ฝันที่ 7 ผมไปหาแล้วนะ
ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่พร้อมสุดที่รักก้าวหน้าไปแค่ไหน ผมคงต้องตอบว่าเท่ากับปลายนิ้วก้อย
โคตรของไม่กระเตื้อง! ไม่คืบหน้า! บางทีปลายนิ้วก้อยยังเยอะเกินไปด้วยซ้ำ!ช่วงแรก ๆ ที่ได้คุยกันผ่านข้อความ เขายังคงตอบกลับมาบ้างอาจจะช้าหน่อยแต่อย่างน้อยก็ตอบภายในวันนั้น พอพ้นอาทิตย์ที่สอง คราวนี้ข้อความตอบกลับเริ่มหายไปเป็นวัน ไอ้ผมก็กลัวเขาจะรำคาญหากเซ้าซี้มากไป เลยอดทนรออย่างใจเย็น แต่ถ้าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้าถูกทิ้งค้างเลยวันผมจะส่งข้อความอื่นไปให้เขาอีกรอบ เขาก็มีเข้ามาตอบกลับบ้าง ตอนนั้นยังไม่เจอสภาพอ่านแล้วไม่ตอบเพราะฉะนั้นผมจึงรออย่างอดทนซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยังหาชื่อเฟซบุ๊กของพี่เขาไม่เจอด้วยล่ะ ประมาณว่าถ้าเขาหายไป ผมก็ไม่มีหนทางอื่นติดต่อเขาได้เลย
หลังจากนั้นระยะเวลาที่ข้อความไม่ถูกเปิดอ่านก็ยาวนานขึ้นแถมเพิ่มเติมความโหดร้ายด้วยการอ่านแต่ไม่ตอบอย่างที่เคยกังวลไว้ ตอนที่ผมเจอเหตุการณ์นั้นครั้งแรกผมจิตตกเศร้าซึมไปเป็นวันจนพ่อแม่ น้องสาว และเพื่อนที่โรงเรียนเอ่ยปากทักเลยว่าผมเป็นอะไร พอได้ยินคำตอบพวกเขาก็ปลอบใจผมยกใหญ่
“ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก มองผู้หญิงบ้างก็ได้” ประโยคนี้ของแม่ส่วนพ่อนั่งปิดปากเงียบกอดอกขมวดคิ้ว
ฝ่ายน้องสาวซึ่งรู้แต่ว่าผมคุยกับใครสักคนหนึ่งอยู่ผ่านทางข้อความแชต คราวนี้เลยรู้ว่าฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ชาย เธอมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย (น้องสาวผมไม่ใช่สาววายนะครับ ไม่ต้องลุ้นว่าจะคอยช่วยเหลือหรือหาวิธีช่วยผม) ก่อนพูดอย่างเย็นชาว่า “ก็เรื่องธรรมดา”
จะมีคำแนะนำดี ๆ หน่อยก็พวกเพื่อน ๆ ซึ่งรู้ว่าฝ่ายที่ได้รับข้อความของผมเป็นผู้ชายแต่ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้เรื่องความรู้สึกพิเศษที่ผมมีให้พี่พร้อมหรือเปล่า (เพราะผมไม่เคยบอกให้รู้ แหมเนาะ จะให้สารภาพแบบตอนที่บอกแม่ ผมยังไม่ใจกล้าพออะ เขินด้วย เนี่ย! แต่คิดก็หน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว) พวกเขาแนะนำว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่ส่งข้อความกลับมาว่ารำคาญหรือบล็อกการติดต่อก็ให้ส่งข้อความไปคุยเรื่อย ๆ ไม่ต้องรอข้อความตอบกลับเพราะที่ฝ่ายนั้นเงียบเพื่อรอให้เราหายไปเอง
ดังนั้นผมจึงส่งข้อความไปคุยกับพี่เขาเรื่อยเปื่อย เรื่อย ๆ ทุกวัน ๆ ถ้าว่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เล่าเรื่องตลกบ้าง ซึ่งเขาก็มีตอบรับกลับมาบ้างจริง ๆ ด้วย
ตอนได้รับข้อความตอบกลับ ผมล่ะอยากวิ่งรอบห้องโห่ร้องฮูย่า! ฮูย่า! เสียจริง
ระหว่างนั้น ผมก็พยายามหาเฟซบุ๊กกับอินสตาแกรมของพี่เขาต่อไปซึ่งยังคงหาไม่เจอเสียที เนื่องจากผมไม่เคยรู้ชื่อจริงของเขา จึงใช้วิธีไปส่องตามเพจคณะ เพจสโมสรคณะและเพจคิ้วบอย พยายามไล่ดูรูปจนตาแฉะก็ยังไม่เจอ เลยต้องคิดข้อความถามแบบเนียน ๆ กับเขาเสียแทน
READ 12:22 PM “พี่เรียนปีอะไรแล้วครับ”
ผมทิ้งข้อความไว้สามวันกว่าเขาเข้ามาตอบ
