบนี้แล้วเท่จัง”

แมวยักษ์ไม่สนใจที่ผมพูด แหงล่ะ สัตว์ตระกูลแมวเคยสนใจอะไรบ้างนอกจากสนใจตัวเอง ผมถอนใจ หยิบแว่นกรอบใสที่สวมอยู่ออกมาใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต ผมไม่ได้สายตาสั้นหรือมีปัญหาทางสายตา แค่รู้สึกว่าเวลาตัวเองอยู่ในบทบาทอาจารย์ การใส่แว่นทำให้ดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือขึ้นก็เท่านั้น

“อา...ถอดออกซะแล้ว”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มเจือแววเสียดายอย่างเห็นได้ชัด

“รอทำไม ฉันไม่ได้บอกให้นายรอ”

“ก็ลางานเต็มวันไปแล้ว” เขาว่าหน้าตาย “ไม่รู้จะไปไหนดีเลยคิดว่ารอคุณสอนเสร็จดีกว่า”

“คิดว่าฉันจะให้นายไปด้วย?”

“ก็...ไม่นะ”

“คิดถูก” ผมตอบสั้นๆ สาวเท้าเดินนำออกไปจากจุดนี้เมื่อเห็นว่าคนให้ความสนใจเจ้าแมวส้มนี่มากเกินไปแล้ว “กลับไปได้แล้วแมวยักษ์ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับนายทั้งวันหรอกนะ”

“งั้นแค่ไปดื่มกาแฟกันสักชั่วโมง…”

“แพท” ผมเรียกชื่อเขา ชะงักเท้าหันไปมอง อีกฝ่ายจ้องผมตาละห้อย “ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่”

“เซ็บ…”

ผมเงียบ ไม่ตอบ เร่งฝีเท้าเดินต่อ

“เซ็บ…”

“...”

“เซบาสเตียน” เป็นครั้งแรกที่แพทริคเรียกชื่อเต็มของผม ชายเสื้อถูกคว้าเอาไว้ ผมถอนใจ หันหน้ากลับไปหมายจะดุเจ้าเด็กดื้อที่พูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมองมาด้วยสายตาเว้าวอน คำดุพลันถูกกลืนลงคอ

แมวเป็นสัตว์ขี้อ้อน

และแพทริคเองก็ขี้อ้อนสุดๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น

พอรู้ตัวอีกที...

“แค่ชั่วโมงเดียวพอนะเจ้าแมวยักษ์”

“อื้ม” อีกฝ่ายขานรับ ดวงตาใสเป็นประกายวาว “เซ็บใจดีที่สุด”

ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจดี แต่ถ้าแพทริคจะคิดอย่างนั้นผมก็ขี้เกียจจะห้าม ผมเดินนำเขาไปที่ลานจอดรถ ยังไม่ทันได้ปลดล็อก แพทริคก็พูดแทรกขึ้นมา

“ผมขับให้”

“ฉันขับเอง นายนั่งเฉยๆ เถอะ”

“คุณสอนมาเหนื่อยๆ” เขาสบตาผม ริมฝีปากยกยิ้มหวาน “นั่งพักสบายๆ ดีกว่าครับ”

“ถ้าฉันไม่ให้นายก็จะตื๊อให้ได้ใช่ไหม?”

“อืม...คุณคิดว่าไงล่ะเซ็บ ลองพิสูจน์ก็ได้นะครับ”

“เอาไปเลยไป”

ผมโยนกุญแจรถใส่อกอีกฝ่าย แพทริคยกมือขึ้นรับได้พอดี ใบหน้าแมวยักษ์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อโดนผมตามใจ...ไม่สิ ผมไม่ได้ตามใจ แค่รำคาญจนไม่อยากเถียงกับคนเด็กกว่าเท่านั้น

ประตูรถถูกปิดลง เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ผมวางกระเป๋าเอกสารไว้เบาะหลัง เอนตัวพิงพนักเบาะแล้วหลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความคิดที่ตึงเครียดจากการสอน เสียงเพลงแจ๊สจากวิทยุเปิดคลอพร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวออกจากลานจอด

ไม่ต้องขับเองมันก็สบายจริงๆ นั่นแหละ

พอสบายมากไป...สติผมก็เริ่มเลือนราง

ผมไม่ใช่คนที่ไว้ใจคนอื่นได้ง่าย แต่การเผลอตัวผล็อยหลับไปโดยมีแพทริคเป็นคนขับรถให้ผมไม่แน่ใจว่าเพราะผมไว้ใจเขาหรือแค่เหนื่อยกว่าปกติเท่านั้น


“เซ็บ…”

“...”

