THAT CRAZY GUY★★★ไอ้บ้าแฟนผม [ซีซั่น x เทม แฟนผมคนไหน] | END จบจ้า 15/08/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THAT CRAZY GUY★★★ไอ้บ้าแฟนผม [ซีซั่น x เทม แฟนผมคนไหน] | END จบจ้า 15/08/18  (อ่าน 21003 ครั้ง)

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
อ้างถึง
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************


THAT CRAZY GUY ไอ้บ้าแฟนผม

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวต่อจาก Who is he แฟนผม...คนไหน?
ดำเนินเรื่องโดย ซีซั่น x เทม และไม่จำเป็นต้องอ่าน 'แฟนผมคนไหน' มาก่อนก็อ่านรู้เรื่องนะคะ
แต่แนะนำว่าไปอ่านเรื่องนู้นก่อนแล้วจะได้อินเนอร์ของตัวละครมากกว่า (อ้าว 5555)
ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนร้า ขอบคุณค่ะ

“เมื่อผมได้รับคำสั่งให้ปกป้องเพื่อนสนิทจากไอ้วิศวะหัวเกรียนหน้าทะเล้น
แต่ใครจะคิดว่าจะต้องแลกกับสวัสดิภาพทางหัวใจของตัวเอง!”



เมื่อผมได้รับคำสั่งให้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเพื่อนสนิทจากไอ้วิศวะหัวเกรียนหน้าทะเล้น

แต่ใครจะคิดว่าผมต้องแลกความปลอดภัยของเพื่อนกับสวัสดิภาพทางหัวใจของตัวเอง!!

ใครก็ได้ ช่วยอวยพรให้ผมแคล้วคลาดปลอดภัยจากภารกิจพิชิตเพื่อนครั้งนี้ที!

ซีซั่น x เทม



BE SILENT

เรื่องนี้ที่ธัญวลัย ReadAWrite Fictionlog อัพเดตล่วงหน้าเยอะกว่านะคะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกกำลังใจล่วงหน้าค่ะ :hao5:


นิยายเรื่องอื่น ๆ ของ BE SILENT

[END] Who is he ? ❤ แฟนผม...คนไหน
[END] The Faded Memory ▲ หมอกสีจาง
[END] ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►►
[END]Route เส้นทางการเดินรัก (Only at Fictionlog)
◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣

ฝากติดตามนักเขียน
ทวิตเตอร์ @BESILENT1993
เพจ https://www.facebook.com/besilentnovel/

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2018 17:16:11 โดย be-silent »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 1 แฟนเขาแย่งได้ก็เป็นของเรา


ชายหนุ่มหลับตาพริ้มลงเพราะสภาพอากาศโดยรอบ เรียวมือขาวสะอาดยกขึ้นเสยเส้นผมดำสนิทที่กำลังปรกหน้าลงมาจนซึมซับบรรยากาศได้ไม่เต็มที่ ขณะที่ดวงตาเรียวได้รูปหมุนวนไปมาภายใต้เปลือกตาที่ยังคงปิดสนิท เสียงความพริ้วไหวรอบร่างกายทำให้เจ้าของร่างโปร่งบางต้องเงี่ยหูฟังให้ทุกสิ่งลึกเข้าไปในจิตใจ

ปริ้นนนนนน!!!

“อยากไปนอนวัดถนนรึไงน้อง! หลับตาเดินจงกรมอยู่ได้เว้ย!!”

เชี่ยยยย เหงื่อไหลเข้าตา แสบเชี่ย ๆ ร้อนฉิบหาย!

“โทษครับพี่!” ผมยกมือข้างเดียวขึ้นแนบอกก่อนจะก้มโค้งขอโทษขอโพยคนขับรถที่ดูจะหัวเสียกับการข้ามถนนด้วยฟิลลิ่งอปป้าฮารังเฮเมื่อครู่ ส่วนมืออีกข้างอปป้าก็คงต้องใช้ช่วยชีวิตตัวเองให้ปลอดภัยจากเม็ดเหงื่อที่ไหลไม่รู้สี่รู้แปดเข้าตาขวา อากาศประเทศสารขันฑ์นี่มันนรกกับคนเดินถนนจริง ๆ แล้วนี่คนยิ่งรีบ ๆ อยู่ ใช่เวลามาร้อนมั้ยล่ะโว้ย!

“อ้าว พี่เทม รีบไปไหนครับ!”

“ไปตามควาย!” ‘เทม’ คือชื่อของผม ชื่อที่ออกเสียงแบบ ‘เทมนที’ แต่กลับเขียนภาษาอังกฤษว่า Temp ราวกับสภาพอากาศ ผมสวนกลับรุ่นน้องในคณะที่เดินผ่านแบบไม่ต้องคิด จุดมุ่งหมายเดียวที่ผมสนใจคือการไปที่หน้าคณะวิทยาศาสตร์ทั้งที่ไม่ได้มีธุระกงการอะไรในวันนี้ ไม่สิ จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะภารกิจตามควายก็คงนับเป็นธุระอย่างหนึ่ง ธุระเร่งด่วนที่คนรับเงินมาแล้วจะไม่กระทำไม่ได้!

‘ไอ้อุตุป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าคณะ อย่าให้มันทำแผนเซอร์ไพร์สพี่ล่ม’

ข้อความแชทจาก ‘พี่คีณ’ แฟนของเพื่อนสนิทเมื่อราว ๆ ยี่สิบนาทีก่อนถือเป็นคำประกาศิต ผมรีบสาวเท้าและมองหาตัวต้นเรื่องไปด้วยพร้อม ๆ กัน ใครทำให้พี่คีณผู้สนับสนุนไอโฟนเครื่องล่าสุดอย่างเป็นทางการต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มันผู้นั้นจะต้องไม่ตายดี โดยเฉพาะ ‘ไอ้ซีซั่น’ ที่ทำให้พี่คีณต้องลงทุนจ้างเทมคนนี้เป็นไม้กันหมาด้วยเศษเงินมหาศาล ออ แล้วจะบอกอะไรให้ ที่ผมกำลังทำอยู่เขาไม่ได้เรียกเห็นแก่เงิน เขาเรียกว่าเป็นห่วงเพื่อนอย่าง ‘ณนน’ จนยอมแลกกับเงินต่างหาก

เอาเถอะ… ก็รู้ว่าแถไม่เนียน ก็ช่วงนี้คนมันขัดสนนี่หว่า

“ไอ้ซีซั่น!” ผมเปล่งเสียงตะโกนเรียกเด็กวิศวะช็อปสีแดงเลือดหมูที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บริเวณม้าหินอ่อน หัวเกรียนสนิทชนิดที่เรียกว่าโกนผมไล่เหาเบอร์นี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่เข้ามาจีบเพื่อนสนิทของผมหลายเดือนโดยไม่รู้สึกกระดากหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าณนนจะปฏิเสธ ไม่ว่าจะเปิดตัวแฟนแบบยิ่งใหญ่ ไม่ว่าฟ้าจะทล่มหรือแผ่นดินจะทลาย ก็ไม่อาจทำลายระดับความหนาของปูนซีเมนต์บนใบหน้าของซีซั่นไปได้ ไม่เลย!

“อ้าวเทม มาทำไรแถวนี้ครับ”

“กูต้องถามมึงม่ะ มาทำไมหน้าคณะกูไม่ทราบ” ผมพยายามกลั้นไม่ให้หายใจแรง ๆ ออกมา ทั้ง ๆ ที่อยากจะหอบแฮ่กเพราะเพลียแดดเต็มทน จะอ่อนแอต่อหน้าใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ต่อหน้ามนุษย์ที่ทำตาใสทั้งที่ใบหน้ากวนตีนคนนี้

“มาหาณนนไง”

“เชี่ยยยยยยย! เมื่อไหร่มึงจะพอวะเนี่ย” ผมเผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย และตัดสินใจก้าวถี่เข้าไปให้ใกล้ตัวซีซั่นมากกว่าเดิม ใบหน้าเปียกเหงื่อเคลื่อนเข้าใกล้หน้าของใครอีกคนที่สูงกว่าด้วยความทุลักทุเลเพราะต้องยืดตัวไม่ให้ดูเตี้ย ดวงตาสองคู่จ้องมองราวกับจะกระโจนใส่กันแล้วฆ่าให้ตายไปข้างนึง ผมโคตรหงุดหงิดที่ซีซั่นทำตัวเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง แล้วก็ทำให้ผมต้องมาลำบากลำบนเป็นไม้กันหมาทุกทีไป

“พอ... พออะไรอ่ะ”

“ก็ได้ที่ดันทุรังจีบเพื่อนกูอยู่นี่ไง เปิดไอจียังวันนี้ มึงไปแหกตาดูนะ วันนี้ไอ้นนกับพี่คีณเขาฉลองครบรอบสี่ปีกันแล้วนะเว้ย! มันไม่มีที่เหลือสำหรับมึงเลย” ผมกลัวว่าซีซันจะไม่เห็นภาพ จึงลงทุนควักโทรศัพท์ไถจอให้ได้สิ่งที่ต้องการแล้วโชว์ต่อหน้าซีซั่นทันที

“แล้วเทมเห็นยังอ่ะ เรากดไลค์และคอมเมนต์ใต้โพสต์ณนนไว้แล้วด้วย”

‘ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะอกหัก แต่ไม่เป็นไร ผมจะรอ’

“โอ้ยยยย มึงนี่มัน….”

“ขอบคุณ” คำขอบคุณตัดหน้าคำด่ามหาศาลในใจทำให้ผมเกือบจะปรี๊ดแตก ยังมีหน้ามายิ้มระรื่นอ้อนวอนขอร้องตีนใส่กูอีกนะมึง เช็คหน้ากูด้วยว่าแทบจะตีลังกาฟาดตีนเข้ากลางหน้ามึงได้อยู่แล้ว แล้วไอ้คอมเมนต์ขัดหูขัดตานั่นก็คงไม่พ้นไปขัดตีนรุ่นพี่ผู้มีพระคุณอย่างพี่คีณ ไอ้เทมขอสาบานถ้าวันนี้ไอ้เทมกำจัดไอ้หัวเกรียนอ้อนตีนนี่ออกไปจากชีวิตเพื่อนและชีวิตตัวเองไม่ได้ ไอ้เทมคนนี้จะไม่ขอมีเมียอีกเลยตลอดชีวิต!

“เอาล่ะ เรามาคุยกันดี ๆ …มึงมาที่นี่ต้องการอะไรอีก จะมากวนใจอะไรเพื่อนกู”

“เราแค่มายินดีให้กับรักที่สดใส ยินดีที่เธอได้พบเจอ” พ่อง... มาเป็นทำนองขนาดนี้ ไม่ร้องเพลงพร้อมยกมือทำท่ากำไมค์ไปเลยล่ะ

“สดใสพอยัง กลับไป ก่อนที่พี่คีณเขาจะมาไล่เตะมึง”

“ไม่ได้หรอก เราอยากคุยกับณนนซักครั้ง ก่อนที่เราจะต้องหนีไปพักใจ”

“นี่จะตัดใจแล้วใช่มั้ย”

“เปล่า… เราแค่ต้องพักใจชั่วคราว เพื่อลุกขึ้นมาสู้ใหม่ในวันข้างหน้า”

“ด้าน… ด้านมาก นี่หน้ามึงทำจากอะไรเนี่ย” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้คู่สนทนามากขึ้น และพยายามจ้องทุกอณูบนใบหน้าของซีซั่นเพื่อหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเอง ...องค์ประกอบของใบหน้านี่เสริมคอนกรีตมาจากที่ไหนกันนะ

“เลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ บวกลีลาท่วงท่าเฉพาะตัวของพ่ออีกหน่อย”

“ตลกตายชัก นี่กูด่ามึงอยู่นะ”

“ด่าแล้วไงอ่ะ ความรักมั่นคงของเรามันไม่กระทบต่อคลื่นลมง่าย ๆ หรอก”

“........” ผมปล่อยตัวเองให้อ้าปากค้างโดยไม่ตั้งใจ เมื่อมองทักษะการพรรณนาราวกับนักปราชญ์ที่ไม่สนโลกความเป็นจริงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัวหนึบ ๆ เพราะต้องพยายามสะกดความเกรี้ยวกราดของตัวเองเอาไว้ด้านในให้ได้ แม่งเอ๊ย! จะเถียงก็เถียงไม่ทัน ติดสตั๊นทีไรเป็นต้องได้เงียบทุกที

“ความรักน่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เราจะไม่มีวันเข้ามันจนกว่าเราจะได้รัก… ดูท่าเทมคงจะไม่มีแฟน ก็เลยไม่เข้าใจว่าความรักบริสุทธิ์ของเรามันมีค่ามากแค่ไหน”

ไอ้สลัดผักเอ๊ย! เออ! ไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจว่ามึงพูดอะไรเนี่ย!

ผมถึงกับต้องกัดฟันกรอดกำหมัดแน่นและคันไปทั่วทั้งบริเวณเท้า ให้ตายเถอะ ชั่วชีวิตของการเกิดมาเขาไม่เคยพบเจอใครที่พูดจาไม่รู้เรื่องมากขนาดนี้ แววตาวาววับที่อ้างว่าเชื่อมั่นในความรักของซีซั่นยิ่งทำให้ความหงุดหงิดของเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นี่ถ้าทนไม่ไหวยกขาถีบขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ

“โอ๊ยยยยย ทำไมมึงจั๊ดง่าวจังวะ เพื่อนกูมีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่เห็น ๆ ยังจะมาตามเป็นเปรตขอส่วนบุญอยู่อีก ไหน หน้าเนี่ย โบกไว้ด้วยอะไรห่ะ ด้านฉิบหาย” ผมแตะสัมผัสใบหน้าของซีซั่นตามที่สถานการณ์พาไป ผิวเนียนละเอียดมีเพียงความกร้านของไรหนวดตามประสาผู้ชาย มือเรียวจับแก้มข้างขวาของซีซั่นทิ้งเอาไว้แบบนั้น และแน่นอน ผมพร้อมจะง้างตบมันให้หน้าหันสามร้อยหกสิบองศาได้ทุกเมื่อ

“จริง ๆ แล้วเราทาครีมทุกวันเลยนะเทม... หน้าเราไม่ได้ด้านแค่แข็งแรงมากเฉย ๆ " คนตอบตอบหน้าตายเหมือนเป็นประโยคบอกเล่าแสนธรรมดา แถมยังทาบมือตัวเองลงไปบนมือของผมแล้วพูดประโยคที่ไม่ควรพูดออกมา

“.....”

“เนี่ย มือเทมยังด้านมากกว่าหน้าเราอีก” ชะตาขาดแล้วมึง!

ป๊าปปปปป!

“ไอ้ซีซั่น!!” นี่พูดจริงนะ ผมแค่ง้างไกลไปหน่อย จากที่จะแค่ตบหน้าเลยกลายเป็นการตบปาดหัวเกรียนจนปลายผมสี่มิลครึ่งบาดมือจนแสบไปหมด ...จะว่าเทมก็ไม่ได้ เพราะเทมก็เสียสละมือจนเจ็บตัวนี่นา

“นี่ตบหัวเราทำไมเนี่ย! อยากทดลองมีเรื่องใช่มั้ยห่ะ จะสู้หรอ!” ซีซั่นปัดเส้นผมอันน้อยนิดของตัวเองราวกับมันถูกสัมผัสจนเสียทรง น้ำเสียงโมโหฟังดูแข็งแรงและน่าเกรงกลัวขัดกับการเบะปากมองหน้าผมของที่เริ่มดูมุ้งมิ้งเกินทน อันที่จริงนี่อาจจะเป็นวิธีการแสดงอารมณ์โมโหที่ได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะว่ามันกำลังทำให้คนที่โกรธอยู่อย่างผมหมดความอดทน

“สู้สิวะ ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับเพื่อนกู มันไม่จบแค่มือด้าน ๆ แน่ มึงจะได้เจอตีนด้าน ๆ ของกูด้วย! ทำไม? ผู้ชายด้วยกันนี่มันมีอะไรดีกว่าจนมึงต้องหน้าด้านขนาดนี้เลยหรอ” ผมชี้นิ้วลงไปที่รองเท้าผ้าใบคู่เก่ง ก่อนจะเคลื่อนนิ้ว ๆ นิ้วเดิมจิ้มลงไปบนหน้าผากของคู่กรณี สีหน้าเอาเรื่องของผมทำให้ซีซั่นเริ่มรู้ตัวว่าการแสดงสีหน้าปัญญาอ่อนของเขาไม่อาจสยบความเคลื่อนไหวใด ๆ

“ก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรดี…” แม้ว่าซีซั่นจะพยายามอย่างหนักที่จะกระซิบกระซาบกับตัวเอง แต่มันก็ไม่สามารถรอดพ้นหูทิพย์ที่กระดิกฟังอยู่ตลอดเวลาไปได้

“เมื่อกี้ว่าไงนะ”

“ก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรดี แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะ ทำไมเราถึงจะหน้าด้านเพราะผู้ชายไม่ได้” ถึงคราวซีซั่นเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้าง เขาอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่าสาวเท้าครั้งเดียวก็เข้าประชิดตัวผมมากกว่าเดิม ผมที่ดึงหน้าตึงเมื่อครู่จึงถึงกับเหวอเมื่อซีซั่นอยู่ใกล้มากในระยะอันตราย ก็จะไม่อันตรายได้ยังได้ล่ะว้อย ไอ้เสื้อช็อปที่อยู่ห่างตัวไม่ถึงห้าเซนตอนนี้ซักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!

“ผู้หญิงเข้าหามึงวัน ๆ นึงตั้งกี่คน เชื่อกูเถอะ… คบผู้ชาย ไม่มีอะไรดีหรอก” ผมถอยออกมาสองสามก้าว สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ตัวเองเย็นลงและหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะกำจัดซีซั่นออกไป

“ทำไมนายถึงรู้ว่าคบผู้ชายมันไม่ดี เคยคบผู้ชายมาแล้วหรอ” มันก้าวเข้าไปหาผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ถอยหนีอีก ไม่ได้หรอกในเมื่อผมเป็นคนเริ่มเกมประชิดตัวก่อน เพราะฉะนั้นผมจะถอยสองครั้งติดจนเสียลุคไม่ได้

“ก...ก็ไม่เคย”

“อ้าว แล้วรู้ได้ไงว่ามันไม่ดี”

“ก็…..” ผมชั่งใจที่จะยกตัวอย่างเป็นเรื่องของณนนเพื่อนของตัวเอง แต่ก็คิดแล้วว่านั่นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก แถมจะเป็นการเปิดช่องให้ซีซั่นซะมากกว่าด้วยซ้ำ

“เห็นมั้ย นายก็ไม่รู้ เพราะงั้น การชอบผู้ชายโดยเฉพาะณนนไม่ได้มีข้อเสียอะไรให้เราถอดใจหรอก...”

“ข้อเสียมันเยอะจนกูพูดออกมาไม่ได้ต่างหาก เชื่อกูเหอะ ถ้าไม่เชื่อมึงลองไปคบผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ไอ้นนดิ เพื่อเป็นการพิสูจน์” อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องกระตุกยิ้มให้กับความคิดอันชาญฉลาดของตัวเอง คราวนี้ถ้าซีซั่นตกหลุมพลางตื้น ๆ ของผม เรื่องทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ถ้ามันไปหาเหยื่อรายใหม่จริง ๆ ร้อยทั้งร้อยก็จะลืมณนนได้แน่

“พิสูจน์หรอ…”

“ใช่ มึงต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองให้รู้ลึก ไปลองคบอื่นดูก่อน… ถ้ามันเวิร์ค ถึงตอนนั้นจะหันกลับมาหาเพื่อนกูก็ยังไม่สาย”

“...........” สีหน้าครุ่นคิดราวกับปัญหาระดับโลกทำให้ไอ้เทมอยากจะหัวเราะก๊ากออกมาซักที แววตาหนักใจนั่นแสดงออกมาชัดว่างานนี้ซีซั่นจะต้องทำตามที่เขาบอกแน่

“คิดดูดี ๆ นะเว้ย กูก็แค่ไม่อยากให้เพื่อนกูเสียใจ… แล้วถ้ามึงไม่เหมาะกับการคบผู้ชายด้วยกันจริง ๆ มึงเองก็จะเสียใจ เสียเวลา เผลอ ๆ ถึงขั้นเสียตัวไปเลยนะ” ผมพยายามปรับสีหน้าให้ดูจริงจังที่สุดในชีวิต สายตาสองคู่ที่เชื่อมถึงกันทำให้มีแต่คำว่ามิตรภาพ? ล่องลอยอยู่ในอากาศ

“งั้นถ้าเราพิสูจน์แล้วว่าคบผู้ชายมันไม่ได้มีข้อเสียอะไร เทมจะต้องไม่เข้ามาขวางทางเราอีก”

“ได้สิ… แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันแย่ มึงก็ต้องเลยยุ่งกับเพื่อนกูแบบถาวร”

“ตกลง” ซีซั่นถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะยื่นมือขวาออกมาตรงหน้า ผมมองมือซีซั่นสลับใบหน้ามุ่งมั่นของเจ้าตัวขณะที่สมองกำลังประมวลผล ...เดี๋ยวนะ แล้วถ้าไอ้คนที่มันไปจีบ ไปคบด้วยไม่มีข้อเสียอะไรเลยจะทำยังไงล่ะวะ! เชี่ย ตาขวา… มึงจะกระตุกทำไมเนี่ย

“เออ ตกลง” ผมยื่นมือออกไปจับกับมือของซีซั่นเพื่อทำพันธะสัญญา ทั้งที่ตาขวากำลังกระตุกรัวราวกับกำลังเต้นเพลง EDM เชี่ย ท่าไม่ดีแล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนไปถือขวาดีซ้ายร้ายวันนึงก็แล้วกัน

“นี่…”

“ห่ะ” ไอ้ตาเวรตะไลลลลลล! ไอ้ตาทรยศ ไอ้ตาไม่รักดี นี่มึงย้ายมากระตุกข้างซ้ายอีกทำไมวะ ข้างขวาข้างเดียวยังไม่พอรึไง

“เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

“เหี้ย!!!!!” ในจังหวะที่สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่มากหลุดออกจากปากผม ผมก็รีบดึงมือออกด้วยความไวแสง รอยยิ้มจากซีซั่นก็ยิ่งทำให้เกิดความงงงวยเลเวลสิบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่เทมได้ยินนี่มันความน่ากลัวยิ่งกว่าผีสิบสัญชาติรวมตัวกัน เมื่อกี้ลูกหูฝาดใช่มั้ย พระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย!

“ไม่เหี้ยสิ ก็เมื่อกี้นายบอกเราเองว่าให้หาใครซักคนมาพิสูจน์ ...เราเลือกเทม โอเคนะ”

“ไม่โอเค!!” ผมส่ายหน้ารัวขณะที่อีกฝ่ายยืนท้าวเองมองด้วยรอยยิ้มสุขใจ โอเคก็บ้าแล้ว ที่พูดไปทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าเทมจะขุดหลุมฝังตัวเองแบบนี้เว้ย

“ไม่โอเคได้ไงอ่ะ นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เราก็แค่พิสูจน์ไปพร้อมกันว่าการมีแฟนเป็นผู้ชายมันดีหรือไม่ดียังไง ทางเลือกนี้แหละเหมาะสมที่สุด เพราะถ้าเป็นคนอื่น กว่าเราจะหาได้ก็คงคิดถึงณนนจนขาดใจตายพอดี ถ้าทนไม่ไหวรุกหนักกว่านี้ไม่รู้ด้วยนะ ...เฮ้อ ก็อย่างว่า แฟนเขาถ้าแย่งได้ก็เป็นของเรา” ซีซั่นยกสองมือขึ้นกุมกันที่กลางอก ใบหน้าเพ้อฝันเปี่ยมไปด้วยความหวังและหัวใจรักที่บริสุทธิ์? แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้สนใจมอง และไม่ได้สนใจจะฟังสิ่งที่ซีซั่นพูดเลยด้วยซ้ำ

“...........” และที่สำคัญผมกำลังให้ความสนใจกับข้อความในโทรศัพท์ หลังจากที่มีเสียงเตือนเข้ามาสองครั้งติด

P’ Keen : ตอบตกลงไปเลยเทม

P’ Keen : ถ้าสำเร็จพี่พอจะหารองเท้า Adidas Yeezy ให้ได้นะ

เรื่องอะไรที่เทมจะต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับรองเท้าคู่ละไม่กี่หมื่นที่ฝันถึงทุกคืน เทมไม่ได้เห็นแก่เงิน เทมไม่ได้ติดแบรนด์เนม ไม่มีทางหรอก!

P’ Keen : นาฬิกา daniel wellington รุ่น Limited

P’ Keen : พี่ได้มาแต่ไม่ชอบ น่าจะเหมาะกับเทม

P’ Keen : sent you a photo

เออ! ได้! เทมจะทำเพื่อเพื่อน!

“ว่าไงเทม ตกลงเราจะเป็นแฟนกันมั้ย” ผมสบตาซีซั่นแวบหนึ่งก่อนจะเหลือบไปมองพี่คีณกับพวงลูกโป่งพะรุงพะรังในระยะไม่เกินห้าเมตรจากตรงนี้ เมื่อกี้พี่คีณแฟนคนดีของณนนคงจะได้ยินทุกอย่างหมดแล้วสินะ ด้วยข้อเสนอทั้งหมดที่ได้รับตอนนี้มันก็ทำให้เทมคนดีคนเดิมคิดได้ว่า ...อันที่จริง ถ้าคนที่จะช่วยซีซั่นพิสูจน์มันเป็นผมจริง ๆ อะไร ๆ มันอาจจะง่ายขึ้นก็ได้

P’ Keen : ทำให้มันเข็ด พี่เชื่อมือเทม

เอาวะ!! ต้องเชื่อมั่นใน Yeezy และ DW โว้ยยยยย!

“เออ!” ในที่สุดคำที่ไม่ควรพูดที่สุดก็ลั่นออกจากปากผม ประโยคตอบรับเต็มเสียงทำให้คนฟังยิ้มร้าย ๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่แย่ที่สุดก็คงจะเป็นอาการตากระตุกสลับซ้ายขวาราวกับนี่เป็นสัญญาณของภัยร้ายที่จะเปลี่ยนชีวิตปกติสุขของไอ้เทมไปตลอดกาล แม่จ๋า พ่อจ๋า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ช่วยลูกและรองเท้า Yeezy ของลูกด้วย!

“ดีครับคุณแฟน…”

“แต่กูมีเงื่อนไข” ผมยกนิ้วขึ้นชี้หน้าซีซั่นเพื่อหยุดทุกอย่างที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดเอาไว้ก่อน ไม่ว่ายังไงผมจะต้องเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในเกมนี้ เพราะฉะนั้นการวางเงื่อนไขเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“เราก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน”

“เราจะจบการพิสูจน์นี้ใน 14 วันหรือเร็วกว่า ถ้ากูพิสูจน์ให้มึงเห็นได้ว่าการมีแฟนเป็นผู้ชายมันงี่เง่าน่าเบื่อและเต็มไปด้วยข้อเสีย ...มึงจะต้องเลิกยุ่งกับณนนอย่างถาวร ในทางกลับกันถ้ากูพิสูจน์ไม่ได้ กูก็จะไม่ขวางอะไรมึงอีก” แต่เทมไม่รับปากนะครับ ว่าพี่คีณจะถืออาวุธชนิดไหนมาตัดจู๋คนที่ยุ่งกับแฟนเขาไม่เลิกนะครับนะ

“ส่วนเงื่อนไขอีกข้อ เราสองคนจะต้องสวมบทบาทเป็นแฟนกันอย่างสมบูรณ์ ...อะไรที่แฟนเขาทำกัน เราสองคนก็ต้องทำอย่างไม่มีข้อแม้”

“..........” ผมถึงกับตาเหลือกเมื่อซีซั่นเอื้อมมือมาสัมผัสที่กรอบหน้า นิ้วมือสากไล้ไปมาที่สันกรามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว และดูเหมือนว่าร่างกายของผมมันจะตอบสนองสัมผัสมากขึ้นไปอีกเมื่อซีซั่นกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เกินระยะที่จำเป็น

ปั๊กกกก!!

“โอ้ยยยยยยยยย”

“แฟนกันก็คงเตะไข่อุ๋งได้ไม่ผิดใช่มั้ยวะ” ผมสะบัดปลายเสียงหงุดหงิดใส่คนที่กำลังก้มโค้งกุมอวัยวะสำคัญส่วนล่างเอาไว้ในมือ แม่งเอ๊ย! คิดถูกหรือคิดวะที่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลายเป็นแบบนี้ แต่ช่างมันเถอะเพราะต่อจากนี้อีกแค่ 14 วัน ไอ้เทมจะจบเรื่องนี้พร้อมของเลอค่าฟรี ๆ อีกสองชิ้น และจิตใต้สำนึกของคนฉลาด ๆ อย่างผมเชื่อว่าจะรับมือกับทุกอย่างได้สบาย ๆ แต่ตอนนี้คงต้องถอยไปตั้งหลักกับเรื่องราวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวซะก่อน ...นี่นุ้งเทมไม่ได้กลัวนะ แต่วินาทีนี้ถ้าหนีได้ก็ควรหนีเว้ย!

ผมลังเลอยู่ไม่ถึงสองวินาที ก่อนจะตัดสินใจวิ่งกึ่งเดินหลบมาที่โถงใต้คณะ และภาพเหตุการณ์คู่ขนานที่ผมเห็นทันทีที่เดินเข้ามาก็อดจะทำให้เบ้ปากรัว ๆ ใส่ไม่ได้ ระหว่างที่ผมต่อสู้กับจอมโจรหน้าด้านที่จ้องจะขโมยแฟนคนอื่น สิ่งที่เห็นนี่ก็ยิ่งกว่าเอลซ่าขี่ม้าโพนี่ในทุ่งลาเวนเดอร์ พี่คีณกำลังอุ้มณนนขึ้นตัวลอยเหมือนโลกทั้งใบมีแค่เราสอง นี่ก็คงจะแผนเซอร์ไพร์สครบรอบสี่ปีที่ทำให้ต้องส่งข้อความตามผมยิก ๆ และทำให้ผมตกในที่ยืนที่แสนจะลำบาก ...สู้เขาเว้ยเทม! ทำเพื่อเพื่อน! เพื่อเพื่อนล้วน ๆ เลยเว้ย!

“อีเหี้ย…. ธาตุอากาศที่แท้จริง” ผมเดินไปยืนข้างนีลเพื่อนสนิทในแกงค์อีกคนที่ยืนมองเหตุการณ์ฟรุ้งฟริ้งอยู่ห่าง ๆ เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่มือขวาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายคลิปตามสัญชาตญาณความเสือกที่มีติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนนี้ทั้งพี่คีณและณนนคงไม่ได้สนใจสายตาใครทั้งนั้น ความรักทำให้คนตาบอดของแท้

“เสียเวลาแอ๊บปิดไว้เป็นปี ๆ ดีเว่อร์”

“นั่นดิวะ เปิดตั้งแต่แรกก็จบ”

“เออ… เชี่ย!!” นีลสะดุ้งเว่อร์วังเมื่อเห็นว่าผมมายืนอยู่ข้าง ๆ เหอะ เห็นคนหล่อทำหน้าอย่างกับเห็นผี

“ตกใจอะไรเบอร์นั้น”

“มึงมาทำอะไรเนี่ย ไม่มีสอบไม่ใช่ไง”

“กูมาจัดการอะไรนิดหน่อย” ตอนแรกก็นิด แต่ตอนนี้เทมคิดว่ามันไม่น่าจะนิดแล้วว่ะ

“อะไรวะ”

“เทม!” นั่นไง ไอ้เสียงเรียกจากบุคคลที่สามที่ผมพึ่งจะเตะไข่มาหมาด ๆ เจ้าของเสียงน่ารำคาญใจจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากผู้ชายหน้าทะเล้นกวนตีนที่มาพร้อมหัวเกรียนและช็อปวิศวะ… ออ ที่จะลืมไปไม่ได้ แม่งพกความหน้าด้านและความอันตรายมาด้วย

แม่งเอ๊ย ก็บอกว่าขอตั้งตัวก่อนไงวะ

“ซีซั่น…” นีลเอ่ยชื่อผู้มาเยือนในลำคอ ระหว่างที่ผมกลืนทุกคำพูดลงไปแล้วหลับตาลงคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำยังไงดี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ซีซั่นมันจะมาไม้ไหน แต่แล้วทุกความคิดก็จบลงเมื่อสัมผัสแปลก ๆ ที่แก้มซ้ายทำให้รอยหยักในสมองผมเหยียดเป็นเส้นตรงราวกับไม่เคยฉลาดมาก่อนในชีวิต

เชี่ย!! เชี่ยยยยยยยยย!!

วินาทีที่แล้วซีซั่นวิ่งพุ่งเข้ามา…

เข้ามา…

โว้ยยยยย…

“อ….อ…ไอ้เทม….ไอ้ซีซั่นมันห….หอมแก้มมึง…!!” อย่าย้ำ ได้โปรด กูรู้ตัวแล้วว่าน้ำลายเหนียว ๆ แสนสกปรกมาแปดเปื้อนที่แก้ม อย่าย้ำโว้ยยยยยย

ปั๊ก! ตุ๊บ!

“ไอ้เวร!!” ฝ่าเท้าอรหันต์ไวกว่าความคิดใด ๆ ทั้งนั้น ซีซั่นหน้าทิ่มลงไปกับพื้นด้วยแรงอาฆาตขึ้นหน้าของผม ผมยกแขนเพื่อนอย่างนีลเช็ดหน้าตัวเองป่อย ๆ และมองร่องรอยรองเท้าตัวเองบนกางเกงคู่กรณีอย่างแค้นใจ นี่ถ้าไม่เกรงใจคงจะถอดถุงเท้ามาเช็ดความสกปรกบนแก้มออกซะให้รู้แล้วรู้รอด ฮือออออ เสียดายครีมกันแดด เสียดายความบริสุทธิ์ของรูขุมขนที่เก็บมาทั้งชีวิต

“อย่าด่าแรงสิครับแฟน ก็แค่จุ๊บ ๆ ตามประสาแฟนกันเองง่า”

“ไอ้บ้าเอ๊ย! ใครแฟนมึง!” ปั๊ก! ผมกระทืบซ้ำลงช่วงเอวของคนที่แหวกว่ายอยู่กับพื้น ตาย! งานนี้ต้องได้มีคนตายคาตีนไอ้เทมแน่ ๆ

“คนนี้ไง… แฟนผม” สาบานได้ว่าผมกำลังหัวเสียที่สุดในชีวิต แถมสมองก็คงโล่งยิ่งกว่าถนนกรุงเทพในช่วงวันหยุด เหตุเพราะพึ่งจะสำนึกว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ หากมองตามองศานิ้วชี้ของไอ้ตัวที่นอนพะงาบอยู่กับพื้นแล้วล่ะก็ มันพุ่งตรงมายังผมอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ และสถานะ ‘แฟน’ ที่ได้รับมาตอนนี้ ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน

เอาล่ะทุกท่าน ช่วยกันอวยพรให้ผมแคล้วคลาดปลอดภัยจากภารกิจพิชิตเพื่อนครั้งนี้ที

ไอ้บ้านี่ไม่ใช่แฟนผม!




TBC


Talk
สำหรับใครที่เคยอ่านแฟนผมคนไหนมาแล้วน่าจะจับจุดตัวละครจากตอนแรกได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านไม่ต้องห่วงนะคะ ในตอนต่อ ๆ ไปจะมีการกล่าวถึงเนื้อเรื่องส่วนที่เกี่ยวข้องกันเป็นระยะอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าอ่านแฟนผมคนไหนมาก่อนจะได้อินเนอร์และเข้าใจตัวละครได้เร็วและมากกว่าจริง ๆ เพราะอย่างซีซั่นเองก็แทบจะเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องนู้นเลย

สุดท้ายนี้ขอฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย และต้องขออภัยล่วงหน้าที่เรื่องนี้คำหยาบบานแน่นอน

-ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกคำติชม ทุกวิวล่วงหน้าค่ะ

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 2 แมน ๆ คุยกัน

“ห่ะ!! มึงเป็นแฟนกับไอ้ซีซั่น!! ” เสียงของ ‘เฟย์’ เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มของผมอีกคนตะโกนขึ้นมาดังเสียยิ่งกว่าลำโพงงานวัด โชคดีแค่ไหนที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของกำหนดสอบกลางภาค เลยไม่ค่อยมีคนอยู่ที่คณะมากเท่าไหร่นัก หลังจากที่เมื่อวานผมต้องสารภาพผิดกับนีล เธอก็แทบจะเสียสติทันทีที่รู้ว่าผมตกลงปลงใจคบกับซีซั่น ถึงแม้ผมจะอธิบายเหตุผลถึงการเป็นแฟนจอมปลอมโดยละเอียด แต่ก็ดูเหมือนว่านีลที่ผันตัวเป็นสาววายหลังอกหักจากพี่คีณก็ยังคงครองสติเอาไว้ไม่อยู่ นี่ยังโชคดีที่เฟย์ดูจะมีสติสมประกอบให้ไอ้เทมคนนี้ได้ชื่นใจบ้าง

“มึงจะเสียงดังไปไหนเนี่ย มันก็แค่แผนเว้ย”

“เชี่ย โคตรเสี่ยง ฟังมึงเล่าตอนแรกคิดว่าหวยจะไปตกที่คนอื่น ดันมาตกที่มึงเนี่ยนะ”

“ตอนแรกกูก็คิดงั้นแหละ แต่กูคิดดีละ ถ้าเป็นกู กูจะทำเหี้ยใส่มันยังไงก็ได้… แล้วมันจะเข็ดหลาบการมีแฟนเป็นผู้ชายไปจนตาย” ผมกระตุกยิ้มยกคิ้วขึ้นลงราวกับได้ชนะเกมนี้เรียบร้อย แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริง ในใจผมมีอาการแบบสีหน้าเฟย์ตอนนี้ต่างหาก ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ และไม่ไว้ใจสวัสดิภาพของตัวเองซักกะนิด

“มึงก็รู้ว่าไอ้ซีซั่นมันใจบ้าหน้าด้านขนาดไหน กูกลัวว่า...”

“อย่าดูถูกกูแบบนั้นดิวะ กูต้องทำได้ คนแบบมันต้องเจอคนแบบกู” ผมกำมือขึ้นเหนือหัว แสดงสีหน้ามุ่งมั่นออกไปเต็มเปี่ยม แต่ดูเหมือนว่าเฟย์จะเอาแต่ถอนหายใจ ราวกับกำลังส่งผมไปตายคาสนามรบ

“ก็เพราะว่าคนแบบมึงนั่นแหละ ปัญญาอ่อนทั้งคู่ กูไม่อยากจะนึกภาพ” เฟย์ปัดมือของผมลงแล้วส่ายหน้าเอือมระอา เธอเดินนำผมออกไปที่หน้าคณะ ตอนนี้เราสองคนสอบตัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงพวกผมอันประกอบด้วย ณนน เฟย์ นีล และตัวผมเองก็ควรจะยกกลุ่มก้อนออกไปฉลองมิดเทอมครั้งแรกของชีวิตนักศึกษาปี 3 แต่นีลกับณนนดันสอบเสร็จไปก่อนล่วงหน้าแล้วเมื่อวาน และแน่นอนณนนก็คงไปสวีวี่วีกับพี่คีณจนได้ลูกสี่หลานแปดไปแล้ว ส่วนไอ้นีลก็ไม่พ้นนอนช็อคตาตั้งเรื่องผมอยู่ที่บ้าน ทริปฉลองจึงต้องจบไปด้วยประการฉะนี้

“นี่นอกจากมึงจะไม่ให้กำลังใจกูแล้ว ยังอุตส่าห์มีน้ำใจมาทับถมกูอีกนะ นี่กูกำลังทำเพื่อเพื่อนของพวกเรานะเว้ย”

“เหอะ… อย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงไม่ได้ทำเพราะห่วงไอ้นนอย่างที่ปากพูด สารภาพกับกูมาซะดี ๆ ว่าครั้งนี้พี่คีณติดสินบนมึงด้วยอะไร” ได้ยินแบบนี้ผมก็รีบเม้มปากเป็นเส้นตรงแทบจะทันที เฟย์ทิ้งตัวพิงกับเสาตึกแล้วมองผมอย่างรู้ทัน ระหว่างที่ผมต้องกอดเสาทั้งต้น ทิ้งหน้าผากลงชิดซีเมนต์เพราะมองเสาคงจะดีกว่ามองหน้าเฟย์ตอนนี้

“กูเปล่าาาาา” นี่ถ้ารู้ว่าไอ้เพื่อนคนนี้จะฉลาดรู้ฉลาดเสือกทุกเรื่องแบบนี้ แอบขัดขาให้มันตายไปตั้งแต่ปี 1 ซะก็ดี

“เสียงสูงเหนือระดับน้ำทะเลขนาดนี้ จะพูดดี ๆ หรือให้กูเอาไปปรึกษาไอ้นน” ผมถึงกับต้องแอบกัดฟันอย่างแค้นใจ ณนนจะรู้เรื่องที่ผมลงทุนลงแรงไปเป็นแฟนกับไอ้ซีซั่นไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งเรื่องที่ผมรับสินบนจากพี่คีณยิ่งแล้วใหญ่ ถ้ารู้มีหวังหมดลมหายใจตายกลางอากาศทั้งนายจ้างและลูกจ้าง นี่โชคดีแค่ไหนแล้วที่เมื่อวานผมไล่เตะไอ้ซีซั่นออกมาจากตรงนั้นก่อนที่ณนนมันจะหันมาเห็นเข้า

“เชี่ย… เฟย์ ไว้ชีวิตกูเถอะ”

“ว่าไง คราวนี้ได้อะไรมา”

“ก็… adidas yeezy ที่กูอยากได้ แล้วก็...”

“โอ้โห มีความสองชิ้นนะคะมึง”

“เออ นาฬิกา DW อีกเรือนนึง… ก็ของมันยั่วนี่หว่า”

“แล้วมึงแน่ใจนะว่ามันจะคุ้ม ถ้าเกิดมึงคุมซีซั่นไม่อยู่อย่างที่คิดจะทำไง แล้วนี่ถ้าไอ้นนรู้เข้างอนมึงฉิบหายแน่ มันยิ่งไม่ค่อยชอบให้มึงไปทะเลาะกับไอ้ซีซั่นอยู่ ...กูบอกเลยถ้าแผนมึงพัง มีเละ”

“พอ! พอ! พอ! หยุดสวดอวยพรกูได้แล้ว กูตัดสินใจไปแล้วนี่หว่า ถอยหลังตอนนี้กูก็หมาสิ”

“เออ เรื่องของมึงเหอะ มีไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน แล้วนี่จะเอาไงต่อ วันนี้สเตตัสเป็นแฟนกับมันแล้วนี่” ให้ตายเถอะ! เกลียดหน้าตาและน้ำเสียงเย้ยหยันคำว่าแฟนของเฟย์ซะจริง ย้ำอยู่ได้ ย้ำให้ไอ้เทมเจ็บปวดกรวยไตอยู่ได้โว้ยยยย

“ไม่รู้ เมื่อวานพอลากมันออกจากคณะได้กูก็เผ่นเลย วันนี้มันยังเงียบ กูกำลังภาวนาให้มันตกท่อน้ำตายไปซะ ...สาธุ” ผมปล่อยตัวเองออกจากการเกาะเสาแล้วหันหน้าออกไปมองฟ้ากว้าง สองมือยกขึ้นพนมและภาวนาอย่างตั้งใจ ตลอดชีวิตยี่สิบปีผมไม่เคยสาปแช่งใครอย่างตั้งใจเท่าวันนี้มาก่อน ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยฟังเสียงลูกช้าง พ่อช้าง แม่ช้างด้วย

“กูว่าคงไม่มีใครรับฟังคำภาวนามึงแล้วว่ะ หึหึ” ผมไม่ค่อยเข้าใจเสียงหัวเราะหึหึที่ออกมาจากปากเพื่อนสาวคนนี้นัก พอหันไปก็เห็นเฟย์ขยิบตาร้าย ๆ ใส่ผมอย่างสะใจ ...ไม่นะ ไอ้อาการขนลุกตากระตุกแบบนี้นี่มัน…

“มึงหมายความว่าไงเฟย์”

“ทิศเก้านาฬิกาเลยเพื่อน” ผมหันไปมองตามทิศทางที่เฟย์บอกทันที สิ่งที่สะท้อนเข้านัยน์ตามันชัดเจนชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องโลกสวยเข้าข้างตัวเองอีกต่อไป ร่างสูงโปร่งหัวไม่มีผมกำลังเดินเข้ามาพร้อมท่าทางมั่นใจในชุดกางเกงยีนส์ขาด ๆ เสื้อยืดสีขาว และเสื้อช็อปวิศวะพาดอยู่บนไหล่ขวา โดยรวมมันก็ดูดีอยู่หรอก หน้ามันก็อยู่ในระดับที่ติดเพจคิ้วท์บอย หัวเกรียนก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อที่น้อยกว่าผมถดถอยลงไปได้ แต่ใครเล่าจะเข้าใจ ใครเล่าจะรู้ว่าไอ้บ้านี่แหละไม่ควรคบค้าสมาคมอย่างยิ่ง

“จะมาทำไมวะเนี่ย”

“ถามได้ เขาก็มาหาแฟนเขาสิวะ”

“มึงต้องช่วยกู! ” ผมโดดเกาะแขนเฟย์ในทันที นี่ขนาดนอนคิดมาแล้วทั้งคืน แต่สมองผมมันดันไร้แผนรับมือขึ้นมาดื้อ ๆ ซะงั้น

“ช่วยตัวเองสิวะ”

“เอ้า! เมื่อกี้มึงพึ่งบอกว่าถ้ากูมีอะไรให้ช่วยก็บอกไง”

“กูบอกให้มึงบอกกู แต่กูไม่ได้รับปากว่าจะช่วยนี่หว่า”

“เฟยยยยยยยยยยยยย์”

“มึงควรจะต้องเรียนรู้ความผิดพลาดด้วยตัวเองซักครั้งก่อนนะคะ แล้วกูค่อยช่วยวันหลัง” รอยยิ้มบาดใจฉายชัดขึ้นหลังจากที่เฟย์อาศัยความเป็นหญิงแกร่งสะบัดมือผมออกจากแขนเธออย่างไม่ใยดี เรียวมือหญิงสาวยกขึ้นโบกช้า ๆ อย่างกับมิสยูนิเวิร์สลาไปประกวดที่เวเนซุเอลา

“มึงจะไปไหน”

“กลับสิคะ จะยืนอยู่เป็นก้างขวางคอทำไมอ่ะ โชคดีนะ… เทมเพื่อนรัก” ดูเหมือนว่าผมจะพลาดไปซะทุกอย่าง เฟย์ถึงได้ทอดทิ้งเพื่อนหน้าตาน่าสงสารน่าเอ็นดูอย่างผมไว้ตรงนี้เพียงลำพัง สายลมพัดใบไม้พลิ้วไหวกวาดฝุ่นขึ้นมาฟุ้งรอบกายยังไม่ทำให้ผมเจ็บระเคืองใจได้เท่าคำว่าเพื่อนรักจากเฟย์ที่เดินจากไปควบมอไซค์วินแล้วไม่หันกลับมา





ไอ้เฟย์โว้ย!!





ผมสบถอยู่ในใจได้ไม่นานไอ้ตัวปัญหาก็เดินเข้ามาถึงตัว คนตัวสูงกว่า (นิดนึง) หยุดยืนตรงหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมอดจะเหลือบตามองบนใส่ไม่ได้ ไม่รู้ตั้งแต่กี่ครั้งที่ผมเห็นมันพุ่งเข้าใส่ณนนด้วยรอยยิ้มแบบนี้ หน้าแบบนี้ และท่าทางขี้เก๊กไม่เกรงใจสารร่างแบบนี้ เอาจริง ๆ นะ ไอ้ที่ว่ามันหล่อน่ะผมไม่เถียง แต่ควรมีใครซักคนบอกมันว่าถ้าเลิกยิ้มแป้นแล้นเหมือนหมาคอร์กี้สติเสียมันจะดูหล่อขึ้นเป็นกอง





เชี่ย! นี่ผมมัวมาชื่นชมหนังหน้ามันอยู่ทำไมกันเนี่ย





“ไง มาทำไม” เป็นผมที่เอ่ยเสียงทักทายออกไปก่อน

“มาหาแฟนไม่ได้หรอครับ” ซีซั่นตอบหน้าตายก่อนจะยักคิ้วใส่ผมสองสามครั้ง ผมกลอกตามองไปรอบตัวแล้วก็ตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้น เอาเถอะถึงยังไงผมก็หนีไอ้ตัวที่เดินตามตอนนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ทำได้มากที่สุดก็คงแค่ถ่วงเวลาให้คิดแผนเด็ด ๆ ได้เท่านั้น

“ครับพ่อง” ผมสะบัดเสียงใส่ซีซั่นก่อนจะหยุดยืนเซ็ง ๆ ริมฟุตบาท ทำไมโชคชะตาช่างใจร้ายในวันที่ไอ้เทมไม่ได้ขับรถมา ลุงวินหน้าสี่แยกคันสุดท้ายก็ถูกไอ้เฟย์คว้าเอาไปแล้ว ทางเลือกสุดท้ายก็คงต้องรอรถไฟฟ้าของมหาลัยที่ความเร็วเท่าเทพเจ้าเต่าขี่สกู้ตเตอร์

“เป็นแฟนกันวันแรกก็หยาบคายใส่กันแล้วหรอ ไม่อ่อนโยนเลยอ่ะ” ซีซั่นตีเนียนท้าวแขนข้างนึงที่ไหล่ซ้ายผม เจ้าตัวปล่อยสายตามองไปข้างหน้า ระหว่างที่จังหวะพ้อยเท้าและองค์ประกอบที่เป็นเสื้อช็อปกำลังทำให้ผมเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉาก

“นี่…” ทีแรกผมตั้งใจจะเถียงออกไปเต็มสูบ แต่ความคิดดี ๆ มันก็แล่นเข้ามาในหัวทันที ภารกิจของผมคือทำให้มันเข็ดหลาบกับการมีแฟนเป็นผู้ชายนี่นา เพราะฉะนั้นถ้าผมทำอะไรที่มันไม่ชอบก็เท่ากับว่า...

“นี่… นี่อะไรอ่า”

“นี่แหละข้อเสียแรกของการมีแฟนเป็นผู้ชายที่มึงควรรู้ ...ผู้ชายไม่อ่อนหวาน ไม่พูดเพราะ”

“งั้นหรอ” ซีซั่นทำท่าคิดตาม พยักหน้างึกงักเหมือนจะเข้าใจ

“แล้วข้อสองที่ควรรู้ตอนนี้คือมึงต้องเอาแขนออกไป ไม่ต้องมาสัมผัสตัวกูถ้าไม่จำเป็น”

“นิดเดียวก็ไม่ได้หรอ”

“ไม่”

“ก็ได้”

“เข้าใจง่าย ๆ ก็ดี” ผมเกือบจะร้องไชโยออกมาเมื่อซีซั่นยกแขนตัวเองออกไปพร้อมสีหน้าหมาหงอย ถ้ามันง่ายแบบนี้ไปตลอด 14 วันก็ดีสินะ เพราะว่าผมคงจะชนะใส ๆ โดยไม่ต้องออกแรงสมองอะไรมากมาย

“แต่เราชอบนะ แมน ๆ คุยกัน ...ถือว่าสองข้อที่เทมว่ามามันคือข้อดี” โอเค… ถ้าใครสะดวกช่วยเดินเอาน้ำแข็งมาถูหลังให้ผมใจเย็นลงที ปั๊ดโธ่เว้ยยย ยังจะมีหน้ามายิ้มภูมิใจอยู่อีก

“..............”

“เงียบทำไมอ่ะ”

“ไม่ให้เงียบจะให้ด่าพ่อมึงอีกหรอ”

“แล้วกัดฟันทำไมอ่ะ”

“หรือจะให้กัดหน้ามึง”

“โอ๊ะ! ข้อดีที่สาม… ซาดิส”

“..............” ใครก็ได้ช่วยเทมด้วย ไอ้อาการเดดแอร์คันปากแต่ด่าไม่ออกสองครั้งติดนี่มันสัญญาณจากนรกชัด ๆ ตั้งสติเว้ยเทม! มึงต้องสู้ มึงต้องงัดความเป็นตัวเองออกมาสู้กับความทนทานของคนตรงหน้าให้ได้

“เงียบอีกละ ไม่สนุกเลย เถียงหน่อยดิ เพราะการที่เทมเถียง ๆ ใส่เนี่ย เป็นข้อดีข้อที่สี่”

“มันดียังไงวะ มันมีแฟนคู่ไหนเขาคบกันแล้วยืนด่าแบบมึงกะกูตอนนี้มั่งม่ะ ไม่มีหรอก”

“ความชอบส่วนตัว” ซีซั่นลอยหน้าลอยตาพูดก่อนจะกางแขนใส่เสื้อช็อปตัวเองที่ถือมาตั้งแต่แรก ผมมองทุกอย่างแล้วก็สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติและรวบรวมความคิดอีกครั้ง หรือบางทีผมอาจจะต้องตามน้ำไปก่อนในช่วงสองถึงสามวันแรก ตามสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง คิดการใหญ่ต้องใช้เรือดำน้ำ!

“ชอบก็ดี… 14 วันนี้จะได้ใช้ชีวิตง่าย ๆ หน่อย” ผมชะโงกหน้ามองไอ้รถไฟฟ้าเต่าที่เงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆ แล้วนี่อะไร วันเฮงซวยหรอ วินมอไซค์หลงทางมาซักคันยังไม่มีเลย

“จะได้ด่าเราเพลินเลยอ่ะดิ”

“ถือว่าถูก ...แล้วนี่มายืนทำไมเนี่ย เกะกะ”

“แล้วเทมมายืนทำไมตรงนี้อ่ะ”

“เรื่องของกูดิ แฟนผู้ชายไม่ชอบให้เสือกรู้เปล่า” โป้ง! โดนอีกหนึ่งดอก

“ใจร้ายอ่ะ”

“อย่ามาเสียงสองเสียงสี่ ตกลงจะมายืนให้รำคาญใจอีกนานม่ะ แฟนผู้ชายขี้หงุดหงิดนะเว้ย”

“ก่อนจะหงุดหงิด เราต้องคุยเรื่องการเป็นแฟนของเราหน่อยมั้ย ทำตัวยังไง อะไรแบบนี้ เมื่อวานยังไม่เคลียร์เลยนะ”

“ไม่เห็นต้องคุย ก็ทำตัวเหมือนเดิม แค่เพิ่มสถานะแฟนปลอม ๆ หลอก ๆ ขึ้นมา” ผมยกยิ้มขึ้นอย่างเป็นต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ซีซั่นสลดลงไปได้เลย

“หึ เล่นทั้งทีก็ให้มันสมจริงหน่อยก็ดีมั้ง ไม่งั้นเราจะพิสูจน์เรื่องนี้จริง ๆ ได้ยังไงครับ” ไม่รู้ทำไม เมื่อผมได้ยินคำว่าครับของซีซั่น ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความสุภาพใด ๆ เลย ด้วยใบหน้า ด้วยบุคลิก สิ่งที่ได้ยินมันมีแต่การประชดประชันกวนตีนผมเท่านั้น

“เช่น”

“เรียกเราว่าซีซั่น หรือไม่ก็ซี ให้มันตะมุตะมิหน่อย”

“ซั่น” ผมตอบคำ ๆ เดียวออกไปแต่ความหมายสุดลึกล้ำ ที่ผมหมายถึงมันคือคำพร้องเสียงที่เขียนว่า ‘สั้น’ ต่างหาก ถ้าไม่เชื่อก็เช็คสายตาผมที่จ้องไข่อุ๋งมันอยู่ตอนนี้ก็ได้

“แล้วก็เอาเบอร์มา ไลน์ด้วย” ซีซั่นยอมรับคำเรียกของผมโดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร เจ้าตัวยื่นมือออกมาตรงหน้าผมกระดิกนิ้วรัวจนน่าตัดทิ้ง หน้าด้านสุด นี่ไม่รู้ว่าผมจะต้องพูดคำว่าหน้าด้านไปอีกกี่สิบครั้ง เอาเป็นว่าถ้าวันไหนผมค้นพบคำที่เหนือกว่าหน้าด้านและเหมาะสมกับบุคคลหน้าหนาแห่งปีเมื่อไหร่ ผมจะเลิกพูดคำนี้ทันทีก็แล้วกัน

“ไม่ให้”

“เป็นแฟนกันจะไม่มีเบอร์ ไม่มีไลน์กันได้ไง”

“ได้ดิ นี่มันเป็นวิถีแมน ๆ คุยกัน”

“ตลกละ เอาเบอร์มาให้เราเลยนะเทม” ซีซั่นท้าวเอมตัวเองเหมือนจะเอาเรื่องผม มันก็คงน่ากลัวอยู่หรอกถ้ามันไม่เบ้ปากเป็นรูปสระอิแบบนี้

“จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ ไม่ได้เอาโทรศัพท์มา” ผมตอบเร็ว ๆ รัว ๆ แล้วฉีกยิ้มกว้าง จะว่าไปการปั่นหัวซีซั่นเล่นมันก็สนุกดีเหมือนกันแหะ หน้ามันตอนนี้เหมือนเด็กสามขวบโดนแย่งจุกนมเด๊ะ ๆ นี่แหละวิธีขวางน้ำเชี่ยวด้วยเรือดำน้ำของผม เป็นใครเจอแบบนี้มันก็ต้องหงุดหงิดทั้งนั้นแหละวะ

“อย่าแกล้งดิเทม ไม่เอานะ ขอเบอร์หน่อยนะคร๊าบบบบ” ซีซั่นย่อตัวลงช้อนตามองหน้าผม เจ้าตัวกระพริบตาปริบ ๆ บึนปากออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดู ...น่าเอ็นดูเหมือนปลากระโห่พิการในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไม่มีผิด

“พรุ่งนี้ค่อยเอาแล้วกันนะ วันนี้มันเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ลืมได้ยังไงนะ ปกติก็ไม่ใช่คนขี้ลืมนี่นา” ผมเคาะนิ้วที่ข้างขมับตัวเองหลายครั้ง ว้ายตายล้าววว ไม่น่าเชื่อว่าผมจะพลาดไม่มีเบอร์ให้แฟนตัวเองตั้งแต่วันแรกที่คบกันนะครับเนี่ย

“วันนี้” ซีซั่นยืดตัวตรงก่อนจะยืนกรานเสียงแข็งขึ้นมา

“พรุ่งนี้ไง”

“วันนี้ เพราะยังไงวันนี้เทมก็ต้องไปกับเราอยู่แล้ว”

“ไปไหน ไม่ไป! ” ผมรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่สูงเฉียดฟ้าทันที ไม่มีทางซะหรอกที่คนอย่างเทมจะยอมไปไหนมาไหนกับหมอนี่โดยไม่มีเหตุจำเป็น รอกิ้งกือออกลูกเป็นไก่ก่อนเถอะค่อยว่ากัน

“ยังไงก็ต้องไป… อย่าลืมนะเทม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันอยู่ ด้วยเงื่อนไขสองข้อ ซึ่งหนึ่งข้อในนั้นระบุว่าเราต้องเป็นแฟนกันโดยสมบูรณ์ ถ้าเทมยังดื้อแล้วก็ทำตัวเป็นแฟนที่ไม่น่ารักแบบนี้ เรายกเลิกข้อตกลงแล้วจีบณนนต่อไม่รู้ด้วยนะ”

“ยกเลิกไม่ได้ อย่าคืนคำดิวะ”

“ถ้ายกเลิกไม่ได้เราก็คงต้องไปปรึกษาณนน… เห้อ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้เรื่องเทมรึยัง”

“อย่านะเว้ย! ”

“อ้าว… นี่ณนนยังไม่รู้เรื่องนี้หรอ สงสัยเราต้องรีบไปบอกก่อนซะแล้ว เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าเรายังมาจีบอยู่”

“ที่พูดมาทั้งหมด คือจะขู่หรอ! ”

“เปล่า เราแค่เอาเรื่องจริงมาพูด” ว่ากันตรง ๆ ก็คือผมเถียงซีซั่นไม่ออก ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเหตุผลที่ดีกว่า แต่ถ้าคนตรงหน้ายกการยกเลิกข้อตกลงรวมถึงณนนมาอ้างแล้วล่ะก็ ถ้ายังเสี่ยง ผมก็มีแต่เสียกับเสีย เอาวะ ให้กิ้งกือทดลองออกลูกเป็นไก่ดูซักวันก็ได้

“เออ โทษที ยังปรับตัวไม่ทัน จะให้ไปไหนอ่ะ” ผมพยายามปรับอารมณ์และตอบออกไปเสียงแข็ง ณ จุดนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้ตัวเองเสียหน้าน้อยที่สุด

“ไปแนะนำตัวกับเพื่อนเรานิดหน่อย” เพื่อน? นี่นอกจากตัวซีซันแล้วผมยังต้องไปคบค้าสมาคมกับคนรอบตัวมันอีกหรอ โอ๊ย ชีวิตแสนสุขของเทม ชีวิตดี๊ดีของเทมมมม นี่แค่วันแรกนะ แล้วอีกเกือบสองสัปดาห์ที่เหลือผมจะไม่ลงไปดิ้นตายกับพื้นก่อนหรอ

“ไม่เห็นจำเป็นเลยแม่ง”

“อะไรนะ”

“เปล่า ที่ไหนอ่ะ ยังไง กี่โมง”

“ก็ซักสองทุ่ม หอเทมอยู่ไหน เดี๋ยวเราไปรับ”

“สะเออะ กูมีขาเถอะ”

“เอ้า ก็เราเป็นแฟนกันนี่ครับ แล้วนี่จะกลับห้องใช่มั้ย เราไปส่งเอง เดี๋ยวขอไปเอารถแปบ” ซีซั่นกำมือยกนิ้วชี้ไปด้านหลัง แถมยิ้มที่มุมปากแบบที่ชอบเก๊กลงเพจคิ้วท์บอยบ่อย ๆ เหอะ คนเราน่ะนะ มุมดีเท่าผืนหนัง มุมจัง (ไร) เท่าผืนผสุธา!

“ยุ่ง แฟนผู้ชายมีขา ไปไหนมาไหนเองได้ จำไว้ด้วย”

“มีแฟนเป็นผู้ชายนี่โชคดีจัง”

“โชคดีกับผีสิ นี่มัน…”

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Rrrrrrrr





คำพูดที่ว่านี่มันคือข้อเสียของการมีแฟนเป็นผู้ชายถูกดูดกลืนเข้าไปพร้อมเส้นเลือดบนใบหน้าผม ซีดสิครับ รออะไรอยู่ การที่โทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดบทสนทนาตอนนี้เป็นอะไรที่ย่ำแย่ที่สุด แย่ในระดับที่ว่าสิ่งที่ผมพยายามทำมาก่อนหน้านี้มันจบสิ้นลงไปแล้ว อย่าให้กูรู้นะว่าใครโทรมา แม่งจะด่าให้เพลินใจเลย

“รับดิ” ซีซั่นผายมือขึ้นยิ้มกว้างจนผมอยากจะกระโดดถีบ โว้ยยย ผมเบื่อตัวเองที่ฉุนเฉียวตลอดเวลาที่เจอหน้ามัน แถมตอนนี้ยังต้องมารู้สึกว่าพ่ายแพ้คนอย่างมันอีก

“เออ… ว่าไง” ผมล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสายอย่างไม่มีทางเลือก รายชื่อที่ปรากฎไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นณนนคนดีคนเดิมที่ทำให้ผมต้องแบกรับภาระเป็นควายตัวโต ๆ ไปอีก 14 วัน

“มึงอยู่ไหนวะ กูจะเข้าไปเอาพาวเวอร์แบงค์ที่ลืมไว้กับมึงอ่ะ” อยู่กับไอ้ซีซั่นไง และตอนนี้มันก็เริ่มกลั้นขำตอนมองหน้าเซ็งแตกของกูแล้วด้วย เทมอยากจะถามเพื่อนรักเหลือเกินว่าจะมาแบตหมดอะไรตอนนี้

“อยู่ในมออ่ะ แต่เดี๋ยวจะไปต่อ ยังไม่กลับห้องว่ะ” ผมเหลือบตามองซีซั่น ขณะที่มันเอาแต่จ้องหน้าผมตาแทบไม่กระพริบ

“อ้าว ไปไหนวะ”

“แถวนี้แหละ มึงก็ใช้ของพี่คีณผัวมึงไปก่อน แค่นี้นะ กูยุ่ง ๆ อยู่” ผมเน้นคำว่าผัวอย่างหนักแน่นสุดชีวิต แถมท้ายด้วยการขยิบตาให้คนที่จ้องหน้าอยู่มองได้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าซีซั่นจะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองกลับมา นี่สินะบุคคลที่ตายด้านไปกับความผิดชอบชั่วดี

“ไง ตกลงจะให้กูไปที่ไหน” ผมกดวางสายและพยายามทำตัวเหนือทุกอย่างเป็นปกติ แม้ว่าตอนนี้โทรศัพท์เครื่องที่อยู่ในมือจะทำให้ผมพลาดท่าและเสียหน้าเป็นที่สุด หึ ไม่รู้ล่ะ เรื่องนี้ผมไม่ผิด ถ้าใครซักคนจะผิดก็คงต้องเป็นซีซั่นที่คาดคั้นเอาเบอร์ผม

“.........” ซีซัั่นเงียบและไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ กับผม แถมยังใช้สายตามองบางสิ่งด้วยสายตาผู้ชนะ

“มองอะไร” ผมเริ่มมองตามสายตาของซีซั่น และมันก็ชัดเจนว่าสิ่งที่ไอ้หัวเกรียนนี่กำลังมองตาเป็นมันเหมือนพวกโจรวิ่งราวคือโทรศัพท์ในมือขวาของผม

“ถ้าไม่ให้เบอร์เรา เดี๋ยวเราให้เบอร์เทมเองก็ได้ หึหึ” เสียงหัวเราะแห่งหายนะท้ายประโยคทำให้ผมต้องรีบยกมือขวาหนีมือขโมยที่หน้าด้านไม่ยอมหยุด เหมือนจะโชคดีที่ผมชูโทรศัพท์ขึ้นเหนือหัวได้ทันเวลา แต่โชคร้ายคือมือหนากลับคว้าหมับเข้าที่เอวผมแทน

“เฮ้ย! ” ผมเด้งตัวหนีกำโทรศัพท์ในมือไว้ให้แน่นกว่าเดิม ทำไงดีวะ! ถ้ายัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมซีซั่นก็คงตามมาล้วงจนได้ เอาไงดีเทม คิดสิคิด

“เราขอโทรศัพท์หน่อยนะ เราอยากแจกเบอร์ให้แฟนเราอ่ะ”

“ฝันไปเหอะ! ” ไม่รู้ว่าปีศาจตนไหนวิ่งผลัดสี่คูณร้อยเข้ามาในความคิดผม ถึงทำให้สิ่งที่ผมกระทำต่อไปนี้ขาดซึ่งความยับยั้งชั่งใจและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนซะก่อน แต่วินาทีที่ผมยัดโทรศัพท์เข้าไปในกางเกงแบบไม่คิดชีวิต ผมแค่คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ขอย้ำว่าตอนนี้ไอโฟนรุ่นไฉไลใหม่ล่าสุดอยู่ภายในกางเกง และเป็นภายในของภายในกางเกงอีกที





สรุปง่าย ๆ ตอนนี้อุปกรณ์สื่อสารอยู่ในบ็อกเซอร์และนอนคุยอยู่กับน้องชายผมเรียบร้อย

เอาล่ะ เชิญสนทนาธรรมกันให้สบายใจ





“เอ๋? ”

“เอาดิ อยากวุ่นวายกับเบอร์โทรกูนักก็เอาดิ” ผมยกยิ้มท้าทายเมื่อเห็นสีหน้างงหนักของซีซั่น ความตลกคือหน้าที่ดูโง่อยู่แล้วกำลังดูโง่มากขึ้นไปอีก ผมยกสองแขนขึ้นกอดอกด้วยความสะใจที่อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งของมันสมองฉลาด ๆ ก็ทำให้คนตรงหน้านิ่งไปเพราะคาดไม่ถึง เชื่อเถอะครับ มันไม่มีคนปกติที่ไหนมาล้วงจู๋คนอื่นกลางแจ้งตอนกลางวันแสก ๆ หรอก

“แจ่มเลย”





แต่ลืมไป ไอ้คนที่ผมพบเจออยู่นี่มันไม่ใช่คนปกติ





“.................” ครับหากทุกท่านกำลังเดาว่าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้สีหน้าเทมเป็นคำตอบ และใช้อาการติดสตั้นพูดอะไรไม่ออกเป็นพยาน หนึ่งวินาทีที่แล้วไอ้ซีซั่นใช้ความไวแสงคว้าหมับเข้าที่ขอบกางเกงและดึงผมเข้าไปหาตัว ก่อนที่อีกมือของมันจะล้วงเข้าไปให้เขตห่วงห้ามของผมอย่างง่ายดาย ง่ายพอ ๆ กับที่ผมยัดโทรศัพท์ลงไปด้วยมือตัวเองเมื่อซักครู่ แต่ที่เหนือกว่าผมคือมันไม่ได้มองลงไปเบื้องล่างของผมแม้แต่น้อย สายตาเจ้าเล่ห์จ้องมองหน้าผมอย่างนึกสนุก ระหว่างที่สายตาของผมส่งกลับแค่ความว่างเปล่าราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีสมองมาก่อน

“โอ๊ะ เจอแล้ว” ซีซั่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจในแบบที่ผมอยากจะฆ่าให้ตาย ริมฝีปากของมันเหยียดยิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่ เรียวตาสองข้างหยีจนแทบไม่เห็นตาดำ และที่สำคัญในมือหนากำลังกำบางสิ่งเอาไว้แน่นจนผมแน่นิ่งไปยิ่งกว่าเดิม ...ช่วยด้วยวิญญาณผมกำลังจะออกจากร่าง





ปั๊ก!





โทรศัพท์ผมพึ่งจะล่วงลงผ่านช่องว่างและไหลตามขากางเกงทรงกระบอกถูกระเบียบกระทบสู่พื้นเบื้องล่าง ใบหน้าที่เรียบสนิทของเทมคนนี้ค่อย ๆ ก้มลงมองโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ได้งบสนับสนุนจากแฟนเพื่อนว่างแอ้งแม้งอยู่ข้างเท้า ...เทม นายจะติดสตั๊นเป็นหุ่นขี้ผึ้งนานขนาดนี้ไม่ได้





ไอ้เวรเอ๊ยยยยยยย ที่มึงจับอยู่นี่มันลูกชายคนเดียวของกู!





“ไอ้ซั่น...” ผมกัดฟันเอ่ยส่วนนึงของชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยอารมณ์ที่พึ่งสำนึกได้ว่าควรจะปะทุขึ้น สองแขนที่กอดกันไว้ที่อกค่อย ๆ คลายออกระหว่างที่เจ้าของรอยยิ้มตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดึงมือออกจากลูกชายที่ผมเฝ้าทะนุถนอมมาหลายปี

“อ้าว… โทรศัพท์อยู่ล่วงลงไปแล้วนี่ ถึงว่า… ทำไมเล็กจัง” ซีซั่นบีบโทนเสียงท้ายประโยชน์ให้เล็กและเบาลงตามความหมายที่มันพูด ร่างสูงดึงมือออกสะบัดกับอากาศเบา ๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะก้มโค้งลงไปที่เท้าผมเพื่อหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหา ระหว่างที่ผมกำลังเลือดขึ้นหน้าจนรู้สึกร้อนผ่าวตามอารมณ์ไปทั้งตัว





สัด! เจี๊ยวกูเล็กแต่ไข่กูน่ารักนะเว้ย!





“ไอ้หัวกรวยยยยยยยยยยยยย! ” สิ่งเดียวที่ร่างกายสั่งให้ผมทำคือการยกเข่าขึ้นมาเพื่อเสยปลายคางไอ้คนที่บังอาจมารุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวน แต่เหมือนว่าชั่วโมงนี้โชคชะตาจะเล่นตลกกับผมมากเกินไป ซีซั่นถึงได้โยกตัวหลบเข่าพิฆาตของผมได้อย่างหวุดหวิด

“โห.... คุณแฟนไม่อ่อนโยนเลยอ่า” ซีซั่นที่เก็บโทรศัพท์ผมไว้ได้แล้วในมือ เอาแต่ยืนมองมันด้วยสีหน้าแววตาที่ผมเกินจะทนรับไหว ได้! รอลีลามวยไทยลูกศิษย์อาจารย์ยูทูปก่อนเถอะมึง!

“มึงตายยยยยยยย” ผมเหวี่ยงขาส่งไปที่ขาอ่อนคู่กรณี และตั้งใจตวัดปลายเท้าขึ้นไปให้สูงระดับคอตัดจุดสำคัญที่จะทำให้มันตายคาตีนผม แต่เปล่าเลย! ในความเป็นจริงผมกำลังเผชิญกับสิ่งที่อาจารย์ยูทูปไม่ได้บอกผม!





หมับ!





“ไม่อ่อนโยนไม่ได้นะ เป็นแฟนเราต้องอ่อนโยนนิดนึง” ซีซั่นคว้าหมับเข้าที่แข้งผม มือหนาไม่อาจกำแข้งทองของผมได้รอบ แต่มันก็แน่นพอที่จะทำให้ผมเกือบจะเสียการทรงตัว

“ปล่อยกูนะ! ” ผมพยายามจะดึงขาออกแต่เพราะกลัวว่าจะล้มทิ่มลงไปกับพื้นเลยไม่ได้ออกแรงมากเท่าที่ควร ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มจะหันมาสนใจผมกับไอ้หัวกรวยนี่ แล้วเมื่อกี้มีใครเห็นตอนมันทำอนาจารผมบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ทำไม! ทำไมชีวิตเทมต้องมาเจออะไรแบบนี้!

“งืออออออ ปล่อยหรอ”

“งือพ่องดิ จะปล่อยหรือไม่ปล่อย”

“ง่ะ” โอ๊ยยยยย จะงือจะง่ะอีกนานมั้ยวะ

“ไอ้ซั่น ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ! ”

“ก็ได้ ๆ ”

“เฮ้ย! ” ผมเกือบจะดีใจเมื่อเห็นว่าซีซั่นเริ่มผ่อนแรงที่มือ แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะดึงขาตัวเองกลับมา ไอ้มือผีเปรตนั่นก็คว้าเข้าที่ข้อเท้าทำให้ผมทรงตัวได้ยากยิ่งกว่าเดิม และที่ทำให้ผมอยากจะมุดลงท่อน้ำหลีกหนีชะตากรรมก็คือการที่มันพยายามเลิกขากางเกงผมขึ้นแล้วหยิบปากกางออกจากกระเป๋าเสื้อตัวเองเพื่อมาเขียนอะไรยุกยิก ๆ เหนือข้อเท้าผม

“นิ่ง ๆ สิครับผม”

“อร๊ากกกกก ปล่อยกูววววว” เป็นเรื่องน่าอนาถที่ผมทำได้เพียงโยกตัวไปมาเท่านั้น เชี่ย ๆ ๆ กูกำลังจะล้มแล้วโว้ยยยยยย

“อ่ะ” ในที่สุดคนตรงหน้าก็ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ ผมถอยหลังหนีมาสองถึงสามเก้าทันที ก่อนจะรีบมองหาโทรศัพท์ตัวเองที่เห็นอีกทีก็ไปอยู่ตรงใต้รักแร้ไอ้เวรตะไลนี่แล้ว ...ไม่นะ ลูกพ่อ ลูกรักของพ่อ!

“ซีซั่น! เล่นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย! ” ผมกำลังจะถลาเข้าไปพร้อมหมัดที่กำแน่นพร้อมเสิร์ฟ แต่ซีซั่นก็ยกมือท่าปางห้ามญาติขึ้นมาจนผมสะดุดกึก ก่อนที่มันจะยื่นมือหย่อนโทรศัพท์ลงกับเสื้อนักศึกษาของผมแล้วส่งรอยยิ้มเย็น ๆ พร้อมประโยคที่ทำให้ผมแทบจะคลุ้มคลั่ง

“โทษทีนะเทม… คือแบบเราลืมไปว่าถึงจะได้โทรศัพท์มาแต่เทมไม่ปลดล็อคให้ เราก็เข้าไปทำอะไรในเครื่องเทมไม่ได้อยู่ดีง่ะ”

“ไอ้….” ปากผมสั่นเพราะพูดไม่ออกและนึกคำด่าออกไปไม่ทัน ภาพผู้ชายตัวโตยกนิ้วชี้สองนิ้วจิ้มเข้าหากันยิ่งทำให้ผมประสาทเสีย หมอ! ผมต้องการหมอ จบเรื่องนี้ผมต้องไปที่แผนกจิตเวช!

“แล้วเดี๋ยวคืนนี้เจอกันนะ เทมมีขาแถมแข็งแรงสมเป็นแฟนผู้ชายไปเองนะครับ” เจ้าของเสียงยิ้มตาหยีส่งท้ายก่อนจะตบไหล่ผมแล้วเดินผ่านตัวผมไป ทั้ง ๆ ที่ผมกำลังจะแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าปล่อยพลังทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า แถมยังไม่พอเท่านี้ ไอ้เสียงที่ลอยข้ามหลังมาส่งท้ายก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะอุทิศตนเป็นกองเพลิงไปเผาบ้านมัน

“เกือบลืมแน่ะ สถานที่ไลน์มาถามเอานะ เหมือนตอนนี้เราจะลืม ๆ อีกซักชั่วโมงน่าจะพอนึกได้ ...เบอร์กับไอดีไลน์เขียนไว้ให้แล้วนะครับผม” ผมดึงขากางเกงขึ้นก็พบรอยปากกาขยุกขยุยอยู่ที่ข้อเท้า ตลอดชีวิตผมไม่เคยเข้าใจว่าอาการเลือดขึ้นหน้ามันเป็นยังไง แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ วินาทีนี้ผมกำลังอยากจะเอาเลือดหัวใครบางคนออกซะให้เข็ด แล้วคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ตัวผมเองเนี่ยแหละ





14 วัน จะรอดมั้ยวะเทม!





จุ๊บบุ

Seasonzuzaa.cute

089-697xxxx




TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 3 นัดแรกแสนประทับใจ

SL cute boy

3 ชั่วโมงก่อน

มีลูกเพจหลังไมค์มาเม้าท์มอยกับเจ๊ว่าวันนี้พบเจอ 2 หนุ่มล้วงกางเกงจัดระเบียบให้กันกลางสี่แยกหน้าคณะวิทย์ เท็จจริงอย่างไรเจ๊ต้องขอเวลาสืบหาหลักฐาน แต่พูดเลยว่างานนี้ต่อมเผือกเจ๊สั่นแรงมาก

#คนล้วงอักษรย่อซ





ผมนั่งจ้องหน้าเพจคิ้วท์บอยที่เฟย์แคปส่งมาในกรุ๊ปแชทตาแทบถลน ข้อความพวกนี้ถูกแชร์โดยที่ไม่มีภาพประกอบใด ๆ เป็นหลักฐานยืนยันว่าใครคือมนุษย์ดวงซวยคนนั้น ยอดแชร์หลักร้อยคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ผมเดือดเนื้อร้อนใจถ้าคนที่ถูกกล่าวถึงอยู่นี่มันไม่ใช่ตัวผมเอง!