หลัง ๆ มานี้ผมไม่ค่อยทิ้งคำถามเจาะจงไว้สักเท่าไหร่ พอเห็นเขาเมินเฉยไม่ยอมตอบกลับแล้วมันใจเสีย ต้องนั่นลุ้นระทึกทุกวันว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะยอมตอบและก็เป็นโชคดีของผมมากที่คราวนี้เขาตอบข้อความช่วงเย็น ๆ ไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนซึ่งผมมักจะหลับไปแล้ว
“เพิ่งปีหนึ่ง”
6:19 PMREAD 6:19 PM “ครับ”
READ 6:19 PM “พี่ครับผมอยากเปลี่ยนชื่อเฟซพี่ช่วยแนะนำหน่อยสิ”
READ 6:20 PM “ใช้ชื่ออะไรดี”
“ไม่รู้อะ”
6:20 PM“พอดีใช้ชื่อตัวเอง”
6:20 PMREAD 6:20 PM “ชื่ออะไรเหรอ”
ถามออกไปแล้วก็ได้แต่นั่งลุ้นว่าเขาจะยอมบอกไหม
“Chanin Piromsamon”
6:22 PMทันทีที่เห็นข้อความนั้นปรากฏขึ้นมา ในอกของผมพองฟูด้วยความดีใจ ถึงจะไม่ได้ถามขอเฟชบุ๊กออกไปตรง ๆ แต่มันก็ต้องมีเอะใจ อย่าง ‘เอ๊ะ! ไอ้น้องคนนี้อยากรู้ชื่อเฟซไปทำไม’ อะไรทำนองนี้บ้างล่ะ การที่เขายอมให้ชื่อเฟซบุ๊กมาทื่อ ๆ มันคงไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็พอจะมีใจให้
โอ๊ย! ดีใจจนแทบดิ้นตายแล้ว
“พี่วุ้น!” เสียงตะโกนดังลั่นของน้องสาวทำให้อารมณ์เปรมปรีดิ์ของผมชะงักไปฉับพลัน “เป็นบ้าอะไรถึงได้ลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น ว่านต้องหาพระมาห้อยคอยให้ปะ” เธอนั่งอยู่บนโซฟา เหยียดสายตามองผมคล้ายแขยงรังเกียจ
แหม! ขอออกอาการดีใจหน่อยก็ไม่ได้
ผมลุกขึ้นลูบหัวลูบผมให้เข้าที่เข้าทาง มองค้อนน้องสาวหนึ่งทีก่อนเปลี่ยนย้ายไปนั่งที่อื่น
READ 6:25 PM “อ่านว่าอะไรอะ”
READ 6:25 PM “ชานินเหรอ”
“ชนินทร์”
6:25 PMREAD 6:25 PM “อ้อ”
ผมต้องระงับอาการอยากเอ่ยปากชมใจจะขาด ...ชื่อเพราะอะ โดนใจ แต่ผมไม่กล้าหยอดเพราะเดี๋ยวโดนรังเกียจไปเสียก่อน กลัวโดนบล็อก ถึงตอนนี้จะได้ชื่อเฟซบุ๊กมาแล้วก็เถอะเพราะถ้าเขาเกิดรู้สึกถูกคุกคาม ต่อให้เริ่มมีใจให้ก็ย่อมไม่มีประโยชน์
READ 6:26 PM “งั้นผมใช้ชื่อตัวเองเหมือนเดิมแหละเนอะ”
“ถ้าเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นไม่กลัวเพื่อนจำไม่ได้เหรอ”
6:26 PMREAD 6:27 PM “เพื่อนผมก็ใช้ชื่ออื่นกันหลายคนนะ”
READ 6:27 PM “อย่าง ยักษ์ใหญ่ กันดั้มแมนงี้”
READ 6:27 PM “เออพี่”
READ 6:27 PM “ดูอนิเมะไหม”
READ 6:28 PM “หรือเล่นแต่เกม”
“วุ้น! กินข้าวได้แล้ว” เสียงแม่เรียกดังออกมาจากครัว ทำให้ผมต้องรีบส่งข้อความสุดท้าย
“งืม ๆ รู้แล้ว” ทว่ายังไม่อยากกินเลยอะ ยังอยากคุยต่อ นาน ๆ ถึงจะได้มีโอกาสคุยกับพี่พร้อมยาวขนาดนี้
“วางโทรศัพท์แล้วรีบมากินข้าวอย่าให้แม่โมโห” เสียงคาดโทษดังซ้ำทำให้ผมต้องรีบส่งข้อความไปบอกอีกฝ่ายและต้องวางโทรศัพท์อย่างจำใจ
“ดูแค่บางเรื่อง”
6:28 PM“เล่นเกมมากกว่า”
6:29 PMREAD 6:29 PM “เกมอะไรเหรอ”
READ 6:30 PM “พี่ แม่เรียกไปกินข้าวแล้วอะ”
READ 6:30 PM “เดี๋ยวผมกลับมาคุยต่อนะ”
“ไปเหอะ”
6:29 PM“กำลังจะไปกินข้าวเหมือนกัน”
6:29 PMกลับมาเปิดโทรศัพท์และส่งข้อความไปให้เขาอีกครั้งปรากฏว่าอีกฝ่ายเงียบหายไปเลยครับ
เฮ้อ!... เศร้าใจ
วินาทีต่อมาเมื่อนึกขึ้นได้ผมจึงรีบเข้าเฟซบุ๊ก พิมพ์ชื่อที่ได้มาในช่องค้นหาแต่พอกดเข้าไปเท่านั้น กลับไม่สามารถดูสถานะหรือข้อความอัปเดตอะไรได้ทั้งนั้น
ผมได้แต่ร้องโหยหวนอยู่ในใจ
ทำไมไม่เปิดเป็นสาธารณะล่ะครับ!!!
ด้วยความเศร้าหมองตรอมตรมที่มีอยู่เต็มเพียบจนท่วมล้นหัวใจเหมือนเศษขยะที่ถูกพัดพามากับน้ำยามฝนตก ผมจึงจรลีพาร่างกายและจิตใจอันชอกช้ำไปล้มตัวลงนอน น้ำตายังไม่ทันไหลกระทบหมอนก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง พาตัวเองกลับไปนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดตำราเพื่อศึกษาเล่าเรียนเตรียมตัวสอบ
ผมต้องใช้ความเจ็บช้ำนั้นผลักดันตัวเองให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยของพี่พร้อมให้ได้!!!
เพื่อให้ได้จีบแบบเห็นหน้าเห็นตา ไม่ต้องรอคอยข้อความตอบกลับที่เดี๋ยวสามวันดี สี่วันไข้
ผมต้องฮึดสู้เพื่อชัยชนะของพวกเรา(?)
เอาล่ะ!!! ลงมืออ่านหนังสือซะ! วะฮ่าฮ่า!
และแล้วด้วยอานุภาพมหัศจรรย์พลังแห่งรักเมื่อช่วงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาเยือน ผมก็สามารถทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ซึ่งทำให้ผลสรุปออกมาปรากฏว่า...
ผมสอบติด!!!
หลังจากนี้ผมต้องเดินทางไปแก้บนตามวัดกับศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่บนไว้ก่อน จัดการขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ฤกษ์ไปวอแวกับพี่พร้อมสุดหล่อ คราวนี้ผมไม่กลัวเขาบล็อกไลน์ผมแล้วล่ะ ต่อให้บล็อกก็ยังเจอกันในมหาวิทยาลัยได้อยู่ดี ผมเป็นรุ่นน้องพี่เขาด้วยยังไงก็หนีไม่พ้น
7:45 AM “พี่ ๆ ผมสอบติดแล้ว”
7:45 AM “ช่วยพาผมไปหาหอหน่อยได้ไหม”
แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม คือไม่ยอมตอบเสียที
ปิดเทอมนะเว้ย! ทำอะไรอยู่เนี่ย! ทำไมไม่รู้จักตอบข้อความเสียบ้าง คนอะไร ฮึ่ย! ฮึ่ย! อย่าให้ได้เจอตัวนะ จะกอดรัดแล้วก็ จ...จูบ! เสียให้เข็ด!
งุ้ย! เขินอีกแล้ว
“ไอ้วุ้น! เละเทะหมดแล้ว เพ้อเจ้ออะไรอยู่คนเดียวเนี่ย”
คำตวาดทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ มองห่อขนมของฝากที่ร่วงจากชั้นวางหล่นกระจายอยู่เต็มพื้น
“อุ้ย! หนูไม่ได้ตั้งใจ” ผมพูดก่อนจะก้มลงเก็บข้าวของ
“มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่องค์ไหนตามมาอยู่ด้วยหรือเปล่า พักหลัง ๆ แม่ว่าวุ้นจะขี้มโนออกอาการมากไปหน่อยนะ”
“แม่อะ” ผมร้องเสียงหลง ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง สงสัยต้องฝึกนิสัยใหม่ ต้องระงับอาการออกท่าทางตามความคิดให้ได้อย่างจริงจังเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพี่พร้อมจะตกใจ
หลังจากนั้นผมยังระดมส่งข้อความถึงพี่พร้อมอีกเรื่อย ๆ ถ้าไม่ยอมตอบก็ต้องรำคาญกันไปข้าง
READ 7:34 PM “อะไรกันทำไมใจจืดใจดำกับรุ่นน้องได้ขนาดนี้”
READ 7:34 PM “พาผมไปหาหอพักแถวมหาวิทยาลัยหน่อยนะ”
READ 7:35 PM “เดี๋ยวผมหิ้วข้าวหลามไปฝาก”
“เออ”
7:50 PM“จะเข้ามาวันไหนก็บอก”
7:50 PMในที่สุดฟ้าเบื้องบนก็เห็นความพยายามของผม ขอบคุณครับเจ้าพ่อเจ้าแม่ ขอบคุณพี่พร้อมที่ตอบตกลงเสียทีครับ
ผมก้มลงกราบโทรศัพท์ด้วยความดีใจเปี่ยมล้นและถลาออกจากห้องนอน ลงไปชั้นล่าง พ่อกับแม่ยังนั่งดูละครช่วงหัวค่ำกันอยู่
“หนูจะไปดูหอพักแล้ว ขอเงินไปวางมัดจำด้วยนะ”
“อ้าว! หอในเขาเปิดให้จองแล้วเหรอ” พ่อถาม
“หนูจะอยู่หอนอก ให้หนูอยู่หอนอกเถอะนะ” ผมทรุดตัวลงไปนั่งแหมะกับพื้นพลางเกาะขาบิดาและช้อนสายตาขึ้นมอง
“หอในไม่ดีเหรอ ประหยัดกว่า ปลอดภัยด้วย อยู่ในมหาวิทยาลัยไปไหนก็สะดวก” พ่อยังยกเหตุผลมาโน้มน้าว
“แต่หนูไม่อยากอยู่รวมกับคนอื่น ถ้าเกิดรูมเมตมีโรคประจำตัวล่ะ อย่างเป็นเกลื้อนงี้หรือไวรัสตับอักเสบเอบีซีดีอี ถ้าเขาเป็นคนซกมกไม่ยอมซักเสื้อผ้า ถ้าเขาเป็นพวกนอนกรนล่ะ...”
“เดี๋ยว ๆ” แม่ส่งเสียงพูดเบรก “ที่พูดมามันเกินไปหน่อยมั้ง บอกมาตามตรงดีกว่าอยากอยู่หอนอกเพราะอะไร รึตั้งใจจะพาผู้ชายคนนั้นเข้าห้อง”
ชะอุ้ย! หม่ามี้ช่างรู้ใจเสียจริง ๆ แต่ถึงโดนจับได้ผมก็ยังยืนกระต่ายขาเดียว
“เปล่าซะหน่อย หนูไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับคนอื่น” ผมยังอ้างตาใส “คิดดูนะแม่ หนูนอนคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งถ้าต้องตื่นมาแล้วเห็นใครเดินอยู่ในห้อง คงตกใจตายล่ะ”
“รูมเมตไม่ใช่ผี” แม่พูด
“แล้วทำไมไม่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน พ่อจำได้ว่าแกอยากเข้าที่นั่นไม่ใช่เหรอ”
“แต่มอที่สอบติดภาษีดีกว่านะ มีแต่พวกเก่ง ๆ เท่านั้นแหละที่จะสอบได้ ชื่อเสียงดีกว่า หนูคิดว่าถ้าเรียนจบมาคงหางานทำได้ง่าย”
“อ้าว! แล้วตกลงว่าไม่กลับมาขายของที่บ้านแล้วเหรอ” พ่อถามน้ำเสียงตกใจ
ลืมเลยอะ ว่าเคยบอกพ่อไว้จะกลับมาขายของที่บ้าน เอายังไงดี “ก็กลับมาขายแต่พอหนูเรียนจบพ่อจะเลิกขายของยกร้านให้หนูเลยเหรอ ก็ไม่ใช่อย่างนั้นนี่เพราะงั้นตอนที่พ่อยังทำงานอยู่ หนูจะไปทำงานบริษัทสักแป๊บก่อน”
“ไอ้ได้นะได้ แต่แกคิดดีแน่แล้วเหรอ”
“ไม่ได้ตั้งใจอยู่หอนอกเพราะคิดจะพาผู้ชายมานอนที่ห้องหรอกใช่ไหม” แม่ยังโพล่งถามย้ำ
“หนูคิดดีแล้วและจะไม่ทำอะไรให้พ่อแม่เสียใจด้วย ไม่ต้องห่วงนะ”
พ่อกับแม่หันมองหน้าสบตากันคล้ายจะปรึกษากันอีกรอบ
อยากมีโมเมนต์นี้กับพี่พร้อมบ้างจัง ...แค่มองตาก็รู้ใจ
“ตกลงอยู่หอนอกก็ได้ จะไปดูวันไหนก็บอก”
“แล้วจะไปกับใคร” แม่ยังถาม รู้สึกว่าติดใจเรื่องพี่พร้อมมาก ไหนตอนนั้นว่ายอมรับได้แล้วไงล่ะ
“ไปกับรุ่นพี่” ผมเลี่ยงตอบทว่ามารดายังซักฟอกไม่เลิกทำให้จำต้องบอกออกไป
“รุ่นพี่ที่ไหน”
“ก็พี่คนนั้นแหละ”
แม่เงียบไปเลยเมื่อได้ยินคำตอบ
“หนูแค่ชวนเขาไปช่วยหาหอพักเฉย ๆ เขาเรียนอยู่ที่นั่นมาตั้งปีแล้วนะ”
“ตกลงที่เลือกเข้าที่นั่นเพราะผู้ชายเหรอ” พ่อถามเสียงดังขึ้นมาอีก ท่าทีมองคล้ายกำลังกรุ่นโมโห
ผมชะงักกลั้นหายใจ ถ้าเป็นไปได้อยากหายตัวจากตรงนี้แล้ว ทำไมพ่อกับแม่เชื่อมโยงเก่งจังแถมยังทำงานเป็นทีมสามัคคีมาก เล่นยิงคำถามใส่ผมแบบนี้แล้วจะให้ตอบยังไงล่ะ
“ก็มีส่วน” เสียงผมเบาอ้อมแอ้มลงทันควัน
“วุ้น การเข้ามหาวิทยาลัยหรือการเลือกคณะมันคืออนาคตของแกนะ ทำไมถึงเอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับคนอื่น คิดบ้างหรือเปล่าถ้าเรียนไม่ไหวขึ้นมาจะทำอย่างไร ไหนต้องอยู่ห่างบ้านอีก เจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาจะไม่มีแม่คอยดูแลหรอกนะ”
จ๋อยไปเลย...
ผมขยับตัวนั่งพับเพียบ ประนมมือขึ้นกลางอก “ผมขอโทษครับ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกก่อน แต่เรื่องพี่คนนั้นผมคิดดีแล้ว และเขาก็เป็นแค่แรงบันดาลใจให้ผมลองตั้งใจพยายามอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ถึงต่อจากนี้ผมจะต้อง...” สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะไม่อยากพูดออกไปให้เป็นการแช่งตัวเอง แต่เพื่อให้พ่อกับแม่มั่นใจ... เอาวะ!
“ถึงต่อจากนี้ ผมจะต้องอกหักจากพี่เขา ผมก็จะไม่มีทางนำมันมาเป็นสาเหตุทำให้ผลการเรียนแย่ลง ผมจะตั้งใจเรียนเหมือนตอนที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้”
“แกพูดเองนะ”
“ครับ” ผมขยับท่าทางอีกครั้งเปลี่ยนเป็นชูมือขึ้นสามนิ้ว “ด้วยเกียรติของผู้ชายใจแกล้วกล้า ข้าขอสัญญาว่า...”
“ไม่ตลกได้ไหม”
“ชะอุย!” ผมแกล้งส่งเสียงอุทานเมื่อเจอคำพูดดักทางของแม่ ก่อนขยับเกาะขาของบิดาไว้เช่นเดิม
“ตกลงพ่ออนุญาตแล้วเนอะ”
“เออ จะไปวันไหนก็มาบอก”
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ ลุกขึ้นยืนวิ่งปร๋อกลับขึ้นไปบนห้อง ต้องคุยกับพี่พร้อมเพื่อกำหนดวันไปเดตอีก
READ 8:23 PM “พี่ว่างเมื่อไหร่”
“ต้องถามน้องนั่นแหละจะมาเมื่อไหร่”
8:41 PMโห้! ถามกลับมาเหมือนชวนหาเรื่องเลยแฮะ
ผมจึงเช็ดดูกำหนดการอีกรอบ
“ไปดูหอก่อนวันรายงานตัวแล้วกัน วันที่รายงานตัวพ่อแม่ไปด้วยเขาจะได้ไปส่งที่หอพักเลย” ผมพึมพำพูดกับตัวเอง ก่อนกดพิมพ์ข้อความซึ่งเป็นวันที่ที่ตนเองสะดวก
“ได้”
8:45 PM“จะมาถึงตอนกี่โมง”
8:45 PMREAD 8:46 PM “เอาสักสิบครึ่งนะ”
“ใกล้ถึงวันนัดไลน์มาเตือนด้วยล่ะ”
8:46 PM
“อะไรต้องเตือนด้วย ใช่ซี่เค้ามันไม่สำคัญนี่” ถึงจะบ่นไปอย่างนั้นผมก็ยังยิ้มแต้ออกมาอยู่ดี จะได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ แล้ว มันต้องดีใจเป็นธรรมดา
ระหว่างที่รอเวลาให้ถึงวันนัด ผมลองเสิร์ชหาข้อมูลร้านข้าวแถวนั้นมาเตรียมไว้ด้วย ตั้งใจจะบอกว่าให้แนะนำร้านข้าวหน่อย แต่ถ้าพี่เขาตอบว่าไม่รู้จะได้งัดข้อมูลออกมาบอก เออใช่... บอกว่าเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยพาไปดูหอพักก็ได้ เดี๋ยวหิ้วข้าวหลามไปฝากอย่างที่บอกไว้ จะได้กลายมาเป็นลูกเขยบ้านใจแกล้วกล้า ...ความคิดนี้ก็ดี
นอกจากหาข้อมูลร้านข้าว (ร้านข้าวธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่ภัตตาคารหรูหราหรอกนะ ผมไม่ได้รวยขนาดนั้น) ผมยังซื้อเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสำหรับออกเดต ปกติสวมแต่เสื้อยืดกางเกงยีนทว่าออกเดตทั้งทีมันต้องทำให้คู่เดตประทับใจใช่ไหมล่ะ ผมต้องไปเดินหาตั้งหลายตลาดนัดแน่ะว่าจะได้เสื้อผ้าที่โดนใจ ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปซื้อตามห้างสรรพสินค้าเพราะว่ามันแพงครับ
เอาไว้ผมได้เข้าไปเรียนในกรุงเทพเมื่อไหร่ จะหาเวลาว่างไปทำงานพิเศษด้วยเพื่อเก็บเงินไว้พาพี่พร้อมไปเดต ผมคิดไว้ถึงป่านนั้นแล้วล่ะ
และแล้ว… วันเวลาที่น่าจดจำสำหรับผมก็มาถึง วันที่ผมนัดกับพี่พร้อมว่าจะไปดูเรือนหอด้วยกัน
อุ้ย! ว่าไปนั่นแต่แอบคิดอยู่ในใจอะ
เช้านั้นผมตื่นแต่เช้าเพราะกว่ารถบัสปรับอากาศสาธารณะที่วิ่งรับคนทั้งโลกจะเดินทางไปถึงบางนาให้ผมต่อรถไฟฟ้าไปมหาวิทยาลัย มันต้องใช้ระยะเวลาเดินทางนานมาก ผมไม่กล้านั่งรถตู้เท่าไหร่เพราะกลัวไปไม่ถึง หวั่นเกรงว่ามันจะหงายท้องลงข้างทางหรือกระโดดไปชนกับรถยนต์อีกฝั่งถนนเสียก่อน
เลยขอเลือกเดินทางช้า ๆ แต่ชัวร์ดีกว่า
ผมโหลดเพลงลงโทรศัพท์ไว้เพียบ งานนี้ไม่มีเหงาแน่นวล
ลั่นล้ากับการเดินทางสัญจรอยู่หลายชั่วโมง ผมจึงพาตัวเองไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด โชคดีที่มีรถไฟฟ้าถึงมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นผมคงหลงไปเดินเล่นอยู่แถวสะพานพุทธแน่ ๆ รถราในกรุงเทพนี่น่างงงวยที่สุด
อธิบายก่อน จังหวัดบ้านเกิดของผมเจริญไม่น้อยหน้าใครเพราะปริมาณนักท่องเที่ยวกับมนุษย์เงินเดือนทำงานในโรงงานมหาศาล ทั้งห้าง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ทั้งสวนสนุก โรงเรียน มหาวิทยาลัยและโรงเรียนติวเตอร์มีครบทุกอย่าง ผมจึงไม่จำเป็นต้องถ่อออกจากบ้านเกิดเพื่อไปเผชิญความลำบากที่อื่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่พร้อม วันนี้ผมก็ยังนอนแผ่ตีพุงอยู่ที่บ้านนั่นแหละ
พอมาถึงผมก็ส่งไลน์ไปให้เขา เขาตอบกลับมาว่าให้ไปรอที่ประตูมหาวิทยาลัย ผมไปยืนรอสักพักเขาส่งข้อความมาอีกว่า
“อยู่ไหนเนี่ย”
10:47 AMREAD 10:47 AM “อยู่หน้าป้ายชื่อมหาลัยเลย”
“ตรงไหน”
10:47 AM“พี่ก็อยู่แถวหน้าป้าย”
10:47 AMอ้าว!!!
ตอนนั้นในหัวผมมีแต่คำอุทาน มันว่างเปล่านึกอะไรไม่ออก ในใจอยากเบะปากร้องไห้อยู่รอมร่อ ผมก็ยืนอยู่หน้าป้ายนะถึงมันจะดูเล็กไปหน่อยก็เหอะ
“ถ่ายรูปส่งมาให้ดูหน่อย”
10:48 AMREAD 10:48 AM (ส่งรูป)
“นั่นมันประตูหลังม.”
10:48 AM“ทำไมไม่มาประตูหน้าล่ะ”
10:48 AMREAD 10:49 AM “แล้วต้องทำยังไงอะ”
READ 10:49 AM “ToT”
“ถ้าเห็นวินวิ่งอยู่แถวนั้นให้เรียกเลย”
10:49 AM“บอกให้เขามาส่งที่ประตูหน้า”
10:50 AMผมกวาดสายตามองหาพี่วินมอเตอร์ไซค์ตามคำสั่ง ทันได้เห็นพี่เขาคนหนึ่งกำลังขี่รถมาจึงโบกเรียกอย่างว่องไว
“พี่ครับ ไปประตูหน้ามหาลัยครับ”
พี่เขาพยักหน้ารับพร้อมส่งหมวกมาให้ ผมก็กระโดดขึ้นคร่อม จากนั้นเขาบิดคันเร่งออกตัวบื้ดไปอย่างรวดเร็ว ถึงช่วงที่มีลูกระนาดก็เบียดขอบถนน ให้ล้อแทรกผ่านร่องแคบ ๆ ไม่กี่นาทีต่อมา ผมจึงได้เห็นหน้าพี่พร้อม อยากถลาเข้าไปหาทันทีอยู่เหมือนกันแต่ต้องจ่ายค่าพี่วินก่อน
“พี่พร้อม” ผมร้องเรียกยิ้มกว้างเดินเข้าไปหา สีหน้าเขาดูแปลกใจเล็กน้อยพานให้ผมจิตตกเริ่มกังวล
...หรือสภาพผมดูแย่มาก ผมคิดขณะยกมือลูบหัวลูบผมจัดทรงให้เข้าที่ หลบสายตาเขาอย่างเก้อประหม่าถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองหิ้วข้าวหลามมาด้วย
“พี่ครับ ผมเอามาฝาก”
คราวนี้เขาชะงักไปอีก ผมจึงลดมือลง “เดี๋ยวผมถือให้ก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถือเอง” เขายื่นมือมารับถุงไป
ถึงจะเป็นถุงใสแบบที่เห็นชัดเจนว่าบรรจุอะไรไว้ด้านในแต่ผมคิดว่าข้าวหลามบ้านผมออกจะกิ๊บเก๋ ไม่ได้ดูบ้านนอกมากนะ เลยพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก
“ไปกันยัง” เขาถาม เมื่อผมพยักหน้าเดินนำผมข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อรอรถเมล์และพาผมลงป้ายที่สอง เดินตามฟุตบาทอีกระยะหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าซอย ไกลมากแต่มีความสุขมากเหมือนกัน ผมชะลอฝีเท้าเดินตามหลังเขา แอบมองด้านข้าง นึกอยากถ่ายรูปเก็บไว้แต่กลัวเขาจับได้เลยต้องเดินตามแบบเจียมเนื้อเจียมตัว
หอพักที่เขาพาผมมาดูเป็นอาคารสูงร่วมสิบชั้น สองข้างทางมีแต่หอพักดูเงียบสงบ
“ถ้าไปเรียนนั่งวินไปก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับพาขึ้นรถเมล์ จำสายที่มาได้หรือเปล่า”
ผมรีบพยักหน้าหงึก ๆ ถึงส่วนใหญ่จะมองแต่พี่เขากระนั้นผมยังมีสำนึกเรื่องชีวิตความอยู่รอด จึงต้องตั้งใจจดจำหมายเลขรถเป็นพิเศษ
เขาพาผมเดินไปติดต่อห้องชั้นล่าง
“ห้องที่จองไว้นะครับ” พี่พร้อมพูดจบพี่ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบกุญแจ เดินออกมาล็อกประตูห้องกระจกสำหรับพนักงานและนำหน้าไปที่ลิฟต์ พาขึ้นมาชั้นสี่ ถัดจากลิฟต์มาอีกห้องหนึ่ง เธอไขเปิดเข้าไปพร้อมอธิบายว่าในห้องมีอะไรให้บ้าง ค่าเช่าเท่าไหร่ ต้องวางค่าประกันกับมัดจำอีกเท่าไหร่ ผมเดินสำรวจดูห้องน้ำ ดูฝ้าห้องน้ำและเปิดประตูออกไปดูระเบียง ก่อนกลับมามองสำรวจฝ้าในห้องอีกรอบ ถ้าเป็นไปได้อยากหาไม้มากระทุ้งทุกแผ่นเลยว่ามันแข็งแรงดีหรือเปล่า เพราะกลัวว่าวันดีคืนดีจะมีเพื่อนโผล่ออกมา
ผมตัดสินใจตอบตกลงทันที ก็ตั้งใจมาแล้วและเหลือบสายตามองพี่พร้อมที่กลับมายืดตัวยืนตรงหลังยืนพิงกรอบประตูมาตลอด
หลังจากนั้นลงมาข้างล่างจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายและแจ้งวันเข้าพัก เมื่อเรียบร้อยผมจึงหันไปพูดกับพี่พร้อมว่า
“แถวนี้มีร้านข้าวหรือเปล่าครับ”
“ก็ร้านแถวหน้าปากซอยนั่นแหละ”
ขากลับเขายังพาผมเดินอีกเช่นเดิม และพาแวะเข้าร้านข้าวขาหมูอย่างไม่ลังเล
“พี่ชอบเหรอ” ผมลองถาม
“เข้ามานั่งในร้านเขาแล้วจะให้ตอบยังไงล่ะ” เขาถามกลับหน้าตาย ก่อนหันไปสั่งอาหารกับพี่พนักงานเสิร์ฟที่เดินตามมาที่โต๊ะ
“ข้าวหมูแดงหมูกรอบพิเศษไข่ต้มครับ” พี่พร้อมสั่งของตัวเองเสร็จถึงได้หันมาถาม ผมไม่เคยกินแล้วจะรู้ไหมว่าอะไรอร่อย
“เอาแบบพี่เขาครับ” ผมยิ้มบอกพี่พนักงานอย่างสิ้นคิด เห็นแว็บ ๆ ทางหางตาว่าอีกฝ่ายชะงักด้วยสีหน้าประหลาดอีกแล้ว พอผมหันไปตั้งใจมองกลับกลายเป็นว่าเขากำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์
“แล้วหอพี่อยู่ไหน”
“อีกฝั่ง” เขาเหลือบตามองหน้าผมเล็กน้อย
“อ้าว! ทำไมพี่พร้อมไม่พาผมไปดูหอที่พี่อยู่ล่ะ ถ้าผมมีการบ้านจะได้ถือไปให้พี่สอนได้”
“อยู่มหาลัยไม่มีการบ้านแล้ว”
“จริงดิ”
“เออ การบ้านมันสำหรับเด็กมัธยมกับประถม”
อาหารมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว อยากจะบอกว่าหน้าตาน่ากินมาก
“มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงนะ ตอบแทนที่พี่อุตส่าห์ลำบากพาผมมาหาหอพัก”
เขาพยักหน้ารับคล้ายไม่ใส่ใจพานให้ใจผมห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย ก่อนพยายามเรียกแรงฮึดบอกตัวเองว่า มันก็ธรรมดาของช่วงแอบรักนั่นแหละ เดี๋ยวพอเขาชอบเราชีวิตก็แฮปปี้ดี๊ด๊า
อย่างไรก็ดีเมื่อได้ตักข้าวเข้าปาก ความสุขก็มาเยือนเหมือนกันเพราะมันอร่อย หม่ำไปจนอิ่มแปล้จึงควักเงินออกมาจ่ายค่าเสียหาย จากนั้นพี่พร้อมได้พาผมข้ามฝั่งมาขึ้นรถเมล์ไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัยและพาขึ้นรถรับส่งที่วิ่งในมหาวิทยาลัยไปดูอาคารคณะ
ในอกปลื้มปริ่มกับความเอาใจใส่ของเขาขึ้นมาทันที นอกจากนั้นเขายังพาผมไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าหลังมอด้วย อยากอยู่กับเขาต่ออีกนิด แต่พอคิดว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้เจอเขาทุกวันแล้ว ผมจึงตัดใจได้ในที่สุด
ผมยกยิ้มกล่าวขอบคุณเขาอีกหนก่อนเดินขึ้นบันไดสะพานลอยข้ามฝั่ง เมื่อพ้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหันไปมองเขาอีกรอบทันได้เห็นเขากำลังขึ้นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยพอดี ผมยืนมองจนภาพของเขาลับหายไป
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
*//สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านมาให้ความสนใจเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้และขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์แรงเชียร์ค่ะ ขอแจ้งว่าตอนต่อไปจะนำมาลงอัปเดตให้อ่านในวันที่ 4 สิงหาคม 2561 นะคะ อย่างไรก็ฝากติดตามด้วยค่ะ