“เซบาสเตียน”

เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู แผ่วเบาและค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจมดิ่งอยู่ก้นทะเลลึกเงียบเชียบก่อนโดนเกลียวคลื่นพัดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แสงอาทิตย์อบอุ่นลามเลียผิวกายจนรู้สึกตัวตื่นมาพบกับความเป็นจริง

ในความเป็นจริงไม่มีทะเลลึก

ไม่มีพระอาทิตย์อบอุ่น

มีเพียงดวงตาสีฟ้าซีดที่จ้องสบผมในระยะประชิดและเสียงของเขาที่อบอุ่นไม่ต่างอะไรกับพระอาทิตย์ แพทริคโน้มตัวมาหาผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าใบหน้าเขาใกล้เข้ามาจนสังเกตเห็นถึงรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจน ความชัดเจนนั้นทำให้ผมคิดได้ว่าบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์คือความสวยงามในรูปแบบหนึ่ง

ดวงตาเขาไม่ได้เท่ากันทั้งสองข้าง ตาซ้ายของแพทริคให้ความรู้สึกเฉียบคมกว่าด้านขวา ในขณะเดียวกัน ใบหน้าขาวซีดก็เต็มไปด้วยรอยกระสีจางกระจัดกระจายไม่เรียบเนียนบริเวณจมูกและสองข้างแก้ม

แพทริคไม่ได้มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ แต่แปลกที่ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นดึงดูดสายตาผมได้อย่างง่ายดาย

ผมจ้องหน้าเขา ปลายนิ้วเผลอยื่นไปสะกิดรอยกระบนจมูกอีกฝ่ายเบาๆ แพทริคเลิกคิ้ว สีหน้าประหลาดใจแต่ไม่ถอยหนี

“กระ…” ประโยคโง่ๆ ถูกโพล่งออกไปเมื่อผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร “...เข้ากับนายดีเจ้าแมวลายจุด”

แพทริคยิ้ม ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง เขาเอียงหน้าขยับไปมาให้ปลายจมูกปัดผ่านปลายนิ้วผมคล้ายจะหยอกล้อ

“แมวลายจุด” เขาทวนคำพร้อมหัวเราะ “ผมชอบคำนี้นะ :)

“ถึงแล้วเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อยที่เผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไป “ฉันเผลอหลับ?”

“ครับ แต่ไม่นานหรอก”

“รีบลงเถอะ”

“ตอนคุณนอนน่ารักดี”

“อะไรนะ” ผมชะงัก หันมาจ้องหน้าเจ้าแมวยักษ์ที่ยิ้มกริ่มจนไม่น่าไว้ใจ “นายคงไม่ได้ฉวยโอกาสตอนฉันไม่รู้ตัวทำอะไรแปลกๆ หรอกใช่ไหม”

“นั่นสิ คุณคิดว่าไงล่ะ”

“แพท…” ผมกดเสียงต่ำ ตาเขม็งจ้องแพทริค “เป็นแมวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่”

“คุณอยากให้เชื่องไหม?”

“แพท”

“แมวดื้อเชื่องได้ถ้าได้รับความรักมากพอนะครับ”

“เริ่มจับเวลาเลยแล้วกัน” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “นายเหลือเวลาอีกห้าสิบเก้านาที”

“อาจารย์โหดจังเลยครับ”

ผมใช้สายตาปรามเจ้าเด็กดื้อที่นับวันชักจะได้ใจไปใหญ่ แพทริคสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็กลับมายิ้มระรื่นได้ในนาทีต่อมา ผมส่ายหัว การรับมือเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ยากกว่าที่คาดไว้

ผมปลดล็อกเซฟตี้เบลท์กำลังจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ ทว่าเสียงจากโทรศัพท์มือถือกลับดังขัดขึ้นมาซะก่อน ผมชะงัก หยุดสิ่งที่กำลังทำเพื่อรับโทรศัพท์

‘แมทธิว’

แค่เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็เผลอขมวดคิ้ว

“ว่าไง” ผมกลอกเสียงรับสาย

“เซ็บ” น้ำเสียงของแมทธิวตึงเครียดไร้วี่แววล้อเล่น ผมยืดตัวนั่งตรงโดยอัตโนมัติ “พ่อโดนลอบยิง”

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองให้มั่นคงที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง

“โรงพยาบาล B เขตสอง อยู่ห้องฉุกเฉินกำลังผ่ากระสุน”

“ฉันจะรีบไป” ผมกดวางสาย ตั้งสติโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปหาแพทริค “ฉันไม่ว่างแล้ว นาย…”

“เดี๋ยวผมขับให้”

“แพท”

“โรงพยาบาล B เขตสองใช่ไหม” เขาทวนคำ สตาร์ทรถโดยไม่ฟังคำค้านของผมสักนิด “ผมรู้จัก ไม่ไกลเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานหรอก”

“แพทริค” ผมเรียกชื่อเต็มเขา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาวุ่นวายด้วย”

ผมไม่ได้ว่าเขา แต่หมายความตามนั้นจริงๆ

“ผมบอกแล้วไงว่าวันนี้ว่างทั้งวัน”

“...”

“เวลาผมทั้งวันนี้ยกให้คุณ” น้ำเสียงแพทริคนุ่มทุ้ม “อีกอย่าง...จะปล่อยคุณอยู่คนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงล่ะ อ่า...ขอโทษที่แอบฟังนะ แต่ในรถมันเงียบ เสียงจากในโทรศัพท์คุณก็ดัง”

“อืม ไม่เป็นไร”

ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แพทริคเองก็คงเห็นว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชวนคุยได้ เขาเลยเงียบไป ผมนั่งนิ่ง ตาจ้องตัวเลขเวลาบนนาฬิกาดิจิตอลบนหน้าคอนโซลรถ เวลาที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นทุกที

ใช่ ผมไม่ค่อยชอบพ่อ ไม่ชอบธุรกิจสีเทาของตระกูลรอสซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเกลียดพ่อจนไม่รู้สึกอะไรเมื่อรู้ว่าเขาโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ

ผมละสายตาจากนาฬิกาดิจิตอลที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประสาทเสีย เปลี่ยนเป็นมองออกนอกหน้าต่างรถแทน ท้องฟ้ามืดครื้มกว่าเดิม ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝนเม็ดหนึ่งก็ตกกระทบหน้าต่าง

เสียงต่างๆ ค่อยๆ เงียบลงจนกระทั่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเชียบ

เงียบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว

ผมเกลียดที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอขึ้นมาเฉยๆ แต่มันห้ามไม่ได้ในสถานการณ์ที่พะวงกับความปลอดภัยของพ่อ

“ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เชื่อผมนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลมหายใจผมสะดุด เหมือนหลุดออกจากห้วงความคิดและรับรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่อยู่ข้างๆ ผมหันมองเขา สายตาแพทริคมองตรงไปที่ถนนข้างหน้า มือซ้ายจับพวงมาลัยรถในขณะที่มือขวายื่นมาจับมือผมไว้ กระชับเบาๆ ให้ความอบอุ่นแทรกผ่านความเย็นชื้น

“ขับรถดีๆ” ผมดึงมือออก “ฉันไม่เป็นไร”

“ใช่ เพราะคุณเก่ง”

“เปล่า”

“...?”

“เพราะนายบอกเองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” ผมทวนประโยคนั้น หันมองออกนอกหน้าต่าง “ฉันเชื่อนาย”

ผมรู้ดีว่าการพูดออกไปแบบนั้นจะทำให้แมวยักษ์ได้ใจ แต่ในเมื่อมันเป็นความจริง ผมก็ไม่รู้จะเลี่ยงทำไม


พวกเรามาถึงโรงพยาบาลที่แมทธิวบอกในอีกยี่สิบนาทีต่อมา พี่ชายผมยืนหน้าเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉินกับบอดี้การ์ดประจำตัวอีกสองคน ผมพยักหน้าให้สองคนนั้นที่ก้มหัวแสดงความเคารพแล้วหันไปทางแมทธิว

“เรื่องมันเกิดได้ยังไง” ผมขมวดคิ้วแน่น “ใช้การ์ดชุดไหน การป้องกันหละหลวมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

‘ใจเย็น’ แมทธิวขยับปากพูดทว่าไร้เสียง ตอนนั้นเองผมถึงนึกขึ้นได้ว่าฝนยังไม่หยุดตก ‘พาใครมาด้วย?’

“เพื่อน”

ผมตอบรับสั้นๆ เปลี่ยนเรื่องโดยการคว้าข้อมือแพทริคที่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกมานั่งรอบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องฉุกเฉิน ตลอดเวลานั้นผมสัมผัสได้ถึงสายตาของแมทธิวที่จ้องมองมา

“ใครครับ?”

“พี่ชายฉัน”

“ว้าว...จากัวร์แห่งรอสซ์ตัวเป็นๆ” น้ำเสียงแพทริคดูตื่นเต้น “ก็คิดอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะ”

“ไม่เห็นจะดูดีตรงไหน”

“คุณอยู่กับเขาจนชินมากกว่า” แพทริคแย้ง “หุ่นเขาดีมากเลยนะเนี่ย สูงแต่ไม่เก้งก้าง กล้ามเนื้อสวยมาก ไหล่ก็กว้าง ถ้าไม่เป็นนักธุรกิจไปเป็นนายแบบแทนผมว่าดังแน่ๆ”

“ถ้าชอบแมทมากนักก็ไปทำความรู้จักซะสิ” ผมว่าเสียงเรียบ “หมอนั่นก็เข้ากับคนง่ายเหมือนนาย คงสนิทกันเร็ว”

“หืม”

“อะไร”

“คุณโมโหอะไรหรือเปล่า?”

“โมโหอะไร” ผมจ้องหน้าเขา “ไม่มีเรื่องไหนให้โมโหนอกจากการ์ดชุดนี้ที่ดูแลความปลอดภัยให้พ่อฉันไม่ได้”

“เซ็บ”

“หมอออกมาแล้ว”

ผมตัดบท ลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปหาคุณหมอ ด้วยอุปสรรคด้านการสื่อสารที่ยากลำบากในเวลาฝนตก ทำให้คุณหมอต้องเขียนรายงานอาการพ่อผมบนไวท์บอร์ดพกพาให้พวกเราอ่านแทน

พ่ออาการไม่สาหัสอย่างที่ผมกังวล กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ถูกผ่าออกแล้ว หลังจากนี้เขาต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะเพื่อดูอาการว่าอาการบาดเจ็บจะไม่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้ออื่นๆ

ผมมองบุรุษพยาบาลเข็นเตียงพ่อผ่านหน้าไป เขานอนหลับตานิ่งไร้สติ พ่อดูแก่ลงจากเดิมและใบหน้าดูเหนื่อยกว่าเดิม ส่วนเรื่องห้องพักแมทธิวเป็นคนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว

‘อยู่คุยกันก่อน อย่าเพิ่งกลับ’

แมทธิวขยับปากพูดกับผม เขาเหลือบตามองแพทริค มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ก่อนหันไปทางเจ้าแมวยักษ์เต็มตัวแล้วยื่นมือให้

‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ’

“เช่นกันครับคุณแมทธิว”

‘เรียกแมทเถอะครับ’ ทันทีที่แมทธิวพูดออกมาแบบนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาถูกใจแพทริคเข้าให้แล้ว พี่ชายผมเป็นคนถือตัวถึงภายนอกจะดูเข้ากับคนง่ายก็ตาม มีไม่กี่คนที่เขายอมให้เรียกชื่อเล่นตั้งแต่แรกเจอ

“ครับแมท” แพทริคหัวเราะ

“แมวยักษ์มานี่” ผมเรียกเสียงเข้ม แพทริคหันมาตามเสียง คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “อย่าไปไว้ใจแมทมากเกินไป นายตามเขาไม่ทันหรอก”

“แมทก็ดูไม่ได้…”

“แพทมานี่”

เสียงผมเข้มขึ้นกว่าเดิม แพทริคเลยหันไปยิ้มให้แมทธิวอีกทีก่อนเดินมายืนข้างผมแต่โดยดี ผมจ้องหน้าพี่ชายตัวเอง ดวงตาเขาฉายประกายวาว ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ

‘เจอกันที่ห้องพ่อ’

แมทธิวว่าก่อนเดินนำหน้าพวกเราไป ผมมองตาม ถอนใจแล้วสาวเท้าเดินตามไปติดๆ

“เซ็บ”

“อะไร”

“ข่าวที่บอกว่าคุณกับพี่ชายไม่ถูกกันนี่จริงหรือเปล่า”

“ไม่จริง…” ผมขมวดคิ้ว “แต่มีบ้างที่เหม็นหน้ากัน”

“อ่า...ผมนึกว่าเมื่อกี้ที่คุณไม่อยากให้ผมคุยกับแมทเพราะไม่ชอบแมทซะอีก”

“ชอบแมทหรือไง?”

“เขาก็ดูดีนะ เฟรนด์ลี่ดี”

“อืม...สรุปคือชอบแบบแมทมากกว่า” ผมพยายามปิดความหงุดหงิดในน้ำเสียง...ซึ่งทำได้ห่วยแตกมาก แพทริคเงียบไป ผมคิดว่าเขารู้แล้วว่าผมไม่พอใจเรื่องอะไร

แมวที่อ้อนคนอื่นไปทั่วแบบนั้น…

โอเค ผมไม่ได้หวงแพทริคใน ‘ทำนองนั้น’ ก็แค่ผมกับแมทธิวมักถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกเราเป็นทายาทตระกูลใหญ่ ถึงผมจะเกลียดตระกูลตัวเองแต่เรื่องชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งกับแพทริคที่ออกตัวว่า ‘สนใจผม’ แต่กลับชมแมทธิวไม่หยุดปาก

“เซ็บ”

“...”

“แมทเท่ดีนะ…” ยังจะชมให้ได้ยินอีกเหรอ เชื่อเขาเลย! “แต่คุณเท่กว่า หล่อกว่า ตาสวยกว่า ไหล่กว้างกว่า แถมมือยังอุ่นกว่ามากๆ ด้วย”

ไม่พูดเปล่า แพทริคยังคว้ามือผมไปจับเอาไว้ ผมหันมองเขา หรี่ตาลงจ้องเจ้าแมวยักษ์อย่างจับผิด

“คิดว่าชมแค่นี้ฉันจะใจอ่อน?”

“แล้วผมก็ชอบคุณมากกว่าแมทด้วย”

“...”

“ชอบมากๆ มากที่สุด”

“หยุดอ้อนได้แล้วแมวยักษ์”

“นี่ยังไม่ได้อ้อนเลย” แพทริคมองผมตาใส ก่อนดวงตาใสๆ นั้นจะฉายประกายเจ้าเล่ห์แวบนึงแล้วจางหายไป “คุณเคยเห็นเวลาแมวอ้อนไหม อย่างซูกกี้เวลาจะอ้อนผมมันชอบมาคลอเคลีย เอาหน้ามาถูไถ...อย่างนี้”

แพทริควางปลายคางลงบนไหล่ผมอีกครั้ง ผมชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดิน ก้มหน้ามองคนที่ซบซุกอยู่บนไหล่ ดวงตาสีฟ้าใสจ้องสบอย่างไม่กลัวเกรง ริมฝีปากยิ้มกริ่ม ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นขยุ้มหลังคอแพทริคจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหดคอตัวแข็งทื่อ

“เวลาแมวโดนจับหลังคอแบบนี้จะขยับไม่ได้ ท่าจะจริง”

“เซ็บ…” น้ำเสียงแพทริคโอดครวญ “ปล่อยครับ ตรงนั้นจั๊กจี้”

“ถ้าเล่นแผลงๆ ในที่สาธารณะอีกนายโดนฟาดแน่”

“ไม่ทำแล้วครับ”

เสียงหงอยๆ ทำให้ผมคลายมือออก แพทริครีบดีดตัวถอยห่างจากผม มือถูหลังคอตัวเอง เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา

“จะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ผมว่า

“บอกแล้วไงว่าว่างทั้งวัน”

“ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ฉันเองก็ดีขึ้นแล้ว”

“แต่ผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆ คุณอยู่ดี” แพทริคยังยืนยันคำเดิม ใช่...เขาดื้อ “คุณไม่อยากได้คนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเหรอ”

“นายจะทำให้ฉันเคยตัว”

“...?”

“นายอยู่ข้างฉันตลอดแบบนี้” ผมหันไปสบตาเขา “ถ้าวันนึงฉันขาดนายขึ้นมาไม่ได้จะทำยังไง นายจะรับผิดชอบไหวเหรอ”

“ถ้าการรับผิดชอบคือให้อยู่ข้างคุณตลอดไป”

“...”

“ผมว่าผมไหวนะ”

คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ เพียงแต่...ผมไม่คิดว่าแพทริคจะจริงจังถึงขั้นนี้ เขาเคยบอกว่าสนใจผม ในขณะที่ผมไม่ศรัทธาในเรื่องโซลเมตสักนิด คนเราไม่น่าจะชอบกันได้ง่ายๆ เพราะแค่อีกฝ่ายคือ ‘โซลเมต’ ของตัวเอง

ผมไม่รู้ว่าคำตอบเขาจะเหมือนเดิมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

รู้แค่ว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่…

...การมีแพทริคอยู่ข้างตัวก็ไม่เลวร้ายอะไร


*****************************************************************************************



ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
แบบนี้เขาเรียกว่าหึงแล้วนะคะคุณเซ็บบบบ~

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คุณเซ็บน่ารักจริงๆ ด้วยยยยยย หลงแมวยักษ์แล้วอ่ะเด้

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แมวยักษ์ขี้อ้อน อ้อนได้น่ารักและกวนเซ็บจริงๆ เซ็บเริ่มเปิดใจแล้ว ขอบคุณค่ะ :pig4: :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด