Chapter 6
You always beside me
[Sebastian]แมวเป็นสัตว์ชอบเรียกร้องความสนใจ แพทริคเองก็ไม่ต่างกัน ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องผมไม่วางตา เป็นแววตาใสๆ ที่ผมคิดว่ามันแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ผมมองเขาแล้วเห็นภาพแมวยักษ์ตัวหนึ่งกำลังหมอบซุ่ม สายตาเหลือบมองตามผม...ซ้าย...ขวา หรือไม่ว่าผมจะขยับตัวไปทางไหนก็ตาม หางเรียวยาวสะบัดไปมาคล้ายกำลังวางแผนในใจและหาจังหวะตะครุบ
แต่ถ้าจะตะครุบผม แพทริคคงต้องพยายามหนักหน่อย
เพราะเสือไม่มีวันตกเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ
“อาจารย์คะ…”
นักศึกษาในคลาสยกมือถามคำถาม ผมหันมองเธอ สะบัดเรื่องแมวยักษ์ออกไปจากหัวแล้วอธิบายเนื้อหาในส่วนที่นักศึกษาคนนั้นไม่เข้าใจให้เธอฟังอีกครั้ง ปกติเวลาผมทำงานมักจะไม่เอาเรื่องอื่นมาคิดให้เสียสมาธิ แต่เรื่องของแพทริคกลับคอยวนเวียนอยู่ในหัวจนน่ารำคาญใจ
กว่าผมจะสลัดเขาหลุดได้ก็เกือบเข้าคลาสสอนเลท เจ้าแมวยักษ์ตัวดี เห็นผมใจอ่อนให้หน่อยก็ทำเป็นได้ใจจะเรียกร้องมากกว่าเดิม
“เจอกันอาทิตย์หน้า พวกคุณอย่าลืมงานที่ผมสั่งนะครับ”
เวลาสามชั่วโมงผ่านไป หลังให้การบ้านนักศึกษาเรียบร้อยผมก็บอกเลิกคลาส พวกเขาพากันทยอยเดินออกจากห้อง ผมพยักหน้าให้เมื่อมีคนกล่าวลา จนในห้องเหลือผมคนเดียว เอกสารประกอบการสอนถูกจับยัดใส่แฟ้ม ผมตรวจจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่ลืมอะไรถึงเดินออกมา ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาที่ตัวเองเพิ่งปล่อยกำลังจับกลุ่มซุบซิบอะไรบางอย่าง
ผมเกือบเดินผ่านแล้วถ้าไม่ใช่ว่าหางตาเหลือบเห็นเส้นผมสีจินเจอร์ที่โดดเด่นออกมาจากผนังสีขาวเข้าซะก่อน
แมวยักษ์เหมือนรู้ตัวว่าถูกจ้อง...ผมหมายถึง เขารู้ว่าถูก ‘ผม’ จ้อง คนที่เอาแต่ก้มหน้าปัดนิ้วไปมาบนไอแพดถึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้กัน
ผมได้ยินเสียงลูกศิษย์ตัวเองกรี๊ดเบาๆ
แพทริคเก็บไอแพดใส่กระเป๋าเป้ เขาเดินตรงมาที่ผม ดวงตาสีฟ้าจ้องมาอย่างล็อกเป้าหมาย ไม่วอกแวกมองอย่างอื่นข้างทางสักนิด
“คุณสอนเสร็จแล้ว”
“นายไม่มีงานมีการทำจริงๆ ใช่ไหม” ผมเลิกคิ้ว “โดนไล่ออกขึ้นมาอย่ามาโทษฉันนะ”
“คุณใส่แว่นแบบนี้แล้วเท่จัง”
แมวยักษ์ไม่สนใจที่ผมพูด แหงล่ะ สัตว์ตระกูลแมวเคยสนใจอะไรบ้างนอกจากสนใจตัวเอง ผมถอนใจ หยิบแว่นกรอบใสที่สวมอยู่ออกมาใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต ผมไม่ได้สายตาสั้นหรือมีปัญหาทางสายตา แค่รู้สึกว่าเวลาตัวเองอยู่ในบทบาทอาจารย์ การใส่แว่นทำให้ดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือขึ้นก็เท่านั้น
“อา...ถอดออกซะแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเจือแววเสียดายอย่างเห็นได้ชัด
“รอทำไม ฉันไม่ได้บอกให้นายรอ”
“ก็ลางานเต็มวันไปแล้ว” เขาว่าหน้าตาย “ไม่รู้จะไปไหนดีเลยคิดว่ารอคุณสอนเสร็จดีกว่า”
“คิดว่าฉันจะให้นายไปด้วย?”
“ก็...ไม่นะ”
“คิดถูก” ผมตอบสั้นๆ สาวเท้าเดินนำออกไปจากจุดนี้เมื่อเห็นว่าคนให้ความสนใจเจ้าแมวส้มนี่มากเกินไปแล้ว “กลับไปได้แล้วแมวยักษ์ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับนายทั้งวันหรอกนะ”
“งั้นแค่ไปดื่มกาแฟกันสักชั่วโมง…”
“แพท” ผมเรียกชื่อเขา ชะงักเท้าหันไปมอง อีกฝ่ายจ้องผมตาละห้อย “ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่”
“เซ็บ…”
ผมเงียบ ไม่ตอบ เร่งฝีเท้าเดินต่อ
“เซ็บ…”
“...”
“เซบาสเตียน” เป็นครั้งแรกที่แพทริคเรียกชื่อเต็มของผม ชายเสื้อถูกคว้าเอาไว้ ผมถอนใจ หันหน้ากลับไปหมายจะดุเจ้าเด็กดื้อที่พูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมองมาด้วยสายตาเว้าวอน คำดุพลันถูกกลืนลงคอ
แมวเป็นสัตว์ขี้อ้อน
และแพทริคเองก็ขี้อ้อนสุดๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น
พอรู้ตัวอีกที...
“แค่ชั่วโมงเดียวพอนะเจ้าแมวยักษ์”
“อื้ม” อีกฝ่ายขานรับ ดวงตาใสเป็นประกายวาว “เซ็บใจดีที่สุด”
ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจดี แต่ถ้าแพทริคจะคิดอย่างนั้นผมก็ขี้เกียจจะห้าม ผมเดินนำเขาไปที่ลานจอดรถ ยังไม่ทันได้ปลดล็อก แพทริคก็พูดแทรกขึ้นมา
“ผมขับให้”
“ฉันขับเอง นายนั่งเฉยๆ เถอะ”
“คุณสอนมาเหนื่อยๆ” เขาสบตาผม ริมฝีปากยกยิ้มหวาน “นั่งพักสบายๆ ดีกว่าครับ”
“ถ้าฉันไม่ให้นายก็จะตื๊อให้ได้ใช่ไหม?”
“อืม...คุณคิดว่าไงล่ะเซ็บ ลองพิสูจน์ก็ได้นะครับ”
“เอาไปเลยไป”
ผมโยนกุญแจรถใส่อกอีกฝ่าย แพทริคยกมือขึ้นรับได้พอดี ใบหน้าแมวยักษ์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อโดนผมตามใจ...ไม่สิ ผมไม่ได้ตามใจ แค่รำคาญจนไม่อยากเถียงกับคนเด็กกว่าเท่านั้น
ประตูรถถูกปิดลง เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ผมวางกระเป๋าเอกสารไว้เบาะหลัง เอนตัวพิงพนักเบาะแล้วหลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความคิดที่ตึงเครียดจากการสอน เสียงเพลงแจ๊สจากวิทยุเปิดคลอพร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวออกจากลานจอด
ไม่ต้องขับเองมันก็สบายจริงๆ นั่นแหละ
พอสบายมากไป...สติผมก็เริ่มเลือนราง
ผมไม่ใช่คนที่ไว้ใจคนอื่นได้ง่าย แต่การเผลอตัวผล็อยหลับไปโดยมีแพทริคเป็นคนขับรถให้ผมไม่แน่ใจว่าเพราะผมไว้ใจเขาหรือแค่เหนื่อยกว่าปกติเท่านั้น
“เซ็บ…”
“...”
“เซบาสเตียน”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู แผ่วเบาและค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจมดิ่งอยู่ก้นทะเลลึกเงียบเชียบก่อนโดนเกลียวคลื่นพัดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แสงอาทิตย์อบอุ่นลามเลียผิวกายจนรู้สึกตัวตื่นมาพบกับความเป็นจริง
ในความเป็นจริงไม่มีทะเลลึก
ไม่มีพระอาทิตย์อบอุ่น
มีเพียงดวงตาสีฟ้าซีดที่จ้องสบผมในระยะประชิดและเสียงของเขาที่อบอุ่นไม่ต่างอะไรกับพระอาทิตย์ แพทริคโน้มตัวมาหาผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าใบหน้าเขาใกล้เข้ามาจนสังเกตเห็นถึงรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจน ความชัดเจนนั้นทำให้ผมคิดได้ว่าบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์คือความสวยงามในรูปแบบหนึ่ง
ดวงตาเขาไม่ได้เท่ากันทั้งสองข้าง ตาซ้ายของแพทริคให้ความรู้สึกเฉียบคมกว่าด้านขวา ในขณะเดียวกัน ใบหน้าขาวซีดก็เต็มไปด้วยรอยกระสีจางกระจัดกระจายไม่เรียบเนียนบริเวณจมูกและสองข้างแก้ม
แพทริคไม่ได้มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ แต่แปลกที่ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นดึงดูดสายตาผมได้อย่างง่ายดาย
ผมจ้องหน้าเขา ปลายนิ้วเผลอยื่นไปสะกิดรอยกระบนจมูกอีกฝ่ายเบาๆ แพทริคเลิกคิ้ว สีหน้าประหลาดใจแต่ไม่ถอยหนี
“กระ…” ประโยคโง่ๆ ถูกโพล่งออกไปเมื่อผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร “...เข้ากับนายดีเจ้าแมวลายจุด”
แพทริคยิ้ม ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง เขาเอียงหน้าขยับไปมาให้ปลายจมูกปัดผ่านปลายนิ้วผมคล้ายจะหยอกล้อ
“แมวลายจุด” เขาทวนคำพร้อมหัวเราะ “ผมชอบคำนี้นะ
”
“ถึงแล้วเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อยที่เผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไป “ฉันเผลอหลับ?”
“ครับ แต่ไม่นานหรอก”
“รีบลงเถอะ”
“ตอนคุณนอนน่ารักดี”
“อะไรนะ” ผมชะงัก หันมาจ้องหน้าเจ้าแมวยักษ์ที่ยิ้มกริ่มจนไม่น่าไว้ใจ “นายคงไม่ได้ฉวยโอกาสตอนฉันไม่รู้ตัวทำอะไรแปลกๆ หรอกใช่ไหม”
“นั่นสิ คุณคิดว่าไงล่ะ”
“แพท…” ผมกดเสียงต่ำ ตาเขม็งจ้องแพทริค “เป็นแมวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณอยากให้เชื่องไหม?”
“แพท”
“แมวดื้อเชื่องได้ถ้าได้รับความรักมากพอนะครับ”
“เริ่มจับเวลาเลยแล้วกัน” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “นายเหลือเวลาอีกห้าสิบเก้านาที”
“อาจารย์โหดจังเลยครับ”
ผมใช้สายตาปรามเจ้าเด็กดื้อที่นับวันชักจะได้ใจไปใหญ่ แพทริคสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็กลับมายิ้มระรื่นได้ในนาทีต่อมา ผมส่ายหัว การรับมือเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ยากกว่าที่คาดไว้
ผมปลดล็อกเซฟตี้เบลท์กำลังจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ ทว่าเสียงจากโทรศัพท์มือถือกลับดังขัดขึ้นมาซะก่อน ผมชะงัก หยุดสิ่งที่กำลังทำเพื่อรับโทรศัพท์
‘แมทธิว’
แค่เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็เผลอขมวดคิ้ว
“ว่าไง” ผมกลอกเสียงรับสาย
“เซ็บ” น้ำเสียงของแมทธิวตึงเครียดไร้วี่แววล้อเล่น ผมยืดตัวนั่งตรงโดยอัตโนมัติ “พ่อโดนลอบยิง”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองให้มั่นคงที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง
“โรงพยาบาล B เขตสอง อยู่ห้องฉุกเฉินกำลังผ่ากระสุน”
“ฉันจะรีบไป” ผมกดวางสาย ตั้งสติโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปหาแพทริค “ฉันไม่ว่างแล้ว นาย…”
“เดี๋ยวผมขับให้”
“แพท”
“โรงพยาบาล B เขตสองใช่ไหม” เขาทวนคำ สตาร์ทรถโดยไม่ฟังคำค้านของผมสักนิด “ผมรู้จัก ไม่ไกลเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานหรอก”
“แพทริค” ผมเรียกชื่อเต็มเขา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาวุ่นวายด้วย”
ผมไม่ได้ว่าเขา แต่หมายความตามนั้นจริงๆ
“ผมบอกแล้วไงว่าวันนี้ว่างทั้งวัน”
“...”
“เวลาผมทั้งวันนี้ยกให้คุณ” น้ำเสียงแพทริคนุ่มทุ้ม “อีกอย่าง...จะปล่อยคุณอยู่คนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงล่ะ อ่า...ขอโทษที่แอบฟังนะ แต่ในรถมันเงียบ เสียงจากในโทรศัพท์คุณก็ดัง”
“อืม ไม่เป็นไร”
ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แพทริคเองก็คงเห็นว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชวนคุยได้ เขาเลยเงียบไป ผมนั่งนิ่ง ตาจ้องตัวเลขเวลาบนนาฬิกาดิจิตอลบนหน้าคอนโซลรถ เวลาที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นทุกที
ใช่ ผมไม่ค่อยชอบพ่อ ไม่ชอบธุรกิจสีเทาของตระกูลรอสซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเกลียดพ่อจนไม่รู้สึกอะไรเมื่อรู้ว่าเขาโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ
ผมละสายตาจากนาฬิกาดิจิตอลที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประสาทเสีย เปลี่ยนเป็นมองออกนอกหน้าต่างรถแทน ท้องฟ้ามืดครื้มกว่าเดิม ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝนเม็ดหนึ่งก็ตกกระทบหน้าต่าง
เสียงต่างๆ ค่อยๆ เงียบลงจนกระทั่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเชียบ
เงียบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ผมเกลียดที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอขึ้นมาเฉยๆ แต่มันห้ามไม่ได้ในสถานการณ์ที่พะวงกับความปลอดภัยของพ่อ
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เชื่อผมนะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลมหายใจผมสะดุด เหมือนหลุดออกจากห้วงความคิดและรับรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่อยู่ข้างๆ ผมหันมองเขา สายตาแพทริคมองตรงไปที่ถนนข้างหน้า มือซ้ายจับพวงมาลัยรถในขณะที่มือขวายื่นมาจับมือผมไว้ กระชับเบาๆ ให้ความอบอุ่นแทรกผ่านความเย็นชื้น
“ขับรถดีๆ” ผมดึงมือออก “ฉันไม่เป็นไร”
“ใช่ เพราะคุณเก่ง”
“เปล่า”
“...?”
“เพราะนายบอกเองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” ผมทวนประโยคนั้น หันมองออกนอกหน้าต่าง “ฉันเชื่อนาย”
ผมรู้ดีว่าการพูดออกไปแบบนั้นจะทำให้แมวยักษ์ได้ใจ แต่ในเมื่อมันเป็นความจริง ผมก็ไม่รู้จะเลี่ยงทำไม
พวกเรามาถึงโรงพยาบาลที่แมทธิวบอกในอีกยี่สิบนาทีต่อมา พี่ชายผมยืนหน้าเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉินกับบอดี้การ์ดประจำตัวอีกสองคน ผมพยักหน้าให้สองคนนั้นที่ก้มหัวแสดงความเคารพแล้วหันไปทางแมทธิว
“เรื่องมันเกิดได้ยังไง” ผมขมวดคิ้วแน่น “ใช้การ์ดชุดไหน การป้องกันหละหลวมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”
‘ใจเย็น’ แมทธิวขยับปากพูดทว่าไร้เสียง ตอนนั้นเองผมถึงนึกขึ้นได้ว่าฝนยังไม่หยุดตก ‘พาใครมาด้วย?’
“เพื่อน”
ผมตอบรับสั้นๆ เปลี่ยนเรื่องโดยการคว้าข้อมือแพทริคที่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกมานั่งรอบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องฉุกเฉิน ตลอดเวลานั้นผมสัมผัสได้ถึงสายตาของแมทธิวที่จ้องมองมา
“ใครครับ?”
“พี่ชายฉัน”
“ว้าว...จากัวร์แห่งรอสซ์ตัวเป็นๆ” น้ำเสียงแพทริคดูตื่นเต้น “ก็คิดอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะ”
“ไม่เห็นจะดูดีตรงไหน”
“คุณอยู่กับเขาจนชินมากกว่า” แพทริคแย้ง “หุ่นเขาดีมากเลยนะเนี่ย สูงแต่ไม่เก้งก้าง กล้ามเนื้อสวยมาก ไหล่ก็กว้าง ถ้าไม่เป็นนักธุรกิจไปเป็นนายแบบแทนผมว่าดังแน่ๆ”
“ถ้าชอบแมทมากนักก็ไปทำความรู้จักซะสิ” ผมว่าเสียงเรียบ “หมอนั่นก็เข้ากับคนง่ายเหมือนนาย คงสนิทกันเร็ว”
“หืม”
“อะไร”
“คุณโมโหอะไรหรือเปล่า?”
“โมโหอะไร” ผมจ้องหน้าเขา “ไม่มีเรื่องไหนให้โมโหนอกจากการ์ดชุดนี้ที่ดูแลความปลอดภัยให้พ่อฉันไม่ได้”
“เซ็บ”
“หมอออกมาแล้ว”
ผมตัดบท ลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปหาคุณหมอ ด้วยอุปสรรคด้านการสื่อสารที่ยากลำบากในเวลาฝนตก ทำให้คุณหมอต้องเขียนรายงานอาการพ่อผมบนไวท์บอร์ดพกพาให้พวกเราอ่านแทน
พ่ออาการไม่สาหัสอย่างที่ผมกังวล กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ถูกผ่าออกแล้ว หลังจากนี้เขาต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะเพื่อดูอาการว่าอาการบาดเจ็บจะไม่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้ออื่นๆ
ผมมองบุรุษพยาบาลเข็นเตียงพ่อผ่านหน้าไป เขานอนหลับตานิ่งไร้สติ พ่อดูแก่ลงจากเดิมและใบหน้าดูเหนื่อยกว่าเดิม ส่วนเรื่องห้องพักแมทธิวเป็นคนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว
‘อยู่คุยกันก่อน อย่าเพิ่งกลับ’
แมทธิวขยับปากพูดกับผม เขาเหลือบตามองแพทริค มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ก่อนหันไปทางเจ้าแมวยักษ์เต็มตัวแล้วยื่นมือให้
‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ’
“เช่นกันครับคุณแมทธิว”
‘เรียกแมทเถอะครับ’ ทันทีที่แมทธิวพูดออกมาแบบนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาถูกใจแพทริคเข้าให้แล้ว พี่ชายผมเป็นคนถือตัวถึงภายนอกจะดูเข้ากับคนง่ายก็ตาม มีไม่กี่คนที่เขายอมให้เรียกชื่อเล่นตั้งแต่แรกเจอ
“ครับแมท” แพทริคหัวเราะ
“แมวยักษ์มานี่” ผมเรียกเสียงเข้ม แพทริคหันมาตามเสียง คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “อย่าไปไว้ใจแมทมากเกินไป นายตามเขาไม่ทันหรอก”
“แมทก็ดูไม่ได้…”
“แพทมานี่”
เสียงผมเข้มขึ้นกว่าเดิม แพทริคเลยหันไปยิ้มให้แมทธิวอีกทีก่อนเดินมายืนข้างผมแต่โดยดี ผมจ้องหน้าพี่ชายตัวเอง ดวงตาเขาฉายประกายวาว ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ
‘เจอกันที่ห้องพ่อ’
แมทธิวว่าก่อนเดินนำหน้าพวกเราไป ผมมองตาม ถอนใจแล้วสาวเท้าเดินตามไปติดๆ
“เซ็บ”
“อะไร”
“ข่าวที่บอกว่าคุณกับพี่ชายไม่ถูกกันนี่จริงหรือเปล่า”
“ไม่จริง…” ผมขมวดคิ้ว “แต่มีบ้างที่เหม็นหน้ากัน”
“อ่า...ผมนึกว่าเมื่อกี้ที่คุณไม่อยากให้ผมคุยกับแมทเพราะไม่ชอบแมทซะอีก”
“ชอบแมทหรือไง?”
“เขาก็ดูดีนะ เฟรนด์ลี่ดี”
“อืม...สรุปคือชอบแบบแมทมากกว่า” ผมพยายามปิดความหงุดหงิดในน้ำเสียง...ซึ่งทำได้ห่วยแตกมาก แพทริคเงียบไป ผมคิดว่าเขารู้แล้วว่าผมไม่พอใจเรื่องอะไร
แมวที่อ้อนคนอื่นไปทั่วแบบนั้น…
โอเค ผมไม่ได้หวงแพทริคใน ‘ทำนองนั้น’ ก็แค่ผมกับแมทธิวมักถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกเราเป็นทายาทตระกูลใหญ่ ถึงผมจะเกลียดตระกูลตัวเองแต่เรื่องชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งกับแพทริคที่ออกตัวว่า ‘สนใจผม’ แต่กลับชมแมทธิวไม่หยุดปาก
“เซ็บ”
“...”
“แมทเท่ดีนะ…” ยังจะชมให้ได้ยินอีกเหรอ เชื่อเขาเลย! “แต่คุณเท่กว่า หล่อกว่า ตาสวยกว่า ไหล่กว้างกว่า แถมมือยังอุ่นกว่ามากๆ ด้วย”
ไม่พูดเปล่า แพทริคยังคว้ามือผมไปจับเอาไว้ ผมหันมองเขา หรี่ตาลงจ้องเจ้าแมวยักษ์อย่างจับผิด
“คิดว่าชมแค่นี้ฉันจะใจอ่อน?”
“แล้วผมก็ชอบคุณมากกว่าแมทด้วย”
“...”
“ชอบมากๆ มากที่สุด”
“หยุดอ้อนได้แล้วแมวยักษ์”
“นี่ยังไม่ได้อ้อนเลย” แพทริคมองผมตาใส ก่อนดวงตาใสๆ นั้นจะฉายประกายเจ้าเล่ห์แวบนึงแล้วจางหายไป “คุณเคยเห็นเวลาแมวอ้อนไหม อย่างซูกกี้เวลาจะอ้อนผมมันชอบมาคลอเคลีย เอาหน้ามาถูไถ...อย่างนี้”
แพทริควางปลายคางลงบนไหล่ผมอีกครั้ง ผมชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดิน ก้มหน้ามองคนที่ซบซุกอยู่บนไหล่ ดวงตาสีฟ้าใสจ้องสบอย่างไม่กลัวเกรง ริมฝีปากยิ้มกริ่ม ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นขยุ้มหลังคอแพทริคจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหดคอตัวแข็งทื่อ
“เวลาแมวโดนจับหลังคอแบบนี้จะขยับไม่ได้ ท่าจะจริง”
“เซ็บ…” น้ำเสียงแพทริคโอดครวญ “ปล่อยครับ ตรงนั้นจั๊กจี้”
“ถ้าเล่นแผลงๆ ในที่สาธารณะอีกนายโดนฟาดแน่”
“ไม่ทำแล้วครับ”
เสียงหงอยๆ ทำให้ผมคลายมือออก แพทริครีบดีดตัวถอยห่างจากผม มือถูหลังคอตัวเอง เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา
“จะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ผมว่า
“บอกแล้วไงว่าว่างทั้งวัน”
“ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ฉันเองก็ดีขึ้นแล้ว”
“แต่ผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆ คุณอยู่ดี” แพทริคยังยืนยันคำเดิม ใช่...เขาดื้อ “คุณไม่อยากได้คนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเหรอ”
“นายจะทำให้ฉันเคยตัว”
“...?”
“นายอยู่ข้างฉันตลอดแบบนี้” ผมหันไปสบตาเขา “ถ้าวันนึงฉันขาดนายขึ้นมาไม่ได้จะทำยังไง นายจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
“ถ้าการรับผิดชอบคือให้อยู่ข้างคุณตลอดไป”
“...”
“ผมว่าผมไหวนะ”
คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ เพียงแต่...ผมไม่คิดว่าแพทริคจะจริงจังถึงขั้นนี้ เขาเคยบอกว่าสนใจผม ในขณะที่ผมไม่ศรัทธาในเรื่องโซลเมตสักนิด คนเราไม่น่าจะชอบกันได้ง่ายๆ เพราะแค่อีกฝ่ายคือ ‘โซลเมต’ ของตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าคำตอบเขาจะเหมือนเดิมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
รู้แค่ว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่…
...การมีแพทริคอยู่ข้างตัวก็ไม่เลวร้ายอะไร
*****************************************************************************************