Fayfin : ยังไงคะ เสียสาวแล้วหรอ

Neenla : เห้ย อย่าบอกกูนะว่าเป็นมึงอ่ะเทม

Fayfin : ชัวร์ค่ะ อักษรย่อ ซ จะมีซักกี่คนในมอ

Neenla : มึงแน่ใจได้ไง

Fayfin : ก็กูเจอซีซั่นที่หน้าคณะก่อนแยกกับมัน

Neenla : ดีออก ไหนว่าแฟนกันปลอม ๆ ไงวะ

Fayfin : หุหุ รอคำตอบยืนยันอยู่นะคะเพื่อน @OverTemp





สองสาวในกลุ่มไลน์ชื่อเป็นมงคลอย่าง ‘ความลับของไอ้นน’ กำลังผลัดกันส่งข้อความที่เหมือนจะเย้ยหยันความรู้สึกบอบบางของผมเข้ามาเรื่อย ๆ เดิมทีกลุ่มนี้เคยเป็นห้องแชทลับที่พวกผมใช้ปรึกษาเรื่องณนนกับพี่คีณ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มันเป็นเพียงสถานที่ซักไซร้และซ้ำเดิมผมให้อับอายตายลงไปบนกองดิน ก็ถ้าเพื่อนทั้งสองคนจะรู้ลึกรู้จริงราวกับอยู่ในเหตุการณ์ขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบจากเทมแล้วก็ได้ ไม่อยากตอบ มันเจ็บใจโว้ย!





OverTemp : เออ





ผมตอบสั้น ๆ ก่อนจะปล่อยให้แชทเด้งต่อไป ตอนนี้ผมควรจะหันไปสนใจโพสต์ต้นเรื่องในเพจคิ้วท์บอยแทนมากกว่า อย่าให้รู้นะว่าใครมันตาดีแถมยังปากดีไปบอกไอ้เพจปากสว่างนี่อีก ถ้าเจอเมื่อไหร่พ่อจะจิ้มให้ตาแตก เหอะ ความใฝ่ฝันของชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างผมที่อยากจะลงเพจคิ้วท์บอยซักครั้งในชีวิต กลับต้องมาหวาดผวากับปริศนาธรรมหน้าเพจที่จะพร้อมจะทำให้ชีวิตวุ่นวายได้ทุกเมื่อ





เราก็เห็น คนนึงน่าจะเป็นวิศวะที่ตัดสกินเฮด อีกคนไม่รู้จักแต่หน้าไม่แย่นะ





ผมสะดุดตากับคอมเมนต์นึงจนอดที่จะเบ้ปากไม่ได้ โครงหน้าที่ได้มาจากลีจงซอกของผมนี่เรียกว่าธรรมดาหรอ ดูถูกความหล่อเหลาระดับเอเชียของไอ้เทมมากเกินไปแล้ว ผมเลื่อนดูคอมเมนต์ในโพสต์ไปเรื่อย ๆ โชคยังดีที่แม้อักษรย่อ ซ จะทำให้ชาวเน็ตพุ่งเป้าไปถูกคน แต่ก็ไม่มีใครกล่าวถึงชื่อของผมหรือบอกใบ้อะไรที่จะสามารถโยงมาถึงตัวผมได้ แต่ก็ไม่รูู้ว่าผมจะรอดไปจนถึงเมื่อไหร่ เพราะพลังอำนาจของชาวเน็ตโดยเฉพาะพวกสาววายมันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะไว้ใจ แล้วอีกอย่างไอ้คนที่กำลังเป็นประเด็นกับผม มันไม่น่าไว้ใจมากกว่าชาวเน็ตซะอีก!





Season Patitan : อิอิ ---------- 385 ไลค์





ผมบดเขี้ยวตัวเองเข้าหากันเมื่อเห็นคอมเมนต์สองพยางค์ที่ได้รับไลค์มากมาย แถยังมีคน reply ตอบกลับด้วยความสงสัยไม่รู้กี่สิบคน การที่ซีซั่นเข้าไปคอมเม้นต์แบบนี้เท่ากับยอมรับตัวเองชัด ๆ แล้วนี่ถ้าถูกสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจะเป็นยังไง ถ้าความแตกเมื่อไหร่ ไม่ว่าผมจะพูดความจริง หรือจะแถไปทางไหนสุดท้ายก็ต้องเป็นผมที่ต้องเสียหน้า ที่ห่วงที่สุดก็คงจะเป็นณนนเพื่อนสนิทของผมเอง คนแบบไอ้นนมีหรอจะไม่คิดมากที่ผมมาทำอะไรแบบนี้ แล้วมีหรอที่มันจะไม่ไปวิ่งไล่ตีหัวพี่คีณแตก





ปั้ง! ผมตบโต๊ะตรงหน้าแล้วเหลือบตามองไปยังคนข้างตัวทันที เจ้าตัวดูงง ๆ แต่ก็หันมามองผมด้วยรอยยิ้มแป้นแล้นเช่นเดิม ตอนนี้เวลาสองทุ่มเศษ ๆ ผมที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องมากับซีซั่นตามที่ได้ลั่นวาจาออกไป คิดดูสิครับว่าวินาทีที่ผมต้องก้มมองเบอร์กับไอดีไลน์จนแทบจะได้กลิ่นตีนตัวเองมันเป็นภาพที่แย่ขนาดไหน แล้วไหนจะตอนที่ต้องบากหน้าทักไลน์มันไปอีก กว่าจะพิมพ์ได้แต่ละตัวผมต้องใช้ความพยายามกล้ำกลืนฝืนทนและท่องกับตัวเองตลอดเวลาว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป

“ไปลบคอมเมนต์เดี๋ยวนี้”

“เมนต์อะไรอ่ะ” เจ้าของเสียงตีหน้ามึนทั้ง ๆ ที่ผมเหลือบไปเห็นว่ามันกำลังไล่กดไลค์คอมเมนต์ชาวบ้านในโพสต์อยู่

“อย่ามาทำหน้าบื้อ จะไปเมนต์จุดประกายเพื่ออะไรวะ อยู่เงียบ ๆ ไม่เป็นหรอ” ผมพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้รุนแรงจนเสียเรื่อง เพราะดูเหมือนว่าการที่ผมฉุนเฉียวแล้วเถียงซีซั่นออกไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งจะยิ่งทำให้คนแบบมันมีความสุข หลายชั่วโมงที่ผ่านมาผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นาน และได้ความคิดดี ๆ แล้วว่าถ้าผมลดเลเวลความเป็นตัวเองลง บางทีมันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ผมได้กลับไปคุมเกมนี้อีกครั้ง





อย่าให้การเสียสละของลูกชายตัวน้อยของผมต้องเสียเปล่า!





“ก็แค่อิอิเอง ยังไงคนเขาก็รู้ว่าเป็นเราอยู่แล้ว ไม่เห็นเป็นไรเลย” ซีซั่นไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ นั่งกระดิกเท้าอ่านคอมเมนต์ใต้โพสอยู่เช่นเดิม ผมเห็นแบบนั้นก็ต้องถอนลมหายใจเข้าออกเพื่อประครองตัวเองให้ใจเย็นต่อไป

“ลบเดี๋ยวนี้”

“ทำไมอ่ะ” ซีซั่นเงยหน้าจากโทรศัพท์ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าขึงขังของผม อดทนไว้เทม อย่าพึ่งโมโห อย่าพึ่งโวยวาย ค่อยส่งมันไปตายตอนวันสุดท้ายก็ยังทัน

“ซั่น แฟนบอกให้ลบไง” ผมพูดด้วยโทรเสียงที่สามที่เนิบนาบและเฟคที่สุดในชีวิต ก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาบาง ๆ ให้ดูเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่คาดหวังว่าการใช้วิธีนี้มันจะได้ผลดีมากมายอะไรหรอก แค่ตอนนี้คนฟังอ้าปากหวอจนนิ่งไปก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากพอแล้ว

“ล...ลบ”

“ก็แค่นั้น” ผมทิ้งตัวเอนลงไปกับเก้าอี้ื ระหว่างที่คนตอบรับยังดูอึ้ง ๆ งง ๆ ไม่หยุด ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นคอมเมนต์เรียกแขกก็อันตรธานหายไปจากเพจ ผมแบบยิ้มความพอใจในอำนาจที่เริ่มกลับคืนมาในมือ ถ้าเป็นแบบนี้ก็แปลว่าผมมาได้ถูกทางแล้วสินะ

“..........”

“อะไร มองอยู่ได้” ผมมองบนใส่ไอ้คนที่เอาแต่จ้องผมด้วยความเหวอไม่หยุด อะไรมันจะขนาดนั้นวะ ก็รู้ตัวแล้วว่าหล่อและหนังหน้าดี ไม่ต้องมาตะลึงใส่มากขนาดนี้ก็ได้ป่ะ

“ตัวเองอ่อนโยนแล้วโคตรน่ารักเลยอ่าาา” ผมเผลอซบตาซีซั่นในจังหวะที่มันกำลังพูดประโยคนี้ แววตาจริงจังเกือบจะทำให้ผมเกือบช็อตพูดอะไรไม่ออก แต่ไม่มีทางซะหรอก คนอย่างผมไม่มีทางเคลิ้มไปกับคำพูดพิลึกชวนขนลุกนี่ น่ารักอ่ะยอมรับได้ แต่อ่อนโยนก็บ้าแล้ว!

“ตัวเอง? มึงเรียกกูว่าอะไรนะ”

“ตัวเองไง”

“มึงไม่ต้องเอาคำเหี้ย ๆ แบบนี้มาเรียกกูเลยนะ”

“ก็อยู่สถานที่โรแมนติกเราก็อยากโรแมนติกบ้างอ่า เทมก็เรียกเราว่ามึงอยู่ได้ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่เอามึง ๆ กู ๆ ” ผมไม่ได้สนใจน้ำเสียงเบาปัญญาพวกนี้เท่าไหร่ เพราะว่าผมเอาแต่เหลือบตามองรอบตัวตั้งแต่ได้ยินคำว่าโรแมนติกคำแรก ต้องเป็นคนที่เติบโตมาแบบไหนถึงเรียกสถานที่แบบนี้ว่าโรแมนติก ผมไม่รู้จะสาธยายอารมณ์งง ๆ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ได้ยังไงดี เอาเป็นว่าความคาดหวังที่จะพบกับความชิค ๆ คูล ๆ ของกลุ่มนักศึกษาวิศวะที่นัดเจอกันยามค่ำคืนได้หายไปจนหมดสิ้น ลืมไปซะเถอะครับไอ้สถานบันเทิงยอดฮิตที่ชาร์ตราคาเครื่องดื่มจนแพงหูฉี่ที่เหล่าวัยรุ่นปกติเขาชอบนัดสังสรรค์กัน





พรหล่า ลาบเป็ดอุดร





คุณไม่ได้อ่านผิดหรอก และสายตาคุณก็ไม่ได้พร่ามัว เพิงหมาแหงนที่มุงด้วยหญ้าคาขนาดเจ็ดโต๊ะเสิร์ฟนี่คือความจริง ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติคสีน้ำเงินเก่า ๆ ที่พร้อมจะทำให้หงายหน้าแหกได้ทุกเมื่อ ส่วนโต๊ะตรงหน้าก็สร้างความน่าสะพรึงกลัวด้วยความเป็นโต๊ะไม้ที่มีอิฐบล็อครองขาโต๊ะเอาไว้ข้างนึงเพื่อรักษาสมดุล แถมแสงไฟจากหลอดไส้ก็เรียกประชากรยุงเข้ามาชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมาย





~~~ไปไล่แย้ ไปไล่แย้ แอ้แฮ่

แอ้แฮ่ ไปไล่แย้ ไปไล่แย้ แอ้แฮ่ แอ้แฮ่

มาไปไล่แย้ละมาไปไล่แย้~~~





ส่วนนั่นคือเสียงเพลงตื้ดยิ่งกว่าผับไหน ๆ เสียงเพลงที่ขับกล่อมคนทั้งร้านให้อินตาม ทั้งยังเพิ่มอรรถรสให้กับการดื่มเบียร์แกล้มด้วยอาหารอีสานเลิศรส เชื่อเถอะครับ ตั้งแต่ผมเติบโตเป็นมนุษย์มายี่สิบปี ไม่เคยมีนัดครั้งไหนที่ทำให้ผมประทับใจได้มากเท่ากับนัดครั้งแรกของซีซั่นครั้งนี้ ชั่วชีวิตคงไม่มีอะไรพีคไปกว่าร้านลาบข้างทางในซอยเปลี่ยวนี่อีกแล้ว





แล้วกูจะแต่งตัวดีมาทำไมโว้ยยยย!





คงไม่ต้องให้อธิบายว่าไม่กี่นาทีก่อนผมจะหัวเสียขนาดไหน ไอ้ตัวต้นเหตุที่ยังนั่งมองหน้าผมอยู่ไม่เลิกไม่ยอมบอกว่าจะนัดผมไปที่ไหน ข้อความที่ผมได้รับมีเพียงเส้นทางการเดินทางที่บอกให้ผมได้รู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลไม่จากมหาลัยเท่านั้น และที่สำคัญพื้นที่ย่านนี้ล้อมรอบไปด้วยคลับไนท์และสถานบันเทิงมีชื่อ แต่ใครจะคิดว่าผมจะต้องมาเผชิญกับร้านลาบด้วยเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงสีเบจ ระหว่างที่ผู้นัดหมายสวมเพียงกางเกงบอลยาน ๆ และเสื้อยืดตัวเดิมที่ผมเห็นเมื่อช่วงบ่าย ...นี่ล่ะครับ ความโรแมนติกทั้งหมดที่ซีซั่นกล่าวถึง





โรแมนติกระดับนี้ ซีรีย์เกาหลียังอาย





“โอ๊ะ!! พวกมึง! ” การทำเสียงโอ๊ะพร้อมริมฝีปากรูปตัวโอทำให้ผมต้องหันมาสนใจความเป็นจริงอีกครั้ง ซีซั่นกำลังโบกมือเรียกใครซักคน ไม่สิ สองคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาในร้าน ซึ่งอันนี้จริงระยะแค่นี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกมือขึ้นโหวกเหวกเลยซักนิด

“ไง มาถึงนานยัง” คนที่เดินมาถึงก่อนตบไหล่และเอ่ยคำถามกับเพื่อนตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบตามองผม

“ซักพัก” ซีซั่นตอบ ก่อนจะกวักมือขอแก้วเพิ่มให้กับผู้มาเยือนทั้งสองคน ส่วนผมที่กลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าก็ต้องแก้เก้อด้วยการยกแก้วเบียร์ตัวเองขึ้นจิบ แล้วกอดอกมองการทักทายที่เริ่มจะถามสารทุกข์สุขดิบมากจนผมไม่รู้ว่าตัวเองมานั่งเจ๋ออยู่ตรงนี้ทำไม แถมบุคลิกที่ตัดกันของคนทั้งสามก็ชวนให้ผมงงงวยกับการใช้ชีวิตของเพื่อนกลุ่มนี้ มีคนเดียวที่ผมจะไม่สงสัยก็คือซีซั่นที่ผมเห็นพฤติกรรมจังไรต่อเนื่องมานานตั้งแต่ช่วงปีสอง

“จะไม่แนะนำหน่อยหรอวะ”

“เออ นี่เทม คนที่กูเล่าให้ฟัง” ซีซั่นโยกศรีษะมาทางผมแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ผมพยักหน้ารับเบา ๆ เพราะยังคงมองคนถามอย่างวิเคราะห์ คนคนนี้ดูแวบแรกก็เหมือนลูกคนจีนผิวขาวธรรมดาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ใบหน้าสะอาดสะอ้านร่างกายสมส่วนตามมาตรฐานชายไทย แต่จากการแต่งตัวที่ใช้กิ๊ปดำแหวกผมหน้าแสกกลางแล้วผมไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่าสติจะดีกว่าคนแบบซีซั่นหรือเปล่า

“หวัดดีเทม เราไฉ”

“อืม หวัดดี” ผมยิ้มออกไปตามมารยาททั้ง ๆ ที่อยากจะขอฟังชื่อที่แนะนำออกมาเมื่อกี้อีกซักครั้ง อะไรไส ๆ ไฉ ๆ นั่นโดนเพลงหมอลำในร้านกลบไปซะหมด แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวรอฟังพวกแม่งคุยกันก็คงจับใจความได้เอง

“ส่วนนี่ ไอ้อิส” ซีซั่นบู้ยหน้าไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนคนนี้ด้วยซ้ำ ด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มแบบชายไทยแท้ท่ามกลางกลุ่มหนวดเคราและผมยาวรุงรัง แถมสายตาเรียบเฉยตั้งแต่เดินเข้ามาก็ยิ่งทำให้น่าเกรงกลัวมากขึ้นไปอีก สาบาน! ถ้าผมเจอคนคนนี้เดินอยู่กลางซอยคนเดียวผมวิ่งเข้าป่าแบบไม่คิดชีวิตแน่

“ส… สวัสดี” ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะแกล้งยิ้มทักทายออกไปได้ยังไง จนกระทั่งเจ้าของใบหน้ายิ้มแหวกหนวดออกมาซะก่อน

“สวัสดีครับ ผมอิสระ เรียกว่าอิสเฉย ๆ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเทม”

“...ค...ครับ” ผมปล่อยให้ตัวเองงงอยู่นานก่อนจะตอบครับกลับไปทั้งที่ยังไม่เข้าใจเลย อะไรคือการที่ผู้ชายบุคลิกเหมือนโจรฆ่าข่มขืนพูดจาไพเราะ น้ำเสียงทุ่มนุ่มน่าฟังและดูมีมารยาทราวกับหลุดออกมาจากวังจุฑาเทพ

“สองคนนี้เพื่อนสนิทเรา อยู่โยธาเหมือนกัน” ซีซั่นว่าพลางรินเบียร์ลงแก้ว ผมพยักหน้างึกงักและไม่กล้าแผลงฤทธิ์อะไรออกไป จะว่าเกรงใจมันก็คงไม่ใช่ ผมก็แค่หยั่งเชิงคนพวกนี้ว่าเล่นได้มากน้อยแค่ไหนมากกว่า

“สนิทกันได้ไงวะ…” ผมพยายามกัดฟันพูดในลำคอเหลือบมองบนแล้วตักลาบเป็ดป้าพรหล่าเข้าปาก แค่นึกแล้วก็สยองขวัญ เคยเห็นแต่สามตัวท็อปฝั่งนิเทศอย่างแกงค์พี่คีณ พอมาเจอสามตัวนี้แล้วขนลุกไปหมด นี่คณะวิศวะเขาไม่มีตรวจสุขภาพจิตประจำปีบ้างรึไงวะ

“เมื่อกี้คุณเทมพูดว่าอะไรนะครับ”

“อือ อ่าวววว” ผมส่ายหน้าปฏิเสธขณะที่ยังเคี้ยวเป็ดอยู่เต็มปาก ให้ตายเถอะน้ำเสียงสุภาพของอิสระไม่ได้ทำให้ผมกลัวเขาน้อยลงเลย

“แต่ผมเห็นคุณเทมทำปากขมุบขมิบนะครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง เพราะถ้าขืนรีบกลืนเป็ดป้าเข้าไปมีหวังพันคอหอยตายห่า

“แฟนกูก็แบบนี้แหละ” ซีซั่นพูดจบแล้วก็ยักคิ้วใส่ผม ส่วนผมเองก็ได้แต่แยกเขี้ยวกลับไปเพราะไม่รู้ว่าซีซั่นบอกเรื่องของนี้กับเพื่อนว่ายังไง จะให้อ่านจากสายตาของอิสกับอีกคนผมก็อ่านไม่ออกอยู่ดี

“เต็มปากเต็มคำนะมึง กล้าจริงจริ๊งงงงง”

“อะไรของมึงไอ้ไฉ” โอเค ผมว่าผมน่าจะได้ยินชัดเจนแล้ว ไอ้ที่ทำผมทรงแหวกหวีนี่ชื่อไฉสินะ

“คุณไฉหมายถึงเงื่อนไขแค่สิบสี่วัน คุณซีไม่ควรเรียกคุณเทมว่าแฟนอย่างภูมิใจครับ” ผมอยากจะปรบมือรัวให้อิสระที่ร่ายเรียงประโยคเหล่านี้ออกมาตอกหน้าเพื่อนตัวเองจนหน้าเสีย ซีซั่นดูหงุดหงิดขึ้นทันทีเมื่อเห็นเพื่อนสองคนหันหน้าไปแปะมือกัน

“แล้วไง ยังไงสถานะตอนนี้ก็แฟนป่ะ”

“มโนว่ะ”

“ไอ้ไฉ! ”

“มโน มาจากคำว่ามโนภาพครับคุณซี แปลว่าว่าความคิดที่เป็นภาพขึ้นในใจ ในกรณีนี้ผมเห็นด้วยว่าคุณซีกำลังมโน” พอพูดจบอิสระก็ยกมือขึ้นข้างตัวก่อนที่ไฉจะแปะมือลงไปแล้วหัวเราะกร๊ากออกมา

“มึงสองตัวแม่ง กูไม่น่าเล่าให้ฟังเลย ไม่น่าพาเทมมาด้วย”

“นายโอเคใช่มั้ยเทมที่มาเจอเราสองคนวันนี้” ไฉหันมาถามผมที่พยายามกลั้นขำอยู่ตั้งแต่แรก ไม่โอเคได้ไงอ่ะ ไม่ต้องด่าเองแล้ว เพื่อนมันด่าให้เสร็จ ฮา ๆ ๆ

“โอเค ๆ ” ผมตอบก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ซีซั่น ถ้าเพื่อนสนิทเจ้าตัวรู้เรื่องหมดแบบนี้ ก็มีสิทธิที่ผมจะผ่านสิบสี่วันไปได้ง่ายขึ้นสินะ

“เห็นมั้ยไอ้ซี เทมเขายังโอเคเลย”

“พวกมึงอย่าเล่นเยอะจนเสียเรื่องก็แล้วกัน” ซีซั่นพยายามส่งสายตาปรามเพื่อนตัวเอง ก่อนที่วงสนทนาจะดำเนินไปเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดปาก เวลาผ่านไปนับชั่วโมงและคำที่ผมพูดออกมามันก็นับได้เช่นกัน ส่วนใหญ่บรรยากาศบนโต๊ะถ้าไม่เงียบเพราะต่างคนต่างดื่ม ก็จะมีเพียงเสียงของไฉและอิสดังแทรกเสียงเพลงสำเนียงอีสานขึ้นมาเท่านั้น

“นี่รู้มั้ยเทม ถ้าเป็นแฟนกับไอ้ซีจริง ๆ นี่เหมือนตกถังข้าวสารเลยนะเว้ย” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคเปิดบทสนทนาใหม่จากไฉ จากที่ผมเคยคิดว่าซีซั่นเป็นจอมพูดมากก็คงต้องคิดใหม่ บางทีซีซั่นอาจจะเป็นคนที่น่าสงสารเพราะเก็บกดไม่ได้พูดเวลาอยู่ในวงเพื่อนก็ได้

“โอ้โห กินหรูอยู่สบายเลยหรอครับ”

“หึ ทั้งชีวิตมีแดกแค่ข้าวสาร”

ผลั่ก! ครับ… คงไม่ต้องบอกว่าซีซั่นเอื้อมมือตบหัวเพื่อนตัวเองเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน นี่ถ้าผมมีเพื่อนที่รับส่งทุกเยี่ยงตลกคาเฟ่แบบนี้ก็คงจะปวดหัวพิลึก

“สัด พูดอะไรช่วยให้เกียรติธุรกิจยานยนต์ครอบครัวกูด้วย” ซีซั่นปรายตามามองผมขณะทำท่ายืดอกภูมิใจ ขณะที่ผมเลิกตามองแทบไม่เชื่อหู สภาพแบบไอ้หัวเกรียนนี่ไม่น่าเชื่อว่าที่พูดมามันจะจริง หรือถ้าเป็นความจริงมันก็คงจะต้องจับหารสองหารสามซะก่อน

“อู่ซ่อมมอไซค์พ่อมึงอ่ะหรอ”

“หมายถึงป.ประทีปการซ่อมใช่มั้ยครับคุณซี”

“เออ! พวกมึงแม่ง” ซีซั่นดูจะหัวเสียมากขึ้นไปอีก เขายกแก้วขึ้นดื่มแล้วทิ้งหน้าลงแนบกับโต๊ะแลพหันหน้ามาทางผม ไม่สิ ตอนนี้ไอ้หัวเกรียนที่เริ่มมีสีหน้าแดงเถือกกำลังมองหน้าผม

“หึหึ”

“เทมหัวเราะอะไรอ่ะ หัวเราะแฟนไม่อ่อนโยนอีกละ”

“เห็นชื่อซีซั่น นึกว่าพ่อแม่จะทำงานกรมอุตุ” ผมนึกแล้วก็หลุดขำมากขึ้นไปอีก ภาพพี่คีณเวลาหัวร้อนแล้วเรียกชื่อแทนซีซั่นว่า ‘อุตุ’ ฉายชัดขึ้นมาทันที

“กรมอุตุบ้าไร แม่มันยังใช้หินถ่วงวัดอุณหภูมิที่บ้านอยู่เลยมั้ง”

“คุณไฉครับ เราไม่ควรรบกวนบุพการีเพื่อนนะครับคุณไฉ การพูดถึงคุณสุพรรณีแบบนั้น ผมว่ามันไม่ควร”

“ฮ่า ๆ ๆ ” คราวนี้ผมหัวเราะกร๊ากออกมาไม่หยุด ระหว่างที่ซีซั่นไม่ตอบโต้อะไรและทำเพียงคว่ำปากลงราวกับชีวิตอดสูสุดขีด

“เทมหัวเราะเราอีกแล้วอ่ะ”

“เรื่อง ของ กู” ผมเน้นทีละคำให้คนมองได้เห็นและได้ยินชันเจน แต่ซีซั่นกลับยิ้มราวกับยินดีกับประโยคเมื่อกี้ของผมนักหนา

“ใจร้าย”

“นี่ก็ข้อเสียของแฟนผู้ชาย”

“ข้อดี”

“มึงมันประสาท”

“ผมขออนุญาตขัดจังหวะ และขอถามคำถามซักข้อได้มั้ยครับคุณเทม” ผมละสายตาจากซีซั่นเมื่อได้ยินเสียงของอิสระ ชายหน้าหนวดกำลังพับกระดาษทิชชู่เป็นมุมสามเหรียญแล้วบรรจงเช็ดลงกับริมฝีปากตัวเอง มองยังไงก็ฉากสยองขวัญในหนังเขย่าประสาทชัด ๆ

“อือ” ผมตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะตอบคำถามที่เข้ามาโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ถ้าคุณเทมแพ้เงื่อนไขที่ตกลงไอ้กับเพื่อนซีของผม จะยอมให้เพื่อนซีกลับไปจีบคุณณนนได้จริง ๆ หรอครับ”

“เออ ได้” ใช่ แต่เทมยังพูดไม่หมด เทมยังไม่ได้พูดถึงฉากฆาตกรรมโดยฝีมือพี่คีณที่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นแน่นอน

“แล้วถ้าคุณเทมชนะ…”

“ก็เป็นไปตามเงื่อนไข จบ” ผมตัดบทสั้น ๆ แล้วยกยิ้มในใจ แค่คิดก็มีความสุขฉิบหายแล้ว ชีวิตที่ไม่มีซีซั่นคอยตามรังควาญเช้าเย็นคงจะดีกว่าเป็นไหน ๆ ขนาดผมเป็นแค่เพื่อนณนนยังรู้สึกหงุดหงิดที่ไอ้ตัวข้าง ๆ ที่ไม่ยอมหยุดซักที แล้วคิดดูเถอะว่าณนนเองจะรู้สึกรำคาญมากขนาดไหน ถ้าผมทำให้ซีซั่นเกลียดการมีแฟนเป็นผู้ชายได้สำเร็จมันก็เหมือนการทำบุญใหญ่ไปในตัว

“แล้วจริง ๆ เทมมีแฟนป่ะ แฟนที่เป็นแฟนจริง ๆ อ่ะ”

“ถามเรื่องแฟนกับคนที่พึ่งรู้จัก เสียมารยาทมากเลยครับคุณไฉ”

“ไม่เป็นไร ไม่มีอ่ะ ทำไม กลัวคนมาดักตีหัวเพื่อนนายหรอ”

“ก็ไม่เชิง” ไฉไหวไหล่ก่อนที่อิสระจะไหวไหล่ตามราวกับฝาแฝด

“แฟนนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน บอกไม่มีแฟนได้ไง”

“เหอะ สติ! ”

“ได้ยินนะไอ้ห่าซี เทมเขาบอกสติ” ไฉใช้ช้อนที่พึ่งออกจากปากตีลงที่กลางหน้าผากซีซั่น คนที่เอาหน้าแนบโต๊ะอยู่เงยขึ้นมาวางสีหน้ามึน ๆ เหมือนเด็กตัวเล็กถูกขัดใจ

“เออออออ ไม่รู้ กูจะงอแงเล้า!! ”

“ไอ้ซี มึงอย่าแดกเยอะ” ไฉเอ่ยทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าซีซั่นกำลังจะเปิดเบียร์ขวดใหม่ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ฟังคำทัดทาน เปิดฝาได้ก็รินลงแก้วตัวเองทันที

“ยุ่ง แฟนกูยังไม่ว่าเลย”

“เออ ปล่อยมันแดกไปเหอะ” ผมพูดออกไปตามที่ใจคิด ปล่อยให้มันเมา ๆ ไปผมจะได้หนีกลับซักที ส่วนผมนี่ไม่เมาง่าย ๆ หรอกครับ แบกไอ้นีล ไอ้เฟย์ ส่งกลับภพภูมิไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แค่นี้สบายมาก

“จะดีหรอครับคุณเทม คือว่า...”

“อยากกินก็กิน เอาที่สบายใจ จะได้กลับซักที” ผมยกแก้วประเคนที่ปากซีซั่น และแน่นอนว่าไอ้ตัวอันตรายมองผมด้วยสายตาหวานเชื่อมก่อนจะคว้าหมับที่ข้อมือผมแน่น แรงดึงทำให้ผมไม่มีทางเลือกเคลื่อนมือตามไปป้อนเบียร์เข้าปากซีซั่นแต่โดยดี

“ดี๊ดี”

“.........” ผมไม่พูดอะไรเมื่ออีกฝ่ายใช้งานมือผมจนเบียร์หมดแก้ว แต่เมื่อมือของผมเป็นอิสระในมือขวาจึงมีเพียงนิ้วกลางโชว์หราขึ้นมากลางโต๊ะเท่านั้น

“ไม่อ่อนโยน” คำเดิม ๆ สำเนียงเดิม ๆ จากซีซั่นที่ทำให้ผมเผลอมองบนทุกครั้งที่ได้ยิน จะเอาอ่อนโยนอะไรกันนักกันหนาโว้ยยยย! อยากอ่อนโยนมาก ๆ นู่น มึงไปหาคบกับแก้มตูดเด็กนู้น

“อืม เหมาะกันดี”

“หมายถึงคุณซีซั่นกับคุณเทมหรอครับคุณไฉ”

“หมายถึงนิ้วกลางกับหน้าไอ้ซี”

“แอ่แฮ้” ผมไม่รู้ว่าควรจะขำกับเสียงแอ่แฮ้อันแห้งแล้งของอิสระได้ตอนไหน แต่เอาเป็นว่านับจากนี้ผมปล่อยให้คนนั่งฝั่งตรงข้างทั้งสองคนผลัดกันตบตีและชงมุกตลกกันต่อไปอย่างมมีความสุข แต่ที่คงจะสุขยิ่งกว่าก็คงจะเป็นคนข้าง ๆ ผมที่แดกเอา ๆ เหมือนอยู่ในลานเบียร์บุฟเฟ่ต์ แต่ช่างเหอะเพราะว่าตอนนี้ผมอยู่ในโลกห้องผมเรียบร้อยแล้ว

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Nanon : พวกมึง

Fayfin : ว่า

Neenla : ว่าหยัง





หลังจากที่นั่งเปิดโซเชี่ยลจนหมดเรื่องน่าสนใจของชาวบ้าน ผมก็เข้าไปในกลุ่มแชทเพื่อนสนิทที่ผมทิ้งไว้ไม่ได้อ่านตั้งแต่ราว ๆ ชั่วโมงก่อน การเปิดประเด็นด้วยคำว่า ‘พวกมึง’ เป็นเหมือนคาถาอันเชิญที่ทำให้เพื่อนฝูงเข้ามาดูแชทโดยเร็ว และแน่นอนการเริ่มต้นบทสนาด้วยคำ ๆ นี้มักมีเรื่องเด็ด ๆ ที่สมควรแก่การเผือกตามมาเสมอ ผมเลื่อนแชทอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าประเด็นสนทนาสำคัญไม่ได้ห่างไกลไปจากตัวผมซักเท่าไหร่ หรือถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือไอ้นนมันกำลังพูดเรื่องที่ทำให้ผมเสียวไส้อยู่ตอนนี้!





Nanon : เห็นโพสต์ล่าสุดในเพจคิ้วท์บอยป่ะ

Fayfin : โพสต์ไหน

Nanon : ล้วงจู๋

Fayfin : เออ ไมวะ

Nanon : คีณบอกกูว่าเป็นไอ้ซีซั่นกับแฟนมัน

Fayfin : อ้าว มันมีแฟนแล้วหรอ

Neenla : จริงป่ะ พีคสัด





โอ้โห ยอมใจในความเนียนเลยพวกมึง!





Nanon : นั่นดิ ถ้าจริงกูจะได้ไปแก้บนซักที





ใจเย็นก่อนเพื่อน รอแก้ทีเดียวตอนแผนการของกูสำเร็จจะดีกว่า คราวนี้จะแก้บนแก้ล่างกูไม่ว่าเลย





Fayfin : กูไปดูเม้นมาละ มีมูล

Neenla : ต้องสืบ

Nanon : เทมไปไหนวะ เรื่องไอ้ซีต้องให้มันสืบเหมาะสุด

Fayfin : ใช่ ไอ้เทมเหมาะสุดกับเรื่องนี้

Neenla : เออ ต้องเป็นมันเท่านั้น





ผมพอจะนึกหน้าเฟย์กับนีลตอนที่พิมพ์แชทพวกนี้ออก ไอ้ผู้หญิงพวกนี้มันเป็นตัวอันตรายและยืนอยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ระหว่างที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องพึ่งพาและอาศัยเทคนิคอันแพรวพราวและตกเป็นเบี้ยล่างของพวกมันต่อไป แล้วคอยดูผมจะต้องเป็นเบ้มันเพราะความลับเรื่องนี้แน่

“เอาแล้วมึง”

“เราจะทำยังไงกันดีครับคุณไฉ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจอเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนักจากสองคนตรงหน้า ภาพที่ผมเห็นคืออิสระหอบร่างกายเถื่อน ๆ ของตัวเองไปซบอยู่ที่ไหล่ของไฉ สองแขนกอดรัดแขนของไฉเอาไว้เหมือนกำลังตื่นตระหนกและตื่นกลัวกับบางอย่าง ขณะนั้นเองสายตาหวาดระแวงของคนทั้งคู่ก็พุ่งตรงมายังข้างตัวผม

“มีอะไรป่ะ….” ผมจะไม่เอ่ยถามออกไปถ้าหันมามองข้างตัวเสียก่อน ภาพที่ผมเห็นคือซีซั่นที่กำลังเมาจัดนั่งพิงไปกับเก้าอี้ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ดีนัก ใบหน้าของซีซั่นแดงก่ำลามทั่วไปถึงหัว ความทะเล้นกวนตีนหายไปและถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยจริงจังที่ผมรู้สึกกลัวและรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ซีซั่นที่นิ่งสงบมันมีอำนาจกับผมจนหัวใจมันเต้นรัวถี่ขึ้น

“เชี่ย คงทำไรไม่ทันแล้วว่ะ”

“เราไม่น่าปล่อยให้คุณซีซั่นเมาเลยครับ”

“หมายถึงอะไรกัน ซีซั่นเมาแล้วยังไงอ่ะ” ผมเอ่ยถามทันทีเพราะเริ่มสงสัยกับท่าทีแปลก ๆ และดูไม่ดีนัก สองคนนั่นสบตาผมด้วยแววตาเป็นกังวลจนผมเองก็รู้สึกกังวลใจไปด้วย การเมาของซีซั่นมันมีเรื่องอะไรน่ากลัวขนาดนั้นเลยรึไง คนเมาจะเรื้อนแค่ไหนก็จบแทบเท้าไอ้เทมมาหมดแล้ว เมาจัดก็มอมต่อให้หลับสิวะ

“คือเวลาคุณซีซั่นเมาพวกเราถึงกับต้องพนมมือกันทุกครั้งเลยครับ” อิสระเหลือบตามองซีซั่นเป็นระยะ และพูดไม่ทันขาดคำอิสระก็ค่อย ๆ พนมมือขึ้นจนผมต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ

“ไม่เคยมีใครรับมือได้เลยเทม ไม่เคยเลย! ” พูดจบไฉก็ยกสองมือขึ้นประกบแล้วหลับตาปี๋ลงทันที วินาทีนั้นผมรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัวก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนเก้าอี้ออกห่างซีซั่นโดยไม่เหลือบไปมองมันแม้แต่หางตา ทำไงดีวะ! ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเจอเรื่องน่ากลัวและเสี่ยงชีวิตขนาดนี้นะเว้ย!





หมับ!





“ไอ้เหี้ย! อย่าทำกู! ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองแผดเสียงออกไปดังแค่ไหนเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบคว้าหมับเข้าที่ข้อแขน ดวงตาสองข้างปิดสนิท หัวใจเต้นรัวและเร็วเพราะความตื่นตระหนกตกใจ ก่อนที่ความหวาดระแวงทั้งหมดของผมจะเปลี่ยนไปในสองวินาทีต่อมา

“อะหัง ภันเต...” ผมไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินจึงค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมองข้างตัว ซีซั่นกำลังนั่งเหยียดตัวตรง ยกมือพนมข้างเดียวที่กลางอก ความมุ่งมั่นทอดผ่านสายตามองออกไปเบื้องหน้าทั้งที่ดูก็รู้ว่าดวงตาหวานเชื่อมนั่นกำลังเมาได้ที่ สิ่งที่ผมกำลังเจอตอนนี้มันอะไรกันวะ

“ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามิ”

“สาธุ/สาธุ” ชัดเจน! เพื่อนมันสองตัวก็ช่วยกันรับสาธุกันอย่างพร้อมเพรียง บอกเลยว่างานนี้คนอย่างผมกำลังจะเห็นแจ้งให้ธรรมะอย่างแท้จริง

“ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามิ

ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามิ”





มึงตัดผมทรงเดียวกับพระยังไม่พอ ตอนเมายังเสือกโคฟเวอร์เป็นพระอีกหรอวะ!

จบแล้วหนึ่งวันที่ควรจะดีของเทม

เจริญ เจริญพร!


TBC
เรื่องนี้พระเอกจะสุขุมและหล่อมาดนิ่งสักหน่อย ฝากด้วยนะคร้าาาาา จะพยายามอัพให้เร็วเท่าเว็บอื่นค่ะ ขอบคุณมากค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2018 22:34:44 โดย be-silent »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 4 จงเป็นสุดเป็นสุขเถิด


บางทีผมก็คิดนะว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเรามันเกิดขึ้นจากอะไร สิ่งใดเป็นปัจจัยที่จะคัดเรื่องเรื่องราวเหล่านั้นเข้ามา มันจะเป็นเพียงเพราะความบังเอิิญ เพราะโชคชะตาที่เราไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์อะไรได้ หรือจะเป็นเพราะตัวเราเองที่สร้างเวรกรรมเรียกหาเรื่องราวเหล่านี้ให้เข้ามาในชีวิต แต่ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมอยู่ตอนนี้จะเกิดจากอะไร สิ่งเดียวที่ผมพอจะให้คำอธิบายกับตัวเองได้ก็คือความซวยเท่านั้น

“สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุข ๆ เถิด อย่าได้มีเวรกรรมแก่กันและกันเลย….”

ไอ้เวร!! กูเนี่ยล่ะที่มีกรรมกับมึง!

“โว้ยยยยย ไอ้ซั่น!”

“จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด…..”

“ออกไป!”

ผมผลักหัวซีซั่นออกจากไหล่เป็นรอบที่ร้อย ชะตากรรมท่ามกลางวันเฮงซวยของผมยังไม่หมดสิ้น แม้ว่าเข็มนาฬิกาหมุนวนใกล้ครบรอบวันที่ 24.00 น.แล้วก็ตาม ตอนนี้ผมอยู่บนแท๊กซี่กับคนเมาที่สวดมนต์จนแทบจะบรรลุระดับโสดาบัน ก็ได้แต่หวังว่าไอ้บทแผ่เมตตานี่จะเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดบุญบารมีในค่ำคืนนี้เสียที ออ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ที่ผมลากมันติดตัวมาด้วยนั้น ไม่ได้หมายความว่าพิศวาสในตัวซีซั่นแต่อย่างใด ผมก็เป็นแค่คนหล่อจิตใจดีที่ไม่อาจทิ้งให้มันนั่งสวดคาร้านลาบจนตายจากได้ นึกถึงแล้วก็แค้น ที่อิสกับไฉอาศัยจังหวะที่ผมกำลังเผลอวิ่งปรู้ดออกจากร้าน แล้วยังไงล่ะ ตัวเวรตัวกรรมมันก็ตกอยู่กับผมนี่ไง

“เพื่อนพึ่งสึกหรอไอ้หนู” เสียงคุณลุงคนขับดังขึ้นเพราะคงจะอดสงสัยกับเสียงสวดพวกนี้ไม่ได้ ก็แน่ล่ะ ถ้าผมเจอไอ้ซีซั่นสภาพนี้กลางทางก็คิดว่าหนีออกจากวัดมาเที่ยวกลางคืน

“เปล่าครับ พอดีมันเมา” ผมตอบขณะที่เหยียดแขนตรงดันหัวซีซั่นไปอีกฝั่ง

“แต่ดีนะ เด็กสมัยนี้หายากที่เมาแล้วดูเป็นผู้เป็นคน” เดี๋ยวนะ! ลุงเรียกไอ้การนั่งตาลอยเลื้อยไปเลื้อยมาและสวดมนต์ตลอดทางนี่ว่าการเป็นผู้เป็นคนหรอ? นี่มันเหมือนคนตรงไหนไม่ทราบ

“เดี๋ยวเลี้ยวจอดข้างหน้าเลยครับลุง” ผมตัดบททุกอย่าง และเอ่ยปากบอกลุงแท๊กซี่เมื่อเห็นป้ายชื่อหอตัวเองอยู่รำไร นี่ถ้าพวกเพื่อนผมรู้ว่าผมพาผู้ชายสติเสียอย่างไอ้ซีซั่นเข้าห้อง คงจะเป็นเรื่องมัวหมองในชีวิตผมไปอีกนานแน่ แต่จะให้ผมทำยังไงในเมื่อเจ้าตัวพูดจาไม่รู้เรื่องและไม่ทำห่าอะไรนอกจากสวดมนต์เรียกองค์เทพ แบตโทรศัพท์มันก็หมด พอคว้าบัตรประชาชนในกระเป๋ามาดูที่อยู่ก็พบเป็นพื้นที่ปริมณฑลที่ไกลจากตรงนี้พอสมควร ทางเลือกที่ดีที่สุดก็พอต้องพามันไปแปะไว้ที่ห้องผมก่อน แล้วคอยดู ต่อไปนี้ชื่อไอ้แฝดนรก อิส ไฉ จะขึ้นอยู่ในบัญชีหนังหมาของผม อุตส่าห์หลงคิดว่าอาจจะเป็นคนดี ทำกันได้!

“แฟนจ๋าาาาาา”

“ไอ้ซั่น ยืนดี ๆ สิโว้ย” ทันทีที่ลงจากแท๊กซี่ ผมพยายามใช้มือข้างเดียวดึงบริเวณคอเสื้อเพื่อพยุงตัวซีซั่นที่โอนเอนไปมา คนเมาที่ยังมีสติก็พยายามจะเหยียดสองขายืนให้ตรงแม้ว่ามันจะดูยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

“เทมมมจ๋าาาา อโรเวล่า โหนตุ จุ๊บบุ ๆ นร้า” อโรเวล่าพร่องงง อะเวรามั้ยล่ะ

“ถัามึงยังเลื้อยไม่เลิก กูจะทิ้งไว้ตรงนี้นะ” ผมลากภาระให้เดินตามและหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัวให้ได้มากที่สุด ไม่รู้ล่ะ ผมจะไม่ยอมให้ร่างกายผมมีร่องรอยด่างพร้อยไปมากกว่านี้ แค่ตัดสินใจลากมันมาห้องนี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียน้ำยาฆ่าเชื้อไปอีกกี่ขวด

“งึก ไปไหนอ่าาาาาาา น้องซีจะกลับห้องงงงงงง” เมื่อถูกผมลากเข้ามาในลิฟต์ ซีซั่นก็พยายามเบิกตามองไปรอบตัว ก่อนจะจ้องเข้าไปในผนังด้านนึงที่เป็นกระจกเงาอย่างดี อยากรู้จริง ๆ ว่ามันเห็นอะไรนอกจากใบหน้าแดงเถือกเพราะแอลกอฮอล์ของตัวเอง

“ก็แล้วห้องมึงอยู่ไหนล่ะวะ บอกมาดิ” ผมพูดอย่างหัวเสีย ยืนมองเลขชั้นลิฟต์อย่างใจจดใจจ่อ พอถึงห้องผมจะทิ้งมันไว้ตรงโซฟาแล้วขังตัวเองเอาไว้ในส่วนห้องนอนซะ ทุกอย่างก็จะจบ

“อ๋อ ได้… ใช่แล้ว”

“อะไรของมึง”

“ชู่ววววว อย่าพึ่งพูดไปนะ เดี๋ยวจะผิดแผน”

“ไอ้ซั่น!”

“โอ๊ะ! ฉลาดหลักแหลมที่สวด เก่งมากกก”

“ปัญญาอ่อน!” ผมกระแทกเสียงคำว่าปัญญาอ่อนออกมาได้เต็มปาก ก่อนจะคว้าคอเสื้อไอ้คนที่คุยกับตัวเองในกระจกให้เดินตามออกมาจากลิฟต์ อยากจะรู้จริง ๆ ว่าคนแบบนี้แม่งเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน ส่วนสังคมที่มันอยู่ผมไม่อยากรู้แล้วล่ะ แค่เจอไอ้อิสกับไอ้ไฉมันก็ชัดมากพอแล้วว่าสังคมของไอ้ซีซั่นนี่มันไร้คุณภาพขนาดไหน

“สวัสดีคร๊าบบบบ”

“เวร เวรกรรมของกู” ขอบ่นหน่อยเถอะครับแต่ผมไม่ไหวจริง ๆ ที่ต้องปรับอารมณ์ให้เป็นปกติสุข ผมต้องใช้ความพยายามสูงที่จะมองทุกการกระทำของซีซั่นเป็นเรื่องตลก ไม่ว่ามันจะยกมือสวัสดีประตูห้องผม…

“เตียงของผมมมมมม” ไม่ว่ามันจะถลาเข้าไปในห้องแล้วทรุดตัวลงไปคลานกับพื้น…

“เออดี ยังไม่ได้ถูห้องพอดี”

“อ้าาาาาาา ดีจังเลย” ไม่ว่ามันจะนอนแน่นิ่งข้างพรมเช็ดเท้าขวางทางประตูโดยที่ผมไม่ต้องออกแรงทำห่าอะไรเลย!

“มึงเลือกนอนตรงนี้เองนะ หึ”

“แฟนนนน แฟนซีอยู่ไหนเนี่ย”

“นี่ไง แฟนมึง” ผมเตะพรมเช็ดเท้าล้านปีที่ไม่เคยซักเข้าใกล้คนเมาที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น และแน่นอนคนอย่างมันก็คว้าผ้าที่ผ่านตีนผมเข้าไปกอดโดยไม่อิดออดใด ๆ จะหาว่าผมใจร้ายไม่ได้นะครับ ผมใจดีแค่ไหนแล้วที่ยอมลากมันกลับห้องมาด้วย เพราะฉะนั้นที่นี่เป็นห้องผม ผมจะทำยังไง จะปล่อยให้มันนอนตรงไหนก็ย่อมได้

“อืออออออ”

“เฮ้ย… ซั่น” ผมใช้ปลายเท้าสะกิดช่วงกลางหลังซีซั่นจนแน่ใจว่ามันสลบเมือดไม่ได้สติไปแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นขึ้นจนกระทั่งผมตัดสินใจเข้าห้องนอนไปอาบน้ำ สายน้ำเย็นจากฝักบัวไหลผ่านร่างทำให้ผมรู้สึกง่วงมากขึ้นกว่าเดิม อาจจะด้วยเพราะเบียร์ที่ดื่มเข้าไปไม่น้อย และด้วยช่วงเวลาตอนนี้ที่ปาไปราว ๆ ตีหนึ่ง ซึ่งผมควรจะหลับฝันถึงนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ทอยู่บนเตียงมากกว่ายืนอาบน้ำแปรงฟันหน้ามึนอยู่ตรงนี้

“เฮ้! ฮัดดดดช่าาาาา” เสียงโวยวายจากนอกห้องน้ำทำให้ผมที่กำลังแปรงฟันเป็นขั้นตอนสุดท้ายชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเงี่ยหูฟังก็ผมว่าทุกอย่างเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเดาไม่ผิดซีซั่นก็คงจะเผลอละเมอออกมาด้วยประโยคแปลก ๆ คิดแล้วก็ท้อแท้กับชีวิต คืนนี้ผมจะได้นอนดี ๆ มั้ยครับพี่น้อง

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จ ผมก็หาวบิดขี้เกียจและอดไม่ได้ที่จะมองสิ่งมีชีวิตที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่กับพื้นด้วยสายตาเวทนาเหมือนมองหมาข้างทางตัวนึง ในห้องพักขนาดมาตรฐานของผมใช้แอร์ตัวเดียวเชื่อมกันทั้งห้อง ไม่ว่าจะส่วนโถงหรือส่วนห้องนอนที่แยกเป็นสัดส่วน นั่นก็หมายความว่าในยามที่ผมนอนหลับสบายอยู่บนเตียง อาจจะมีหนึ่งชีวิตตรงนี้หนาวจนไข่แข็งตายไปซะก็ได้ ด้วยความเป็นชายหนุ่มผู้แสนดีจึงทำให้ผมเดินไปค้นเอาผ้าห่มผืนเล็กออกจากตู้แบบไม่ต้องคิดให้มากความนัก

“ไอ้ซั่น...” ผมพยายามเอ่ยเรียกซีซั่นที่นอนอ้าปากหวอไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งชันเข่าจนได้ยินเสียงกรนเบา ๆ เหมือนเรือยนต์น้ำมันหมด ไม่ใช่อะไรหรอก ไอ้ที่มันกอดอยู่ตอนนี้เป็นผ้าเช็ดเท้าผืนที่มีค่าที่สุดในห้อง ก็แค่กลัวว่ากว่าจะเช้ามันจะเผลอทำน้ำลายยืดใส่ผ้าเช็ดเท้าผมเข้า

“...........”

“ปล่อยก่อนดิวะ” ผมออกแรงดึงผ้าเช็ดเท้าขณะที่มันยังคงกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เลยทำได้แค่วางผ้าห่มทิ้งเอาไว้ข้าง ๆ ตัว อย่าคิดว่าจะง้อนะ! เชิญนอนกอดฝุ่นต่อไปตายสบายเลยโว้ย

และดูเหมือนว่าทุกอย่างในการคบกันปลอม ๆ วันแรกจะจบลงตรงนี้ ผมเดินไปล็อคห้องให้แน่นหนาโดยไม่ลืมที่จะปิดไฟกลางโถง แสงไฟจากโคมในห้องนอนสาดเข้าใบหน้าคมของคนที่ผมแสนเบื่อจากระยะไกล เงาสะท้อนตกกระทบยิ่งทำให้ใบหน้าของซีซั่นดูคมคายได้รูป อยากจะรู้นักว่าใครสร้างสรรค์ใบหน้าท่ามกลางหัวเกรียน ๆ นี่มา อยากจะเข้าไปถามเหลือเกิินว่าแถมปากมาให้มันด้วยทำไม

ผมทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับกระชับผ้าห่มให้รู้สึกสบายตัวมากที่สุด เปลือกตาหนัก ๆ อยากจะปิดลงและจบบทสรุปของวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนว่าสมองของผมมันจะตื่นตัวไม่ถูกเวลาเท่าไหร่นัก ในหัวมันมีแต่เรื่องของคนที่นอนขวางคาประตูห้องเวียนเข้ามาไม่หยุด เอาเข้าจริง ผมกับซีซั่นก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาซักพัก นับตั้งแต่ที่มันประกาศจีบณนนเพื่อนของผม และตั้งแต่นั้นมันก็กลายเป็นสีสันหนึ่งของชีวิตที่ไม่เคยหายไป คนบ้าอะไรยึดความคิดตัวเองเป็นที่หนึ่ง มองโลกในแง่บวกจนเหมือนไม่มีสมอง มโนภาพว่าตัวเองเป็นพระเอกตลอดเวลา แถมยังมีระดับความหน้าด้านหน้าทนเกินชาวโลกไปอีก แต่ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นผมก็ไม่เคยคิดว่าไอ้สีสันที่ว่ามันจะเป็นเพียงสีพาสเทลเท่านั้น เพราะทุกอย่างมันเริ่มเข้มข้นอย่างมากในวันนี้ ...ให้ตายเถอะ ตอนนี้ชีวิตผมกำลังจะเป็นสีรุ้งเข้มปรี๊ดดดด

Rrrrrrrrrrrrr

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ทำให้ผมที่พยายามจะกล่อมตัวเองให้หลับต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ นี่ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้วใครมันจะโทรมาขายประกันตอนนี้วะ เอ๊ะ หรือว่าจะมีเหตุด่วยเหตุร้ายจากใครซักคน

Nanon

พอเห็นรายชื่อที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ผมก็กดรับสายทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดให้มากความนัก คนอย่างไอ้นนมันมีความเกรงใจอยู่สูงถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันมากก็ตาม เพราะฉะนั้นการที่มันโทรมาดึกดื่นแบบนี้จะต้องมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน และอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ผมจึงผุดตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อกดรับสายทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิดอะไรให้มากความนัก

“ฮัลโหลมึง ว่าไง” ผมพูดออกไปทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ก่อนเสียงเศร้า ๆ ที่เอ่ยสวนกลับมาจะทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย

“นอนยังวะ กูกวนรึเปล่า”

“เปล่า มึงมีอะไรรึเปล่า กูคุยได้” ผมตอบไปทั้ง ๆ ที่มืออีกข้างกำลังตบเข้าแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ ครั้งสุดท้ายที่ณนนโทรมาแบบนี้ก็เพราะทะเลาะกับคีณ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นสองคนนั่นก็ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงจนให้ผมเป็นที่พึ่งอีกเลยนี่นา แต่ถ้าจะให้คิดเป็นประเด็นอื่นนอกจากเรื่องผัวเมียมันก็คงไม่ใช่

“มึง… คือกู…” ณนนดูอ้ำอึ้งและเงียบไปหลายวินาที ผมถอนหายใจส่งไปให้ปลายสายทันทีเพราะคาดเดาได้ว่าเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจคนที่ต้องการที่พึ่งคงไม่ไม่ผิดจากที่ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก

“พี่คีณทำไมอีกอ่ะ”

“มึงรู้ได้ไงวะ”

“กูเป็นเพื่อนมึงมั้ยวะ มึงโทรมาแค่นี้กูก็รู้เล้า” ผมปรับเสียงให้ดูนิ่งสงบที่สุด คนที่กำลังมีปัญหาทางใจคงไม่ต้องการเสียงเกรี้ยวกราดโวยวายเท่าไหร่นัก

“กูเครียด”

“เรื่องอะไรวะ พึ่งไปกินข้าวกับพ่อพี่คีณมาไม่ใช่หรอ”

“กูกังวลอ่ะ จู่ ๆ พ่อพี่คีณเขาพูดเรื่องแต่งงาน… ทำไงดีวะ”

“............” สิ้นเสียงณนนผมก็นิ่งเงียบไปทันที อะไรทำให้เพื่อนผมเครียดกับเรื่องที่ฟังดูน่ายินดีแบบนี้วะ แม่งเอ๊ย! มีแฟนหล่ออย่างเข้ รวยอย่างป๋า แถมรักจนแทบจะกราบตีนเช้าเย็นขนาดนี้ยังมาเสือกเครียด นี่ว่าที่พ่อสามีพูดเรื่องแต่งงานยังจะมากังวลอีก โธ่! นี่ใครมันเอาวิญญาณดาวพระศุกร์มาเข้าสิงเพื่อนกูวะ!

“คือเขาอยากให้มึงกับพี่คีณแต่งกันงี้หรอ”

“ก็ไม่เชิง… แต่คงหมายความตามนั้น”

“พ่อพี่คีณก็เคยเจอแม่มึงแล้วนี่ มีอะไรน่าห่วงอีกวะ” อย่าพูดเรื่องเดิม ๆ ที่ว่ากลัวพี่คีณเขาจะเสียชื่อเสียงอะไรนั่นก็พอ ถ้าได้ยินอีกนะ พ่อจะโบกให้หน้าหันสามร้อยหกสิบองศาแทบไม่ทัน

“คือ….มึง”

“เออ กูฟังอยู่”

“คีณเขายังไม่เคยพูดซักนิดว่าเขาแบบ… แบบอยากแต่งงานไรงี้อ่ะ”

“............”

“แล้วคือกูก็เป็นผู้ชายกันทั้งคู่ กูว่ามันยาก”

“............”

“จริง ๆ นะเว้ย” ณนนย้ำเหมือนจะรู้ว่าผมไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด มันก็แน่อยู่แล้วโว้ยยยย ก็เห็นกับตาแถมไหนจะที่ไอ้นีลเล่าให้ฟังอีก ไอ้ที่ไปมุ้งมิ้งหน้าคณะจนกูซวยซ้ำซวยซ้อนเรื่องไอ้ซีซั่นนี่มันเรื่องอะไร พิธีขอส่วนบุญหรอ โอ้โห สวมแหวนขนาดนั้น เสือกบอกว่าเขาไม่เคยพูด

“เมื่อวานไง มึงอย่าโง่ พี่คีณเขาให้แหวนมึงแล้วนี่”

“มันไม่เหมือนกันอ่ะ”

“ไอ้นนนนนนนน” ผมลากเสียงชื่อผู้เป็นเพื่อนยาวเฟื้อยเพราะเหนื่อยใจกับเพื่อนที่คิดมากคิดเล็กคิดน้อยยิ่งกว่าชะนีหมดเมนส์อย่างมันเหลือเกิน แล้วนี่หลังจากเปิดตัวว่าคบพี่คีณก็ยิ่งทวีคูณความเยอะสิ่งขึ้นมากกว่าเดิม จะว่ารำคาญมันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่าผมเข้าไม่ถึงโมเม้นต์งุ้งงิ้งง้องแง้งของมันกับแฟนก็แล้วกัน

“มึง กูเครียดจริง ๆ นะ”

“เออ กูรู้ว่ามึงเครียดจริงถึงได้โทรมาหากูเนี่ย ไหน มาให้กูตบหัวเรียกสติใกล้ ๆ ซักทีสิ เห้อ….” ผมถอนหายใจส่งไปให้เพื่อนรักอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวล้มลงไปบนเตียงด้วยความหงุดหงิดใจ แล้วเชื่อเถอะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกไม่เกินห้านาทีพี่คีณก็จะโทรมาขอคำปรึกษาจากผมเช่นกัน แล้วอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นไอ้นนก็มาจะเคาะประตูหน้าห้องผมเพราะหนีพี่คีณมา

“กูมาให้ตบแล้ว… อยู่หน้าห้องมึงเนี่ย”

นั่นง่ะ พูดปุ๊บ มาปั๊บ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตามที่คาดด้วยซ้ำ ปั๊ดโธ่

“เออ เข้ามา”

“มึงมาเปิดดิ”

เดี๋ยวนะ! อยู่หน้าห้อง! เพื่อนรักของเทม ณนนคนดีของเทม มึงพูดอะไรออกมา มึงจะทะเลาะกับหลัวและมาหากูวันไหนก็ได้ แต่มึงจะหนีหลัวมาห้องกูวันนี้ตอนนี้ไม่ได้โว้ยยย

“ม...มึงว่าอะไรนะไอ้นน” เสียงของผมติดอ่างทันทีที่ตั้งสติได้ ร่างกายมันเด้งพรวดขึ้นมายืนกับพื้นพร้อมสกิลการสั่นพรั่บ ๆ เพราะกลัวความผิด ผมเปิดประตูห้องนอนแล้วมองผ่านความมืดออกไปยังคนที่ยังนอนขวางทางเข้าห้องอยู่เช่นเดิม เชี่ย ซวย! ซวยแล้ว! ถ้าณนนเข้ามาเห็นไอ้ซีซั่นในห้องผมตอนนี้ผมจะอธิบายออกไปว่ายังไง แล้วผมก็คงจะทิ้งเพื่อนตัวเองที่กำลังต้องการที่พึ่งทางใจไว้นอกห้องคนเดียวไม่ได้

“กูอยู่หน้าห้องมึงแล้วอ่ะ” เสียงอ่อย ๆ ผ่านสายโทรศัพท์ของผู้เป็นเพื่อนทำให้ผมต้องฝืนกลืนน้ำลายลงคอ สองขาของผมย่องเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าซีซั่นอย่างชั่งใจ

“ม...มึงรอแปบนะ คือ...” ผมกำลังนึกถึงข้ออ้างดี ๆ ที่จะทำให้ไม่ต้องเปิดประตูต้อนรับเพื่อนตัวเองแล้วต้องจ๊ะเอ๋ใครอีกคน ก่อนที่สุดท้ายผมจะตัดสินใจใช้มือข้างนึงคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของซีซั่นแล้วออกแรงลากจนสุดแรงเกิด เอาวะ! กันไว้ดีกว่าแก้!

“ฮัลโหลมึง… เทม”

“เออ ๆ” ผมขานรับออกไปทั้งที่ลากไอ้กรวยซั่นเข้าห้องนอนตัวเองด้วยความยากลำบาก ผมทิ้งซากมันไว้บนพื้นข้างเตียง ก่อนที่จะปิดประตูห้องนอนให้เรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มึงไม่สะดวกใจอะไรรึเปล่าวะ” ผมมาหยุดยืนที่หน้าประตูทั้งที่ไม่มั่นใจนัก สุดท้ายแล้วการปฏิเสธเพื่อนอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ไหน ๆ ไอ้นนก็บังเอิญมาถึงห้องผมด้วยเวลาป่านนี้แล้ว ก็หวังว่าไอ้ซีซั่นจะไม่บังเอิญตื่นขึ้นมาตอนนี้อีกคนก็แล้วกัน

“เปล่า...” ฝ่ามือข้างนึงของผมกำลังจะปลดล็อคประตูห้องที่ล็อคเอาไว้เองกับมือ แต่แล้ววินาทีที่ไม่คาดฝันก็ทำให้ร่างกายของผมชาวาบไปทั้งร่าง สองขามันนิ่งสนิทพร้อม ๆ กับความร้อนทั่วร่างที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่ผมหายใจเข้าออก

“จะไปไหนครับเทม” เสียงที่กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูกำลังจะทำให้ผมแข็งเป็นหิน สิ่งมีชีวิตอีกคนในห้องกำลังกอดเอวผมจากด้านหลัง วงแขนแกร่งรัดแน่นเกินกว่าที่แรงของผมจะดิ้นออกไปได้หลุด แถมยังลูบไล้ไปมาในจุดที่ไวต่อความรู้สึกโดยไม่เกรงอกเกรงใจพุงน้อย ๆ ของผม และที่เลวร้ายที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่ลมหายใจอุ่นร้อนเริ่มเข้าใกล้ชิดสนิทใบหูซ้าย ก่อนจะลุกลามเรื่อยมาจนผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นนุ่มหยุ่นบริเวณลำคอที่เล่นเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ไอ้เหี้ยยยยยย!

อยากกรี๊ด!

แต่ถ้ากรี๊ดตอนนี้ ณนนมันก็รู้สิโว้ยยยย!





ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“จะไปไหนครับเทม” เสียงที่กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูกำลังจะทำให้ผมแข็งเป็นหิน สิ่งมีชีวิตอีกคนในห้องกำลังกอดเอวผมจากด้านหลัง วงแขนแกร่งรัดแน่นเกินกว่าที่แรงของผมจะดิ้นออกไปได้หลุด แถมยังลูบไล้ไปมาในจุดที่ไวต่อความรู้สึกโดยไม่เกรงอกเกรงใจพุงน้อย ๆ ของผม และที่เลวร้ายที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่ลมหายใจอุ่นร้อนเริ่มเข้าใกล้ชิดสนิทใบหูซ้าย ก่อนจะลุกลามเรื่อยมาจนผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นนุ่มหยุ่นบริเวณลำคอที่เล่นเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ไอ้เหี้ยยยยยย!

อยากกรี๊ด!

แต่ถ้ากรี๊ดตอนนี้ ณนนมันก็รู้สิโว้ยยยย!

ก็อก ๆ ๆ

“มึง… มึง... เทม… เทมมึงได้ยินกูมั้ย” ผมรู้สึกว่าฝ่ามือข้างที่ถือโทรศัพท์เอาไว้แนบหูเริ่มเปียกชื้นจากความตื่นเต้นที่ไม่ควรเกิด ยิ่งผมดิ้นไอ้ซีซั่นก็ยิ่งรัดตัวผมเอาไว้แน่นขึ้น เสียงเคาะประตูตรงหน้าและเสียงผ่านสายโทรศัพท์ยิ่งทำให้ผมว้าวุ่นใจ หรือว่าทุกอย่างจำต้องจบตั้งแต่วันแรกจริง ๆ จบภารกิจพิชิตเพื่อน จบความสัมพันธ์จอมปลอมแฟนพิลึก และจบชีวิตไอ้คนที่แนบชิดกับผมอยู่ตอนนี้!

“โทษทีว่ะ… อือ… คือกูไม่ได้อยู่ห้อง” ผมกัดฟันพูดออกไปและละอายแก่ใจเหลือเกินที่หลุดเสียง ‘อือ’ ที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็นเรื่องบัดซบในชีวิต ริมฝีปากหนายังคงวุ่นวายอยู่กับลำคอผม และการที่ผมยอมยืนจิกเท้าแน่นอยู่ตอนนี้ก็เพราะให้มันใช้ปากทำอย่างอื่นก็ดีกว่าให้มันใช้ปากพูดออกมาจนณนนได้ยิน ผมจะอดทน! ผมจะอดทน!

“อ้าว…”

“ม...มึงไปหาไอ้เฟย์ก่อนนะ”

“ไม่เป็นไรว่ะ ขอบคุณนะ” ผมไม่สบายใจเลยที่ได้ยินเสียงแบบนั้นจากเพื่อน สายถูกตัดไปพร้อมความเงียบที่หน้าห้อง ผมอยากจะชะโงกมองตาแมวออกไปดูสถานการณ์ แต่แรงรั้งจากซีซั่นก็ทำให้ผมไม่อาจทำตามใจ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการค่อย ๆ ถอยฝืนแรงมันทีละนิด พ้นเขตหน้าประตูเมื่อไหร่ล่ะมึง!

“มึงตายแน่” ผมกัดฟันพูดให้เบาที่สุด เจ้าของริมฝีปากที่ทำคอผมเปียกไปด้วยน้ำลายหยุดการกระทำนั้น ก่อนที่มันจะยื่นหน้าเข้ามาแนบชิดกับแก้มผม สัมผัสผิวหน้านุ่มนวลที่ชิดถึงกันทำให้ผมรู้สึกว่าใบหน้ากำลังฉาบไปด้วยไอร้อนจำนวนมาก ให้ตายเถอะ ผมไม่กล้าเหลือบตามองไปทางมันด้วยซ้ำ

“อยากตาย ทำไงดี” ซีซั่นกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนรู้งาน ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นและง้างศอกขึ้นสุดแรงเพื่อทำการฌาปนกิจคนที่บังอาจรุกล้ำร่างกายผมโดยไม่ได้รับอนุญาต

ย๊าาาาากกกกก

“นน! นึกอยู่แล้วว่าต้องมาที่นี่!” เสียงนุ่มทุ้มราวกับพระเอกหนังไทยดังลั่นที่หน้าห้องผม ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นแล้วปล่อยให้แขนที่กำลังง้างขึ้นค้างอยู่แบบนั้น นอกจากไอ้นนจะยังไม่ได้ไปไหนแล้วยังมีแขกไม่ได้รับเชิญเพิ่มขึ้นมาที่หน้าห้องอีกคน ดีเหมือนกันจะได้ลากไอ้นนออกไปจากตรงนี้ซักที

“จะมาทำไม”

“แล้วนนจะหนีคีณมาทำไม”

วินาทีนี้ผมไม่ได้สนใจฟังประโยคไหนของใครซักเท่าไหร่ สิ่งที่ได้ยินไม่ได้ชวนตื่นเต้นได้เท่าการกระทำของคนคนนึงที่ผมกำลังได้กลิ่นลมหายใจของมันอยู่ แขนขวาที่เคยอยู่เหนือหัวตกลงมาข้างกายเมื่อแรงสูบฉีดเลือดมันเพิ่มขึ้นมากเกินปกติ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะมึง”

“ชู่วววว… เดี๋ยวคนข้างนอกได้ยินนะ” ผมพยายามจะดันหัวที่พาดวางอยู่บ่นไหล่ให้ออกไปไกลตัว แต่ก็ยังพะวงกับการดึงมือมารออกจากเขตชั้นในภายใต้การปกครองสูงสุด มีมือนึงกำลังเล่นตลกอยู่บริเวณขอบกางเกงขาสั้นของผม เรียวนิ้วนั่นค่อย ๆ สอดเข้ามาเล่นปูไต่ช่วงท้องน้อยเหนือที่อยู่ของลูกชาย ขณะที่อีกมือล้วงผ่านใต้เสื้อเข้ามาวุ่นวายกับเนื้อตัวที่ผมไม่เคยยอมให้ใครได้แตะต้องมัน

ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย!

ผมพลิกตัวสุดแรงเกิดจนกระทั่งสามารถหันหน้ามาประชันกับบุคคลในห้องได้อีกครั้ง ความมืดสลัวทำให้ผมเห็นสีหน้าตัวการได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ที่ชัดเจนสุด ๆ ก็คงจะเป็นแววตาเจ้าเล่ห์หื่นกระหายเหมือนคนอดยาก อดชักว่าวมาซักสามปี ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะพลิกสถานการณ์ทุกอย่างได้ ใช่…. ผมพลิกได้ พลิกตัวให้มันมากักขังไว้กับกำแพงข้างประตูเนี่ยล่ะโว้ย!

“เป็นอะไรไหนบอกคีณสิ… งอนอะไรบอกคีณสิครับ เมื่อเย็นก็ยังดี ๆ นี่นา”

“ไม่ได้เป็นอะไร”

เสียงจากนอกห้องทำให้ผมต้องหลีกเลี่ยงจากโหวกเหวกโวยวาย แม้ว่าตอนนี้ผมจะเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง วงแขนแกร่งยกขึ้นชันกับผนังทั้งสองข้าง ขณะที่ผมถูกล้อมไว้กลางแขนนั่นอย่างไม่มีทางหนีทีไล่ วินาทีที่พยายามจะจ้องตาเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายถอยออกไป ก็กลายเป็นผมเองที่ถูกสายตาของมันสาปจนแทบจะแข็งเป็นหิน

“คีณมีงานด่วนที่สตูจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจให้กลับห้องคนเดียวเลยนะ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

ซีซั่นทำท่าเงี่ยหูฟังบทสนทนาด้านนอกห้องแล้วพยักหน้างึกงัก ก่อนที่ความซวยทั้งหมดจะตกมาอยู่ที่ผมอีกครั้งพร้อม ๆ การฝังเขี้ยวลงไปที่ช่วงไหล่จนผมสะดุ้งโยงยกมืออุดปากแทบไม่ทัน การฝังคมเขี้ยวเชิงหยอกล้อทะลุผ่านเนื้อผ้าลงและตามมาด้วยความรู้สึกถูกลิ้นดุนดันอยู่โดยรอบบริเวณนั้น ผมพยายามต่อสู้ด้วยการจิกลงไปที่กลางหัวเพื่อดึงไอ้ปลาซัคเกอร์นี่ออกจากตัว แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเพราะไอ้ซีซั่นไม่มีผมที่ยาวพอให้ผมดึงได้แม้แต่เส้นเดียว

“ณนน ไม่งอแงแบบนี้สิ”

“ก็รู้แล้วว่างี่เง่า”

“เมื่อกี้คีณพูดว่างอแงครับ ไม่ได้พูดว่างี่เง่า”

แม่งเอ้ยยยยยย! มึงช่วยไปทะเลาะกับหลัวให้ไกลจากเขตหน้าห้องกูได้มั้ยวะณนนเพื่อนเลิฟ จะวิ่งง้อกันยาวเป็นกิโลเท่าหนังภารตะแถบอินเดียเลยก็ได้ แต่ตอนนี้เพื่อนมึงกำลังจะโดนแดกอยู่แล้ว ไอ้ซีซั่นมันกำลังแทะเพื่อนมึงเหมือนจะรับประทานแทนอาหารมื้อดึกอยู่แล้วโว้ย!

“เรื่องที่พ่อคีณพูดใช่มั้ย หืม”

“..............” เออ! พูดไปสิวะ พูดไปเลยว่างอนด้วยเรื่องเบาสติปัญญาเรื่องไหนอยู่ อย่าลีลาให้เสียเวลาและเสียท่วงท่าเลยเพื่อนรัก

“ปล่อย… ไอ้ซีซั่น หยุดเหี้ยเดี๋ยวนี้” ผมพยายามปล่อยเสียเบา ๆ ลอดไรฟันออกมา แต่หาได้มีประโยชน์ไม่ ริมฝีปากหนายังคงขมเม้มเหนือเสื้อยืดของผมไม่หยุด มิหนำซ้ำมันยังต่ำลงมาเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความอดทนของผมที่เริ่มลดต่ำจนถึงขีดสุด

“ชู่ววววว….อุ๊ก” ปั๊ก!! ผมกระทุ้งเข่าเข้าที่ช่วงหว่างขาของซีซั่นเต็มแรง ชู่วพ่องชู่วแม่งมึงดิ ทำมากัดกูเหมือนลูกหมาคันฟันไปได้

“.............” ผมไม่ได้พูดอะไรอีกใช้เพียงสายตาโกรธจัดแสดงอารมณ์ทั้งหมดออกไปเท่านั้น ในจังหวะที่ซีซั่นโค้งตัวตัวลงไปกุมเป้าหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด ผมก็ผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรง สองมือของผมกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นสายตาชวนขนลุกที่มันมองมาผมก็ยิ่งรู้สึกประหลาด แต่ก็กลัวว่าถ้าออกแรงกระทืบมันตอนนี้จะมีเสียงโอ้กอ้ากดังลอดออกไปนอกห้อง

“อ...”

“อย่า ร้อง นะ มึง” ผมอ้าปากเป็นคำ ๆ ผ่านความมืดสลัวให้ซีซั่นอ่านปากผมได้ แต่ผมกลับเห็นรอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากขณะที่มันมองผ่านตัวผมไปยังประตูห้อง สาบานเถอะว่ามึงคือคนเดียวกับไอ้ที่นอนเมาเหมือนลูกหมาเมื่อกี้ แล้วตอนนี้เป็นอะไร ติดเชื้อหมาบ้าหรอ!

“โอ้ยยย… อุ๊บ” ดีที่ผมรู้ทันว่าซีซั่นกำลังจะโอดโอยและแหกปากสำออยออกมา ผมจึงจำต้องเข้าประชิดตัวมันแล้วยกมือขึ้นอุดปากมันไว้ทันที หูสองข้างของผมก็กำลังเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ได้แต่ภาวนาให้คู่รักแห่งปีจรลีไปจากหน้าห้องผมซักที

“เงียบ” ผมกระซิบเสียงเบา ขณะที่มือขวายังวางทาบอยู่กับริมฝีปากมัน ดวงตาคมคู่นั้นเริ่มมองผมอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ระยะประชิดระหว่างผมกับมันก็ทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมองกลับไป บางอย่างบนแววตา บนใบหน้า และบนกรอบหน้าคมท่ามกลางหัวเกรียน ๆ ทำให้ผมแน่นิ่งไปเหมือนคนโดนไฟฟ้าช็อต หรือบางทีผมอาจไม่ได้อ่านไอ้บ้านี่ออกแม้แต่นิด สายตานี่มันคนละเรื่องกับเมื่อชั่วโมงก่อน คนละเรื่องกับที่ผมเคยมองมันมา และเหมือนว่าไอ้ซีซั่นที่ไล่กัดตัวผมเหมือนหิวเป็นคนละคนกับไอ้คนที่สวดมนต์กลางร้านลาบ

เชี่ย! หรือว่ามันโดนผีเข้า

เชี่ยยยยย! หรือเป็นผมเองที่โดนผีเข้า



“อือ...”

“เงียบ...” ผมย้ำคำ ๆ เดิมซ้ำอีกครั้ง เสียงทะเลาะของเพื่อนสนิทและแฟนยังคงสะท้อนเข้ามาในหูอยู่เรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่าย ๆ มือที่ปิดปากใครบางคนอยู่ก็ยิ่งต้องกระชับให้แน่นมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่ามันจะแปลก ๆ ที่ผมต้องสัมผัสตัวคนที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่ แต่มันก็ยังดีกว่าการปิดปากมันด้วยการปล่อยให้มันกัดจนตัวลายก็แล้วกัน

“นน คีณว่าเราต้องพูดเรื่องนี้กันแบบจริงจังแล้วนะ”

“คีณนั่นแหละที่ไม่เคยจริงจัง” เสียงน้อยอกน้อยใจของณนนยังค่อยพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ผมเหลือบตาไปมองที่ประตูด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ จะเอายังไงกันก็ตัดสินใจซักทีสิวะ หรือจะคุยเรื่องแต่งงานแล้วถ่ายพรีเวดดิ้งหน้าห้องกูซะเลยล่ะ

“เอ๊ม...”

“หุบปาก” ผมเริ่มหงุดหงิดเมื่อซีซั่นพยายามจะอ้าปากพูดอะไรออกมา แรงถูกส่งไปที่มือมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าผมจะสามารถควบคุมซีซั่นเอาไว้ ณ จุด ๆ นี้ได้ แต่เปล่าเลย สิ่งที่ทำให้ผมนึกดีใจมันผิดถนัด เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมคิดว่าการอุดปากซีซั่นเป็นการคุมสถานการณ์ที่ได้ผลผมก็เริ่มคิดได้ว่าทั้งสองมือ สองขา และสองตาของมันยังคงเป็นอิสระและอยู่เหนือการควบคุมของผม

แต่กว่าจะคิดได้มันก็สายเกินไป

“.........”

“.........” ความเงียบเข้ายึดทั้งห้องในแบบที่ผมต้องการตั้งแต่แรก เสียงหัวใจเต้นตึกตักดังชัดขึ้นจนผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าผมกำลังรู้สึกเหมือนวิ่งรอบสนามศุภชลาศัยมาซักสามรอบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมถูกซีซั่นใช้สองมือจับเข้าที่ท้ายทอยแล้วดึงเข้าหาตัวสุดแรง มันคงไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าการที่ตอนนี้ริมฝีปากของผมกำลังสัมผัสอยู่กับหลังมือตัวเอง และแน่นอนว่าอีกฟากฝั่งของมือข้างนี้ก็มีริมฝีปากของใครอีกคน ...ใครอีกคนที่หลับตาพริ้มลงไปเหมือนไม่ได้กระทำการอุกอาดใด ๆ เอาไว้เลย

ความหนาของฝ่ามือไม่ได้ทำให้อุ่นใจ

ฝ่ามือที่กั้นกลางก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยใด ๆ เลยเช่นกัน

“เราไปคุยกันที่อื่นเถอะคีณ… ดูท่าว่าเราคงจะต้องคุยกันยาว เกรงใจชาวบ้านเขา”

“เดี๋ยวก่อนสินน นน! รอคีณด้วย!”

พึ่งจะรู้ตัวหรอว่าควรไปตั้งนานแล้ว นี่พึ่งรู้ตัวหรอครับเพื่อน!

จะมาสำนึกดีอะไรตอนที่น้องเทมคนนี้ต้องเปลืองตัวจนหมดสิ้นค่าของกายหยาบ

พวกคุณมึงจะไปทำไมตอนนี้!

“เหี้ย! ทำอะไรของมึงวะ!” ผมรวบพลังทั้งหมดถีบซีซั่นจนล้มลงไปไถลกับพื้น เลือดโกรธที่สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าบอกให้ผมอย่าออมแรงทั้งหมดทั้งมวลที่มาจากความโมโห ยิ่งมองคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทำให้ร่างกายผมร้อนขึ้นเพราะภาพเหตุการณ์เมื่อครู่มันยังชัดอยู่ในสมอง ไอ้ปากสวะ ไอ้มือผี ไอ้บ้าซั่นสติเสีย!

“เราก็แค่ทำเรื่องที่แฟนเขาควรจะทำร่วมกัน… ฟินป่ะ” น้ำเสียงฉอเลาะและรอยกระตุกยิ้มทั้งที่ตัวเองยังนอนจุกอยู่กับพื้นยิ่งทำให้ผมโมโห และวินาทีนี้ผมรู้สึกว่าควรจะต้องออกกำลังกายเตะแข้งเตะขาเรียกเหงื่อให้หนำใจก่อนนอนเสียหน่อย

ปั๊ก! ผัวะ! ปั๊ก!

“ด้วยการกัดกูเนี่ยนะ! ไอ้ควาย!”

“นั่นเรียกดูดมั้ยอ่ะ โอ๊ยยยยย เทม ….อั๊ก...ใจเย็นนนน เทมมมม ใจเย็นก่อน!”

ปั๊ก!

“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้วโว้ย!”

“แต่แฟนจะไม่อ่อนโยนแบบนี้ไม่ได้นะ โอ้ยยยย อย่า ๆ พอแล้ว ๆ”

ผัวะ! เพี๊ยะ!

“กูจะเอาเลือดหัวมึงออก!”

“อร๊ากกกกก เทมมมม อย่าทำผมเราเสียทรงงงงง”





มีใครพอจะรู้บ้างครับว่าเบอร์โทรฉุกเฉินโรงพยาบาลเบอร์อะไร

โทรเรียกไว้เผื่อมีคนตายก็น่าจะดี





ออ





ไม่เป็นไร ผมเปลี่ยนใจแล้ว

เดี๋ยวผมโทรหาวัดจองเมรุเผาศพเลยแล้วกัน





TBC.






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 5 เจ็บตัวแล้วได้ใจ


สวัสดีวันหยุด

สวัสดีตอนเช้า

สวัสดีสิ่งชีวิตทุกสปีชีส์ในห้องน้อยคอยรักของเทม

สวัสดีเจ้าไรฝุ่น

สวัสดีพี่ยุง

สวัสดีน้องรา

สวัสดีคุณแมลงสาบ

สวัสดีเจ้าแลคโตบาซิลลัสในขวดยาคู้

และ

สวัสดีซากศพมนุษย์

“คร่อกกกกก ค่อก คร๊ากกกก คึก”

นั่นไม่ใช่เสียงคำรามของสัตว์ร้ายแต่อย่างใด แต่มันเป็นเสียงกรนที่ดังออกมาจากสิ่งมีชีวิตไร้พิษสงที่น่าจะตายคาตีนผมไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่นับว่ายังโชคดีที่ผมคิดแล้วว่าเดือนนี้คงไม่มีเงินพอไปจ่ายค่าปรับคดีทะเลาะวิวาทขั้นต่ำ 500 บาท และก็คงไม่มีปัญญาไปจ้างทนายมาว่าความคดีฆ่าคนตาย เพราะฉะนั้นผมจึงไว้ชีวิตชายชั่วผู้ตัดผมเลียนแบบพระเอาไว้ก่อน

“ฮ้าวววววววว” ผมยกมือตบปากและตามด้วยการตบแก้มเพื่อเรียกให้ตัวเองตื่น สภาพหนังตาหนัก ๆ เป็นหลักฐานว่าเมื่อคืนผมนอนไม่พอและตอนนี้ใต้ตาของผมคงจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำน่าสะเทือนใจ ชะตากรรมอันน่าอดสูทำให้ผมต้องแบกรับเรื่องมากมายในหัวจนนอนไม่รับทั้งคืน และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพเช่นผีตายซาก ก็คือคนต้นเรื่องที่นอนกรนตลอดคืนจนเสียงทะลุเข้ามาถึงสัดส่วนเล็ก ๆ ของผม และโชคดีแค่ไหนแล้วที่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเสียงนั่นก็เริ่มเบาลง

ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้ซ้อมซีซั่นจนอาการปางตายอะไร ผมหยุดเมื่อเขาร้องขอชีวิตเป็นครั้งที่ห้า และปล่อยให้นอนอยู่บนโซฟาด้านนอกเพื่อไม่ให้ดูไร้มนุษยธรรมจนเกินไป แต่ก็ต้องเซฟตัวเองเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราไม่ควรจะเห็นใจคนบ้าและไว้ใจคนเมาในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำการ ‘ขังตัวเอง’ ครับ ผมหมายความตามนั้น เพราะสิ่งที่ผมทำคือเลื่อนชั้นเก็บของ ยกเก้าอี้ตัวใหญ่ไปขวางประตูห้องนอนเอาไว้จากด้านใน รวมทั้งการผูกลูกบิดประตูด้วยเชือกมัดรองเท้าตรึงไว้กับขาเตียง เอาเถอะ ถ้าเมื่อคืนเกิดดวงซวยโคตร ๆ ไฟไหม้ตึกขึ้นมาผมคงจะกลายเป็นผีเจ้าที่เฝ้าอยู่ที่นี่เพราะหนีไปไหนไม่ได้

“ฮึบ!” นั่นง่ะ… สุดท้ายผมก็ลำบากตัวเองต้องมาแกะเชือก และยกทุกสิ่งคืนที่เดิมทั้งที่ขี้มูกขี้ตาหลังตื่นนอนเกรอะกรังเต็มหน้า ผมค่อย ๆ แง้มประตูเหมือนกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงกรนพวกนั้นก็เงียบไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไอ้ซีซั่นจะยังอยู่ดีมั้ย หรือว่ามันจะยกเค้ากวาดทรัพย์สินไม่มีค่าในห้องผมไปแล้ว เหลือบตามองนาฬิกาก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง อันที่จริงตามวิสัยคนเมาก็น่าจะเริ่มมีสติและอยากกินน้ำปัสสะวะ

ผมค่อย ๆ ย่องออกมาและช้าลงเมื่อเห็นปลายเท้าข้างนึงเกินออกมาจากที่พักแขนโซฟา ห้องผมมีแอร์ตัวเดียวและจากเหตุการณ์ที่มันไล่กัดผม จึงทำให้ผมจำเป็นต้องกั๊กแอร์ไว้ในห้องนอนแต่เพียงผู้เดียวทั้งที่ปกติจะเปิดประตูให้อากาศมันถ่ายเทออกมาทั่วห้อง ก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อคืนอากาศตรงที่ซีซั่นนอนมันร้อนหนาวหรือไม่สบายตัวยังไงรึเปล่า

“เชี่ย........” ผมเม้มปากเรียบสนิทเมื่อเผลออุทานออกมา สองมือผมกำชายเสื้อตัวเองแน่นเมื่อก้าวเข้ามาในระยะใกล้และชะโงกมองใบหน้าของซีซั่น สายตาของผมปะทะกับรอยช้ำเขียวบนใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณรอบตาขวา ที่หนักสุดก็คงจะมุมปากซ้ายที่เหมือนจะมีรอยแตกจนเลือดซึมออกมา คุณพระ! คุณเณร! คุณชี! แล้วตามเนื้อตัวที่ผมกระทืบไม่ยั้งจะเป็นยังไงวะเนี่ย

ผู้ป่วย (นายปฏิทาน) ถูกทำร้ายร่างกายโดยชายผู้เป็นอริ (นายเทมนที) เวลาประมาณตีหนึ่งวานนี้ คาดว่าถูกทำร้ายด้วยหมัดและเท้า (ถูกต่อยและเตะ) ผู้ป่วยยกแขนและขารับเพื่อป้องกันตัวแต่ไม่เป็นผล จึงได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า ช่องท้อง แขน ขา และกลุ่มอวัยวะสืบพันธุ์ แต่ไม่ได้สลบ ณ เวลาเกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณสิบนาฬิกาของวันรุ่งขึ้น ชายผู้เป็นอริพบผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่ ณ สถานที่เกิดเหตุ

แค่จินตนาการถึงผลวินิจฉัยทางการแพทย์ที่อาจต้องใช้ในชั้นศาล น้ำลายในคอผมก็หนืดฝืดขึ้นมาเอาซะดื้อ ๆ คนที่นอนอยู่บนโซฟาตัวเล็ก ๆ นอนกอดอกแหกแข้งแหกขาเหมือนอยู่ในที่ของตัวเอง ขานึงพาดอยู่กับที่พักแขนโซฟา ส่วนอีกขาก็ข้ามไปพาดกับโต๊ะกลางหน้าโซฟาแบบไม่กลัวไข่โผล่ออกมาจากกางเกงบอล ผมวางมือลงกับเข่าตัวเองแล้วค่อย ๆ ก้มลงไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเฉดสีมากมาย ทั้งเขียว ทั้งม่วง ทั้งแดง ทั้งช้ำ และพบว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ยังมีลมหายใจสม่ำเสมอและคงจะไม่ตายง่าย ๆ

“ยังไม่ตายก็ดี ...เออจะตายได้ไงวะ กรนใส่กูทั้งคืน” ผมพูดเองเออเองในตอนที่ยังพิจารณารอยแผลบนหน้าซีซั่นไม่เลิก พึ่งจะรู้ว่าตัวเองมือหนักขนาดล้มควายตัวเป้ง ๆ ได้ จะว่าไปก็อยากจะพูดคำว่ารู้สึกผิดออกมาอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดที่ว่าภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อคืนมันมากระซิบที่ข้างหูว่าผมได้กระทำในสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว ไม่ตายก็บุญแล้วโว้ยยยยย!

“ก็ยังอ่ะดิ”

“.........!!” ผมสะดุ้งจนลมหายใจมันถอยหลังดังเฮือก และก็อีกเช่นเคยผมช็อตจนไม่อาจจะขยับตัวหนีได้ในทันที เปลือกตาเขียวช้ำที่ผมกำลังมองอย่างตั้งใจเปิดพรึบขึ้นมาเผยดวงตาคม ๆ ใสแป๋วที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน่าจะตื่นขึ้นมาได้ซักพัก แต่แปลกที่ซีซั่นจ้องผมกลับมาแล้วก็ดูนิ่งไปเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่วินาทีที่เราจ้องมองกันอยู่แบบนั้น แต่มันก็นานมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกว่ากรอบหน้ามันร้อนและชาแปลก ๆ

นี่มันอาการอะไรวะ ตะคริวกินหน้าหรอ หรือว่าผมโดนของ

“ดีจัง น่ารัก… โอ้ยยย!” ซีซั่นยิ้มตาหยีไม่เกรงใจร่องรอยศิลปะการต่อสู้ที่ผมทิ้งเอาไว้บนหน้า ก่อนจะร้องโอดโอยขึ้นมาราวกับไม่รู้ตัว เขายกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสบริเวณรอบดวงตาขวา ก่อนจะจ้องผมเขม็งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“อะไรของมึง” ผมยืดตัวขึ้นและถอยออกมาทันทีที่ตั้งสติได้ อย่าให้ใครรู้เชียวว่าไอ้สีหน้าท่าทางกร่าง ๆ ที่ผมแสดงออกไปตอนนี้ในใจแม่งโคตรหมา โคตรสั่น ไอ้เชี่ย น่าจะร้องเอ๋งให้รู้แล้วรู้รอด!

“นี่กูเป็นอะไรวะเนี่ย” ซีซั่นยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนโซฟา บิดตัวซ้ายขวาด้วยความยากลำบากเพราะคงจะปวดเนื้อปวดตัวอยู่มาก ก่อนจะยกแขนขาขึ้นตรวจสอบผ่านสายตาตัวเองด้วยท่าทีงง ๆ และแล้วปลายเสียงสุดท้ายที่คาดว่าพูดกับตัวเองจะสะบัดมาทางผม

กูไม่รู้! กูไม่รู้เลยว่ามึงเป็นอะไร!

“อย่าบอกนะว่า…” อย่าบอกนะว่ามึงลืมได้แม้กระทั่งเรื่องที่ถูกกระทืบ ดีมาก! ช่างเป็นคนที่มีมันสมองพรสวรรค์อะไรขนาดนี้ ลืมไปเลยนะไอ้เรื่องที่มาของรอยเขียวช้ำ แล้วจำเอาไว้ว่าอย่ามากัดกันเหมือนหมาชิวาว่าติดเชื้ออีกก็พอ

“เทม… ทำไมเราอยู่นี่อ่ะ”

“จำอะไรไม่ได้เลยหรอวะ”

“จำได้ว่านอนอยู่ตรงนั้น แล้วก็…” ซีซั่นชี้นิ้วไปตรงโซนหน้าประตูจุดเริ่มต้นของการประทับฝ่าเท้าแบบไม่พัก สีหน้าครุ่นคิดปรากฎขึ้นขณะที่ผมเริ่มใจหวิว ๆ เพราะรู้ดีว่าตราบใดที่ไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นปลาทอง คนเราก็คงไม่ลืมง่ายขนาดนั้น แต่เรื่องที่กลัวว่าจะถูกเอาเรื่องก็ทำให้ผมกังวลได้ไม่เท่าอีกเรื่องหนึึ่ง คิดดูสิครับว่าผมจะมองหน้าคนที่ทิ้งรอยไว้ที่เนื้อตัวผมได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจได้ยังไง ถึงแม้ว่าผมจะทิ้งรอยตีนไว้บนตัวมันมากกว่าก็เถอะ รอยจากตีนกับรอยจากปากมันเหมือนกันซะที่ไหน

“พอ! คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด เสียเวลา!”

“เอ้า ...อะไรอ่า”

“กลับไปได้ละ ลุก!” ผมไม่สนใจสีหน้าเหยเกและมึนงงที่กำลังส่งมาต่อว่าต่อขาน ผมพุ่งตัวเข้าไปคว้าต้นแขนขวาและออกแรงดึงตัวซีซั่นให้ลุกขึ้นจากโซฟา แต่แล้วไอ้มือที่ผมคิดว่าจับแน่นก็หลุดผล็อยปล่อยตัวการลงไปนั่งบนโซฟาตามเดิม เพราะเสียงร้องโอดโอยที่ดังลั่นราวกับเกิดคดีฆาตกรรม

“โอ้ยยยยยยยยยยย!!”

“ร...ร้องทำไมเนี่ย”

“ก็เราเจ็บนี่เทมมมมม”

“งั้นก็ไปเจ็บที่อื่น ลุก ออกไปจากห้องกูได้แล้ว” ผมชี้นิ้วไปที่ทางออกทางเดียวของห้อง ซีซั่นปรายตามองตามแล้วก็บึนปากใส่ผมเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“แล้วเราเจ็บเพราะอะไรอ่ะ ไหนคุณแฟนบอกหน่อยว่าเราเป็นแบบนี้ได้ไง ปวดทั้งตัวเลยเนี่ย” น้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้แสดงออกถึงประโยคคำถามเหมือนกับเนื้อความ แต่สิ่งที่ผมกำลังได้ยินมันเป็นประโยคบอกเล่าที่แจ้งเตือนผม ว่าเรื่องที่ผมภาวนาให้ซีซั่นลืม ๆ ไปซะมันอาจจะไม่เป็นผล

“จะไปรู้ได้ไงเล่า!” เทมนที… อย่าจิกเล็บ ไอ้เทม! อย่าหลุกหลิก!

“แล้วไป ก็นึกว่าเทมจะรู้...”

“เออ เรื่องของมึงกูจะไปรู้ได้ไงล่ะ”

“นึกว่าเทมจะรู้ตัวซะอีกว่าโกหกไม่เนียน...”

“.................” ผมหรี่ตามองซีซั่นทันทีเมื่อเขาได้โอกาสพูดประโยคที่อยากจะพูดจนจบ จังหวะเสียงที่ล้อเลียนอย่างชัดเจนทำให้ผมเกือบจะหัวเสียแล้วพุ่งเข้าไปกระหน่ำกระทืบอีกซักยก แต่ตอนนี้คงจะไม่ได้เพราะว่าผมกำลังเสียเปรียบแทบจะร้อยเปอร์เซ็น อันตรายกว่าอาชญากรก็คนอย่างซีซั่นนี่ล่ะครับ ประมาทไม่ได้เลยซักนิด

“ตอนตีนลูบหน้ายังรู้สึกนุ่มนิ่มขนาดนั้น ใครจะลืมได้ลง”

“นี่มึง...” ผมยกนิ้วชี้หน้าซีซั่นด้วยความแค้นใจ ยิ่งเห็นมันยกสองมือขึ้นมาทำท่าดอกไม้บานด้วยสายตาใสซื่อที่ดูยังไงก็รู้ว่าตอแหล ผมก็ยิ่งต้องจิกเล็บลงกับหน้ามือตัวเองเพื่อระบายความอึดอัดใจ

“อย่าทำร้ายกันอีกเลยนะ”

“ออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้!” ผมขึ้นเสียงและทำสีหน้าดุร้ายที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ แม้ว่าการสลดลงด้วยท่าดอกไม้เหี่ยว ๆ ก้มหน้ามองพื้นของคนตรงหน้าจะมีผลกับความรู้สึกของผมอยู่ไม่น้อย

“ยังไม่ไปหรอก ยังเจ็บอยู่เลย อย่าใจร้ายใส่กันนักสิเทม”

“กูใจดีให้มึงนอนในห้องทั้งคืนยังไม่พออีกหรอ ออกไปจากห้องกูได้แล้ว ก่อนที่กูจะต้องเรียกยามมาไล่”

“เรียกรถพยาบาลมาด้วยได้มั้ย บาดเจ็บทางกายแล้วยังต้องบาดเจ็บทางใจซ้ำอีก ….อะเฮื้อออออ” ซีซั่นเคลื่อนสองมือมากุมไว้ที่อกข้างขวา เด้งอกขึ้นลงพร้อมเสียงซาวน์ราวกับละครไทยยุคทีวีจอแก้ว ซึ่งคนมองอย่างผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันมีนัยยะอะไรกับอกข้างขวาแทนที่จะเป็นอกข้างซ้ายนอกเหนือจากความโง่รึเปล่า

“พูดแบบนี้จะเอาอะไร”

“ก็ไม่อะไรหรอก… แต่ว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกันอยู่นี่นา”

“แล้ว?”

“เมื่อคืนก็เรายอมให้เทมทำร้ายเหมือนเมียกระทืบผัวแล้ว”

“เดี๋ยวเหอะ!” ผมกำหมัดยกขึ้นเหนือหัว ก้าวเข้าไปใกล้ซีซั่นอีกสองสามก้าว

“ช่วยรักษาใจเราหน่อยเหอะ ...นะ เจ็บมากเลยอ่ะ แล้วเมื่อคืนเราก็คงจะเมามากด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เทมโกรธขนาดนั้น ...เห็นใจซีหน่อยนะครับคนดี” น้ำเสียงกึ่งอ้อนทำให้ผมชะงักไปพอควร ยิ่งบวกกับร่องรอยช้ำบวมบนใบหน้าหมาหงอยแล้วผมยิ่งรู้สึกเป็นคนดีขึ้นมาในใจ ทั้งที่สัญชาตญาณดิบมันอยากจะไล่ตะเพิดไอ้บ้านี่ออกไปใจจะขาด แต่ทำยังไงได้ ตอนนี้ผมไม่สามารถจะปฏิเสธว่าไอ้รอยแผลพวกนี้มันเกิดจากผม แต่เชื่อผมนะครับ ...มันไม่ได้เกินกว่าเหตุ เพราะมันยังมีหน้ามาพูดอีกว่าไม่รู้ว่าทำอะไรให้ผมโกรธ!

“กรวยซั่น!” ผมไม่ได้พูดคำหยาบ คำผมออกเสียงและหมายความตามนั้น ผมหมายถึงกรวยจราจรบนท้องถนน ส่วนคำที่สอง ผมอาศัยคำพ้องเสียงและรักที่นึกถึงความหมายว่า ‘สั้น’

“รู้ได้ไงว่าสั้น… เทมเรียนคณะวิทย์นี่ จะพูดอะไรต้องพิสูจน์ก่อนนะรู้เปล่า” ผมไม่ได้สนใจให้ค่ากับคำพูดเรียกร้องอ้อนวอนขอโดนกระทืบซ้ำ จะว่าไม่สนใจก็ไม่ถูกนักเพราะว่าผมกำลังหักห้ามใจไม่ให้หันหลังกลับไปเสยปลายคางให้หน้าหัก ผมเดินมาหยิบกล่องยาเล็ก ๆ ที่แม่เตรียมไว้ให้ในห้องตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนปีหนึ่ง การทำตัวเป็นพ่อพระมีน้ำใจคงจะเป็นวีถีทางเดียวที่ผมจะหุบปากซีซั่นแล้วเนรเทศมันออกจากห้องไปได้แต่โดยดี ...ก็แค่หวังน่ะครับ ว่าจะเป็นแบบนั้น

“ถ้ามึงยังไม่หุบปาก ได้ออกจากห้องกูทางระเบียงแน่” ผมใช้สายตาเข้ม ๆ เป็นคำสั่ง ทิ้งตัวลงนั่งข้างซีซั่นแล้วใช้เท้ายันตัวมันให้ห่างออกไปชิดโซฟาอีกฝั่ง กล่องวงกลมสีแดงถูกเปิดออกอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ได้ใช้งานมานาน ผมไม่ใช่คนป่วยง่ายหรือมีเรื่องชกต่อยจนต้องพึ่งพาของพวกนี้บ่อย ๆ เท่าที่มีอยู่ในกล่องคุ้กกี้รียูสจึงมีเพียงแค่ยาพาราครึ่งแผง ยาแก้แพ้แก้ไขอีกซอง พลาสเตอร์ยาสองสามชิ้น แอลกอฮอล์และเบตาบีนที่ไม่เคยแกะใช้ตั้งแต่แม่ซื้อมา ...สิริเวลาร่วมสามปีเห็นจะได้ ในความเป็นจริงมันอาจจะหมดอายุแล้ว แต่ก็คงไม่เป็นอะไรเพราะคนที่ผมนำมันไปใช้ด้วยก็หมดอายุสมองแล้วเหมือนกัน

“จะทำแผลให้จริงดิ”

“ไม่จริง กูหลอก” ผมพูดเสร็จก็ขยำกระดาษทิชชู่ที่หยิบติดมือมาเป็นก้อนกลม ๆ แทนสำลี ก่อนจะชุบมันด้วยแอลกอฮอล์กลิ่นแสบจมูกจนชุ่ม แต่ระหว่างที่กำลังสนใจกับสิ่งของให้มืออยู่นั้น ผมก็รู้สึกถึงแรงดึงแปลก ๆ ที่จุกบนหัว คือแบบนี้ครับ ผมน่าจะยังไม่ได้บอกเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะสำคัญอะไร ผมรวบผมหน้าขึ้นไปมัดเป็นจุกบาน ๆ เหมือนหมาชิสุห์ตั้งแต่เมื่อคืน ผมจะทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาอยู่ห้องคนเดียวและก่อนนอนจนติดเป็นนิสัย

“ที่เมื่อกี้บอกว่าน่ารักอ่ะ ...พูดจริงนะ มีจุกแล้วดี๊ดี เทมน่ารักจริง ๆ” เมื่อผมเหลือบตาขึ้นด้านบนก็เห็นหลักฐานชัดเจนว่าซีซั่นรวบจุกน้อย ๆ ของผมเอาไว้ในมือ ทั้งยังโยกจุกผมไปมาตามชอบใจโดยไม่ถามความสมัครใจจากผม น่ารักมันก็จริง อะไรที่ดีก็ไม่ได้อยากจะเถียง แต่อย่าคิดว่าไอ้สายตาเรียบเฉียบจริงจังที่มองหน้าอยู่จะทำให้ความคมเข้มของเทมหายไปได้ เพราะคนอย่างเทมต้องพูดให้ถูกต้องว่าทั้งหล่อทั้งน่ารัก

“มึงอยากได้อีกแผลหรอ”

“เออ เจ็บตัวแล้วได้ใจ ซีซั่นก็เต็มใจว่ะ”





เดี๋ยวนะ

ตึก… ตึกกกก…. ตึก ตึก

ทำไมหัวใจผมมันเต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ

ตึก ตึก ตึก ...ตึก ...ตึก… ตึกตึก

ทำไมผมถึงรู้สึกไม่เป็นตัวเอง

ผี!! ผีเข้าผมแน่ ๆ!!













ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“มึงอยากได้อีกแผลหรอ”

“เออ เจ็บตัวแล้วได้ใจ ซีซั่นก็เต็มใจว่ะ”





เดี๋ยวนะ

ตึก… ตึกกกก…. ตึก ตึก

ทำไมหัวใจผมมันเต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ

ตึก ตึก ตึก ...ตึก ...ตึก… ตึกตึก

ทำไมผมถึงรู้สึกไม่เป็นตัวเอง





ผี!! ผีเข้าผมแน่ ๆ!!





“ได้ใจหรอ?” ผมออกเสียงเชิงคำถามโยกหัวให้หลุดจากมือผีที่จับจุกน้อย ๆ ของผมไว้ ก่อนจะใช้มือข้างนึงล็อคคางเขาเอาไว้ และมืออีกข้างบรรจงจิ้มกระทิชชู่ชุ่มแอลกอฮอล์ลงที่มุมปากของซีซั่นตามความเร็วและแรงของอัตราการเต้นหัวใจ วินาทีนี้ถึงเจ้าตัวจะเบ้หน้าหนีผมก็ยังยืดสุดแขนลากถูแอลกอฮอล์บนใบหน้าโดยไม่สนเสียงร้องโอดโอยใด ๆ จากเจ้าตัวทั้งนั้น

“โอ้ยยยยยยยยย”

“ร้องทำเพื่อ? ไหนบอกว่าเจ็บตัวก็เต็มใจไง”

“แล้วให้ใจเราได้ยังอ่ะ โอ๊ย ๆ เบาหน่อยเทม”

“หุบปากซักที พูดแต่เรื่องไร้สาระ น่ารำคาญ!” ผมพยายามกระแทกเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังโมโห แม้ใจว่าในใจจริง ๆ มันไม่คล้อยตามความรู้สึกโกรธจัดนั้น ผมว่าที่ผมกำลังรู้สึกมันอาจเป็นเพียงความไม่ชอบใจ ความหงุดหงิด ที่ตัวเองรู้สึกแปลกไปเท่านั้น

“เราเป็นแฟนกันอยู่นะ”

“เลิกเอามาอ้างซักห้านาทีได้ป่ะ มึงก็รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง”

“เอ้า! ไม่ให้อ้างแบบนี้แล้วจะให้อ้างอะไรอ่ะ เราควรจะจริงจังหน่อยมั้ยเทม ไม่งั้นเราจะเสียเวลาไปทุกวันโดยที่นายไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย” ซีซั่นยังคงส่งสายตากวนใจกวนตีน แม้ว่าน้ำเสียงของเขามันจะจริงจังแค่ไหนก็ตาม ผมไม่อาจหลบสายตาที่ส่งมาได้พ้นจึงจำใจจ้องกลับไปว่าอันที่จริงผมก็กำลังจริงจังกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

“กูจริงจังอยู่ บอกแล้วว่ามีแฟนเป็นผู้ชายมันก็แบบนี้”

“บอกไม่ให้พูดมึงกู เทมก็ยังพูดอยู่เลย”

“มันเป็นศัพท์ตะมุตะมิสำหรับแฟนผู้ชายเขาคุยกันเว้ย”

“หรอ”

“เออ!!” ผมกระแทกเสียงและกระแทกทิชชู่ชุบเบตาดีนลงไปบนหน้าของซีซั่นพร้อม ๆ กัน

“ก็นึกว่าไม่แน่จริง เลยไม่ยอมเล่นเป็นแฟนกับเราแบบสมบทบาท”

“ชิ นี่มึงจะเอาสมบทบาทแค่ไหนวะ” ผมจิ๊ปากในลำคอ โยนทิชชู่ในมือลงตักซีซั่นอย่างไม่พอใจ จะมาไม้ไหนก็ได้แต่อย่ามาดูถูกกันด้วยคำว่าไม่แน่จริงโว้ย

“แบบนี้”

“............” แผ่นพลาสเตอร์ยาที่ผมคว้าเอาไว้ในมือต้องร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก เมื่อจู่ ๆ ไอ้บ้าสติเสียตรงหน้าก็ขยับตัวโน้มหัวทิ้งน้ำหนักลงกับไหล่ซ้ายของผม ช่วงปลายคางของซีซั่นสัมผัสกับไหล่อย่างลงล็อคและพอดิบพอดี ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันมีสีหน้าแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ แรงลมหายใจที่สัมผัสได้มันมีความถี่แรงไม่แพ้กับลมหายใจของผม

“เจ็บอ่ะ ปลอบหน่อยดิ”

“............” ไอ้ผี! มึงทำอะไรเทมนที ยกมือไปลูบหัวมันเฉย ตั้งสติเอาไว้พวก กระทืบมันเกือบตายจะมาจบเรื่องราวด้วยวิธีละมุนละม่อมแบบนี้ไม่ได้

“นี่อีกกี่วันจะหายเนี่ย… ดูแลเราดี ๆ เลยนะ”

“สำออย” ผมพูดขณะที่ยังลงน้ำหนักมือเบา ๆ ที่เส้นผมสั้นกุด ซีซั่นขยับหน้าให้เข้าใกล้ศรีษะผมมากขึ้น แบบนี้น่ะหรอที่แฟนกันเขาควรจะทำ นี่มันคงเป็นการเล่นให้สมบทบาทในแบบที่ผมไม่เข้าใจ หรือว่าจริง ๆ แล้วผมอาจจะต้องตามน้ำไปก่อน และตัดจบพร้อมหักมุมในภายหลัง

“ไม่ได้สำออยเลย เจ็บจริง”

“แผลเท่าจู๋มด”

“เทมเคยเห็นจู๋มดหรอ?” ซีซั่นเด้งตัวขึ้นมามองหน้าผมพร้อมเครื่องหมายคำถามที่ติดอยู่ตรงหัวคิ้ว แม่มเอ๊ย นี่มันมุก มันโง่ หรือว่ามันพกโครโมโซมออกมาจากท้องแม่ไม่ครบวะเนี่ย

“ตกลงคืออยากได้แผลเพิ่มจริง ๆ ใช่ป่ะ”

“อุ๊บส์! มุกไม่ฮาพาแฟนเครียด” ซีซั่นเม้มปากจนตรงเรียบสนิท จังหวะนั้นผมได้โอกาสแกะพลาสเตอร์ยาที่เก็บไว้ในมือแปะลงไปที่ปากแสนน่ารำคาญในแนวตั้ง ลากยาวตั้งแต่ใต้จมูกจรดริมฝีปากล่างโดยไม่สนใจแผลหรือร่องรอยความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น

“นั่งเงียบให้ได้ครบสิบนาที แล้วลุกไปอาบน้ำแปรงฟัน มีแปรงสีฟันใหม่อยู่ในลิ้นชักใต้อ่างล้างหน้า ใส่ชุดเดิมไปก่อน จะไปหาอะไรมาให้กิน จะได้กินยา แล้วก็กลับ ๆ ไปซะ โอเคมั้ย”

“อะไออะ” ซีซั่นเบิกตามองเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ผมหาได้สนใจอะไรอีกไม่ พอรวบอุปกรณ์ยาทั้งหลายตรงหน้าได้ก็วางกองเอาไว้ตรงนั้น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วตั้งเป้าไว้ว่าจะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาซักหน่อย

“เงียบ ๆ”

“เอี๋ยววววววววว” ผมหันไปมองซีซั่นที่กำลังชี้ไม้ชี้มือเข้าที่ปากตัวเองแล้วชูนิ้วชี้เป็นเลขหนึ่งขึ้นมา

“แค่หนึ่งประโยค” ผมกอดอกรอฟังคนที่กำลังส่งสายตายิ้มเป็นประกาย พอได้ยินคำอนุญาตซีซั่นก็เปิดพลาสเตอร์ที่ผมปิดผนึกเอาไว้ออกให้พอพูดได้

“เทมทำแผลให้เราแล้วค่อยให้เราไปอาบน้ำเนี่ยนะ ยาที่ทาไว้มันก็หลุดหมดอ่ะดิ”

“เอ่อ.......” เออ! นั่นสิวะ! นี่ผมมีความงงอะไรเกิดขึ้นในตัวเองกันแน่

“แล้ว…”

“ประโยคเดียว!” ผมไม่ตอบไม่โต้ไม่เถียงกับสิ่งที่ซีซั่นพูด เพราะเหตุผลจริง ๆ มันเป็นเพราะว่าผมไม่ได้ให้ความสนใจเขาจริง ๆ ตั้งแต่ต้น เอ๊ะหรือว่าผมสนใจวะ? เอางี้! สิ่งที่ผมน่าจะเถียงด้วยมากที่สุดก็คงจะเป็นสมองตัวเอง ทำไมถึงได้ตัดสินใจทำอะไรเหมือนเทวดาแสนดีแบบนี้ ทั้งที่จะรับบทแฟนเหี้ย ๆ แบบเต็มสูบไปเลยก็ได้ แล้วทำไมผมต้องมายืนกรอกตาใช้ความคิดด้วยวะ





เทม! สติ!

อย่าย้อนแย้ง!!! อย่าย้อนแย้งกับตัวเอง!





“ก็ได้” ซีซั่นกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนจะน่าสงสาร เจ้าตัวเม้มปากนิ่งแล้วติดพลาสเตอร์ยาเชื่อมปากเข้าไปตามเดิม ผมสะบัดปลายหางตามองแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำเหมือนไม่ได้สนใจอะไรอีก แต่คุณพระคุณเจ้าผมกำลังนึกถึงในทุกการกระทำของซีซั่น แถมยังมีเสียงแว่วเข้าหูเหมือนนางเอกละครเย็นที่เพ้อฝันข้ามปี ไม่ว่าจะไหนจังหวะที่แปรงฟันกรามซ้าย จังหวะล้างหน้าผ่านสิวอักเสบใต้คาง หรือแม้แต่จังหวะที่ผมเผลอเรอออกมาเพราะยาสีฟันมันเข้าคอ ซีซั่นก็เข้ามาอยู่ในทุกอนูความคิดของผม





“ที่เมื่อกี้บอกว่าน่ารักอ่ะ ...พูดจริงนะ”

“เจ็บตัวแล้วได้ใจ ซีซั่นก็เต็มใจว่ะ”

“นี่อีกกี่วันจะหายเนี่ย… ดูแลเราดี ๆ เลยนะ”





พอแล้วเทม! หยุดคิด! หยุดคิดเดี๋ยวนี้โว้ยยยย!





ซ่าาาาาาาาาาา! ผมคงพุ่งตัวเข้าไปยืนทำเอ็มวีโรแมนติกดราม่าใต้ฝักบัวเมื่อภาพพิลึกพิลั่นในหัวมันไหลเข้ามาไม่หยุด คงไม่มีอะไรเหมาะกับความคิดวุ่นวายมากกว่าสายน้ำที่ชะล้างจิตใจ แต่เมื่อน้ำไหลลงมากระทบพื้นกระเบื้องจนเกิดระอองน้ำขึ้นมาโดนเท้าผม ความเย็นยะเยือกก็บอกให้ผมหยุดความคิดเยี่ยงพระเอกละครอกหักนี่ไปซะ

“เชอะ เรื่องอะไรกูจะเปียก” ผมปิดฝักบัวแล้วสะบัดตัวออกจากห้องน้ำเพราะถือว่าน้ำที่โดนเท้านั่นคือได้ชำระความคิดบ้าบอในหัวออกไปแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำก็คือโฟกัสและทำให้แผนการปกป้องเพื่อนครั้งนี้สำเร็จให้ได้

“จะออกไปซื้อข้าวมาให้ อาบน้ำแล้วก็ทายาใหม่เองแล้วกัน” ผมว่าและโยนผ้าขนหนูที่ผมพึ่งใช้เช็ดหน้าตัวเองให้คนที่นั่งเป็นเอ๋ออยู่บนโซฟา เนื่องจากริมฝีปากถูกปิดผมจึงได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ ๆ ตอบกลับมาเท่านั้น สบายใจ… นี่แหละความเงียบจากซีซั่นที่ผมต้องการ

“อือออ อูอาาาา”

“ออ อย่าคิดว่านี่เป็นข้อดีของการมีกูเป็นแฟน กูแค่ทำตามหลักมนุษย์ธรรม”

“.........” ซีซั่นไม่พยายามพูดอะไรอีกก่อนที่ผมจะออกจากห้อง มีเพียงรอยยิ้มผ่านแววตาออกมาก่อนที่ผมจะปิดประตูห้องลง ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนึงผมจะต้องมาพัวพันกับซีซั่นมากขนาดนี้ มากขนาดที่ว่าผมกำลังจะเดินลงไปซื้อข้าวให้มันกินเหมือนเบ้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานมันพึ่งจับจู๋และไล่กัดผมเหมือนหมา





เวรเอ๊ยยย! อะไรทำให้ชีวิตผมมาถึงจุด ๆ นี้ได้วะ!





“เชี่ย ลืมอะไรไม่ลืมนะไอ้เทม” แต่ก่อนจะไปถึงจุด ๆ อื่น ผมคงต้องเดินกลับไปจุด ๆ เดิมที่พึ่งจะเดินจากมาเพราะดันลืมกระเป๋าตังค์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต ผมเดินกลับไปที่ห้องหมุนลูกบิดประตูเข้าไปทันทีเพราะว่าผมตั้งใจไม่ล็อคเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ภาพที่เห็นคาตาก็ทำให้ผมขมวดคิ้วงุนงงจนอดที่จะอุทานด้วยคำหยาบระดับสามัญออกมาไม่ได้ แม้แต่ไอ้คนที่อยู่ในห้องก็ดูจะตกใจกับการกลับมาของผมจนเบิกตาโพลง แต่เชื่อเถอะไม่มีใครที่อยู่ในภาวะตกใจมากไปกว่าผมอีกแล้ว

“เหี้ยอะไรเนี่ย!!”

“...........!!!”





ถ้าถามว่าผมเห็นอะไร...

ผมขอให้ทุนท่านหลับตาลง แล้วจินตนาการถึงผู้ชายหัวเกรียนตัวควาย ๆ ในชุดกางเกงบอล เกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นกอดจูบลูบคลำผ้าขนหนูเหมือนคนไร้สติ ซ้ำร้ายกว่านั้น… คือมันกำลังกัดผ้าขนหนูที่ผมใช้แล้วอยู่คาปาก





ถ้าคุณเคยเลี้ยงหมา

ภาพนั้นแหละครับ… ใช่เลย





TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 6 ระยะปลอดภัย

วันที่ 1 โดดเตะหำ แต่โดนจับไข่อุ๋ง และถูกกัดคอจนได้แผล

วันที่ 2 รับชะตากรรม ดูแลคนสำออยจนใกล้ตาย กว่าจะเนรเทศไปได้ก็ใกล้ค่ำ

วันที่ 3 นอนตายตาหลับ แฟนเฮงซวยเงียบไปเหมือนไม่เคยมีชีวิต





และวันนี้





วันที่ 4 ผมคิดว่ากำลังปลอดภัยจากมนุษย์หัวกรวยที่ชื่อว่าซั่น





“งั้นตกลงไอ้นนเอาหัวข้อที่หนึ่งกับสองไปทำ นีลมึงทำสามสี่ กูจะทำที่เหลือเอง ส่วนมึงเทม รอทำพรีเซนต์แล้วก็ออกไปพรีเซนต์ด้วยเหมือนเดิม” ผมพยักหน้าขณะที่ยัดน่องไก่ทอดเข้าปากเพราะความหิว วินาทีนี้จะงาน จะเรียน หรือจะเรื่องอะไรผมก็ไม่สนทั้งนั้น ปล่อยเพื่อนรักสามคนถกเถียงเรื่องรายงานกันต่อไปน่ะดีแล้ว เพราะว่าผมต้องใช้เวลาแสนมีค่ากับไก่เกาหลีรสเผ็ดร้อนที่ฝันถึงมาหลายวัน อ่าาาาห์ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาอะไรอร่อย ๆ กินกับเพื่อนสนิทหลังเลิกเรียน

“กูไม่เอาหัวข้อนี้ได้มั้ยอ่ะ มันยาว”

“นีลคะ นีลจะมาเรื่องมากไม่ได้นะคะเพื่อน” เฟย์ดีดเหม่งนีลไปทีนึงเหมือนจะรู้สึกรำคาญเกินทน

“เออ ตกลงตามนี้นั่นแหละนีล” ณนนใช้อำนาจที่ไม่เคยมีตัดบททุกอย่าง ก่อนที่จะเอื้อมมือมาจกไก่ในจานตรงหน้าผม เหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทแล้วใจมันก็หงุดหงิดเล็ก ๆ ขึ้นมา เรื่องราวค่ำคืนนั้นยังคงค้างคางอยู่ในใจ ถ้าจะให้ผมกล่าวโทษใครซักคนที่ไม่ใช่ตัวเอง ก็คงจะต้องเป็นหนุ่มคิ้วท์บอยคนดังที่กำลังแทะไก่ด้วยท่าทางที่ไม่เกรงใจหนังหน้า

“พวกมึงมันบังคับ ของกูทั้งยาวทั้งยาก”

“อย่าบ่น มันไม่มีอะไรง่ายหรอก อันไหนไม่ได้ก็ช่วย ๆ กัน มึงเก็บลงกระเป๋าไปได้ละเฟย์ นี่มันเวลากิน ขยันไม่รู้จักเวล่ำเวลา” ผมตีหน้าจริงจังโบกไม้โบกมือให้เฟย์เก็บชีทและปากกาลงไปอยู่ในที่ของมัน ช่วงเวลาแบบนี้มันควรมีแค่อาหารคาวและเผือกเรื่องชาวบ้านที่มาแบบร้อน ๆ สิ

“เออ ก็ได้วะ”

“เชื่อฟังเพื่อนแบบนี้สิดี”

“แดก ๆ ๆ ๆ” ผมดันจานไก่ที่อยู่ใกล้ตัวให้อยู่กลางโต๊ะ ไม่ได้มีน้ำใจกับเพื่อนฝูงอะไรนักหรอก แต่ถ้าเมนูใหม่มามันจะได้วางลงตรงหน้าผมสะดวก ๆ ไงล่ะครับ

“อีเฟย์! ปีกกลางของกู!” นีลฟาดเข้าไปที่มือของนีลเต็มแรง ศึกใดไหนจะเท่าศึกแย่งชิ้นไก่บนโต๊ะอาหารของหญิงสาว ดีนะที่ชายชาติอาหารอย่างผมกินเอาอิ่ม ไม่ได้กินเอาอร่อยอะไรนักหนา

“มึงก็กินปีกบนไปสิ”

“นนนนนน! อีเฟย์แกล้งกูอีกแล้ว” ด้วยความที่นีลนั่งอยู่ข้างณนน เหยื่อข้างตัวจึงมีเวรมีกรรมขึ้นอีกระดับ นีลซบหัวลงที่บ่าออกแรงถูไถจนณนนมันต้องใช้นิ้วชี้นิ้วเดียวยันหัวเพื่อนตัวเองออก

“เป็นอะไรเนี่ยวันเนี้ย ง้องแง้งจังเลยมึง”

“มึงยังไม่ชินอีกหรอ ที่วันนี้ปัญญานิ่มมากเป็นพิเศษก็คงเพราะอาการกำเริบ” ผมตอบคำถามของณนนออกไปโดยไม่ต้องคิด นีลมันก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีความผู้หญิ๋งงงงผู้หญิงอยู่เต็มเปี่ยม จะเอามาเทียบกับความใจแมนแต่แรดเต็มร้อยของเฟย์มันก็คงไม่ได้

“เทม มึงไปโกรธอะไรกูมาป่ะ กัดกูจัง”

“กูก็แค่พูดความจริงมั้ยวะ”

“หรือจะให้กูพูดความจริงบ้าง” ปลายนิ้วที่จับไก่ทอดเอาไว้ชาดิก นีลรวบแขนณนนเข้าไปกอดพร้อม ๆ กับการขยิบตาใส่ผมสองครั้งติด คนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้ความหมายที่แฝงมาในดวงตาตี่ ๆ ของสาวหมวยหน้ากวนคนนี้

“อุ๊บส์” เสียงอุ๊บส์เบา ๆ จากเฟย์ทำให้ผมอยากจะอาระวาดอมไก่ทั้งโต๊ะไว้ในปากคนเดียว คิดเอาไว้ไม่มีผิดส่าผมจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างเพื่อนสองคนเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“หุบปากเน่าหนอนของมึงไปเลย” ณนนเพื่อนรัก รบกวนอย่ามองหน้าเพื่อนเทมตอนนี้เลยนะ ขอเวลาแยกเขี้ยวใส่นีลซักสองสามวินาที

“อะไรวะ” นั่นไงณนนเพื่อนรัก บอกว่าไม่ต้องมอง เลิกสงสัยแล้วกินต่อไปเลยนะครับเพื่อน

“เปล่า กูแค่แค่อยากให้ไอ้นีลมันหยุดพูด เดี๋ยวอาหารจะเย็น” ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้มหน้าก้มตาตักซุปกิมจิที่พนักงานพึ่งมาเสิร์ฟเพื่อป้องกันคำถามต่อไปที่อาจจะเเกิดขึ้น

“ชิ” ผมเหลือบตามองเจ้าของเสียงชิอย่างนีล คอยดูเถอะ จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ พ่อจะจิกกัดให้ลืมวิธีส่งเสียงกรี๊ดไปเลย

“นีล มึงเกาะไอ้นนจนแขนมันจะหลุดอยู่ละ อยากโดนพี่คีณฆ่าปาดคอหรอ” เฟย์ส่งเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง นีลได้ยินแบบนั้นก็รีบผละตัวออกแล้วปัดเสื้อจากไหล่ยาวไปแขนราวกับพยายามขจัดสิ่งสกปรก

“ก็พูดไปนั่น คีณเขาไม่ได้เยอะขนาดนั้นซักหน่อย” หราาาาเพื่อน หราาาาา

“ว่าไม่ได้ พี่คีณแม่งตามหึงมึงจนจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องอยู่ละ” เฟย์ว่า ผมนึกภาพตามแล้วก็สยอง ไม่ใช่เห็นภาพพี่คีณหึงโหดอะไรหรอกครับ แค่เสียงพี่คีณกับไอ้นนหน้าห้องคืนนั้นมันทำให้ผมระลึกเห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะนึกถึงอีก เลิกคิดเดี๋ยวนี้เทม! มึงก็แค่โดนหมากัด!

“แต่กูไม่ได้กลัวพี่คีณนะ กูกลัวแฟนคลับที่เป็นชาวเรือประมงของมึงมาแชะรูปเข้า ครั้งก่อนยังเข็ดไม่หาย แค่แกะแขนนิดเดียว ด่าอย่างกับกูเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ขนาดไปตามอธิบายว่าเป็นสาววายและเป็นเพื่อนมึงยังหาว่ากูอวด สยองขวัญมาก” นีลเอ่ยขึ้นก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่หน้าณนน เจ้าตัวได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหย เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าเหล่าสายวายคลั่งคู่ชิปมีสกิลการทำร้ายล้างสูงขนาดไหน

“แหะ ๆ เรื่องนี้กูก็คงช่วยไม่ได้จริง ๆ”

“แม่งหึงแรงกว่าแฟนตัวจริงเขาอีก” ผมว่าและยังกวาดเอาอาหารเข้าปากไม่หยุด

“แต่คีณเขาก็ไม่ได้หึงโหดแบบที่พวกมึงว่าซักหน่อย” ใช่ หึงแล้วไม่โหด แต่หึงแล้วลงทุนด้วยการจ้างกูเป็นไม้กันหมาอยู่เนี่ย

“จย้าาาา เชื่อค่ะคุณ เห็นเจอกับไอ้ซีซั่นทีไร แทบจะมีกระสุนพุ่งออกมาจากตา” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินเฟย์พูดถึงคนบุคคลที่สามคนนึงที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินชื่อมันซักเท่าไหร่

“ไม่ต้องห่วงหรอก กูว่าซีซั่นน่าจะอยู่กวนใจมึงอีกไม่นาน จริงมั้ยเทม?”

“แค่ก ๆ!!” แม่มเอ๊ยยยย! ไก่ติดคอ ถ้ามันพันคอหอยผมตายใครจะรับผิดชอบ

“จะไม่เจอหรือเจอมากกว่าเดิมก็ไม่รู้เด้อ” หยุดเลยเฟย์! ถ้ายังไม่เลิกส่งสายตาสื่อความหมายที่หมายถึงหายนะมาให้กูอีก กูจะพ่นไก่และเศษเสมหะใส่หน้ามึง!

“หมายความว่าไงวะ” ณนนถามขึ้นมาในทันที ความเคลือบแคลงสงสัยตามสัญชาตญาณกำลังเริ่มทำงาน และมันอาจทำให้ผมซวยได้หากควบคุมมันไว้ไม่ทัน

“ก็เรื่องที่มึงบอกว่าซีซั่นมันอาจจะมีแฟนไง ทำเป็นลืมไปได้” เฟย์เหล่ตามองผมตลอดเวลาที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมา นี่คิดว่าไม่มีใครเห็นหรอวะ เหล่ตาจะหลุดนี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครสงสัยเลยใช่มั้ยโว้ยยยย!

“เออ จริงด้วย… เทม”

“ห่ะ!!” ผมหลุดห่ะเสียงดังทันทีเมื่อชื่อของผมหลุดออกจากปากณนนแบบหนักแน่น สีหน้าจริงจังส่งมาจนขนขาผมลุกซู่ มึงจะสงสัยกูตอนไหนก็ได้นะนน แต่มึงจะมาสงสัยตอนที่กูยังทำภารกิจไม่สำเร็จไม่ได้!

“มึงช่วยกูสืบได้ป่ะ ว่าไอ้ซีซั่นมันมีแฟนจริงเปล่า แล้วแฟนมันเป็นใคร มันจะเลิกตามตื้อกูจริง ๆ ใช่มั้ย” สิ้นเสียงณนนก็เหมือนว่าไก่ที่กินเข้าไปมันตีขึ้นมาจุกที่อก ผมคว้ากระดาษทิชชู่มาเช็ดรอบนิ้วทั้งห้าเพื่อประวิงเวลาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด จะตีหน้าซื่อตอบออกไปในรูปแบบไหนดีนะ

“.........”

“ไอ้นนถามได้ยินป่ะ” เฟย์ทุ้งศอกใส่ข้างเอวผม เวร! รู้แล้วเว้ย ใจเย็นสิวะ คนกำลังคิดหาทางหนีทีไล่

“เออ”

“สงสัยมันจะไม่อยากสืบให้มึงว่ะนน” นีลจีบปากจีบคอขึ้นมาด้วยเสียงสองที่ผมแสนเกลียด นี่ใครให้สกิลกระแนะกระแหนกับผู้หญิงมามากขนาดนี้ เอากลับไปบ้างก็ได้ ก่อนที่ผมจะจิกหัวเพื่อนตัวเองมาต่อยปากซะก่อน

“กูก็แค่คิดอยู่ว่ามันจะจริงหรือเปล่า”

“นั่นดิ คีณบอก แต่กูว่ามันแปลก ๆ สามสี่วันก่อนมันยังเอาเบอร์เพื่อนโทรมาหากูอยู่เลย”

“มึงบล็อคไปรึยัง” ผมถามขึ้นทันทีเพราะนี่เป็นหน้าที่ของไม้กันหมาที่ดี แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วแต่ผมก็ต้องตามผลการดำเนินการไม่ให้ขาด

“บล็อคแล้ว”

“ดี”

“ตกลงมึงจะสืบให้กูใช่ป่ะ”

“เออ เดี๋ยวกูสืบเอง แต่มึงเชื่อกูเถอะ คราวนี้มันไม่กลับมายุ่งกับมึงอีกแน่ สบายใจหายห่วง” ผมยกมือขึ้นกำหมัดให้เป็นองค์ประกอบที่แสนจะหนักแน่น แม้บางส่วนในใจมันจะล่องลอยและไม่มั่นใจเท่าไหร่ก็ตาม

“ถ้าเป็นแบบที่มึงว่ามันก็ดี กูเบื่อเห็นคีณหึงปัญญาอ่อนเต็มทีละ” ณนนว่าทั้งที่สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่ได้รู้สึกแย่กับการที่พี่คีณตามหึง แม่ง ความรักนี่มันทำให้คนดูเข้าใจยากจริง ๆ

“หรอ กูว่ามึงนั่นแหละปัญญาอ่อน ไง เรื่องคืนนั้นคุยกันยัง” ผมรีบเปิดประเด็นใหม่ทันทีเพื่อปัดงูร้ายให้พ้นคอ สีหน้าณนนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อและเหลือบตามองผมอย่างลำบากใจที่จะเล่า อยากจะรู้จริง ๆ ว่าถ้ามันรู้ว่าผมได้ยินสิ่งที่มันงุ้งงิ้งกับพี่คีณหน้าห้องทั้งหมดมันจะทำหน้ายังไง

“เออ คุยแล้ว”

“เรื่องไหนวะ”

“นั่นดิ เรื่องไหน” แล้วก็ตามที่ผมคาด สองสาวในกลุ่มยังไม่รู้เรื่องราวงอนแฟนที่ชวนเบ้ปาก เมื่อเฟย์เปิดนีลก็สงสัยตามอย่างไม่ต้องลีลาอะไรมาก สบายแฮร์ล่ะ คราวนี้ก็ไม่มีใครเล่นประเด็นเรื่องซีซั่นและแฟนบนโต๊ะอาหารมื้อนี้อีกแล้ว

“เปล่า ไม่มีไร ก็ทะเลาะกันธรรมดา”

“ไม่น่าจะธรรมดา หน้ามึงดูมีอะไรอ่ะนน” เฟย์ท้าวคางมองอย่างตั้งใจ สายตาคมเฉียบกำพินิจใบหน้าของณนนในทุกอณู

“นั่นดิ บอกมาาาา” นีลเขย่าแขนณนนราวกับคำตอบมันจะล่วงลงมา ส่วนณนนเองก็ทำได้แค่หลบตาและหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม

“ไม่มีก็ไม่มีดิวะ”

“เออ ไม่มีอะไรหรอก” ผมหวังดีจบเรื่องให้เพื่อนแบบง่าย ๆ แม้จะรู้ตัวดีว่าเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เองก็ตาม เพื่อนเทมช่วยซ้ำช่วยซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนี้ อย่าลืมทดแทนบุญคุณนะครับณนนเพื่อนรัก

“แล้วคืนนั้นมึงไปไหนมาเทม ทำไมไม่อยู่ห้อง”

“ห่ะ! /หืมมมม”





คุณพระ! ไม่ใช่ทดแทนบุญคุณแบบนี้โว้ยยยย!





“คือ….” ผมอ้ำอึ้งที่จะตอบ ยิ่งเสียงประสานของสองสาวยิ่งทำให้ผมเกร็ง ทุกคนรู้ว่าผมไม่มีเพื่อนที่ไหนนอกจากพวกมัน บิดามารดรก็หาใช่อาศัยอยู่ในแถบที่ไปกลับหาสู้กันได้ง่าย ๆ แฟนก็จัดอยู่ในประเภทของหายาก แล้วผมจะหาข้ออ้างดี ๆ ที่ไหนมาตอบเพื่อนโดยไม่เป็นที่สงสัย

“คืออะไรวะ”

“มึงไปนอนไหนมา”

“นอนกับใคร” ณนน เฟย์ และนีล ไล่ถามผมคนละคำถามตามลำดับ และแน่นอนว่าผมไม่มีอะไรจะตอบนึกจากคำพูดประเภทเอ่อ… อ่า… อ่อ…

“เอ่อ…”

“มีอะไรใช่มั้ย” เฟย์เหล่มองผมเหมือนจะรู้ทัน แต่เชื่อเถอะ มันคิดไม่ทันหรอกว่าเกิดเรื่องเชี่ยอะไรกับผมในคืนวันนั้นบ้าง

“เปล่า พอดีญาติกูเขาเข้ามากรุงเทพแล้วมีปัญหา กูก็เลยต้องไปคอยช่วย” ผมตีหน้าตายเล่าเรื่องเท็จ และการโกหกมันก็ควรจะจบเรื่องทั้งหมดเอาไว้ท่ามกลางความสบายใจของผมเอง ถ้าไม่ติดปัญหาที่ความฉลาดไม่เข้าเรื่องของเฟย์

“ถ้ามึงโกหก กูขอให้มึงเสียดินแดนให้ไอ้ซีซั่น” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ร่างกายผมแข็งทื่อและขนลุกชันทั้งตัว ดูเหมือนว่าสัญญาณอันตรายจะเริ่มดังในสมองของผมอีกครั้ง





Rrrrrrrrrrr





สายและรายชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอยิ่งบิ้วอารมณ์ไปกันใหญ่ ถ้าเทียบทุกสิ่งในใจผมเป็นสถานการณ์ ฟิลลิ่งที่ได้ยินคำสาปแช่งนี้ก็คงเหมือนผมโดนเตะตัดขาบนยอดเขา สิ้นแรง หวั่นใจ และเสียวตูด…





สั้น is calling you









ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3

“นน… กูถามอะไรหน่อยดิ มึงคบกับพี่คีณที่เป็นผู้ชายเหมือนกันมีข้อเสียอะไรบ้างปะวะ”

“มันก็คงมีแหละ แต่พี่คีณทำให้กูมองเห็นแต่ข้อดีว่ะ”


อ้วกกกกกกกกกกกก!

ขออนุญาตรับบริจาคกระโถนมารองรับฟิลลิ่งของไอ้เทมที่ยังค้างอยู่แบบด่วน ๆ ที่ได้เห็นนั่นมันคือประโยคสุดท้ายที่ผมสนทนากับณนนก่อนจะแยกย้ายกันกลับหลังอิ่มหนำสำราญ เพื่อนของผมพูดประโยคหวานเลี่ยนยิ่งกว่าน้ำตาลอ้อยราวกับไม่เคยทะเลาะกับพี่คีณจนลือลั่นทั่วมหาลัยมาก่อน ทั้งที่ผมตั้งใจจะหลอกถามหาข้อเสียและนำไปจัดการกับซีซั่นแท้ ๆ แต่ณนนกลับไม่ได้ช่วยเหลือให้ผมทำภารกิจใด ๆ ได้ง่ายขึ้นเลย มิหน่ำซ้ำยังทำให้ผมหนักใจว่ามันจะยากขึ้นด้วย

คณะวิศวกรรมศาสตร์

ณ ปัจจุบันผมยืนงงงวยในดงยุงอยู่หน้าคณะพิลึกที่มืดค่ำป่านนี้ก็ยังมีไฟส่องสว่างอยู่ด้านใน มือไม้ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อพร้อมปริมาณของมากมายราวกับหนีน้ำท่วม ก่อนที่ผมจะย่างกายไปที่อื่น ก็คงต้องขอท้าวความย้อนกลับไปว่าวิบากกรรมอะไรดลบันดาลให้ผมมายืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ ซึ่งความซวยทั้งหมดก็ประกอบไปด้วยความบาปสามประการด้วยกัน

บาปที่หนึ่ง สายเรียกเข้าจากซีซั่นกลางโต๊ะอาหารทำให้ผมต้องเออออห่อหมกทุกประโยคที่ได้ยินผ่านสายโทรศัพท์โดยไม่มีทางเลือก แถมต้องตีหน้าเรียบนิ่งสนิทราวกับคุยกับญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ก็จะให้ผมกระโตกกระตากด่ามันได้ยังไงในเมื่อสายตาของเฟย์และนีลกำลังจับผิดผมอย่างสุดความสามารถ

บาปที่สอง ผมพยายามแล้วที่จะเลี่ยงตัวออกมาติดต่อซีซั่นหลังจากนั้น แต่มันก็เปล่าประโยชน์และไร้ค่าไร้ความหมาย เพราะไม่ว่าผมจะพูดหรือจะแชทยังไงซีซั่นก็ยังคงยืนกรานจะให้ผมทำตามที่ตกลงไปก่อนหน้า แลกกับการที่ผมไม่ต้องเสี่ยงหัวขาดหากมันตีมึนเดินไปพูดไร้สาระกับณนนเข้า

บาปที่สาม ของในถุงทุกอย่างไล่ตั้งแต่เครื่องดื่มชูกำลัง นมกล่อง เบียร์กระป๋อง แซนวิช ขนมถุง อาหารขยะไร้ประโยชน์ ห่านฟ้ากินยุงยกกล่อง ยันกระดาษเปียกเช็ดตูดเด็ก ถูกผมกวาดลงจากเชลล์แบบไม่เลือกมาก ณ จุดนั้นเอาให้ครบตามที่มันลิสต์รายการมาก็แทบจะกระโดดเอาหัวโหม่งเสาเพราะความหงุดหงิด

เรื่องบาป ๆ ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากมัน ไอ้ซีซั่น! เพราะฉะนั้นเรื่องบาปบริสุทธิ์เรื่องที่สี่ที่ผมจะกระทำผมจะถือว่าเป็นผลพวงมาจากบาปสามข้อข้างต้นก็แล้วกัน!

ผมเดินผ่านป้ายอักษรเหล็กตะหง่านหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์เข้ามาทางข้างตึก จากข้อมูลที่ซีซั่นบอกอาคารปฏิบัติการของภาควิชาวิศวกรรมโยธาจะอยู่เยื้องจากตึกใหญ่ราวสิบเมตร ผมก้าวตามก้อนหินที่เรียงเอาไว้เป็นทางเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะเห็นกลุ่มนักศึกษาทั้งชายหญิงในเสื้อช็อบสีเลือดหมูเดินบ้าง นั่งบ้าง และเท่าที่เห็นทุกคนพากันวุ่นวายอยู่ในอาคารปฏิบัติการที่เปิดโล่งด้วยประตูบานเฟี้ยมเหล็ก ผมเริ่มเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อเดินเข้าใกล้สถานที่และผู้คนที่ไม่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ ทีแรกผมค่อนข้างคาดหวังว่าแสงจากหลอดนีออนจะกระทบเหม่งจนทำให้หาตัวซีซั่นได้ง่ายขึ้น แต่ก็เปล่าเลย ตอนนี้ผมชะเง้อหน้ามองหามันจนแทบจะเป็นยีราฟในดงงูอยู่แล้ว แถมมือสองข้างก็ยังไม่ว่างล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาตอนนี้อีก เอาเถอะเทม! อย่างมากก็แค่ต้องใช้โทรจิตตามหามัน!

“สวัสดีครับเทม”

“เหี้ย!!” ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่อมีฝ่ามือปริศนาแตะเข้าที่ปลายข้อศอก ยิ่งหันไปมองก็แทบจะตั้งหลักเอาไว้ไม่อยู่ ผมขอให้ความด้วยความสัจจริง ถ้าเจออิสระหน้าหนวดในสภาพนี้ข้างนอกผมคว้าขวานสับแล้วกระทืบไม่ยั้งแน่! รอยคราบดินโคลนเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้าจอมโจรและร่างกายบึกบึนใต้เสื้อผ้าเหมือนโจรป่า แถมในมือก็ยังมีเสียมอันใหญ่ถ้าฟาดกลางหัวผมทีเดียวคงจะตายคาที่ แม่ง! สภาพมันอย่างกับพึ่งผ่านคดีฆาตกรรมอำพรางมา

“ยินดีที่ได้รับเกียรติเป็นคุณตัวเงินตัวทองครับ”

“โทษที เมื่อกี้ตกใจเกินไปหน่อย”

“มาหาคุณเพื่อนซีใช่มั้ยครับ”

“เออ ฝากเอาของไปให้มันด้วย จะกลับละ” ผมยื่นของในมือออกไปสุดแขน อิสระมองที่มือผมแล้วก็ค่อยเลื่อนสายตาไปมองเสียมอันใหญ่ในมือตัวเอง

“คงไม่ได้หรอกครับ มือผมไม่ว่าง แต่เดี๋ยวผมจะนำทางเข้าไป คุณซีซั่นนั่งอยู่ตรงมุมนู้นน่ะครับ” ผมลองมองเข้าไปในตัวอาคารเห็นกองทัพวิศวะที่พร้อมจะเข้ามารุมทึ้งตลอดเวลาแล้วก็ดันขนลุกซู่ ยิ่งคนพวกนั้นหันมามองผมด้วยสายตาเปี่ยมความสงสัยก็ยิ่งเพิ่มความเกร็งและทำตัวไม่ถูกเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“วาง ๆ เอาไว้แถวนี้ได้ปะล่ะ”

“..........”

“ก็ได้! ไปตรงไหนอ่ะ!” กลัวแล้วววว! พระเจ้าพระคุณ เทมกลัวแล้วโว้ย สายตาอิสระเมื่อกี้มันน่ากลัวเลเวลสิบ ช่างเป็นการใช้ความเงียบได้ดีเหมือนกับอยู่ในโซนควบคุมความสดใส แล้วรอยยิ้มแม่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกคนไข้โรคจิตก่อนคลั่งอาระวาดที่เคยเห็นตามทีวีเลยซักนิิด

“ตามผมมาครับคุณเทม” อิสระว่าก่อนจะเกิดเข้าไปในตัวอาคาร อาคารโปร่งโล่งหลังคาสูงเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ผมไม่ค่อยคุ้นตา ถึงแม้ว่าบางอย่างจะถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่เหล่ากองเศษหินดินทรายที่กระจายอยู่กับพื้นก็ทำให้ทุกอย่างดูเละเทะไม่ต่างอะไรกับไซด์ก่อสร้าง อิสระเดินซิกแซกเลี่ยงกองดินและผู้คนโดยไม่คิดจะรอผมที่กำลังเสือกมองรอบตัวอย่างสนใจ และแน่นอนกว่าจะรู้ตัวว่าสนใจเรื่องของคนอื่นมากเกินไปก็ตอนที่คนเหล่านั้นหันมามองผมเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างดาว

“ใครอ่ะอิส เด็กมึงหรอ” หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงขึ้นนึงเข้าประชิดอิสระ และยกมือป้องหูเขาเพื่อถามทันที แต่ขอโทษเถอะครับคุณผู้หญิง คุณมึงป้องบังด้านหน้าแต่กูยืนอยู่ข้างหลังโว้ยยยยย อ่านปากไม่ออกก็บ้าแล้ว

“ไม่ใช่เด็กผมครับ แต่นี่คือคุณเทม แฟนของคุณซีซั่น” เดี๋ยวไอ้อิส! เมื่อกี้มึงใช้คำว่าอะไรนะ

“แฟนไอ้ซี!!” ชัด… ชัดเลย ถ้าจะชัดกว่านี้ก็คงต้องให้ผู้หญิงคนนี้ไลฟ์สดผ่านเครือข่ายทั่วประเทศแล้วล่ะครับ เวร! ตะโกนแบบนี้ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วก็ไม่ต้องมาบอกให้เอาไว้บนบ่าที่เดิมเลยนะ คนหันมามองเป็นตาเดียวขนาดนี้กูเอาหัวตั้งไว้ที่เดิมไม่ได้แล้วเว้ย!

“เอ่อ…..” ผมอยากจะเอ่ยปฏิเสธออกไปทันทีแต่ปากมันก็ดันแข็งทื่อ แถมไอ้มือสองข้างก็ไม่ได้ว่างจะยกสื่อสารแสดงคำว่าไม่ออกมา มีอะไรซวยกว่านี้อีกมั้ยวะชีวิต

“ไม่ใช่แฟนกู” ผมได้ยินเสียงแว่วค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาข้างตัว ก่อนที่วัตถุหนัก ๆ จะพาดเข้ากับบ่า ผมมองปลายแขนของใครซักคนก่อนจะหันมามองใบหน้าของมัน เห็นแล้วก็อยากจะทุ้งศอกใส่และจับหน้ากดอัดดินให้ขาดอากาศหายใจตาย ซีซั่นคนต้นเรื่องใช้แขนเปื้อนดินเกาะอยู่กับไหล่และคอของผม และที่น่าขยะแขยงกว่าเศษดินที่ติดเต็มตัวก็คงเป็นรอยโคลนที่เลอะต้องแต่หัวลงมาจรดปลายคาง สาบาน นี่มึงทำงานส่งอาจารย์ไม่ได้ไปขึ้นมาจากหลุมศพที่ไหนใช่ม่ะ

“ปล่อยกู เพื่อนมึงมองใหญ่แล้ว” ผมพูดเสียงเข้ม และเข้มขึ้นอีกที่ลายเสียง เพราะว่าตอนนี้คนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีของซีซั่นกำลังดาหน้าเข้ามาดูหนังหน้าผมให้ชัด ๆ สายตาหลายสิบคู่กำลังทำให้ผมอยากยัดหัวเข้าไปในกางเกงในให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่ใช่แฟน แต่เป็นคนรักกูเอง”

“อู้วววววว/เช้ดแม่ม/กริ้ววววววว” ผมหันควับทำตาขวางใส่ทันทีเมื่อซีซั่นพูดจบ ระยะห่างไม่ถึงห้าเซนติเมตรน่าจะทำให้มันเห็นแววตาหงุดหงิดและอารมณ์หนักใจของผมได้ชัดเจน เห็นความหนักใจในการตัดสินใจเดินเกมอย่างผิดพลาดบ้างมั้ยล่ะ และที่ทำให้หนักใจที่สุดก็คงจะเสียงโห่ฮาที่ดังตามมาไม่หยุด

“กูไม่...”

“ปฏิเสธได้หรอ ไม่ได้เป็นจริงอ่ะ” ซีซั่นกระซิบที่ข้างหูผมก่อนจะคว้าเอาถุงที่ผมหิ้วอยู่กับมือออกไป ร่างสูงเดินนำถุงไปวางที่โต๊ะกลางไม่ห่างจากที่ผมยืนอยู่มากนัก ผมมองตามมันไปแล้วก็ได้เห็นจังหวะที่มีรอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นมาบนหน้าของมันอย่างชัดเจน เอาล่ะ ผมว่านอกจากผมจะเดินเกมพลาด การที่ผมต้องมายืนอยู่ที่นี่ก็คงจะเป็นการก้าวเข้ามาอยู่ในเกมของซีซั่นด้วย

“คุณเทมไปนั่งก่อนมั้ยครับ” อิสระหันมาถามขณะที่ผมกำลังใช้สมาธิในการจินตนาการเหตุการณ์ต่อไปเป็นฉาก ๆ ผมจะไม่ยอมแบกของมาให้มันเยี่ยงเบ้แล้วไม่ได้อะไรดี ๆ กลับไปแน่

“พวกมึง แฟนกูซื้อของมาฝาก!” ซีซั่นส่งเสียงลั่นก่อนจะหันมายักคิ้วรัวใส่ผม และแน่นอนว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจคำว่าของฝากเท่ากับคำว่าแฟน มีหลายคนที่ยอมสละที่นั่งลุกขึ้นมากระซิบกระซาบใส่ซีซั่นและเหลือบตามามองผม การโดนนินทาซึ่ง ๆ หน้าในเรื่องที่ไม่จริงทำให้ผมหัวเสียมากขึ้นไปอีก

“คุณเทมครับ”

“ห่ะ”

“ไปนั่งก่อนมั้ยครับ ตรงนู้น” อิสระชี้นิ้วไปที่มุมด้านหนึ่งของอาคารที่มีไฉนั่งตั้งใจอยู่กับตู้กระจกอันใหญ่ ผมตัดสินใจได้ไม่ยากนักและเดินแหวกทุกสิ่งไปทันที วันนี้แหละไอ้ซีซั่นกูจะทำให้ผมมึงรู้ว่าข้อเสียของการมีแฟนเป็นผู้ชายมันเป็นยังไง!

“นั่งก่อนก็ดี” ผมยิ้มในใจกับตัวเอง เดินตรงไปยังที่ว่างตรงข้ามไฉ ผมทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้เตี้ย ๆ แล้วหดสองขาเข้ามาในท่าขัดสมาธิ ความสูงที่เกินพื้นขึ้นมาไม่ถึงสิบเซ็นทำให้การนั่งชันเข่าเป็นเรื่องยาก และผมก็คงไม่เอาขากางเกงไปเสี่ยงกับกองดินโคลนตรงหน้าด้วย

“อ้าวเทม”

“หวัดดีไฉ” ผมเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกแล้วทอดสายตามองออกไปตรง ๆ ไฉไม่ได้หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ เขายิ้มให้ผมก่อนจะค่อย ๆ เทดินสลับชั้นลงไปในตู้กระจก

“มาไงเนี่ย”

“ไอ้ซั่นใช้ซื้อของ” ผมตอบแล้วเหลือบตามองบนสลับกับมองลงพื้นเบื้องล่าง เหอะ! พูดแล้วก็อยากจะกลอกตาไม่หยุด

“อ๋อ… มิน่าล่ะ มันเอาแต่พูดว่าของดีจะมา”

“เดี๋ยวก็รู้ว่าดีหรือไม่ดี”

“อะไรนะ”

“เปล่าไม่มีอะไร” ผมยิ้มแบบไม่ตั้งใจอะไรและพยายามกดใจตัวเองให้นั่งรอคนพิเศษแบบตั้งใจสุด ๆ โชคดีที่ไฉกำลังตั้งใจกับงานตรงหน้าเลยไม่ได้สนใจจะตั้งคำถามอะไรกับผมต่อ ส่วนอิสระก็เข้ามาช่วยไฉตั้งดินใส่ถ้วยตวงในปริมาณเท่า ๆ กัน ผมเหลือบตามองซีซั่นที่ยังเป็นบ้าเป็นบออยู่กับถุงที่ผมถือมาอยู่หลายครั้ง และก็นับว่ายังโชคดีที่ผมไม่ต้องรอมันนานนัก ไอ้หัวไม่มีผมต้นตอของปัญหาเดินเข้ามาพร้อมของที่ผมซื้อมาหลายชิ้น

“อ่ะ พวกมึง” ซีซั่นวางของลงตรงหน้าของไฉและอิสระ ก่อนจะหันไปยืมไฟแช็คของเพื่อนอีกคนมาจุดยากันยุงที่ถือมาด้วย

“ขอบคุณนะครับคุณเทม”

“ขอบใจมากเทม” สองคนที่ผมรู้จักอยู่แล้วรีบคว้าของกินที่ใกล้มือไปและเอ่ยปากขอบอกขอบใจผม หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ใช้มือนึงสำหรับทำงานและอีกมือสำหรับการกิน ระหว่างที่ซีซั่นไม่ได้ทำห่าอะไรนอกจากลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผมและพยายามจะตั้งขดยากันยุงอยู่แบบนั้น ไอ้หัวกรวย ถ้ามันตั้งยากนักทำไมไม่แดก ๆ เข้าไปเลยล่ะ

“นี่” ผมส่งเสียงเบา ๆ เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าซีซั่นจะหันมาสนใจผมมากกว่าไอ้สารพิษขดสีเขียว ๆ นั่น

“ว่าไงครับแฟน” ซีซั่นเงยหน้าขึ้นมายิ้มก่อนจะก้มลงไปใช้ความพยายามโง่ ๆ อีกครั้ง

“สัด! เอามานี่!” ผมทนความหงุดหงิดไม่ไหวแย่งขดยากันยุงมาทันที ก่อนจะจับมันวางลงไปบนปากขวดเครื่องดื่มเก่าที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าตัวเห็นแบบนั้นก็ห่อปากเ็นรูปตัวโอแล้วฉีกยิ้มกว้างออกมาทันที

“ฉลาดแล้วยังใจดีอีกอ่ะ”

“มึงมันโง่” ผมพูดลอดไรฟันออกไปเพราะไม่อยากให้แผนดี ๆ ที่มีอยู่ในหัวต้องพังลงไปไม่เป็นท่าเหมือนที่ผ่าน ๆ มา อดทนเอาไว้เทม วันนี้แหละที่มึงจะจบเกมทุกอย่างก่อนกำหนดด้วยมือและตีนของมึงเอง

“โง่แต่น่ารักนะ” ซีซั่นยังไม่หยุดยิ้มอ้อนตีน แต่เมื่อมันเห็นว่าผมกำลังยิ้มให้หล่อที่สุดกลับไปทุกอย่างก็นิ่งสนิททันที สีหน้ากวนตีนค่อย ๆ กลับสู่สภาวะมนุษย์หิน ผมแอบเห็นว่ามันกำลังกลืนน้ำลายลงคอเหมือนเวลาที่ผมแอบมองหมูกระทะของโต๊ะข้าง ๆ

“เป็นไรของมึง”

“คิดถึง ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน” สิ้นคำพูดของซีวั่นก็กลายเป็นผมที่ต้องนิ่งลงไปบ้าง เชี่ย อากาศรอบตัวมันก็ร้อนพออยู่แล้ว แล้วนี่ผมเป็นอะไรถึงมาร้อนที่แก้มทั้งสองข้างอีกวะเนี่ย

“ไร้สาระ”

“พูดจริง”

“แผลยังไม่ทันหาย อยากได้อีกรึไง” ผมจิกตาไปที่มุมปากและหางตาของซีซั่นที่ยังมีรอยช้ำ แล้วนี่ก็ยังไม่เจียมเอาหัวไปชุบโคลนมาอีก เจริญพร

“อยากสร้างแผลให้เรา อยากได้แบบคืนนั้นอีกหรอ...” ซีซั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเหนือกว่า พยายามไปเถอะเดี๋ยวก็รู้ว่าเราสองคนใครอยู่เหนือกว่าใครกันแน่

“ขอโทษนะครับ… คุณซีครับ ช่วยไปเอาน้ำให้ผมหน่อยได้มั้ย” อิสระพูดขึ้นมาขัดสถานการณ์ได้อย่างตรงจังหวะ ผมรีบจัดเก้าอี้ถอยออกมานิดหน่อยเพื่อตั้งหลักให้มั่นคง

“ก็ที่กูหยิบมานั่นไง”

“ไม่ใช่น้ำกินครับคุณซี”

“ไปเดี๋ยวนี้เลยไอ้ซี ไม่ช่วยห่าอะไรแล้วก็อย่าถ่วง! ไม่งั้นก็ไม่ช่วยมึงให้ผ่านเอฟแน่!” ทุกอย่างจบประเด็นทันทีเมื่อไฉพูดออกมาเสียงดัง ผมแอบกระตุกยิ้มขำเมื่อเห็นซีซั่นเกาหัวตัวเองด้วยท่าทางเซ็ง ๆ เคยได้ยินจากพี่คีณมาหลายครั้งว่าซีซั่นไม่ใช่คนใส่ใจกับการเรียบเท่าไหร่ แถมยังอยู่ปากเหวและเสี่ยงจะโดนรีไทน์เอาง่าย ๆ ตอนแรกก็ไม่เชื่อนักหรอกครับ แต่พอเห็นท่าทางรีบกุลีกุจอไปหยิบน้ำตามคำสั่งเพื่อนผมก็เชื่อสนิทใจในทันที

“ขอโทษนะครับคุณเทมที่พวกผมขัดจังหวะ...”

“จังหวะจู๋จี๋หรอวะ”

“จังหวะฆ่าไอ้ซีเนี่ยแหละสัด!” ครับ! ไฉกับอิสระก็ยังเป็นคนเดิมที่รับส่งมุกฝืดสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว แต่ช่างเถอะ เพราะว่าเวลานี้ผมจะไม่โต้เถียงอะไรและให้ความสนใจแค่เพียงการตั้งหลักของร่างกายตัวเอง เวลานี้แหละโคตรสำคัญ! ทุกสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดนี้ ผมจะต้องไม่ผิดพลาดเด็ดขาด

“อ่ะพวกมึง” ซีซั่นยื่นถังน้ำให้อิสระ ...นับหนึ่ง

“วางสิวะ” ถังน้ำวางสนิทอยู่กับพื้นแล้วเรียบร้อย ...นับสอง

“จะเอาไรอีกม่ะ ใช้กูให้มันครบ ๆ …..ฮ …..เฮ้ยยยย!!” และ ...นับสาม

บู้มมมมม เกิดเป็นโกโก้ครันซ์!

ไม่ต้องคิดนะครับว่าผมจะคิดสั้นทำลายงานของคนพวกนี้จนทุกอย่างแตกฮือ เพราะสิ่งที่ผมทำมันทำให้ทุกอย่างแตกกระเจิงและมองมาทางผมเป็นหนึ่งเดียวยิ่งกว่านั้นเสียอีก ยิ่งเสียงเฮ้ยของซีซั่นเกินแปดสิบเดซิเบลก็ยิ่งทำให้ผมเป็นผู้ที่อยู่เหนือยอดเขาเอเวอร์เรสและควบคุมสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง

เมื่อครู่ผมพึ่งจะกระชากแขนซีซั่นจนมันเสียการทรงตัวและล้มลงนั่งอยู่กับตักผมในท่าเจ้าหญิงแบบพอดิบพอดี แขนเอื้อมโอบซีซั่นเอาไว้ทั้งที่ขนเริ่มลุกซู่ซ่าขึ้นมา ถึงแม้ว่ากระดูกที่ตูดแห้ง ๆ จะกระแทกขาจนผมรู้สึกเจ็บ แต่ผมก็แสดงสีหน้าออกไปเพียงรอยยิ้มที่พยายามจะให้ใกล้เคียงณเดชเวอร์ชั่นหาเมียน้อยให้ญาญ่า

“เมียจ๋า”

“.........” หลังจากที่ผมพูดสิ่งที่กระดากปากออกไปด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ ซีซั่นและสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตก็พากันเงียบจนได้ยินเพียงเสียงเครื่องจักรบางอย่างดังหึ่ง ๆ อยู่อย่างเดียวดาย อยากให้เพจคิ้วท์บอยมาเป็นหน้างงแดกของซีซั่นตอนนี้จัง จะยังบอกว่าไอ้ประสาทเสียนี่หล่ออยู่อีกม่ะ หึหึ

“ทำไมเมียจ๋าหน้าเลอะหมดเลยอ่ะ” ผมพยายามอย่างหนักที่จะพูดออกมาให้เป็นธรรมชาติทั้งที่ใจมันกำลังวิตกกังวัล เพราะระยะห่างระหว่างผมกับมันนั้นแทบไม่มีเหลือ และการที่มันนั่งตักผมทำให้จากที่สูงกว่าอยู่แล้วก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะค่อย ๆ ยกมือข้างนึงขึ้นประครองกรอบหน้าของซีซั่นเอาไว้ด้วยอาการใจดีสู้เสือ

“เมียจ๋า?” ซีซั่นทวนคำพูดของผมพร้อมกับพยายามกดสายตามองมือผมที่สัมผัสอยู่บนหน้า ใช้แล้วล่ะ ‘เมียจ๋า’ ไอเดียที่มาจากความฉลาดและคำพูดของเพื่อนรักอย่างเฟย์

“ถ้ามึงโกหก กูขอให้มึงเสียดินแดนให้ไอ้ซีซั่น”

แค่ฟังว่าตนเองจะเป็นคนเสียดินแดนผมยังขนตูดลุกขนาดนั้น ถ้าไอ้ซีซั่นตกอยู่ในสภาวะที่เหมือนจะเสียแดนดินในสายตาประชาชีแล้วไม่รู้สึกอะไรก็ให้มันรู้ไป คราวนี้แหละมันได้รู้ลึกถึงการมีแฟนเป็นผู้ชายอย่างเต็มร้อยแน่ ๆ

“เมียจ๋าไม่ต้องเขินหรอก นั่งพักให้หายเหนื่อยนะ”

“ให้นั่งพักตรงนี้”

“ใช้แล้วล่ะ ไม่มีอะไรเติมพลังให้เราสองคนได้มากกว่ากันและกันอีกแล้วเนอะ”

“เดี๋ยวกลับห้องไปแล้วผัวจ๋าจะอาบน้ำให้นะ” ผมค่อย ๆ ให้นิ้วโป้งเช็ดผ่านคราบดินโคลนที่อยู่บนหน้าซีซั่น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คนรอบข้างกำลังมองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาแบบไหน แต่แค่เสียงเงียบไร้การเคลื่อนไหวยังอยู่ และยังแปลความได้ว่าทุกคนกำลังมองเราอยู่ก็ทำให้ผมพอใจมากแล้ว

“เทมจะเล่นอะไรเนี่ย”

“วันนี้งานหนักมั้ย หืม” ผมตอบไม่ตรงคำถามและเบี่ยงเบนประเด็นเต็มที่ นิ้วที่เคยเช็ดคราบโคลนค่อย ๆ จับแก้มของใบหน้าคมเอาไว้ก่อนจะโยกไปโยกมาไม่หยุด ช่วยให้กำลังใจผมทีครับ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ผมนึกถึงภาพสยิวสยองคืนนั้นขณะที่มองหน้ามัน ทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ทำให้ผมใจสั่น!

“ม...ไม่อ่ะ” ซีซั่นตอบผมเสียงเบาและพยายามจะมองไปรอบตัว เริ่มรู้สึกแล้วสินะ หายนะของการมีแฟนเป็นผู้ชายแมน ๆ คุยกันน่ะ

“แต่หน้าเมียจ๋าดูโทร๊มโทรมอ่ะ”

“โทรมหรอ”

“อืม… ดูสิ ใต้ตาดำหมดแล้ว” ผมยื่นหน้าขึ้นจนสุดเพื่อมองใกล้ ๆ ดวงตาของคนที่อยู่บนตัก อย่าไปบอกใครล่ะว่าไอ้ร่องรอยดำคล้ำที่ผมมองอยู่เนี่ยมันมาจากฝีมือหมัดมวยของผมเอง

“...........”

“แต่เมียจ๋าโทรม ผัวจ๋าก็ยังรักนะ”

“...........”

“แต่คืนนี้… จะให้ผัวจ๋าเอาไหวมั้ยเนี่ย” ยิ่งเห็นซีซั่นเงียบผมก็ยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังแสดงสีหน้าทั้งใบหน้าแบบไหนเพราะเอาแต่โฟกัสที่ดวงตาของเขาไม่หยุด แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือดวงตาคมคู่นี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปและวาววับขึ้นในเสี้ยววินาที จนกระทั่งผมระลึกได้ว่าตัวผมเองอาจจะบางสิ่งไปเสียสนิท

สิ่งที่ผมลืมนั่นก็คือ…

‘ระยะปลอดภัย’

“ไม่เป็นไรนะเทมจ๋า… เดี๋ยวคืนนี้ซีจ๋าจะเป็นผัวจ๋าให้เอง”

เชี่ย! ผมเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ เรือไททานิคก็พลิกขึ้นไปลอยบนฟ้าแทนที่จะพุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง มือหนาใช้เวลาเพียงครึ่งวินาทีในการรวบต้นคอของผมและล็อคมันเอาไว้อย่างดี ซีซั่นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โต้แย้งคำพูดใด ๆ อีกต่อไป ริมฝีปากยกเชิดที่ยังมีรอยแผลวางประทับแนบลงกับปากผม ไม่ว่าผมจะพยายามเม้มปากให้เรียบและแน่นมากเท่าไหร่ อวัยวะสันดานเสียที่เรียกว่าลิ้นก็พยายามดันเข้ามากเท่านั้น ผมอยากจะตบตัวเองให้ปากฉีกที่ไม่สามารถสู้แรงเรียวลิ้นของซีซั่นได้ ไอร้อนวาบเข้ามาภายในโพรงปากและส่งผลทำให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว สิ่งที่ผมกำลังเจอคืออีกฝ่ายพยายามที่จะตวัดลิ้นหยอกล้ออยู่ในปากโดยไม่ได้สนใจปากผมที่กำลังแข็งขืนไร้รู้สึก

อะไร! มองทำไม! เออ! ยอมรับก็ได้ว่ากำลังเคลิ้มอ่ะ!

“อือออออออ” ผมปลดมือออกจากร่างและใบหน้าซีซั่นแล้วดันอกมันออกเต็มแรง ไหนใครว่ารสจูบหวานวะ! อ่านนิยายรักโรแมนติกกี่เรื่อง ๆ ก็บรรยายว่าหวานงู้นงี้จนอยากจะลอง จังหวะไหนที่ควรจะเรียกว่าหวาน ขมเชี่ย ๆ เหมือนหืนสัด ๆ แล้วไอ้รสชาติปะแล่ม ๆ ในปากตอนนี้มันคืออะไรกัน ติดปากขนาดว่าขืนตัวจนหลุดออกมาแล้วรสมันก็ยังอบอวนอยู่ไม่หาย

“โอ๊ะ! ขอโทษนะ… พอดีผัวจ๋าลืมไปว่าพึ่งจกตำหอยดองมา”

ตำหอยดอง!

อร๊ากกกกกก ไอ้เทมอยากตายยยย

จูบแรกในชีวิตกู สูญเสียไปกับตำหอยดอง!

“มึงลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยซีซั่น”

“อะไรง่า เมื่อกี้เมียจ๋ายังบอกว่าให้ผัวจ๋านั่งพักให้หายเหนื่อยอยู่เลย” เป็นซีซั่นที่พูดขึ้นจนเสียงลั่นไปทั่ว ผมหันหน้าบาง ๆ ของตัวเองไปมองรอบตัวก็พบว่าทุกสายตามองผมกับมันเป็นตาเดียว และจดจ้องทุกอิริยาบถยิ่งกว่าดูหมีแพนด้าคลอดลูก แต่นั่นก็ไม่หายนะเท่ากับการที่ผมเห็นโทรศัพท์ถูกยกขึ้นถ่ายรูปและวิดิโอไม่ต่ำกว่าสิบเครื่อง และไม่เว้นแม้แต่อิสระกับไฉที่อยู่ในระยะที่เรียกว่าใกล้ที่สุด

ผลั่ก!!

“ไอ้กรวยซั่นนนนนน!!” ผมหวีดออกมาสุดเสียงเพราะทุกความอดทนได้หมดลง และตอนนี้ผมก็อยู่นอกเขตระยะปลอดภัยแบบไม่ต้องสงสัย เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีทำให้ผมต้องสั่งตัวเองลุกขึ้นและสลัดไอ้มารหัวไม่มีขนให้หลุดออกไปในที่สุด ซีซั่นล่วงลงกับพื้นแทบจะทันทีแถมผมไม่มีกระจิตกระใจจะหันดูด้วยซ้ำว่ามันหัวกระแทกพื้นตายไปรึยัง ผมต้องวิ่ง! ต้องวิ่งลากสังขารและเก็บสติที่ล่วงหล่นออกมาจากสถานที่วายป่วงแห่งนี้ให้เร็วที่สุด!

ซวยบรรลัยแน่ ๆ ถ้ามีใครโพสรูปหรือคลิปออกไป ไอ้เทมตายหยังเขียดแน่ ๆ!!

วิ่ง! วิ่งดิเอ๋ วิ่งงงงงงง!

.

.

.

“คุณไฉครับ ...คุณว่าตกลงใครเป็นเมียกันแน่ครับ”

“กูว่าไอ้ซีแน่ ๆ”

“คุณซีเป็นเมียหรอครับ”

“หึ… ไอ้ซีอ่ะ คิดจริงจังแน่ ๆ”

สองเพื่อนซี้พยักหน้าให้กันก่อนจะยกหมัดมือขึ้นชนกันเพื่อสมานฉันท์ทางความคิด มันจะมีเหตุผลข้อไหนมารองรับการที่เพื่อนของพวกเขานอนยิ้มมีความสุขบนกองดินได้ดีกว่าเหตุผลที่พวกเขาคาด เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ได้เริ่มต้นที่การเป็นแฟนกำมะลอซะแล้ว โชคดีก็แล้วกัน ซีซั่นเพื่อนรัก





TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 7 ตายด้วยกันนะ


“เทม! เทม!”

เรียกหาโพ่ง!!

ผมสบถในใจขณะที่ยังเดินเร็วสับขาไม่หยุด เรื่องอะไรผมจะต้องหันกลับไปสนทนากับเวรกรรมที่ตามมาด้านหลัง เป็นอีกครั้งที่ผมต้องใช้หลังมือตัวเองเช็ดปากอย่างแค้นใจ ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ อยากจะรู้จริง ๆ ว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร ตำหอยดองหรอ ห่ะ?

“เทมมมม รอก่อน” เสียงของซีซั่นยิ่งเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกฝีก้าว ผมเหล่สายตากลับไปมองด้านหลังครู่หนึ่ง ก่อนจะพุ่งตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดห่างจากตรงนี้ด้วยระยะไม่ถึงสิบเมตร

“จะตามทำไมกันนักกันหนาวะ”

“หยุดคุยกันก่อนดิเทม”

“โอ๊ยยย อย่ายุ่งได้ป่ะ” ผมหันไปเหวเสียงแข็ง และนั่นก็ทำให้จังหวะการเดินของผมเสียจนซีซั่นเข้ามาประชิดตัวจนได้ มือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนและกำแขนเสื้อของผมเอาไว้ในมือแน่น และต่อให้ผมพยายามดึงตัวเองออกด้วยท่าทางอุบาวท์ ๆ มันก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี เพราะว่ามันล็อคผมเอาไว้ด้วยมือหยาบช้าโสมมเรียบร้อยแล้ว

“ไม่ยุ่งได้ไงอ่ะ ก็อยู่ ๆ เมียจ๋าวิ่งออกมาแบบนี้อ่ะ”

“หยุดพูดกับกูด้วยคำคำนี้เดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมหยุดยืนนิ่งสร้างรากฐานให้มั่นคง ยกนิ้วชี้ขึ้นกวาดไปทั่วก่อนจะชี้ไปที่ใบหน้าใสซื่อจอมปลอมของซีซั่นที่เริ่มเบ้ปากเหมือนจะเสียใจ แต่คนแบบมันจะมาเสียใจอะไรกันล่ะ มาเหนือจนแผนผมล่มไม่เป็นท่าซะขนาดนี้

“อ้าว ก็เทมเริ่มก่อนนี่นา”

“กูทำอะไร!”

“โห นี่ไม่รู้ตัวขนาดนั้นเลยหรอ”

“หยุดยืนอยู่ตรงนั้น!” ผมสะบัดตัวจนหลุด กำมือเกร็งนิ้วด้วยแรงโมโหเท่าที่มี เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันกัดฟันยืนนิ่งอยู่แบบนั้นเพื่อไม่ให้ใครอีกคนได้โอกาสเข้ามาใกล้ตัวมากกว่าเดิม

“โอเค ๆ หยุดแล้ว แต่เทมต้องคุยกับเราก่อน เป็นอะไรอ่ะ โกรธหรอ?”

“ไม่!” แม้ว่าผมจะปฏิเสธ แต่น้ำเสียงขุ่นเคืองและการชักสีหน้าแบบสี่มิติก็ทำให้ผมรู้ตัวดีว่าตีหน้าตายจนน่าอาย จะโทษผมไม่ได้หรอกเพราะว่าผมก็ไม่ได้โกรธอะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น แต่ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้มันก็แค่อารมณ์เกรี้ยวกราดและอาการร้อนวูบวาบแปลก ๆ ทำให้รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น

“แล้ว...”

“เอามือของมึงกลับไป” ผมถอยตัวหนีอีกก้าวเมื่อเห็นว่าซีซั่นพยายามจะเอื้อมมือมาสัมผัสต้นแขน ภายในสมองตอนนี้มันตีกันหลากหลายกระบวนท่า และยังไม่ได้บทสรุปซักทีว่าเรื่องราววุ่นวายเรื่องนี้มันจะไปจบลงที่ตรงไหน แวบหนึ่งของความคิดมันบอกว่าผมควรจะจบเรื่องนี้ซะก่อนที่จะไปกันใหญ่ แต่แล้วความคิดอีกส่วนหนึ่งมันก็เถียงขึ้นมาทันควันว่าเรื่องไหนกันล่ะที่จะบานปลายได้ ถ้าคนสมองดีอย่างผมยังยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน

“เป็นอะไรเนี่ย ตอนมาถึงยังดี ๆ อยู่เลย”

“ก็ตอนนี้ไม่ดีแล้ว หยุดยุ่งกับกูซักสองสามชั่วโมงเหอะว่ะ” พูดจบผมก็หลับตาลงนิ่ง เพราะยังคิดไม่ออกว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้สมองผมวิ่งวุ่นเหมือนกับคนไม่มีเหตุผล

“เราใช้ซื้อของเยอะไปหรอ”

“เปล่า”

“งั้นเราพูดอะไรกวนใจเทมรึเปล่า”

“ไม่ใช่”

“เรื่องที่เราจูบเทมใช่มั้ย”

“.........” ผมเปิดตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินซีซั่นพูดออกมาเต็มเสียง คนตรงหน้ายกสองแขนขึ้นกอดอกแล้วใช้สายตากดต่ำลงกับพื้น ผมเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกำมือนิ่งทิ้งความรู้สึกพิลึกออกไปบ้าง

“ก็ถ้าเทมยืนยันว่าที่ดึงเราลงไปนั่งกับตักอยู่ในส่วนหนึ่งของพฤติกรรมคนเป็นแฟนกัน… เราก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เราทำมันอยู่ในเรื่องพึงกระทำเหมือนกัน” ซีซั่นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม แถมยังกดใบหน้าลงไปจนแทบจะชิดอก แบบนี้รึเปล่าที่เขาเรียกว่าไก่คอตก แต่จะไก่คอตกหรือหมาคอหักผมก็ไม่ได้สนใจเท่าสิ่งที่กำลังได้ยินนักหรอก

“แต่กูกับมึงเป็นแฟนกันก็แค่เกม ไม่มีความจำเป็นอะไรที่มึงจะมาทำเรื่องโสโครกใส่กูแบบนี้”

“ไหนว่าไม่โกรธอ่ะ โห… แฟนจ๋าโกหกอ่ะ” คราวนี้ซีซั่นเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่ง ผมเห็นแบบนี้ก็ได้แต่อุทานคำว่าเหี้ยเบา ๆ ในใจ หลุดแสดงความรู้สึกอะไรออกไปน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าจะให้เสียหน้าคงทำใจไม่ได้จริง ๆ

“ก็ไม่ได้โกรธ”

“แต่ลุกหนีออกมาเลย สงสัยจะเขิน”

“ไม่ได้เขินเว้ย! เลิกหาเหตุผลแล้วเลิกยุ่งกับกูได้ละ!” ผมยันขาออกไปข้างหน้าและตั้งใจไม่ให้สัมผัสโดนใครทั้งนั้น ซีซั่นเอี้ยวตัวหนีแล้วหันมาบุ้ยหน้าบุ้ยตาใส่ผม

“ขนาดเขินแล้วยังไม่โอนย่อนเลยอ่ะ” เอาเถอะ… คุณไม่ได้ตาฝาด ผมไม่ได้ฟังผิด ไอ้บ้านี่มันพูดคำว่าโอนย่อนจริง ๆ

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ!”

“ไม่ก็ไม่สิเนอะ”

“เออ ไม่ มึงกลับเข้าไปทำงานของมึงได้ละ ไม่ต้องตาม!”

“ไม่เอาดิ อยากไปด้วยอ่ะ”

“จะไปไหนวะ”

“ไปกับเมียจ๋าไง”

“ไปกับใครนะ?!”

“เมียจ๋าไง”

“ไอ้ซั่น….” ผมกำหมัดขึ้นเหนือหัวก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับลงมาเพราะคำพูดของซีซั่นลดระดับลงจนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

“คุณแฟนจ๋า… แฟนจ๋ารอแปบได้มั้ยอ่ะครับ ซีจ๋าไปเก็บของก่อน แล้วเดี๋ยวไปหาไรกินกัน แฟนจ๋าไปไหนซีจ๋าก็จะไปด้วย” ซีซั่นกำมือขึ้นยกนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลัง ณ วินาทีนี้ผมไม่รู้ว่าควรจะถอนหายใจออกมาเป็นภาษาอะไรถึงจะแทนความรู้สึกเหนื่อยหน่ายได้ดีที่สุด สภาพคลุกโคลนแบบนี้เชิญไปดินเนอร์ท่ามกลางกองไฟกับแกงค์ไส้เดือนเถอะ แค่เดินร่วมถนนเดียวกันยังควรรู้สึกรังเกียจเลย

“ไม่”

“แล้วไหนว่าไม่โกรธ ไหนว่าไม่เขิน เอาแต่ไม่ ไม่ ไม่ อยู่นั่นแหละ” ซีซั่นลดโทนเสียงลงต่ำจนแทบจะอู้อี้ ๆ อยู่ภายในลำคอ

“กูเบื่อความพูดไม่รู้เรื่องของมึง โอเคมั้ย? แล้วอีกอย่างกูก็แค่โมโหที่มึงทำเหี้ยอะไรแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น มันเกินเบอร์ไปนิดว่ะซีซั่น เพราะถ้าไอ้นนรู้เรื่องนี้เข้าซะก่อนทุกอย่างก็จบ” ผมสาธยายยาวเหยียดเท่าที่จะพูดได้ ซีซั่นพยักหน้าสองสามครั้งเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็คงไม่มีใครเข้าใจได้ดีเท่าตัวผมเองหรอก ใครกันวะที่จะมีโอกาสสัมผัสสยองกับหอยดองท่ามกลางประชาชนนับสิบ ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาในระยะสุดท้ายว่าคงไม่มีใครเป็นลูกเพจคิ้วท์บอยจนทำให้เรื่องมันกลายเป็นกระทู้ฮอตประจำสัปดาห์ขึ้นมา

“อืม”

“แล้วเนี่ยนะ ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมามึงคิดบ้างมั้ยว่าจะเป็นยังไง อิสกับไฉเพื่อนมึงมันรู้ความจริงแต่แรกก็คงไม่น่าห่วง แต่เพื่อนคนอื่นในภาคมึงป่านนี้เขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วป่ะวะ มึงกับกูเป็นแฟนกันตามเงื่อนไขแค่สิบสี่วัน ไม่มีความจำเป็นที่มึงจะปล่าวประกาศแล้วทำเรื่องแบบนี้ซักนิด”

“แล้วที่เทมเรียกเราเมียจ๋านี่จำเป็็นตรงไหนวะ” ซีซั่นพรึมพรำและเหลือบตามองผม ระหว่างที่ผมพยายามหลบตาและเกร็งเสียงให้ดูจริงจังสุดฤทธิ์ ไม่รู้ล่ะ งานนี้ใครจะผิดก็ได้ แต่เทมนทีต้องไม่ผิด!

“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้แล้วเราค่อยเจอกันวันหลัง ...ไม่สิ ถัดจากนี้ซักสามวันค่อยมาเจอกู เป็นแฟนกันห่างกันบ้างก็ได้ ...แต่กูว่าแค่สี่วันที่ผ่านมามึงก็น่าจะพอเข้าใจแล้วว่าการมีแฟนเป็นผู้ชายมันแย่ยังไง” ผมยังพูดไม่หยุดระหว่างที่แอบเห็นว่าซีซั่นกำลังมีสีหน้าขบคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ วินาทีนี้ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหาทางพาตัวเองถอยหลังไปตั้งหลักซะก่อน หรือไม่ก็คงจะต้องประวิงเวลาให้หมดไปแล้วหาหมัดเด็ดยิงสวนจนน็อคในท้ายเกม ซึ่งแน่นอน ผมไม่มีแผน ไม่มีหมัด ไม่มีเห็บอะไรทั้งนั้น พูดให้เท่ห์ไปงั้นแหละ

“เทม...” ซีซั่นขยับเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม ภาษากายที่เจ้าตัวแสดงออกมามันชวนให้ผมต้องตีสีหน้าขึงขังอีกครั้ง

“อะไร ที่พูดไปเนี่ย ฟังแล้วเข้าใจบ้างมั้ยห่ะ กูว่าตัวมึงเนี่ยแหละ นิยามของแฟนผู้ชายแย่ ๆ ...จริง ๆ แค่มึงมองตัวเองก็น่าจะพอแล้วมั้ง”

“เข้าใจ… เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจว่าอะไร เข้าใจภาษาอะไรถึงจะเข้ามาใกล้กูอีก”

“พึ่งผ่านมาสี่วันเอง เหลือเวลาอีกตั้งสิบวันแน่ะ แต่ว่าตอนนี้… เราว่ามันควรพอแล้วว่ะ” ผมขมวดคิ้วให้กับสิ่งที่ได้ยิน ซีซั่นสบตาผมด้วยดวงตาทั้งสองข้างที่ว่างเปล่าเกินกว่าจะคาดเดาความรู้สึก หรือความจริง คราบโคลนที่ติดตรงขนตามันทำให้ผมมืดบอดมองอะไรไม่ออกกันนะ

“หึ ในที่สุดมึงก็รับรู้ปัญหาของการมีแฟนผู้ชายแล้วสินะ” ผมยิ้มเยาะอย่างพอใจ ไม่น่าเชื่อว่าการที่แผนผมล่มอย่างต่อเนื่องจะทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นซะงั้น

“เห้อ เราก็แค่เห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว”

“ทุกอย่างคือ…?”

“เทมเป็นคนโหดร้าย ไม่อ่อนโยน เอะอะถีบ เอะอะต่อย” ผมเดาว่าซีซั่นกำลังปลดปล่อยหลายสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ เอาเถอะ ผมจะพยายามทำใจยอมรับว่าทุกสิ่งที่เสียไปอาจคุ้มค่า ต่อให้โดนด่าผมก็จะแยกเขี้ยวรับแล้วค่อยหาโอกาสดักตีหัวมันคราวหลัง

“จะลองอีกมั้ยล่ะ”

“เทมไม่มีน้ำใจกับมนุษย์โลก”

“กูไม่มีน้ำใจเฉพาะกับมึง”

“ถูกเนื้อต้องตัวก็ไม่ได้”

“ก็มึงน่ารังเกียจ”

“ชอบโวยวาย เสียงดังถ้าไม่พอใจ”

“ก็กูไม่ได้เป็นใบ้ม่ะ”

“ตอนนี้ก็โวยวายอยู่”

“กูไม่ได้โวยวาย”

“ชอบเถียง”

“ไม่ได้ชอบเถียงโว้ยยย”

“นี่ไม่ได้เถียงเลยเนอะ”

“เออ! ไม่เถียงเว้ย!”

“เนี่ย ๆ บางทีก็ยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย”

“ถ้ากูพูดไม่รู้เรื่อง มึงก็คงไม่เข้าใจภาษาคน”

“ชอบเอาชนะจริง ๆ เลย”

“กูไม่เคยแพ้”

“เห้อ… ทั้งหมดเนี่ยเราคิดว่าเราทนได้ และเราชอบถ้าจะต้องมีแฟนประหลาด ๆ”

“มึงสิประหลาด!”

“แต่ว่า…”

“แต่…….” หลังจากที่แก้ต่างให้ตัวเองมาทุกประโยค ผมก็ต้องออกเสียงตามคนที่ลากเสียงยาวราวกับไม่มั่นใจ ตอนนี้เหมือนผมกับมันกำลังคุมบรรยากาศให้จริงจัง ทั้งที่อยากจะโดดเหยง ๆ เพราะยุงรุม พูดออกมาสิ พูดคำว่าขอยอมแพ้ออกมา พูดดดด

“ด้วยเงื่อนไขที่เรากับเทมมีร่วมกัน เราคงทนรอจนถึงสิบสี่วันไม่ไหวแล้วอ่ะ”

“จริงป่ะ!!” ผมหลุดยิ้มออกมาทันที แถมยังลืมทุกอย่างแล้วโดดเข้าไปประชิดตัวซีซั่นด้วยความโล่งอกดีใจ ฝ่ามือสองข้างจับช่วงไหล่อีกฝ่ายแล้วเขย่าสุดแรงหวังว่าจะมีคำยืนยันออกมาอีกซักคำ คุณพระคุณเจ้าเข้าข้างลูกแล้ว แถมทุกอย่างที่กวนใจยังจบลงก่อนกำหนดซะด้วย หึ ไอ้ซีซั่น ไอ้กาก!!

“อือออ” ซีซั่นตอบเสียงสั่นเพราะแรงเขย่าร่างจากผม และเมื่อได้ยินความชัดเจนเต็มสองรูหู ผมก็ปล่อยมือให้เขาเป็นอิสระ ก่อนจะยกขึ้นกำแน่นพร้อมเสียงเยสดัง ๆ ทันที ขอบคุณเจ้าหอย ไอ้เทมรักตำหอยดองที่สุดเลยโว้ยยยยย!

“เยส!!”

“แบบว่า… ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”

“เหี้ย! สัด!!!!” สัตว์เลื้อยคลานตัวหน้าดังขึ้นเมื่อมือของซีซั่นคว้าเข้าที่ต้นแขนขวาของผม จากนั้นสรรพสัตว์ก็กรูกันออกมาเป็นหมวดหมู่หลังจากที่ไอ้เวรนี่ดึงตัวผมไปกระแทกกับแผงอกแสนโสโครก แขนแกร่งโอบล้อมแผ่นหลังผมเอาไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างที่เหลือเริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่กับเส้นผมโด่เด่ที่เกินออกมาจากกรอบหน้า คราวนี้ผมอ่านสายตาของซีซั่นออกจนหมด สาตาแบบนี้ แววตาแบบนี้ มันไม่มีอะไรซ่อนอยู่เลยนอกจากความร้ายกาจที่กำลังจะทำให้ผมแพ้พ่ายได้ทุกเมื่อ และเชื่อเถอะ คุณไม่อยากให้ผมบรรยายเรื่องราวต่อจากนี้แน่ ๆ

เอาเป็นว่า ผมโคตรเกลียดตำหอยดอง









“แล้วไงต่อวะ” ผมหลบตาเพื่อนสนิทอย่างเฟย์ที่นอนท้าวคางบนเตียงฟังผมระบายความในใจด้วยความเสือกขั้นสูงสุด เหตุการณ์ข้างต้นแม้ว่ามันผ่านมาร่วมสามชั่วโมงแต่ก็ยังชัดเจนทุกสิ่งจนผมเล่าออกมาได้เป็นฉาก ๆ แต่ถ้าจะให้เล่าให้ฟังต่อจนจบมันก็คงต้องมีการพักหายใจกันบ้าง

“ก็ไม่แล้วไง”

“เล่ามาขนาดนี้แล้ว อย่ามากั๊กย่ะ”

“กูไม่ได้กั๊ก แต่กูไม่อยากเล่าต่อแล้วเนี่ย” ผมฟุบหน้าลงกับขอบฟูกที่นอน จินตนาการถึงวิบากกรรมกับตำหอยดองรอบสองแล้วไม่อยากจะเล่าออกไปให้มันกระดากใจตัวเอง

“ปลุกกูมาดึกดื่นจะไม่เล่าได้ไง เร็ว ๆ เลยมึง” เสียงที่แผดขึ้นมานั่นไม่ได้มาจากมนุษย์ ณ สถานที่ปัจจุบัน แต่มันมาจากสายวิีดีิโอคอลที่มีหญิงสาวหน้าหมวยตาปรืออยู่ในจอ ดูเหมือนนีลจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ผมหยุดเล่าไปซะดื้อ ๆ แต่ทำไงได้ล่ะก็อยากจะเล่าอยู่หรอก แต่ด้วยเนื้อหาผมคงจะต้องหยุดทำใจและเตรียมอุปกรณ์มาเก็บเศษหน้าตัวเองกลับมาแบกไว้บนบ่าก่อนจริง ๆ

“คือแบบ… โว้ยยยยยยยย” ผมโยกหัวกระทบกับเตียงนุ่ม ๆ สามครั้งติด บรรยากาศตอนนี้มันช่างน่ากดดันและบีบบังคับให้สารภาพบาปทั้งที่ใจไม่อยาก ผมไม่อยากยอมแพ้และสูญเสียรองเท้าคู่ในฝันและนาฬิกาลิมิเต็ดไปทั้งที่พยายามมาขนาดนี้ แต่ว่าเรื่องที่เจอมามันทำให้อึดอัดจนเกินกว่าจะเก็บไว้และคงไม่สามารถสู้ต่อทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะน็อคเอ้าท์จนผมเองแพ้ราบคาบ

“ไหนมึงบอกว่าเพื่อนครบแล้วจะเล่าทั้งหมดไง เดี๋ยวนี้เลยเทม เล่าต่อให้จบ แล้วก็บอกกูมาด้วยว่าเหตุผลอะไรทำให้มึงไปวุ่นวายกับไอ้ซีซั่นจนเป็นเรื่องแบบนี้” เสียงที่จริงจังกว่าใครทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยแววตาที่หงอยยิ่งกว่าหมาจรจัด เจ้าของเสียงนี่แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนนี้ว่าการสารภาพบาป

ณนนคนเดิม เพิ่มเติมคือพี่คีณนั่งหน้าไม่มีเลือดอยู่ข้าง ๆ

แม่ง… ซีดกว่ากูอีก

จะโทษตัวผมก็คงไม่ถูก เพราะไอ้รูปที่ว่อนเต็มเพจคิ้วท์บอยแท้ ๆ ที่ทำให้ผมต้องเปิดประตูห้องรับเพื่อนรักแบบนี้ แล้วต่อไปก็คงจะต้องเป็นการปิดตายภารกิจปกป้องเพื่อนแลกของกำนัล





ขอโทษล่วงหน้านะครับพี่คีณ





ถ้าจะตายก็ตายด้วยกันนะ

ตายคนเดียวไม่เอาอ่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2018 22:35:05 โดย be-silent »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“เหี้ย! สัด!!!! ” ผมอุทานออกมาเสียงดังทันที เมื่อร่างกายกระแทกกับแผงอกแสนโสโครก แขนแกร่งของซีซั่นโอบล้อมแผ่นหลังของผมไว้ ส่วนมืออีกข้างก็เริ่มเกลี่ยเส้นผมบริเวณกรอบหน้า สายตาของซีซั่นร้ายกาจจนผมรู้สึกว่าผมกำลังจะแพ้ แพ้ราบคาบทั้งที่ใจมันสู้จนสุดชีวิต

“ชู่ววววว” คนที่โอบผมทั้งตัวเป่าปากส่ายหน้าเพื่อให้ผมเงียบลง

“มึงจะทำอะไรเนี่ย ไหนบอกว่าจะหยุดแล้วไง” ผมพยามดิ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งดิ้นใบหน้าของผมก็ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ซีซั่น รอยยิ้มที่กระตุกอยู่บริเวณมุมปากเล่นเอาซะผมต้องรีบกลืนน้ำลายก้อนเหนียวหนืดลงคอ แขนแกร่งกระชับมากขึ้นอีกจนร่างกายของเราสองคนแนบชิดสนิทกัน แต่… กูไม่อยากสนิทกับมึงโว้ยย!

“ก็ตั้งใจจะหยุดเกมลงนั่นแหละ แล้วก็คงไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับณนนอีกตามข้อตกลง” ผมกระตุกยิ้มทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่มันก็เป็นยิ้มที่ไม่สุขใจเท่าที่ควร เพราะว่านอกจากผมจะกระตุกมุมปากเพื่อยิ้มแล้ว ตาสองข้างก็ผลัดกันกระตุกเป็นจังหวะไม่เลิก ราวกับความซวยกำลังจะมาเยือนผมแบบค้างคืนและตลอดไป

“ก็ดี จบเร็วแบบนี้ก็ดี”

“แต่…” เมื่อได้ยินคำว่าแต่จากซีซั่นผมก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ ที่สำคัญคือมือมารที่เคยซนอยู่บริเวณไรผมก็เริ่มระยำตำบอนมากกว่าเดิมด้วยการล็อคช่วงสันกรามของผมเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่ได้แน่นจนดิ้นไม่หลุด แต่ผมกลับไร้ซึ่งหนทางที่จะคุมเกมนี้ไว้ด้วยเพียงสมองและสองมือ สายตา กลิ่นลมหายใจ จังหวะการเคลื่อนไหวตัวของซีซั่นทำให้ผมนิ่งงันไปหมด

“แต่อะไรของมึง… ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ” ผมพยายามใช้มือตัวเองกันซีซั่นให้ออกห่าง แต่มันกลับออกแรงมือข้างที่โอบผมไว้มากกว่าเดิม

“เราก็แค่อยากแน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่า” ซีซั่นโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะได้กระซิบลงกับข้างหูผม ความรู้สึกขนลุกชันขึ้นพร้อมกันทั้งตัวทำให้ผมอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด

“ยังมีอะไรที่ไม่แน่ใจอีกวะ ปล่อยยยย”

“เทมจูบเราหน่อยดิ” เสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้ผมเบิกตาขึ้นมาอย่างไม่ต้องเดา และแน่นอนร่างกายผมถูกช็อตไม่โต้เถียงและไม่ไหวติงใด ๆ ทั้งนั้น ผมล่ะเกลียดตัวเองเวลาที่ตกใจหรือทำอะไรไม่ถูกมากที่สุด โวยวายสิวะเทม! จะมายืนนิ่งเป็นตุ๊กตายางให้มันอยู่ทำไม!

“......”

“เทมจ๋า จูบซีจ๋าหน่อยได้มั้ยครับ” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูครั้งที่สองทำให้ผมต้องบังคับร่างกายตัวเองให้ตอบโต้ออกไปในที่สุด แต่ถึงแม้ว่าผมจะอยากง้างขาเตะไข่อุ๋งมันมากแค่ไหน ไอ้สายตาที่วาววับที่จ้องอยู่ก็บังคับให้ทำได้มากแค่ขยับแขนดันอกมันออกเบา ๆ

“กวนตีนละสัด ปล่อยกู ถ้าไม่อยากโดนกระทืบตายอยู่ตรงนี้”

“ถ้าปล่อย… เงื่อนไขของเราจะเดินต่อ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกจริงรึเปล่า”

“เกี่ยวเหี้ยอะไรวะ เรื่องอะไรกูจะต้องจุ๊บมึง”

“เกี่ยวสิ… เกี่ยวตรง ๆ เลย เคยได้ยิินประโยคที่ว่าไม่ลองไม่รู้มั้ยเทม… ในห้องช็อบเมื่อกี้เราลองแล้วแต่ก็ยังไม่ชัด ก็เลยอยากจะลองให้มันแน่ใจอีกซักที ...ครั้งนี้เลยอยากให้เทมเป็นฝ่ายได้ลองจูบเราก่อนบ้าง”

“ไปลองกับหมาหน้าคณะมึงเถอะ” ผมบอกปัดแล้วผลักซีซั่นออกเต็มแรง คราวนี้ร่างกายของผมเป็นอิสระแต่เวรกรรมก็ยังคงเดินตามอยู่ไม่เลิก ซีซั่นก้าวถี่ตามจังหวะการถอยหลัง และได้เอาชนะผมด้วยประโยคที่มีอิทธิพลกับคนอย่างผมมากที่สุด

“ทำไมอ่ะ ไม่กล้าหรอ” ท้าได้! ด่าได้! แต่จะมาหยามคนอย่างเทมไม่ได้โว้ยยยย!

“คนอย่างกูมีหรอที่จะไม่กล้า! ” ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ซักวินาที ผมจะกลับไปตบปากตัวเองแล้วลากขาออกจากสถานที่เกิดเหตุ แต่ทำไงได้ ที่ตอบออกไปเพราะเลือดมันขึ้นตาและกลัวเสียหน้าไปหมด

“จะไปรู้หรอ เห็นเทมทำหน้าตาแบบนี้ใครก็คิดว่าไม่กล้าทั้งนั้นแหละ… ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะเราสัญญาเลยว่าจะจบข้อตกลงทันทีแน่นอน” ผมเริ่มกำหมัดเมื่อได้ยินประโยคแสนดูถูกและท้าทาย ผมไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเองกำลังจะแพ้ซักนิด แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ไม่กี่นาทีก่อนหน้าใจมันก็เหลวลงไปถึงตาตุ่ม มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยที่ผมจะต้องทำอะไรแบบนี้ซ้ำสอง แถมดูเหมือนว่าครั้งนี้ซีซั่นตั้งใจให้ผมเป็นฝ่ายรุกซะด้วยสิ ...เชี่ย เอาไงดีวะเนี่ย!

“เลิกยุ่งกับไอ้นน” ผมพูดออกไปเสียงเข้มขณะที่ก้มมองปลายเท้าของคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แค่คิดว่าจะต้องจูบกับซีซั่นเข้าจริง ๆ หน้ามันก็บางขึ้นมาซะดื้อ ๆ แต่ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้ผมไม่ต้องยุ่งกับคนบ้า ๆ บอ ๆ และกันคนหน้าด้านออกจากเพื่อนผมไปตลอดกาลมันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่หรอ

“เลิกยุ่งแน่นอน”

“........” ผมกำสองมือแน่นเพราะไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ปลายเท้าของซีซั่นค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ตัวอีกครั้ง ผมไม่สามารถทำตัวใจกล้าหน้าด้านไปมากกว่านี้ ตราบใดที่ภาพไม่กี่นาทีก่อนยังวนอยู่ในหัวไม่หยุด อีกอย่างรสชาติตำหอยดองมันก็ยังอบอวลอยู่ในปากไม่ได้จางลงไปเลย บ้าเอ้ย! มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วรึไงวะเทม!

“สงสัยเทมจะไม่กล้าจริง ๆ ด้วยแหะ… ดูเราสิ ยังคว้าเทมไปจูจุ๊บแบบไม่คิดอะไรได้เลย” พูดจบซีซั่นก็ก้มหน้าเอียงคอเพื่อสบตาและตั้งใจกวนตีนผม วินาทีนี้ทุกอย่างมันบีบบังคับให้ผมต้องตัดสินใจและรวบรวมความกล้าเท่าที่มี สุดท้ายจึงต้องยืดตัวขึ้นสุดความสูง หลับตาลงราวสามวินาทีก่อนจะตั้งใจมองไปยังริมฝีปากที่มีทั้งร่องรอยเปรอะเปื้อนและรอยแผล ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าความรู้สึกใจเต้นคล้ายตื่นตระหนกมันทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองได้ยังไง

“บอกแล้วไง คนแบบกูน่ะ… ไม่มีเรื่องที่ไม่กล้า” สิ้นคำประกาศิตแสนอัปยศ ชะตาชีวิตบนความโชคดีของผมก็ขาดผึ่งลงทันที ผมคิดว่าการเอื้อมริมฝีปากไปแตะกับใครอีกคนจะเป็นเรื่องง่ายและผ่านมันไปได้ไม่ยากนัก แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้น สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ร่างกายผมนิ่งลงท่ามกลางอุณหภูมิบนใบหน้าที่สูงขึ้น ผมหยุดทุกอย่างไว้เพียงการแตะจากภายนอก เพ่งมองสายตาอีกคู่ที่สบมองมาในระยะใกล้จนทำให้ใจสั่น กว่าจะรู้ตัวว่าควรถอยออกมาให้ห่าง ก็ถูกอีกฝ่ายล็อคช่วงเอวไว้ด้วยแขนสองข้าง

อาจจะดูเหมือนว่านี่คือเรื่องที่เล่นตลกกับความรู้สึกผม แต่เปล่าเลยครับ ความอัปปรีย์น่าขบขันมันเริ่มต้นตอนที่ซีซั่นใช้ลิ้นดันเข้ามาในปากผมต่างหาก การเม้มปากป้องกันของผมไม่ได้ผลแม้แต่น้อย และกำแพงเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกทำลายลงด้วยสายตาท้าทายที่ผมไม่ชอบใจนัก สัมผัสร้อนชื้นครั้งนี้มันแตกต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนโดยสิ้นเชิง การกระทำ ณ ปัจจุบันมันทั้งเชื่องช้าเนิบนาบ มีรสหวานปนขมเข้ามาในทุกจังหวะที่เรียวลิ้นของซีซั่นแทรกสำรวจไปทั่วโพรงปาก และกลิ่นริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ฉุนชัดเข้ามาในประสาทรับกลิ่น ที่สำคัญผมไม่ได้กลิ่นรสของตำหอยดองอีกต่อไปทั้งที่มันน่าจะยังติดอยู่ในซอกฟันเช่นเดิม....





ตอนนี้ผมเหมือนคนที่แพ้เกมทุกครั้งที่ขึ้นด่านใหม่

แม่ง… แพ้ในแพ้ที่แท้ทรู





“กล้าจริงด้วยแหะ” ซีซั่นยกนิ้วโป้งขึ้นเช็ดมุมปากทันทีที่ถอนริมฝีปากออก ส่วนผมก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่ทำได้มากสุดก็แค่ยกมือขึ้นแนบแก้มตัวเองที่กำลังแดงและร้อนยิ่งกว่ากาน้ำถูกต้ม บอกผมทีว่าผมไม่ได้เขิน และช่วยยืนยันกับผมทีว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือความรู้สึกโกรธไม่ใช่ความรู้สึกอื่น

“จบมั้ย”

“จบจ่ะ เราสัญญาว่าจะไม่คิดจีบณนนอีก”

“งั้นทุกอย่างระหว่างกูกับมึงก็จบแล้ว ลาก่อนไอ้กรวยซั่น” ผมตวัดเสียงให้มีพลังที่สุดเท่าที่จะทำในวินาทีนี้ได้ อย่างน้อยแค่คิดว่าทุกอย่างมันจะจบลงก็พอจะสร้างรอยยิ้มแห่งผู้ชนะขึ้นมาได้บ้าง ผมถอนหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกองค์สติกลับเข้ากายหยาบ ซึ่งนั่นก็กินเวลามากพอให้ซีซั่นยืนมองเหมือนเหมือนหมามองข้าวเย็น แต่มันก็คงทำได้แค่มองเท่านั้นครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังจะหนีออกไปจากหมาบ้าโดยชอบธรรม





ลาก่อนไอ้แฟน (ปลอม) บ้าหน้าด้าน





“เดี๋ยวสิเทม”

“ไม่ดงไม่เดี๋ยวแล้วโว้ย” ผมรีบสาวเท้าพุ่งตรงไปที่รถ ใช้หลังมือเช็ดรอบปากสุดแรงด้วยความเซ็งสุดขีด งานนี้ปากจะฉีกหน้าจะแหกก็ช่างมัน กลับห้องไปก็ไม่รู้ว่าต้องใช้น้ำยาบ้วนปากกี่ขวดถึงจะทำลายความหยะแหยงที่ค้างอยู่ในปาก แต่ช่างเถอะเทม! ความซวยทั้งหลายแหล่ของมึงกำลังจะจบลงแล้ว ถือซะว่านี่เป็นการสูญเสียที่คุ้มค่าก็แล้วกัน





ใช่… ผมคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงจากสรวงสวรรค์ตะโกนตามหลังมาติด ๆ





“เทม! เราจะจีบนาย!! ”





ยากเหลือเกินที่ผมจะใช้คำอุทานใด ๆ แสดงความรู้สึก

ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติร่วมบรรเลงเพลงธรณีกรรแสงเลยก็แล้วกัน

.

.

.

“เชี่ยยยยย หักมุมสัด” คำอุทานอันโหยหวนของเฟย์ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา จากที่เคยมุดหน้าลงกับฟูกก็ต้องหันมาหยิบผ้าห่มคลุมโปรงเอาไว้แทน หมดแล้วใบหน้าที่จะเอาไว้ต่อสู้และต่อปากต่อคำกับเพื่อน หมดแล้วชีวิตชายโสดที่น่าอิจฉากว่าใคร หมดแล้วภาพลักษณ์เทมคนเก่งผู้ห้าวหาญ

“แล้วมึงได้ตอบอะไรมันกลับไปรึเปล่า”

“...........” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบให้ณนน ทั้งยังเหลือบตามองเพื่อนด้วยตาข้างเดียวผ่านรูผ้าห่มโคตรน่าอดสู ใครจะเชื่อว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นผมจะวิ่งหนีด้วยใจหวาดกลัวสุดชีวิต ผมเห็นมาตลอดหลายเดือนว่าซีซั่นจีบณนนยังไง หน้าด้านเบอร์ไหน เมื่อได้ยินประโยคสั่งลานั่นก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางอกแล้วผมก็ล้มลงไปชักแด่ว ๆ อยู่บนพื้น และขออภัย… ไม่ต้องตามหมอ เพราะผมเต็มใจตาย ถ้าไอ้ซีซั่นคิิดจะจีบผมอย่างที่ปากมันว่าจริง ๆ ให้ผมตายหนีไปก็คงจะดีกว่า





คนเหี้ยอะไรน่ากลัวซะยิ่งกว่าเชื้อวัณโรค





“แล้วจะเอาไงต่อวะเนี่ยเทม” เสียงผ่านเครื่องโทรศัพท์ของนีลยิ่งทำให้ผมกระชับผ้าห่มปกคลุมใบหน้ามิดชิดมากกว่าเดิม เอาเถอะ ให้ขาดใจตายก็ยังคงดีกว่าให้เพื่อนเห็นหน้าตาสิ้นไร้หนทางของผมตอนนี้

“...........”

“มึงจะเอาแต่ส่ายหน้าไม่ได้นะเว้ย” นีลว่าก่อนที่เฟย์จะเสริมทัพ

“เออ ยังไงช่วงแรกมึงหนีไม่พ้นแน่ ต้องรีบหาวิธีรับมือ”

“พี่ว่าช่วงแรกเทมอยู่เฉย ๆ ก่อนมั้ย เพราะว่าคลิปกับรูปแชร์ไปทั่วแล้ว คนอย่างไอ้กรมอุตุต้องใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์แน่” สิ่งที่พี่คีณพูดออกมาทำให้ผมหนักอกหนักใจไปกันใหญ่ ก็เพราะไอ้คลิปกับรูปที่ว่านี่แหละที่ทำให้ผมตกอยู่ในสถานะคนบาปแห่งประเทศสารขันธ์ ใครมันจะไปรับมือไหวกันวะ ในเมื่อพรรคพวกของซีซั่นส่งหลักฐานเหตุการณ์ในอาคารเข้าเพจคิวท์บอยด้วยใจพร้อมเพรียง เจอแบบนี้ผมจะไม่มาสารภาพกับณนนและปรึกษาคนอื่น ๆ ยังไงไหว หรือถ้าใครจะไหวล่ะก็ บอกเลย… กูไม่หวายยยย!

“กูเห็นด้วยกับพี่คีณ”

“เออ กูด้วย มึงนิ่งไปก่อน มันอาจจะอำมึงเล่นขำ ๆ ก็ได้” ทั้งนีลและเฟย์สมทบความเห็นของพี่คีณเป็นหลัก ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้างึกงักใต้ผ้าห่มและเหล่ตามองณนนผ่านรูเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ ก็ไอ้เพื่อนคนนี้นี่แหละที่ทำให้ผมกังวลมากกว่าเรื่องที่ซีซั่นประกาศสงครามทางจิต แววตาครุ่นคิดมีอะไรในใจนั่นทำให้ผมอ่านอะไรไม่ออก ถึงตอนนี้แล้วผมก็ควรจะสารภาพกับเพื่อนไปตรง ๆ แต่อีกใจนึงมันก็เป็นห่วงสวัสดิภาพพี่คีณที่มีโอกาสเป็นศพไม่มีญาติมากกว่าผม ไอ้เพื่อนคนนี้ยิ่งชอบงอนเหมือนผู้หญิงเมนส์หมด ถ้ามันเอาตายขึ้นมาผมคงมีตราบาปเพิ่มขึ้นมาอีกรอยแน่ ๆ

“มึงอ่ะนน ว่าไง” สัดเฟยยย์ อย่าเรียกมัน อย่าดึงสติมันโว้ยยยย

“.....เทม” นั่นไง! กูว่าแล้ว! เสียงณนนแม่งเย็นชายิ่งกว่าแป้งเย็นตรางู นี่ขนาดว่ามันรู้แค่ว่าผมทำไปเพราะปกป้องมันจากซีซั่นยังดูเคร่งเครียดมีรังสีความโกรธปกคลุมมากขนาดนี้ ถ้ามันรู้ว่าผมตั้งใจจะรับของจากแฟนมัน (อันที่จริงก็ไม่จะหรอก รับมาหลายครั้งแล้ว ฮืออออ) มันจะไม่ลุกขึ้นมาแปลงร่างเป็นไคจูระดับแปดแล้วอาระวาดทั่วพระนครหรอวะ

“จะบอกกูได้ยังว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องเข้าตัว” ไอ้นน… กูอยากบอกเหลือเกินว่าบางทีมึงก็อาจจะไม่รู้ กูเนี่ยหาประเด็นเข้าตัวตลอดเรื่องเลยโว้ยยยยย!

“คือว่า...” ผมลดระดับผ้าห่มที่คลุมหัวลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่หันไปมองพี่คีณอย่างขอความช่วยเหลือ แล้วดูสิ่งที่พ่อพระเอกทำเถอะครับ หลบตาผมมองบนหาจิ้งจงบนเพดานเรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยไม่ได้นะครับพี่คีณ ถ้าผมจะต้องตาย… ก็ช่วยตายไปพร้อมกันเถอะ

“ว่าไงวะ”

“มึง ๆ กูไปนอนแล้วนะ ต้องตื่นมาเช็ดเยี่ยวอาม่าแต่เช้า” หลังจากที่ณนนส่งเสียงเข้ม นีลก็บอกลาแล้วปิดวิดีโอคอลไปทันที ดูก็รู้ว่ามันเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ระเบิดภูเขาไฟครั้งนี้ไปแล้ว ส่วนเฟย์น่ะหรอ หึ นู่นนนน! ทิ้งตัวลงนอนแกล้งตายเป็นหมีควายไปแล้ว

“นนคือว่า… กูหวังดีกับมึงนะเว้ย ไม่อยากให้มึงต้องมาปวดหัวเพราะมันอีก”

“ทำด้วยใจล้วน ๆ งี้? ” น้ำเสียงปนขำของณนนไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกขำ ในหัวมีแค่สามประโยควนอยู่ในหัว มันต้องโกรธแน่ ๆ กูต้องตายแน่ ๆ พี่คีณต้องตายแน่ ๆ!

“คือกู...” ผมเหลือบตามองพี่คีณอีกครั้ง ก่อนจะเห็นพี่คีณถอนหายใจทิ้งระลอกใหญ่ ดูเหมือนว่าจะถึงซีนเปิดตัววีรบุรุษที่จะพลีชีพแทนผมแล้วล่ะสิครับ

“คือคีณขอร้องให้เทมทำเองแหละ ตอบแทนด้วยรองเท้ากับนาฬิกา” สิ้นเสียงของพี่คีณทุกอย่างก็เงียบลงจนเสียงหายใจของแมลงวันยังดังซะกว่า ณนนจ้องมองแฟนตัวเองสลับกับผมแล้วก็ยกแขนขึ้นมากอดอก เอาวะ เจอมันจ้องด้วยสายตาพิฆาตแบบนี้ก็คงจะดีกว่าโดนโกรธจนไม่มองหน้ากันเลย

“ขอร้องโดยมีของตอบแทน ...หรือว่าจ้างวาน” ณนนจ้องพี่คีณอย่างเอาเป็นเอาตาย สภาพพี่คีณตอนนี้แม่งตัวเล็กจ้อยหน้าหดเหลือไม่ถึงสองนิ้วด้วยซ้ำ หมดกันคนดังแห่งโลกใบนี้ กลัวเมียยิ่งกว่ากลัวผีอีกมั้งเนี่ย

“เปล่า มันก็แค่สินน้ำใจ”

“แล้ว… แล้วกูจะขัดน้ำใจของผู้ใหญ่มันก็ไม่ถูกป่ะวะ” ผมตอบออกไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เพราะณนนเริ่มเคลื่อนสายตามากดดันผมแทน จะให้ผมใช้คำไหนเรื่องมันถึงจะจบสวย ติดสินบน หรือว่ารับเงินใต้โต๊ะดีล่ะครับ

“โอเค เข้าใจแล้ว” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สายตาของณนนก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ ผมปล่อยผ้าที่ปิดบังสีหน้าของตัวเองอื่นเพื่อสื่อสารกับเพื่อนว่าตัวผมเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อยที่ตัดสินใจแบบนี้ ย้อนเวลากลับไปได้ผมจะฆ่าซีซั่นให้ตายคาตีนไปตั้งแต่แรกจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว

“อย่าโกรธเลยนน”

“แล้วจะให้นนรู้สึกยังไง เล่นอะไรกันเนี่ย ถ้าเพื่อนนนเสียตูดไปจะว่าไง! ” ไอ้เพื่อนเวร! ยกตัวอย่างอื่นไม่ได้ไงวะ

“คีณก็มีเหตุผลของคีณไง...”

“คีณหยุดไปก่อนเลย เดี๋ยวเราสองคนค่อยเคลียร์กัน ขอนนคุยกับเทมก่อน”

“บอกก่อนว่าจะไม่โกรธ คีณให้งอนได้แค่อย่างเดียวนะ”

“อือ นนไม่โกรธ”

“ขอบคุณครับ” พี่คีณยิ้มรับด้วยแววตาโล่งอกโล่งใจขัดกันกับผม ไอ้พี่คีณ! ไหงกูต้องตายคนเดียวล่ะโว้ย!

“เทม” ณนนจ้องผมด้วยสีหน้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าผมจะเห็นความสนุกสนานเข้าแทนที่ความขุ่นเคืองใจในดวงตาของผู้เป็นเพื่อน อีกทั้งเรียวนมือที่สัมผัสเข้าช่วงบ่ายิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าความซวยมันจะเข้ามาเยือนไม่รู้จบ

“นน… คือมึงจะโกรธกูก็ได้นะเว้ย แต่ที่กูทำไปทั้งหมด...”

“กูจะไม่โกรธใครหรอกเทม ทั้งคีณทั้งมึงนั่นแหละ กูรู้ว่าทุกคนหวังดีกับกู… แต่....”

“แต่....” แม่งเอ๊ยยยย! ทำไมผมต้องเสียวไส้ทุกทีที่มีคำว่าแต่วะ

“กูจะไม่โกรธก็ต่อเมื่อ...”

“ต่อเมื่อ….” ผมคลอเสียงตามณนนเพราะกำลังหวาดกลัวในชะตากรรม แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ต่อให้รู้สึกกลัวมันก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพาใจอันแข็งแรงออกมาต่อสู้ภัยกับพิบัติที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติอยู่ดี ใครจะไปคิดว่าผมต้องแลกทุกอย่างกับสวัสดิภาพของตัวเองแบบนี้ แค่อวยพรให้ผมแคล้วคลาดปลอดภัยมันก็คงจะไม่พอแล้วล่ะมั้งครับ





“มึงต้องยอมให้ไอ้ซีซั่นจีบ”







ช่วยอวยพรให้ผมตายไปอย่างสงบก็แล้วกัน







เอาสิ

โดนคนบ้าประกาศว่าจะจีบ กับเพื่อนบังคับให้ถูกจีบอะไรจะน่ากลัวกว่ากัน







TBC.




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 8 หลงนนเสียเวลา หลงเทมดีกว่ามีอนาคต

SL Cute Boy 17 ชั่วโมงก่อน

ให้ภาพเล่าเรื่องราว



ชาวเน็ต 1 : แอดดดด มาเคลียร์เลย คู่นี้ยังไง

ชาวเน็ต 2 : ซีซั่นที่ตามจีบณนนนี่หว่า อีกคนก็เพื่อนณนน

ชาวเน็ต 3 : สมัยนี้เขาดูดปากกันง่ายขนาดนี้เลยหรอวะ

ชาวเน็ต 4 : พิกัด IG ทั้งคู่ค่ะ @overtemp @seasonpt

ชาวเน็ต 5 : คู่นี้แน่เลยที่มีข่าวล้วงจู๋….

ชาวเน็ต 6 : ตึกช็อปโยธาแน่นอน

ชาวเน็ต 7 : พี่ชายของแฟนเก่าอยู่ในเหตุการณ์ เขายืนยันว่าเป็นแฟนกันนะ

ชาวเน็ต 8 : อักษรย่อ ซ. วันนั้นใช่มั้ย

ชาวเน็ต 9 : ชื่อเทม คณะวิทย์ ปี 3 แกงค์เดียวกับณนนแฟนคีณ

ชาวเน็ต 10 :ตกลงซีซั่นจีบคนนี้ไม่ได้จีบณนนหรอ



SL Cute Boy 16 ชั่วโมงก่อน

อย่าพึ่งถามอะไรจากแอด เป็นลมตายอยู่ ตอนนี้หายใจยังลำบาก ฮึก…. พลังทำลายล้าง

ขอบคุณคลิปจากผู้รู้จริง



ชาวเน็ต 1 : โอ๊ยยย หามฉันไปส่งโรงบาลที

ชาวเน็ต 2 : เอาล่ะ! ฉันจะชิบคู่นี้! #ลงเรือน้อยลอยวน

ชาวเน็ต 3 : ในทวิตมีคนลงคลิปชัดกว่านี้อีกค่ะ แทค #ซีซั่นเทม

ชาวเน็ต 4 : แม่ง อีกคนโคตรอ่อยอ่ะ สงสารซีซั่น

ชาวเน็ต 5 : แฟนกันมั้ย รอคำตอบเลย

ชาวเน็ต 6 : ซีซั่นหล่อมากกกก เขาสมควรเป็นแฟนฉัน

ชาวเน็ต 7 : เทมไหนวะ เหมือนจะหล่อ แต่ต้องพยายามอีกนิด

ชาวเน็ต 8 : นี่ลุ้นให้ซีซั่นผลักอีกคนลงไปทำกิจกรรมต่อที่พื้นตลอดเวลา

ชาวเน็ต 9 : โปรโมทซีรีย์อะไรป่ะ รอตามเลย

ชาวเน็ต 10 : คืนนี้นุ้งไม่ได้หลับไม่ได้นอนแน่ ๆ



นี่ล่ะครับ ชาวเน็ต 4.0

ปะติดปะต่อเรื่องเองด้วยความจริง 0.4



Season Patitan : ในภาพคือผมเองครับ ส่วนอีกคนชื่อเทม คำถามอื่นผมไม่มีคำตอบให้ มันเป็นเรื่องของอนาคต



ส่วนนี่… ไอ้คนสมองน้อย สติ 0.004



ผมไม่รู้จะเรียบเรียงความปั่นป่วนในชีวิตทั้งหมดตอนนี้ได้ยังไง มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องมาอธิบายความบัดซบของชีวิตให้คนอื่นฟังเป็นฉาก ๆ โดยไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อคืนถึงแม้เฟย์จะอยู่นอนเป็นเพื่อนแต่ผมก็นอนหลับไม่ลงเลยแม้แต่นาทีเดียว ความรู้สึกมันเหมือนพึ่งผ่านการดูหนังสยองขวัญที่ยังติดตาและติดอยู่ในใจ แต่นั่นก็ไม่น่าทรมานใจเท่ากระแสในโลกอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ผมกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน



รู้จักในฐานะคู่หูดูดปากของซีซั่นโยธา



นับว่าโชคยังดี (มั้ง) ที่เรื่องหน้าคณะวิศวะไม่ได้มีใครบันทึกภาพเอาไว้ และไม่มีมนุษย์หน้าไหนพูดถึงมันแม้แต่น้อย ผมคงสติแตกมากกว่านี้แน่ถ้ามีคลิปผมจูบไอ้บ้าสติเสียออกมาถึงสองสถานที่ในคืนเดียว และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมก็คงอยากแช่แข็งตัวเองในตู้เย็นและไม่ออกไปพบผู้คนอีกตลอดการณ์

สายวันนี้ผมหอบตัวเองมาเรียนตามปกติเพราะไม่เหลือวันลาให้ผลาญเล่นอีกต่อไป และแน่นอนข่าวคาว ๆ พวกนั้นทำให้ผมจิตตก การแต่งตัวมาเรียนวันนี้จึงจำเป็นต้องสวมหมวกแก๊ปและเสื้อมีฮูทปกปิดอำพรางตัวเองเท่าที่จะทำได้ นี่คือวิธีพื้นฐานในการพลางตัวที่ผมจำมาจากละครทีวี และบางทีผมควรจะรู้ว่ามันไม่ได้ผลก่อนหน้าที่จะเห็นคนทั้งคณะเข้ามาทั้งทายเกรียวกราว แล้วก็ก่อนหน้าที่น้องเต่าของผมจะปล่อยเหงื่อออกมาจนเหนียวเหนอะหนะแบบนี้

“เทม”

“.......” ผมจะทำยังไงต่อไปดี จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉย ๆ หรือเผยตัวออกไปต่อสู้กับความจริงให้ตายกันไปข้าง

“ไอ้เทม”

“......” แล้วที่ไอ้ซีซั่นมันพูดว่าจะจีบผมมันเป็นเรื่องจริงที่ผมต้องกังวล หรือเป็นแค่การปั่นหัวเอาคืนจนสาสมกันแน่

“เทม!!”

“ห่ะ! อะไรวะ!” ผมสะดุ้งเมื่อแรงปะทะกลางศรีษะกระทบผ่านชั้นหมวกเข้ามาเพื่อเรียกสติ ผมหันหน้าไปข้างตัวทั้งสองฝั่งก็เห็นเฟย์และนีลจ้องมองอยู่ด้วยสาตาเบื่อหน่าย ส่วนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็มีณนนเจ้าของมือพิฆาตจ้องมองผมด้วยสายตาที่ไม่ดีเท่าไหร่ ให้ตายเถอะ รู้จักมันมาเกือบสามปีไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมตกเป็นเบี้ยล่างมันเหมือนตอนนี้ จะทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้เพราะผมทำผิดข้อหารับสินบนจริง

“มึงจะกินมั้ยข้าวเนี่ย พวกกูอิ่มหมดแล้ว” ณนนว่าก่อนจะปรายตามองผมที่เอาคางเกยไว้กับโต๊ะ ใครมันจะไปกินลงวะ คนทั้งโรงอาหารมองมาเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ของโลกซะขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเรียนต่ออีกคลาสนึงไอ้เทมไม่มีทางมานั่งเป็นเป้าสายตาแบบนี้แน่

“กินไม่ลง”

“โห อาการหนักว่ะมึง คึคึ” เฟย์เอ่ยขึ้นก่อนจะลูบแผ่นหลังผมเหมือนปลอบเด็ก แต่ประทานโทษไอ้เสียงหัวเราะคิกคักที่ตามหลังมานั่นทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกซ้ำเติมยังไงชอบกล

“ไม่เห็นมีอะไรน่าเครียดเลย ไอ้ซีซั่นมันก็ไม่ได้แย่นี่”

“ไม่ได้แย่หรอวะ แล้วมึงทำหน้ายี๋แบบนั้นทำไมอ่ะนีล” ผมเสียงอ่อนใส่นีลที่แสดงออกชัดทางสีหน้าว่าเรื่องที่ผมเจอมันเลวร้ายและน่าอดสูขนาดไหน ทุกคนตรงนี้รู้ดีว่าซีซั่นมีความน่ารำคาญและหน้าด้านหน้าทนขั้นสุด แล้วจะไม่ให้ผมเครียดกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ยังไงไหว

“กูแค่ขนลุกอ่ะ… แต่คิดไปคิดมาก็เหมาะกับมึงดี”

“ไอ้นีลลลลลล”

“กูเห็นด้วยกับนีลนะ เหมาะกับมึงดี” สิ้นเสียงของณนนผมก็ยกตัวเองขึ้นแล้วมองเพื่อนด้วยดวงตาเขียวปั๊ดทันที นี่มันเอาอะไรมาพูด จะเอาเงื่อนไขบ้าบอมาครอบหัวผมแล้วบังคับให้เหมาะกับใครมันไม่ได้โว้ย!

“หุบปากไปเลยไอ้นน เพราะมึงนั่นแหละ กูทำก็เพราะช่วยมึงป่ะวะ”

“ช่วยกู? แต่เอาตัวเองไปเสี่ยงเนี่ยนะ กูไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก ...สมน้ำหน้า!”

“อู้ววววววว”

“เช็ดแม่ม...” คำอุทานจากนีลและเฟย์ดังตาม ๆ กันมาหลังประโยคออกรสออกชาติของณนน ยิ่งเห็นณนนกระตุกยิ้มร้ายกาจผมก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ถามว่าตอนนี้ผมทำอะไรได้มั้ยนอกจากหงุดหงิดใจ คำตอบบนหน้าณนนมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่

“เออ กูขอโทษ”

“กูไม่ได้โกรธ”

“แต่มึงก็บังคับให้กูยอมให้ไอ้ซีซั่นมันจีบอ่ะ”

“กูไม่ได้บังคับ แล้วมึงคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่ายอมให้มันจีบหรอ มึงก็เห็นมาตลอดว่าปฏิเสธยังไงมันก็ไม่ไป”

“คือ...” สมองผมเริ่มประมวลผลตามที่ณนนพูด แต่ก็ยังหาอะไรมาซ้อนทับทำให้เหตุผลมันมีน้ำหนักขึ้นมาไม่ได้ซักนิด เรื่องอะไรผมถึงจะต้องยอมให้มันจีบวะ แล้วนี่มันจะจีบวิธีไหนอันตรายยังไงผมยังไม่รู้เลย

“แฟนมึงก็ไม่มี ยอมให้มันจีบไปเหอะ เดี๋ยวดีเอง ...เชื่อกู”

“กูไม่เชื่อมึงแน่ ๆ” ผมรีบปฏิเสธแทบจะทันที ดึงหมวกที่สวมอยู่ให้ปิดใบหน้ามากกว่าเดิม มันจะดีได้ยังไงวะ คนมองเหมือนปลาตู้แบบนี้นี่เรียกดีหรอ

“บางทีมันอาจจะแค่พูดไปเฉย ๆ ก็ได้นะ” เป็นครั้งแรกที่นีลออกความคิดเห็นแล้วผมอยากจะเข้าไปกอดขอบคุณแรง ๆ ซักที เพื่อนกันก็ต้องให้กำลังใจกันแบบนี้สิวะ

“มึงคิดแบบนั้นหรอวะนีล”

“ไม่อ่ะ พูดไปงั้น ดูจากที่มันคอมเมนต์ตามเพจก็รู้แล้วว่าเอาจริง” หึ… เปลี่ยนจากกอดเป็นถีบก็แล้วกัน ไอ้เพื่อนเวร

“พวกมึงแม่ง” ผมบ่นอุบแล้วไถตัวราบลงไปกับโต๊ะ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มีอิทธิพลกับความรู้สึกมากเท่านี้หรอก แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นซีซั่นทุกอย่างมันถึงได้ดูน่ากลัวแปลก ๆ ทั้งที่บางทีผมก็รู้สึกว่าที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ความกลัว แต่ก็ยังหาเหตุผลมารองรับไม่ได้ซักทีว่าไอ้อาการหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงมันเป็นเพราะอะไร ผมถึงเป็นกังวลกับการเข้ามาของมันอยู่แบบนี้ยังไงล่ะ

“เอาน่ามึง มีอะไรพวกกูคอยช่วยอยู่แล้ว”

“ขอบคุณว่ะเฟย์ ...ครั้งที่แล้วมึงก็พูดแบบนี้ แล้วก็ทิ้งกูไว้กับมัน”

“อุ๊บส์… มุกเดิมใช้ไม่ได้แล้วสิเนอะ แหะ ๆ”

“แต่นอกจากคอมเมนต์ตามเพจตามไอจีมันก็ยังเงียบอยู่ใช่ป่ะ มีไลน์ มีโทรหามึงบ้างม่ะ”

“.............” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้นีล เธอพยักหน้างึกงักเหมือนเข้าใจและครุ่นคิดเป็นลำดับถัดไป

“กูว่าการที่มันเงียบนี่แหละน่ากลัว”

“สัด! อย่าพูดให้กูกลัว”

“นี่พูดจริง มันเอ่ยปากจะจีบมึงแต่ก็ยังเงียบ แปลว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ” เป็นไม่กี่ครั้งที่นีลพูดจาออกมาด้วยโทนเสียงน่าเชื่อถือ แต่ถึงกระนั้นเลยผมก็ไม่อยากจะเชื่อคำพูดที่อาจทำให้ผมเป็นกังวลไปอีกครึ่งวัน

“กูขออนุญาตเกลียดการวิเคราะห์ของมึงนะ”

“แต่กูว่านีลมีเหตุผล มึงจำตอนที่มันมานั่งเฝ้าไอ้นนที่คณะเป็นวัน ๆ ได้ปะล่ะ”

“ใครลืมก็บ้าแล้ว”

“ตอนนั้นอาจจะเป็นแค่การจีบระดับธรรมดาของมันก็ได้นะเว้ย ...ตอนนี้อาจจะกำลังหลบไปชาร์ตพลังอยู่”

“เฟย์ กูว่าตอนนั้นก็ไม่ธรรมดาแล้วนะเว้ย” ณนนออกความคิดเห็นถึงเรื่องราวที่ตนเองพบเจอมา น้ำเสียงสยองขวัญยังคงชัดเจนว่ากว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ได้ อะไร ๆ มันไม่ได้ง่ายเลย แต่ช้าก่อน… ไอ้คนที่ฉุดกึ่งลากไอ้ณนนให้พ้นซอมบี้หิวกระหายอย่างซีซั่นมันคือผมไม่ใช่หรอ แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงจะโดนซอมบี้ไล่กินอยู่คนเดียววะ

“ไม่รู้สิ กูว่างานนี้แม่งต้องมีพีค”

“ขอบคุณ! พวกมึงให้กำลังใจกูได้ดีมาก!” ผมส่งเสียงประชดออกไปแล้วพาตัวเองเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ สองมือสลับกันตบลงมากลางกระบาลตัวเองเหมือนคนสิ้นไร้หนทาง แล้วดูสายตาที่คนอื่นแอบมองมาที่ผมสิ มองด้วยความอยากรู้แล้วก็หันไปซุบซิบกันเหมือนเรื่องราวของผมเป็นปัญหาเชาว์ที่ต้องได้รับการไขคำตอบ แล้วประทานโทษ มีมนุษย์หน้าไหนให้คำตอบเทมได้บ้างว่าจะหาทางออกจากปัญหาปวดจิตที่เจออยู่ตอนนี้ยังไง

“เลิกคิดได้ละ แดกข้าว” เฟย์ดันจานข้าวมาให้ผม เมื่อเหลือบมองจานของเพื่อนทั้งสามก็ผมว่าข้าวราดพะแนงไก่ไข่เจียวของผมยังเหลือเต็มจานอยู่จานเดียว

“ไม่อยากกินวะ”

“กิน ๆ ไปอย่ามาด้องแด้ง เดี๋ยวกูโบกให้”

“เออ กินแล้ว ๆ” เมื่อเฟย์ยกฝ่ามือขึ้นเหนือหัวผมก็ต้องจำยอมตักข้าวเข้าปากทั้งที่มันฝืดคอสุด ๆ ช่างเถอะจะถือซะว่ากินข้าวเอาแรงไว้ก่อนก็แล้วกัน

“นน วันนี้เลิกแล้วมึงกลับไง” เฟย์หันไปตั้งบทสนทนาใส่ณนนระหว่างที่ผมเคี้ยวข้าวตุ่ย ๆ อยู่ในปาก ส่วนไอ้นีลแม่งหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่อปป้าเกาหลีในทวิตเตอร์เหมือนเพื่อนมันไม่มีตัวตนเรียบร้อยแล้ว

“ก็คีณมารับเหมือนเดิมแหละ มีไรป่ะวะ”

“อ้าว ตกลงมึงไม่โกรธพี่คีณเลยจริงหรอวะ” ผมเห็นรอยยิ้มและสายตามารร้ายจากใบหน้าหล่อ ๆ ของณนน แถมเพื่อนแสนดีก็ยังพูดประโยคถัดมาที่ทำให้ผมแทบจะลุกขึ้นเปลื้องหมวกเปลื้องฮูทออกจากหัวแล้วสอยปลายคางมันเข้าซักที

“จะโกรธทำไมวะ กูเอามาลงที่เพื่อนหมดแล้ว”

“เอี้ยยยย!” ใจจริงผมอยากจะเอ่ยชื่อเรียกจิ้งจกตัวยักษ์ให้ชัดเจนและสาแก่ใจ แต่ไอ้ข้าวที่เคี้ยวอยู่คาปากก็ทำให้การออกเสียงไม่ได้อยู่ในลู่ทางที่สะดวกเท่าไหร่นัก ยังมีหน้ามาพูดว่าไม่โกรธแฟน ใช่สิ๊! เพื่อนมันไม่สำคัญเท่าหลัวนี่

“กูก็นึกว่ามึงพูดเล่น”

“พูดจริง กูไม่โกรธใครทั้งนั้นถ้า… มึงยอมให้ซีซั่นจีบอย่างไม่มีข้อแม้” เรียวนิ้วของเพื่อนสนิทจิ้มลงมากลางหน้าผาก ผมแยกเขี้ยวใส่ณนนแล้วตักข้าวเข้าปากซ้ำเพราะไม่ได้มีตัวเลือกในเรื่องนี้

“ไอเอื่อนอั้ว” ไอ้...เพื่อน...ชั่ว

“กุยืนยันนะเทม กูไม่ได้บังคับ ...แต่มึงก็คงไม่มีทางเลือกอื่น และกูไม่รับปากว่ากูจะโกรธเรื่องที่มึงกับคีณรวมหัวกันมากแค่ไหน”

“เอาเถอะน่ามึง ยอมให้มันจีบไม่ได้แปลว่าจะยอมเป็นเมียมันซักหน่อย”

“อึก… ไอ้เหี้ยเฟย์!!” ผมรีบกลืนอาหารลงคอทันทีในจังหวะนั้น และเสียงอุทานแบบธรรมชาติก็ลั่นออกไปแบบชัดแจ๋ว

“เอ้า กูพูดจริง ๆ ยอมให้มันจีบไปก่อนแล้วหลังจากนั้นมึงจะทำอะไรก็ย่อมได้ ใช่มั้ยนน”

“ก็ตามนั้น”

“แล้วกูต้องยอมให้มันจีบนานแค่ไหนวะ กูไม่ติดเชื้อบ้าขาดใจตายไปก่อนหรอ” ผมเกลี่ยข้าวเข้าช้อนอย่างหงุดหงิดใจ เวรกรรมอะไรของไอ้เทมนักหนา นี่ยังไม่เฉียดเข้าใกล้เบญจเพสด้วยซ้ำไป เหอะ!

“ไอ้เงื่อนไขเป็นแฟนกันอะไรของมึงนั่น เหลืออีกกี่วัน”

“ห่ะ” ผมเลิกคิ้วมองณนนอย่างกลัวใจ ไอ้รอยยิ้มมุมปากและการวางมือเคาะโต๊ะที่เห็นอยู่ตอนนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี ณนนเพื่อนรัก… อย่าบอกนะว่า…

“กูถามว่าเหลือกี่วัน”

“ก็...เกือบสิบวัน”

“งั้นมึงก็ยอมให้มันจีบซักสิบวันก็แล้วกัน” นั่นไง! กูว่าแล้ว!

“ไอ้นน… คือแบบ...”

“ตกลงตามนี้ มึงรีบกินข้าวเหอะ กูร้อน”

“นนนนนน ไม่สงสารกูหรอ”

“อยากให้กูลองโกรธดูมั้ย”

“โอเค โอเค๊” ผมพยักหน้าอย่างหมดแรงหลังณนนตัดบทสนทนา ได้โปรดทิ้งผมให้อยู่ในความเวิ้งว้างกับจานข้าวเพียงลำพังเถอะ ไอ้สิบวันที่ผมคิดว่าตัวเองรอดแล้วกลับเป็นหลุมลึกที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม อะไรกันวะครับ! จากที่จะปกป้องเพื่อนกลายเป็นปกป้องตัวเองไม่ได้ซะงั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ซักนิดผมจะไม่พาตัวเองมาจนถึงจุดนี้แน่



ไอ้จุดที่ทำให้ผมกินข้าวไม่ลงไปอีกตลอดชีวิตเนี่ย!



“พวกมึงเสียงอะไรวะ ได้ยินกันมั้ย”

“เสียงเพลงไง อิง่าว”

“เออ กูรู้แล้ว แต่ใครมันมาเปิดเพลงลำโพงแตก ๆ แถวนี้วะ”

“จริงด้วยว่ะ ทำนองก็ดี แต่ฟังแล้วอย่างกับงานวัด” เฟย์เอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนที่นีลจะเริ่มเห็นด้วยกับเสียงเพลงที่ดังใกล้ตัวพวกเราเข้ามาเรื่อย ๆ ผมเงี่ยหูฟังขณะที่ตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก จะอะไรก็ช่างไม่อยากสนใจแล้วโว้ย แค่เรื่องของตัวเองก็ปวดหมองมากพอแล้ว

“ฉิบหาย...” ผมเหลือบตามองณนนเมื่อได้ยินคำอุทานลอดออกมาจากปากมัน สายตาของมันบอกบุญไม่รับเมื่อมองไปยังทิศเก้านาฬิกา ผมที่พยายามกดตัวเองไม่ให้สนใจเรื่องชาวบ้านก็ต้องพ่ายแพ้และหันไปมองตามคนทั้งโรงอาหารในที่สุด ใครมันมาเปิดวงดนตรีคนตาบอดแถวนี้วะ



“เดินคนเดียวเธอเหงารึแป่ววววว มีใครคอยปลุกตอนเช้าด้วยการบอกรักบั้งไหม ฝากคำกู้ดไนท์ก่อนนอลลลลล พิมพ์เป็นข้อควายว้ายยยย แบบเน้มีใครทำให้หรือยางงงงงง”



ปรู้ดดดด!! ข้าวที่เคี้ยวจนละเอียดในปากผมพุ่งออกไปแทบจะทันที กากใยและสารอาหารเกือบจะครบห้าหมู่ล่องลอยกลางอากาศอยู่ได้ไม่ถึงวินาทีก่อนที่มันจะหยุดการเคลื่อนไหวอยู่บน.... อยู่บน…

“ไอ้เทม!!! ม...มึง...”



อยู่บนหัวของนีลเพื่อนรัก



“พ...พวกมึง ....ก...กูตายแน่ ๆ” แต่ช่างเถอะ เพราะว่าตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะให้ความสนใจมากกว่าควรจะเป็นเสียงร้องที่ปีนทุกคีย์ทุกท่วงทำนอง ปีนแม้กระทั่งกฏเกณฑ์การใช้ชีวิตของมนุษย์ชาติ ถ้าจะหาว่าผมโอเวอร์เกินจริง คุณก็บอกผมสิว่าในชีวิตของพวกคุณคาดหวังที่จะเจออะไรแบบนี้ และมันไม่ได้ผิดคาดอะไรไปเลย



“อยากขอเป็นคนของเทอววววว ที่เทอวหันมาเมื่อไรก็เจอ เป็นส่วนหนึ่งในทุกนาที้ ต่อมจากนี้ จะอยู่ตรงเน้ ดวงใจดวงนี้ จะใช้รักเทอว์คนเนนนนนนนน้ คนเดียววววววส์”





‘หลงนนเสียเวลา หลงเทมดีกว่ามีอนาคต’



ชายใส่เสื้อช็อบเดินหอบหนวดเคราถือป้ายพร้อมข้อความเหมือนพาเหรดงานกีฬาสีเด็กประถม

ในขบวนประกอบด้วยรถเข็นผักที่มีลำโพงชุดใหญ่พร้อมคนเข็นติดกิ๊ปแสกกลางเหม่งรับโชค

และที่ขาดไม่ได้…



นักร้องนำหัวเกรียนบนรถเข็นที่มีอินเนอร์ร้องเพลงราวกับไม่เคยได้ยินเสียงตัวเหี้ยออกลูกของตัวเอง



อิสระ

ไฉ

ซีซั่น



ประทานโทษ ตัดจบตรงที่ผมบีบคอตัวเองตายไปเลยได้มั้ย

เทมจะไม่ทน

เทมจะไม่ท๊นนนนน




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“อยากขอเป็นคนของเท๊อ ที่เทอวหันมาเมื่อไรก็เจอ เป็นส่วนนึ่งในทุกนาที้ ต่อยจากนี้ จะอยู่ตรงเน้ ดวงใจ๋ดวงนี้ จะใช้รักเทอว์คนเนววววว คนแดวววววว” หลังจากฮุคสุดท้ายจบลงผมก็เฝ้ารอคอยให้เสียงท่วงทำนองจางหายไปจากโสตประสาท ดูเหมือนว่าตอนนี้ตัวผมจะไม่รับรู้เรื่องราว ๆ ใด ๆ อีกต่อไป ใบหน้าของผมมันสั่นชาเหมือนเป็นอัมพาตไปแล้วครึ่งซีก ผมละสายตาออกไปจากวงดนตรีบนรถเข็นผักตรงหน้านี้ไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่ามันตราตรึงใจอะไรหรอกครับ แต่ลูกกระตาผมมันโดนเชื้ออัมพาตนั่นเข้าไปด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหน้าบางเท่าวินาทีนี้ สมมติว่าฉี่แตกรดกางเกงต่อหน้าคนทั้งโลกคงจะรู้สึกอายน้อยกว่านี้แน่นอน

แปะ! ... แปะ! ... แปะ! ... เสียงปรบมือยาน ๆ สามครั้งดังขึ้นมาจากเฟย์ที่ตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อน ผมยกสองมือขึ้นกุมขมับแล้วมุดตัวเองลงใต้โต๊ะทันทีที่ได้ยินเสียงชัตเตอร์รอบตัวดังกว่าเสียงปรบมือของเฟย์เสียอีก ผมนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นแล้วกอดเข่าตัวเองกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนคนที่พึ่งผ่านเรื่องร้ายแรงในชีวิตมา นี่มันวิบากกรรมอะไรในชีวิตเทมนทีกันแน่ ชาติที่แล้วผมได้ไปทำให้ใครอับอายจนฆ่าตัวตายหรือเปล่า หรือว่าผมเคยเกี่ยวข้องกับการทำแท้งจนวิญญาณร้ายตามติด

“นน มึงทำอะไรซักอย่างสิ”

“มึงนั่นแหละเฟย์”

“ไม่! นีลต้องมึงแล้วล่ะ”

“กูพูดเลยงานนี้กูไม่สู้” เสียงของกลุ่มเพื่อนบนโต๊ะยิ่งทำให้ผมหวาดผวา เท้าสามคู่ผลัดกันเขี่ยและเตะตัวผมเหมือนก้อนขี้ เมื่อทอดสายตามองออกไปก็พบว่ามีฝีเท้าอีกสามคู่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ไม่สิ ยังมีอีกหลายตีนที่เริ่มล้อมเข้ามามุงดูด้วยความสนใจในเรื่องชาวบ้าน

“สวัสดีครับเทม” เสียงคุ้นหูที่ไม่อยากคุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้า ที่อยู่ในระยะสายตาผมคือเป้ากางเกงของคนที่ยืนเอาพุงพิงโต๊ะ ผมเม้มปากเรียบสนิทและประคองลมหายใจให้สูดเข้าออกเป็นจังหวะเบาที่สุด แม้จะรู้ดีกว่าการมุดโต๊ะของผมอาจจะไม่ได้ช่วยสวรรค์วิมานอะไรเลยซักนิด ไอ้ตัวซวย สวัสดีหาอัปป้ามึงสิ

“เอ่อ…”

“ขอโทษนะ วันนี้เราไม่ได้ตั้งใจมาหาณนน เราไม่อยากจะเอ่ยคำนี้จริง ๆ แต่ความสัมพันธ์เราสองคนคงต้องจบลงเพียงเท่านี้ ...ลาก่อน” ได้ยินแล้วผมก็อยากจะโผล่ออกไปดูน้ำหน้าคนพูดซะจริง เอาอะไรมามั่นหน้ามั่นโหนกไม่สนใจความจริงได้ขนาดนี้ แล้วไอ้เพื่อนมันทั้งสองคนก็นะ ไม่ได้มีการห้ามปรามกันเลย ปล่อยแม่งพ่นน้ำลายใส่เพื่อนกูอยู่ได้

“คือเพื่อนเรามันจะไม่จีบนนแล้ว”

“ถ้าให้ผมขยายความก็คือคุณซีได้ตัดสินใจที่จะจีบคุณเทม จากเดิมที่จีบคุณณนนแต่จีบไม่ติดเพราะคุณณนนมีแฟนอยู่แล้วครับ” ดูเหมือนว่าทั้งโต๊ะจะเงียบกริบเมื่อได้ยินคำอธิบายยาวเหยียดจากอิสระ ผมที่เริ่มเหมือนจะอับจนหนทางก็เริ่มกระดืบ ๆ เข้าไปกอดขาณนนไว้เป็นที่พึ่ง

“คือเรารู้แล้ว”

“งั้นเราคงจะไม่ต้องอ้อมค้อม นน เฟย์ นีล เราจริงจังกับเทมมากเลยนะ”

“เหอ ๆ ดูวันนี้ก็รู้แล้วว่าจริงจัง” เฟย์ว่าขณะที่ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพียงลำพังใต้โต๊ะ

“ตอนไอ้นน ก็เห็นนายพูดแบบนี้เหมือนกันอ่ะ” ใช่เลยนีล มึงพูดอีกก็ถูกอีก

“แต่มันไม่เหมือนกัน ตอนณนนเราแค่อยากเอาชนะ แต่กับเทม… เราว่าเราอยากแพ้ เพราะเทมชนะใจเราไปหมดแล้ว” อ้วกกกกกกก ขอกระโถน ผมขอกระโถนมารองรับอาการพะอืดพะอมตอนนี้ที

“อู้หูววว คมสัดว่ะไอ้ซี”

“คารมคมคายมากเลยครับคุณเพื่อนซี” อยากจะรู้เหลือเกินว่ากองหนุนของซีซั่นเนี่ยจ้างมาเท่าไหร่ อะไรคือการที่พวกคุณมึงยังคงยืนหยัดเคียงข้างมันทั้งที่พึ่งทำเรื่องน่าอายมาวะ อ๋อ ลืมไป พวกแม่งก็เข็นรถมาด้วยกันนี่หว่า

“ซีซั่น… เทมเป็นเพื่อนที่เรารักมากนะเว้ย” ผมซบหน้าลงกับเข่าของณนนทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ สองแขนรัดแข้งขามันเอาไว้ยิ่งกว่าปลาหมึก พ่อขนุนหนังของเพื่อน พ่อจะเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายจิตใจเพื่อนแล้วใช่มั้ย

“เรารู้”

“ตอนนายจีบเรา เทมก็ช่วยทำทุกอย่างเพื่อกันนายออกไป” นั่นไง! คนทำดีมันก็ต้องได้ดี เอาเว้ย! ถึงณนนจะเห็นค่าการกระทำของผมตอนนี้แต่มันก็ยังไม่สาย

“อืม… รวมถึงช่วงที่เราได้ทำความรู้จักเทมมากขึ้นด้วย” รู้จักอะไร! ใครรู้จักมึง!

“เพราะฉะนั้น… ถ้าจะจีบเพื่อนเราจริง ๆ ...” ไล่ตะเพิดมันไปเลยเพื่อนรัก ด่าให้มันไม่มีที่ยืน ให้โลกไม่จำ

“เราจีบจริง”

“ช่วยจีบแบบคนปกติเขาจีบกันได้มั้ยอ่ะ ไอ้เทมมันไม่ชอบอะไรกระโตกกระตาก” เดี๋ยวนะ… ณนนพูดแบบนี้ก็เท่ากับเปิดช่องให้ซีซั่นเข้ามาจีบผมง่ายขึ้นน่ะสิ ไอ้นน! ไอ้เพื่อนเนรคุณ ไอ้ไม่รู้จักบุญคุณคน!

“แล้วแบบนี้ไม่ดีตรงไหน เราซ้อมร้องเพลงนานมากเลยนะ”

“มึงซ้อมแค่ครั้งเดียวไอ้ซี”

“ซ้อมแบบไม่ฟังทำนองด้วยครับคุณไฉ” ลูกทีมของซีซั่นยังคงทำหน้าที่ร่วมกันได้อย่างดี ขณะที่คนฟังอย่างผมเริ่มกอดขาณนนแรงขึ้นและเผลอจิกเล็บลงไปเพื่อให้มันรู้ตัวซักทีว่ากำลังทำให้ผมซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน

“เอ่อ… ดูรอบตัวดิ มีแต่คนมอง เป็นเราเราก็ไม่ชอบ”

“เราเป็นคนเปิดเผย คนจะจีบกันทำไมต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อ่ะ”

“เอ๊ะ ไอ้นี่!! ” ดูเหมือนว่าคำพูดจี้จุดจะทำให้ณนนที่ดูจะใจเย็นเผลอขึ้นเสียง เมื่อก่อนณนนกับพี่คีณก็แอบจีบกันแอบคบกันนานแรมปี กว่าโลกจะรู้ก็กลายเป็นท็อคออฟเดอะทาวน์อยู่พักนึง

“โอเค นนว่าไงเราก็ว่างั้นอ่ะ”

“ไม่ใช่เรา เพื่อนเรา… ถ้าจะจีบเทมลดความเป็นตัวเองลงนิดนึงนะซีซั่น”

“ถ้าลดไม่ได้ก็ไปโรงพยาบาล หมอจิตเวชอาจจะช่วยได้” พูดดีมากเฟย์ เดี๋ยวออกไปแล้วกูจะให้สองบาท

“ที่เราทำมันไม่ดียังไงอ่า น่ารักจะตาย คิ้วท์ ๆ ”

“เห้อ… ถ้าอยากร้องเพลงจีบก็ไปร้องให้กันฟังแค่สองคนดิ” ณนนทิ้งลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่ก็แนะนำอะไรแต่ละอย่างเดี๋ยวพ่อจะกัดขาให้

“ใช่… มันต้องไม่ใช่แบบนี้...”

“แบบไหนอ่ะนีล”

“แบบที่นายใช้รถเข็นตลาดไทกับลำโพงอบต.แบบเนี้ย”

“โห คิดมาทั้งคืน” สาบาน! ยกนิ้วขึ้นสาบานเดี๋ยวนี้ว่าไอ้การกระทำเมื่อกี้นั่นคือคิดมาแล้ว นี่ใช้อะไรคิดวะ เนื้องอกในไส้ติ่งหรือเล็บขบหมา

“เอาเป็นว่าอะไรเว่อร์วังแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ… แม่ง คนมุงดูขนาดนี้เราอายว่ะ” เงาดำที่พาดผ่านขอบโต๊ะทำให้ผมรู้ว่าณนนทิ้งตัวฟุบลงมา ถ้าคนอยู่ในสถานการณ์อย่างไอ้นนใช้คำว่าอาย แล้วคนที่อยู่รายชื่อผู้ประสบพบเจอภัยอย่างผมต้องใช้คำว่าอะไร อายยังเป็นคำที่น้อยไปและไม่อาจครอบคลุมทุกอย่างได้

“เทมยังไม่อายเลย”

“เชี่ย!! ถามกูยัง!! ” ผมปล่อยมือออกจากขาณนนแล้วยกมือขึ้นอุดปากทันที ซวยแล้วไอ้เทม เงียบมาได้ตั้งนานดันหลุดปากโวยวายไปขนาดนี้

“โอ๊ะ! เทมยังอยู่แหะ” ปลายเท้าที่สวมคอนเวิร์สเน่าโคลนยื่นเข้ามาจากบริเวณขอบโต๊ะ ผมถอยตัวเองขณะที่ยังนั่งยองอยู่จนการทรงตัวเสียก้มจ้ำพื้น แล้วไอ้พื้นโรงอาหารคณะผมมันสะอาดซะที่ไหน เซ็ง ซวย มีแต่เรื่องเซ็งกับซวย!

“ใกล้ได้เวลาเรียนแล้ว นีล เฟย์ ไปเรียนกันเหอะว่ะ” ย๊ากกกกก! อย่าไป! เร็วกว่าความคิดเมื่อได้ยินณนนพูดออกมาผมก็พยายามจะไขว่คว้าขาของเพื่อนทั้งสามเอาไว้เป็นที่พึ่ง แต่ไอ้ณนนก้าวออกไปเร็วกว่าที่คาด แล้วถ้าผมคว้าขาไอ้ผู้หญิงสองตัวเข้าเต็มมือก็อาจจะโดนข้อหากระทำอนาจารในที่สาธารนะ สุดท้ายผมจึงทำได้แค่กำมือระบายความช้ำใจและกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น

“แล้วไอ้เทมอ่ะ” ใช่แล้วนีล! กูล่ะ กรูววววว

“ปล่อยมันไว้นี่แหละ ยังกินข้าวไม่หมดนี่”

“เออ อย่างที่ไอ้เฟย์ว่า” สิ้นเสียงคนทั้งสามผมก็ต้องเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังวาดขาเข้ามานั่งทับที่ของณนน ซ้ำร้ายเรียวขาของกลุ่มเพื่อนสนิทก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปโดยไม่คิดที่จะย้อนกลับมา

“ลืมไปเลย ซีซั่น… จริง ๆ ถ้าจะจีบดี ๆ เห็นเทมมันว่าจะยอมให้จีบนะ” แต่ถึงแม้ตัวจะไม่ย้อนกลับมาเสียงของณนนก็ยังดังก้องเป็นคำสั่งลาสุดท้าย ผมเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ที่ปลอดภัยกับชีวิตและทรัพย์สินทันที ไม่มีใครช่วยได้ก็ต้องช่วยตัวเองล่ะวะ

“ยอมให้เราจีบจริง ๆ หรอ”

“..........” ผมไม่ได้ตอบ ได้แต่เหลือบตามองเจ้าของขาที่กระดิกตีนรัวเหมือนซ้อมเป็นโรคพากินสัน

“ผมไปนะครับคุณซี ขอให้โชคดี มีแฟนสมปรารถนานะครับ”

“เออ พวกกูไปละ เงินค่าจ้างกู อย่านะลืมนะเว้ย” และคราวนี้โอกาสมันก็เป็นของผม ไฉกับอิสระค่อย ๆ เดินห่างออกไปจากตรงนี้ ถ้าผมกระดืบ ๆ ออกไปทางมุมนั้นแล้วฝ่าฝูงมนุษย์เผือกออกไปได้ ผมก็จะรอด!

“เทมฟังอยู่มั้ย”

“อือ” ผมตอบออกไปสั้น ๆ เพื่อหลอกล่อซีซั่นให้เข้าใจว่าผมกำลังโฟกัสที่มันอยู่ และตอนนี้ผมกำลังมองหาทางหนีทีไล่ที่สะดวกและปลอดภัย เพราะโต๊ะที่ผมมุดเข้ามามีเหล็กยาวสูงจากพื้นราวครึ่งฟุตยึดสี่ขาเอาไว้ ถ้าผมไม่เตรียมตัวให้ดีจังหวะที่พยายามออกไปอาจจะล้มหน้าคะมำลงไปก็ได้

“เราชอบเทมจริง ๆ นะ”

“เออ”

“ที่เรามาวันนี้...”

“วันอื่นไม่ต้องมา ไปเรียกร้องความสนใจที่อื่น”

“...ถ้าวันนี้ทำให้ไม่สะดวกใจก็ขอโทษแล้วกัน”

“จริง ๆ ก็ไม่สะดวกใจทุกวันอ่ะ”

“ขอโทษ” ถ้อยคำขอโทษที่ระคนเป็นได้ความสำนึกผิดทำให้ผมเผลอตัวนิ่งไป สองมือของคนพูดกำผ้ากางเกงตัวเองบริเวณตักเอาไว้จนแน่น คงจะด้วยความไม่มั่นใจหรือประหม่าบางอย่าง ผมมองภาพนั้นแล้วก็ดันรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอีกระลอก มันอยากเห็นสีหน้าของซีซั่นตอนนี้ว่ามันสำนึกผิดจริงตามน้ำเสียงหรือเปล่า แต่อีกใจมันก็ดันอยากจะเอื้อมเข้าไปสัมผัสปลอบโยนที่ฝ่ามือหนานั่น

“อืม”

“ก็แค่อยากทำให้เทมประทับใจ แต่ก็ทำได้เท่านี้” เสียงของซีซั่นมันอ่อนลงยิ่งกว่าเดิม มือที่เคยขยำผ้าเริ่มกำเข้าหากันแน่นจนผมเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเล็ก ๆ ในใจ

“..........”

“เรามันแย่ว่ะ ติดเอฟเป็นสิบ เกือบจะโดนไทน์อยู่แล้ว เรียนไม่เก่ง พ่อแม่โลวโปร์ไฟล์ บ้านก็ไม่รวย รถไม่หรู หอไม่แพง ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นในชีวิตเลยจริง ๆ เราอาจจะเป็นพวกเรียกร้องความสนใจจริง ๆ ก็ได้”

“..........” เชี่ยมมมม ณ จุดนี้ประโยคตัดพ้อของซีซั่นมันเหี้ยมโหดมาก เหี้ยมโหดและบาดลึกจนผมรู้สึกผิดเข้าเต็มประตู นี่ถ้ามันหรือใครได้เห็นอาการหน้าเสียของผมตอนนี้ก็คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า… ซีด

“แต่วันนี้เราตั้งใจจริง ๆ นะ ...วิ่งไปยืมขนเข็นป้าแม่บ้านมาตั้งแต่เช้าเลย นี่เอาลำโพงตัวเก่าของภาควิชามาก็ไม่ได้ขอ ก็รู้ตัวว่าร้องเพลงไม่ค่อยเก่ง ...แต่เราพยายามจริง ๆ ” ผมหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหมุนกรอกดวงตาเป็นเลขแปดรัว ๆ คือส่วนนี้ควรซึ้งใช่มั้ย นี่ต้องซึ้งแค่ไหนกับรถเข็นป้าแม่บ้าน ช่วยบอกที

“แล้วยังไง”

“ถ้าเทมไม่ชอบไม่เป็นไร จะไม่ทำอีก”

“ไม่ยุ่งกับกูอีกได้มั้ยล่ะ” พูดจบผมก็เห็นว่าซีซั่นเงียบไปในทันที ผมเริ่มสังเกตฝ่ามือคู่นั้นอีกครั้ง พวกมันปล่อยออกจากกันเหมือนเจ้าของมือกำลังหมดแรง และการที่ซีซั่นเงียบไปนานก็ทำให้ผมรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาอีกทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

“..........”

“มึง… คือว่า...”

“เรามันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรอ” เสียงของซีซั่นสั่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกมั่นใจของคนอื่นซักเท่าไหร่เลยเหมือนว่าตอนนี้จะเริ่มรู้สึกไม่ดีไปด้วย มือขวาของผมมันค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้สองมือคู่นั้นแต่ก็กลับไม่กล้าที่จะสัมผัสมือลงไปเสียที

“ไม่ใช่แบบนั้นเว้ย...” ถ้าเป็นทุกทีผมก็คงจะตอบว่ามันรังเกียจมันเหลือเกิน แต่จากอาการครึ่งตัวล่างที่ผมเห็นก็ทำให้ผมไม่กล้าที่ตอบถ้อยคำรุนแรงแบบนั้นออกไป ซ้ำยังกำลังจะวางมือลงไปบนมือของซีซั่นด้วยอาการเหมือนคนโดนป้ายยา

“แล้วมันแบบไหนอ่ะ”

“ก็ไม่ได้น่ารังเกียจ กูก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมึงขนาดนั้น”

“จริงดิ! ”







ปั๊ก! ปึ๊ก!







“โอ้ยยยยยยยยยยย” เสียงร้องโอดโอยดังระงมขึ้นจนคนแทบจะได้ยินกันทั่วทั้งบริเวณ เสียงนั่นมาจากร่างกายที่กำลังจะแนบสนิทลงไปกับพื้นเหนียวหนืดสกปรก และมันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าเสียงร้องทรมานทรกรรมไม่ได้มาจากตัวผมเอง







ไอ้กรวยซั่น ภาควิชาโยธา พึ่งจะวาดขาขึ้นมาไขว่ห้างด้วยเทคนิคแบบหนึ่งร้อยแปดสิบองศา นอกเหนือกว่านั้นเจ้าคอนเวิร์สพันปีก็กวาดเข้าที่ปลายคางผมจนเสยได้มุมฉากเก้าสิบกับพื้นโต๊ะพอดิบพอดี และแน่นอนส่วนหัวของผมกระแทกกับพื้นโต๊ะเป็นเสียงดังกังวานยิ่งกว่ากลองเพล







ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมขอกลั้นใจตายปลิดชีวิตตัวเองเลยแล้วกัน





.

.

.

.

.

.

TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 9 หมาหงอยหรือหมาบ้า

ในชีวิตคนเราจะมีซักกี่ครั้งที่โดนเตะเสยปลายคางต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องนับร้อย และไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอย่างผมจะได้รับโอกาสนั้นโดยไม่ได้ร้องขอ อยากจะขอบคุณโชคชะตาที่ยังปราณีชีวิตผมไม่ให้หดหู่เศร้าหมองจนเกินไป อย่างน้อยคางผมก็ไม่แตกและหน้าผากไม่ได้โนจนมีริ้วรอยใด ๆ มีเพียงอาการเจ็บบาง ๆ ให้พอได้นึกถึงหน้าคนที่ทำมันเท่านั้น แต่ประทานโทษผมไม่ได้อยากจะนึกถึงมันเท่าไหร่หรอก





SL Cute Boy 5 ชั่วโมงก่อน

คู่นี้พีคมาก





ใช่ พีคมาก ผมมองโพสต์ที่ขึ้นในนิวฟีดเฟซบุ๊คด้วยอาการเหนื่อยล้าหัวใจ ภาพที่ซีซั่นคลานเข้ามาใต้โต๊ะราวครึ่งตัวถูกบันทึกไว้จากทุกมุม และในโพสต์นี้ก็เก็บรวบรวมไว้พอที่จะสร้างเป็นอัลบั้มและดูมันวนไปทั้งคืน ในตอนนั้นเมื่อซีซั่นรู้ตัวว่าทำอะไรกับผมเข้าเจ้าตัวก็ดูร้อนรนระหว่างที่ผมยังคงมึนงงไปหมด พอเรียกสติกลับมาได้ผมก็รีบพาตัวเองขึ้นคลาสเรียนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะสีหน้ารู้สึกผิดหรือคำขอโทษใด ๆ จากซีซั่น ใครมันจะไปทนอยู่ตรงนั้นได้อีกล่ะครับ ทั้งที่ผมโดนลอบฆ่าด้วยฝ่าเท้าพิฆาต แต่ก็ยังมีเสียงกรี๊ดเสียสติเหมือนดูซีรีย์รักโรแมนติก ไอ้ตัวการเองก็เถอะ คลานเข้ามาจ้องหน้าผมด้วยระยะที่ใกล้เกินไป วินาทีนั้นถ้าไม่ติดเรียนผมก็คงจะรีบกลับไปเก็บตัวอยู่ในห้องให้รู้แล้วรู้รอด

“เดี๋ยวกูไปส่งนีลเองวันนี้ พ่อกูมารับผ่านแถวบ้านมันพอดี” เฟย์พูดขึ้นขณะที่พวกเรากำลังยืนรอลิฟต์หลังเลิกเรียน วันนี้ถือเป็นวันดี ๆ ที่นอกจากจะโดนเสยปลายคางแล้วผมยังต้องทนนั่งเรียนเกือบหกชั่วโมงโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากชื่ออาจารย์แล้วผมก็ไม่สามารถจดจำข้อมูลใด ๆ ได้อีก

“เออ แล้วมึงกลับไงเทม วันนี้ไม่เอารถมานี่”

“คงวินอ่ะ” ผมตอบเสียงเรียบทิ้งตัวยืนห่อไหล่อย่างหมดอาลัยตายอยาก ได้แต่ภาวนาว่าเวลาเกือบหนึ่งทุ่มตอนนี้จะทำให้ผู้คนเบาบางลงไปบ้าง ใส่ทั้งฮูททั้งหมวกมาทั้งวันจนหัวจะล้านอยู่แล้ว

“กูไปส่งป่ะ”

“..........” ผมส่ายหน้าตอบณนนเพราะไม่อยากจะไปเป็นกขค.เพื่อน อีกอย่างสภาพจิตใจตอนนี้มันพังเกินกว่าจะเจอหน้าพี่คีณจัง ๆ ให้ช้ำใจ

“เฮ้ย ไหวมั้ยเนี่ย” นีลเข้ามาประชิดตัวเกาะแขนซ้ายผมไว้แล้วกระพริบตาตี่ใส่ปริบ ๆ

“กูแค่ยังตั้งหลักไม่อยู่”

“มึงสู้มันมาได้ตั้งนาน จะมาแพ้อะไรวันนี้วะ” นีลซบหัวลงกับบ่าผม ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกถึงแรกตบเบา ๆ ที่แผ่นหลังจากฝ่ามือของเฟย์

“นั่นดิวะ ฮืออออออออ” ผมลากเสียงฮือยาว ๆ ทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้เพราะหวังจะได้ความเห็นใจจากณนน แต่ผมคิดผิดถนัด เพราะนอกจากมันจะไม่ได้สนใจใยดีผมแล้วยังเอื้อมมือมาปัดฮูทถอดหมวกผมออกด้วยดวงหน้าเจ้าเล่ห์อีก

“ไม่ต้องห่วงหรอกนีล เฟย์ เทมมันไม่ได้แพ้ ที่มันเป็นเอ๋ออยู่ตอนนี้ ...มันแค่อาย” ณนนยกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์เป็นคนแรก

“เออสิวะ เป็นมึงมึงจะไม่อายหรอ” ผมรอให้นีลและเฟย์เข้าไในลิฟต์แล้วก้าวขาตามเป็นคนสุดท้าย อาจจะจริงอย่างที่ณนนว่า ผมไม่เคยถูกโพสต์ขึ้นเพจอัปปรีย์นั่นมาก่อนในชีวิต แถมการถูกสายตาคนมองแล้วหัวเราะชอบใจมันก็คงไม่ใช่เส้นทางที่ดีเท่าไหร่นัก

“เดี๋ยวมึงก็ชิน”

“เมื่อไหร่วะ” ผมเอียงคอถามณนนและรับหมวกที่มันดึงออกไปคืนมาไว้ในมือ เส้นผมบนหัวตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเดินผ่านน้ำ เปียกจนแทบจะเทแชมพูลงไปสระได้เลย

“เมื่อไอ้ซีซั่นมันเปลี่ยนใจไม่จีบมึงแล้ว”

“กูจะรอวันนั้นเลย”

“ไม่ก็วันที่มึงใจอ่อน”

“เหี้ย! ” ผมหลุดคำหยาบออกมาเต็มปากเมื่อได้ยินประโยคจากณนน พอหันไปมองนีลกับเฟย์ก็เจอแต่สีหน้ายิ้มเยาะเย้ยที่เห็นแล้วอยากจะต่อยเรียงตัวแต่ติดที่ว่าพวกมันเป็นผู้หญิง

“อย่าพูดไม่เป็นมงคลแบบนี้ได้มั้ยนน”

“ก็มึงไม่เห็นสีหน้ามันตอนมาที่โต๊ะวันนี้” ผมเลิกคิ้วมองณนน แต่ณนนก็บู้ยปากให้ผมไปฟังต่อจากเฟย์และนีลแทน

“ทำไมวะ หน้ามันเป็นไง”

“มึงว่าตอนมันมานั่งเฝ้าไอ้นนหน้ามันจริงจังป่ะ”

“เออ” ผมรีบตอบเฟย์เพราะอยากรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ

“ที่มึงเห็นตอนนั้นอ่ะ ไม่ได้ครึ่งที่มันมาวันนี้เลย ตามันแม่งมีแต่หน้ามึงลอยอยู่ในนั้นอ่ะ”

“จริงค่ะ แบบที่อีเฟย์พูดเลย กูว่างานนี้มันเจอของหนักแน่ ๆ เทม”

“...........” ผมนิ่งเงียบไปทันทีเมื่อเฟย์และนีลรวมพลังพูดให้ผมกลัว เรียวปากเม้มเรียบเป็นเส้นตรงเพราะได้ยินแบบนี้แล้วก็อยากจะเห็นสีหน้าของซีซั่นตอนนั้นจริง ๆ เท่าที่ผมฟังอยู่ก็ไม่เห็นว่ามันจะจริงจังจนน่ากลัวตรงไหนเลย

เมื่อลิฟต์เคลื่อนมาจนถึงชั้นหนึ่งพวกเราก็เดินออกมาโดยที่ผมยังคงหยุดคิดไม่ได้ จะว่าไปก่อนที่มันจะเสยปลายคางผมมันก็พูดจนผมเคลิ้มได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ ก็คงไม่แปลกหรอกมั้งที่กลุ่มเพื่อน ๆ ผมมันจะหลงอินและคิดว่าซีซั่นจะจริงจังกับการจีบผมมากกว่าตอนที่จีบณนน

“กูกลับละนะ คีณมารอแล้ว”

“เออ เจอกันมึง พวกมึงด้วย เจอกัน” ผมโบกมือลาทั้งสามคนระหว่างที่ยังเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่โถงกลางคณะ กลับห้องไปผมจะต้องคิดฟุ้งซ่านอีกแน่ ๆ แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะเจออะไรจากซีซั่นให้ปวดหัวอีก ถ้านี่เป็นแค่การเริ่มต้นต่อไปมันจะไม่ยิ่งทำให้ผมอับอายมากกว่านี้หรอ

ผมเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนพ้นจากหน้าคณะ โชคดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านคอยกวนใจแล้ว แถมกว่าพวกผมจะลงมาพวกเพื่อนในเซคก็สลายตัวไปกันหมด ไม่งั้นผมอาจจะต้องตอบคำถามมากมายที่มาจากคนพวกนั้นแน่ ถ้าถามว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงที่กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน คำตอบมันก้คงจะอธิบายยาก ผมก็แค่รู้สึกหน้าชาจากไอร้อนทุกครั้งที่อ่านคอมเมนต์ชวนขนลุกและคำถามตรงประเด็นแต่ไม่ตรงใจ

ผมพยายามมองหาวินมอไซค์ที่มักจะวิ่งวนอยู่ทุกวันบริเวณสี่แยกหน้าคณะ แต่แล้ววินาทีที่ผมกำลังจะโบกมือเรียกคนขับรถประจำตำแหน่งก็ต้องชะงักมือไปซะก่อน ภาพใครบางคนนั่งก้มหน้าอยู่ริมฟุตบาทมันเตะตาจนไม่อาจจะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้





หัวเกรียน เสื้อช็อป รองเท้าเน่า ๆ

มันก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละ





ผมเก็บความสงสัยไว้กับตัวเองด้วยการเม้มปาก สองขาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้บุคคลปริศนาที่นั่งคอตกเหมือนรออะไรบางอย่าง ผมหยุดยืนมองเขาอยู่ในระยะที่ไกลพอสมควรแต่มันก็ใกล้มากพอที่จะทำให้เห็นว่าซีซั่นมีสีหน้าไปในทิศทางเดียวกับอาการก้มหน้าก้มตา แถมพฤติกรรมใช้นิ้วจิ้มพื้นนี่ก็เหมือนเด็กบ้านแตกที่ผู้ปกครองไม่มารับ อันที่จริงผมจะเรียกวินแล้วจากไปโดยไม่สนใจเลยก็ได้ แต่ในเบื้องลึกความรู้สึกมันบอกผมว่า การที่เราอยู่ฐานะเพื่อนมนุษย์เราจะทิ้งเด็กมีปัญหาไว้กับเสาไฟและยุงนับร้อยไม่ได้

“...........” ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดจนเงาพาดผ่านลำตัวซีซั่น แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ผมก็ดีใจที่มันยังมีสมองมากพอที่จะรู้ว่ามีสิ่งชีวิตหน้าตาดีเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ

“...........” ซีซั่นเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะหันไปก้มหน้าก้มตาจิ้มพื้นต่อ

“เอ้า ไม่สนใจก็ดี” ผมเตะเบา ๆ เข้าที่ข้างลำตัวซีซั่นไปหนึ่งที คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง เอ๊ยยย! อุตส่าห์สงสัยดันมาเมินใส่แบบนี้ก็เชิญนั่งตากยุงรอผู้ปกครองต่อไปแล้วกัน

“ไม่โกรธแล้วหรอ” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ทำให้ผมที่กำลังเดินออกมาต้องหยุดชะงักแล้วหันไปมองสีหน้าคนพูด เอาตรง ๆ นะครับ ตั้งแต่เจอมันใช้ลูกไม้เสียงอ่อนเสียงหวานมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่มันหน้าซีดสลดเหมือนคนเศร้าใจจริง ๆ มากที่สุด

“เรื่องอะไร”

“เรื่อง...” ซีซั่นยกนิ้วขึ้นจากพื้นแล้วก็ค่อย ๆ จิ้มเข้าที่คางตัวเอง

“เออ กูก็อยากโกรธอยู่หรอก เกิดมาพึ่งเคยโดนเตะคาง” ผมตอบระหว่างที่เริ่มมองหาวินมอไซค์อีกครั้ง มันก็เป็นซะแบบเนี้ย เวลาอยากให้มาล่ะไม่เคยโผล่มาให้เห็น ไว้รวยเมื่อไห่ไอ้เทมจะจ้างวินเป็นของตัวเองซักสิบคัน

“ซีขอโทษนะเทม ไม่เจ็บใช่มั้ย” ผมใช้หางตาเหลือบไปมองซีซั่นที่กำลังพาตัวเองลุกขึ้นจากฟุตบาท มันค่อย ๆ พาตัวเองเดินมาทางผมและหยุดยืนในระยะห่างราว ๆ สองเมตร นี่ยังมีหน้ามาถามว่าเจ็บมั้ย โดนสอยหน้าหงายขนาดนั้นคงไม่เจ็บมั้ง

“เจ็บสิวะ”

“..........”

“เจ็บมากด้วยไอ้สัด”

“เราขอโทษจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลย ถ้าเจ็บแทนได้เราก็ยินดี...”

“ก็ยื่นคางมาดิ” สิ้นคำพูดผมไอ้คนที่มายืนเจี๊ยมเจี้ยมอยู่ข้าง ๆ ก็ยื่นหน้าออกมาจนผมอยากจะสะบัดปลายขาเข้าให้จริง ๆ แต่พอเห็นการเปลี่ยนไปที่ไม่ทันตั้งตัวมันก็ทำให้ผมทำอะไรไม่ลง มีที่ไหนล่ะครับ ไอ้ซีซั่นที่ไม่ฉวยโอกาส ยืนห่างผมซะไกล แถมยังไม่ต่อล้อต่อเถียงพร้อมกับสีหน้าที่ไม่กวนตีนเหมือนอย่างเคย ไอ้การที่มันเตะผมเนี่ยทำให้สมองตัวมันเองกระทบกระเทือนหรอ

“เตะได้เลย”

“กูเอาจริงนะ”

“อือ เทมจะทำไรเราก็ได้ อย่าเดินหนีแบบนั้นนะ รับโทรศัพท์ ตอบไลน์เราด้วย เราใจไม่ดีเลย” พูดจบซีซั่นก็คอตกไปอีกระดับ เห็นแบบนี้ผมก็ดันหยุดยิ้มออกมาซะแบบนั้น บางทีหมาหงอยก็อาจจะดีกว่าหมาบ้า

“คือที่หงอยอยู่นี่คือกลัวกูโกรธว่างั้น”

“ก็กลัวเทมโกรธ… กลัวเทมเจ็บ....”

“เหอะ”

“แต่กลัวเทมตายมากกว่า”

“ไอ้ซั่น! ” ซีซั่นยกสองมือขึ้นบังหน้าตัวเองเหมือนกลัวว่าผมจะกำหมัดฟาดหน้าเข้า แต่ประทานโทษคนดี ๆ เขาถนัดแค่ขึ้นเสียงเท่านั้นแหละ เทมไม่ใช่อันธพาน เทมจะไม่ทำร้ายสัตว์เลื้อยคลานไม่มีทางสู้

“แงงงงงง เก๊าขอโต๊ด”

“เออ ช่างแม่ง แล้วมานั่งทำไรอยู่ตรงนี้ ถ้าจะมาจีบมากวนใจ บอกเลยตอนนี้ไม่มีอารมณ์นะ”

“ก็อยู่ในขั้นตอนการจีบนั่นแหละ”

“ดันทุรัง”

“เราเรียกมันว่าความพยายาม”

“เหอะ พยายามไร้ความหมาย เคยได้ยินมั้ยล่ะ”

“ก็ช่างมันเหอะ จริง ๆ ที่เราอยู่รอเพราะเราเป็นห่วงเทมมากกว่า”

“..........” ผมนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่ารอเข้ามาเต็มสองรูหู อย่าบอกนะว่าไอ้บ้านี่รอผมอยู่ตั้งแต่ตอนที่ผมหนีไปขึ้นเรียน ไม่หรอกมั้ง ใครมันจะบ้าพลังอยู่ตั้งห้าหกชั่วโมง

“แต่ตอนนี้สบายใจแล้ว เทมไม่ตาย แล้วก็ไม่โกรธด้วย”

“คือมึงรอกู? ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองกดสายตาลงกับนิ้วตัวเองสลับกับการสบสายตาซีซั่น คนถูกถามพยักหน้างึกงักยืนบิดไปมาตัวลีบตัวแบนเหมือนกลัวความผิด

“อือ”

“ตั้งแต่ตอนกลางวันเนี่ยนะ”

“ใช่แล้ว… ก็อยากรู้ว่าเทมเป็นไงอ่ะ กลัวจะเจ็บมาก”

“บ้าป่ะเนี่ย” เออ จริง ๆ ข้อนี้ก็น่าจะรู้ ๆ กันอยู่ ผมก็ไม่น่าถาม

“ไม่บ้า เรารอได้”

“เหอะ ประสาทจะแดก แบบนี้แหละที่เขาเรียกบ้า” ผมส่ายหน้าให้กับท่าทางเด็กน้อยที่คนข้างตัวแสดงออกมา ในจังหวะนั้นก็ดูเหมือนว่าพี่วินเสื้อส้มจะผ่านเข้ามาในสายตาผมพอดิบพอดี พอยกมือขึ้นโบกได้ก็ดูเหมือนกับว่าโลกของผมอาจจะสว่างไสวขึ้น

“เทมจะไปแล้วหรอ”

“เออ จะอยู่ทำไมอ่ะ”

“ไปด้วยดิ”

“เรื่องอะไร”

จ๊อกกกก เสียงท้องร้องโครกครากทำให้ผมต้องจำยอมหันไปสบตาเจ้าของที่มาของเสียง ซีซั่นใช้มือข้างนึงเกาเบา ๆ ที่พุงในทำนองว่าขาดอาหารมาจนร่างกายกำลังจะไม่ไหว ถ้าท้องร้องดังเลเวลนี้ก็น่าคิดแล้วล่ะว่ามันน่าจะอดข้าวมาแรมปี ไม่รู้ว่ามัวกินแต่ขี้เลื่อยจนข้าวปลาไม่ยอมกินหรือยังไง

“แหะ ๆ พอดีเราหิวข้าวหน่อย ๆ ”

“หิวก็เรื่องของมึงดิ” ผมพยายามไม่สนใจ หันไปมองพี่วินมอไซค์ที่กำลังจะตีโค้งเข้ามารับผมถึงที่

“ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแล้วอ่ะ มัวแต่เตรียมเซอร์ไพร์ส แล้วใจมันก็อยากจะนั่งรอเทมอยู่ตรงนี้อีก เห้อออออ… รถก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าวินมอไซค์จะวินเข้ามาอีกมั้ย ...เฮ้ยยย! กระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้เอามานี่นา” ผมทำเหมือนไม่สนใจเสียงที่กำลังร่ายยาวออกมา เมื่อพี่วินจอดเทียบข้าง ๆ ก็รีบง้างขาโดดขึ้นรถมอไซค์ทันที

“ก็บอกว่าเรื่องของมึง อยากจะรอเองก็ดูแลตัวเองไปละกัน” ผมยกมือขึ้นโบกไปมาสองสามครั้งในจังหวะที่พี่วินเริ่มออกตัว แต่ยังไม่ทันที่สายลมจะมีโอกาสได้ตีหน้าผมจัง ๆ เสียงตะโกนไล่หลังก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเอง

“หิวข้าวววววววววววววววว!! ”





แม่ง! เป็นเหี้ยอะไรถึงต้องไปสนใจคนที่พึ่งจะเตะปลายคางมึงวะเทม!





“เอ่อ...” ผมสะกิดไหล่พลขับด้วยความรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ พี่วินรีบกำเบรคมือแล้วหันมาตวัดเสียงใส่ผมทันที

“มีไรน้อง”

“พี่… ซ้อนสามได้ป่ะ” แทบไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าผมถามอะไรออกไป แต่พี่คนขับก็หันมามองหน้าผมแล้วหันไปมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ที่เดิมเหมือนรู้ทัน คุณพระ… เมื่อครู่ผมพึ่งจะพูดอะไรที่กระดากใจที่สุดออกไปโดยที่ไม่ได้เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อย แต่กว่าที่สมองของผมจะประมวลผลได้ทั้งหมด พี่วินหัวไวก็ขี่วนกลับไปแปะที่ฟุตบาทโดยไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้กลับตัวกลับใจ

“แห่...” ผมเบือนหน้าหนีซีซั่นที่ยืนยิ้มแหยรออยู่ มองไปที่มือมันแล้วก็รู้สึกอับอายกับการคิดผิดซ้ำซากของตัวเอง

“เอามือท่าหยิกหัวนมของมึงลงเดี๋ยวนี้เลย”

“โหยยยย เขาเรียกมินิฮาร์ทเหอะ” ท่าอะไรก็ช่างเถอะ อยู่กับมันแล้วก็ดูอัปปรีย์อยู่ดี

“อย่าลีลาจะไปไม่ไป”

“ลงมาก่อนเทม” ซีซั่นเดินเข้ามากระตุกแขนเสื้อผม ตัวผมเองที่พยายามหลบสายตามองไปทิศทางอื่นก็ต้องหันไปสบตาคนที่ยุกยิก ๆ อยู่ที่แขนไม่หยุด ก็ถ้าผมไม่หันไปสนใจมันซักที พี่วินอาจจะคว้าท่อไอเสียขึ้นมาฟาดหน้าผมซะก็ได้

“อะไรของมึงอีกวะ”

“เราเป็นห่วง ไม่อยากให้เทมต้องสัมผัสร่างกายพี่วินจนเกินไป เราจะเสียสละเองนะ” ผมถูกกระชากลงมาจากรถด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่เพราะรถมอเตอร์ไซค์มันโงนเงนจนกว่าจะทรงตัว ผมจึงจำยอมลงมายืนมองซีซั่นวาดขาขึ้นไปนั่งประชิดพี่วินด้วยความรู้สึกปวดใจที่สะกิดให้พี่วินย้อนกลับมา





แต่ก็อย่างว่า… อะไรที่ตัดสินใจไปแล้วผมย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้





“เทมไม่เกาะเอวเราอ่ะ”

“รอพ่อมึงตายก่อนเหอะ”

“ไม่ยอมเกาะเอวเราตกลงไปตายไม่รู้ด้วยนะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูตกกูจะดึงมึงลงไปด้วย”





เป็นห่วงประสาอะไรเอากูมาเสี่ยงตายด้วยการจะตกมอไซค์วะไอ้สัด!







TBC




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“ซู้ดดดดดดดดดดด อ่าาาาาาาาาาาาาา”

“ไปตายอดตายอยากมาจากไหนวะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองมนุษย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ได้แต่เอือมระอา ใครจะคิดจะฝันว่าจะมีวันที่ผมชวนคนบ้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านข้างหอ เอาเถอะครับ ผมจะถือซะว่าวันนี้ทำบุญทำทานให้หมามันได้กินอิ่มซักมื้อ ตัวผมเองจะได้นอนหลับบ้าง

“ขอโทษที พอดีเราไม่ได้กินอะไรมาเลยทั้งวัน” ซีซั่นสูดเส้นบะหมี่เส้นสุดท้ายเข้าปากก่อนจะพยายามตีหน้านิ่งพูดออกมาด้วยโทนเสียงที่ผิดปกติไปจากทุกที ไม่รู้สิครับ ผมว่าคราวนี้มันดูพยายามจะตีลุคให้นิ่ง ๆ แปลก ๆ แต่มันก็ได้พยายามเท่านั้นแหละ ถึงยังไงแววตาของมันก็ยังหลุกหลิกเหมือนลูกหมาวัยกำลังซนซักตัว ถ้าท่านนึกภาพไม่ออกก็ขอให้นึกถึงอากัปกิริยาของเพื่อนสาวพยายามแอ๊บแมน





เป็นธรรมชาติสุด ๆ

ลุคเหมือนตัวเหี้ยถูกสต๊าฟ





“กินเสร็จก็ไปได้แล้วนะ กูจะรีบขึ้นห้อง ง่วง”

“ขอนอนด้วยได้มั้ยอ่ะ”

“จะให้กูตอบหรือจะคิดเอาเอง” ไม่ต้องรีรอให้มากความ ผมคว้าชามเศษซากเส้นเล็กต้มยำไว้เหนือหัวซีซั่นทันที ก็ถ้าจะอยากได้คำตอบไอ้เทมคนนี้ก็จะจัดให้อย่างสาสม ลูกเขามีพ่อมีแม่ ค่าหอก็ต้องจ่าย จะมาขออาศัยเหมือนศาลาการเปรียญวัดได้ไงวะ

“ก็คนมันไม่มีตังค์กลับห้องตัวเองนี่หว่า” ซีซั่นก้มหน้าจนคางชิดคอทั้งที่ยังตั้งแผ่นหลังจนตรง ก็ลองนึกภาพตามดูครับว่าผมจะเวทนาคนแบบนี้ลงได้ยังไง

“คือตกลงไม่ได้เอาเป๋าตังค์มาจริง ๆ? ”

“อือ ฝากไอ้อิสไว้เมื่อเช้า”

“ก็โทรหาไอ้อิสให้มารับสิวะ”

“ไม่เอาหรอก ไม่อยากรบกวนเพื่อนยามวิกาล”

“แล้วกับกูคือไม่รบกวนงี้”

“มันไม่เหมือนกันนี่นา”

“งั้นก็เอาตังค์กูไป จะได้จบ ๆ โทรศัพท์ก็เอามาแต่เสือกทำอะไรไม่ได้ ไม่คิดว่าปี 2018 จะยังมีควายแก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา แม่งอดข้าวทั้งวันแบบโง่ ๆ นี่กูจะด่ามึงแบบไหนดีวะซีซั่น ถ้าเป็นเพื่อนกูนะจะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย! ” ผมคว้ากระเป๋าตังค์ตัวเองขึ้นมาหยิบแบงค์ร้อยหนึ่งใบวางไว้บนโต๊ะเป็นค่าอาหาร ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาเล็กน้อย และพยายามมองหาแบงค์สีเขียวเพื่อเจียดเป็นเงินทำทานตามประสาคนรวย จะให้เปย์ทิ้งเปย์ขว้างด้วยแบงค์เทาแบบพระเอกนิยายคงไม่ได้ เพราะคนอย่างผมมีแบงค์ม่วงติดกระเป๋าในบางทีก็บุญหัวแล้ว

“โห อันนี้คือยังไม่ได้ด่าอีกหรอ เจ็บแล้วอ่ะ” เสียงจากระยะไกลบอกผมว่าซีซั่นยังคงไม่ลุกจากที่นั่ง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเจาตัวยังคงมีความสุขกับการเทก้อนน้ำแข็งเข้าปากแบบชิว ๆ และไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผมพูดไปทั้งสิ้น นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวเฮียเจ้าของร้านจะว่าเอาผมคงจะวิ่งเข้าไปเทน้ำก๋วยเตี๋ยวราดหัวมันเข้าซักที

“ยัง ยังอีก”

“ขอกินน้ำแปบนึงสิคร๊าบบบบ”

“มึงนี่แม่ง” คงจะเสียเวลาและมีคนได้เสียน้ำตาแน่ถ้าผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้นต่อ ผมเดินเลี่ยงมานั่งลงกับฟุตบาทห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวเพียงไม่กี่เมตร เหลือบตาไปมองคนที่ยังมีความสุขกับการกินแล้วก็ยกโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาอัพเดตข่าวสารบ้านเมืองและข่าวคาวของตัวเองในโลกอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อเห็นจำนวนรูป จำนวนโพสต์ หรือคอมเมนต์ที่คนแทคมาเท่านั้นแหละ หัวใจมันสนแต่ข่าวคาว ๆ ส่วนบ้านเมืองอะไรนั่นช่างหัวมันเถอะ





ชาวเน็ต 1 : น้องรู้น้องเห็น มีคนนั่งอยู่ใต้ตึกคณะวิทย์ตั้งแต่เที่ยง ๆ จะมืดแล้วก็ยังอยู่ เอ๊ะ ๆ มารอใครกันนะ

ชาวเน็ต 2 : ข่าวว่าวันนี้มีเซคนึงเลิกเกือบทุ่ม เอ็นดูผู้ชายในภาพจังเลยค่ะ

ชาวเน็ต 3 : หน้าเครียดมาก เกิดไรขึ้นหรอ?





ผมสะดุดกับรูปนึงที่ผู้ชายด้านในมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับแบบสุด ๆ มันก็คล้าย ๆ ตอนที่ผมเจอมันนั่งแก่วอยู่คนเดียวนั่นแหละครับ จะต่างกันก็ตรงที่เจ้าตัวพยายามชะเง้อคอมองหาบางอย่างแบบสุด ๆ ใครไม่รู้ก็คงจะคิดว่าซีซั่นถูกทิ้งให้เผชิญชีวิตโหดร้ายเพียงลำพัง ที่ไหนได้ แม่งใช้ชีวิตโง่ ๆ บนโลกปลาทองของมันอยู่ต่างหาก





ดวงตาหงอย ๆ นั่นโคตรน่ารัก





“เหี้ย!!!! ” ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างรุนแรงเพราะหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ตบหัว ตบปาก ปิดตา เพื่อเรียกคืนสติที่หายไปชั่วคราว เคยเป็นกันมั้ยครับ บางทีเราก็ดันรู้สึกว่าอยากยิ้มให้กับเรื่องชวนหัวเสีย ดูผมตอนนี้สิ ทั้งที่โดนปั่นประสาทจนสติจะแตกแต่เมื่อกี้กลับหลุดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าตัวเองซะงั้น แล้วไอ้ที่โผล่เข้ามาในความคิดเมื่อกี้ผมขอบอกเลยว่ามันผิดมหันต์!

“เป็นไรอ่ะ”

“เรื่องกู! ” ผมหยุดอาการทุกอย่างแล้วเหลือบตามองคนที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ ด้วยอาการหงุดหงิดเหมือนเช่นเดิม แต่ไอ้เจ้ากรรมนายเวรก็ยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ มองลึกเข้ามาในตาผมเหมือนอยากจะค้นหาอะไรบางอย่าง





มองหาพ่องมุงหรอ





“เทม”

“มึงเอาตังค์ไป สี่สิบน่าจะถึงห้องมึง” ผมยัดเงินสี่สิบบาทที่เตรียมไว้ลงกับกระเป๋าเสื้อช็อบ เจ้าตัวมองตามมือผมแล้วก็ทิ้งตัวท้าวแขนลงกับพื้นซีเมนต์หยาบ ๆ เพื่อเงยหน้าขึ้นฟ้าราวกับจะดาวซักล้านดวงรออยู่

“ไม่ต้องก็ได้ เมื่อกี้โทรไปอ้อนวอนไอ้อิสให้ออกมารับแล้ว”

“ดี งั้นกูขึ้นห้องละ” ก่อนที่ผมจะลุกขึ้น ซีซั่นก็คว้าเข้าที่ข้อมือเอาไว้เสียก่อน มือแข็ง ๆ ล็อคเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ก็รู้แหละครับว่าถ้าผมยอมมันอีกก็คงจะมีแต่เรื่องซวย ๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่ใครก็ได้ช่วยแนะนำผมทีเถอะ ว่าควรจะทำตัวยังไงไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวมันกระเด็นเข้าตัว ถ้าไล่มันไปไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วผมควรจะต่อสู้เพื่อตัวเองในครั้งนี้ยังไง

“เดี๋ยวดิ”

“อะไรอีก ยุงกัดกู ง่วงแล้วด้วย”

“ถามจริงนะเทม เราแม่งแย่มากเลยหรอ” น้ำเสียงเงียบขรึมทำให้ผมหันไปมองสีหน้าซีซั่นโดยอัตโนมัติ แต่ผมก็ได้เห็นเพียงแต่สันกรามและด้านข้างของหางตาเท่านั้น

“จะถามอะไรบ่อย ๆ วะ คำตอบมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“แล้วเมื่อไหร่คำตอบจะไม่เหมือนเดิม”

“คำถามเดิิมจะตอบอีกกี่ทีมันก็เหมือนเดิมป่ะวะ”

“ถ้างั้น… เราต้องทำยังไงเราถึงจะไม่ใช่คนแย่ ๆ คนนั้น”

“อะไรของมึงวะ”

“เราไม่ได้ถามเหมือนเดิมแล้วนะ” ซีซั่นไม่ยอมลดระดับสายตาลงมาสบตาผมสักที นาทีที่เจอคำถามกวนใจแบบนี้เป็นใครก็คงอยากจะสบตาคนถามเพื่อดูอารมณ์และรูปการณ์ทั้งนั้น แล้วเป็นแบบนี้จะให้ผมทำยังไง คาดเดาเอาด้วยความรู้สึกงั้นหรอ

“ก็คงไม่ต้องทำอะไร สุดท้ายมึงก็ยังคงเป็นมึงป่ะวะ”

“นั่นสิเนอะ”

“ก็เออสิวะ”

“แต่บางทีเราก็ไม่อยากเป็นตัวเอง ถ้าเป็นตัวเองแล้วไม่ได้ใจใครเลย เราขอเป็นคนอื่นที่เราไม่รู้จักดีกว่า”

“.............” คนที่ทอดสายตามองท้องฟ้าดำมืดของเมืองกรุงค่อย ๆ เคลื่อนสายตาลงมามองผม ความนิ่งระคนไปด้วยแววตาจริงจังที่สัมผัสได้จริง ๆ มากกว่าที่เคยรู้สึก ข้อมือชาที่ถูกอีกฝ่ายกำเอาไว้ก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกรัดแน่นขึ้นมากกว่าเดิม

“ไม่เคยคิดเลยว่ะ… ว่าวันนึงจะต้องมานั่งคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นยังไง”

“จะพูดว่าจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อกูหรอ”

“อืม”

“ซีซั่น… กูพูดตรง ๆ นะ บางทีมึงอาจจะเสียเวลาเปล่าอีกครั้ง ตอนไอ้นนมึงก็เสียเวลากับมันมานาน ชีวิตมึงจะมาวนเวียนอยู่กับคนที่เขาไม่มีทาง… ไม่มีทาง… เอ่อ คือสุดท้ายมันก็ไม่มีทาง” ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมพูดออกมาอย่างติดขัด ทำไมผมถึงไม่หลุดปากพูดออกไปให้จบ ๆ ว่ายังไงซะมันก็ไม่มีหนทางที่เรื่องของผมกับมันจะเป็นไปได้ ทำไมสมองส่วนหนึ่งของผมมันถึงได้รู้สึกกระวนกระวายใจกับคำพูดและแววตาของคนตรงหน้า

“รู้ใช่มั้ยว่าเรามันหน้าด้านแบบที่เทมเคยพูดเสมอ”

“รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าพูดไปยังไงมึงก็คงไม่ฟัง”

“แต่กับเทมเราแม่งโคตรหน้าบางเลยว่ะ พูดจริง ๆ ใจครึ่งหนึ่งของเรามันท้อแท้ไปแล้ว”

“ท้อก็ถอยออกไปแค่นั้นเองซีซั่น”

“เราแค่อยากลองให้มันสุดทางว่ะ”

“มึงนี่มันดื้อฉิบหาย รู้ทุกอย่าง แต่ก็เสือกไม่รู้ฟัง”

“ให้เราจีบเทมได้มั้ย ให้เราได้จีบจริง ๆ แบบที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเทม” ซีซั่นปล่อยมือออกจากข้อแขนผม ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าจะสบตามากแค่ไหน ผมก็ไม่รู้อะไรเลย

“..............”

“ถ้าจนสุดทางแล้วเทมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเราเลยจริง ๆ เราจะจบทุกอย่างเอง จะไม่มาให้เห็นหน้า จะไม่มายุ่งกับเทมหรือใครอีก”

“แล้วกว่าจะสุดทางของมึง มันต้องนานแค่ไหน”

“นานจนกว่าเทมจะไล่เราไป เราไม่เหลือเงื่อนไขอะไรแล้วว่ะ”

“รู้ใช่มั้ยว่าถ้ามึงพูดแบบนี้ กูไล่มึงไปตอนนี้เลยก็ได้”

“รู้ดิ… ก็ได้แต่ภาวนานั่นแหละ ว่าเทมคงจะไม่ใจร้ายกับเราเร็วเกินไป”

“มึงยื่นทางเลือกให้กูเองนะ”

“แล้วแต่ใจเทมเลย” แล้วแต่ใจงั้นหรอ… แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเสียงจากส่วนไหนที่เดินทางมาจากหัวใจ ความย้อนแย้งที่เกิขึ้นกับตัวผมเองมันทำให้ทุกอย่างยากไปหมด ทั้งที่ควรจะมีคำปฏิเสธที่แน่ใจ แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะนิ่งเหมือนคนมีเรื่องหนัก ๆ มากมายอยู่ในหัว





ที่รู้สึกตอนนี้ก็แค่… แค่ไม่อยากให้ใครรู้สึกแย่เกินไป





“..............” ผมรู้ตัวดีว่ากำลังเงียบจนเกินไป และการที่ลุกขึ้นยืนโดยไม่ให้คำตอบก็อาจจะเป็นการเปิดช่องว่างช่องใหญ่ ๆ ให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาได้ง่าย ๆ

“เทม”

“ไปซะ...” คำพูดเสียงเบา ๆ ทำให้คนที่ลุกขึ้นยืนตามผมนิ่งเงียบไปมาก เรียวแขนที่กำลังจะยื่นออกมาข้างหน้าตกลงข้างตัวเหมือนคนที่ไม่เหลือแรง สีหน้าแย่ ๆ ของซีซั่นก็ยิ่งดูแย่มากยิ่งขึ้นไปอีก และผมกำลังรู้สึกแย่พอ ๆ กับเจ้าของสีหน้านั่น

“งั้นเราก็คงต้องไปใช่มั้ย”

“อือ ไปซะ… กลับห้องมึงไปได้แล้ว” หากจะใช้คำว่าผมไม่รู้ตัวเองก็คงจะเป็นการโกหกหน้าด้าน ๆ ผมรู้ตัวดีในสิ่งที่พูดออกไป แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัญหากับผมก็คือความไม่เข้าใจในการกระทำที่ตนเองรู้ตัวดีต่างหาก

“หมายความว่า”

“มึงก็รอเพื่อนอยู่ตรงนี้นี่แหละ ถ้าถึงแล้วก็ไลน์บอกด้วย” อาการมือไม้สั่นไม่มั่นใจทำให้ผมต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเพื่อตั้งสติ ไอ้ครั้นจะถอยตัวเองหนีเร็ว ๆ ก็ดันก้าวขาไม่ออกเพราะรอยยิ้มของซีซั่นที่สว่างสดใสเล่นใหญ่เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งสามงวดซ้อน

“อืม โอเค”

“ยิ้มเหี้ยอะไรนักหนา”

“เปล่า พระจันทร์สวยดี” คนที่ยิ้มจนเหมือนเสียสติชี้ไม้ชี้มือมั่ว ๆ จนไปหยุดที่โคมไฟทรงกลมที่ตั้งอยู่ในสวนข้างตึกหอพัก ผมมองตามไปแล้วก็ได้แต่หมุนตาเป็นเลขแปดเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายอาการเกินเยียวยาของมันอีกต่อไปแล้ว

“ยาหมดรึไงมึง” ผมบังคับตัวเองให้หยุดให้ความสนใจแล้วเดินปัดตูดเข้าตัวตึกมาทันที มันก็อาจจะมีบ้างที่เผลอหันไปมองด้วยความสนใจที่ไม่ควรเกิด และระหว่างที่ผมกำลังจะหลีกหนีทุกอย่างอยู่นั้นเสียงไลน์เข้าหนึ่งครั้งสั้น ๆ ก็ดันเรียกร้องความสนใจทั้งที่ผมไม่ได้เปิดอ่านแชทจากคนคนนี้มาเลยทั้งวัน





‘แล้วเจอกันนะเทม เราจะมาพร้อมกับซีซั่นคนใหม่’





ตุ้บ!!





“คุณพระ!! ช่วยลูกด้วย!! ” เสียงของหล่นกระทบกับพื้นยังทำให้เรื่องราวน่าสะเทือนใจได้ไม่เท่าการที่เจ้าของแก้วชาไข่มุกอุทานออกมาด้วยประโยคที่เหมือนเข้ามายืนอยู่ในใจคนฟัง เพื่อนร่วมหอของผมพึ่งจะทำแก้วชาไข่มุกตกกระแทกกับพื้นจนแก้วแตกน้ำเจิ่งนองไปทั่ว …แม่ม แก้วพลาสติกตกยังแตกจนแหลกขนาดนี้ นี่มันเป็นสัญญาณการเปิดตัวของลางร้ายชัด ๆ





ลางร้ายเริ่มปรากฎ!

เชื่อผม!

ลางร้ายเริ่มปรากฎ!


TBC

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 10 หล่อ สุขุม น่าค้นหา

ถ้าชีวิตของบุคคลในประวัติศาสตร์หลาย ๆ คนมีึความพิลึกพิลั่นจนโลกต้องจารึกและเหล่ามวลมนุษยชาติต้องจดจำ ผมเชื่อว่าในอนาคตไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยปีจะต้องมีชื่อเทมนทีคนนี้เป็นที่จดจำในสาขาคนดวงซวยแห่งชาติ ดีแล้วที่คุณนึกไม่ออกว่าผมเจออะไร ขอให้นึกถึงคุณพระท่านแล้วเดินผ่านเรื่องราวชีวิตของผมไปอย่างสง่างาม อย่าได้สนใจนักเลย เพราะมันเป็นเพียงแค่การผจญภัยกับคนไม่ค่อยมีสติ

“เฟย์ มึงว่าม่ะ ซีซั่นมาลุคนี้แล้วโคตรหล่อเลยว่ะ กร้าวใจฉิบหาย”

“เออ กูจะไม่เถียงเลยว่ะ ถ้ามันไม่ใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบแล้วเหมือนพระพึ่งสึก”

“แต่ก็ถือว่าดีอยู่นะคะคุณ สงบปากสงบคำแล้วโคตรดี” การนินทา… ไม่สิ สิ่งที่นีลและเฟย์ทำมันไม่อาจเรียกได้ว่าการนินทา นี่มันคือการพูดถึงคู่กรณีของผมในระยะเผาขน ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตามคำพูดของเพื่อนแล้วก็มีแต่คำว่าผิดพลาดลอยฟุ้งเต็มอากาศไปหมด คืนนั้นผมไม่น่าเปิดโอกาสให้มันมาเสนอหน้าในชีวิตผมได้อีก แต่ใครจะไปคิดว่าผมจะเจอซีซั่นในรูปแบบใหม่ที่ปวดใจกว่าเดิม





รองเท้าคัชชูที่ไม่เปื้อนโคลน

เสื้อขาวสะอาด

กางเกงทรงสวย

แต่งตัวเรียบร้อย

พูดน้อยต่อยหนัก

นิ่งขรึมกระชากใจ





ถ้าผมไม่เคยเจอมันมาก่อนก็คงจะเผลอคิดว่าเป็นเทพบุตรต้นแบบของผู้ชายทั้งปวง เรียกได้ว่าไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทบจะสลัดคราบซีซั่นบ้า ๆ บอ ๆ คนเก่าออกไปจนหมด ขาดเหลือก็แค่เส้นผมที่น่าจะปลูกไม่ทัน แต่ที่ทำให้ผมท้อแท้ก็เพราะสายตาที่ยังเป็นคนเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมยังเห็นความหลุกหลิกไม่มีสติส่งผ่านสายตาของซีซั่นออกมาตลอดเวลา ไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามดึงหน้าเป็นคนเรียบร้อยมาดเท่มากแค่ไหน นี่แหละที่ทำให้ผมปวดใจเพราะไม่รู้ว่าความสุขุมนุ่มลึกของมันจะแตกออกมาตอนไหนและผมจะรับมือยังไง

“เทมเอาอะไร”

“ช็อก” หลังผมตอบแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่กี่วินาทีกล่องนมช็อคโกแลตก็ถูกยื่นพร้อมหลอดเข้ามาที่ปาก ผมที่เร่งมือพิมพ์รายงานอยู่ก็อ้าปากงับหลอดแล้วดูดเครื่องดื่มลงคอแบบไม่เรื่องมาก ทำไงได้ก็คนมันหิวนี่หว่า อีกอย่างซีซั่นที่อยู่ในมาดคุณชายก็เสือกอาสาหิ้วขนมนมเนยเข้ามาบริการผมและผองเพื่อนเองโดยที่ไม่ได้ขอ จะให้ผมไปขัดมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะหักหาญน้ำใจคนอื่น อิ่ม ฟรี มันก็ดีไม่ใช่หรอ

“โอ้โหเว้ย” ผมเหลือบตามองไอ้นนที่นั่งงัดแงะเครื่องปริ้นท์อยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนวันนี้พวกผมต้องรีบปั่นรายงานชิ้นสำคัญให้เสร็จก่อนสี่โมงเย็น เพราะฉะนั้นการขนข้าวของมาทำใต้ตึกคณะพร้อมส่งจึงสะดวกมากกว่าการนัดที่ห้องของใครซักคน

“มีอะไรไอ้นน” น้ำเสียงและสีหน้าล้อ ๆ ของมันทำให้ผมอยากจะพ่นนมช็อกโกแลตออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

“ก็เปล่า กูก็แค่อุทานกับเครื่องปริ้นท์” จ้าาาาา ไอ้ณนนเพื่อนรัก อ้าปากกูก็เห็นไปยันลำไส้ใหญ่แล้วเว้ย!

“กินอะไรมั้ย” ซีซั่นแหวกถุงเซเว่นแล้วดันไปตรงหน้าณนน คนถูกถามส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ กลับมา หึ แม้แต่ไอ้นนก็ยังดูมีปฏิกิริยากับคำพูดครับ ๆ ผม ๆ ของมัน สาบานสิว่ามองไม่รู้ว่ามันปลอม!

“ไม่เป็นไร นายดูแลเทมเหอะ”

“เออ ไม่ต้องไปเสือกกับเพื่อนกูเลย” ผมดึงกล่องนมจากมือซีซันมาถือเอาไว้เอง ที่ห้ามเนี่ยเพราะรู้ว่าพี่คีณกำลังจะมาหรอกนะ แค่ไม่อยากเห็นคนมีปัญหาทางจิตโดนฆ่าตายต่อหน้าต่อตาโว้ย

“หึง”

“กูพูดว่าเสือก ไม่ใช่หึง! ” ปั้ก! ไอ้กล่องนมเนี่ยหมดแล้วก็คงหมดประโยชน์สิเนอะ โยนใส่หัวเหม่งซีซั่นก็คงไม่เป็นไร

“ครับ” การที่มันตอบรับอย่างว่าง่ายทำให้ผมต้องกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ บนโต๊ะตอนนี้ไม่มีีีซีซั่นที่ดีดดิ้นโวยวาย มีเพียงคุณซีซั่นที่นิ่งสงบและว่าง่ายเท่านั้น

“แล้วนี่ไม่มีเรียนหรอ มานั่งดึงหน้าอยู่ได้”

“เคยมีครับ”

“เคยมี? ”

“ดร็อปครับ”

“ตกมีนว่างั้น”

“เปล่า ผมไม่มีคะแนนเลย” คนตอบพยายามที่จะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเหี้ยมโหด แต่ประทานโทษเถอะ แม่งกระตุกเหมือนคนเป็นเส้นเลือดตีบ ตบให้เลือดไหลทั่วหน้าซักทีดีมั้ง

“นี่เพื่อนมึงจะแบกมึงจนเรียนจบได้มั้ยเนี่ย ห่ะ”

“ผมแค่แกล้งเรียนไม่เก่งเฉย ๆ ”

“แกล้งซะเหมือนเลยนะมึง” ผมส่ายหน้าระเหี่ยใจ และยิ่งท้อแท้กับชีวิตมากขึ้นไปอีกเมื่อหันไปเห็นว่าซีซั่นยังคงดึงหน้าตึงยิ่งกว่าฉีดโบท็อกซ์

“เทม มึงขึ้นไปเอาตัวอย่างผลแลปของกลุ่มไอ้ตี้หน่อยดิ กูขอมันละ อยู่ชั้นเก้า” เสียงขอร้องกึ่งสั่งการของเฟย์ทำให้ผมต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือกทั้งที่ขี้เกียจเดินใจจะขาด

“เออ” ผมลุกขึ้นยืนสะบัดมือสะบัดไม้ไล่อาการเมื่อยตึง และเมื่อผมกำลังเดินตรงไปยังลิฟต์ก็ต้องพบว่ามีวิญญาณตามติดมาด้วย ผมเหลือบตามองซีซันแต่ก็ไม่ได้คิดจะหยุดรอ ขายาว ๆ นั่นพยายามอย่างยิ่งที่จะเดินให้ดูแข็งขันแข็งแรงมากที่สุด และไอ้การเอามือล้วงกระเป๋านั่นเจ้าตัวก็คงจะคาดหวังให้ดูเท่สมาร์ท แต่ปลายทางในความเป็นจริงผมเห็นแค่เด็กแว้นเดินถ่างขาเพราะไข่ใหญ่เท่านั้น





ใครเป็นคนบอกมันให้เอาสองมือล้วงกระเป๋าพร้อมกันวะ เด๋อสัด





“..........”

“จะตามกูมาทำไม” ปั้ง ผมเข้าไปในลิฟต์โดยไม่คิดจะรอใคร นิ้วกดรัว ๆ ที่ปุ่มปิดลิฟต์จนกลไกทำงานกระทั่งประตูแทบจะปิดสนิท แต่แล้วก็มีมือมารคว้าหมับเขาที่ขอบประตูจนมันต้องเปิดออกอีกครั้ง สิ่งแรกที่ปะทะสายตาก็คือเจ้าของมือที่ยืนเก๊กยันประตูไขว้ขาด้วยจิตวิญญาณเคน ธีรเดชในร่างของตั๊ก บริบูรณ์

“อยากตาม” ฟังคำเดียวก็รู้แล้วว่าซีซั่นกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะปรับเสียงตัวเองให้ทุ้มน่าเกรงขาม แต่สิ่งที่ออกมามันก็ดันเหมือนเวลาเราเสียบแจ๊คลำโพงไม่สุด นอกจากจะไม่ชัดเจนแล้วยังน่ารำคาญอีกด้วย

“ถามจริง วันนี้มึงกินยาผิดมาป่ะ”

“เปล่า”

“งั้นก็คงขาดยามาหลายวัน” ผมส่ายหน้าต้อนรับซีซั่นที่แทรกตัวเข้ามาด้านใน ก่อนที่ลิฟต์จะไต่ระดับขึ้นไปตามหมายเลขชั้นที่กด ไม่รู้จะนิยามบุคลิกที่เจ้าตัวแสดงอยู่ยังไงดีครับ มันไม่ได้ใกล้ความเท่หรือสุขุมนุ่มลึกใด ๆ แต่ถ้าเป็นสุขุมจนขนลุกน่ะ อาจจะใช่ คงเป็นเพราะผมเคยชินกับซีซั่นที่ทำหน้าแป้นแล้นด้วยล่ะมั้ง พอเจอโหมดหน้านิ่งเลยรู้สึกว่ามันปลอมไปหมดแบบนี้

“นี่ตัวตนผม” ผมหันไปสบตากับซีซั่นเพื่อหาคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีความจริงจังเบอร์ไหน แต่ไอ้ท่าสองมือล้วงกระเป๋ากับสีหน้านิ่งขรึมมันก็ขัดหูขัดตาจนพาลหงุดหงิด นี่มันคิดว่ามันเป็นพระเอกในยุคที่สรพงศ์ ชาตรี ยังหนุ่ม ๆ หรือไงวะ

“ที่ผ่านมาไม่ใช่ตัวตนว่างั้น”

“ก็แค่เป็นคนที่มีหลายมุม” ซีซั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม เสียงทุ้ม ๆ กระซิบเข้าที่ข้างหูจนผมขนลุกซู่ขึ้นทั้งตัว วินาทีที่ผมหันไปสบตาก็พบแต่เพียงความอันตรายที่แฝงมาในแววตา ถ้าหากว่าซีซั่นเล่นบทพระเอกหล่อและสุขุมได้ไม่เนียน ผมก็ต้องบอกเลยว่ามันเล่นบทลุงหื่นกามข้างบ้านได้เนียนสุด ๆ

“เอาหน้าออกไป”

“รอลิฟต์เปิดก่อนแล้วกัน”

“จะลองตีนกูระหว่างรอมั้ยล่ะ”

“ก็น่าลองนะ” พูดจบไอ้ลุงหื่นก็เอียงจมูกเข้ามาชนกับแก้มผมปังใหญ่ ๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังติดเชื้อแบคทีเรียและมันกำลังจะกระจายไปทั่วร่าง ไอร้อนมันเริ่มบริเวณที่จมูกของซีซั่นฝังลงมาก่อนจะกระจายไปทั่วโดยที่ผมไม่สามารถควบคุมทิศทางใด ๆ ได้





แม้แต่หายใจยังติดขัด ตาย! ตายแน่ ๆ ไอ้เทม!





“ไอ้ซั่น! ”

“หึหึ ลิฟต์เปิดแล้วครับ” คราวนี้การกระตุกยิ้มของซีซั่นมันไม่ขัดตาอีกต่อไป ผมเริ่มหมั่นไส้การเดินล้วงกระเป๋าสองข้างของมันและอยากจะถีบตกช่องลิฟต์ให้รู้แล้วรู้รอด แม่งทำให้ผมหน้าร้อนไม่เลิกอย่างไม่มีเหตุผล ต้องมีเชื้อโรคกระจายอยู่ในตัวผมแน่ ๆ

“อย่ามาเดินขวาง รอเฉย ๆ เลยมึง” ผมใช้แขนปัดร่างซีซั่นที่เดินนำอยู่ออกไป ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาเพื่อนร่วมเซคที่ใจดีให้ยืมเอกสารเป็นตัวต้นแบบ แต่กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็เสียเวลาฟังมันเม้าท์เรื่องชาวบ้านอยู่หลายนาที ผมก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเดินออกมาวิญญาณร้ายที่ตามติดตัวจะกลับภพภูมิที่ดีไปแล้ว

เมื่อออกมาจากห้องเรียนแล้วไม่เจอหน้าซีซั่นผมก็โล่งใจไปเปราะนึง สองมือสลับเอกสารผลแลปในมือปึกใหญ่ดูทีละหน้าเพื่อตรวจสอบว่ามีอันไหนที่กลุ่มของผมจะสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่าย ๆ บ้าง บอกไว้ก่อน นี่ไม่ใช่การลอกนะครับ แต่สองหัวมันก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวเสมอ หึหึ

“เทม”

“จิ๊ แม่ง” ผมจิ๊ปากออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกมาจากเบื้องหน้า เดินเกือบจะถึงลิฟต์อยู่แล้วเชียว แม่งยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรอวะ

“เรียบร้อยดีใช่มั้ย” ผมไล่มองคนเบื้องหน้าตั้งแต่ปลายเท่าขึ้นไป ซีซั่นที่อยู่ในลุคแต่งตัวเนี้ยบ ๆ ยืนพิงอยู่กับผนังทางเลี้ยวก่อนถึงลิฟต์ มือข้างนึงของเจ้าตัวยังคงอยู่ใต้กระเป๋ากางเกงเหมือนเช่นเดิม แต่มืออีกข้างนั้นกำลังใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบของบางอย่างอยู่ที่ริมฝีปาก ใบหน้าของซีซั่นที่ผมเห็นมันทั้งจริงจังนิ่งเฉยเย็นชา เป็นแบดบอยที่สมบูรณ์แบบ





และเป็นคนบ้าในเวลาเดียวกัน





เป็นเหี้ยอะไรถึงอมป็อกกี้สตรอว์เบอรี่ไว้คาปาก มึงคิดชาตินี้จะมีควันพุ่งออกมาให้มึงรึไง เอาเวลาหาป็อกกี้ไปหาหมอมั้ย! โว้ยยยยย! ไอ้เทมจะบ้าตามแล้วโว้ยยยย!





หล่อ เท่ สุขุม นิ่งสงบ มีเสน่ห์ น่าค้นหาไปหมด!

น่าค้นหาเพราะผมหาไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นไม่เจอเลย!





“............” ถ้าจะเป็นเป็นคนใหม่ได้สุขุมและหล่อสัดขนาดนี้ ผมขอรีเควสเป็นไอ้ซีซั่นเด๋อด๋า ๆ คนเดิมดีกว่า แม่ง เสียดายรองเท้าคัชชู เสียคุณค่ากางเกงสแล็คและเสื้อเชิ้ตขาวรีดเรียบหมด

“อึ้ง”

“เออ อึ้ง” ผมกลั้นใจเดินผ่านคนที่ยังทำท่าทางประหลาดไปทั้งที่ใจอยากจะหวีดร้องโวยวายจนสาวแตกให้จบ ๆ ไป เมื่อกดปุ่มลิฟต์ได้ใจมันก็นับรัวหนึ่งถึงสิบอยู่แบบนั้น เพราะกลัวว่าตัวเองจะให้ความสนใจคนบ้า ๆ อย่างที่มันต้องการ

“เสร็จงานแล้วเย็นนี้ไปกินข้าวกัน” ผมก้มหน้ามองกระดาษในมือต่อไปทั้งที่ซีซั่นเดินเข้าประชิดตัว

“ยังไม่เสร็จ”

“ผมพูดถึงตอนเสร็จ”

“ยังไม่รู้ แล้วแต่อารมณ์”

“อยากกินอะไร อิตาเลี่ยน หรือ อาหารญี่ปุ่น”

“นี่มึงแดกอย่างอื่นนอกจากลาบลู่น้ำตกเป็นด้วยหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าซีซั่นด้วยความประหลาดใจ และเจ้าตัวก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่คลุมเครือในความหมาย ผมยังจำบรรยากาศร้านลาบเจ้พรหล้าได้ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีส่วนไหนของสมองเลยที่จะจินตนาการได้ว่าซีซั่นนั่งสวดมนต์อยู่ในร้านอาหารอิตาเลี่ยน

“ก็กินได้หมดแหละ ติดดิน”

“แน่ะ ไฮโซขึ้นมาเลย”

“จริง ๆ ที่ผ่านมาผมก็แค่อยากใช้ชีวิตธรรมดา แต่ก็ต้องยอมรับว่าธุรกิจยานยนต์ของที่บ้านผมก็มั่งมีไม่ใช่น้อย” ซีซั่นยืดอกด้วยความภูมิใจ ก่อนที่ผมจะยืมเทคนิคของอิสระกับไฉมาใช้หักหน้าจนซีซั่นน่าจะจุกพอควร





คิดจะสวมบทพระเอกสุขุมไม่พอ ริจะเป็นพระเอกไฮโซ เหอะ!





“มั่งมีหนี้อ่ะหรอ 555555” ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มและขำออกมาระลอกใหญ่ ก็ดูซีซั่นตอนนี้สิ แม่งพยายามเก๊กขรึมทั้งที่ริมฝีปากแม่งเบะฉิบหายอยู่แล้ว นี่แหละนะที่เขาว่าเลิกเป็นอะไรก็ได้แต่อย่าเลิกเป็นตัวเอง ต่อให้ฝืนเท่าไหร่ความเป็นตัวตนมันก็หลุดออกมาให้เห็นอยู่ดี

“ไม่ใจร้ายสิครับ...”

“ใครใจร้า...”

“ขอทางด้วยครับ”

“เทม! ระวัง! ” ขออนุญาตขัดบทสนทนาซักครู่นะครับ เสียงขอทางเสียงแรกเป็นของมนุษย์โลกที่ออกมาจากลิฟต์ ส่วนเสียงแจ้งเตือนที่ดังลั่นตึกเป็นของเจ้าของมือที่ดึงร่างผมทั้งร่างเข้าหาตัว การเกิดวงสวิงที่ข้อแขนอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมต้องหมุนตัวแบบสามร้อยสี่สิบห้าองศา เมื่อร่างกายปะทะกับแผงอกแน่น ๆ ก็สัมผัสได้แค่เพียงกลิ่นขี้เจ๊กเสื้อใหม่ฉุนขึ้นจมูก และฉากโรแมนติกก็ปิดท้ายด้วยการที่ปึกกระดาษในมือของผมปลิวไสวปลายสวอยลอยเต็มอากาศ





ผมไม่ได้มือไม้อ่อน แต่มีคนบีบข้อมือผมแน่นจนต้องผ่อนแรงที่มือต่างหาก ออ แล้วที่มีคนดึงผมหลบ สิ่งกรีดขวางก็มีเพียงแค่ตุ๊ดเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ถ้าผมชนก็คงตายคาที่ก่อนที่ผมจะระคายเคืองเสียอีก





ไอ้ชีวิตเฮงซวย





“ไอ้เหี้ย! ทำบ้าอะไรของมึงเนี่ย คิดว่าเท่หรอ ของกูตกหมดแล้วสัด! มึงมาช่วยกูเก็บเลยนะ ถ้างานเพื่อนกูไม่ครบมึงตายคาตีนกูแน่ ๆ!! ”

“อ้าว… ทำไมไม่ซึ้ง”





ยัง ยังมีหน้ามาถามอีก ไอ้ซั่น!!





ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“งานวันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยป่าว”

“ไม่เหนื่อยหรอก แค่ไม่ค่อยชอบออกกล้อง”

“ยังไงคีณก็เลี่ยงไม่ได้นี่น่า สู้ ๆ นนอยู่ตรงนี้เสมอ”





จ้าาาาาาาาาาาา





เฟย์และนีลอยากจะตะโกนเสียงจ้าให้ดังยาวไปถึงดาวอังคาร โมเม้นที่เพื่อนลากผัว เอ๊ย ลากแฟนมานั่งเฝ้าถึงที่มันช่างหวานหนืดติดคอคนฟังซะเหลือเกิน โดยเฉพาะกับพี่คีณที่เลิกงานเสร็จแล้วรีบบึ่งมาหาณนนทั้งที่น่าจะอยากพักผ่อนมากกว่า แล้วแบบนี้จะไม่ให้สาวโสดอิจฉายังไงไหว





“เหนื่อยมั้ย”

“เหนื่อย เหนื่อยเพราะรำคาญมึง”

“ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ไม่ไปไหน”





เออออออออออ





ผิดกันกับอีกคู่ ที่เฟย์และนีลอยากจะตะโกนคำว่าเออออกมาพร้อมกับน้ำเสียงรำคาญจนชีวิตท้อแท้ ใครจะไปคิดว่าวันนี้จะมาถึง วันที่พี่คีณมานั่งเฝ้าณนน และเทมนั่งให้ซีซั่นจ้องหน้ามาตั้งแต่ช่วงสาย ๆ งานนี้ไม่รู้ว่าพี่คีณมาด้วยเสน่หาหรือรู้ว่าซีซั่นมาวนเวียนอยู่แถวนี้เลยตามมาคุมกันแน่ แต่ไม่ว่าเหตุจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เหลือก็มีเพียงแต่สองสาวอย่างพวกเธอที่ต้องนั่งจ้องหน้ากันเพื่อดูแลตัวเอง





ส่วนผู้ชายสี่คนก็ให้เขาดูแลกันไป





“มึงขยับไปดิ๊ กูอึดอัด” ผมกระแทกไหล่ใส่ซีซั่นที่ยังนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน ขนาดผมเอ่ยปากไล่ทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่มันก็ยังยืนหยัดดึงหน้าหลังตรงจนถึงตอนนี้ ไอ้ที่ว่าบุคลิกเปลี่ยนไปน่ะอาจจะจริง แต่ไอ้เรื่องความใจกล้าหน้าด้านไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

“ไม่” ซีซั่นตอบผมสั้น ๆ และหันไปเหลือบตามองพี่คีณและณนนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณพระ คุณเจ้า สองคนนั่นนั่งชิดกันจนแทบจะรวมร่างได้อยู่แล้ว ผมเห็นแบบนั้นก็อยากจะเบ้ปกมองบนให้กับความรักที่เบ่งบานเป็นสีชมพูพริ้ง นึกแล้วมันแค้น จะให้ผมลืมไปได้ยังไงว่าไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มันเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากไหน





เนื้อไม่ได้กิน แฟนก็ไม่มี เอาคนบ้ามาแขวนคอชัด ๆ





“ถ้ามึงไม่ขยับ งานกูก็ไม่เสร็จสักที จะไปกินมั้ยข้าว? ” ผมพ่นออกไปยาว ๆ ยกแขนสองข้างตั้งศอกองศากว้างเพื่อให้ได้อาณาเขตที่จะช่วยให้พิมพ์งานได้ถนัดที่สุด คราวนี้ซีซั่นใช่วิธีปิดปากเงียบส่งสายตาไม่พอใจมองมายังผม มีหรอที่ผมจะไม่สู้ด้วยการใช้สายตาที่แสนปกติมองกลับไป

“...........”

“ตกลงจะไม่ขยับใช่มั้ย”

“ขยับ” สุดท้ายซีซั่นก็ถอยทัพขยับออกไปเล็กน้อย ผมยิ้มแบบชนะออกมาทันที ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ สายตาหมาโมโหจะมาสู้สายตาคนจริงแบบผมได้ยังไง

“แค่นี้ จบ”

“พูดแล้วนะว่าจะไปกินข้าวด้วย” ผมไม่แปลกใจนักที่ซีซั่นจะพูดแบบนี้ออกมา ต่อให้ผมไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาต่อรอง หรือต่อให้ผมปฏิเสธเสียงแข็งจนลิ้นไก่แตก ซีซั่นก็ต้องลากผมไปกินข้าวกับมันจนได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เสียอะไรไปเลยกับการยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเหยื่อล่อให้มันขยับออกไปจากตัวก่นที่เชื้อบ้าจะลามมาติดตัว

“เออ มึงเลี้ยงกูแล้วกัน หล่อรวยนี่วันนี้”

“หล่อ รวย เท่ ฉลาด” จะมีสักกี่คนที่พูดจาแบบนี้ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ซีซั่นดูจะภูมิใจถึงขั้นยืดอกเกร็งหน้าราวกับสิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นจริง หล่อ...เออ หล่อแต่สติเสีย รวย...อาจจะรวยมั้ง ไม่รู้ดิ เท่...มึงข้ามข้อนี้ไปเลยไอ้ซั่น ฉลาด...นี่เอาความมั่นใจส่วนไหนมาพูดวะ ยอมใจจริง ๆ





หล่อ รวย เท่ ฉลาด ของจริงน่ะ นู่นนนน พี่คีณที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมึงนู่น





“คีณขยับออกไปบ้างได้ป่ะ นนไม่ถนัดเลย” ผมที่ได้พื้นที่คืนมาเรียบร้อยต้องเหลือบตาขึ้นจากจอมองสถานการณ์ด้วยความอยากรู้ การขอคืนพื้นที่ของคู่นั้นดูมุ้งมิ้งน่าดูกว่าผมหลายเท่านัก ไอ้จะให้หันไปเม้ากับใครก็คงไม่ได้เพราะเมื่อครู่เฟย์และนีลหนีออกไปซื้อกระดาษ เหลือผม ไอ้นน พี่คีณ และส่วนเกินอีกหนึ่งชีวิตบนโต๊ะ

“ไม่ได้ อยากได้ที่กว้าง ๆ ก็มานั่งตักคีณดิ” คุณพระ! พี่คีณแม่งหล่อลากแม้กระทั่งน้ำเสียง กระทั่งสายตาอ้อนวอนที่มองยังไงก็แพ้แน่ ๆ ผิดกันกับใครบางคนที่พยายามแล้วยังไม่ได้ครึ่งนึงเลยด้วยซ้ำ

“ตลก นนไม่ถนัด ขยับออกไปอีกนิดได้มั้ยครับ”

“ขยับก็ได้ แต่กลับไปคืนนี้ต้องไม่ดื้อนะ” ดื้อ… พวกแม่งกลับไปดื้ออะไรกันมืด ๆ ค่ำ ๆ วะ

“นนเคยดื้อรึไง หืม” ไอ้นี่ก็พอกัน หลังเปิดตัวนี่มีความอ้อยหลัวเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่คิดจะเกรงใจหรอกเพื่อนฝูงน่ะ แล้วดูไอ้ตัวข้าง ๆ กูนี่ แม่งมองตาเป็นมันอยู่แล้ว

“มึงจะไปจ้องไอ้นนแบบนั้นทำไม” ผมเอนตัวไปกระซิบใส่หูซีซั่น แม่งมองขนาดนั้นเดี๋ยวพี่คีณก็ฟันหัวแบะเอาหรอก

“ผมไม่ได้มองนน” อยากจะส่ายหัวไม่เชื่อคำพูดมันอยู่หรอก แต่เมื่อผมสังเกตุดี ๆ กลับพบว่าซีซั่นไม่ได้มองไอ้นนอยู่จริง ๆ





แต่มันมองคนข้าง ๆ ไอ้นนต่างหาก

ไม่นะ… ไม่นะไอ้ซั่น…





“ไอดอล” ซีซั่นพูดออกมาทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากพี่คีณ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอและหันไปสบตากับไอ้นนเมื่อเห็นว่าซีซั่นกำลังขยับตัวนั่งวางศอกลงกับโต๊ะ ประสานมือไว้ด้านหน้า ท่าเดียวกับพี่คีณไม่มีผิด

“มึงทำไรเนี่ย เดี๋ยวก็ซวยหรอก”

“หึหึ” ซีซั่นยกมุมปากสองข้างขึ้นแสยะยิ้มพร้อมกัน ด้านพี่คีณเองก็รู้ตัวและใช้เพียงหางตามองกลับมาทั้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ดูท่าว่าวันนี้งานการของผมจะไม่เสร็จเอาง่าย ๆ เพราะมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาอยู่ตลอด แล้วคอยดูนะ แม่งจะต้องเกิดศึกระหว่างซีซั่นกับพี่คีณแน่ ๆ

“มึงมองไรวะ” นั่นไง กูว่าแล้วไม่มีผิด เตรียมหาหัวใหม่กลับบ้านได้เลยไอ้ซั่น!

“มองพี่นั่นแหละ” ไม่ใช่แค่ผมที่เบิกตารอฟังสิ่งที่ซีซั่นกำลังจะพูด ณนนเองก็กำลังลุ้นบทสนทนาไม่ต่างจากผม

“มองกู? อยากได้อะไรบนหน้ากูรึไง”

“อยากเป็นแบบพี่อ่ะ”

“ห่ะ! ”

“อะไรนะ! ”

“พ่อง!! ” คงไม่ต้องบอกว่าสามชีวิตจะงงงวยกันแค่ไหน เสียงอุทานที่แตกต่างดังออกมาจากพี่คีณ ณนน และตัวผมตามลำดับ อยากเป็นแบบพี่คีณ มึงผมยาวให้ได้เท่าเขาก่อนมั้ยไอ้ซั่นเอ๊ยยย

“อย่ามากวนตีน ถึงมึงจะบอกว่าเลิกจีบนนแล้วก็ใช่ว่ากูจะชอบขี้หน้ามึง” มองแวบเดียวผมก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วพี่คีณยังคงระแวงสุด ๆ ใครมันจะไปสบายใจหรือแฮปปี้กับคนที่ไล่จีบแฟนตัวเองแทบเป็นแทบตายกันวะ

“ผมไม่ได้กวน ตอนนี้พี่เป็นไอดอลผมเลย”

“เหอะ อิจฉากูก็พูด” พี่คีณส่ายหัวระอาอย่างสมเพช และเพียงเสี้ยววินาที คนข้าง ๆ ผมก็พยายามตีสีหน้าในแบบเดียวกัน แต่ประทานโทษ นี่มันดูน่าสมเพชมากกว่าจะไปสมเพชคนอื่น

“หึ ผมพูดมากไม่ได้หรอก วันนี้ต้องคีพลุค”

“น่าสงสารนะ จีบใครก็ไม่ติด วันหลังจะสอนให้เอามั้ยล่ะ”

“หึหึ ไม่จำเป็น” นี่มันจะส่งเสียง หึ หึหึหึ ไปถึงไหนวะครับ เป็นอะไรนักหนา กระดูกติดคอหรอ

“นั่นสินะ ของแบบนี้คงสอนกันไม่ได้” พี่คีณยกศอกตั้งฉากกับโต๊ะ วางคางลงกับกำปั้นของตัวเองแล้วยกยิ้มที่เท่กระชากใจแบบสุด ๆ คุณพระคุณเจ้า สมแล้วที่เป็นตัวท็อปของมหาวิทยาลัย นี่ถ้าพี่คีณยอมออกสื่อบ่อย ๆ หรือเล่นละครเมื่อไหร่ได้มีคนเลียจอแตกกันไปเป็นแถบ ๆ แน่ ๆ

“แค่เป็นตัวอย่างให้ก็พอ” ใครมันจะไปเข้าใจในสิ่งที่พูดได้เท่าตัวเอง และคงไม่มีใครรู้เช่นกันว่าซีซั่นกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยกแขนขึ้นมานั่งท่าเดียวกับพี่คีณอีกแล้ว ทั้งสองคนส่งสายตาดุ ๆ ออกมาปะทะกัน สายตาพี่คีณผมมองออกว่ากำลังหงุดหงิดกับซีซั่นเข้าจริง ๆ แต่สำหรับซีซั่นสายตาของมองเหมือนเด็กลองของที่พยายามเลียนแบบชาวบ้านเท่านั้น





คิดจะเลียนแบบพี่คีณ มีอะไรเท่าเขาบ้าง เอางี้ก่อน สมองมีเท่าเขามั้ย





“นี่พูดไว้ก่อนเลยนะ อย่าตีกัน ถ้าทะเลาะกันเมื่อไหร่เรามีเรื่องกันแน่” ณนนหันไปชี้นิ้วกายสิทธิใส่พี่คีณ พี่คีณไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับอะไรและทำเพียงลดระดับสายตาดุ ๆ ให้เบาลด ผมเองเมื่อเห็นแบบนั้นก็จำเป็นต้องหันมาปรามคนข้าง ๆ ตัวเองบ้าง

“มึงด้วย ถ้ายังอยากมีชีวิต งานกูจะไม่เสร็จก็เพราะมึงวุ่นวายไม่เลิกเนี่ยแหละ” เมื่อพูดจบผมก็พยายามที่จะสะกดจิตตัวเองอยู่กับงานให้มากที่สุด ตอนนี้ยังเหลือแค่จัดหน้าให้สวยงามและปริ้นท์รายงานบทสุดท้ายออกมาเท่านั้น เวลากำหนดส่งก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“คีณไม่ลดตัวลงไปทะเลาะกับใครหรอก”

“หึหึ เดี๋ยวผมปีนขึ้นไปเอง” ดูเหมือนว่าผมกับไอ้นนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ด้านผมเองพยายามที่จะนับหนึ่งถึงร้อยในใจและโฟกัสกับงานมากที่สุด แม้ว่าเสียงข้างตัวจะแว่วเข้าหูเข้ามามากแค่ไหนก็ตาม

“ตกลงคืออยากโดนตีนกูจริง ๆ ใช่มั้ย”

“เปล่า”

“แต่มึงกำลังกวนตีนกู”

“หึหึ หึหึหึ”

“หัวเราะแบบนี้เดินไปคุยข้างนอกกันสักแปบดีมั้ย”

“ผมไม่ได้กวนตีนพี่ มันเป็นคาเรคเตอร์”

“พยายามเปลี่ยนตัวเองเนอะ”

“พยายามอยู่”

“กูล่ะสงสารต้นแบบมึงจริง ๆ ” ผมไม่ได้ละสายตาออกจากจอแต่ก็พอจะรู้ว่าน้ำเสียงของคีณมันเต็มไปด้วยจิตใจที่เวทนามากแค่ไหน นี่ถ้าพี่คีณเห็นท่าทางตั๊ก บริบูรณ์ก่อนหน้าคงได้หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดแน่ ๆ

“อย่าสงสารตัวเอง”

“มึงหมายความว่าไง”

“ผมจะเปลี่ยนไปเป็นคนคูล ๆ แบบพี่”

“เรื่องเหี้ยอะไรล่ะ”

“ไม่เหี้ย”

“เหี้ยสิวะ”

“เห้อ… พี่อย่าชวนผมคุยได้มั้ย จริง ๆ ผมควรจะพูดน้อยตามคาเรคเตอร์วันนี้น่ะ”

“กูไม่ได้ชวน มึงพูดของมึงเอง”

“หรือว่าจริง ๆ ถ้าจะเอาพี่เป็นไอดอลต้องพูดมาก อือ นั่นสินะ ถ้าพรุ่งนี้ผมจะเป็นแบบพี่ก็คงต้องพูดมากกว่านี้หน่อย”

“ไอ้เวรนี่! ”

“ครับพี่”





“โว้ยยยยยยย! จะทำงานโว้ยยยยย!! ”

“ไอ้สัด!! คนจะทำงาน!! ” ไม่น่าเชื่อว่าความสนิทสนมของผมกับณนนจะทำให้เราสองคนลุกขึ้นยืนและตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อม ๆ กัน อ้าว… ไม่ใช่เพราะความสนิทสนมหรอ งั้นก็คงเป็นเพราะเสียงงุ้งงิ้ง ๆ ตีกันอยู่ในหูตอนนี้ ใครมันจะไปทนไหว ดูไอ้นนสิ หลังจากที่ตะโกนออกมาเป็นเสียงแรกมันก็ท้าวเอวข้างนึงมองหน้าพี่คีณอย่างคาดโทษ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหลังบ้านของคู่นี้นักหรอกแต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้นนหัวเสียแล้วยืนค้ำหัวพี่คีณแบบนี้ ส่วนผมแค่ยืนท้าวเอวมันคงจะน้อยไประดับนี้มันต้องคว้าติ่งหูแล้วลากตัวการออกมาจากสถานที่เกิดเหตุ

“อ...โอ๊ยยยย”

“รำคาญ จะทำงาน เข้าใจป่ะ” ผมปล่อยมือออกจากหูของซีซั่นหลังจากที่ลากมันอย่างถูลู่ถูกังมาจนถึงหน้าคณะ เจ้าตัวยกมือขึ้นลูบหูรัว ๆ แต่ก็ไม่ได้เบะหน้าเบะตาร้องโอดโอยมากความอย่างทุกทีที่เจ็บตัว ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ลืมดึงหน้าดึงตาคีพลุคปลอม ๆ อีกนะมึง

“เข้าใจ แต่...”

“ไม่มีแต่ ถ้าจะกลับเข้าไปข้างในห้ามพูดอีกเด็ดขาดเข้าใจมั้ย”

“พูดน้อย”

“ไม่ใช่พูดน้อย ห้ามพูดเลย เอางี้ จนกว่าจะงานกูจะเสร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามอ้าปากออกมาอีกเด็ดขาด ไม่งั้นมือเย็นของมึงกับกูเป็นอันจบ” ผมลั่นวาจาออกไปอย่างจริงจัง ซีซั่นได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเซ็ง ๆ ยืนล้วงกระเป๋าเก๊กหน้าขรึมให้ดูเหมือนหงุดหงิดจนน่าเกรงขาม แต่นอกจากผมจะไม่เกรงกลัวแล้วยังเอื้อมมือไปดีดกระโหลกมันเต็มแรงอีกทีด้วย

“โอ๊ะ! ”

“อย่าดื้อกับกู”

“.............” จู่ ๆ คนที่พยายามตีสีหน้าเข้มมาทั้งวันก็ฉีกยิ้มออกมาซะดื้อ ๆ ไอ้บ้าตรงหน้าผมไม่พูดอะไรจริง ๆ แต่ก็บิดตัวม้วนยิ้มกว้างกระทืบเท้าปัง ๆ แบบที่ผมไม่ทันตั้งตัว คงไม่มีอะไรจะแทนความรู้สึกของผมได้ดีไปกว่าการส่ายหัวใส่ซีซั่นที่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังเป็นคนเดิมเสมอ





ต่อให้ภายนอกเปลี่ยนไปยังไง ข้างในมันก็ยังเป็นไอ้บ้าของผมอยู่ดี…





เหี้ย!





พูดไรไอ้เทม ใครเป็นของมึง!





ซีซั่นมองตามแผนหลังคนที่เดินกลับไปด้วยอาการที่ยังอายม้วนไม่เลิก ใครจะไปคิดว่าชาตินี้จะได้ยินน้ำเสียงเอ็นดูแบบนั้นจากเทม ยิ่งเป็นเรื่องดื้อไม่ดื้อที่ซีซั่นเพิ่งจะซึมซับมาจากอีกคู่บนโต๊ะแล้วด้วยล่ะก็ จะทนยืนแข็งทื่อไม่แสดงการยังไงได้ไหว คนที่ไม่แสดงอาการดีใจอะไรออกมาสู่สาธารณชนก็มีแต่คนบ้าสติไม่ดีเท่านั้นแหละ





เชื่อเถอะ แบบซีซั่นเนี่ย ปกติที่สุดแล้ว





“เทม! ไอ้เทม! ” ซีซั่นที่กำลังมองหลังเทมเพลิน ๆ ต้องขมวดคิ้วแปลกใจและหันไปมองเสียงไม่คุ้นหูที่ดังมาจากด้านหลัง แต่ภาพที่เห็นก็ยังไม่ได้ขยายความและอธิบายตัวตนที่มาของเสียงสักเท่าไหร่ ผู้ชายคนนั้นเพิ่งถอดหมวกกันน็อคเต็มใบออกจากหัวและวางไว้กับเบาะรถบิ๊กไบค์บีเอ็มดับบลิว เขาสะบัดเส้นผมเล็กน้อยก่อนจะเดินเฉียดไหล่ซีซั่นเข้าไปทักทายเทมที่หันมายืนยิ้มรอตั้งแต่ได้ยินเสียง





คิดว่าเท่หรอวะ สู้สกู๊ปปี้ไอกูได้ป่าว!!





“พี่เฟรน! มาไงวะพี่”

“ตามมาเอาของจากไอ้คีณว่ะ มึงเป็นไง”





เทมที่ยิ้มดีใจเหมือนเจอญาติผู้ใหญ่น่ะไม่เป็นไรหรอก

แต่มีคนนึงที่น่าห่วง ไอ้คนที่เห็นฉากเฟรนยกมือลูบหัวเทมคนดีคนเดิมจนแทบจะเสียสติ โชคยังดีที่เอามือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วเอามายัดใส่ปากเพื่อปิดเสียงโวยวายของตัวเองไว้ได้ทัน แม่งเป็นใคร อาจเอื้อมยังไงมาแตะเทมนทีของซีซั่นวะ!!





‘ถ้าไม่อยากให้ซีซั่นโมโห อย่ามายุ่งกับของของซีซั่น ยูโนววววว? ’







Talk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 11 ใจอ่อน ปากแข็ง

“พี่ทำงานเป็นไงบ้างวะ”

“เรื่อย ๆ ว่ะ แต่ว่าจบโปรเจคนี้แล้วจะลาออกไปทำกับไอ้คีณ”

“จริงดิ”

“เออ พ่อมันมาชวน แล้วกูก็เบื่อ ๆ บริษัทเก่าด้วยเลยว่าจะลองดู”

“โอกาสมาแล้วก็ต้องคว้าไว้แหละพี่ ช่องพ่อพี่คีณกำลังรุ่งขนาดนั้น”

“จริง ๆ กูก็เกรงใจว่ะ แต่ถ้ามัวเกรงใจก็คงไม่มีแดก”

“ไม่เห็นต้องคิดเยอะ ทางรุ่งกว่าเห็น ๆ ”

“กูกลัวจะไปทำเขารุ่งริ่งอ่ะดิ”

“โหย นี่ใคร นี่พี่เฟรนของไอ้เทมนะเว้ย”

‘พี่เฟรน’ ชื่อเสียงเรียงนามของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมตอนนี้ ระดับความสนิทสนมกับผมอยู่ในระดับเจ็ดเต็มสิบ พี่แกเป็นเพื่อนสนิทแกงค์เดียวกับพี่คีณแฟนไอ้ณนนนั่นแหละครับ เลยไม่ต้องห่วงเรื่องบุคลิกหน้าตาที่กินขาดไม่แพ้กัน แถมยังอยู่ในสถานะรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันกับผมด้วย พอได้เป็นดองกันอย่างเป็นทางการแล้ว? เลยมีโอกาสได้คุยกันบ่อย ๆ แต่พักหลังมานี่พี่เฟรนทำงานแทบจะเจ็ดวัน นานทีปีหนจะมีโอกาสได้เจอกันสักครั้งนึง และการเจอกันโดยบังเอิญในวันนี้ก็ต้องถือเป็นเรื่องราวดี ๆ

“ว่าแต่มึงเหอะ เรียนเป็นไง”

“ช่วงนี้งานเยอะมาก นี่โชคดีนะที่วันนี้เสร็จทันเวลา ไม่งั้นโดนหักคะแนนอีกแน่” ผมบ่นอุบโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น กว่าจะปิดจ็อบวันนี้ได้ก็เรียกว่าวินาทีสุดท้าย ไอ้งานน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ที่ดึงเวลามันเป็นเรื่องอื่นมากกว่า

“เรียน ๆ ไปเหอะ จบมาทำงานเหนื่อยกว่าเยอะ”

“ไม่ต้องมาขู่เลย”

“นี่กูไม่ได้ขู่นะ ดูกูดิ พักนี้แม่งไม่ได้ไปกินเหล้าเลย”

“หรอ แล้วขอบตาพี่นี่มาได้ไงวะ” ผมใช้นิ้วชี้เข้าที่ขอบตาดำคล้ำของเฟรน ยื่นตาเข้าไปมองใกล้ ๆ แล้วเห็นแต่ความคล้ำเหมือนคนเพิ่งสร่างเหล้าไม่ก็...

“มั่ว นี่กูอดนอน” นั่นแหละ อดนอน

“แล้วเมื่อไหร่จะเลี้ยงเหล้าผมอีกวะ” ผมใช้แรงกระแทกไหล่พี่เฟรนเพื่อหวังผล ตั้งแต่กินเหล้าฟรีมาในชีวิตไม่เคยมีใครใจถึงเรื่องเหล้าได้เท่าพี่เฟรนอีกแล้ว พี่แม่งกินอย่างกับน้ำเปล่า สั่งรัวเหมือนราคาเท่าชาเขียว

“ให้กูหาเวลาว่างได้ก่อนมั้ยล่ะ ห่ะ! ” เรียวนิ้วอรหันต์ดีดเป๊ะเข้าที่เหม่งผมจัง ๆ แต่ผมก็ยิ้มรับกรรมแต่โดยดี เผื่อฟลุ๊คนี่หว่า งานเสร็จ เหล่าฟรี มีเพื่อนกิน ของดีขนาดนี้มีที่นี่ พักหลังมานี่ไอ้นนก็โดนพี่คีณคุมตัวอย่างกับค่ายกักกัน ไอ้สองสาวก็กินหยุมหยิมแล้วเมา ชายแกร่งอย่างผมเลยห่างหายจากวงการนี้มานานนับเดือน

“แล้วพี่จะว่างวันไหน”

“ถ้าเร็ว ๆ นี้ก็มีแค่… วันนี้ ตอนนี้ มึงว่างให้กูเลี้ยงป่ะล่ะ” แววตาของผมวาวและเป็นประกายขึ้นทันที ทำไมคิดไม่ทันวะ ว่าถ้าพี่เฟรนมาหาพี่คีณและนั่งคุยอยู่เป็นชั่วโมง ๆ ได้ก็เท่ากับตอนนี้พี่เฟรนว่างที่จะเลี้ยงเหล้าผมได้ ถึงตอนนี้แสงสว่างนอกตัวตึกจะยังไม่หมดไปแต่ก็”ม่ได้หมายความว่าคนเราจะเมาตั้งแต่หัววันไม่ได้นี่หว่า

“ว่างสิพี่”

ปั้ง!!!

“ไม่ว่าง!! ” เสียงดังปังใหญ่ทำเอาใจผมแทบหล่นไปยันตาตุ่ม จู่ ๆ ผีสางนางไม้ที่นั่งสิงอยู่กับโต๊ะก็โพร่งขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้มีใครเชิญให้พูด จะเป็นใครไปได้ล่ะครับ นอกจากเจ้าเวรเจ้ากรรมคนเดิมที่ตามติดทุกฝีเก้า และนั่งเสียมารยาทฟังผมกับพี่เฟรนคุยกันมาตั้งแต่แรก ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ใต้คณะเช่นเดิมระหว่างที่คนอื่นแยกย้ายกันกลับจนหมด ไม่ได้ติดอะไรหรอกเพียงแต่คุยกับพี่เฟรนจนติดพันเท่านั้นเอง





ส่วนมนุษย์อีกตัว นั่งเงียบเป็นโขดหินมาตั้งนานก็เพิ่งจะส่งเสียงออกมานี่แหละ

สงสัยมดกันตีน





“อะไรของมึง ยุ่ง”

“ลืมรึไง ว่าพูดอะไรไว้” ซีซั่นเอ่ยออกมาเสียงเรียบ สายตาเฉียบคมมองมายังผมสลับกับพี่เฟรน นี่อยากจะปรบมือให้แอคติ้งในชั่วโมงนี้จริง ๆ ทั้งสายตา ทีั้งน้ำเสียง แม่งดูเป็นขาโหดสมจริงไปหมด เหมือนกับว่ามันกำลังโกรธผมจนแทบจะฆ่าแมวตายด้วยมือเปล่า

“ไม่ลืม แต่ว่าเอาไว้ก่อนได้มั้ย วันนี้กูอยากไปกับพี่เฟรน” ไม่ต้องคิดเยอะ ระหว่างมื้ออาหารธรรมดากับซีซั่นที่ผมน่าจะได้เห็นหน้าอยู่อีกหลายวัน กับขวดเหล้าและพี่เฟรนที่ผมนาน ๆ เจอที ไม่ต้องคิดเยอะเลยว่าผมจะเลือกอะไร

“เทม! ” ซีซั่นลุกขึ้นยืนใช้สองแขนยันกับพื้นโต๊ะพร้อมกับขุ้นเสียงใส่ผม ยอมรับเลยครับว่านี่เป็นอีกมุมนึงของซีซั่นที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาของเขาเริ่มแข็งและจริงจังขึ้นแถมมองพี่เฟรนเหมือนจะฆ่าจะแกงซะให้ได้ ถ้านี่เป็นการแสดงก็คงเป็นการแสดงที่เหมือนเสียจนหัวใจของผมมีปฏิกิริยาตอบกลับ หรืออันที่จริงผมอาจจะลืมคิดไปว่าซีซั่นนั่งรอผมมาทั้งวันโดยไม่ปริปากบ่น ผมไม่ควรเทมันแบบนี้รึเปล่า





ไร้สาระว่ะเทม จะมาหวั่นใจอะไรกับการที่มันแกล้งโกรธวะ

ช่างมันดิ!

เออ ช่างมันดิ!





“มึงกลับไปเลย กูไปกินกับพี่เฟรนดีกว่า” ผมทำปากแข็งทั้งที่ในใจตอนนี้ไม่ได้อยากจะปฏิเสธให้ซีซั่นเสียน้ำใจสักเท่าไหร่ แต่คำว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอ ผมเลยต้องลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายเหมือนไม่ได้แคร์อะไรเลย





เสียอะไรไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้





“จะดีหรอมึง นัดกับ… กับซีซั่นไว้ก่อนไม่ใช่หรอ” ถึงแม้ว่าพี่เฟรนจะลุกขึ้นตามผมแต่ก็ยังคงดูกังวลกับคนที่พยายามอัดอารมณ์เอาไว้ข้างในด้วยการพูดน้อย ดูท่าพี่เฟรนก็คงรู้ว่าผมกับซีซั่นอยู่ในสถานะไหน และผมต้องประสบพบเจออะไร เป็นเพื่อนสนิทพี่คีณขนาดนี้ แถมเมื่อก่อนก็ฟ่าฟันเรื่องกันซีซั่นออกไปจากไอ้นนมาด้วยกัน มีหรอที่พี่คีณจะไม่เล่า

“ไม่เป็นไรหรอกพี่” ผมดึงข้อศอกพี่เฟรนแล้วก็ลากให้เดินมาด้วยกัน พี่เฟรนยังคงขาแข็งและหันไปมองซีซั่นอย่างชั่งใจ ช่างมันเถอะ ที่เห็นว่าซีซั่นกำมืออยู่นั่นอาจจะแค่คันมือก็ได้ ส่วนหน้า อาจจะดึงนานเกินไปจนแสดงอารมณ์ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว

“แน่นะมึง”

“แน่ดิ”

“แต่กูว่ามันไม่โอเคเลยว่ะ” พี่เฟรนกระซิบที่ข้างหูผมระหว่างที่เราสองคนเริ่มเดินออกมา ผมเหลือบตากลับไปมองด้านหลังแล้วก็ส่ายหัวตอบกลับพี่เฟรนเหมือนกับไม่ได้มีเยื่อใยกับสายตาอีกคู่ที่มองมาเลย ทั้ง ๆ ที่ในใจแม่งสั่นเหมือนเจ้าเข้า ทำไมผมถึงต้องกลัวมันโกรธเข้าจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ปากพยายามพ่นว่าไม่ได้รู้สึกหรือแคร์อะไร ทำไมสมองมันไม่เรียนรู้ที่จะสามัคคีกับปากวะ!

“นั่นก็เรื่องของมัน”

“มึงแน่ใจนะ”

“เออ พี่อย่าเซ้าซี้ดิ” ผมดึงพี่เฟรนใช้เพิ่มความเร็วในการเดินมากขึ้น แต่พี่แกก็ยังเชื่องช้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว

“นี่ กูขอพูดไรอย่างได้มั้ย”

“ไรอ่ะ ถ้าจะมาเบี้ยวไม่เลี้ยงผมตอนนี้ไม่ทันแล้วนะ บอกไว้ก่อน”

“มึงแม่งเหี้ยฉิบหาย”

“เอ้า! ”

“มันนั่งรอมึงมาตั้งนานไม่ใช่หรอวะ เอางี้จริงดิ” คราวนี้พี่เฟรนหยุดยืนนิ่ง ผมพยายามดึงเท่าไหร่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะตามไปง่าย ๆ

“นี่พี่พวกไหนวะเนี่ย จะอยู่ทีมผมหรือทีมใคร”

“ทีมมึงนั่นแหละ แต่กูว่า...”

“เป็นทีมผมต้องทำตามใจผมดิ แบบนี้ดีแล้ว เผลอ ๆ มันอาจจะตัดใจวันนี้ไปเลยก็ได้” อยากจะตบปากตัวเองสักสิบที ไม่ใช่เพราะพูดประโยคเมื่อครู่ออกไปหรอก แต่เพราะว่าปากทรยศดันส่งเสียงอ่อนเหมือนไม่มีความมั่นใจอะไรเลย

“มึงอยากให้เป็นแบบนั้นหรอวะ”

“อ...เออดิ”

“แน่ใจนะ...น้องรัก” วงแขนกว้างของพี่เฟรนพาดทับลงกับไหล่สองข้างของผม พี่เฟรนออกแรงดึงตัวผมเข้าไปจนเราสองคนสามารถพูดคุยกระซิบกันได้ง่าย ๆ

“น...แน่ใจดิ”

“แต่มึงดูไม่มั่นใจเลย”

“พี่เอาอะไรมาพูด”

“ความจริงไง คนอย่างมึงไม่ยอมเสียหน้าง่าย ๆ แน่… แต่กูมองแปบเดียวก็รู้แล้วว่าปากแข็ง”





บ้า! ใครเขาปากแข็งกันวะ ไม่มี๊!





“ผมปากแข็งเรื่องอะไร พี่มั่วว่ะ” เพราะกลัวสายตาจับผิดผมจึงพยายามเดินหนี แต่แขนของพี่เฟรนยังอยู่ที่เดิมและเจ้าตัวก็กำลังดึงร่างผมให้ช้าลงในทุก ๆ ก้าว แม่งเอ๊ยยยย! แบบนี้เขาเรียกทีมเดียวกันตรงไหนวะ!

“กูว่ากูไม่มั่วนะ”

“โคตรมั่ว”

“จริงหรอวะ… ที่ว่ามึงไม่ได้ปากแข็ง”

“เออ ผมเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้วพี่ก็รู้ มีเรื่องอะไรที่ผมจะต้องปากแข็ง” ผมยืดอกยกยิ้มแสดงให้พี่เฟรนเห็นความแมน ๆ คุยกันที่มี แต่คนเป็นรุ่นพี่ก็ดันส่ายหน้ารัวแล้วหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง อย่าหันไปมองบ่อยสิวะ! ปล่อยแม่งแห้งเหี่ยวตายไปตรงนั้นแหละ

“ก็เรื่องที่มึงใจอ่อนไง”

“............! ” เอาล่ะ ขอเชิญทุกท่านจิตนาการถึงใบหน้าของผมที่มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่าน ปากแข็งก็ว่าแย่แล้ว ใจอ่อนอะไรกันวะ บ๊าาาาา บ้าาาาา ไม่มี๊ทางงง

“ดูทำหน้า”

“ก็พี่พูดเรื่องไม่จริงนี่หว่า”

“นี่ไอ้น้อง… พี่จะบอกอะไรให้ฟังนะ” พี่เฟรนดึงแขนเข้าหาตัวจนผมแทบจะซุกเข้าไปอยู่ในอกเขา วินาทีนี้ผมไม่กล้าสบตาให้พี่เฟรนจับผิดหรือใส่ความใด ๆ ได้อีก สิ่งที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นการเบิกตามองตรง ๆ ไปข้างหน้า

“หึ ไม่ฟัง”

“แล้วแต่นะ แค่อยากจะบอกว่าแค่มึงคอยเหลือบตามองมันตลอดเนี่ยมันก็ชัดมากแล้วเว้ย นี่ยังไม่รวมที่มึงดูจิตตกตอนมันโมโหอีกนะ… โอโห้ ใจแข็งสุด ๆ ไปเลยเนอะ”

“เฮ้ย ผมป...ผมเปล่านะเว้ย” มีเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมสามารถยืนยันกับตัวเองว่าไม่มีความแน่ใจอะไรเลย ครั้งล่าสุดก็อาจจะตอนที่ออกจากห้องสอบด้วยสมองโล่ง ๆ ส่วนครั้งนี้สมองผมไม่ได้โล่งแต่กลับเต็มไปด้วยภาพของตัวเองตามที่พี่เฟรนกำลังพูด





ใช่ ผมมองมัน

ใช่ ผมกำลังจิตตกในส่วนลึก

และ ใช่ ผมกำลังปากแข็ง!





“ปฏิเสธตัวเองไปเหอะมึง กูจะรอดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”

“ก็จนกว่ามึงเลิกยุ่งกับผมนั่นแหละ”

“แน่ใจ”

“เออ พี่จะเอากับผมนักหนาวะเนี่ย”

“ก็เปล่า กูจะได้แน่ใจว่ามึงจะไม่เสียใจที่ทิ้งซีซั่นนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น”

“ห่ะ! ” ผมดันตัวเองออกจากพี่เฟรนแล้วรีบหมุนตัวกลับไปมองทันที แต่พอเห็นว่าไอ้คนถูกกล่าวถึงยืนมองด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในระยะห่างไม่เกินสองเมตรก็รู้ทันทีว่าโดนพี่เฟรนเล่นเข้าให้แล้ว ไหนร้องไห้วะ หน้ามันนี่ถ้ากำมีดอยู่ก็คงฆ่าคนตายไปแล้ว

“ไงเทม ตกลงจะไปกับมันจริง ๆ หรอ” ผมที่หันมาปะทะกับซีซั่นด้วยความไม่ตั้งใจต้องหยุดกลืนน้ำลายตั้งสติเมื่อเห็นว่าตอนนี้ไอ้บ้าที่ผมเคยรู้จักกำลังใช้สายตาทิ่มแทงไปยังพี่เฟรน ถ้าในช่วงเวลาปกติซีซั่นเป้นคนบ้าในประเภทสติเสียสมองไม่เต็ม ตอนนี้ซีซั่นก็เหมือนคนบ้าที่พร้อมจะอาระวาดไล่ฆ่าคนทั้งเมือง

“เอ่อ….” ผมไม่กล้าจะตอบออกไปในทันทีเพราะใจมันดันลังเลขึ้นมาโดยกระทันหัน ถ้าผมเปลี่ยนใจไปกับซีซั่นก็คงจะเรียกได้ว่าเสียหน้าฉิบหาย แถมยังโดนข้อหาใจอ่อนปากแข็งจากพี่เฟรนแน่ ๆ แต่ถ้าผมยืนยันจะไปกับพี่เฟรนจะโดนฆ่าตายคาคณะมั้ยวะ!

“เออ! ”





เหี้ย! สาบานได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความคิดผม!





“งั้นหรอ”

“เออ เทมจะไปกับกู” สิ้นเสียงพี่เฟรนผมก็ต้องอึ้งตาตั้งเมื่อรู้สึกถึงความเย็นเหนอะหนะแปะมาข้างแก้ม นึกครึ้มอะไรถึงได้ก้มลงมาหอมแก้มผมง่าย ๆ เหมือนหอมแก้มหมาแบบนี้วะ นี่ไม่เกรงอกเกรงใจความสัมพันธ์พี่น้องตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลยหรอ





อกไอ้เทมจะแตก!





ผลั่ก!!







“โอ๊ยยยย”

“เฮ้ย! ”

“แต่กูไม่ให้ไป! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังลั่นตามฝ่าเท้าทะลุมิติมาติด ๆ เมื่อครู่ผมแทบมองไม่ทันว่าซีซั่นถีบโดนพี่เฟรนเข้าตรงจุดไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนถูกกระทำล้มลงไปเล่นสไลด์เดอร์กับพื้น ส่วนตัวผมเองได้แต่ยืนกระพริบตาปริบ ๆ ให้กับซีซั่นที่ถกขากางเกงสแคลขึ้นมาเพื่อยันโครมได้ถนัด





ขอคืนคำทั้งหมดที่เคยพูดว่าซีซั่นแสดงได้ไม่สมจริง






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3

“จะกินข้าวดี ๆ หรือจะกินทั้งน้ำตา”





ให้ทายว่าใครเป็นเจ้าของประโยคนี้ ถ้าคุณทายว่าผมนั่นเท่ากับคุณพอจะรู้จักนิสัยผมบ้าง แต่ถ้าคุณทายว่าเป็นซีซั่นนั่นแสดงว่าคุณยังไม่รู้จักเขาดีพอ และแน่นอนว่าในเคสนี้นอกจากคุณจะรู้จักซีซั่นเพียงด้านเดียว เวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำให้ผมได้รู้จักซีซั่นเลยเช่นกัน

“กูไม่กิน พากูไปส่งห้อง”

“ทำไมไม่กิน”

“ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกิน แค่เลือกมาว่าจะไปกินร้านไหน”

“เอ๊ะ! ก็คนมันไม่อยากกินมั้ยวะ”

“อยากไปกินกับไอ้เฟรนมากกว่าสินะ”

“โว้ยยยยย! จะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย! ” ผมแหวดเสียงออกมาเพราะความอดทนในเวลานี้เริ่มจะไม่เหลือ ใครว่าความวุ่นวายมันจะจบตรงที่พี่เฟรนโดนถีบกระเด็นล่ะครับ พอพี่แกโดนตีนมหาภัยก็เกิดอารมณ์อยากเอาคืนด้วยการปั่นหัวซีซั่นจนเละก่อนจะควบบิ๊กไบค์กลับไปแบบหล่อ ๆ ส่วนเจ้าของตีนอย่างซีซั่นก็ปล่อยให้ตัวเองโดนปั่นฉุนเฉียวตามเกมของพี่เฟรนทุกย่างก้าว และหลังจากนั้นคนรับเวรรับกรรมมันจึงเป็นผม

“แค่นี้ทำเป็นโวยวาย เหอะ!! ” ซีซั่นสะบัดเสียงเหอะใส่ผมดังลั่นรถ ปรายตามองราวกับผมเป็นคนผิดนักหนา ผมน่ะหมดอารมณ์หิวตั้งแต่ใครบางคนถีบพี่เฟรนล้มที่คณะแล้ว แต่มันก็ยังดึงดันที่จะลากผมขึ้นรถมาโดยไม่สนความสมัครใจสักคำ อย่างว่าแหละครับ ผมเห็นจังหวะการกระโดดถีบแล้วก็เกรงว่าถ้าไม่ยอมมาด้วยจะกลายเป็นศพอยู่ตรงนั้น

“ก็มึงมันเยอะอ่ะ กูบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรไง”

“จะไม่มีอะไรได้ไง มันพูดขนาดนั้นจะให้เราคิดว่าอะไรวะเทม”

“นั่นมัน...”





“ระวังให้ดีนะซีซั่น มึงเผลอเมื่อไหร่กูไม่อยู่เฉย ๆ แน่ ...แล้วมาวัดกันว่าใครจะได้เทมไป”





นั่นมันไอ้พี่เฟรนมันกวนตีนมึงโว้ย!!





ผมรู้จักพี่เฟรนมานาน น้ำเสียง ท่าทางและทุกอย่างที่พี่แกทำมีแค่ความนึกสนุกและอยากจะทำให้ซีซั่นคลั่งตายเท่านั้น ความเป็นได้ที่พี่เฟรนจะจริงจังกับคำพูดมีเพียงแค่หนึ่งในร้อย แถมไอ้ช็อตที่จุ๊บผมเหมือนจุ๊บหมาสีหน้าหลังจากนั้นก็หยะแหยงอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลถึงผมจะเห็นและเข้าใจ แต่ซีซั่นมันหน้ามืดตามัวและไม่เข้าใจอะไรเลยไงครับ

“นั่นมันประกาศว่าจะจีบเทมแข่งกับเรา”

“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก พี่เฟรนเนี่ยนะจะจีบกู มึงตั้งสติก่อนเลยซีซั่น” ผมยกสองมือขึ้นมาพยายามห้ามปรามอารมณ์คนข้าง ๆ ที่กำลังจะพุ่งปรี้ดขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าร่างคุณชายมาดเข้มพูดน้อยเมื่อกลางวันทำให้ผมประหลาดใจมากแล้ว ไอ้ร่างจิ๊กโก๋ซอยแปดที่กำลังควบพวงมาลัยรถยนต์อยู่นี่ยิ่งกว่าทำให้ผมประหลาดใจ เสื้อเชิ้ตขาวที่เคยเรียบร้อยถูกดึงขึ้นมาจนยับยู่ยี่ จากที่พยายามดึงหน้าให้เรียบเฉยตอนนี้มีเพียงรอยยับย่นเคร่งเครียดและพร้อมจะอาระวาดให้โลกแตกได้ทุกเมื่อ





ขับรถมาคงจะตั้งใจให้ดูเป็นคุณชายสินะ แต่ตอนนี้หน้าแม่งเหมือนโจรขโมยรถคุณชายมากกว่า





“หึ ไม่เห็นสายตาที่มันมองตัวเองรึไง”

“เห็น แล้วไงวะ”

“คิดว่านั่นมันมองเล่น ๆ รึไงวะ”

“ก็ใช่ไง นั่นพี่เฟรนนะเว้ย กูรู้จักมานานแล้ว มึงอย่ามางอแงไม่เข้าเรื่องได้ป่ะ”

“ไม่ได้งอแง”

“ไม่งอแงแล้วเป็นอะไรนักหนาวะ”

“หึง! หวง! แล้วก็หึง! ” เสียงตะโกนดังก้องตัวรถ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่และมองมือสองมือของซีซั่นอย่างระแวดระวัง ถ้าเกิดฟิวส์ขาดหักพวงมาลัยพาผมเข้าไปคุยใต้รถสิบล้อจะทำไง หึงเนี่ยนะ… คนหึงเขามีอาการเป็นแบบนี้กันหรอวะ

“หึงเหี้ยไร”

“เออ หึงเหี้ย ๆ เลย”

“ไร้สาระ จะมาหึงกูทำไม”

“แล้วทำไม เราไม่มีสิทธิหึงเทมกับมันรึไง! ”

“แล้วยังไง มึงกับกูยังไม่ได้เป็นอะไรกันป่ะ”

“เดี๋ยวก็เป็นแล้วมั้ยอ่ะ”

“ไอ้เหี้ยยยย! ใครให้มึงมั่นใจขนาดนั้นวะ! ”

“............” คราวนี้ซีซั่นไม่โต้ตอบทั้งที่ใบหน้ากำลังแดงกร่ำด้วยความโมโห แต่สายตาคู่นั้น

กลับดูนอยด์แปลก ๆ ในแบบที่ผมไม่แน่ใจ สองมือหนาเริ่มกำพวงมาลัยรถแน่นขึ้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์

“จะโวยวายอะไรนักหนา สุดท้ายกูก็มากับมึงป่ะวะ” ถึงคราวที่ผมจะต้องมองออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ บ้าง โชคดีที่มันไม่ได้เอาความโมโหไปลงตีนขวาเร่งสปีดความเร็วท้านรกแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเขาทำกัน ถ้าถามว่าผมโกรธมั้ยที่ซีซั่นทำแบบนั้นกับพี่เฟรนแล้วยังมาทำกิริยามารยาทผีสิงแบบนี้ใส่ผมอีก ลึก ๆ มันก็อยากจะโกรธอยู่หรอกครับ… ติดอยู่ที่ว่า…

“ถ้าเราไม่ถีบมัน เทมก็ไปกับมันอยู่ดี ไอ้ที่เรานั่งรออยู่ทั้งวันมันไม่มีความหมายเลยไม่ใช่หรอ”





เออ แม่ง กูผิดเองอ่ะ ไม่โกรธก็ได้





“กูจะไม่พูดอะไรแล้วในเมื่อมึงไม่ฟัง ขี้เกียจเถียง” ผมพยายามปัดความผิดของตัวเองด้วยการหันไปมองถนนข้างทาง จะขับพาไปกินอะไรที่ไหนก็ไปเถอะ ณ จุดนี้ไม่จอดข้างพงหญ้าฆ่าผมตายก็พอ

“ไม่มีบ้างเลยหรอเทม” จู่ ๆ น้ำเสียงทุ้มนุ่มสไตล์คุณชายแบบเมื่อกลางวันก็กลับมาอีกครั้ง ซีซั่นค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงก่อนจะจอดรถเทียบฟุตบาทก่อนจะถึงแยกไฟแดงด้านหน้าเพียงนิด โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีพงหญ้าข้างทางเป็นที่อำพรางศพผม

“หมายถึงอะไร” ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่คนพูดสื่อความเท่าไหร่นัก เขาดึงเบรคมือปล่อยทุกอย่างและทิ้งตัวพิงกับเบาะ ผมไม่รู้ว่าจะเชื่อสีหน้าจริงจังตอนนี้ได้แค่ไหน เพราะเมื่อครู่เขาพึ่งจะโวกเวกโวยวายอย่างกับเป็นไบโพล่า

“หลายวันที่ผ่านมา ใจอ่อนให้เราบ้างไม่ได้เลยหรอ”

“คงไม่… ไม่มั้ง” ผมยกสองแขนกอดอกตอบออกไปทั้งที่ในใจมันมีคำตอบอีกแบบ หัวใจผมมันกำลังเต้นบอกว่าอันที่จริงบางส่วนของหัวใจได้รับคนแบบซีซั่นเข้ามาเป็นรอยยิ้มในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วหัวใจนั้นก็ไม่ใช่อวัยวะที่เปล่งเสียงตอบออกไปอยู่ดี

“เสียใจนะเว้ย… วันนี้โคตรเสียใจเลยว่ะ”

“...........”

“เราพยายามเปลี่ยนตัวเองทั้งที่รู้ว่ามันตลกในสายตาเทม”

“...........”

“อึดอัดนะที่ไม่เป็นตัวเอง แต่อึดอัดมากกว่าที่สุดท้ายแล้วเหมือนว่าสิ่งที่เราทำลงไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

“...........”

“ต้องให้เป็นแบบไหนหรอ เทมถึงจะชอบเราบ้าง สนใจเราแบบที่สนใจคนอื่นบ้าง”

“...........”

“...........” หลังจากที่ผมนิ่งเงียบมานาน ซีซั่นจึงเริ่มเงียบบ้าง ภายในรถมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ดังสลับกับเสียงการจราจรภายนอก ข้างในผมมันเหลวไปกับคำพูดพวกนั้นหมดแล้ว เหมือนถูกอีกฝ่ายโยนความผิดเข้ามาและผมเองก็ดันอ้าแขนรับไว้เต็ม ๆ

“ซีซั่น...คือ...”

“ไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ ใช่มั้ยเทม ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ช่วงเวลาที่เราอยู่ใกล้กัน… ระหว่างไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยใช่มั้ย แล้วเราก็ยังเป็นแค่คนที่น่ารำคาญใช่รึเปล่า” ตอนนี้เหมือนผมโดนจี้จุดและอ่านความในใจ ใช่ว่าสิ่งที่ซีซั่นพูดออกมามันถูกต้อง แต่รูปประโยคและเนื้อความมันใกล้เคียงกับคำพูดที่ผมมักจะบอกตัวเองอยู่บ่อย ๆ





ไอ้บ้านี่น่ารำคาญ พูดไม่รู้เรื่อง ใครจะไปรู้สึกอะไรกับมันก็บ้าแล้ว

และมันก็เป็นเพียงสิ่งที่มันพยายามบอกตัวเอง

แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่หัวใจไม่เคยบอกผม





“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกเว้ย… คือ...”

“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เรายังเหลือกโอกาสอีกตั้งหลายวันนี่เนอะ”

“............” ผมไม่ได้ตอบหรือแสดงสีหน้าใด ๆ ออกไป ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกดีใจแปลก ๆ ขึ้นมาที่ได้ยินแบบนี้ นั่นสินะ เหลือเวลาอีกตั้งหลายวันก่อนที่การจีบไร้สาระจะจบลง

“แต่ถ้าเทมไม่โอเคจริง ๆ ...เราจบมันเลยก็ได้นะ ไม่ต้องรอแล้ว”

“............” แม่ง… ที่ผมเคยรู้สึกมันไม่ใช่แบบนี้น่าหว่า พอได้ยินแบบนี้เข้าจริง ๆ ผมกลับไม่รู้สึกกระดี้กระด้าอยากจะให้มันเลิกยุ่งเลยสักนิด เป็นอะไรวะเทม เมื่อกลางวันอย่างปากเก่งฉิบหายอยู่เลย

“ว่าไงเทม”

“กูไม่รู้...” พูดออกไปแล้ว! ผมพูดสิ่งที่ยากลำบากออกจากปากไปเรียบร้อยแล้ว แค่ไอ้คำว่าไม่รู้เนี่ยแหละแม่งโคตรยากเลย ผมแค่ไม่อยากพูดออกไปตามที่ใจคิด หรือบางทีผมอาจจะมัวแต่คิดตามสิ่งที่พูดกับพี่เฟรนเมื่อชั่วโมงก่อน





“ปฏิเสธตัวเองไปเหอะมึง กูจะรอดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”

“ก็จนกว่ามันเลิกยุ่งกับผมนั่นแหละ”





อะไรกันวะเทม ทั้งที่ตอนนี้สบโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะไล่มันไปแล้วนี่หว่า





“ถ้าเทมไม่รู้...เราหาคำตอบให้เอามั้ย”

“เห้ย...” ซีซั่นปลดตัวเองออกจากซีทเบลท์เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ตัวผม โดยอาศัยช่วงเวลาที่ผมหันใบหน้าออกไปด้านข้างเพื่อใช้ความคิด แม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้ตัวและพยายามจะย่นคอหนี แต่ซีซั่นก็ยังคืบคลานและพาตัวเองเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ โดยไม่แคร์พื้นที่เล็กน้อยบนรถ

“ชู่วววว...” เสียงชู่วขอให้เงียบลอดผ่านริมฝีปากหนาออกมาโดยที่ซีซั่นไม่ได้ยื่นมือขึ้นแตะปากใครแต่อย่างใด ก็แน่ล่ะ เพราะว่าตอนนี้ไอ้เวรนี่กำลังบริหารจัดการมือตัวเองไปกับพื้นที่ด้านข้างและใต้เบาะที่ผมนั่ง





กึก! ครืด! ปึก!





“เหี้ย! ” แขนสองข้างของผมยกขึ้นมาที่กลางอกโดยอัตโนมัติ ไอ้กึกแรกที่เข็มขัดนิรภัยหลุดออกจากตัวนั่นยังพอทน แต่พอเสียงดังครืดทำให้เบาะเคลื่อนตัวไปด้านหลังจนสุด และเสียงปึกจนพนักพิงเอนลงจนแทบจะร้อยแปดสิบองศาเท่านั้นแหละครับ ระบบป้องกันตัวเองมันจึงเริ่มทำงานทันที แต่ที่เร็วกว่ากลไกป้องกันตัวเองของผมก็เห็นจะเป็นคนข้าง ๆ ที่หมุนตัวเข้ามาคร่อมทับผมไว้ทั้งตัว

“ชู่ววววว” ซีซั่นส่งเสียงชู่วเช่นเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงนั่นค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวกระทั่งมาหยุดสนิทอยู่ที่ข้างใบหนูผม ลมร้อนจากอีกฝ่ายทำให้ระบบปรับอากาศในรถแทบไม่มีความหมายใด ๆ เขาใช้ช่วงศอกข้างนึงยันกับเบาะและค่อย ๆ ขยับระยะใบหน้าเข้ามาจนเราสามารถที่จะจ้องตากันได้แบบพอดิบพอดี

“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะมึง”

“คงไม่หรอก...จนกว่าเราสองคนจะได้พิสูจน์กัน”

“พิสูจน์อะไรของมึงวะ”

“ไม่อยากรู้รึไง… เรื่องที่เทมบอกว่าเทมไม่รู้” ครั้งนี้ซีซั่นไม่ได้เสนอเงื่อนไขใด ๆ เขาเสนอเพียงคำตอบที่ผมอาจจะได้รับหรือไม่ได้รับและคงไม่มีใครทราบได้ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมจนตรอกเพราะความยากรู้

“จะทำยังไง”

“...........” คนที่กำลังทับผมไว้นั้นไม่ได้ให้คำตอบ เขาเริ่มส่งรอยยิ้มร้ายกาจและค่อย ๆ ลดระยะห่างระหว่างใบหน้าเราทั้งคู่ลง จนกระทั่งริมฝีปากหนาวางทาบลงกับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา ผมที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดไม่ได้ขัดขืนหรือต่อต้านแต่อย่างใด แถมยังปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปตามเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาเหมือนคนชำนาญงาน

“อื้อออ” เสียงอู้อี้หลุดออกมาจากลำคอของผมเรื่อย ๆ ส่วนคนเปิดเกมก็ยังดำเนินการจาบจ้วงไม่หยุด กระทั่งมือหนาเริ่มดึงชายเสื้อผมและแทรกเข้ามาสัมผัสบริเวณช่วงเอว ผมจึงพยายามดันอกของซีซั่นออกเพื่อความปลอดภัยของตนเองที่แทบจะไม่มีเหลือ ความรู้สึกตอนนี้มันไม่เหมือนครั้งที่โดนมันไล่กัดเหมือนหมาบนห้องเลยสักนิด สัมผัสนุ่มนวลแต่หนักหน่วงทำให้ผมรู้สึกร้อนช่วงล่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้

“พอจะได้คำตอบบ้างรึยังเทม”

“เออ ปล่อยได้แล้ว”

“แล้วคำตอบ… เทมอยากให้เราจบมันตรงนี้เลยมั้ย”

“..........” นอกจากผมจะไม่ตอบคำถามแล้วยังเอียงใบหน้าร้อนฉ่าออกไปด้านข้างเพราะรู้สึกสับสนไปหมด คำว่า ‘มัน’ ที่ซีซั่นเอ่ยออกมาอาจจะไม่ได้มีความหมายแฝงอะไร และอาจหมายถึงเพียงเกมการจีบที่ยังคาราคาซังอยู่ แต่ผมกลับกังวลว่าเจ้าของคำว่า ‘มัน’ คำนี้จะตีความหมายครอบคลุมอย่างอื่นด้วย

“ว่าไงเทม”

“ไปต่อก็ได้...”

“หึ ย่อมได้”

“เฮ้ย… อือออ” คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิดว่าคนแบบซีซั่นต้องมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ในนั้น และไอ้เทมสาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญว่าจังหวะเมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจจะตอบคำถามให้กำกวมแต่อย่างใด แล้วตอนนี้ผมควรจะรับมือยังไงกับไอ้หมาบ้าที่เริ่มกัดคอและล้วงกางเกงผมไปพร้อม ๆ กัน

“ซีซั่น หยุดโว้ยยยย” ไม่ว่าผมจะส่งเสียงออกมาแค่ไหนก็จำต้องเงียบลงในทุกครั้งที่เกิดสัมผัสประหลาดจนรู้สึกร้อนรนไปหมด มือข้างนึงของซีซั่นเข้าไปคลุกวงในตีสนิทกับลูกชายผมโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ห้ามปราม เพราะระยะพื้นที่น้อยนิดทำให้ผมไม่อาจยกขาขึ้นมายันโครมได้อย่างถนัด ไอ้ปากที่ยังทำงานไม่หยุดก็ขบเม้มไล่จากหลังใบหูยาวมาจนช่วงไหล่จนผมไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ในส่วนนั้นของตัวเอง สองมือยกขึ้นล็อคช่วงคอของอีกฝ่ายไว้เพราะมันไม่ผม ถ้าถามว่าลึก ๆ แล้วผมได้คำตอบรึยัง





ไม่รู้ครับ เพราะสมองของผมขอลาพักผ่อนชั่วคราว





โครม!!

ปั๊ก!!





“เชี่ยเอ๊ยยย! ” เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวและรถคันที่ผมนั่งอยู่ก็เกิดสั่นขึ้นมา ซีซั่นหยุดกิจกรรมนันทนาการทุกอย่างและรีบยกตัวขึ้นจนหัวชนเข้ากับเพดานรถดังปั้กใหญ่ ๆ ดูเหมือนว่าความหัวเสียจะเข้ามาทักทายซีซั่นอีกครั้ง เขามองผ่านหลังรถแล้วส่ายหัวรัวเหมือนคนเซ็งสุดขีด ก่อนจะเปิดประตูฝั่งผมและก้าวตัวลงไปทันทีโดยไม่เสียเวลาติดกระดุมใด ๆ ส่วนผมน่ะหรอ ตายไปแล้ว ตอนนี้ได้แต่นอนกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนคนตายทั้งเป็น ไอ้เหี้ยเทม… ไอ้เหี้ย!





ไอ้เหี้ย!! กูปลดกระดุมเสื้อมัน!





ไอ้เหี้ยยยยยยยย! ลูกชายกูตื่น! ตื่นตาสว่างเลยด้วย!





“เทม… เทม… เทม…! ”

“ห่ะ”

“รอแปบนะ รถชนท้าย”

“อ...อ้าว แล้ว...”

“ไม่เป็นไร รถคุณลุง ขายไส้กรอกอีสาน” ผมเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังแล้วหันมาพยักหน้างึกงักใส่ซีซั่นที่ยืนอยู่ข้างประตู นี่ผมควรจะซื้อพวงหรีดไปขอบคุณคุณลุงไส้กรอกอีสานท่านนี้รึเปล่า แต่ว่าตอนนี้ผมควรจะสนใจลูกชายของผมที่ตื่นขึ้นมาในเวลาที่ไม่ควรตื่น พ่อขอโทษลูก พ่อจะขอปกป้องลูกเอาไว้ใต้สองมือนี้ของพ่อ





หลับซะนะ

ไส้กรอกแฟรงเฟิร์ตลูกพ่อ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2018 22:12:19 โดย be-silent »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 12 ยอมรับตัวเอง

“มึงว่าม่ะ เพื่อนเราแม่งเสร็จเด็กวิศวะแน่ ๆ ”

“เฝ้าเป็นหมาเจ้าที่ขนาดนี้ไม่ได้กันก็บ้าแล้ว”

“กูพนันเลยครบกำหนดเมื่อไหร่ ไอ้เทมมีผัวแน่”

“ทำไมมึงถึงคิดว่ามันจะเป็นเมียวะ”

“มึงคิดสิเฟย์ จะมีเกย์รับที่ไหนหัวล้าน”

“นี่หลักการอะไรของมึงเนี่ย สรุปโพสิชั่นคนจากปริมาณเส้นผมเนี่ยนะ”

“ไม่รู้ล่ะ เซ้นส์กูมันบอก”

“แล้วเซ้นส์มึงได้บอกด้วยมั้ยว่าเมื่อไหร่ชะนีสองตัวอย่างเราจะมีผัว”

“อย่าพูดแบบนั้นสิวะ เรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิต”

“แต่ผู้ชายครึ่งชีวิตของมึงกับกูเป็นผัวเมียกันเองไปแล้วทั้งหมด”

“เห้อออออ/เห้ออออออ”





“พวกมึงสองตัวจะคร่ำครวญกันอีกนานมั้ยเนี่ย” คงต้องขอบคุณณนนที่ช่วยดึงสติเฟย์และนีลก่อนที่การพร่ำเพ้อมันจะไปกันใหญ่ แต่ใครมันจะทนกับเรื่องชาวบ้านที่เห็นแล้วคันปากได้ไหว โดยเฉพาะเรื่องราวของเพื่อนชายคนสนิทของพวกเธอกับหนุ่มวิศวะที่แปลงกายมาวันละร่างรับส่งถึงคณะทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่เย็นวันศุกร์อย่างวันนี้ ทริปเดินตลาดนัดหลังมอของกลุ่มเพื่อนสนิทจึงกลายเป็นทริปนินทาเพื่อนกับเพื่อนชายคนนั้นโดยสมบูรณ์ นี่โชคดีแค่ไหนแล้วที่พี่คีณไม่ตามมาด้วย ไม่งั้นพวกเธอคงไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงหน้าแห้ง ๆ ที่ได้แต่เฝ้ามองผู้ชายกินกันเอง

“พวกกูแค่จินตนาการเรื่องราวตามหลักความจริงโว้ย ใช่มั้ยนีล”

“ใช่ หรือว่ามึงเห็นภาพข้างหน้าแล้วมึงไม่คิด”

“หึหึ” ณนนไม่ได้ตอบในทันที เขาฉีกยิ้มสุดเรียวปากมองแผ่นหลังของเทมที่มีซีซั่นเดินประกบติดอย่างพอใจ ซีซั่นเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ยาก ส่วนเทมก็หัวแข็งเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ใครจะไปคิดว่ามันนึงสองคนนั่นจะจะมีท่าทีแปลกไปเมื่อยามอยู่ใกล้กัน การหัวแข็งของเทมกลับกลายเป็นข้อดีที่ทำให้คนประหลาดอย่างซีซั่นเดาง่ายขึ้น แน่นอนว่าไอ้หัวสกินเฮดนั่นจะทำทุกอย่างเพื่อให้เทมใจอ่อน แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ทำหน้าเซ็งตลอดเวลาอาจจะใจอ่อนไปนานแล้วก็ได้

“มึงขำแบบนี้หมายความว่าไงไอ้นน” เฟย์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้ามีนัยยะของผู้เป็นเพื่อน เธอช้อนมองณนนสลับกับเทมและซีซั่นที่เดินนำหน้าอยู่

“ถ้ากูไม่คิด กูไม่ปล่อยให้ไอ้ซีซั่นจีบหรอก”

“เชี่ยยยยย นี่มึง! ” นีลอ้าปากหวอเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าณนนคนดีของเธอกำลังแสดงแววตาร้ายกาจเจ้าแผนการ นี่โลกแม่งเป็นอะไรกันไปหมดวะ แม้แต่ณนนที่ดูนิ่ง ๆ และไว้ใจได้ที่สุดยังกำลังยิ้มท่าเดียวกับน้องชายกิ๊ก สุวัจนี

“ไอ้นน...”

“เฮ้ย! มึงสองตัวอย่ามองกูแบบนั้น ตอนแรกกูก็กะจะแกล้งเล่นเฉย ๆ นั่นแหละ”

“แล้วยังไงต่อ” เฟย์พยายามเค้นระหว่างที่เดินแหวกฝูงชนในตลาดนัดอย่างยากลำบาก ลำพังเดินไปเสือกไปก็ยากจะแย่อยู่แล้ว นี่ต้องมามาหลบสายตาณนนเอฟซี และเรือแจวซีซั่นเทมอีก เบื่อโว้ย!

“พวกมึงไม่สังเกตสายตาที่ซีซั่นมองไอ้เทมหรอ” นีลและเฟย์พยายามนึกตามที่ณนนพูด ใช่ พวกเธอสังเกตมันมาตลอด ตั้งแต่ตอนแรกที่แผนแฟนจอมปลอมเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ

“สังเกตดิวะ มองจนแทบจะแดกไอ้เทมทั้งกระดูกอยู่แล้ว” เฟย์ว่า

“เออ บางทีก็ตาเยิ้มเหมือนคนโดนกัญชา”

“แล้วมันเคยมองกูแบบนั้นม่ะ” เฟย์และนีลหันไปสบตากันก่อนจะตอบออกมาหลังจากนั้น กลายเป็นว่าตลอดเวลาที่ซีซั่นเข้าหาณนนดูเป็นเพียงเรื่องที่อยากจะเอาชนะ สายตาของเขาว่างเปล่าและไม่ได้มีการกระหายหิวอยากจะกินแฝงอยู่ในนั้น อย่างมากก็อาจจะมีความรู้สึกชอบพอที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่กับสายตาที่ซีซั่นมองเทมมันไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เลย

“ไม่เคย แต่มันจะเร็วไปป่ะวะ แค่แปบเดียวเองนะโว้ย”

“คิดแล้วก็ไม่ใช่แปบเดียวนะเว้ยนีล ถ้านับรวมเวลาที่ซีซั่นมันเข้ามาจีบไอ้นน ไอ้เทมแม่งขวางอย่างกับเรือดำน้ำดักน้ำเชี่ยว”

“ก็ตามนั้นแหละ เรือดำน้ำ” ณนนยักคิ้วข้างเดียวขึ้นลง มองภาพตรงหน้าอีกครั้งด้วยอารมณ์มากมาย เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาได้หลุดพ้นจากการจีบของซีซั่น แต่ที่ยังไม่แน่นอนก็คือความสัมพันธ์ของสองคนข้างหน้า เขาน่ะไม่ได้อยากจะจับคู่ให้เพื่อนหรอก โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างเทม แต่คงโทษณนนหรือใครไม่ได้หรอก เพราะตัวเทมเองต่างหากที่เอาขามาผูกกับเรื่องนี้และกำลังจะดิ้นไม่หลุด





โดนความยูนีคของซีซั่นจับไว้แน่นขนาดนั้น ถ้าดิ้นหนีได้ก็ให้มันรู้ไป





“นี่ จะเดินติดกูอะไรขนาดนั้นวะ”

“คนมันเยอะนี่นา”

“รู้ทั้งรู้ว่าคนเยอะ แล้วจะมาเกาะแกะทำไม” ผมสะบัดไหล่ไล่ซีซั่นที่เดินซ้อนอยู่ด้านหลังเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ แม่งเดินติดกับหัวผมอย่างกับตัวเหี้ยติดกาวดักหนู อยากจะรู้จริง ๆ ว่าชาติที่แล้วผมทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนวนเวียนอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ ดูอย่างวันนี้สิครับ ผมนัดกันกับกลุ่มเพื่อนมาเดินตลาดนัดและหาอะไรกินกันแบบชิล ๆ แต่กลับมีคนติดสอยห้อยตามมาด้วยบุคลิกล่าสุด จะว่าล่าสุดก็ไม่เชิงหรอกครับ หลังจากหลายวันที่ผ่านมาซีซั่นทรานส์ฟอร์มเปลี่ยนไปหลายร่าง ตั้งแต่ คุณชายเด็กแว้น หรือไอ้ทิดเกรี้ยวกราด ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยและกลับมาเป็นไอ้บ้าคนเดิม คงจะเหนื่อยเปลี่ยนตัวเองให้ผมพอใจแล้วนั่นแหละ ดีเหมือนกัน เพราะผมเองก็เหนื่อยที่เห็นเขาพยายามไม่เป็นตัวเอง





อารมณ์แบบเวลาคุณเห็นคนบ้าบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้านั่นแหละ





“ก็อยากเดินด้วยนี่น่า”

“ประสาท”

“ขอบคุณครับ”

“ด่าอยู่โว้ย ช่วยสำนึกบ้างได้ป่ะวะ”

“อุ๊บส์ สำนึกไม่ทัน” ซีซั่นยิ้มทะเล้นก่อนจะวาดแขนขึ้นมาพาดโอบช่วงไหล่ผม เท่านั้นไม่พอเขายังออกแรงดึงตัวผมเข้าไปให้ตัวเราใกล้ชิดกันมาขึ้นกว่าเดิม เจริญพร แค่เดินด้วยกันคนยังมองไม่มากพออีกรึไงวะ

“ทำหน้าตากวนตีน อยากโดนตีนกลางมวลมหาประชาชนหรือไงห่ะ”

“แง โหดร้ายอีกแล้ว ไม่อ่อนโยนเลย”

“.........” จู่ ๆ ผมก็นิ่งไปเพราะไม่ได้ยินคำว่า ‘ไม่อ่อนโยน’ มาหลายวันแล้ว แถมพอได้ยินคำนี้ครั้งนี้ก็ดันรู้สึกจั๊กจี้หัวใจขึ้นมาซะได้ จะว่ามันมีผลกับความรู้สึกก็คงไม่ถูก ผมแค่ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุเท่านั้น





บ้าไปแล้วเทม ไม่อ่อนโยนแปลว่ามึงโหดร้าย จะมายิ้มเขินทำมะเขือเผาอะไรวะ!





“กินอะไรดี”

“มะเขือเผา”

“มะเขืออะไรนะเทม”

“เชี่ย! ไม่แดกเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมสะดุ้งเพราะตกใจที่เผลอสบถความในใจออกไปจนเกือบเต็มรูปประโยค ดีแค่ไหนแล้วที่มันไม่วิ่งไปซื้อมะเขือยาวมาลงเตาย่างให้ผม แล้วนี่จะใช้แขนดึงคอผมเข้าไปใกล้ทำไมนักหนา ขาดความอบอุ่นที่บ้านไม่มีผ้าห่มรึไงวะ

“เอ้า ไม่กินได้ไง มาถึงนี่แล้ว ของกินเยอะแยะ ลูกชิ้นป่ะ” คนข้าง ๆ คะยั้นคะยอให้ผมหาของกินในระแวกตลาดนัดนี้ให้ได้ ไอ้ท้องมันก็ร้องหิวอยู่หรอก แต่ไม่อยากจะเสียหน้าให้กับวาจาที่ลั่นไปแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ สู้แบกท้องกลับไปกินมาม่าที่ห้องดีกว่า

“ไม่เอา”

“ไก่ย่าง”

“ไม่” ไก่ย่างกาก ๆ หากินแถวข้างหอก็ได้ป่ะวะ

“ขนมจีน”

“ไม่เว้ย” ขนมจีนวิญญาณปลา เคยกินครั้งก่อนนึกว่ากินเส้นกับน้ำล้างจานเถอะ

“กุ้งถัง”

“แพงสัด” ผมเหลือบตามองร้านกุ้งผัดพริกเน่า ๆ และเริ่มเบ้ปากอย่างรุนแรง

“เดี๋ยวเราเลี้ยงไง”

“ไม่เอา ไม่กิน เดินครบรอบแล้วจะกลับห้องเลย โอเค๊” ผมสะบัดหน้ามองคนข้าง ๆ โดยที่ไม่ได้ระวัง ระยะที่ไม่ได้ไกลห่างกันนักจึงทำให้กลิ่นร่างกายกรุ่นเข้าไปเต็มปอด เมื่อรู้ตัวว่ากำลังสูดแก๊ซพิษ ผมจึงมุดตัวออกจากท่อนแขนหนัก ๆ และสาวเท้ายาวเพื่อหาอิสระท่ามกลางคนหมู่มากทันที

“โอเค เดี๋ยวเรากลับด้วย ขอนอนห้องเทมนะคืนนี้” แต่เสียดายที่ผมมีเวลาสูดอากาศหายใจไม่ถึงสามวินาที สุดท้ายซีซั่นก็เข้ามาประกบผมราวกับบอดี้การ์ดทันที

“อยากนอนห้องกู” ผมหันไปเลิกคิ้วถามย้ำจากคนด้านหลัง เจ้าตัวพยักหน้ายิก ๆ พร้อมรอยยิ้มสดใสราวกับได้ก้าวเท้าสัมผัสพื้นห้องผมแล้ว คนมันเคยพลาดมาแล้วครั้งนึง แถมเกือบเอาตัวไม่รอดจากสถานการณ์หมาบ้าไล่กัด ไม่มีทางที่จะพลาดอีกเป็นครั้งที่สองหรอกเว้ย

“ใช่ครับผม”

“ได้”

“จริงนะ! ”

“จริง แต่หลับกลับจากห้องกูมึงไปนอนวัดเลยนะ”

“จะให้เราไปบวชหรอเทม” สีหน้าแสดงอารมณ์ของผมหมดสิ้นไปในทันที นี่มันโง่จริงหรือคาดหวังว่าจะให้ผมชงมุกตบมุกแบบที่เพื่อนของมันทำ

“........”

“อ้าว เงียบเลย”

“มึงมันกวนตีน ชีวิตนี้นี่เคยทำตัวมีประโยชน์มากกว่ากวนประสาทคนมั้ยวะ”

“มีดิ ทำตั้งหลายอย่าง แต่ไม่เคยมีคนเห็นค่า” ผมไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงของซีซั่นถึงได้หมดอาลัยตายอยากขนาดนั้น ฟังดูช่างหดหู่ท้อแท้ชีวิตราวกับพรุ่งนี้ตื่นมาผมจะไม่เจอมันมายืนทำหน้าเหี้ย ๆ ใส่อีก นี่ไม่ได้สงสาร ไม่ได้เห็นใจ ไม่ได้ใจอ่อน ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ แค่แปลกใจเฉย ๆ พูดจริ๊งงง!

“ถ้าไม่มีคนเห็นก็แปลว่าไม่ได้ทำป่ะ”

“ไม่รู้ดิ แต่บางทีเราว่ามีคนเห็นแหละ แต่เขาแค่ปิดตาปิดใจตัวเองไว้”

“หรอวะ” สองขาของผมหยุดยืนนิ่ง ๆ เมื่อประชากรข้างหน้าหยุดการเดินเท้าเพราะติดปัญหาบางอย่าง ผมยกสองแขนขึ้นกองอกด้วยมาดนิ่ง ๆ พร้อมกับเหลือบตามองซีซั่นที่ขยับมาข้างตัว ผมก็เหนื่อยใจนะที่ต้องสู้กับความไม่เหมือนใครของคนคนนี้ ดื้อด้าน เอาแต่ใจ พูดไม่ฟัง ไม่สนใคร แต่บางทีผมก็เห็นแค่เพียงคนธรรมดาที่มีความคิดเป็นของตัวเอง และความคิดเหล่านั้นนั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นเขา ทำให้ซีซั่นเป็นซีซั่นที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นใคร สุดท้ายก็กลับมาเป็นตัวเองอยู่ดี





เดี๋ยว

นะ

ไอ้

เทม





หวังว่ามึงจะยังอยู่ในร่างของตัวเอง! ไม่ใช่ร่างกบ สุวนันท์





“อือ ทำขนาดนี้แล้วยังไม่มีประโยชน์อะไรเลย” น้ำเสียงของซีซั่นกำลังตัดพ้อต่อว่า ผมหาช่องทางว่าง ๆ เบี่ยงตัวหลบและแทรกผ่านคนข้างหน้าไปได้ แต่เสียงที่ตามมามันก็ยังกระทบกระทั่งจิตใจไม่เลิก ไม่ชอบเลยที่คนแบบซีซั่นมาพูดจาอะไรแบบนี้ หลายครั้งแล้วที่ผมแพ้ให้กับโทนเสียงสิ้นหวังของมัน

“........”

“คิดดูดิ ยอมเปลี่ยนตัวเอง ยอมทำทุกอย่าง พยายามเอาใจ ยังไง… ยังไงก็ยังถูกเกลียดขี้หน้าอยู่ดี”

“พูดมาก”

“อีก...หนึ่ง สอง สาม อีกสามวันเราก็จะหมดโอกาสแล้วล่ะ ยังไม่รู้ว่าจะทำให้รู้สึกดีได้รึเปล่า” แน่นอนว่าซีซั่นคงจะไม่ได้พูดกับฟ้ากับลมแม้ว่าเขาจะทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้าก็ตาม บางทีผมก็คิดนะว่าชีวิตของผมกำลังวนอยู่ในอ่าง โดยมีซีซั่นเป็นอ่างใหญ่ ๆ ใบนั้น พอผมใจอ่อนหรือรู้สึกแปลก ๆ ก็ดันเริ่มเห็นข้อดีของการที่มีคนกวนประสาทอยู่ใกล้ ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเหล่านั้นจางลงผมกลับรู้สึกต่อต้านขึ้นมาจนคล้ายไม่ต้องการ





มันก็แค่คล้าย

เพราะผมรู้สึก ผมรู้ ผมรู้ว่าผมคงเหงาถ้าไม่มีเสียงซีซั่นมาให้รำคาญใจ





“ท้อก็ไม่ต้องรออีกสามวัน แค่นั้นเอง” ผมไม่ได้รู้ตัวนักหรอกว่าทำเสียงขุ่นมัวมากขนาดไหน ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามันเหนื่อยขนาดนั้นก็ไม่ได้มีเหตุผลมากมายอะไรที่ซีซั่นจะต้องทน หน้าแบบนี้หาผู้หญิงขาดสติสักคนคงไม่น่ายาก

“ไม่ได้ท้อ แค่บ่นให้ฟังเฉย ๆ ”

“งั้นก็อย่าบ่น ฟังแล้วมันหงุดหงิด”

“ไม่บ่นก็ได้ครับ”

“แล้วช่วยเงียบ ๆ ด้วย”

“แลกกับอะไรอ่ะ”

“แลกกับการที่กูจะไม่หงุดหงิด”

“แลกกับการที่เราขอไปนอนที่ห้องไม่ได้อ๋อ”

“อ๋อพ่อง! ” คำว่าพ่องพร้อมมวลมหาน้ำลายพุ่งเข้าหน้าซีซั่นแบบไม่มีเลี้ยว เจ้าตัวยิ้มตาหยีและยังหน้าด้านหน้าทนที่จะพูดต่อไป

“เทม”

“บอกให้หุบปากไง”

“เราว่าเราทุ่มเทมากแล้วนะ”

“โอ้ยยยยยย”

“ต้องทำยังไงเทมถึงจะยอมใจอ่อนให้เราบ้าง”

“มึงทำไม่ได้หรอก”

“ทำได้ดิ ยากแค่ไหนก็จะทำ”

“จะไม่หยุดพูดใช่มั้ยซีซั่น” ผมเริ่มมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเล็กน้อยจึงหันไปชี้นิ้วใส่หน้าคนที่จ้อไม่หยุดและยังไม่มีท่าทีว่าจะสนทนากันรู้เรื่องเร็ว ๆ นี้

“หยุด แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ไง”

“งี่เง่า”

“แงะ แค่อยากหาวิธีให้เทมใจอ่อนเฉย ๆ นี่นา คนอะไรใจแข็งชะมัด เข้มก็แล้ว หล่อก็แล้ว จับจุ๊บก็แล้ว เห้ออออออ ถามจริงต้องทำยังไง ได้คำตอบแล้ววันนี้จะปิดปากให้สนิทเลย”

“ถ้ามึงเป็นผู้หญิงเมื่อไหร่ วันนั้นแหละกูจะใจอ่อน!! ” ผมลั่นออกไปอย่างคนขาดสติ กว่าจะคิดได้ว่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แรงจนเกือบไปก็ตอนที่เห็นซีซั่นหน้าซีดหมดสีเป็นไก่ต้มไปซะแล้ว ด้วยความสัจจริง ผมไม่ได้รังเกียจความสัมพันธ์ที่มาจากเพศเดียวกัน แต่ที่พูดออกไปเพียงแค่ต้องการตัดรำคาญจากเสียงงุ้งงิ้ง ๆ ข้างหูเท่านั้น ใครจะไปคิดว่ามันได้ผลชะงัดจนซีซั่นนิ่งไปขนาดนั้น

เมื่อไม่อาจกลับไปแก้ไขคำพูดคำจาของตนเองได้อีก ผมจึงตัดสินใจเดินเร็ว ๆ ออกมาให้พ้นจากตรงนั้น เมื่อทิ้งระยะได้เพียงครู่จึงรู้สึกว่าไม่ได้มีใครเดินตามมาอีก วินาทีนั้นใจมันเริ่มโหวงขึ้นมาแปลก ๆ ลึก ๆ แล้วผมยังคาดหวังให้ซีซั่นพูดอะไรออกมาสักประโยค แต่ไม่เลย ความวุ่นวายรอบตัวกลายเป็นความเงียบที่ทำให้ผมเกิดอาการซึมขึ้นมา

“ไอ้เทม”

“ห่ะ! ” ผมตกใจเมื่อมีมือสัมผัสเข้าที่ต้นแขน เจ้าของมือไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นณนนที่ผมลืมไปเสียสนิท แถมยังมีเฟย์และนีลเดินกระซิบกระซาบกันอยู่ไกล ๆ นี่ผมไม่ได้ลืมเพื่อนหรอกนะ เพียงแค่จังหวะเมื่อกี้ไม่ได้พูดถึงเพราะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เท่านั้น เชื่อดิ! นี่พูดจริง

“ซีซั่นไปไหนวะ เดินสวนกูไปไม่พูดไม่จาเลย”

“ไม่รู้ดิ สงสัยจะยอมแพ้”

“ยอมแพ้เนี่ยนะ! ” ณนนร้องขึ้นมาราวกับตกใจเหลือเกิน สายตาของมันชัดเจนว่าไม่ได้เชื่อสิ่งที่ผมพูด และทำท่าว่าจะเชื่อซีซั่นมากกว่าตัวผมเสียอีก แต่ช่างเถอะ ผมไม่สน และต้องนี้ก็รู้สึกพิลึกกึกกือเกินกว่าจะยืนอยู่เฉย ๆ รีบเดินตรงไปจนสุดทางออกและกลับห้องไปนอนพักผ่อนสมองดีกว่า

“เออ”

“แล้วมึงยอมยังอ่ะ” จากที่มีซีซั่นเดินตามติดทุกฝีก้าว กลายเป็นว่าตอนนี้ผมมีณนนเดินในตำแหน่งเดิมแทนที่ในความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ผมว่างานนี้ไอ้นนต้องหวังคาดหวังเอาความอะไรจากผมแน่ ๆ

“ยอมอะไรวะ”

“ยอมรับว่ามึงชอบซีซั่น… และกำลังจะรักมันไง”

“ส...สัด! ม...ไม่มีทางหรอก! ” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดออกไปราวกับแผ่นเสียงสะดุดทั้งที่ควรจะมั่นอกมั่นใจ แน่นอนว่าผมไม่กล้าสบสายตาเพื่อนตัวเองและพยายามจะหลบตา ถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมแพ้น่ะสิ ไม่มีทาง แม่งเป็นไปไม่ได้หรอก! ที่ใจสั่นอยู่ตอนนี้ก็แค่โมโหที่ณนนมันมาพูดแบบนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของมันทั้งนั้น ผมไม่ได้ชอบซีซั่น ผมไม่มีทางหลงรักคนแบบนั้น

“มึงฟังกูนะเพื่อน กูเคยผ่านจุดที่มีกำแพง จุดที่กลัวจนไม่กล้าทำอะไรมาแล้ว กูรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงสักครั้งนึงมันเป็นเรื่องยากแค่ไหน”

“อะไรของมึงวะ”

“ยอมรับความรู้สึกมันง่ายกว่าต่อต้านความรู้สึกตั้งเยอะ”

“นี่มันติดสินบนให้มึงมาพูดกับกูใช่ม่ะ”

“เปล่า กูก็แค่พูดในแบบที่กูอยากพูด มึงจะไม่ฟังก็แล้วแต่”

“เออ ไม่ฟัง” ผมแบกอารมณ์หงุดหงิดเดินต่อโดยที่มีณนนเดินพึมพรำมากมายเหมือนคนทรงเจ้าข้าง ๆ ตัวตลอดทาง ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่สามารถสะบัดคำพูดของเพื่อนสนิทออกไปจากหัวได้ และทุกอย่างมันยิ่งไปกันใหญ่เมื่อภาพของซีซั่นตัดฉากสลับกับคำพูดของณนนช็อตต่อช็อต กว่าเสียงของณนนจะเงียบลงก็ตอนที่หัวใจของผมมันเงียบกว่าเสียแล้ว

“เมื่อไหร่ที่มันไม่มาวุ่นวายกับมึง ความรู้สึกมันอาจจะชัดเจนมากขึ้นก็ได้เนอะ”

“.........” งั้นหรอ ถ้าไม่มีซีซั่น โลกของผมควรจะสงบสุขไม่ใช่รึไง อย่างมากก็แค่ไม่มีคนให้เถียงด้วย แล้วก็ไม่รู้จะยิ้มขำให้กับอะไรอย่างมีความสุขเท่านั้น สุดท้ายรอยยิ้มของผมอาจจะหายไปนิดหน่อย ไม่ถึงตาย

“หรือไม่ถ้ามึงเคยรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มของมึง นั่นอาจจะชัดเจนมากแล้วก็ได้”

“........” เหี้ย! ไม่ใช่! ไอ้ที่รันในสมองผมเมื่อกี้แม่งไม่ใช่ผม องค์เทพท่านลงมาทำให้ระบบความคิดผมรวนแน่ ๆ รอยยิ้มอะไรกันวะ!

“กูไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น มึงหยุดพูดได้แล้วเว้ย กูก็แค่ต้องการกันมันออกจากมึง แล้วตอนนี้ที่กูยอมให้มันจีบก็เพราะมึงอยากให้เป็นแบบนั้น ถ้าถึงเวลาแล้วเรื่องนี้มันจะจบเว้ยนน กูไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น”

“ระวังหัวใจตัวเองหน่อยแล้วกันเทม… อย่าให้กูเห็นนะว่ามึงยิ้มได้เพราะซีซั่น” ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรอีก ได้แต่เดินต่อไปและใช้ความเงียบคนเดียว สองสาวหายไปกับร้านกิ๊ฟช็อบจนเหลือผมเดินอยู่กับณนนแค่สองคน เมื่อเดินจนสุดทางจึงได้หันตัวกลับเพื่อกลับไปยังทางออกที่อยู่บริเวณช่วงกลางของตลาดนัด วันธรรมดาห่วย ๆ ของผมควรจะจบลงเพียงเท่านี้ และกลับไปที่ห้องอย่างสบายใจ แต่ทว่า ในความเป็นจริงไม่ได้มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น

“ข้างหน้าคนเขากรี๊ดอะไรกันวะ”

“พี่คีณมาตามมึงมั้ง”

“บ้า วันนี้คีณอยู่กองถ่าย” ณนนชะเง้อมองด้วยสงสัย และผมเองก็เริ่มสงสัยอยากรู้ไม่ต่างกัน เราสองคนพยายามเดินเลี่ยงกลุ่มเสียงและกลุ่มคนตรงนั้นแต่ดูเหมือนว่าทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะจะดังใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที เสียงกรี๊ดพออกพอใจกับเสียงหัวเราะโห่ฮาแบบนี้แม่งต้องเป็นเรื่องพีค ๆ แน่

“แล้วเขาสนใจอะไรกันวะ”

“ฉิบหาย ไอ้เทม...” ณนนเคลื่อนสายตามามองผมพร้อมกับการกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดเรคคอร์ดในแบบที่ไม่เคยทำ คนแบบณนนมันเคยอยู่แต่ในคลิปเท่านั้น แม่งเคยยกมือถือขึ้นมาอักคลิปใครที่ไหน เว้นเสียแต่ว่า…





เหตุการณ์ตรงหน้ามันเป็นเรื่องที่สมควรจารึกไว้ในความทรงจำ





“เหี้ย กูวิ่งก่อนนะ” คงไม่ต้องรอคำอนุญาตหรือคำตอบรับจากใครอีก ณ จุดนี้ผมสับขาวิ่งไม่หยุดพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่เด่นชัดขึ้นมาบนใบหน้า ภาพติดตาที่ผมจ้องมองเมื่อครู่ทำให้อารมณ์ข้างในดีดดิ้นเหมือนคนถูกหวยแต่ไม่คุ้มทุน ใครจะไปคิดว่ามันจะมาไม้นี้วะแม่ง เหนือความคาดหมายในระดับที่ว่าในชีวิตผมคงไม่มีเรื่องเซอร์ไพร์สมากขนาดนี้อีกแล้ว





ซีซั่น ผู้ชายหัวเกรียนตัวควาย ๆ ยัดตัวเองลงไปอยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีปีกแมลงทับ เสริมบุคลิกช่วงล่างด้วยการเดินถ่างขาพร้อมรองเท้าส้นชูปลายแหลมที่ยัดเข้าไปได้เพียงแค่ครึ่งตีน ปากสีแดงทะลุทะลวงออกมาจากสีหน้าทะเล้นพยายามแรด ทว่ามีสิ่งที่น่าประทับใจมากกว่าประเด็นอื่นใดทั้งมวล รอยแหวกด้านหน้าของเดรสได้ฉีกขาดตามจังหวะการเดินขึ้นไประดับเอว และเผยให้เห็นกางเกงในเก่า ๆ ที่มีรูใหญ่ ๆ บริเวณเอวยางยืดขอบย้วย





น้องนุ่มเกือบจะออกมาโบกมือทักทายชาวตลาดอยู่แล้ว





“ถ้ามึงเป็นผู้หญิงเมื่อไหร่ วันนั้นแหละกูจะใจอ่อน!! ”





เออ! กูผิดเอง!

แล้วนี่จะยิ้มทำไมวะเทม

หุบยิ้ม

หุบยิ้มเดี๋ยวนี้โว้ย!!!




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Fayfin : ไอ้เทม หายไปไหนวะ เงียบเลย

Neenla : เออ หายหัวไปตั้งแต่เมื่อคืน

Fayfin : กูเห็นนะ อ่านไม่ตอบ

Fayfin : เป็นไรเปล่า?

Nanon : ทำใจอยู่มั้ง

Neenla : ทำใจ? ทำใจเรื่องอะไรวะ

Fayfin : เชี่ยยย กูนึกออกแล้ว

Neenla : นึกออกว่าไรวะมึง บอกกูที

Nanon : วันนี้วันสุดท้ายที่ซีซั่นจะมีโอกาสได้จีบมัน





ผมอ่านข้อความแชทในกลุ่มแล้วก็โยนโทรศัพท์ขึ้นไปไว้บนเตียงเช่นเดิม ตอนนี้เข็มนาฬิกาเดินเดินวนจวนจะถึงหกโมงเย็น แต่ว่าผมไม่ได้ออกไปไหนหรือแม้แต่คิดจะหาอะไรกินเลยตั้งแต่เช้า ถ้าถามว่าเหตุผลที่ทำให้ผมนั่งกอดเข่าเหมือนคนถูกกระทำแบบนี้คืออะไร คำตอบเดียวที่พอจะให้ได้ก็คงจะเป็นแชทไลน์จากใครบางคนเมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา





Seasonzuzaa : วันสุดท้ายแล้วนะเทม มีคำตอบในใจแล้วรึยัง





คำถามง่าย ๆ นั่นทำให้ผมแทบสติแตก ที่ผ่านมาผมค่อนข้างมั่นใจกับตัวเองว่ายังไงคำตอบของผมก็คือคำว่า ‘ไม่’ ง่าย ๆ เพียงคำเดียว แต่ทว่าเมื่อผมกำลังจะต้องปฏิเสธอีกฝ่ายออกไปในเวลาที่ข้ามวันมาเสียงสองนาที จิตใจผมกลับสับสนลังเลที่จะหักหาญน้ำใจของคนบ้าบอที่ผมรำคาญมาตลอดสองสัปดาห์ ความสับสนไร้ที่มาทำให้ผมต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เมื่อเกิดอาการไม่แน่ใจนั่นเท่ากับว่าผมกำลังรู้สึก…





“ระวังหัวใจตัวเองหน่อยแล้วกันเทม… อย่าให้กูเห็นนะว่ามึงยิ้มได้เพราะซีซั่น”





ผมกำลังเผชิญเหตุการณ์ยากลำบากเช่นเดียวกับที่ณนนเคยพูด ผมอาจจะไม่ทันได้ระวังหัวใจตัวเองดีพอ ความไม่แน่ใจจึงเกิดขึ้นพร้อความรู้สึกแพ้ ผมกำลังแพ้ซีซั่น แพ้ณนน แพ้สายตาทุกคน และแพ้ตัวเอง มันไม่ง่ายเลยที่ผมจะยอมรับว่าความลังเลทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากอะไร เพราะผมสงสาร เพราะซีซั่นเป็นสีสันของชีวิตผม เพราะผมเมากาวเมาเหล้าเมายา หรือเพราะผมใจอ่อนให้กับการทุ่มเทของซีซั่นที่ผ่านมากันแน่ การทุ่มเทพวกนั้นแค่นึกถึงหัวใจก็สั่นหวั่นไหว

จะมีสักกี่คนบนโลกที่มาโมเมเอาว่าคุณเป็นแฟน กี่คนที่จะเข้ามาจับไข่อุ๋งและรุกหนักเพื่อแจกเบอร์ ใครคนไหนจะพาคุณไปเดทที่ร้านส้มตำเพิงหมาแหงน จะมีหรือคนดี ๆ ที่เมาแล้วสวดมนต์ออกมาจนพระท่านแทบตื่น แล้วถ้ายิ่งคนคนนั้นมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณโดยไม่สนยางอายยิ่งเป็นไปไม่ได้ไปกันใหญ่ คุณจะประทับใจมั้ยถ้าเขาทำให้คุณได้ขึ้นเพจคิ้วท์บอยแบบถี่ ๆ จนไม่รู้จะเอาหน้าไปเก็บไว้ที่ไหน ทั้งหมดนี้ คุณลองพูดกับผมสิว่าจะมีผู้ชายคนไหนอีกที่ยอมแต่งหญิงในสภาพอุบาทว์เพื่อเอาใจคุณ





ถ้าคุณว่าคงไม่สามารถทำให้ผมยิ้มสมเพชได้เท่าที่ซีซั่นทำ

ถ้าคุณคิดว่าคงไม่มีใครบนโลกเหมือนซีซั่นอีกแล้วล่ะก็

ช่วยเห็นใจผมและโอบกอดปลอบผมที่นั่งกอดเข่าน้ำตาตกในอยู่ตอนนี้ที





แม่งจะบ้าตายอยู่แล้ว เรื่องกำลังจะจบ จะมาลังเลไม่แน่ใจอะไรอีกวะเทม!





ผมพยายามตัดขาดกับทุกอย่าง แม้ไม่ได้ปิดโทรศัพท์มือถือ แต่การเพิกเฉยกับการติดต่อน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ผมรู้ว่าผมกำลังหนีซีซั่นที่พยายามจะติดต่อผมเพื่อรอคำตอบ ข้อความแชทมากมายจากเขาไม่ได้ทำให้ผมลดทิฐิลงไปได้ หรือแม้แต่สายเข้าที่ผมตัดทิ้งมันก็ไร้ประโยชน์ ผมกำลังใช้เวลามากมายในการต่อสู้กับตัวเอง ไม่มีส่วนไหนในสมองเลยที่บอกให้ผมยอมแพ้และตกลงรับซีซั่นเป็นแฟน แต่หัวใจนี่สิ มันกำลังค้านหัวชนฝาพร้อมกับทุบอกทุบใจบอกให้ผมคิดทบทวนดี ๆ





ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!





เสียงแชทจากโทรศัพท์ที่วางแอ้งแม้งอยู่ยังคงดังต่อเนื่อง ผมถอนลมหายใจออกเพราะไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นแชทจากกลุ่มเพื่อน หรือจากซีซั่นที่ผมไม่ได้เปิดอ่านมันเลยทั้งวัน แล้วถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าผมไม่ยอมที่จะพูดจาใด ๆ กับเขา เขาจะยอมรับสภาพเหตุการณ์ตอนนี้และตีความไปเองเลยได้รึเปล่า เพราะถึงยังไง ผมคงก้าวผ่านความลังเลของตัวเองไม่ได้ภายในวันนี้ หรือตอนนี้แน่ ๆ





Neenla : มีใครโทรหามันยัง

Fayfin : มันปิดเครื่องป่ะ

Nanon : กูโทรอยู่ ไม่ปิด แต่ไม่รับ

Fayfin : มันเป็นอะไรรึเปล่าวะ

Nanon : ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูลองโทรไลน์

Nanon : ถ้ามึงอ่านอยู่แล้วยังไม่รับสายกู เตรียมต้อนรับกูหน้าห้องได้เลย





เมื่ออดรนทนไม่ได้ ผมจึงจำต้องเปิดอ่านแชทกลุ่มที่มาจากเพื่อนสนิทอีกครั้ง พอได้เห็นข้อความเหล่านี้ ผมถึงขั้นจุกขึ้นมาในลำคอ บางทีการหนีปัญหาด้วยวิธีการเด็ก ๆ ของผมอาจจะทำให้หลายคนหนักอกหนักใจ และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเท่านั้นที่ณนนโทรเข้ามาหาผมผ่านโปรแกรมแชทสีเขียวนั่น แล้วผมจะทำยังไงถ้าณนนคาดคั้นเอาความจากผมล่ะ! แล้วถ้าผมไม่รับสายเพื่อนผมจะไม่คิดเยอะจนวุ่นวายไปกันใหญ่หรอ

“เออ ว่าไงมึง”

“สัด! เงียบไปเลยมึง เป็นอะไรห่ะ” นั่นคือคำทักทายแรกจากเพื่อนของผม แถมระดับเสียงโวยวายจนถึงขีดสุดนั่นก็ทำให้ผมดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแทบไม่ทัน แวบแรกของเสียงผมก็ได้รู้แล้วว่าณนนกำลังหัวเสียกับผมแค่ไหน

“เปล่า ไม่ได้เป็นไร”

“อย่ามาโกหกเทม มึงไม่เคยเงียบหายไปแบบนี้”

“กูไม่ได้เป็นไรจริง ๆ แค่แบบ...”

“เพราะมันใช่มั้ย เพราะซีซั่นใช่มั้ย”

“...” ผมเงียบไปเพราะรู้คำตอบในใจดี และหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจท้อแท้จากณนน

“เห้อออออ ไหนมึงลองเล่าให้กูฟังสิว่าเจออะไรในวันสุดท้าย”

“คือว่า...”

“กูจะยังไม่ถามหรอกนะว่ามึงตอบตกลงคบซีซั่นเป็นแฟนรึเปล่า กูรู้ว่ามึงอึดอัด กูเข้าใจดีเทม ตอนกูคบกับคีณแรก ๆ แล้วพูดอะไรไม่ได้ ปรึกษาใครไม่ได้ ความรู้สึกแม่งกองรวมกันจนแทบจะระเบิดออกมาเลยนะเว้ย” ณนนยังคงร่ายยาวราวกับจะสวดให้ผมสำนึกผิดให้ได้ แต่ผมจะตอบคำถามเพื่อนได้ยังไงว่าได้พบเจออะไรในวันนี้ ในเมื่อผมหลีกเลี่ยงทุกทางที่จะได้พบเจอโจทย์ผู้เป็นต้นตอของปัญหา

“มึง กูหลบหน้าซีซั่นมาแล้วทั้งวัน”

“อะไรนะ” ณนนขอทวนซ้ำราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

“กูหลบหน้ามัน มันพยายามติดต่อกูทุกทางเลย แต่กูไม่พร้อมว่ะ”

“ไม่พร้อมยังไงวะ นี่เป็นวันที่มึงรอมาตลอดหลายวันไม่ใช่หรอ มึงเคยพูดกับกูเองว่าวันนี้จะเป็นวันที่หลุดพ้น กูไม่เข้าใจ”

“กูก็ไม่เข้าใจ คืออยู่ดี ๆ กูก็ลังเล...” ผมผ่อนเสียงลงที่ท้ายประโยค ใช่แล้วล่ะ ไอ้ความลังเลนี่แหละที่เป็นปัญหาก้อนใหญ่ ความรู้สึกที่ว่ามันจะดีจริงหรือถ้าผมจบเรื่องนี้ลงตามที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก

“มึงกำลังตัดสินใจไม่ได้ใช่มั้ย”

“ไม่ใช่นะเว้ย กูตัดสินใจได้ กูต้องการจบเรื่องนี้และไล่ซีซั่นไปแน่ ๆ แต่จู่ ๆ กูกลับรู้สึกแปลก ๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าปฏิเสธมันถ้าต้องเผชิญหน้ากัน”

“เห้อออออ...” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากณนนเป็นครั้งที่สอง ก่อนที่ผมจะถอนหายใจแรง ๆ ตามไปด้วยอารมณ์หมดสิ้นไม่แพ้กัน

“มึง… หรือกูกลัวซีวั่นเสียใจวะ”

“แทนที่มึงจะถามกู ทำไมไม่ถามตัวเองวะ”

“คือ...”

“การที่มึงลังเลมันชัดแล้วนะเว้ย ว่ามึงเองกำลังรู้สึกในแบบที่ตัวมึงเองกำลังต่อต้าน”

“กูเคยบอกมึงแล้วไงนน ว่ากูไม่ได้ต่อต้านอะไรทั้งนั้น”

“เออ แล้วแต่มึงเลย หัวแข็งฉิบหาย”

“กูไม่ได้...” ผมตั้งใจจะปกป้องตัวเองด้วยคำพูดอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เถียงออกไป ณนนก็สวนคำพูดเข้ามาอย่างทันควัน

“มึงรู้คำตอบดีอยู่แล้วเทม ถ้ามึงไม่ได้รู้สึกดี ๆ กับซีซั่น หรือไม่ได้รู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นคนพิเศษ มึงจะไม่คิดหนักแบบนี้” ผมฟุบหน้าลงกับหัวเข่าตัวเอง คิดตามทุกคำที่ณนนพูด วันก่อนผมยังยิ้มอยู่กับการที่เห็นไอ้บ้าคนนึงลุกขึ้นมาใส่กระโปรง แต่ว่าวันนี้เมื่อผมนึกถึงมันกลับรู้สึกใจเต้นจนน่าหงุดหงิด จะให้ผมยอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีกับภาพจำบ้า ๆ บอ ๆ แบบนั้นเนี่ยนะ ขายหน้าตายชัก!

“แล้วถ้ากูไม่ได้อยากรู้สึกแบบนั้น กูต้องทำยังไงวะนน” ผมกัดริมฝีกปากตัวเองเพื่อรอฟังคำตอบ

“ทำไมมึงต้องฝืนวะ”

“กูกลัวใจตัวเองว่ะ กูอึดอัด กูรู้สึกว่ากูแพ้มัน แพ้มึง แพ้ทุกคน” ผมตัดสินใจพูดความจริงที่อยู่ภายในออกไป ณนนเงียบไปเพียบครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยโทนเสียงที่เรียบเฉยจริงจังมากกว่าเดิม

“แล้วถ้ามึงชนะ สุดท้ายมึงจะได้อะไร”

“อย่างน้อย กูก็ไม่ต้องหน้าแหกยอมรับว่าใจอ่อนให้มัน”

“แล้วยังไงวะ มึงเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าเทม จริงอยู่ที่กูสบประมาทมึงไว้เยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้ามึงรู้สึกดี ๆ กับซีซั่นแล้วจะพ่ายแพ้อะไรนี่”

“มึงไม่เข้าใจกูไงนน ซีซั่นมันไม่ได้เข้ามาหากูแบบที่พี่คีณเข้าหามึงนะเว้ย! ” ผมพยายามจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายที่สุด แต่เสียงหายใจน่าหงุดหงิดจากปลายสายได้ยืนยันว่าณนนไม่ได้เข้าใจ และยังไม่อาจเข้าถึงวิธีการคิดของผม ช่างเถอะ เพราะว่าคงไม่มีใครเข้าใจความคิดทั้งหมดได้เท่ากับตัวเราเอง

“หึ นี่ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนสนิทกู กูคงจะด่าเสียหมาไปแล้ว”

“ก็เหมือนตอนที่มึงมีปัญหากับพี่คีณนั่นแหละ มีใครเข้าใจมึงมั้ยล่ะ” ผมย้อนณนนกลับเมื่อหมดวิธีการเถียงที่ดี แต่คุณครับ การยอกย้อนเพื่อนแบบนี้มันไม่ใช่วิธีที่ดีเลย นอกจากมันจะไม่ฟังแล้ว มันยังสาปส่งเราให้จมดินไม่หยุด

“พอ! กูจะไม่พูดแล้ว ตัดสินใจเดินตามชัยชนะที่มึงวางแผนไว้ได้เลย! กูจะคอยดูว่าถึงเวลานั้นจริง ๆ มึงจะเป็นยังไง! ”

ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! สิ้นเสียงณนนทางโทรศัพท์ ประตูห้องผมได้ถูกเคาะจากภายนอกสามครั้งติด ผมเคลื่อนโทรศัพท์ออกจากหูและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจทันที เพราะไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นได้เกิดมหกรรมเคาะประตูนานาชาติที่หน้าห้องผม ก็ไม่ได้สั่งอะไร หรือไม่ได้มีใครนัดว่าจะมาที่ห้องนี่นา

เมื่อก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง ผมจึงพบว่าณนนได้ตัดสายโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว พอเป็นแบบนี้ผมจึงพยายามทำให้ตัวเองสบายใจด้วยการตีความและเข้าใจไปเองว่าคงจะเป็นณนนมาหาผมตามคำขู่ก่อนหน้า เมื่อสติเมื่อมาและความกังวลเริ่มมี สองขาจึงเหยียดยืนขึ้นและเดินไปที่ประตูห้องตามความอยากรู้และเสียงเคาะที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด หวังว่าผู้มาเยือนจะไม่ใช่คนที่ผมยังไม่อยากเจอ

ผมสอดสายตาผ่านช่องตาแมวเล็ก ๆ หน้าประตู แต่กลับไม่พบว่ามีใครยืนอยู่ตรงหน้าทั้ง ๆ ที่เสียงเคาะเพิ่งหายไปในเสี้ยววินาที ด้วยความสงสัยผมจึงปลดล็อคประตูและเปิดออกเพื่อคลายข้อคลางแคลงใจ แต่พอบานประตูห้องแง้มออกเท่านั้นแหละครับคุณผู้ชม มือมารก็คว้าหมับเข้าที่ขอบประตูพร้อมสีหน้าดุดันของเจ้าของมือที่ยืนพิงอยู่ที่กำแพงเลยขอบประตูไป





ความหนักใจก้อนใหญ่ ๆ ยืนตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้าผมแล้ว!





“เหี้ย! ”

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ รู้มั้ยว่าเป็นห่วงขนาดไหน! ” ผมกลายเป็นคนงง ๆ เหวอ ๆ กับคำทักทายที่แทบจะลากคอผมไปลงโทษ ดวงหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงออกมาจนหมด ผมพยายามตั้งสติและแสร้งสีหน้าที่ไร้รู้สึกมากที่สุด

“เรื่องของกู”

“ไหนลองพูดแบบเมื่อกี้อีกทีสิ”

“แบบเมื่อกี้อีกทีสิ” ผมตีหน้าซื่อทวนประโยคที่ซีซั่นพูดแบบถูกทุกคำไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย แต่ทำไมกันเล่า ทำไมคนที่เคยตามติดผมเหมือนหมา ถึงได้แสดงสีหน้าอยากฆ่าผมให้ตายแบบนี้

“เทม… นี่ยังไม่เข้าใจใช่มั้ยว่าคนเขาเป็นห่วงอ่ะ นี่ถ้าไม่ติดเคลียร์เกรดที่คณะวิ่งมาหาแต่เช้าแล้วรู้ป่ะ! ” ซีซั่นก้าวเข้ามาหาผมเรื่อย ๆ เขาอาศัยจังหวะที่ผมอ้าปากส่งเสียงเอ่ออ่าเดินเข้าประตูห้องและปิดมันลง แน่นอนว่าผมต้องถอยหนีเป็นสเต็ป ๆ

“กูก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ มึงจะเป็นอะไรนักหนาเล่า” ผมยอมรับว่าตัวเองกำลังส่งเสียงเบาลง คำพูดของณนนเข้ามาวกวนให้หัวสมอง ทุกอย่างถูกยืนยันด้วยเหตุการณ์ตรงหน้า ผมรู้สึก รู้สึกทุกอย่าง ใจสั่นกับทุกคำพูด แต่ผมจำเป็นต้องปกป้องความคิดเดิมของตัวเอง

“หลบหน้าเราใช่มั้ยเทม ไม่ตอบแชท ไม่รับสาย ไม่มีสัญญาณตอบกลับกันแบบนี้” ผมถอยตามฝีเท้าที่ก้าวมาด้านหน้าของซีซั่นเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงขาสัมผัสเข้ากับพนักวางแขนโซฟาในห้องตัวเอง ไอ้เหี้ยเทม! ใครให้มึงจัดห้องแบบนี้วะ!

“เปล่า”

“หลบหน้าเรา เพราะรู้ว่าวันนี้เราจะมาเอาคำตอบใช่ป่ะ”

“ไม่ได้หลบ กูแค่ยังไม่อยากคุย” หยุด หยุดได้แล้ว! นี่ซีซั่นกำลังจะเข้ามาใกล้ผมในสถานการณ์ฉุกเฉินมากเกินไปแล้ว โธ่เว้ย! นี่ผมกำลังจะแพ้มันด้วยเรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้น่ะเหรอ

“ไม่อยากคุยแปลว่าอะไรเทม รู้มั้ยว่าการที่เทมเงียบในวันที่เรารอ มันทำให้เราจะบ้าตาย! ” เออ! มึงช่วยยูเทิร์นกลับไปบ้าที่ศรีธัญญาเดี๋ยวนี้เลย

“ก็ไม่ทำไม ไม่อยากคุย ไม่มีอะไรต้องคุย ไม่ได้สำคัญอะไร” ซีซั่นทำหน้าทำตาเหมือนโดนผมจี้จุดสำคัญ ระหว่างที่กำลังโดยไล่ต้อนอยู่นี้ ในสมองผมกำลังชั่งน้ำหนักคำตอบของตัวเอง ‘กูจะคอยดูว่าถึงเวลานั้นจริง ๆ มึงจะเป็นยังไง! ’ คำพูดของณนนเป็นเหมือนตาชั่งที่ดีที่สุดสำหรับคนลังเลใจอย่างผม





เออ ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง



“ไม่สำคัญขนาดนั้นเลยหรอเทม” ซีซั่นเข้ามาใกล้ผมในระดับที่ว่าเข่าของเราทั้งคู่แทบจะแนบชิดสนิทกัน ที่ว่างมีตั้งเยอะทำไมต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้วะ และแน่นอนว่าหลังจากนั้นมันไม่ใช่แค่เข่า ไอ้คนตัวสูงเข้ามาประชิดผมเอาไว้ทั้งตัว ตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้าหรือแม้กระทั่งเหลือบตาขึ้นไปมองหน้าคู่กรณี หัวใจไม่รักดีกำลังเต้นดังตู้มใหญ่ ๆ เหมือนมีระเบิดลง ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ เทม! มึงต้องใจเย็นนะเว้ย

“แล้วแต่จะคิด”

“ถ้าให้เราคิด การเงียบ การไม่พูด มันเป็นคำตอบของเทมแล้วใช่มั้ย”

“อาจ...อาจจะใช่มั้ง” ผมพยายามประคองเสียงไม่ให้ตะกุกตะกัก ปรายสายตาขึ้นมองสีหน้าผิดหวังของซีซั่นแล้วจึงก้มลงมาเช่นเดิม ผมต้องหนักแน่นกับคำตอบของตัวเอง คำตอบที่จะช่วยพิสูจน์ทุกความรู้สึกของตัวผมเอง

“อาจจะหรอ… เทมให้คำตอบเราด้วยวิธีการแบบนี้น่ะหรอ”

“มันก็แค่วันที่เงื่อนไขของเราต้องจบลง จะวิธีการไหน ปลายทางมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

“แล้วเทมรู้มั้ยว่าต้นทางมันเป็นยังไง รู้มั้ยว่าเรานอนคิดมาสองคืนว่าจะทำเซอร์ไพร์สขอเทมเป็นแฟนยังไง แต่รู้อะไรป่ะ การที่เทมเงียบแบบนี้เราไม่มีจิตใจจะทำอะไรเลยว่ะ ยิ่งรู้แบบตอนนี้เรายิ่งรู้สึกเหมือนคนหมดพลังอ่ะ” น้ำเสียงของซีซั่นตรงกับประโยคที่ว่าคนอารมณ์ดีนั้น ตลกแต่ไม่ตลอด ซึ่งอันที่จริงเขาควรหมดพลังไปตั้งแต่แต่งหญิงกลางตลาดนั้นแล้ว

“พอเหอะ เกมโอเวอร์แล้ว มึงทำไม่ได้ มึงเอาชนะใจกูไม่ได้...” ผมพูดทั้งที่ยังกดสายตามองปลายเท้า ทว่าหลังจากที่ผมพูดไม่กี่วินาที ผมก็โดนบังคับให้เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้สมยอมสักนิด เขาใช้เรียวมือมือช้อนค้างผมขึ้นมา และถึงแม้ผมจะพยายามเกร็งลำคอให้แข็ง แต่ก็ไม่สามารถฝืนแรงที่มีมากกว่าอยู่ดี

“เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีกว่ามั้ง ยืนยันให้ได้ยินสักคำ เราสองคนจะได้ปิดสิบสี่วันของเราให้สมบูรณ์แบบ” ผมรู้ว่าซีซั่นพยายามยังคับตัวเองให้นิ่งสงบ แม้ว่าผมจะเจอเขามาในหลายรูปแบบแต่รูปแบบที่ผมเจออยู่ตอนนี้ เป็นซีซั่นที่ผมรู้สึกกลัวและกังวลกับเขามากที่สุด ความนิ่งขรึมที่เป็นตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่จะพบเจอกันได้ง่าย ๆ

“ถ้าคุยแล้วมันจะจบ… งั้นก็รีบ ๆ คุย”

“เทม… เป็นแฟนกันมั้ย หรือจะให้เราหายไปจากชีวิตเทม”

“...” แม้จะยังเงียบ แต่คำถามที่มีคำตอบเพียงเยสหรือโนไม่ได้ทำให้คำตอบในใจผมเปลี่ยนไป ความไม่แน่ใจกลายเป็นความรู้สึกอยากจะพิสูจน์ และมีวิธีนี้วิธีเดียวที่จะทำให้ผมรู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะว่าผมใจอ่อน เพราะผมปากแข็ง หรือเพียงเพราะสถานการณ์พาไป

“เทม... ” ซีซั่นโน้มศีรษะลงมากระซิบข้างหูผม ท่ามกลางเสียงหัวใจโครมคราม สองมือของเขาก็เริ่มเอื้อมมายันไว้กับโซฟาเหมือนจะตั้งมั่นไม่ยอมปล่อยผมออกไปหากไม่ได้คำตอบ

“...”

“เทม… เป็นแฟน…”

“ออกไปจากชีวิตกูซะ” เมื่อประโยคดังกล่าวลั่นออกจากปาก ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก และแทนที่ด้วยท้องมหาสมุทรเวิ้งว้างชวนใจเสีย อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปจนแทบแน่นิ่ง ผมพูดออกไปแล้ว ผมพูดสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดออกไปแล้ว

“ที่ผ่านมา มันไม่มีประโยชน์เลยจริง ๆ เหรอเทม”

“ทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้น ตรงไหนที่มึงจะให้กูมองเป็นประโยชน์ล่ะ” ผมถอนหายใจออกมาเพราะลำบากใจไม่น้อยที่ต้องพูดแบบนี้ ยิ่งสายตาเสียใจที่เขากำลังมองผม ยิ่งทำให้รู้สึกแย่กับคำพูดของตัวเอง

“ถ้างั้น ขอบคุณแล้วก็ขอโทษนะ”

“ถอย… ได้คำตอบแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

“เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ย”

“ถ้าไม่จำเป็นก็คงใช่”

“เราคงคิดถึงเทมมาก ๆ เลย” ซีซั่นไม่ได้ถอยห่างออกไปตามที่ผมร้องขอ มิหนำซ้ำเขามันเคลื่อนใบหน้าเขามาใกล้ผมจนลมหายใจของเราสองคนกำลังประสานรวมเป็นเนื้อเดียวกัน สีหน้าแววตาผิดหวังเต็มไปด้วยคำร้องขอ และถ้าเขาสังเกตสีหน้าหนักแน่นของผมบ้างสักนิดเขาคงจะรู้ว่าผมเองก็มีมุมของความรู้สึกที่กำลังย่ำแย่ไม่แพ้กัน

“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะซีซั่น”

“เทม… เรารักเทมจริง ๆ นะ”

“บอกให้ออกไปไงวะ! ” ผมผลักเขาจนเซถลาออกไป พลางหายใจเข้าออกแล้วพิงไปที่โซฟาเหมือนตัวเองรอดตายจากภัยพิบัติ แต่ยังไม่ทันไรซีซั่นก็ทำท่าพุ่งเข้ามาอีกอีกครั้ง และแทบไม่เหลือช่องว่างให้ผมได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ

“มันจะจบแบบนี้จริง ๆ หรอเทม”

“เชี่ย! ”

ผลั่ก!! แน่นอนว่าการที่ผมผวาตัวหนีซีซั่นจนหงายหลังไม่ได้อยู่ในแผน โชคยังดีที่หลังและหัวแข็ง ๆ สัมผัสกับเบาะนิ่มบนโซฟา ผมหลับตาปี๋เพราะกลัวว่าหากลืมตาขึ้นมาแล้วจะพบเจอเหตุการณ์คล้ายฉากใดฉากหนึ่งในนิยาย ฉากที่ซีซั่นจะต้องล้มทับตัวผมอยู่ในท่าทางโรแมนติก และปิดท้ายด้วยการได้เสียเพื่อคืนดีกัน แต่ขออภัยนะครับ สุดท้ายแล้วเรื่องราวของผมมันก็ยังแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่ดี

“โอ๊ยยยยย” ผมลืมตาขึ้นและสอดสายตามองหาซีซั่น และก็ได้พบความจริงที่ว่าร่างสูงหัวเกรียนกำลังนอนคุดคู้กุมช่วงท้องตัวเองอยู่กับพื้นห้อง ถ้าจะให้คาดเดา มันคงเป็นเพราะช็อตที่ผมกำลังหงายหลังลงไปนั้น ปลายเท้าที่สะบัดราวกับเต้นบัลเล่ต์ได้จังหวะล่องลอยไปกระทบกระทั่งเขากับร่างกายซีซั่นเข้าพอดี

“แม่งเอ๊ย… เลิกโอดโอยซะ ลุกออกจากห้องกูได้แล้ว”

“ขอถามอีกคำเดียวได้มั้ยเทม ทำไมเราถึงไม่ได้โอกาสนั้น”

“...” ซีซั่นเอ่ยถามผมอีกครั้งทั้งที่ยังนอนโอดโอยอยู่ที่พื้น ผมหลับตาลงพลางนึกถึงเหตุผลจริง ๆ ของตัวเอง ผมแค่อยากจะลองดูว่าสิ่งที่ผมรู้สึกมันจะจริงสักแค่ไหน อยากจะรู้ว่าถ้าผมไม่ได้เจอเขาจริง ๆ ผมจะทนไหวรึเปล่า อยากจะเชื่อสัญชาตญาณมากกว่าความรู้สึกสักครั้ง ว่าสุดท้ายแล้วผมจะผ่านมันไปได้โดยไม่มีบาดแผลในใจใด ๆ





ผมหวัง

ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น





“ว่าไงเทม เพราะอะไรเหรอ”

“เพราะว่ากูไม่อยากมีพันธะผูกติดกับคนอย่างมึงไง”

“ถ้าเทมไม่อยากมีอัณฑะ เทมก็ตัดทิ้งไปสิ”





สัด! กูจะวิ่งไตรกีฬาไปตัดไข่พ่อมึง!




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 13 ค่ำคืนหฤหรรษ์

เคยได้ยินมาว่าคนเราจะเติบโตขึ้นในทุก ๆ วัน และมีบทเรียนใหม่ ๆ มาทำให้สภาวะจิตใจโตขึ้น มันก็เหมือนเวลาที่เราเรียนหนังสือนั่นแหละครับ ไอ้เรื่องที่คิดว่ารู้ดีอยู่แล้วบางทีมันอาจจะผิดไปหมด และเราไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงอะไรเลยก็ได้ ในทางกลับกัน ในชีวิตจริงที่ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน ชีวิตของเราอาจจะเป็นไปตามตำราเหล่านั้นหรือไม่ก็ได้





ที่ผมพยายามจะสื่อคือชีวิตของเราไม่มีอะไรแน่นอน หัวใจก็ไม่ใช่สิ่งแน่นอนเช่นกัน





ราวสองสัปดาห์ก่อน ผมเคยหวังว่าหากผมไม่ได้เจอใครคนนึงเข้าจริง ๆ ผมจะทนไหว และไม่รู้สึกว่าหัวใจตนมีบาดแผลร้ายแรงอะไร นั่นเป็นเรื่องของสัญชาตญาณที่ผมพยายามบอกกับตัวเองในเวลานั้น ส่วนตอนนี้ผมคงต้องบอกว่าคำตอบที่ได้จากการพิสูจน์เป็นไปตามนั้นทุกประการ แต่ทว่ามันกลับมีความจริงในอีกหลายแง่มุมซ่อนอยู่





ผมทนไหว… แต่ผมต้องทน ผมต้องอดทนกับสภาวะจิตใจที่ไม่ต่างอะไรกับคนอกหัก

หัวใจผมไม่ได้มีบาดแผลร้ายแรง แต่ผมช้ำใน ผมต้องปวดหนึบหนับใจโดยไม่มีทางแก้





‘ไม่น่าหาเรื่องพิสูจน์ไม่เข้าท่า’ ผมเฝ้าแต่บอกตัวเองแบบนี้ ซีซั่นหายไปจริง ๆ หายไปในรูปแบบที่เหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า ไม่มีการวิ่งตามเกาะแกะ ไม่มีการแวะมาทักทาย ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีเสียงแชทตามตื๊อใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ผมรู้ว่าเขายังไม่ตาย เฟซบุ๊คและโลกโซเชี่ยลของเขายังคงเคลื่อนไหวปกติ อัพรูปกับเพื่อนฝูง เขียนสเตตัสพิลึกพิลั่น และเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรจากการเลิกจีบผมเลย ในทางกลับกันผมกลับรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอย่างไม่น่าให้อภัย แล้วถ้าจะหวังให้ผมเป็นฝ่ายไปตามล่าหาตัวเขาล่ะก็ ฝันไปเถอะ!





แม่งทำไมชีวิตผมมันรันทดเยี่ยงรายการวงเวียนชีวิตแบบนี้วะ!





“เสร็จยังมึง กูจอดรออยู่ใต้ตึก”

“เออ แปบ ๆ กำลังลงไป” ผมตอบณนนขณะที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่างของอาคาร คืนนี้พวกผมมีนัดสังสรรค์กับแกงค์พี่คีณกันครับ เรื่องของเรื่องก็คือที่ผมเคยทวงพี่เฟรนเรื่องเลี้ยงเหล้านั่นแหละ คราวนี้พวกพี่แกเลยขนมาครบแก๊ง ขณะที่กลุ่มผมขาดเฟย์ไปเพราะมันป่วยเป็นไข้นอนเดี้ยงอยู่ที่ห้อง และพอไม่มีเฟย์ นีลที่เป็นหญิงคนเดียวมันก็ไม่กล้ามาไปอีก คราวนี้จึงเหลือแค่ผมกับณนนเท่านั้น

“พี่คีณหวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายพี่คีณคนขับรถคันหรู แทนที่จะเป็นเพื่อนผมที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้าง ๆ ผมแทรกตัวเองลงไปนั่งเบาะหลัง ทิ้งตัวพิงอย่างคนไม่มีแรงเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผมจะเป็นแบบนี้ทำไมนักหนา แต่ที่ร่างกายมันแสดงออกมาราวกับคนขาดสารอาหาร ผมไม่ได้สั่งให้มันทำแบบนี้นี่นา มันเป็นของมันเอง แล้วผมก็หาทางแก้ไม่ได้ด้วย

“ไม่ทักทายเพื่อนเลยนะมึง”

“ก็กูเพิ่งเจอมึงเมื่อเย็นป่ะ” ผมว่าพลางมองไปข้างทาง รถเคลื่อนตัวไปตามถนนและแสงสว่างของไฟข้างทาง จุดหมายของเราเป็นร้านนั่งชิลล์ที่ถัดจากมหาลัยไปอีกหน่อย แต่ถ้าถามว่าวันนี้ผมจะชิลล์มั้ย อันนี้ผมยังไม่มีคำตอบ สภาพผมมันอยากจะนั่งนิ่ง ๆ ทำตาเบลอ ๆ เหมือนหมีแพนด้าเมายามากกว่า

“เออ แล้วนี่จะไปแดกเหล้าฟรี ช่วยทำหน้าตาดี้ด๊าหน่อยได้มั้ยมึงอ่ะ” ทำไมผมจะไม่รู้ว่าณนนพยายามแหย่ให้ผมด่ามันเล่น มันนั่นแหละ ตัวดี รู้ตั้งแต่แรกว่าผมมีอาการแบบนี้เพราะเรื่องอะไร แต่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้และพยายามทำให้ผมพูดสาเหตุออกมาตลอดเวลา

“จะให้กูนั่งยิ้มตลอดเวลาหรอ กูไม่ใช่คนบ้า” ผมก็ทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ ทำได้แค่ให้ตัวเองรอดไปวัน ๆ ยิ่งเห็นสายตาที่คีณผ่านกระจกมองหลังยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าพลาดท่าลงมาในหลุมน้ำขังตื้น ๆ นี่ แต่จะโทษพี่คีณก็คงไม่ถูก เพราะเขาเป็นแค่คนขุดหลุมสกัดขาซีซั่น ส่วนผมเป็นคนที่โดดลงไปเพื่อกระชากมันลงหลุมด้วยตัวเอง แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้ผมนอนพะงาบอยู่กลางหลุม ขณะที่ซีซั่นออกไปโบยบินเหมือนไม่มีเรื่องราวใด ๆ เกิดขึ้นมาก่อน แม่ง! หงอยสัด!

“เอ้า กูผิดอีก”

“อาการหนักกว่าที่คิดนะเนี่ย”

“บอกแล้วว่าขั้นกว่าของอกหัก” สองคนข้างหน้าพยายามกระซิบด้วยเสียงเบาที่ไม่มีจริง ถ้าจะคุยกันด้วยโทนเสียงแหบเบาลั่นรถแบบนี้ไม่ต้องกระซิบก็ได้ พูดจริง

“ไม่ต้องกระซิบก็ได้ครับพี่คีณ พูดเลย ผมไม่ถือ” พอพูดจบ พี่คีณก็สบมองผมผ่านกระจกมองหลังด้วยแววตาขอโทษขอโพย ตายด้วยรอยยิ้มแหย ๆ ของเพื่อนเพื่อนผมที่ชะโงกหน้ากับมามองด้านหลัง เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเอื้อมมือมาขยี้ที่หัวผมเหมือนปลอบใจลูกหมาตัวเล็ก ๆ ใช่สิ ตอนนี้ อะไร ๆ มันก็เหนือผมอยู่ทุกอย่าง ตั้งแต่เดาใจผมถูก และรู้ใจผมมากกว่าตัวผมเองเสียอีก แล้วจะบอกให้ว่าผมไม่มีทางลืมคำสาปแช่งสุดแสบสันของมันหรอกนะ





“กูจะไม่พูดแล้ว ตัดสินใจเดินตามชัยชนะที่มึงวางแผนไว้ได้เลย! กูจะคอยดูว่าถึงเวลานั้นจริง ๆ มึงจะเป็นยังไง! ”





อ้าว นั้นเป็นประโยคบอกเล่าไม่ใช่คำสาปหรอกหรอ แต่ช่วยไม่ได้ ก็ผมจำมันเอาไว้แล้วฝังใจนี่หว่า ตอนนี้ณนนเองคงจะเห็นเต็มตาแล้วล่ะว่าถึงเวลาที่ว่าจริง ๆ ผมเป็นยังไง คงจะสาแก่ใจอีช้อยแล้วสินะ! สมน้ำหน้ากันออกมาให้พอ หัวเราะสะใจกับความพินาศในหัวใจเพื่อนคนนี้ออกมาให้พอ!

“มึงก็ยิ้มหน่อยสิวะ ไหนบอกกูว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไปไง”

“กูไม่ได้เป็นอะไรนี่ แค่ไม่มีอารมณ์จะยิ้มเฉย ๆ ” ใช่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ใช่ ตอนนี้ซีซั่นผ่านไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย

“เทม พี่ถามหน่อยได้ป่ะ”

“อือ ถามอะไรอ่ะพี่”

“ซีซั่นไม่โผล่หัวมาอีกเลยหรอ หลังจากวันนั้น” ผมนิ่งไปก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับการแค่นยิ้มตอบ นี่ก็ถามอะไรไม่บันเทิงสมอง ถ้ามันโผล่ออกจากหลุมมาให้ด่าบ้าง ผมจะนั่งหงอยเพราะเหงาปากแบบนี้มั้ยล่ะ

“แปลกว่ะ ทำไมตอนมันจีบณนน แม่งทำยังไงก็ไม่ยอมถอยวะ ทีเป็นเทมทำไมถอนกำลังหนีง่ายจัง”

“คีณ! ” ณนนเอื้อมมือตีไหล่คนขับ ก่อนจะหันมามองผมที่นั่งเอ๋อยิ่งกว่าเดิม คำพูดพี่คีณแม่งสะกิดใจเบอร์แรงมาก นั่นดิวะ ซีซั่นมันเป็นเหี้ยอะไรเกาะเพื่อนผมอย่างกับเห็บพันปี เขาไม่เล่นด้วยก็ร้องจะเอา ๆ แต่พอเป็นผมกลับยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนไม่เคยจริงจังอะไรตั้งแต่แรก นี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้หัวใจผมอึดอัด ยอมรับตรง ๆ นะครับ ผมคาดหวังให้มันกลับมาวุ่นวายหลังจากเดินหายออกไปจากห้องผมวันนั้น แต่เปล่าเลย สิ่งที่ผมได้รับคือการหายไปจริง ๆ หายไปในรูปแบบที่ผมไม่ได้เตรียมใจรอไว้

“มันคงแค่อยากเอาชนะ เหมือนที่ผมอยากเอาชนะนั่นแหเละพี่ ไม่ได้จริงจังอะไร”

“ไม่ได้เล่นตัวจนมันรำคาญใช่มั้ยวะ”

“คีณ เดี๋ยวหัวกุด”

“เอ้า ก็คีณอยากรู้”

“เช็กสภาพเพื่อนนนด้วย ว่ามันอยากฟังคำถามแบบนี้มั้ยอ่ะ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร ผมโอเค แค่เรื่องตลก ขำ ๆ ” พี่คีณโดนตีไปอีกครั้งแบบเต็ม ๆ แรง ผมได้แต่แสร้งขำออกมาราวกับพบเจอเรื่องน่าขบขันในชีวิต จะเถียงออกไปยังไงดีว่าผมไม่ได้เล่นตัว ผมแค่กลัวการพ่ายแพ้ที่น่าอาย และตอนนี้ผมกลับกำลังรู็สึกว่าตัวเองแพ้มากกว่าเดิมเสียอีก ช่างมันเถอะ สุดท้ายแล้วเรื่องราวเหล่านี้มันจะผ่านไปจากชีวิตผม และผมจะเป็นเทมคนเดิมที่ไม่ได้รู้สึกเผลอไผลไปกับความบ้าของใคร ขอให้เรื่องความสัมพันธ์แปลกประหลาดของผมกับคนบ้าคนนึงจบลงตรงนี้ จบลงตรงที่ผมยังระลึกถึงบทสวดในร้านส้มตำอยู่เสมอ





จบบริบูรณ์





จบบริบูรณ์ตรงนี้ก็เหี้ยแล้ว





ค่ำคืนสังสรรค์ดำเนินไปด้วยความสนุกสนานอย่างที่คาด พี่คีณ พี่เฟรน และพี่ดอมเพื่อนในกลุ่มอีกคนเล่าเรื่องชีวิตการทำงานแสนปวดหัวอย่างหฤหรรษ์ การปรึกษากันของสามหนุ่มวัยทำงานเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ส่วนจะชวนหัวแค่ไหนก็สามารถวัดได้จากเสียงหัวเราะของณนนที่ดังมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย สุราเมระยะผ่านไปตั้งแต่ขวดแรก ขวดสอง ขวดสาม พวกพี่แกกินดุเหมือนไม่เคยกินมาก่อนในรอบปี โดยพี่เฟรนที่ซดเอา ๆ โดยไม่มีท่าทีจะเมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนผมน่ะหรอ นอกจากจะนั่งเงียบนึกถึงแต่เรื่องตัวเองแล้วก็เอาแต่ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นเทลงคอแล้วนั่งเอ๋อฟังชาวบ้านเขาคุยกันอยู่แบบนั้น ช่างเถอะ ไม่ใช่เวลาที่ผมจะสนใจเรื่องของคนอื่น แค่ประคองตัวเองไม่ให้ดื่มเยอะจนขาดสติมันก็ยากพอแล้ว

“มึงไหวป่ะเนี่ยเทม”

“ไหวพี่ ผมไม่ได้เมา” ผมตอบที่เฟรนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตามความเป็นจริง ร้านนี้เป็นร้านดนตรีสดและพวกผมก็นั่งอยู่ที่โซนด้านนอกของร้านเพราะฉะนั้นจึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายและมีเสียงเพลงคลออยู่เป็นแบ็คกราวเท่านั้น

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องเมา กูก็เห็นอยู่ว่ามึงไม่ได้เมา”

“แล้วพี่จะถามทำไมวะ” ผมยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนจะคว้ามิกเซอร์ข้าง ๆ ตัวมาเทผสมแก้วใหม่ด้วยตัวเอง คนตัวคนเดียวใครจะไปพึ่งใครชงเหล้าให้ได้ล่ะวะ พี่เฟรนเขาก็มากับเพื่อนเขา ไอ้ณนนเพื่อนผมก็เอาใจใส่แฟน โอ๊ะโอ๋นั่งข้างกันจนแทบจะได้เสียกลางโต๊ะอยู่แล้ว คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองโว้ยยยย นี่ไม่ได้เริ่มเมาแล้วง้องแง้งอะไรเลย เปล๊าาา!

“กูหมายถึงเรื่องหัวใจมึง”

“...”

“กูรู้นะ ว่ามึงเป็นอะไรช่วงนี้”

“ไอ้นนเล่าให้แฟนมันฟัง แล้วพี่คีณก็เล่าให้พี่ฟังอีกทีอ่ะดิ รู้แล้วจะถามทำไม” พี่เฟรนคลี่ยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมตอบ ก่อนที่พี่แกจะพยักหน้ายอมรับตามที่ผมคาด

“คิดถึงเขา ทำไมมึงไม่ไปหาเขาวะ”

“ผมไม่ได้...”

“ปากแข็งสัด กูโดนมันถีบเละเพราะความปากแข็งของมึงวันนั้นยังไม่พออีกหรอวะ” พี่เฟรนตัดบทคำพูดผมลงเสียง่าย ๆ ผมไม่ได้คิดถึง ผมแค่ ‘นึกถึง’ ความเป็นซีซั่นที่ยังล่องลอยอยู่รอบตัวต่างหาก ยกตัวอย่างเช่นการกินเหล้าในร้านหรูหราวันนี้ แต่ผมกลับเอาแต่นึกถึงบรรยากาศร้านลาบเพลงหมอลำที่ไม่สามารถลืมลงได้ง่าย ๆ

“พี่แกว่งปากหาตีนเองต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม”

“เห้อ อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นรุ่นน้องกู กระจอกสัด” พี่เฟรนโยนถั่วแกล้มเหล้าในจานใส่หน้าผม

“อะไรของพี่วะ”

“กูจะไม่พูด เพราะกูได้ข่าวว่าเพื่อนมึงพูดไปหมดแล้ว”

“เออดี เบื่อจะฟังแล้วเหมือนกัน ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอก”

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไม่ลองทักมันไปดูวะ อย่างน้อย ๆ ก็ได้คุยกัน”

“ไหนบอกจะไม่พูดไงวะ” ผมมองพี่เฟรนด้วยหางตา เจ้าตัวไหวไหล่คล้ายไม่ได้สนใจคำพูดของตัวเองก่อนหน้าสักเท่าไหร่

“กูหมายถึงจะไม่พูดเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่กูจะพูดเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก”

“ไม่มีเรื่องต่อจากนี้ มันจบแล้ว” ผมยกแก้วเหล้าในมือพินิจด้วยความรู้สึกอึนมึนมากมาย ไม่ใช่ความมึนเพราะเหล้า แต่เป็นความมึนที่เกิดจากความรู้สึกของตัวผมเอง นั่นดิ มันไม่มีเรื่องต่อจากนี้แล้วผมจะมาจุกอกจุกใจทำไมนักหนาวะ

“เรื่องมาขนาดนี้ มึงซึมมากขนาดนี้แล้วยังจะปากแข็งอีกหรอวะ ใจมึงทำด้วยอะไรวะเทม ถ้ากูเป็นมันกูก็คงท้ออ่ะ นี่กูไม่ได้เข้าข้างไอ้ซีซั่นนะโว้ย กูเหม็นขี้หน้ามันฉิบหาย แต่กูเห็นน้องกูเป็นแบบนี้แล้วไม่โอเคว่ะ”

“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงวะ! ” ผมเสียงดังขึ้นมาจนทุกคนบนโต๊ะหันมามอง ไม่เว้นแม้แต่พี่ดอมที่เอาแต่แชทอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่นับว่ายังโชคดีที่ทั้งสามคนพยายามฟังอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้มาร่วมผสมโรงรุมผม

“หึหึ”

“โทษทีพี่ ผม...” ผมเอ่ยขอโทษเพราะรู้ตัวว่าเผลอตวาดพี่เฟรนออกไป พี่แกไม่ได้ว่าอะไรแถมยังยิ้มออกมาราวกับให้กำลังใจผม

“ทำอะไรก็ได้ให้มึงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้ โทรหามัน หรือไปหามัน แล้วคุยกันให้รู้เรื่อง บอกความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง ไม่เห็นยาก”

“ผม...”

“ถ้ายังห่วงเรื่องแพ้ชนะ เกมนี้มึงแพ้ราบคาบแล้วเทม” นั่นสินะ เกมนี้ผมแพ้ซีซั่นทุกทาง แพ้ในแบบที่มันไม่ต้องมีแต้มต่อ แถมผู้แพ้อย่างผมยังไม่กล้ายอมรับความเป็นจริงที่ทำให้ตัวเองตกลำดับในการแข่งขัน สองสัปดาห์ที่มีซีซั่นเข้ามาวุ่นวาย และอีกสองสัปดาห์ที่ซีซั่นหายไปจากชีวิตผม ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นี้มันทำให้ผมเป็นผู้พ่ายแพ้และมีประโยคง่าย ๆ แปะติดอยู่ที่กลางหน้าผาก





‘ผมชอบซีซั่น’





“ไม่มีใครว่าอะไรมึงหรอก ถ้าพวกมึงจะได้กันตอนจบเหมือนหนังคอมเมดี้ มีแค่มึงคนเดียวเท่านั้นแหละเทมที่ยังถือทิฐิมีอคติไม่เข้าเรื่อง วางทุกอย่างลงแล้วเป็นฝ่ายเข้าหามันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร” ผมคิดตามที่พี่เฟรนพูดทุกคำ ใช่ว่าก่อนหน้านี้ณนน นีล หรือเฟย์ไม่ได้พูด แต่ว่าการฟังข้อความที่มีใจความเดียวกันซ้ำ ๆ มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าทนอยู่กับการวางมาดของตัวเองไม่ไหว การพูดซ้ำอีกครั้งของพี่เฟรนเป็นเหมือนการตอกตะปูปิดฝาโรงตราหน้า ว่าถ้าหากผมไม่เปิดใจตัวเองออกมาบ้าง ผมคงจะเป็นผู้แพ้ที่ไม่เหลืออะไรเลย

“ผม… ผมไปดีกว่า ไม่อยากฟังพี่พูดแล้ว”

“ไปไหนวะ”

“ห้องน้ำ ไปคุยกับชักโครก” ผมวางแก้วลงและลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ณนนทำท่าจะร้องทักแต่พี่เฟรนยกมือห้ามไว้และเดินตามผมออกมา ขอเวลาคิดอะไรคนเดียวเพลิน ๆ สักพักเถอะ อย่างมากผมก็แค่โก่งคออ้วกออกมาเพราะความเครียดเท่านั้น

“รอแปบ พี่ไปด้วย” พี่เฟรนวิ่งเข้ามาโอบคอผมไว้ ผมไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าไปในตัวร้านเพื่อจะผ่านไปเข้าห้องน้ำไปที่โซนด้านหลัง แต่ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะไปถึงห้องปลดทุกข์ปลดโศกอย่างที่ตั้งใจ โต๊ะใหญ่กลางร้านก็ชวนให้ผมหันไปมองด้วยหัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่าไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก ที่ผมเห็นเป็นแกงค์วิศวโยธาที่เคยพบเจอไม่ผิดแน่ แถมไอ้ตัวที่กำลังนั่งหัวเราะร่าอยู่นั่นเป็นคนที่ผมเพิ่งจะพูดถึงไปหมาด ๆ ไม่ผิดแน่

“เห้ย นั่นมัน...”

“ผมรู้แล้วน่าพี่” ผมยั้งไว้ไม่ให้พี่เฟรนพูด ใจจริงก็อยากจะเดิน ๆ หนีไปซะ ถ้าไม่ติดว่าสองขามันไม่ยอมขยับเขยื้อนย้ายตำแหน่ง ที่สำคัญโชคชะตาใจร้ายยังกระทำการเหี้ยมโหดโดยการดลใจให้มันมองมาทางผม ไอ้หัวล้านนั่นกำลังมองลึกลงไปในดวงตาที่เกือบจะสั่นของผม ไม่รู้สิ ผมไม่รู้จะพูดยังไง ไอ้ความดีใจที่ได้เจอก็เรื่องนึง ไอ้การที่โดนมองตาด้วยความหมายหลากหลายก็เรื่องนึง ไอ้การที่ซีซั่นสดใสร่าเริงแฮปปี้กับชีวิตมันก็เรื่องนึง





ไอ้นักร้องเวรตะไลที่ร้องเพลงเหี้ย ๆ อยู่นี่ก็เรื่องนึง





‘ถ้าคิดจะปล่อยมือฉันแล้ว อย่าปลอบกันด้วยสายตา

ไม่เอากอดสุดท้ายไม่เอาจูบลา ไม่ต้องการใดๆ

แค่ปล่อยทิ้งฉันไว้ จากไปอย่าย้อนมองคืนมา

ทุกเรื่องราวดีๆ ของเธอและฉัน ยังเห็นมันชัดเจนในตาคู่นั้น

คงยากเกินถ้าต้องบอกลาผ่านสายตา’




ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
‘จบไปก็นานห่างกันก็ไกล แต่ใจทำไมยังรัก และคิดทุกวันว่าอยากย้อนไปทำอะไรดีๆ ให้เธอ ผิดเองที่รู้ตัวช้า ที่จริงรักเธอเสมอ ขาดเธอ… เพิ่งรู้ว่าฉันไม่เหลืออะไร’





ใครก็ได้ช่วยหาเบอร์นักร้องให้ที ผมจะโทรไปด่าพ่อมัน เป็นเอี้ยอะไรร้องเพลงขยี้ฉิบหาย ขยี้อยู่นั่น ดึงเสียงอยู่ได้ แหม่ จัดบทเพลงมาต่อเนื่องไม่มีขาดสาย เพราะสุด ๆ ไปเลยโว้ยพวก เพราะอะไรเอ็งถึงร้องเพลงทำร้ายชีวิตกันแบบนี้วะ! ค่ำคืนนี้ปิดท้ายด้วยธรณีกรรแสงไปเลยมั้ยล่ะ เอาให้สุด เอาให้ชีวิตเทมนทีบันเทิงมากกว่านี้!





‘ชืด ชือดึด ชืดดึด ชือดึด’





“ชือดึดชืดดึดพ่อง! ” ผมสะบัดออกเสียงระหว่างที่จัดการกิจธุระของตัวเองที่โถฉี่ มองอุ๋งน้อยลูกชายคนเดียวแล้วก็ได้แต่เศร้าสลดหดหู่ใจ ซาวน์ทำนองประกอบที่ดังลอดเข้ามาในห้องน้ำแม่งกินใจฉิบหาย จะดีกว่านี้มั้ยวะถ้ามันไม่ปิดท้ายเพลงสลดหดหู่เพราะรู้ตัวช้าด้วยเสียงฮึมฮัมทำนองแบบนั้น แม่ง แทบจะเยี่ยวไม่ออก หงุดหงิดโว้ย! หงุดหงิด!

“เว้ย มีเกรี้ยวกราดโว้ย”

“เงียบไปเลยพี่” ผมสะบัดเสียงใช่พี่เฟรนที่กำลังยิงลำแสงลงโถอยู่ข้าง ๆ ไม่มีอะไรจะเถียง ไม่มีอารมณ์จะตบตี ชีวิตคนเราแม่งไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปเสมอหรอก ผมจะยกตัวอย่างอะไรให้นะ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของผมหรอก มันเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทผมคนนึง มันดันไปตกหลุมรักคนคนนึงเข้า แต่กว่าจะรู้ตัวเขาก็หนีหายไปซะแล้ว แต่แล้วความบังเอิญทำให้มันเจอเขาอีกครั้ง พอจะเข้าไปทักกลับกลายเป็นว่าไอ้เวรตะไลนั่นเดินหนีไปหน้าตาเฉย คราวนี้มันก็เหลวสิครับท่าน สภาพจิตใจแม่งแทบจะทรงตัวไม่อยู่





ขอย้ำ นี่เป็นเรื่องของเพื่อนผม ไม่ใช่เรื่องของผม





“อะไรวะ แค่ไอ้ซีซั่นเดินหนีแค่นี้ ถึงกับต้องเขี้ยวงอกเลยหรอ” ผมบอกแล้วไงว่าข้างบนนั่นไม่ใช่เรื่องของผม แค่ความบังเอิญทำให้เรื่องมันละม้ายคล้ายกันเท่านั้น

“ไม่เกี่ยวกันนี่ ผมไม่ได้สนใจสักหน่อย” เมื่อเสร็จกิจธุระผมจึงเดินเลี่ยงพี่เฟรนมาล้างมือที่อ่าง ผมมองตัวเองผ่านกระจกฝ้าและแสงไฟสลัว อะไรทำให้ผมมีสีหน้าเบื่อโลกจนมุมปากคว่ำขนาดนี้วะ หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่ได้ดั่งใจเมื่อราวสิบนาทีก่อน





“เอาไงวะ”

“เอาไงอะไรของพี่” ผมเอียงหน้าหนีพี่เฟรนที่ก้มกระซิบอยู่ข้างหูทั้งที่สายตาไม่ได้ละไปจากซีซั่น ไม่ได้เจอกันหลายวันคนตรงหน้ายังคงสดใสเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะสดใสกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ แต่แล้ววินาทีที่เขาเห็นว่าผมยืนจังก้าอยู่ตรงนี้ ความสดใสเหล่านั่นกลับสงบลง เหลือเพียงความเคร่งขรึมที่ขัดไปกับมนุษย์เพื่อนรอบกาย

“มันอยู่นั่นแล้ว ไม่เข้าไปคุยหน่อยรึไง”

“คุยแล้วจะได้อะไรวะพี่”

“ถ้าคุยแล้วไม่ได้อะไร มึงก็จับจูบแม่งเลย”

“ประสาท! ” ผมด่าพี่น้องร่วมสถาบันของตัวเองก่อนจะสะบัดช่วงแขนของเขาบนไหล่ผมออก นี่ผมไม่ได้เคลิ้มอะไรไปกับคำยุยงของพี่เฟรนหรอกนะ แต่จังหวะที่ซีซั่นยกแก้วเหล้ายกซดพรวดเดียวแล้วเมินการมองจากผม ความคิดข้างในมันก็หุนหันพลันแล่นเฝ้าบอกตัวเองว่าไม่ได้! อย่างน้อยถ้าคุยกันไม่ได้ความ ผมจะต้องได้ด่าซีซั่นสักสามยกติด ทำไมวะ! ถอดใจง่าย ๆ แค่นี้เลยหรอ!

“ด่ากูประสาท แล้วนั่นมึงจะไปไหน”

“ไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง”

“อ้าว ย้อนแย้งสัด” ผมได้ยินเสียงพี่เฟรนตามหลัง แต่ ณ จุดนี้แล้วผมไม่ค่อยอยากจะสนใจใครเท่าไหร่ สองขาสาวเข้าไปใกล้กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ตรงนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนบนโต๊ะเริ่มมองเห็นผมและสะกิดกันให้มองอย่างกับผมลืมรูดซิบกางเกง แต่นั่นทำให้ผมเสียเซลฟ์ไม่ได้หรอก เพราะแอลกอฮอล์มันเสริมความแกร่งบนใบหน้าให้เรียบร้อยแล้ว แต่ที่ทำให้ใจแม่งโหวงจนแทบจะร้องน่ะ มันจังหวะที่ซีซั่นลุกออกจากกลุ่มและเดินหนีผมไปหน้าตาเฉยต่างหาก





เพิ่งรู้ว่าการโดนเมินมันเจ็บจี้ดที่ใจดีเหมือนกัน





โอเค ผมยอมรับก็ได้ ว่าไอ้คนที่หัวใจเหลวไม่เป็นท่ามันคือผมเอง





เมื่อเสร็จกิจธุระผมเดินนำพี่เฟรนออกจากห้องน้ำโดยไม่ปรายตามองทางผ่านตำแหน่งเดิมอีก ช่างมันดิ จะเดินหนีหรือนั่งอยู่ที่เดิมมันก็ไม่ได้มีผลอะไรอีกแล้ว ในเมื่อเห็นอยู่ตำตาว่าผมกำลังเดินเข้าไปแต่กลับหนีหายไป นั่นก็เท่ากับว่าเรื่องที่ควรจะต้องคุยกันเป็นอันจบ คนแบบผมไม่มีความอดทนกับการลดทิฐิของตัวเองมากขนาดนั้น สภาพจิตใจแข็งแกร่งดั่งเต้าหู้นั้นไม่ได้สร้างมาเพื่อให้ผมวิ่งตามมันไปเยี่ยงซีรีย์เกาหลี นี่ชีวิตจริง ชีวิตที่เล่นตลกแม้กระทั่งตอนที่ผมเดินถึงโต๊ะและหวังจะกระแทกเหล้าเข้าปากห้มันสาแก่ใจ

“เป็นไรกัน” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อก้นสัมผัสเก้าอี้ตัวเดิม สายตาคนทั้งโต๊ะแปลก ๆ ไป และมีความนิ่งเงียบจนผิดปกติ เสียงแกว่งน้ำแข็งในแก้วของผมยังดังเสียกว่า ณนนพยายามขยิบตาใส่ผมเฉียงไปทางข้างตัวที่เป็นที่นั่งของพี่เฟรน มันจะมีอะไรวะ พี่เฟรนแม่งมีอะไรแปลกไปรึไง

“มึง… มึง...” แต่เดี๋ยวนะ พี่เฟรนแม่งเดินตามผมมานี่หว่า แล้วไอ้ที่นั่งไหล่ชนกับผมตอนนี้นี่มันคือใคร

“อะไร...” ผมลดเสียงลงแทบไม่ทันการ เป็นอันชัดเจนในวินาทีที่ผมตั้งสติและมองไปข้างตัว ตอนนี้มีความผิดปกติเกิดขึ้นถึงสามข้อ หนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมไม่ใช่พี่เฟรน สองพี่เฟรนยืนค้ำหัวคนทั้งโต๊ะด้วยท่าทางที่ไม่ชอบใจเท่าไหร่ และสาม แขกไม่ได้รับเชิญที่นั่งกอดอกดึงหน้าอยู่ตอนนี้คือคนเดียวกับไอ้หัวเกรียนที่เพิ่งจะเดินเลี่ยงผมไป





แล้วแม่งมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้ไงวะ!





“หวัดดี”

“...” หวัดดีหาพ่อง! ผมอยากจะตะโกนออกไปจริง ๆ เห็นสีหน้าแววตาเรียบเฉยไร้รู้สึกของมันแล้วอยากจะกระฟัดกระเฟียดโวยวายออกมาให้หมด แต่ความเป็นจริง ผมทำได้แค่คว่ำริมฝีปากตัวเองลงพร้อมสีหน้าน้อยอกน้อยใจเท่านั้น ชีวิต! ทำไมถึงทำกับไอ้เทมแบบนี้ สีหน้าตุ๊ดเด็กน้อยใจแบบนี้มันควรจะแสดงออกไปซะที่ไหนวะ

“หวัดดี และนั่นเก้าอี้กู” พี่เฟรนวางมือลงบนบ่าของซีซั่นแต่รายนั้นรีบสะบัดมือพี่เฟรนออก พร้อมกับการหันมาส่งสายตาท้าทาย ดวงตาเชื่อมเงานั่นมองดูแวบเดียวก็รู้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายซีซั่นจำนวนไม่น้อย

“ขอโทษนะครับคุณ แต่ผมจะนั่ง”

“เหอะ ใครชวนนายนั่งโต๊ะนี้ไม่ทราบ” พี่เฟรนแสยะยิ้มมองซีซั่นด้วยสายตาขบขันมากกว่าเหยียดหยาม คนทั้งโต๊ะมองสถานการณ์เลือกไม่ได้ด้วยอาการเซ็ง ๆ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้มีใครคิดจะห้ามทัพ หรือคิดจะทำอะไรมากไปกว่ากินเหล้าในแก้วตัวเอง

“ไม่มีใครเชิญหรอก แต่ผมพอจะใจจะนั่งตรงนี้”

“อย่ากวนได้ป่ะซีซั่น นี่ที่พี่เฟรน” น่าเสียดายที่ประโยคแรกที่ผมได้คุยกับซีซั่นคือประโยคนี้ หาใช่ประโยคต่าง ๆ นานาที่ค้างคาอยู่ในใจ อาการเซ็ง ๆ เมื่อครู่บังคับให้ผมต้องถอนหายใจพร้อมกับการเบือนหน้าหนี ผมจะหงุดหงิดใจ จะนึกถึงมันไปทำไมกันวะ ถ้าสุดท้ายแล้วการเจอกันจริง ๆ ก็ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นสักเท่าไหร่ สายตาที่ผมถูกมันมอง ไม่ต่างอะไรกับคนไม่เคยรู้จักกัน เจ็บดีจังโว้ย

“หรอ แล้วไง”

“ซีซั่น! ”

“ไม่เป็นไร กูยืนได้” พี่เฟรนว่า พลางแทรกตัวเข้ามายืนตรงกลางระหว่างผมกับซีซั่น ด้วยระยะแคบ ๆ ทำให้ทั้งโต๊ะต้องพากันขยับเก้าอี้หนีเป็นวงกว้าง เว้นไว้เพียงแขกไม่ได้รับเชิญที่ไม่ได้ดูรู้ร้อนรู้หนาวอะไร

“พี่มานั่งที่ผม”

“มึงนั่งไป กูจัดการเอง” พี่เฟรนหันมาขยิบตา พาดแขนลงกับพนักเก้าอี้ด้านหลังราวกับจะโอบผมไว้ ก่อนเขาจะดึงแก้วตัวเองที่อยู่ด้านหน้าซีซั่นมาดื่มต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไงล่ะ ซีซั่นแม่งหน้าเขียวปั๊ดหูแดงแปร๊ด แล้วดูนั่น อย่าคิดนะว่าไม่รู้ พี่คีณ พี่ดอม ไอ้นน ทำเป็นไม่สนใจก้มพิมพ์แต่โทรศัพท์ พวกยูกำลังนินทาข้าอยู่ในแชทใช่มั้ยล่ะ

“เป็นห่วงกันดี”

“อันนั้นมันก็หน้าที่ที่กูจะต้องเป็นห่วงน้องกูอยู่แล้ว... เทมชงเหล้าใหม่ให้พี่แก้วนึง” ผมเอื้อมหยิบแก้วและจัดการชงเหล้าระดับความเข้มมาตรฐานไปให้พี่เฟรนตามคำสั่ง สองคนนั่นใช้สายตาประจันหน้ากันจนคนอย่างผมแทบจะตัวลีบตัวเล็ก ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ไม่อยากคุยแล้ว หมดฟีลลิ่งตั้งแต่โดนเมิน ให้พี่เฟรนช่วยกันเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร

“ขอบคุณ” ซีซั่นเอ่ยขึ้นเมื่อพี่เฟรนยื่นแก้วเหล้าให้ ร่างสูงยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ซีซั่นอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวจนอยากหาอะไรกระแทกปาก หรือว่ามันโหยเหล้าฟรีโต๊ะชาวบ้านกันแน่

“แล้วมาที่โต๊ะนี้ทำไม รู้จักใครหรอ” คำถามของพี่เฟรนเล่นเอาผมต้องเงี่ยหูฟัง เจ้าตัวเลี่ยงตอบคำถามนี้ด้วยการเบี่ยงไปที่ประเด็นอื่นแทน

“ไม่รู้สิ… แค่อยากรู้บางเรื่อง เลยเดินมาดู”

“เรื่องไหนล่ะ”

“จีบเทมอยู่หรอ” คำเสียงจริงจังจากปากคนอยากรู้ทำให้น้ำลายในปากผมแทบพุ่ง กูจะบ้าตาย มานั่งหน้าบึ้งหน้าตึงเพราะอยากรู้เรื่องมหัศจรรย์ที่เป็นไปไม่ได้แบบนี้เนี่ยนะ แล้วถ้าจะมาเสยหน้าถีบหันอีกไม่เอาแล้วนะเว้ย รอบนี้ผมขอวิ่งหนีไม่คิดชีวิตจริง ๆ ด้วย

“จีบไม่จีบแล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย เลิกจีบเทมไปแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่า...จริง ๆ แล้วยังตัดใจจากเทมไม่ได้” คำถามของเฟรนกระตุ้นต่อมอยากรู้ของผมได้ดีเลยทีเดียว

“แค่อยากรู้เอาไว้เฉย ๆ เห็นเดินโอบกันอย่างกับแฟน”

“หึหึ… ถ้างั้นฉันคงบอกให้นายรู้ไม่ได้หรอก” ผมโคตรเกลียดเสียงหัวเราะของพี่เฟรนตอนนี้ มันแฝงไปด้วยชั้นเชิงทางคำพูด การปั่นประสาทเกมนี้พี่เฟรนต้องเป็นชนะแน่ ๆ ส่วนคนแพ้น่ะไม่ใช่ซีซั่นหรอก แต่เป็นผมที่นั่งใจสั่นอยู่ตอนนี้ต่างหาก เมื่อกี้ซีซั่นแม่งเห็นผมกับพี่เฟรนแล้วถึงกับต้องมาถามถึงที่เลยงั้นหรอ

“โอเค ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น ถ้ายังไงอยากจะขอยืมตัวเทมสักเดี๋ยว” ผมหันขวับเมื่อได้ยินซีซั่นพูดแบบนั้น เขาทำท่าจะลุกขึ้นแต่โดนพี่เฟรนกดไหล่ให้นั่งลงไปที่เดิม ดูเหมือนว่าพี่เฟรนจะกลายเป็นคนตัดสินใจแทนผม ถ้าเป็นก่อนหน้าผมคงจะเป็นฝ่ายยืนขึ้นและลากคอซีซั่นออกไปเอง แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังค้างคาผมจึงอยากจะนั่งอยู่นิ่ง ๆ กับที่มากกว่า

“ไม่ได้ ฉันไม่อนุญาต”

“ผมไม่ได้ขออนุญาต ผมแค่แจ้งให้ทราบ” พี่เฟรนยังคงขัดขวางการลุกจากที่นั่งของซีซั่นทั้งคู่มองหน้ากันจนผมแทบจะจุดธูปขอพรอย่าให้มีภาพกีฬามัน ๆ ในคืนนี้ ซีซั่นทอดถอนลมหายใจออกมาก่อนจะนั่งพิงลงไปกับเก้าอี้อย่างเซ็ง ๆ ผมเหลือบตามองสีหน้าเขาเพียงครู่ ก่อนจะกลับมาโฟกัสที่แก้วของตัวเองเงียบ ๆ ผมไม่อยากจะพูดอะไร ไม่อยากคิดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างตัวเป็นเรื่องของผม ความรู้สึกทำไมมันเข้าใจยากแบบนี้วะ ทำไมผมถึงอึดอัด ดีใจ และน้อยใจในเวลาเดียวกัน

“ต่อให้แจ้งให้ทราบก็คงไม่ได้อยู่ดี วันนี้ฉันต้องไปส่งเทม ถ้านายพาเทมไปแล้วไม่กลับมา ฉันจะทำยังไง” ผมเลิกคิ้วสบตากับพี่ดอมเมื่อพี่เฟรนกำลังโกหกตาใส พี่มึงจะไปส่งผมได้ยังไงครับ ในเมื่อวันนี้มันเกาะล้อรถพี่ดอมมา โอ้โห เนียนยิ่งกว่ารองพื้น

“คุณก็ไม่ต้องไปส่ง เดี๋ยวผมไปส่งให้เอง”

“อยากคุยกับเทมขนาดนั้นเลยหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“ตั้งสองอาทิตย์ เพิ่งคิดได้รึไงว่าต้องคุย” ให้มันได้อย่างงั้นเส่! ผมอยากจะยกนิ้วให้พี่เฟรนจริง ๆ ที่ช่วยพูดอะไรเป็นประโยชน์สักที

“ไม่ใช่เพิ่งคิดได้… แค่ทำตัวตามเงื่อนไข” คำตอบของซีซั่นเหมือนโยนระเบิดลูกใหญ่ ๆ เข้ามากลางหัวผม ผมคาดเดาอะไรจากน้ำเสียงของเขาไม่ได้เลย มีเพียงเสียงหัวเราะหึหึจากพี่เฟรนที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปมากแค่ไหน ใครจะไปคิดล่ะครับ ว่าคนที่ดื้อดึงมาตลอดอย่างซีซั่น จู่ ๆ จะลุกขึ้นมาทำตัวตามข้อตกลงที่ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้





“เทม… เป็นแฟนกันมั้ย หรือจะให้เราหายไปจากชีวิตเทม”

“ออกไปจากชีวิตกูซะ”





ดูเหมือนว่าคำพูดที่ผมไม่ได้ใส่ใจ จะอยู่ในใจของเขาทั้งหมด

ฉิบหาย ทำไมผมต้องนั่งสำนึกเหมือนผู้ต้องหาคดีมาตกรรมแบบนี้วะ





“กินเหล้าด้วยกันก่อน หมดขวดแล้วจะให้ยืมตัวไปแปบนึง แค่สิบนาที” พูดจบพี่เฟรนก็เดินไปขอเก้าอี้จากโต๊ะอื่นมานั้นซ้อนในลักษณะสลับฟันปลา เขาวาดแขนผ่านตัวผมคว้าขวดเหล้าที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่นานไว้ในมือ เขาค่อย ๆ รินมันลงไปในแก้วสองใบท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ถูกบังคับให้ติดตามสถานการณ์อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้

“มึงก็ปล่อยมันไปคิดกันก่อนดิวะ ไม่เห็นเป็นไร” พี่ดอมว่า ก่อนที่พี่คีณและณนนจะช่วยเสริมด้วยการถามความเห็นผม

“เออ นี่ก็ไม่ถามความเห็นน้องมันเลย ”

“มึงว่าไงเทม ถ้าไงกูตามไปด้วยได้นะ”

“กินเหล้าให้หมดก่อนก็ได้” ผมตอบอย่างไม่ได้สนใจอะไร ไม่อยากจะขัดกับสิ่งที่เฟรนพูดไปก่อนหน้า เมื่อผมยืนยันแบบนี้คนอื่น ๆ จึงได้แต่เฝ้ามองและก้มลงนินทาในแชทต่อไป ขอเวลาเก็บรวบรวมสติตัวเองให้อยู่เป็นรูปเป็นร่างก่อนเถอะ รอเวลาให้เหล้าอีกค่อนขวดหมดป่านนั้นซีซั่นอาจจะเมามากจนไม่อยากคุยกับผมแล้วก็ได้





แต่เดี๋ยวนะ… เมางั้นเหรอ





“พี่! ” ผมเด้งตัวพรวดขึ้นมาโหวกเหวกเสียงดังจนคนทั้งโต๊ะตกใจ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันการ กว่าผมจะคิดได้ซีซั่นก็คว้าแก้วเหล้าเพียว ๆ ที่พี่เฟรนรินให้กระดกพรวดรวดเดียวลงคอ ฉิบหายแล้ว ตอนแรกมันก็ดูจะเมา ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าขาดสติขึ้นมาร้านเหล้าไม่กลายเป็นศาลาวัดหรอ

“เป็นไรวะ” พี่เฟรนถามขณะที่หยิบขวดเหล้าจะรินให้ซีซั่นอีก

“เออ มีอะไรเปล่าวะมึง”

“เราหยุดกินเหล้ากันดีกว่า” ผมไม่ได้ตอบณนน แต่พยายามคว้าขวดในมือพี่เฟรนมาเก็บเอาไว้ก่อน ผมยังจำเรื่องครั้งก่อนได้ติดตาติดหู ถ้ามันเริ่มสวดเมื่อไหร่จบไม่ลงแน่บอกไว้ก่อน

“เอามานี่ รีบกิน จะได้รีบไปคุย” ระหว่างที่ผมกำลังยื้อยุดกับพี่เฟรน ซีซั่นก็มาดึงขวดไปรินเองหน้าตาเฉย แทบยังมีน้ำใจรินจนครบทุกแก้วบนโต๊ะ จะมีใครเข้าใจว่าผมกำลังกลัวอะไร แล้วถ้าบอกว่าผมกลัวซีซั่นสวดมนต์ใครจะเชื่อวะ คนเหี้ยอะไรเมาแล้วคอสเพล์ยเป็นพระ

“ไม่ต้องกินแล้ว จะคุยก็คุย” ก่อนที่เหล้าแก้วต่อไปจะเข้าปากซีซั่นได้ชะงักลงเพราะคำพูดของผม

“พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้นไม่ใช่หรอ” เจ้าตัวกระตุกยิ้มร้ายระดับตลกคาเฟ่ ทำสีหน้าเหมือนไม่ได้สนใจใยดีอะไรกับคำพูดของผม และทำให้ผมรู้ว่าคืนนี้ผมคงจะห้ามงานบุญงานกุศลไม่ได้ เอาวะ ผมจะถือว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ไม่ดีที่ผมจะคุยกับซีซั่นก็แล้วกัน อย่างน้อยแค่รู้มันยังไม่ตายก็ดีแล้ว

ไม่กี่นาทีผ่านไปเครื่องดื่มหยดสุดท้ายถูกเทลงแก้ว ผมเฝ้ามองซีซั่นมาตลอดและเห็นว่าตอนนี้เขาเริ่มนิ่งเหมือนที่ร้านลาบวันนั้นไม่มีผิด ระหว่างที่เฟรนไม่ได้มีอาการเมาอะไรเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่ซดแบบเพียวเข้าไปในปริมาณเท่า ๆ กัน ทั้งโต๊ะเฝ้ามองเหล้าแก้วสุดท้ายที่วางอยู่ตรงหน้าซีซั่นระหว่างที่เขาเองก็มองมันอย่างพินิจพิจารณา ถ้าจะให้ผมเดาตอนนี้เขาคงจะพยายามตั้งสมาธิกับอะไรบางอย่าง และคงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ผมเดาไว้ตั้งแต่แรก ยินดีด้วยนะพุทธศาสนิกชนทุกคน

“เทม พนมมือทำไมอ่ะ” พี่ดอมถามขึ้น เมื่อเห็นว่าผมยกมือขึ้นมาพนมรอไว้ก่อนแล้ว ซีซั่นเริ่มกดสายตาคว่ำลงและเม้มเรียวปากแน่นสนิท เชื่อหัวไอ้เทมเถอะ แม่งมาแน่!

“เดี๋ยวพวกพี่ก็รู้”

“หรือว่าซีซั่นเมาแล้วมีอะไร” เสียงของณนนค่อนข้างเป็นกังวล เขาคงจะเห็นว่าผมพนมมือและเบี่ยงตัวมองซีซั่นเอาไว้ตลอด แถมตอนนี้ซีซั่นนิ่งไปคล้ายคนกำลังชาร์จพลังงานเสียด้วย

“นั่นดิวะ”

“ทุกคนรอเลย เดี๋ยวจะอึ้ง” ผมตอบพี่เฟรนและทุกคนแบบนั้น และแน่นอนว่าซีซั่นไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนานแน่ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขาคว้าเข้าที่สองมือของผมที่พนมประกบกันอยู่ ซีซั่นจับมันรวบไว้ด้วยมือข้างเดียวและจ้องผมตาไม่กระพริบ เอาเลยสิ รอบนี้จะสวดมนต์บทไหนให้ฟังล่ะ คราวนี้ภูมิต้านทานไอ้เทมดีแล้วโว้ย!





“คิดถึงฉิบหายเลยว่ะ”

“...”

“ตัดใจไม่ได้เลย ทำไงดีวะ”

“...”

“เริ่มจีบใหม่ได้มั้ย”

“...”

“แต่เทมเกลียดเรา สู้ไปก็เหนื่อยอยู่ดี”

“...”

“ทำไมต้องไปเดินให้คนอื่นเกาะแกะ”

“...”

“เทมไม่สนใจเราเลยด้วยซ้ำ แต่เราทำไม่ได้ไง”

“...”

“จะไปหา จะคุยด้วย ก็กลัวโดนเกลียดมากกว่าเดิม”

“...”

“ขอโทษนะ...แต่ว่าคิดถึงจริง ๆ ”





ผมคงจะพลาดไป ภูมิต้านทานผมคงยังไม่มากพอถึงได้นิ่งไปกับคำพูดวกวนไปมาของซีซั่น แถมทั้งโต๊ะยังเป็นใจเงียบจนผมได้ยินเพียงเสียงของเขาก้องอยู่ในหู ไม่ได้มีการสวดมนต์หรือการกระทำการที่น่าตลกขบขัน มีเสียงคำพูดที่ทำให้ใจผมอ่อนยวบยาบลงไปหมด พอพูดจบซีซั่นก็ปล่อยมือผมออกและเคลื่อนเก้าอี้ออกเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น ทำไมผมจะไม่รู้ว่าครึ่งนึงของความรู้สึกของเขามันเป็นยังไง ในเมื่อลึก ๆ แล้วผมก็มีความ ‘คิดถึง’ ที่มีอิทธิพลไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวซีซั่น” ผมลุกขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ทันได้รั้งร่างกายหรือพูดอะไรในใจออกไปร่างสูงตรงหน้าก็คว้าแก้วเหล้าที่มีของเหลวบรรจุอยู่เต็มแก้วขึ้นมาไว้ในมือ ดวงตาของเขาวาววับไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เขายังยืนได้ไหวโดยไม่โอนเอน และเชื่อมั้ยครับถ้าผมรู้สักนิดว่าเขาจะทำอะไรต่อจากวินาทีนี้ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องมันเกิดขึ้นแน่นอน





มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกย่ำแย่มาก ๆ





“ยะถา วาริวะหา ปูรา ปริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิโชติระโส ยะถาาาาาาาาาาาา” เหล้าในแก้วค่อย ๆ ถูกรินลงมาพร้อมกับเสียงสวดที่มีความดังระดับได้บุญกันทั้งร้าน พี่ดอม พี่คีณ และณนนเบิกตากลมเท่าไข่ห่านเหมือนเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อาการไม่ได้ต่างจากผมตอนที่เจอครั้งแรกเท่าไหร่หรอก อาจจะมากกว่าหน่อยโดยเฉพาะท่อนยะถาที่ซีซั่นลากเสียงยาวให้เท่ากับปริมาณของเหลวที่เทพรวดลงมา





ผมรู้สึกแย่จริง ๆ ที่เผลอปล่อยความรู้สึกให้ซึ้งไปกับคำพูดก่อนหน้าของมันเนี่ย!





“แค่ก ๆ ไอ้เหี้ย! นี่มะ...มึง”

“สัพ พีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ, อายุ วัณโณ สุขัง พะลังงงงงงงง”





จะดีมั้ยถ้าเราจะมีงานบุญและงานศพต่อเนื่องกัน

ใครใช้ให้มึงไปกรวดน้ำลงบนหัวพี่เฟรนวะ! ไอ้ซีซั่นหัวกรวยโวยยยย!



“ขอความจัญไรทั้งปวง จงหายไป ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย เลิกยุ่งกับคนของคนอื่นเสียที! ”



TBC


ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ตอนที่ 14 จีบใหม่เสียเวลา

บางทีผมก็คิดนะ ว่าชีวิตเฮงซวยเยี่ยงมุกตลกคาเฟ่ของผมอาจจะไม่เหมาะกับการใช้ความรู้สึกดราม่าเวิ่นเว้อ ไม่รู้สิครับ ข้างในใจผมมันก็ยังแย่แหละ ไม่ได้มีอะไรลงตัวสักอย่าง เพียงแต่สถานการณ์ตามความเป็นจริงไม่ได้หล่อหลอมให้ผมแย่ไปตามสภาวะจิตใจข้างในเลย พอบทจะเศร้าก็มีเรื่องเข้ามาไม่หยุด พอเริ่มจะหงอยซึมความบันเทิงที่ไม่น่าขำก็เข้ามาเยือนจนตั้งหลักรับไว้แทบไม่ทัน

“นอนโซฟาไปแล้วกัน” ผมโยนผ้าห่มผืนบางให้คนที่นั่งคอตกมองไข่ตัวเองอยู่บนโซฟา ไม่คิดเลยว่าวันนี้ผมจะต้องเปิดห้องรับคนจรจัดด้วยความมีน้ำใจเป็นครั้งที่สอง เหอะ! เตรียมหูฟังผมเล่าให้ดี ๆ เลยครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ซีซั่นกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

หลังจากบทกรวดน้ำจบลงพร้อมกับการเปียกเหล้าไปทั้งตัวของพี่เฟรน ซีซั่นก็เปิดโหมดมัลติทาสกิ้งทั้งสวดทั้งด่าทั้งงอแงไปพร้อม ๆ กัน จนคนโดนกระทำอย่างพี่เฟรนถึงกับโกรธไม่ลง และเอาคืนไปด้วยการโบกหัวเต็มแรงแค่ครั้งเดียว อย่างว่าแหละครับ ผมว่าพี่แกถือคติไม่โกรธคนบ้าไม่ว่าคนเมา พอเป็นแบบนั้นไอ้เรื่องที่ว่าจะไปคุยกันหลังเหล้าหมดจึงต้องโมฆะไป แล้วทีนี้ผมกับซีซั่นก็ควรจะแยกย้ายทางใครทางมันใช่มั้ยครับ ไม่! ไม่ใช่เลย!

“ไม่เอาจะไปกับเทม! ”

“เทมเอาไง พี่ดูให้ไม่ไหวหรอกนะ”

เมื่อดูท่าว่าอาการเมาสายบุญจะไม่สงบลงง่าย ๆ แถมซีซั่นยังทวีความงอแงดีดดิ้นน่าถีบมาขึ้นเรื่อย ๆ พี่ดอมจึงอาสาหิ้วปีกไปส่งถึงโต๊ะกลุ่มเพื่อนเจ้าตัวที่อยู่ด้านใน นับว่าโชคชะตายังเข้าข้างที่ไม่ดลบันดาลให้กลุ่มเพื่อนของซีซั่นกลับไปจนหมด แต่ผมขอด่าโชคชะตาสักทีเถอะครับที่ช่างสรรหาคนสติน้อยไร้ศักยภาพมาเกาะกลุ่มเป็นเพื่อนกัน คิดดูเถอะ พี่ดอมต้องลากซีซั่นกลับมาพร้อมสาธยายให้ฟังว่าไม่มีเพื่อนคนไหนสนใจหรือเอาซีซั่นอยู่สักคน ส่วนอิสระกับไฉคงจะไม่ได้อยู่ที่โต๊ะเพราะพี่ดอมพยายามเรียกหาตามที่ผมบอก แต่หามีเสียงใดโต้ตอบกลับมาไม่ ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้มีหวังซีซั่นเปิดงานเทศน์มหาชาติเรียกตีนคนทั้งร้านมาประทับบนร่างแน่

เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้ละความพยายาม ใครจะยอมแบกคนที่ยังมีประเด็นต่อกันขึ้นหลังกลับห้องไปง่าย ๆ ครั้งก่อนที่มันไล่กัดผมเหมือนหมาผมเองก็ยังคงจำได้ไม่ลืม แต่ผมก็ไม่ได้แล้งน้ำใจถึงขนาดทิ้งขว้างมันไว้ตรงนั้นได้นี่นา ก่อนจะกลับผมต้องจัดการคนที่เมากว่าให้เรียบร้อยเสียก่อน จังหวะนั้นผมจึงควานหาโทรศัพท์ของซีซั่นใต้เสื้อผ้า เมื่อได้เครื่องมาแล้วจึงจัดการจับนิ้วโป้งขวาของมันประทับลงไปเพื่อปลดล็อคหน้าจอ อย่างน้อยก็คงจะมีเบอร์อิสระหรือไฉให้โทรตามได้บ้างล่ะ

“มึงจะยืนอึ้งอีกนานมั้ยวะเทม”

“นั่นดิเทม มันเอารูปผีตั้งหน้าจอเอาไว้รึไง”

ผมไม่ได้ส่งเสียงตอบณนนและพี่คีณในเวลานั้น ภาพล็อคสกรีนด้านในโทรศัพท์มือถือของซีซั่นเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีด้วยซ้ำไป มันเป็นภาพเด๋อ ๆ ด๋า ๆ ของผมในมุมแอบถ่ายแบบจะจะ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือผมจำได้ว่าวันที่ผมมัดจุกนั่งอยู่ใต้คณะเช่นในรูป มันเป็นวันที่ซีซั่นยังวนเวียนอยู่กับการจีบณนนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่ารูปที่ผมเห็นกลับมีเพียงช่วงไหล่ของเพื่อนผมติดมาเท่านั้น

สุดท้ายเสียงหัวใจมันก็สร้างเหตุผลอันสมควรให้ผมลากซีซั่นกลับห้องมาด้วย ผมคงจะต้องคุยกับซีซั่นให้รู้เรื่อง ถ้าบทสรุปคือสิ่งที่ผมเริ่มรู้สึกมันไม่ได้สำคัญ ผมคงจะต้องปล่อยทุกอย่างไป และให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนของตัวเอง การละทิ้งอคติหรือทิฐิมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ตอนนี้ซีซั่นทำให้ผมมองข้ามทุกอย่างไปได้ ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะสามารถคุยกับคนบ้าที่ยังเมาได้รู้เรื่องมั้ย แต่ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปอีกวัน

“ขอบคุณนะครับพี่คีณ ขับรถดี ๆ ครับ”

“ไม่ให้กูช่วยขึ้นไปส่งแน่นะมึง”

“เออ ไม่ต้อง ขอบคุณมึงเหมือนกัน”

พี่คีณและณนนมาส่งผมถึงที่ตามความมีน้ำใจ ถึงแม้พี่คีณจะไม่ค่อยชอบใจที่ผมลากคนจรขึ้นรถมาด้วยก็เถอะ โชคยังดีที่ซีซั่นเริ่มกลับมามีสติตอนที่ลงจากรถ เขาสามารถเดินเองได้โดยมีผมคอยประคองให้ตั้งตัวตรงเท่านั้น หลังจากนั้นก็อย่างที่เห็นนี่ละครับ ซีซั่นนั่งคอตกไม่พูดไม่จา ถึงขั้นที่ว่าผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังนั่งก้มหน้าตาแป๋วอยู่เช่นเดิม ไม่รู้ว่าเมามากกรือว่าองค์แม่แอฟทักษอรลง ถึงได้นั่งตีหน้าเศร้าเหมือนนางเอกจำเลยรักโดนข่มขืนแบบนี้

“กูปิดไฟนะ” ผมปิดสวิสซ์ไฟโซนด้านนอกโดยไม่รอคำตอบ ไอ้เรื่องที่คิดว่าอยากจะคุยเลยต้องถูกพักเอาไว้ก่อน เพราะดูเหมือนว่าซีซั่นจะไม่มีสติมากพอที่จะคุยกับผม หรือสติมีแต่ไม่ยอมพูดอันนี้ผมเองไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก ช่างมันเถอะ สภาพแบบนั้น ดื่มมาเยอะขนาดนั้น ผมล็อคตัวไว้คุยตอนเช้าก็ยังทัน สำหรับตอนนี้ ยิ่งผมยืนมองเขาอยู่ผมกลับยิ่งรู้สึกเกร็งไม่เป็นตัวเอง แน่ล่ะสิครับ ผมเพิ่งยอมรับตัวเองว่าดันหลงเสน่ห์ไอ้บ้านี่นี่หนา ถ้าทำตัวปกติได้โดยไม่รู้สึกอะไรคงจะแปลกพิลึก

ผมมองคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาในส่วนห้องนอนของตัวเอง ทิ้งตัวลงนอนได้ก็เอาแต่ใช้ความคิดซ้ำไปซ้ำมา ผมคงไม่อาจนอนหลับได้ง่าย ๆ ถ้าหลายอย่างในใจยังค้างคาอยู่ พยายามแล้วที่จะถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ ๆ มันก็มีช่องว่างเข้ามากั้นเราสองคนทั้งที่ไม่ควร เมื่อผมอยากจะพูด คนพูดมากอย่างซีซั่นดันเงียบเป็นเป่าสาก แถมยังเลือกที่จะเลี่ยงการสบตาผมทั้งที่ผมอยากจะล็อคคอขึ้นมาเคลียร์ใจจะขาด นั่นเป็นเพราะเขาเมามาก เพราะว่าตัดใจได้แล้ว หรือสุดท้ายเกมสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นมีผมตกเป็นผู้แพ้อยู่ฝ่ายเดียว





ความรู้สึกแบบนี้เขาเรียกว่าคนอกหักป่ะวะ

หรือว่าเป็นแค่อาการซึมเศร้าจากฤทธิ์เหล้า





“เหี้ย! ” ผมที่นอนมองเพดานท่ามกลางความมืดอยู่ถึงกับต้องอุทานออกมาเสียงดัง ระหว่างที่ผมปล่อยความคิดล่องลอยไปบนทางช้างเผือก จู่ ๆ ประตูกั้นโซนก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างกายสูงยาวที่ก้าวฉับ ๆ เข้ามา ผมดีดตัวเองลุกขึ้นถอยหลังพิงกับขอบเตียงไว้ ผู้มาเยือนสบตาผมผ่านแสงสลัวเพียงครู่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียงบริเวณปลายเท้าผม ใช่ เขากำลังหันหลังให้ผมและเฉิดใบหน้าขึ้นมองผนังราวกับจะหาจับจิ้งจกกินเป็นอาหารเย็น เป็นอะไรนักหนาวะ แค่หันมาคุยกันมองกันตรง ๆ นี่มันยากหรอ ลูกกะตาเสื่อม ตาไม่สามัคคีกันหรือไงวะ สัด!

“จะนอนยัง ขอกวนแปบนึงได้ป่ะ” ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เสียงของซีซั่นยังเป็นเสียงที่พูดคุยได้รู้เรื่อง แล้วที่แม่งเงียบมาตั้งแต่บนรถนั่นคืออะไร หุบปากชาร์ตพลังหรอ

“อยู่บนเตียง กูยังไม่นอนมั้ง” ผมไม่ได้อยากจะกวนตีนกลับไปให้เสียเรื่องหรอก แต่ช่วยไม่ได้ ปากมันไวจนเป็นนิสัยแล้วนี่นา

“ถ้างั้น เราขอโทษแล้วกัน”

“มีอะไรจะพูดป่ะล่ะ ถ้าไม่มีก็ออกไปนอนที่ของมึง หรือถ้ามีแรงกลับห้องตัวเองแล้วก็เชิญ” ผมพูดไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจลุ้นฉิบหาย ผมจะแก้นิสัยประชดประชันของตัวเองยังไงดีครับ ทำเป็นไล่ให้เขาไปทั้งที่ในใจแม่งภาวนาไว้อย่างเดียวเลยว่าอย่าไปนะมึง อย่าแม้แต่คิดเชียวนะ

“แล้วเทมมีอะไรจะพูดกับเรามั้ยล่ะ”

“เอ่อ...” ผมไม่ได้ลังเลที่จะตอน แต่เพราะความประหม่าทำให้ต้องส่งเสียงเอ่ออ่าออกไปก่อน

“เพราะถ้าเราพูดอยู่ฝ่ายเดียว มันก็คงเหมือนเราไม่ได้พูดอะไรเลยอยู่ดี”

“ก็มีหลายเรื่อง แต่เชิญพูดก่อนเลย” ผมว่าแบบนั้น ซีซั่นผงกหัวขึ้นลงคล้ายเข้าใจ ก่อนที่เขาจะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาราวกับอัดอั้น และเพียงประโยคแรกเท่านั้นที่ทำให้ผมเงียบฟังด้วยอัตราการเต้นของหัวใจขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เป็นจังหวะ

“เราชอบเทมจริง ๆ นะ ...อันที่จริงตอนนี้ควรจะให้คำว่ารักเลยด้วยซ้ำไป”

“...”

“แต่ที่เราหายไปเพราะเกมของเรามันจบแล้ว ในเมื่อเราแพ้ เราคงต้องทำตามสัญญา แต่เทมรู้อะไรมั้ยใจเรามันไม่ไหวว่ะ เราเข้มแข็งทนไม่คิดถึงเทมไม่ได้ขนาดนั้น” ผมมองเพียงด้านหลังของซีซั่นระหว่างที่ฟัง ลมหายใจของเขาถูกพ่นออกเป็นระลอกจนสังเกตได้จากแผ่นหลังกว้างนั่น

“หรอ ทีตอนไอ้นน ทำไมถึงยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ได้ พอมาตอนนี้แพ้ก็คือแพ้ง่าย ๆ งั้นเลยสินะ ความพยายามมันไม่เท่ากันหรอวะซีซั่น ” ผมไม่รู้หรอกว่าเผลอส่งน้ำเสียงน้อยใจออกไปได้ยังไง แต่ที่แน่ ๆ มันเป็นเรื่องจริงที่ผมกำลังรู้สึก

“ไม่ใช่ว่าความพยายามไม่เท่ากัน แต่ความรู้สึกเรา… มันไม่เหมือนกัน”

“...” ผมเงียบฟังอีกครั้ง การที่ซีซั่นตั้งใจพูดมากกว่าปกติทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันจริงจังไปโดยปริยาย และแน่นอนว่ามุมนี้ของเขายังคงทำให้ผมอ่อนลงได้เสมอ

“กับณนน… เรายอมรับว่าเราเคยชอบณนนจริง ๆ แต่มันก็แค่ช่วงแรก หลังจากนั้นมันก็มีแค่อารมณ์อยากกวนตีนและอยากเอาชนะไอ้พี่คีณ แต่กับเทม มันไม่เหมือนกัน ไม่เคยแปลกใจบ้างเลยหรอว่าทำไมเราตกลงยอมรับเงื่อนไขของเทมทันทีโดยไม่ต้องคิด แล้วทำไมเราถึงต้องดึงเทมเข้ามาในเงื่อนไขพวกนั้น”

“เหตุผลมันก็อยู่ในเงื่อนไขแล้วไง ถ้าสุดท้ายแล้วถ้ามึงชนะ… กูจะหลีกทางให้” ผมตอบกลับไปในขณะที่สมองเริ่มคิดตามสิ่งที่ซีซั่นพูด ใช่ว่าผมไม่เคยแปลกใจ แต่ผมไม่เคยใส่ใจกับเรื่องแปลกใจเหล่านั้นเลยต่างหาก

“เปล่า… จริง ๆ เราจะเลิกยุ่งกับณนนไปเฉย ๆ วันไหนก็ได้ เลิกยุ่งวันนั้นเลยก็ได้ ไอ้ความรู้สึกที่เคยชอบมันไม่ได้มีตั้งนานแล้วล่ะ”

“อ...อ้าว”

“เพียงแต่เรายังชอบที่เห็นเทมเข้ามาขวางเราอย่างเอาเป็นเอาตาย คนอะไรไม่รู้เวลาด่าโคตรน่ารัก ปากจัดหน้ามึนสุด ๆ พักหลัง ๆ ที่เราไปหาณนนก็ไม่เคยได้เจอหรอก เจอแต่เทม เทม แล้วก็เทม บางวันเราเลยตั้งใจไปหาเทมเลยด้วยซ้ำ จนตอนไหนไม่รู้ที่เรามองเห็นแค่เทม” ผมปิดปากเงียบยิ่งกว่าเดิม ร่างกายเย็นเฉียบแปรผันไปตามความตื่นเต้นของหัวใจ สิ่งที่ซีซั่นกำลังพูดมันสอดคล้องไปกับภาพหน้าจอโทรศัพท์ของเขาที่ผมเห็น แม้ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่คำพูดที่ได้ยินก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มบางกับตัวเองไม่ได้

“...”

“เห็นมั้ยเทม… ว่ามีโอกาสมากองตรงหน้าเราขนาดนั้น เราจะไม่คว้าไว้ได้ยังไง”

“...”

“เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าเทมกับนนต่างกันยังไง กับนนมันเป็นเรื่องสนุก กับเทมมันเป็นความรู้สึกว่ะ ถ้าเรายังดึงดัน ยังเข้ามาหาเทมทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วมันคงไม่ดีเท่าไหร่ เรากลัวว่าเทมจะโกรธจะเกลียดเรามากกว่าเดิม สู้หายไปทำใจคนเดียวเงียบ ๆ ดีกว่า”

“...”

“แต่เราทำไม่ได้ว่ะ แม่ง… พอยิ่งมาเห็นเทมอยู่กับไอ้พี่เฟรนสติเราแทบแตก ทำไมวะ ทำไมเราต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้นอ่ะ มันไม่แฟร์เลย” ผมเห็นซีซั่นยกมือลูบศีรษะตัวเองเพื่อไร้ความเครียดในสมอง ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าเขามีความรู้สึกไม่ดีนัก แต่อันที่จริงไม่ต้องฟังน้ำเสียงตอนนี้ผมก็พอจะรู้ เล่นกรวดน้ำให้พี่เฟรนมีบุญไปถึงชาติหน้าแบบนั้น มีใครมองไม่ออกบ้างละครับ

“กับพี่เฟรนเขาเป็นแค่พี่ที่กูสนิท… ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย กูกับพี่เขาเป็นเหมือนพี่น้องกันไปแล้ว” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้พยายามอธิบายออกไป แต่การอธิบายมันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็คงช่วยแก้ไขน้ำเสียงน้อยใจโชคชะตาเมื่อครู่

“ได้ยินแบบนี้เราก็ดีใจ… ขอบคุณนะเทม”

“แค่ความจริง ไม่เห็นต้องขอบคุณอะไร”

“เทม”

“...”

“โกรธเรามั้ยที่เรามายุ่งอีก”

“ถ้าโกรธจะพามาที่ห้องแบบนี้ป่ะล่ะ”

“...” ผมอยากจะตบปากตัวเองเมื่อคำพูดประชดประชันทำให้ซีซั่นเงียบไป โอ๊ยยย เข้าใจแหละว่าเรากำลังคุยอยู่ในเรื่องที่ไม่ควรใช้คำพูดแบบนี้ แต่จะให้ทำไงอ่ะ มันเป็นตัวตนไปแล้ว จะให้ผมพูดจาภาษาดอกไม้ ดีครับผม ขอรับท่าน มันก็ไม่ใช่ป่ะ

“ไม่ได้โกรธ” ผมพูดความหมายจริง ๆ ของประโยคเมื่อครู่ออกไปเสียงอ่อน ไม่รู้สิ ผมไม่อยากให้การพูดคุยในคืนนี้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ มันคงจะจบไม่สวยถ้าผมยังใช้สกิลปากเหมือนเดิม และซีซั่นสวนความบ้าสติเสียที่เป็นตัวตนของเขาออกมา

“แล้ว…”

“คราวหลังมึงพยายามหน่อยก็ได้ ไม่ต้องกลัวกูโกรธ ถ้ากูไล่ลองหันกลับมาถามก่อนว่ากูไล่จริงรึเปล่า”

“...”

“ไม่มีมึงอยู่กวนตีน ชีวิตก็เงียบแปลก ๆ ”

“คิดถึงเราบ้างมั้ย”

“...” ผมจิกเล็บลงกับฝ่ามือของตัวเองแน่น แน่นอน ความรู้สึกของผมที่แน่ชัดอย่างหนึ่งคือความคิดถึงที่ไม่อาจห้ามได้ ทว่าการพูดออกไปโดยไม่เขินอายมันไม่ใช่เรื่องง่าย

“เราคิดถึงเทมมากเลยนะ”

“อือ… คิดถึงมั้ง แค่รู้สึกว่ามีมึงอยู่ใกล้ ๆ น่าจะดีกว่า” ถ้าใครจะว่าผมปากแข็ง ควรจะรู้ได้แล้วว่านี่คือการแสดงความรู้สึกที่ยากที่สุดสำหรับผมแล้ว ผมรู้ตัวดีว่าอ่อนลงมากแค่ไหน และผมก็หวังว่าคนที่นั่งหันหลังให้ผมตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงวิธีการพูดที่อ่อนลง และหัวใจที่อ่อนยวบลงไปจนแทบไม่มีรูปร่าง

“แต่เราจีบเทมไม่ติดนะ ทำไมเทมถึงคิดถึงเราล่ะ”

“หรอ… ไม่รู้สิ”

“ถ้ายังไง เราขอจีบเทมใหม่อีกทีได้มั้ย เผื่อว่ารอบนี้เทมจะใจอ่อน...” หลังจากที่ผมได้ฟังคำขอของซีซั่นผมก็ได้แต่นิ่งเงียบเพื่อเก็บความคิด ระหว่างนั้นซีซั่นเองก็เงียบไปเช่นกัน ห้องทั้งห้องเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานดังหึ่ง ๆ ผมกำลังใช้ความคิดตอบตัวเองว่าถ้ามันมีครั้งที่สองเกิดขึ้นจริง ๆ มันจะออกมาในรูปแบบไหน ผมไม่ได้ลังเลที่จะตอบตกลงเพื่อให้โอกาสตัวเองเลยสักนิด ส่วนซีซั่นผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ นอกจากการก้มลงไปมองพื้นเหมือนเช่นเดิมผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีอะไร

“กูใจอ่อนตั้งนานแล้ว...”

“...”

“แต่ถ้าจะจีบกูใหม่… รอบนี้กูไม่มีกำหนดเวลาให้แล้วนะ แล้วรู้ไว้ด้วยว่ากูเป็นคนปากแข็ง กวนตีนกูเยอะ ๆ ก็ได้ กูไม่ถือ ถึงลึก ๆ จะรำคาญแต่ก็ดีกว่าไม่มีมึง” ผมจับจ้องแผ่นหลังของซีซั่นเอาไว้ ไม่มีทีท่าว่าเขาจะตอบกลับผม คงไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ของผมก่อนหน้านี้หรอกครับ บางครั้งคนเราอาจจะต้องการเงียบฟังมากกว่า

“ขอโทษนะ ที่เคยพูดจาไม่ดี”

“...”

“จะพยายามปรับตัวแล้วกัน หมายถึง… ถ้ามึงคิดจะจีบกูอีกรอบจริง ๆ กูเองก็คงต้องปรับปรุงตัวเองเหมือนกัน”

“...”

“เพราะความจริงแล้ว… กูเองก็รู้สึกดีกับมึง...” จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบสนิท ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงไม่ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นแสดงความดีใจเหมือนทุกที หัวคิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเห็นว่าแผ่นหลังที่ผมมองอยู่กำลังสั่นโยนไปมา เชี่ยยยย! พูดแค่นี้ถึงกับต้องร้องไห้เลยหรอวะ





วูบบบบบ! ตุ๊บ! พรึ่บ!





เพียงสองวินาทีเท่านั้นที่แผ่นหลังสันเทาวูบไหวหล่นหายออกไปจากเตียงของผม ใช่ครับ… ไอ้อาการตัวโยนเมื่อครู่มันเกิดขึ้นก่อนที่ซีซั่นจะโค้งตัวตีลังกาลงไปจากเตียงของผม แถมยังมีน้ำใจใช้หัวเกี่ยวตะกร้าผ้าใช้แล้วที่อยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้นลงไปด้วย ผมรีบลุกออกจากเตียงและเดินไปดูสภาพศพที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ภาพที่เห็นคือซีซั่นนอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้มท่ามกลางกองเสื้อผ้าที่ถูกดึงไปใช้เป็นพร็อพระหว่างการหลับสไตล์เจ้าชายนิทรา ผมพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออก สองมือต้องยกขึ้นนวดขมับตัวเองเพื่อคลายเครียด ไม่เอาน่า ยุบหนอ พองหนอ สติหนอ เทม… อย่าโกรธหนอ อย่าด่าหนอ





ป๊าป!





“สัด! กูอุตส่าห์ตั้งใจฟัง! ทีกูพูดแล้วว่าหลับใส่กูหรอ แบบนี้ก็ได้หรอ ไอ้กรวยซั่น!! ”





……..





“อืออออออ” กว่าผมจะรู้ตัวว่าควรตื่นนอนนาฬิกาก็แสดงเวลาเกือบบ่ายโมงเข้าไปแล้ว แน่ล่ะเมื่อคืนกว่าผมจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสามตีสี่ สมองแม่งคิดนู่นนี่นั่นไปทั่ว แล้วไหนจะต้องคอยพะวงกับคนที่นอนเป็นขยะเปียกอยู่ที่ปลายเตียงอีก หึ พูดแล้วมันแค้น ซีซั่นล้มลงไปแล้วก็หลับจริงหลับจังไม่ไหวติงขึ้นมาอีกเลย ผมเลยปล่อยให้นอนตรงนั้นต่อไปโดยมีเสื้อผ้าสกปรก ๆ ของผมเป็นเพื่อนคู่กาย

“ซีซั่น” ผมเอ่ยเรียกเขาเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ลุกออกจากเตียง คาดว่าน่าจะยังนอนตายอยู่ตรงนั้นนั่นแหละครับ กินเหล้าเข้าไปเยอะกว่าผมอีก จะมาตื่นก่อนผมได้ยังไง คอยดูนะ เช้านี้แม่งจะจับมันแหกหูฟังสิ่งที่ผมพูดให้ชัด ๆ ไปเลย มีอย่างที่ไหน หลับน็อคไปกลางทางแบบนั้น ไม่จับหมอนกดหน้าให้ตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว

“อ้าว” ดูเหมือนว่าผมจะคาดเดาอะไรผิดไปสักหน่อย ซีซั่นไม่ได้นอนอยู่ที่เดิม ผมจึงต้องหอบร่างที่เพิ่งตื่นของตัวเองเดินออกมาดูรอบ ๆ ห้อง ดูเหมือนว่าผมจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์คนเดียวในห้องเช้านี้ ไม่มีแม้แต่วิญญาณของซีซั่นล่องลอยอยู่ในอากาศ ถ้าเป็นปกติผมคงจะไม่รู้สึกอะไรหรอก อย่างมากก็คงแค่โทรไปด่าเรื่องที่โดนหลับใส่เมื่อคืน แต่ทว่าบทสนทนาที่ยังค้างคากันอยู่มันทำให้นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมกันได้

“ได้… จะเอาแบบนี้ใช่มั้ยซีซั่น” ผมพยายามโทรหาเขาแต่เจ้าตัวไม่รับสาย ซ้ำยังไม่ยอมอ่านแชทอ่านไลน์แบบที่ผมเคยชอบทำ ใช้ความคิดอยู่ไม่นานผมจึงเข้าเฟซบุ๊คไล่หาแอคเค้าท์เพื่อนสนิทของซีซั่นสักคน ถ้าจะเล่นหนีกันไปแบบนี้ อย่าคิดว่าเทมนทีจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ มาพูดว่าขอจีบใหม่แล้วทิ้งกันไปหน้าด้าน ๆ แบบนี้ไม่ได้โว้ย แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่าหยาม! อย่ามาทำให้เทมเกรี้ยวกราด!





“ไฉ! ห้องไอ้ซั่นเพื่อนนายอยู่ไหน! ”




50%



Talk ในที่สุดก็อัพที่นี่จนทันเว็บอื่นแบบเกรี้ยวกราด พาร์ทหลังเทมจะเป็นยังไงมาลุ้นกัน เหลืออีก 1 พาร์ท กับตอน Final ส่งท้ายอีก 1 ตอน เท่ากับอัพอีก 2 ครั้งจะจบเรื่องนะคะ ข ตามต่อกันให้จบนร้าาา อีกนิดเดียวแล้วค่า 


ปล.แอบกระซิบว่าตอน Final มี 18+ ?? ตามแบบฉบับของนิยายเรื่องนี้ แล้วเจอกันเร็ว ๆ นี้ค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกรีวิวล่วงหน้าค่ะ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เทมเกรียวกราวแล้ว ซีซั่นอยู่ไหน อิอิ
ฮ่าซีซั่นมากมายหลับไผกลางอากาศเลย แล้วจะรู้ไหนเนี่ย  ตอนต่อไปที่รอคอ สำรองเลือดไว้รอแล้วน่ะ อิอิ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ตามมาทันแล้วค่าาา


ซั่น หายไปไหนละ

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ผมลากสังขารตัวเองมายืนงงอยู่หน้าคอนโดผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนที่ถูกผมตราหน้าว่าบ้า ๆ บอ ๆ มาตลอดเวลาที่รู้จักกัน ถ้าถามผมว่าอะไรดลใจให้ออกจากห้องมาทั้งชุดนอน คำตอบคงจะเป็นประเด็นของความหงุดหงิดใจ ผมไม่ยอมให้มันจบลงง่าย ๆ แบบนี้หรอกครับ กลั้นใจพูดแทบตายแต่ดันโดนหลับใส่ แถมยังหนีหายออกมาโดยไม่บอกกล่าว หึ เล่นกับใครไม่เล่นดันมาเล่นกับเทมนที คราวนี้แหละจะได้รู้กันว่าของจริงมันเป็นยังไง

“ลุง ผมขอขึ้นไปไม่ได้หรอ”

“ไม่ได้หรอก มันผิดกฏ”

“แต่เพื่อนผมอยู่ที่นี่”

“เพื่อนอยู่ ก็ให้เพื่อนลงมาเปิดให้สิ”

“แบบว่า...มันไม่สบายอยู่มั้ง”

“งั้นเอ็งเดินไปตรงนิติ ไปขอเขาโทรเบอร์ตรงเข้าห้อง” ผมเหลือบดวงตาขึ้นมองด้านบนเมื่อดูท่าว่าลุงยามหน้าหอซีซั่นจะไม่ยอมให้ผมเข้าไปแต่โดยดี แล้วนี่ไม่มีใครคิดจะขึ้นลงอาคารกันเลยรึไงวะ ขอไอ้เทมแวบเข้าแวบออกหน่อยก็ไม่ได้

“ถ้ามันจะรับสายผม มันก็รับตั้งแต่ผมโทรเข้ามือถือป่ะล่ะ” ผมออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด ซีซั่นไม่ยอมรับสายผม ไม่ว่าจะโทรจิกเข้าไปกี่สายก็ตาม งานนี้คงจะต้องพูดว่าถ้าผมไม่ตามไปกระชากเกรียนถึงที่เรื่องก็คงจะไม่จบ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าซีซั่นน่าจะอยู่บนห้องพักของตัวเอง วันนี้วันหยุด แถมรายนั้นก็น่าจะยังแฮงค์เพราะฤทธิ์สุรา ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายคงจะไม่ออกไปแรดที่ไหน

“เลิกบ่นเถอะ ให้เข้าไม่ได้จริง ๆ ถ้าขืนข้าให้เอ็งเข้าไป ข้าจะซวยเปล่า ๆ ”

“อือ ไม่เป็นไรลุง ขอบคุณครับ” ผมเดินเตะขาออกมาจากบริเวณหน้าประตู หยุดยืนใช้ความคิดอยู่บริเวณที่รถของตัวเองจอดตากแดดอยู่ ทำยังไงดีนะ ถ้าผมปล่อยไว้แบบนี้คงจะอกแตกตายแน่ ความรู้สึกหงุดหงิด อึดอัดหัวใจมันขึ้นมาจุกอยู่เต็มอก ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรจะนิยามความรู้สึกตอนนี้ว่าอะไร มันไม่ใช่อาการคล้ายคนอกหักเหมือนเดิม แต่มันเป็นสิ่งที่ผมพยายามแสดงออกว่าไม่อยากเสียเขาไป





แรร์ไอเท็มขนาดนี้ ผมจะไปหาได้ที่ไหนอีกวะ





ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะพึ่งพาใครได้บ้าง ถ้าโทรไปถามอิสระกับไฉจะกลายเป็นว่ารายนั้นจะยิ่งรู้ตัวแล้วก็ยิ่งหนีผมรึเปล่า แล้วนี่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนก่อนจะหลับไปซีซั่นได้ยินสิ่งที่ผมพูดมากแค่ไหน มีเหตุผลอะไรถึงออกจากห้องผมมาโดยไม่บอกลาสักคำ เป็นแบบนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าเขาตั้งใจหลบหน้าผมได้ยังไงครับ คอยดูนะ ถ้าเจอกันแล้วแม่งบอกว่าเมื่อคืนเมามากจนจำอะไรไม่ได้เลย พูดอะไรไปไม่รู้ตัวเลยจ้า พ่อจะฟาดกระบาลให้ลืมวิธีใช้ชีวิตแบบมนุษย์ไปเลย

“ไอ้ซั่น ไอ้เวรเอ๊ย! ” ผมเตะล้อรถตัวเองด้วยความแรงระดับสะกิดเพราะกลัวเจ็บ สภาพอากาศยามบ่ายก็เสือกร้อนจนเพิ่มความหงุดหงิดเข้าไปอีก เมื่อดูจะสิ้นไร้หนทางผมจึงเริ่มทำใจกับตัวเองและตัดสินใจจะยัดตัวเองเข้าไปในรถเพื่อกลับไปสงบสติอารมณ์เพียงลำพังที่ห้อง

“เวรอะไรอ่ะ” มือที่กำลังจะดึงบานประตูรถออกมาต้องชะงักเพราะเสียงที่ดังขึ้นไม่ไกล ผมหันควับไปมองผู้ชายในเสื้อช็อบที่กำลังยืนกระพริบตาปริบ ๆ อยู่ข้างตัวทันที หนอยแน่ะ ไอ้ตัวการ คิดจะโผล่มาก็แวบมาอย่างกับพระภูมิเจ้าที่ เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย คิดว่ากูจะจับญาณได้เหมือนคุณริวจิตสัมผัสรึไงวะ

“มึงหายไปไหนมา!! ” คงไม่ต้องบอกว่าผมจะแผรดเสียงออกไปด้วยความเกรี้ยวกราดเบอร์ไหน วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออกแล้วนอกจากการคว้าใบหูแล้วดึงซีซั่นให้เดินตามมาในทิศทางที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ร้อนโว้ย! ให้ยืนเคลียร์ที่เดิมคงไม่ไหว กว่าจะคุยรู้เรื่อง ผมอาจจะกลายเป็นไก่ย่างแดดไปซะก่อน

“โอ้ยยยย โอ้ย ๆ ๆ ๆ เทมมมมม”

“จะร้องทำไมนักหนาห่ะ” ผมใช้มือบิดใบหูซีซั่นสุดแรงเกิด ก่อนจะสะบัดมือทิ้งออกมาเพราะกลัวว่าจะหูขาดไปก่อนที่จะฟังผมด่าจนจบ

“เจ็บนี่นา” ซีซั่นลูบหูตัวเองป่อย ๆ สบตาผมด้วยสายตาลูกหมาโหยหาการปลอบโยน แต่โทษที วินาทีนี้อะไรก็รั้งอารมณ์ขึ้นสุดลงสุดของผมเอาไว้ไม่อยู่

“สำออย”

“ไม่อ่อนโยนเลย”

“ทำไมกูจะต้องอ่อนโยนกับคนไม่มีความรับผิดชอบอย่างมึงด้วย พูดอะไรไว้เคยอยู่รับผลคำพูดตัวเองมั้ยห่ะ! ” ผมพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ ซีซั่นเบิกดวงตากลมโตเหมือนจะรับรู้แล้วว่าเพราะเหตุอะไรผมถึงมายืนอยู่ตรงนี้

“คือ...” ดูเหมือนว่าเขาจะอึกอักไม่กล้าพูดและไม่กล้าเถียง เอ๊ะ หรือว่าผมลืมเว้นช่องให้คู่สนทนาได้แก้ตัวกันนะ

“ตอนกูพูดเสือกหลับ แม่ง ไม่น่าใจอ่อนให้มึงเลย”

“ขอโทษษษษ ไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าหลับไปตอนไหน” ผมเหลือบดวงตามองซ้ายขวาอย่างคนเจ้าอารมณ์ มีแต่คำว่าโมโห โมโห และโมโหเต็มหัวผมไปหมด เขาก็อ้างได้สิว่าหลับไปแบบไม่รู้ตัว แต่บอกเลยว่าไอ้การที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอเนี่ย ข้ออ้างไหนก็ฟังไม่ขึ้น!

“แล้วนี่ยังคิดจะหนีกันอีก ทำไม คือมึงไม่คิดจะจริงจังกับคำพูดตัวเองหน่อยหรอ”

“เฮ้ย เปล่าเลยนะเทม ไม่ใช่แบบนั้น”

“มึงมันกาก! ” เมื่อผมส่งเสียงชื่นชมสามพยางค์ออกไปซีซั่นก็นิ่งไปเหมือนโดนสะกด ส่วนผมน่ะพยายามสะกดตัวเองไม่ให้แปลงร่างเป็นอมนุษย์อย่างสุดขีดความสามารถ ดูจากหน้าเอ๋อ ๆ แล้วซีซั่นคงจะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ก่อนจะได้ยินผมพูดความในใจแน่ แล้วแบบนี้ผมควรจะทำยังไง หรือว่าผมจะต้องรีรันให้เขาฟังชัด ๆ อีกสักรอบ เฮ้ย! เรื่องไรล่ะ ของดีมีครั้งเดียวโว้ย

“อ่ะ กากก็กาก เรามันไม่ได้เรื่องจริง ๆ อ่ะแหละ”

ป๊าบ!!

“ไม่ต้องมาดึงดราม่า วันนี้กูไม่ว่าง” ผมฟาดเข้าที่หัวเกรียนของซีซั่นเต็มแรง ดูมันสิครับ ยังมีหน้ามาเบะหน้าคว่ำปากดึงไปสู่เรื่องเศร้าโศก แล้วใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าไอ้บ้านี่เศร้าแบบชาวบ้านเขาได้เกินสิบห้านาทีที่ไหน ถ้าแม่งเศร้าไม่สุดเดี๋ยวก็ต้องลำบากผมอีก

“แล้วจะให้เราทำยังไงเนี่ย”

“เคลียร์ให้จบ เรื่องมึงกับกูจะเอายังไง”

“ออ...โอเค” ซีซั่นพยายามดึงชายเสื้อ ปรับคอปกเสื้อของตัวเองให้เข้าที่ ผมมองแล้วก็ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดใจมากขึ้นไปอีก เพราะไอ้ความท่าเยอะท่ามากแบบนี้ไงเราสองคนถึงคุยกันไม่รู้เรื่องสักที ดูเอาเถอะครับ พอเสื้อแสงเข้าที่พ่อคุณก็พ้อยท์ปลายขาจัดท่าทางให้เหมือนตัวเองกำลังยืนบอกรักนางเอกละครอยู่บนไหล่เขา แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น แม่งน่าจะโดนผมเตะตัดขาตกลงไปก่อนแล้ว

“โอเคแล้วยังไง? ”

“คือว่าเราต้องขออธิบายก่อน เทมได้โปรดตั้งใจรับฟัง”

“เหอะ กูก็ฟังอยู่ตลอดแหละ อย่าหลับกลางอากาศไปก่อนละกัน” ผมยกสองแขนขึ้นกอดอก เหล่ตามองคู่สนทนาด้วยความรู้สึกโมโหปนงอนที่ยังคงอยู่ ซีซั่นอมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่ทำให้หน้าบาง ๆ ของผมแทนจะแหลกละเอียด

“เมื่อเช้าเรารีบตื่นไปสอบแก้คะแนนอ่ะ เห็นเทมหลับอยู่ก็เลยไม่อยากกวน พอออกจากห้องสอบกำลังจะโทรกลับ เทมก็โทรมาหาไอ้ไฉพอดี… ก็เลย...”

“เหี้ย! พวกมึงอยู่ด้วยกันทำไมไม่บอกกู! ”

“ก็เทมไม่ได้ถามอ่า ไอ้ไฉก็เลยตอบไปแค่นั้น นี่เราก็รีบมาเลยไง เพราะไม่รู้ว่าเทมจะมาหาใครที่ห้องเรา” หางตาและมุมปากของผมรวมตัวกันกระตุกแบบรัว ๆ การตอบหน้าตาเฉยของซีซั่นมันแฝงไปด้วยความกวนตีนที่ผมไม่อาจยอมรับได้ง่าย ๆ ไอ้ไฉตัวดีก็เหมือนกัน จะบอกกันสักคำก็ไม่มี นี่ไม่รู้ว่าวินาทีที่ผมโทรไป คนพวกนี้จะเอาผมไปเม้าท์มอยมากแค่ไหน แล้วแบบนี้จะให้ผมไม่รู้สึกว่าหน้าแตกได้ยังไงล่ะครับ!

“สัดเอ๊ย พวกมึงแม่ง”

“เอาไงอ่ะ หรือว่าอยากขึ้นห้องเรา”

“กูไม่ได้อยากขึ้นห้อง กูอยากขึ้นมึงนั่นแหละ”

“ห่ะ! ตะกี้เทมว่าไงนะ” เมื่อซีซั่นพยายามขอทวนประโยคจากผม แถมด้วยการถลึงตามองอย่างไม่เชื่อหู ผมจึงต้องกลับมาทบทวนคำพูดของตัวเองที่พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ทำไมอ่ะ เมื่อกี้ผมพูดอะไรผิดไปเหรอครับ ไม่นี่หว่า ผมแค่พูดว่าไม่ได้อยากมาที่ห้อง แต่อยากเจอซีซั่นไม่ใช่หรอ

“ทำไม กูพูดไรผิด”

“ป..เปล่า ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ เราไม่ขัด” ซีซั่นกำลังมองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมแทบจะเสียความมั่นใจ เอ๊ะ หรือว่าผมเกรี้ยวกราดจนพลาดอะไรไป ไม่ได้ดิวะ! ใส่ฟิลลิ่งมาขนาดนี้แล้วต้องไปต่อให้สุดสิวะเทม!

“ย...อย่ามานอกเรื่อง จบเรื่องที่ต้องการอธิบายของมึงรึยัง”

“จริง ๆ ก็ยังมีอีกเรื่อง”

“พูดมา”

“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืนก่อนที่เราจะเผลอหลับไป” ซีซั่นกำลังเกาท้ายทอยราวกับกำลังเขินอายกับการหลับไม่รู้ตัวของตนเอง มันอยากจะบอกเขาตอนนี้เลยจริง ๆ ว่าไอ้เรื่องหลับน่ะไม่น่าอายเท่าเรื่องที่ลงไปคลุกวงในกับตะกร้าผ้าผมหรอก

“หึ ทำไม จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เมามากจำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะ ขอฟังที่กูพูดอีกที งี้ป่ะ” ไม่ต้องชื่นชมหรอกครับ ใคร ๆ เขาก็บอกว่าผมเก่งเรื่องประชดประชัน และมีฝีมือเรื่องการใช้ปากหาเรื่องเข้าตัวเอง แล้วจะบอกให้รู้นะครับว่าผมไม่เคยประเมินคู่ต่อสู้อย่างซีซั่นผิดไป ไอ้ที่เดาไว้เคยผิดซะที่ไหน

“งั้นขอเราฟังอีกทีได้ป่ะ… ประโยคที่เทมพูดกับเราเมื่อคืน” ผมยกยิ้มเมื่อเห็นว่าซีซั่นกำลังรอฟัง จริง ๆ ผมมีสิทธิที่จะไม่พูด แต่ผมไม่อยากเล่นตัวจนเสียเวลาไปวัน ๆ เอาเป็นว่าผมจะยอมแบกหน้าเขินพูดอีกรอบด้วยวิธีสรุปใจความก็แล้วกัน

“กูใจอ่อนให้มึงตั้งนานแล้วโว้ย จะทำอะไรก็ทำ กูรำคาญ แต่กูรับได้เข้าใจมั้ย! ”

“ขอบคุณนะ แต่เราเข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะเรื่องที่ตั้งใจจะอธิบาย คือจะบอกว่าเราได้ยินครบทุกประโยคก่อนที่ภาพจะตัด” รอยยิ้มกว้างของซีซั่นทำให้ใบหน้าของผมชาไปครึ่งแถบ ตอนที่เขามองผมด้วยสายตาเอ็นดูปนขนขันมันเล่นเอาความเขินอายทำหน้าที่จนหูเหอแดงไปหมด ไม่อยากจะบอกหรอกว่าไอ้ที่ผมยืนกอดอกนิ่งเป็นหลักเป็นตออยู่นี่ ใจจริงอยากจะบิดตัวเองให้เป็นเกรียวอยู่แล้ว

“กวนตีน… แล้วจะให้กูพูดซ้ำทำไม”

“ก็อยากฟังอีกไง จะได้แน่ใจว่าหูไม่เพี้ยน”

“เออ หูมึงไม่เพี้ยนหรอก แต่มึงนั่นแหละเพี้ยน” จากที่มั่นใจสุด ๆ กลายเป็นว่าผมเริ่มเลิ่กลั่กไม่รู้จะทำยังไงต่อ จนกระทั่งซีซั่นเข้ามาดึงมือผมข้างนึงออกจากอก เขาจับมือผมเอาไว้แน่นจนกระทั่งผมเริ่มรู้ตัวว่ามือของผมเหงื่อออกจนเปียกชื้นขนาดไหน

“เทม งั้นเรามาคุยเรื่องที่ค้างเอาไว้เมื่อคืนดีกว่าเนอะ”

“...” ผมไม่ได้พูดอะไร พยายามแข็งแกร่งขณะที่จ้องตาซีซั่นนิ่ง ๆ ในเมื่อผมเดินทางมาที่นี่ด้วยอินเนอร์กิ๊ก สุวัจนี แล้วเรื่องอะไรผมถึงจะยอมอ่อนยวบยาบด้วยฟีลลิ่งแอฟ ทักษอรล่ะครับ

“ตกลง… เทมจะยอมให้เราจีบเทมอีกครั้งใช่มั้ย”

“...” แน่นอนว่าผมยังคงเงียบและพยายามใช้ความคิด ตอนนี้ผมคงพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วล่ะว่าผมใจอ่อนให้กับคนบ้า ๆ บอ ๆ และรู้สึกกับทุกการกระทำของเขา เพราะเฉพาะนั้นแน่นอนว่าคำตอบที่ผมจะพูดออกไปนั้น…

“ว่าไงเทม เราจีบเทมอีกครั้งได้ใช่มั้ย”

“ไม่ กูไม่ให้จีบ”

“อ้าว...” ซีซั่นเหวอจนหน้าตาตลกไปเสียหมด ผมหมายความตามที่พูดจริง ๆ ไม่ได้ประชดหรือว่าเล่นตัวใด ๆ ทั้งนั้น และได้โปรดจดจำเอาไว้เลยครับว่าประโยคต่อไปนี้เป็นประโยคที่ผมจำเป็นต้องใช้ความกล้ามากที่สุดตั้งแต่มีชีวิตมา ถ้าถามว่าเรียนรู้มาจากใคร ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า จากมันเนี่ยแหละ!

“มึงไม่ต้องจีบ กูไม่ให้จีบ เป็นแฟนกันเลย จีบใหม่มันเสียเวลา! ”

“เราไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เทมพูดจริงใช่มั้ยเนี่ย” ซีซั่นดึงมือผมที่เขาจับเอาไว้เข้าหาตัว และนั่นทำให้ผมเข้าไปใกล้เขามากขึ้น สีหน้าสลดกับชะตากรรมเมื่อครู่เริ่มระคนไปด้วยความดีใจ ส่วนผมนอกจากจะตีหน้ามึนขึงขังเกรี้ยวกราดทั้งที่หน้าแดงไปถึงกกหูก็ไม่อาจแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกไปได้อีก

“เออ พูดจริง”

“เชี่ยยยยย น่ารักฉิบหายเลยว่ะ” ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชม และเก็บคำว่าเชี่ยและฉิบหายเอาไว้ในหมวดคำอุทาน

“ยัง… ยังอีก”

“ห่ะ อะไรอ่ะ”

“ยังไม่ขอกูเป็นแฟนอีก! ” ผมตวาดซ้ำออกไปเพราะไม่อาจอดทนกับความเขินที่เกิดขึ้นได้นานไปกว่านี้ แต่ซีซั่นดันตอบรับผมด้วยการยกยิ้มร้ายกาจที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะดึงตัวผมสุดแรงเกิดจนถลาเข้าไปกระทบกับแผงอก เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู และผมได้ส่งเสียงตอบรับกลับไปอย่างไม่มากความ

“เทม… ลองเป็นแฟนกับคนบ้าดูป่ะ”

“เออ เป็นก็เป็น บ้าก็บ้าวะ” ซีซั่นฉวยจูบผมในทันทีที่ได้คำตอบ มันเป็นรสชาติเดิม ๆ ที่ผมเคยสัมผัสแต่กลับรู้สึกดีแตกต่างออกไป จูบนี้เกิดขึ้นราวกับเขาต้องการตีตราเป็นเจ้าของ และผมได้ตอบรับกลับไปโดยไม่อิดออดใด ๆ





เอาวะ จูบกันข้างถนน แม่งก็ได้ฟีลอยู่





ในเมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธตัวเอง หรือปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ควรจะเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว ตัวผม ตัวซีซั่น หรือตัวตนของเราอาจจะไม่เหมือนใคร แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดคนสองคนเข้าหากัน และผมก็เชื่ออีกว่าวันนึงความรู้สึกดี ๆ ที่เราทั้งคู่มีจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้อย่างเต็มหัวใจ





จริง ๆ ตอนนี้ผมก็รักแหละ แต่เกลียดความเกรียนของมันมากกว่า





“เลิฟยูนะจ๊ะแฟนจ๋า” ซีซั่นยื่นนิ้วสองนิ้วที่บิดตัวเป็นรูปมินิฮาร์ทให้ผม ผมกลอกตามองแล้วก็ได้แต่เบ้ปากใส่ และหันไปสนใจอย่างอื่นมากกว่า เกิดมหกรรมอะไรขึ้นในโทรศัพท์ผมวะ แม่งสั่นเป็นเจ้าเข้าตั้งแต่เมื่อกี้ละ

“เออเลิฟยู… พ่องงงง! ” ครับท่าน… ทีแรกผมก็ตั้งใจจะพูดกับซีซั่นนั่นแหละ แต่สิ่งที่ปรากฎในรายการแจ้งเตือนโทรศัพท์ทำให้ผมต้องอุทานคำว่า พ่อ งง งง ออกมาโดยอัตโนมัติ ทั้งรายการที่เพื่อนแท็ก รายการแชท สายโทรศัพท์ รวมถึงรายการแจ้งเตือนเฟซบุ๊กไลฟ์ ทุกสิ่งอย่างกระหน่ำเข้ามาจนผมตั้งรับไม่ทัน แต่ก็พอจะจับใจความจากในกรุ๊ปเพื่อนสนิทได้เพียงว่า





Nanon : บังคับให้เขาขอเป็นแฟน สมศักดิ์ศรีเทมนทีผู้ไม่แพ้มากเพื่อนกู

Neenla : เล่นตัวมานาน เพื่อวันนี้แหละ

.

.

.

Fayfin : เอาแล้ว ๆ

Neenla : ซีซั่นไม่เอากล้องไปไว้ตรงอื่นวะแม่ง

Fayfin : อีเหี้ยภาพตัดว่ะ มันทำไรกันวะ

Neenla : เชี่ย ได้ยินเสียงป่ะมึง

Nanon : เสียงแบบนี้คือจูบ กูรู้ กูเรียนมา





“ซีซั่น!!! ” ผมไม่อาจควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเพราะความโมโห ซีซั่นยังคงยิ้มกว้างให้กับโลกแสนสดใสใบนี้ แต่ขออภัย ผมไม่ได้สนใจใยดีรอยยิ้มบนกรอบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย มีสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมากกว่านั้น โทรศัพท์มือถือถูกเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อช็อบข้างหนึ่ง โดยมีส่วนของกล้องโผล่ขึ้นออกมาอย่างตั้งใจ และแน่นอนว่าเจ้ากล้องนั่นหันมายังทิศที่ผมยืนอยู่แบบพอดิบพอดี ออ… ผมก็ว่า มันจะจัดระเบียบเสื้อ จัดท่ายืนเท่ทำไม ตอนนี้เข้าใจดีแล้วล่ะ เข้าใจแล้วว่าถ้าผมไม่ได้เอาเลือดหัวมันออก คืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่!

“จ๋าาาาา”

“มึงทำอะไร” ผมชี้นิ้วลงไปยังกล้องโทรศัพท์ด้วยสายตาคาดโทษ ซีซั่นยกมือขึ้นปิดปากส่งเสียอุ๊บส์เบา ๆ ก่อนจะยิ้มร่าเริงไร้ความรู้สึกผิด คนเรามีแฟน และแฟนจะตายหลังคบกันเร็วสุดกี่วันครับ เคยมีใครทำลายสถิติด้วยการฆาตกรรมแฟนหลังคบกันสามนาทีไปรึยัง

“ไลฟ์สดชิค ๆ ไง ก็เมื่อคืนเทมบอกว่ากวนตีนเยอะ ๆ ได้ เทมไม่ถือ… ไลฟ์ไปเลยทีเดียวเนอะ จะได้ไม่ต้องไปตอบคำถามชาวบ้าน เทมไม่ถือใช่มั้ยอ่ะ” ผมรู้สึกว่ากำลังถูกยอกย้อนด้วยคำพูดของตัวเอง ไม่น่าพลาดท่าหลงกลตกลงเป็นแฟนกับคนแบบนี้เลย ต่อไปจากนี้ชีวิตที่สงบสุขของผมของหามีใหม่ ในเมื่อชะตากำหนดมาเช่นนี้ ผมคงต้องรับมือด้วยวิธีที่ทำให้เราเหมาะสมกันราวกับกิ่งไม้คู่ใบหนาด





รักกันดี ๆ ไม่ได้ ก็คงต้องรับกันด้วยแรงมือและฝ่าตีน





“ใช่! กูไม่ถือ แต่กูไม่ได้บอกว่ากูจะไม่ถีบ! ”





ผลั่ก!





ข่าวด่วนช่วงต่อไป พบกับประเด็นฮอตในช่วงบ่ายวันนี้

คู่รักข้าวใหม่ปลามันไลฟ์สดกระทืบไม่ยั้ง คนโดนอัดอาการปางตาย ด้านผู้กระทืบเผย แค่ถีบหยอกล้อด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เปล่าคิดฆ่าให้ตาย ยืนยันยังรักกันดี





TBC



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด