ดวงใจรักในห้วงฝัน #ฝันพิเศษ# 12/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ดวงใจรักในห้วงฝัน #ฝันพิเศษ# 12/11/2018  (อ่าน 7385 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


.
.
.
.
.

ผมรู้จักเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปีคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่นิสัยดีนะแต่เพราะไม่ได้คุยกันแบบตัวเป็น ๆ เลยไม่รู้ว่าจะเป็นคนนิสัยดีตามที่ได้รับรู้จากข้อความที่อ่านหรือเปล่า แต่เท่าที่คุยกันเขาเป็นคนช่างคุยดี ตลก ดูเป็นเด็กซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัย ชอบส่งข้อความมาคุยกับผมทุกเวลาที่ว่าง

ส่วนผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย ถึงอย่างนั้น น้องเขาก็ยังไม่หายไป

คุยกันเกือบปี จนช่วงใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่าจะมาเรียนด้วย บอกให้ผมช่วยดูแลเขาด้วยนะแล้วจะหิ้วข้าวหลามมาฝาก

ผมเออออรับคำไปตามประสา ถามถึงคณะที่จะเข้าบ้าง ถามเรื่องการสอบบ้าง ฝั่งน้องเขาเองก็อัปเดตข้อมูลสถานะการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยมาเรื่อย ๆ จนเขาบอกว่าติดแล้วช่วยพาไปหาหอหน่อย

ตอนแรกผมอ้างติดโน่นติดนี่ไปเรื่อยทั้งที่จริงก็ขี้เกียจนั่นแหละและรู้สึกว่า ‘เฮ้ย! ไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้นซะหน่อย’ แต่พอน้องมันถามเรื่องนี้มาหนัก ๆ ประกอบกับที่มันบอกว่าจะมาเป็นรุ่นน้องในคณะ ผมจึงตัดสินใจตกลง

พวกเรานัดเจอกันแถวหน้ามหาวิทยาลัย น้องมันหิ้วข้าวหลามมาฝากตามที่เคยบอกไว้แต่เป็นข้าวหลามกระบอกเล็ก ๆ ในแพ็กเกจทันสมัยน่าถือที่ดูไม่เชย ผมจึงยอมรับไว้

บอกได้เลยว่าตอนที่เจอกันครั้งนั้น ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ‘แค่เด็กที่จะกลายมาเป็นรุ่นน้องในคณะ’ คนหนึ่งเท่านั้น แต่พอลองย้อนคิดดู อืม... จะเรียกว่า ‘มนต์รักข้าวหลาม’ ก็ได้มั้ง (หัวเราะ)

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2018 20:45:43 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 1 ผมแค่โดนรถเฉี่ยว



เอ๊ะ! อ้าว!

ผมกะพริบตากวาดมองภาพเบื้องหน้าก่อนเสียงทุ้มนุ่มข้างหูจะดังขึ้นเรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง แล้วต้องสะดุ้งผละออกห่างเมื่อเห็นใบหน้าหล่อคมสันอยู่ในระยะประชิด

“เป็นอะไรหรือไม่ เจียวซิน”

ผมหันมองรอบตัวลอกแลกอีกหนจนผู้ชายคนนั้นต้องส่งเสียงเรียกซ้ำ

“เดี๋ยวก่อน”

คำว่า ‘เดี๋ยวก่อน’ ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงเขาเพียงอย่างเดียวแต่หมายถึงตัวเองด้วย

ว้อท เดอะ เฮล? นี่มันเรื่องอะไรกันฟะ!!! ผมต้องขอดึงสติรวบรวมความคิดอีกแป๊บ

คือผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ผมกำลังเดินอยู่ริมถนนขณะกลับบ้าน และพวกคุณต้องเข้าใจว่าถนนหนทางในประเทศไทยมันไม่ได้มีทางเท้าสำหรับคนเดินถนนทุกที่ ผมเดินอยู่บนไหล่ทางนั่นแหละและเพราะเหตุที่ผมเดินอยู่บนไหล่ทางผมจึงโดนรถเฉี่ยว แค่เฉี่ยวจริง ๆ เพราะผมได้ยินเสียงบีบแตรดังข้างหลัง พอหันไปมองเห็นรถวิ่งใกล้เข้ามาแล้วเลยกระโดดหนีลงข้างทาง เฮ้ย! ผมว่าผมไม่ได้โดนชนนะทำไมวิญญาณหลุดออกจากร่างมาอยู่ในยุคจีนโบราณแบบนี้ได้ล่ะ

และที่ผมบอกว่าเป็นยุคจีนโบราณเพราะผมอ่านนิยายมาเยอะ พอจะจินตนาการได้อยู่จากที่นักเขียนเขาบรรยายฉากในนิยาย แบบเครื่องเรือนไม้ยุคเก่าแต่สภาพยังใหม่อะไรเทือกนั้น แต่ที่แปลกใจหน่อยก็ตรงที่ผมไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงเนี่ยแหละ แต่รู้สึกว่า... (ผมขอกวาดตามองอีกรอบ) น่าจะอยู่ในสวน ศาลาแบบนี้ผมเคยเห็นในซีรี่ย์หนังจีน แหมเนาะรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมาเหมือนกันว่าระลึกได้ขึ้นมาทันควันว่าตอนเด็ก ๆ ติดหนังจีนมาก เปาบุ้นจิ้นนี่ดูทุกวัน ถึงพ่อกับแม่จะบอกว่าเอามาฉายรีรันเป็นรอบที่สิบแล้วก็ตาม คือผมไม่เคยดูเก้ารอบก่อนหน้าไง ผมก็ต้องสนุกสิ

กลับมาเข้าเรื่องของผมกันต่อ

ว่าแต่ถึงไหนแล้วนะ

อ้อ... ที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในสวน เออ... ที่สำคัญผมนั่งอยู่กับผู้ชายแบบใกล้มาก ๆ (ขอผมตกใจอีกแป๊บ เพิ่งรู้สึกตัวอะ) แบบหน้าห่างกันแค่คืบอะ คือเฮ้ยใกล้ไปไหม! ก่อนหน้าเจ้าของร่างนี้มันคุยอะไรอยู่กับผู้ชายคนนั้นฟะ อีกอย่าง (เพิ่งระลึกได้อีกแล้ว) ผมฟังภาษาจีนออก แล้วพูดภาษาจีนได้ด้วย

แจ่มวะ! คือไม่ต้องเรียนก็พูดได้อะ โคตรเจ๋งเลย ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะพูดภาษาไทยได้ไหม ต้องลองดูหน่อยทว่าผู้ชายคนนั้นกลับเอ่ยขัดจังหวะอีกรอบ

“เจียวซิน”

“อะไรเล่า” ผมตอบกลับไปแบบรำคาญนิด ๆ ผู้ชายคนนั้นทำหน้าเหวอไปเลย

เออ... เพิ่งระลึกได้อีกแล้ว คือผมตอบรับแบบอัตโนมัติราวกับว่า ‘เจียวซิน’ นี่คือชื่อผมอะ

ผมมองเขาที่เหมือนเริ่มตั้งสติได้

“ข้าจะให้คนตามหมอหลวง” เขาพูดก่อนหันไปออกคำสั่งกับชายสูงอายุที่ยืนอยู่ห่างออกไป ผมมองตาม อืม...ยืนอยู่ห่างมาก ขอบริมสวนโน่นแหนะแต่ที่ทำให้ผมรู้สึกดี๊ด๊าเพราะมีคนยืนเรียงเป็นตับเลยและจากยูนิฟอร์มที่เหมือนกันทุกคน ไม่ต้องฉลาดมากยังเดาได้ว่านั่นคือคนรับใช้

ผมดีใจที่บ้านนี้รวย!!!

ข้ารับใช้คนนั้นหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมตัวนอกสีขาวชุดด้านในสีดำ พวกเขาเดินเข้ามาในบริเวณศาลาก่อนโค้งตัวก้มต่ำ

“ขอพระราชทานอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”

“เชิญ” ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวตอบพร้อมลุกขึ้นยืนเปิดทางให้คนที่เพิ่งมาถึงขยับเข้ามาใกล้

“ขอให้ข้าน้อยได้ตรวจดูชีพจรเถอะขอรับ”

มองมือที่ยื่นมาตรงหน้าแล้วได้แต่หดข้อมือเข้าหาตัวอย่างอัตโนมัติ มันเป็นปฏิกิริยาตอบกลับที่ผมไม่ได้ตั้งใจ ก่อนเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงที่ส่งสายตาพยักพเยิดมาให้ ผมจึงยื่นมือไปให้ชายตรงหน้า เขาจับ ๆ แตะ ๆ ช่วงแถวข้อมือจนผมสงสัยว่าไอ้การทำแบบนี้มันตรวจโรคได้จริงหรือวะ

“ร่างกายท่านซุนปกติดีพ่ะย่ะค่ะ แค่มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย เกล้ากระหม่อมจะจัดยาบำรุงไว้ให้”

“เมื่อครู่เขามีท่าทางแปลก ๆ”

“ไม่ ๆ ผม[1] ปกติดี” คำพูดของผมทำให้พวกเขาหันมองเป็นตาเดียว “มีอะไรหรือครับ”
           
            [1]   ในภาษาจีนปัจจุบันใช้สรรพนามแทนบุรุษที่หนึ่งว่า  我 (Wǒ) เท่านั้น ไม่ได้แยกย่อยเท่าของไทย และเนื่องจากผู้เขียนไม่มีความรู้เกี่ยวกับคำจีนโบราณเพราะฉะนั้นขออนุมานคำที่ใช้ตามภาษาปัจจุบัน

“วิธีการพูดของเจ้า... แปลกไปไม่เหมือนเดิม”

ผมจึงยกมือปิดปากตัวเอง

ง่ะ... แปลกยังไง คือผมก็พูดออกไปตามที่คิดแล้วมันก็หลุดออกไปเป็นภาษาจีนของมันเองนะ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นไล่หมอกลับไปถึงได้หันไปมอง

เขาเดินกลับมานั่งที่เดิม

“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาขยับตัวเล็กน้อยด้วยท่าทางอึดอัด “เรื่องที่คุยกันค้างไว้”

เอ๊ะ!!! แล้วผมจะรู้กับเขาเหรอว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่

คงเห็นว่าผมเงียบไปนานจึงหันมามองอีกรอบ คือทำหน้าทำตาแบบนั้นจะให้ผมตอบอะไรสักอย่างเรอะ!!! แต่ผมไม่รู้อะว่าก่อนหน้าคุยอะไรกันอยู่และพอลองเค้นคิดดี ๆ ผมจำที่มาความเป็นไปของเจ้าของร่างนี้ไม่ได้เลยล่ะ จำได้แต่เรื่องของตัวเองเท่านั้นนะตอนนี้

“เรื่องที่คุยกันค้างไว้...” ผมพยายามพูดทวนโดยหวังว่าเขาจะทวนย้อนเรื่องที่ว่าสักติ๊ดแต่ก็ไม่เลย คนอะไรวะ ไม่รู้มารยาทสังคมบ้าง ผมจึงต้องเอ่ยปากถามไปเอง

“เราพูดกันถึงตรงไหนแล้วนะ”

“เรื่องพระชายาและสนมของข้า” เขาตอบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“อ้อ คุณ[2] ติดปัญหาอะไรล่ะ”

          [2]  ‘คุณ’ ในนิยายเรื่องนี้เทียบกับคำว่า 你 (Nǐ) ส่วนคำที่สุภาพกว่าในนิยายจะใช้คำว่า ‘ท่าน’ เทียบเท่ากับภาษาจีนว่า 您 (Nín)

คราวนี้หน้าตาของเขาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม สีหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้แต่ก็เหมือนกำลังโกรธขึ้งอยู่ในที

“ข้าจะติดปัญหาอะไร ข้าย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว” พูดจบเขาพลันลุกขึ้นยืนสะบัดก้นหนีไปเลย

เออ...เนาะคนเรา ผมถามดี ๆ ยังจะมาโกรธแต่ถามว่าผมต้องใส่ใจไหม คิด ๆ ดูแล้วก็ไม่จำเป็นไง ผมเลยหันกลับไปหาจานขนมตรงหน้าแล้วหยิบขึ้นมากิน

อร่อยดีนะแต่ฝืดคอไปหน่อยจึงละมือออกห่างมองแป้งร่วน ๆ แล้วส่งเข้าปากทั้งชิ้น จากนั้นเทชาลงถ้วยยกขึ้นดื่ม

พูดตามจริง ตอนนี้ผมเริ่มหิวแล้วล่ะและนี่ต้องไปหาข้าวจากที่ไหนล่ะเนี่ย

ขณะที่คิด ผมก็ลุกขึ้นยืนเดินออกจากศาลา แหม...ถ้าไม่ติดว่าท้องไส้กำลังส่งเสียงประท้วงหาอะไรมาเลี้ยงพยาธิ ผมคงเดินชมนกชมไม้ได้เพลิดเพลินใจมากกว่านี้ พอเดินออกไปมีผู้หญิงสองคนรีบวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลัง แถมหน้าตาแจ่มทั้งคู่

“ผมหิวข้าว จะไปหาข้าวกินได้ที่ไหน”

“ท่านซุนจะรับสำรับที่ใดดีเจ้าคะ ข้าจะจัดเตรียมมาให้” หนึ่งในสองหญิงสาวพูดเสียงหวาน สำเนียงเนิบ ๆ เหมือนกำลังอ่อยผมอยู่ในทีแต่ก่อนที่ความคิดของผมจะเตลิดไปไกล ผมก็พยายามดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันเรื่องปากท้อง

“ในสวนก็ได้ ขอบคุณครับ”

ผมกลับไปนั่งรอที่โต๊ะหินตัวเดิม มีหญิงสาวอีกคนเดินตามมาเก็บจานขนมกับกาน้ำชาและหายออกไปเหลือแค่ตัวผมอยู่เพียงคนเดียวในศาลานั้น เมื่อได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ คนเดียว ผมจึงใช้เวลาทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมจำได้ดีว่าตัวเองกระโดดหลบรถลงข้างถนนซึ่งมีแต่ป่าหญ้าและพื้นกรวดลื่นเล็กน้อยที่เหมือนเหยียบเท้าลงไปไม่มั่นคง หรือตอนนั้นผมจะล้มจนศีรษะไปกระแทกกับหินจนตาย ถ้าจริงล่ะก็ ผมรู้สึกดีใจอยู่นิด ๆ นะที่ตอนตายไม่รู้สึกเจ็บเลยแต่เจ้าของร่างนี้สิ เขาตายได้ยังไงนะ

“หัวใจวายเหรอ” ผมพึมพำกับตัวเอง คือถ้าให้คิดจากสภาพการณ์ตอนที่ผมรู้สึกตัวเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ เหมือนเขาจะคุยอยู่กับผู้ชายหล่อ ๆ คนนั้นอยู่

บ้าดิ! นั่งคุยอยู่เฉย ๆ แล้วหัวใจวายตาย ป่านนี้คนไม่ตายทั้งโลกแล้วเหรอ เรื่องโดนพิษแบบในหนังนี่ตัดไปได้เลย หมอเพิ่งบอกว่าร่างกายปกติดี

หรือเพราะวิญญาณของผมมาเข้าร่าง คุณซุนเขาเลยกำลังหลับอยู่ในร่างผม เอ๊ะ...ไม่ใช่ร่างของผมสิ แต่มันก็งง ๆ มึน ๆ อยู่ ผมเลยคิดว่า ‘เออ... เรื่องนั้นช่างมันเถอะ’

ผมยกมือกุมหน้าอกตัวเอง

“คุณซุน คุณซุนได้ยินผมหรือเปล่า” ผมลองเรียกวิญญาณคุณซุนที่เป็นเจ้าของร่าง อยากเรียกชื่อเต็มเหมือนกันแต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าชื่อเต็มของเขาชื่ออะไร

“ท่านซุนต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ”

ผมสะดุ้งโหยง หญิงสาวคนนั้นก็ออกอาการสะดุ้งเหมือนกันแต่น้อยกว่าผมเพราะเธอกำลังยกถาดอาหารเข้ามา ผมยิ้มเจื่อนรีบสั่นศีรษะปฏิเสธพลางหันสายตาไปมองจานอาหารซึ่งกำลังถูกวางบนโต๊ะ แหม...พานให้น้ำลายสอทีเดียวพร้อมกระเพาะส่งเสียงร้องปั่นป่วนด้วยความหิวโหยมากกว่าเดิม

บอกได้เลยว่าผมต้องระงับอาการน้ำลายหกฝุด ๆ แต่หันไปหันมามองเห็นอุปกรณ์สำหรับทานแล้วต้องชะงักอีกรอบ

ไม่ใช่ว่าผมใช้ตะเกียบไม่ได้ แถวบ้านเนี่ยมีจัดเลี้ยงโต๊ะจีนมาตั้งแต่ผมตัวกะเปี๊ยกเพราะฉะนั้นจึงใช้ได้สบายมากแต่มันไม่สะดวกตอนคีบข้าวนะสิ

รอจนหญิงสาวนางนั้นขยับถอยห่างไปแล้ว ผมจึงหยิบตะเกียบไม้สีดำขึ้นมาถือจัดการคีบทั้งเนื้อและปลาเข้าปาก แล้วอยากจะบอกว่าเยี่ยมไปเลย แค่นี้ผมก็อยู่ได้สบายแล้ว

จบอาหารมื้อไหนไม่รู้ที่เพิ่งทานเสร็จ ลำดับต่อไปผมได้ไปเดินเที่ยวชมในสวน ชมตึก ชมอาคารที่ผมต้องมาอยู่อาศัยนับจากนี้

มีบ้างแว็บ ๆ ที่ผมนึกอยากหาวิธีกลับบ้านแต่เพราะคิดว่าตัวเองตายจากโลกเดิมมาแล้ว ไม่มีใครรับประกันได้ว่าร่างของผมยังไม่ถูกเผา อีกอย่างถ้าย้อนเวลากลับมาแบบมีสาเหตุเดี๋ยวถึงเวลาผมก็กลับได้เองนั่นแหละ จะคิดมากทำไมปวดหัวเปล่า ๆ

อากาศในโลกนี้ก็ดี ไม่ร้อนแบบที่บ้าน ตึกอาคารหรูหราโอ่โถงใหญ่โต ประตูไม้มีการแกะสลักลวดลายด้านในแขวนม่านผ้าบังตา ชานหลังคา ราวระเบียงทุกอย่างทำอย่างประณีตทั้งหมด มีสวน มีสะพานข้ามทางน้ำเล็ก ๆ มีศาลากลางน้ำ ทุกอย่างตกแต่งงดงามตระการตา

ก่อนฉุกใจนึกถึงคำสนทนาของผู้ชายคนนั้นกับคุณหมอ ทั้งกิริยาอะไรหลาย ๆ อย่างที่กำลังผุดขึ้นมาให้ทบทวนซ้ำ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมตกใจ แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เวอรี่อิมพอสซิเบิ้ลจนไม่ทันคิดและสังเกตให้ดี

คุณหมอโค้งคำนับและเหมือนว่าจะใช้คำราชาศัพท์กับผู้ชายคนนั้นด้วย ดังนั้นบางทีเจ้าของร่างที่ผมมาอาศัยอาจเป็นองค์ชายก็ได้

ดีใจอะ!!! เหมือนจะบินได้แล้ว

แต่พอหันไปเห็นสายตาของบรรดาสาว ๆ ที่จ้องมาตาค้าง ผมต้องพยายามระงับกิริยาอย่างสุดความสามารถและยกยิ้มทำตาแป๋วแหววส่งไปให้พลางหมุนตัวเดินนำหน้า

ผมลืมไปว่ามีสาว ๆ เดินตามมาด้วย เลยออกอาการดี๊ด๊าเกินหน้าเกินตาไปนิด

กลับไปกลิ้งดีใจที่ห้องตัวเองต่ออีกรอบดีกว่า

“ผมอยากกลับห้องแล้ว ห้องผมอยู่ทางไหน”

“ห้อง? หมายถึงที่พักของท่านซุนนะหรือเจ้าคะ” เธอทำหน้าสงสัย คงแปลกใจแหละที่ผมไม่รู้จักทางไปห้องพักตัวเอง

“อือ ๆ ใช่ ๆ นั่นแหละ” และต้องเอะใจอีกหน เหมือนได้ยินคำพูดที่เธอใช้จะเป็นคำพูดธรรมดาหรือเปล่านะ ว่ากันตามจริงถึงผมจะพูดภาษาจีนได้โดยอัตโนมัติแต่เหมือนความรู้ความเข้าใจที่ผมมีมันแปลก ๆ ชอบกลกระนั้นผมยังไม่แน่ใจว่ามันแปลกอย่างไรเท่านั้นเอง

ผมเดินตามพี่สาวคนสวยทั้งสองคนไป พวกเธอพาผมไปยังอาคารหลังใหญ่ ประตูด้านหน้าถูกเปิดกว้างทิ้งไว้ ที่สะดุดสายตาคือเสาแกะสลักลายมังกรต้นใหญ่ด้านหน้า ด้านในยังมีรูปปั้นมังกรประดับตามเสาอีก มีโคมไฟตั้งเรียงเป็นจุด กลางห้องยกพื้นสูงตั้งโต๊ะเตี้ยสำหรับนั่งกับพื้นคล้ายโต๊ะญี่ปุ่นแต่ใช้ไม้หนาแกะสลักลวดลาย ถัดไปเป็นสิ่งที่เหมือนพนักพิงแต่ก็คล้ายฉากกั้นอยู่ในทีเพราะแม้ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ยังเห็นว่าหลังฉากพนักเป็นฟูกนอน มีมุ้งม่านแขวนห้อยจากเพดาน

“ท่านซุนเชิญด้านนี้เจ้าค่ะ”

ฮะ! ผมอยากจะร้องถามแต่ยั้งใจไว้เดินตามเธอไป ด้านข้างเป็นทางเชื่อมไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเครื่องเรือนมีเพียงเตียงไม้และกล่องใบเขื่องที่ปลายเตียงเท่านั้น

“ห้องผม?” ผมลองเอ่ยถาม

“เจ้าค่ะ นี่คือห้องพักตำแหน่งอาลักษณ์ส่วนพระองค์ที่ต้าอ๋องจัดเตรียมให้ท่าน” เธอยอมขยายความให้ผมฟัง ผมจำต้องพยักหน้ารับและยกยิ้มเจื่อนค้างไว้บนใบหน้าเช่นเดิม

ความอารมณ์ดีดี๊ด๊าหายไปในพริบตาพร้อมความมโน

“ขอบคุณครับ” ผมพูดและพวกเธอทั้งคู่คงรู้ว่าคำพูดนั้นของผมเป็นการกล่าวไล่ เธอย่อตัวคำนับและเดินออกจากห้อง

หลังจากถูกดับฝันเรื่องตำแหน่งองค์ชาย ผมเริ่มกังวลว่าต้าอ๋องอาจไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมหรือเปล่า เอ๊ะ!... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าไม่ชอบคุณซุนถึงจะถูก

ก็ดูสิ... ถึงคุณซุนจะเป็นแค่อาลักษณ์แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องให้มาพักในวังเลย แถมวังใหญ่โตโอ่โถงกลับให้อยู่ห้องเล็กนิดเดียว น่าแปลกสุด ๆ คิดไปอีกทีหรือนี่คือภารกิจที่ทำให้วิญญาณของผมเข้ามาอยู่ในร่างของคุณซุน ด้วยความฉลาดหลักแหลม ผมจึงมีหน้าที่ทำให้ต้าอ๋องชอบคุณซุนและช่วยเหลือต้าอ๋องพัฒนาบ้านเมือง!!!

ผมมองมือตัวเองที่ยกกำหมัดชูขึ้นสูงอย่างไม่รู้ตัว มองซ้ายมองขวาก่อนค่อยลดมือลงมา โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ด้วยไม่อย่างนั้นผมคงโดนมองแปลก ๆ อีกแน่

กวาดสายตามองสำรวจห้องและพบม้วนไม้ไผ่สามสี่ม้วนอยู่บนลังไม้ปลายเตียงจึงหยิบมันขึ้นมาเปิดดู

ผมอ่านออก!!!

ผมอ่านตัวหนังสือบนม้วนไม้ไผ่ออกอีกแล้ว ช่างดีแท้!!! ผมยิ้มหน้าบานเลยล่ะจากนั้นจึงเริ่มอ่านทำความเข้าใจตัวอักษรพวกนั้น

ดูจากการใช้ม้วนไม้ไผ่แสดงว่ายุคนี้ยังไม่มีการใช้กระดาษแต่ตัวอักษรที่เขียนอยู่เป็นหมึกดำ คงจะมีพู่กันใช้ คิดได้อย่างนั้นจึงอยากลองเขียนหนังสือดูบ้างกระนั้นติดตรงที่ไม่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวากลับไม่มีอุปกรณ์เครื่องเขียนอยู่เลย จึงได้แต่นั่งอ่านม้วนไม้ไผ่ต่อไปเรื่อย ๆ พอง่วงก็นอน

รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีคนมาปลุก เป็นผู้ชายที่อยู่กับผมด้วยในสวน

“ไม่สบายหรือ” เขาถามสีหน้าสายตามีความเป็นห่วงแสดงชัด

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมยันตัวลุกขึ้น แค่อ่านหนังสือแล้วง่วงก็เลยนอนเท่านั้นเอง เขาไม่เคยทำหรือไงนะ ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ผมไม่ได้ถามออกไปหรอก แหม... มันเหมือนคนขี้เกียจอย่างไรไม่รู้

“ถ้าไม่เป็นไร เจ้าไปอาบน้ำเถอะจะได้กินมื้อเย็น”

ผมพยักหน้า มองเขาที่นั่งขวางอยู่บนเตียงพออีกฝ่ายรู้ตัวจึงลุกขึ้นยืนหลีกทางให้ ผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าในลังไม้ เดินกลับเข้าไปในห้องใหญ่ที่อยู่ติดกันและเดินเลยไปด้านหลังซึ่งซ่อนไว้ด้วยฉากบังตา ที่นั่นมีถังไม้ใบใหญ่บรรจุน้ำร้อนมีควันลอยโชยชายขึ้นมา

พอรู้สึกตัวผมเอะใจที่สามารถเดินมาตรงนี้ได้เองอัตโนมัติราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้ง คิดว่ามันแปลกอีกแล้ว ให้อารมณ์แบบว่า ‘คือสิ่งนี้นะ’ แต่ดันจำไม่ได้

“มันอะไรกันวะ”

“มีอะไรรึ”

ผมสะดุ้งโหยงเพราะเสียงพูดดังมาจากด้านหลังฉากนี่เอง “คุณมาทำอะไรแถวนี้” ผมถามกลับไป

“ข้าเห็นเจ้าท่าทางแปลก ๆ จึงตามมาดู กลัวว่าเจ้าจะเป็นลมไม่สบาย”

นี่ก็แปลก… ห่วงเว่อร์!

“ผมสบายดี คุณไปเถอะผมจะได้อาบน้ำ” ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงได้แต่ยืนรออยู่อย่างนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขยับตัวเหมือนกัน ก่อนเขาจะยอมแพ้ไปในที่สุดยอมก้าวเดินออกไป ผมถึงได้อาบน้ำ

ช่วงกลางวันอากาศกำลังเย็นสบายแต่พอตกเย็นลงอากาศหนาวขึ้นอีกเล็กน้อย การได้แช่น้ำร้อนจึงเป็นอะไรที่สุขีมาก ผมแช่น้ำอยู่พักใหญ่จึงลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า กลับออกไปด้านนอกเมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นผม เขาจึงลุกขึ้นยืนเดินสวนเข้าไปหลังฉากอาบน้ำ ผมเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองพลางคิดว่าจะต้องไปหามื้อเย็นกินที่ไหนเพราะตอนนี้ในห้องไม่มีสองสาวที่เคยยกสำรับให้ผมสักคน

ผมเดินไปที่ประตูหน้าซึ่งตอนนี้ถูกปิดสนิทและลงผ้าม่าน เมื่อเปิดประตูออกไปกลับพบคนรับใช้ทั้งหญิงชายยืนอยู่หน้าสลอน

อืม... มันต้องเรียกว่าขันทีกับนางกำนัลสินะ

“ผมจะไปกินข้าวได้ที่ไหน” ถึงครั้งแรกที่เอ่ยคำถามนี้ออกไปจะมีคนยกสำรับมาให้ถึงที่แต่ผมคิดว่าเดินไปห้องอาหารหรือครัวน่าจะสะดวกกว่า

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แปลกตอนเดินชมอาคารสถานที่ เมื่อเห็นตึกอาคารบางหลังพอรู้อยู่ว่าคือที่ไหนทว่าพอตั้งใจนึกคิดต้องไปทางไหนกลับจำไม่ได้เสียอย่างนั้น

“ยกสำรับมาได้”

เสียงทุ้มห้าวด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งหันกลับไปมองพร้อมคิดว่าทำไมต้องเข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้ด้วยเนี่ย ตกใจหมด

ผู้ชายคนนั้นแตะที่ข้อศอกของผมออกแรงเล็กน้อยเพื่อพาเดินไปอีกห้องซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของผม

ในห้องแบ่งพื้นที่ด้วยการยกพื้นให้ต่างระดับ มุมหนึ่งเป็นโต๊ะไม้ขัดมันตั้งอยู่โดดเดี่ยว อีกมุมตั้งโต๊ะตัวเล็กอย่างโต๊ะเขียนหนังสือสองตัวต่อเป็นรูปตัวแอล ติดผนังมีชั้นวางม้วนไม้ไผ่

เขาปล่อยให้ผมหยุดที่หน้าโต๊ะไม้ขัดมัน พอผมขยับเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขากลับชะงักนิ่งไปแต่พริบตาเดียวก็หันไปร้องสั่งขันทีให้ยกอาหารเข้ามา

ก่อนกับข้าวมื้อเย็นถูกยกนำมาวางเรียงบนโต๊ะ พวกมันต้องผ่านมือขันทีซึ่งถือเข็มเงินจิ้มตรวจสอบ การปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้ผมเหลือบมองชายตรงหน้าอีกหน พอสบสายตาที่จ้องเขม็ง ผมต้องรีบเบือนหน้าหนีทันที

ผมรู้แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร …เขาคือต้าอ๋อง!

พอนึกได้ว่าคือใคร ทั้งชื่อทั้งอายุ ประวัติการขึ้นครองราชย์ ชื่อพ่อชื่อแม่พลันผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

เขาชื่อเหยียนจิ่นลี่ ปีนี้อายุยี่สิบสองเพิ่งขึ้นเป็นต้าอ๋องเมื่อสองปีก่อน เป็นพระราชโอรสของอดีตต้าอ๋องเหยียนเลี่ยงหวง และพระมารดามีนามว่าชิงเซียนปัจจุบันดำรงตำแหน่งไทเฮา ราชวงศ์เหยียนครอบครองแคว้นที่ใช้ชื่อเดียวกับราชวงศ์อยู่ในดินแดนทางทิศหรดี

“เจ้าโกรธเคืองข้านักรึ” เสียงถามดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์และสังเกตเห็นว่าในห้องเหลือแต่ผมกับเขา ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อพิจารณาคำถาม รู้สึกว่าเขาช่างเซ้าซี้ใส่ใจคุณซุนเสียจริง

“เปล่าครับ” ผมตอบกลับไปเสียงเรียบ เห็นเขาไม่หยิบตะเกียบเสียทีจึงได้แต่ก้มหน้ามองอาหารตรงหน้า อย่างน้อยเขาก็เป็นต้าอ๋องและที่นี่ยังเป็นตำหนักของเขาด้วย

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางเลือก”

“อือ... ครับ” แล้วเงยหน้ามอง “แต่ทานไปคุยไปได้ไหมครับ”

พอผมพูดเช่นนั้นอีกฝ่ายนิ่งงันไปเล็กน้อยก่อนยกยิ้มพยักหน้าอนุญาต รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้หัวใจของผมกระตุกไปวูบหนึ่งจึงต้องรีบเสตามองอาหารบนโต๊ะ

เหยียนจิ่นลี่เป็นผู้ชายหน้าตาดี เป็นเจ้าของนัยน์ตาคมสีดำ คิ้วหนาเรียงตัวสวยอย่างที่เรียกว่าคิ้วดาบหรือคิ้วกระบี่อะไรทำนองนั้น จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับสีระเรื่อธรรมชาติ รูปหน้าคมสันสมชาย

แต่ผมไม่ควรใจเต้นกับผู้ชายหรือเปล่าวะ!!!

ผมมาจากยุคที่โลกโอเพ่นเสรีแล้วก็จริงแต่ยุคนี้ไม่ใช่นะเว้ย!!! ผมบอกตัวเอง ก่อนจะพยายามทำใจให้ร่มเข้าไว้ คิดในแง่ดีว่าเหมือนเห็นดาราหล่อ ๆ โปรยยิ้มนั่นแหละ เหล่าประชาชนคนธรรมดาย่อมต้องมีเผลอหวั่นไหวกันบ้างอันเป็นปกติของมนุษย์ปุถุชน

อย่างไรก็ดี ระหว่างทานข้าวมีแต่ความเงียบทั้งที่ก่อนหน้าเขายังทำท่าเหมือนจะคุยกับผมอยู่เลยและผมก็ไม่ได้เอ่ยทัก ปล่อยให้เขาคอยคีบกับข้าวใส่ถ้วยของผมเรื่อย ๆ จนละอายแก่ใจต้องคีบกับข้าวคืนให้เขาบ้าง

วิเคราะห์ตามสถานการณ์แบบนี้ ผมว่าระหว่างเขากับคุณซุนน่าจะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าไม่ชอบขี้หน้า ให้มานั่งกินข้าวด้วยคงไม่มีทางกินอิ่ม ไหนจะเอาใจคีบกับข้าวให้อีก เขาเป็นต้าอ๋องคงมีงานให้คุณซุนช่วยเหลือมากมายนั่นล่ะ ผมสรุปกับตัวเองง่าย ๆ

ทานอาหารเสร็จขันทีและนางกำนัลก็เข้ามายกจานชามไปเก็บพร้อมยกอ่างใหญ่กับแปรงสีฟันมาให้

โอโฮ้! ผมมองแปรงสีฟันด้วยความทึ่ง รูปร่างและวัสดุอาจไม่เหมือนแปรงสีฟันในปัจจุบันแต่มองอย่างไรก็แปรงสีฟัน และต้าอ๋องได้สาธิตการใช้งานให้ดูเพื่อยืนยันความคิด

เขาบ้วนปากซ้ำเมื่อแปรงฟันเสร็จ ผมจึงต้องเร่งสีฟันตัวเองบ้าง

“ข้าจะตรวจฎีกาเสียหน่อย” บอกผมเสร็จก็ลุกไปนั่งที่โต๊ะอีกตัว ผมรีบลุกตามไปเพราะยังสำนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในร่างของอาลักษณ์ประจำพระองค์ ถึงยังจำรายละเอียดที่ต้องรับผิดชอบไม่ได้ก็เถอะแต่ดูเหมือนว่านี่คือเรื่องปกติของผมกับเขา เพราะเมื่อผมทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง ต้าอ๋องได้ส่งม้วนไม้ไผ่มาให้อ่านทันที

ม้วนไม้ไผ่ในมือกล่าวถึงข่าวคราวการจัดทัพของแคว้นฉู่

อืม... หยิบอันแรกส่งมาให้ก็เป็นเรื่องหนักเลย

แต่เนื้อหาภายในแจ้งว่ายังไม่มีรายงานแน่ชัดถึงการเคลื่อนทัพ มีแต่การสั่งสมเสบียงและกำลังคน

“เราก็ควรเตรียมตัวไว้บ้างแต่ไม่ควรให้เอิกเกริก” ผมพูด แต่บ๊ะ! รู้สึกเหมือนเผลอตัว

“อ้อ... เมื่อบ่ายข้าเพิ่งไปดูการฝึกซ้อมรบมาเช่นกัน”

ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติมากทว่าเพราะผมขี้เกียจคิดมากแล้วถึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น

ผ่านไปอีกพักใหญ่จนผมเริ่มง่วง ต้าอ๋องคงสังเกตเห็นเหมือนกันจึงบอกให้ผมไปนอนก่อน ผมไม่ขัด ลุกขึ้นกลับไปนอนที่เตียงตัวเองแต่ตอนที่กำลังเคลิ้มเหมือนจะหลับไปแล้ว เสียงต้าอ๋องกลับดังขึ้นเหนือศีรษะ

“ทำไมเจ้ามานอนตรงนี้!!!”

ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาดังมากเพราะทำให้สะดุ้งลุกขึ้นมานั่งเลย เขาขึงตาจ้องผมคล้ายกรุ่นโกรธ

“ทำไมล่ะ นี่ที่นอนของผมไม่ใช่เหรอ” พอถามไปอย่างนั้นเขากลับกระฟัดกระเฟียดยิ่งกว่าเดิม ตอนนั้นทั้งง่วงทั้งงง แต่ความง่วงมีมากกว่าผมเลยถามกลับไป

“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีผมขอนอนต่อ”

“เจียวซิน!!!”

อ้อ... เจ้าของร่างชื่อซุนเจียวซินนี่เอง

อาจเป็นเพราะง่วงด้วย ผมถึงไม่ทันสังเกตแววตาของอีกฝ่ายก่อนเขาสะบัดชายเสื้อเดินกลับออกไป ตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่า ‘คนอะไรพรรค์นี้ จู่ ๆ มาปลุกแล้วก็ไม่พูด’ ต้องย้อนนึกพิจารณาถึงเห็นว่าทั้งสีหน้าแววตาของเขาปะปนด้วยความเจ็บปวดเสียใจ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2018 20:24:31 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 2 ผมใจง่าย



เช้าถัดมามีนางกำนัลสองนางมาปลุกให้ผมรีบลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัว เธอบอกว่าต้าอ๋องกำลังจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ได้ยินเท่านั้น ผมรีบกระโดดผลุงจากที่นอนให้สองสาวช่วยแต่งตัวทันทีและด้วยความเร็วระดับฟ้าแลบ เมื่อต้าอ๋องแต่งองค์เสร็จผมก็พร้อมสรรพสำหรับตามไปทำงานด้วยเช่นกัน

ท้องพระโรงว่าราชการเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ค้ำยันด้วยเสากลมขนาดสองคนโอบซึ่งมีรูปปั้นมังกรประดับล้อมรอบ กระถางคบเพลิงเป็นรูปพยัคฆ์ แขวนแพรสีทองห้อยประดับจากเพดาน พื้นกลางห้องโถงปูพรมจากประตูหน้า ลึกเข้าไปสุดโถงถูกยกพื้นสูงขึ้นไปอีกสองระดับ

“ต้าอ๋องเสด็จ” ขันทีขานเสียงนำ

ขุนนางที่มาร่วมประชุมซึ่งยืนเรียงแถวอยู่สองฝั่งจึงค้อมศีรษะคำนับ

ผู้เป็นต้าอ๋องเดินผ่านด้วยท่าทางองอาจ ก้าวขึ้นบันไดผ่านพื้นต่างระดับไปยังที่ประทับ ส่วนผมมีที่นั่งประจำเป็นโต๊ะเตี้ยต่ำลงมาอีกชั้น

ขุนนางที่ยืนอยู่สองแถวแต่งกายไม่เหมือนกัน ฝั่งหนึ่งสวมชุดสีดำคาดแดง อีกฝั่งสวมชุดสีแดงคาดดำ ต้าอ๋องเองก็ใส่ชุดสีดำ สาบเสื้อสีแดง ปักลายมังกรสีแดง

ตอนนี้ผมเลิกคิดวิเคราะห์ถึงความแปลกประหลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นไปแล้ว แม้จะไม่ทั้งหมดก็ปล่อยมันให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ราวกับว่าถ้าผมไม่ตั้งใจคิดก็สามารถเป็นซุนเจียวซินเหมือนที่เคยเป็นมา

ผมจดบันทึกรายละเอียดหัวข้อราชการที่เหล่าขุนนางนำมาเสนอกับต้าอ๋อง มองลายมือบนม้วนไม้ไผ่แล้วแอบดีใจ ที่ลายมือของผมสวยมาก อาจจะยกยอตัวเองมากไปแต่อย่างน้อยผมเชื่อว่าที่ซุนเจียวซินได้ตำแหน่งอาลักษณ์ต้องมีเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากลายมืออย่างแน่นอน

การประชุมกินเวลานาน ทั้งเรื่องปากท้องของประชาชน น้ำท่าความแห้งแล้งและการเก็บภาษีก่อนมาจบเรื่องข่าวการจัดทัพของแคว้นฉู่ ต้าอ๋องกำชับเพียงว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายข่าวอะไรมากแต่ให้ระมัดระวังอยู่เสมอ ตัวผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนเสียด้วย ถึงจะเคยดูเจาะเวลาหาจิ๋นซีและเคยอ่านฉบับรูปเล่มรวมถึงได้อ่านสามก๊กมาอีกเล็กน้อย แต่บอกเลยว่าชื่อแคว้นเหยียนไม่เคยอยู่ในสมอง ผมจำได้แต่ชื่อแคว้นฉิน แต่แคว้นฉู่ตามประวัติศาสตร์ก็น่าจะเป็นแคว้นใหญ่ ถ้าในสามก๊กก็แคว้นฮั่น

“อาลักษณ์ซุน”

“ครับ... เอ้ย พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ผมรีบหันไปประสานมือคำนับ

“ตอนนี้เลิกประชุมแล้ว” เสียงของต้าอ๋องเรียบนิ่ง เขาหยุดยืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกับโต๊ะเขียนหนังสือเหมือนรอให้ผมเก็บของลุกขึ้นเดินตาม ผมกระวีกระวาดหอบม้วนไม้ไผ่ขึ้นมาถือ เมื่อออกไปด้านนอก ขันทีสองคนก็ตรงเข้ามาขอม้วนไม้ไผ่ไปช่วยถือ

“เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะพาออกไปด้านนอก” และหันไปอีกฝั่งเพื่อสั่งความกับขันทีคนสนิท “ไปเตรียมเรือ”

เขาไม่ได้ถามความคิดเห็นของผม จึงคิดเข้าใจเอาว่าคงจะพาไปดูงานอะไรสักอย่าง

เสื้อผ้าของซุนเจียวซินที่ไม่ใช่ชุดทำงานมักเป็นสีอ่อน อย่างสีเขียวหรือฟ้า เนื้อผ้านิ่มลื่นอย่างที่ไม่มีความรู้เรื่องผ้ายังเดาได้ว่าราคาแพง ผมจึงอนุมานว่าซุนเจียวซินน่าจะเป็นลูกผู้รากมากดีเหมือนกัน แต่เป็นถึงอาลักษณ์ประจำพระองค์คงจะได้เงินเดือนดีแหละ

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกไปด้านนอกเห็นต้าอ๋องยืนรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นหน้าผมจึงเดินนำไป ผมเดินตามโดยมีขันทีเดินตามมาอีกคนเดียว

เขาพาผมมายังท่าเรือซึ่งอยู่ในวัง เป็นท่าที่ปลูกสร้างด้วยไม้มีหลังคาคล้ายท่าน้ำของไทยแต่ไม่มีระเบียงม้านั่งเหมือนอย่างบ้านเรา เรือเป็นแบบประทุนโค้งลำใหญ่ แถวนั้นมีทหารเฝ้าประจำอีกหลายคน

ต้าอ๋องก้าวเท้าลงไปยืนที่ส่วนหัวเรือก่อนจะยื่นมือมารับให้ผมตามลงไป

แบบว่านะ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่แม้ทางบ้านจะมีอาชีพค้าขายแต่แถวบ้านเคยน้ำท่วมไง เคยไปเที่ยวตลาดน้ำและเคยถีบเรือเป็ดด้วยเพราะฉะนั้นผมจึงลงเรือเองได้ อีกอย่างการให้ผู้ชายด้วยกันมาพยุงลงเรือเป็นอะไรที่ประหลาด

ผมจึงก้าวเท้าลงไปยืนบนเรือด้วยตัวเองก่อนพยายามทำตัวลีบ ๆ เดินเข้าไปนั่งด้านในเพื่อไม่ให้ขวางทางต้าอ๋องที่เริ่มตีหน้าถมึงทึงอีกแล้ว

ที่นั่งในเรือมีทั้งเบาะทั้งหมอน ผ้าม่านบังแดดและโต๊ะวางขนมพร้อมชุดน้ำชา มีคนถือพายจับหางเสืออยู่ท้ายเรือ

พอต้าอ๋องนั่งประจำที่เรียบร้อยเรือจึงเคลื่อนที่

ลำน้ำใสสะอาด สายลมเย็นโชยเอื่อยสองลำคลองเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหนาร่มรื่น ถึงผมจะมั่นใจในความต่างจังหวัดของตัวเองก็ยังไม่เคยเจอสภาพแวดล้อมทัศนียภาพแบบนี้

“เจ้าคงอารมณ์ดีขึ้นแล้ว” ชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันเอ่ยชวนคุย

“ผมก็ไม่ได้อารมณ์เสีย”

“แต่เจ้าหมางเมินข้า”

พอได้ยินประโยคนั้นผมก็กะพริบตาปริบ ๆ ที่จริงอยากแคะหูหรืออยากได้กูเกิลมาช่วยแปลข้อความที่เขาพูดด้วยว่าใช่อย่างที่ผมเข้าใจหรือเปล่า

“ผมหมางเมินคุณ?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เจ้าไม่พูดกับข้าเช่นเคย แถมยังไปนอนที่อื่น”

“แต่นั่นมันที่นอนผมไม่ใช่เหรอ”

“เจ้า...” เขาอึกอักหันรีหันขวาง “ทำไมต้องประชดข้าเช่นนี้ เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องรับพวกนางเข้ามาเป็นสนมเพื่อคานอำนาจ ไม่ได้เต็มใจเสียหน่อย”

“อืม... เรื่องนี้ก็เหมือนกัน คุณจะรับสนมกี่ร้อยกี่พันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมเสียหน่อย”

“ได้ ได้” เขาส่งเสียงอย่างนั้นอยู่หลายครั้งและเบือนหน้าหนีไม่ยอมพูดกับผมอีก แต่นั่นแหละสักพักเขาก็ส่งเสียงออกคำสั่งให้เทน้ำชาให้ทว่าในเรือไม่มีขันทีนางกำนัลคนอื่น เพราะฉะนั้นคำสั่งที่เขาพูดเอ่ยคงบอกกับผม พอดีกับผมเป็นจำพวกว่านอนสอนง่าย เรียกใช้ง่ายจึงยอมทำตามที่เขาบอกโดยไม่กระบิดกระบวน

“เจ้าไม่กินขนมรึ”

เมื่อเขาพูดทักผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย

“คุณก็ทานด้วยกันสิครับ” ผมเอ่ยชวนตามมารยาทซึ่งเขาพยักหน้ารับแต่กลับยังนั่งนิ่งอยู่เฉย

ผมไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขามากนักพลางก้มมองขนมในจานเสียแทน ขนมของจีนมักจะเป็นแป้งสอดไส้ นำไปอบหรือนึ่งบ้างไม่ต่างจากของไทย ที่จริงควรบอกว่าเราก็รับวัฒนธรรมขนมของจีนมา ข้างจานมีไม้จิ้มเล็ก ๆ ให้ใช้ ผมจึงหยิบมันจิ้มขนมเข้าปาก

ขนมชิ้นนั้นมีสีขาว แป้งที่ห่อเหนียวหนึบไส้ข้างในหวาน ทำมาแบบชิ้นพอดีคำ ให้ความรู้สึกเหมือนขนมเทียนแต่แป้งนุ่มกว่า พอกลืนที่เคี้ยวอยู่ในปากเสร็จผมก็จิ้มลูกต่อไปทันที อยากจะบอกว่าอร่อยนะโดยเฉพาะช่วงที่เริ่มหิวแบบนี้

“ใจเจ้าจะกินอยู่ผู้เดียวเลยรึ”

พอได้ยินเสียง ผมจึงเหลือบหางตาไปมองแต่ยังเคี้ยวขนมที่นำเข้าปากตุ้ย ๆ อยู่เช่นเดิม จากนั้นใช้มือเลื่อนจานไปตรงหน้าเขาอีกเล็กน้อยเพื่อแสดงออกว่าผมไม่ได้ตั้งใจกินอยู่คนเดียวนะ

เขาส่งเสียงหึขึ้นจมูกและพูดว่า “ข้าไม่อยากเลอะมือ”

ผมมองไม้จิ้มวางอยู่ข้างจานและเหลือบสายตาขึ้นมองเขา พยายามจะส่งสายตาว่า ‘นั่นไง นั่นไง ไม้นั่นน่ะ มันไม่เลอะหรอก’ ทว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าผมอย่างเดียว

“ข้าอยากให้เจ้าป้อน”

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่กำลังประมวลผลข้อความที่ได้ยินแต่กำลังคิดว่า คนเป็นต้าอ๋องกินขนมเองไม่ได้หรือวะ

เอาเหอะ อยากให้ทำก็ทำ ผมบอกตัวเอง ใช้ไม้จิ้มอันที่อยู่ในมือจิ้มขนมในจานส่งให้เขากิน ต้าอ๋องเหลือบมองตำแหน่งพิกัดขนมชิ้นนั้นเล็กน้อยก่อนเบนสายตากลับมาจ้องหน้าผมเหมือนเดิมขณะอ้าปากรับ

ยิ่งเห็นประกายนัยน์ตา ผมยิ่งรู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ จนต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนอาการด้วยการจิ้มขนมอีกชิ้นเข้าปาก เริ่มคิดอย่างไม่เข้าใจตัวเองเพราะเมื่อวานก็ใจเต้น คราวนี้ก็เขินสายตา ผมแปลกใจว่าทำไมใจง่ายจังวะ

ชั่วพักใหญ่เรือถึงเข้าเทียบท่า

ต้าอ๋องดันหลังให้ผมลุกขึ้น เขาก้าวนำขึ้นจากเรือแต่คราวนี้ไม่หันมาส่งมือให้ผมจับแล้ว สงสัยกลัวหน้าแตก เขารอจนผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนอยู่ข้างกันจึงเดินตามบริกรเข้าไป

เด็กหนุ่มที่มาต้อนรับให้ความรู้สึกเหมือนบริกรมากกว่าเสี่ยวเอ้อในหนังจีนที่ผมเคยดู เขาแต่งตัวดี สุภาพ ใบหน้ายกยิ้มบาง ๆ ดูหรูหราไฮโซแบบเดียวกับร้านอาหารที่ผมและต้าอ๋องกำลังเดินเข้าไป

พื้นที่ของร้านแบ่งเป็นสัดส่วน โถงร้านแบบที่โต๊ะเรียงกันเต็มพรืดมีลูกค้าตะโกนคุยกันโฉงเฉงอยู่ด้านหน้า แต่จากทางนั้นคงมองไม่เห็นคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดชั้นสองอย่างพวกผมเพราะมีฉากบังตาตั้งกั้นอยู่ ผมเองอาศัยการสอดส่ายสายตามองลอดช่องว่างสำรวจการจัดตกแต่งร้านถึงได้เห็น

พื้นที่ชั้นสองก็มีโถงกว้างตั้งโต๊ะรับลูกค้า แต่บริกรคนนั้นพาต้าอ๋องเดินไปอีกทางตรงไปยังห้องหับที่มีประตูปิดมิดชิด

ที่เดินตามกันมาไม่ได้มีแต่ผมกับต้าอ๋องหรอกนะ ยังมีทหารองครักษ์อีกสี่คนเดินตามหลังมาแต่คนที่ได้เข้าไปอยู่ในห้องมีแค่ผมกับต้าอ๋องเท่านั้น

เอ็กซ์คลูซีฟมาก (กอไก่หลายตัว)

แถมไม่ต้องสั่งอาหาร พอนั่งปุ๊บ หายใจเข้าได้เพียงเฮือกเดียวประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมบริกรลำเลียงอาหารเข้ามาเสิร์ฟ มีทั้งไก่ทั้งปลาทั้งต้มทั้งผัดและเข้าอีหรอบเดิม ต้าอ๋องยังนั่งเฉยไม่ยอมหยิบจับอะไรทั้งสิ้น

ตอนแรกผมคีบอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจเขาเพียงแต่พอกินไปได้สองสามคำ เขาได้พูดขึ้นว่า “ข้าหิว”

ครั้งนี้ผมแค่เหล่มองและลงมือทานต่อ

“เจ้าจะปล่อยให้ข้าหิวตายเรอะ”

“ก็ทานสิครับ คุณเอาแต่พูดว่าหิวแล้วจะอิ่มเหรอ” ผมถามกวนประสาทกลับไปบ้าง

“ป้อนข้าเดี๋ยวนี้นะเจียวซิน”

เอางี้เลย!!!!! ผมได้แต่ค่อนขอดในใจเท่านั้นแหละเพราะยังไงเขาเป็นถึงต้าอ๋อง ทว่าถ้าจำไม่ผิดเมื่อวานเขากินข้าวเองได้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาโมโหอะไรและนี่คือวิธีการลงโทษของเขา

แหงแซะ ต้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขายกมาพูดบ่อย ๆ ไอ้เรื่องที่ผมไม่รู้เรื่องนั่นแน่นอน ผมคิดไปพลางมือก็ป้อนเขาไปพลาง

“แล้วเจ้าไม่กินหรือ” คราวนี้เสียงพูดของเขากลับสะดุดหูอีกแล้ว คือมันนุ่มนวลฟุ้ง ๆ จนขนลุกเกรียวเลยล่ะ มันให้อารมณ์สยิวอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยคีบอาหารใส่ปากตัวเองบ้างและใช้ตะเกียบอันเดียวกับที่คีบป้อนเขานั่นแหละ พักหนึ่งถึงฉุกใจคิดได้ว่านี่มันจูบทางอ้อมนี่หว่า หันไปมองต้าอ๋องทว่าฝ่ายนั้นกลับยิ้มหวานมองผมด้วยประกายตาระยิบระยับอยู่ก่อนแล้ว

ผมสบถในใจ นี่มันไม่ปกติเลยเว้ย!!!

เมื่อจบมื้ออาหารน่ากระอักกระอ่วนที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแปลก ๆ  เขายังพาผมไปเดินเที่ยวต่อ

พอรู้ว่าเขาจะพาไปเดินในตลาด อาการป่วนมวนในอกกลับจางหายไปฉับพลันเพราะผมรู้ว่าเขาเป็นต้าอ๋อง ถ้าคนแบบเขาออกมาเดินเที่ยวเล่นจะไม่เป็นไรหรือ ผมคิดสงสัยและผมก็ไม่ปล่อยความสงสัยนั้นไว้ให้คาใจ

“จะไม่เป็นไรหรือครับ ออกไปเดินตลาดปะปนกับผู้คนอย่างนี้”

“อะไรกัน พวกเรามาเที่ยวออกบ่อย” เขายังใช้โทนเสียงนุ่ม ๆ ฟุ้ง ๆ อยู่เหมือนเดิมได้ยินแล้วจั๊กจี้ เขายกยิ้มให้ก่อนรุนหลังให้ผมออกเดิน

ตลาดแห่งนั้นให้อารมณ์เก่า ๆ ชาวบ้าน ๆ ขายเนื้อ ขายผัก ขายอาหาร ขายเครื่องประดับ และมีของที่เหมือนลูกชิ้นเสียบไม้ ผมจึงเดินแวะเข้าไปดู เห็นใกล้ ๆ พอเดาได้ว่าเป็นพุทราเคลือบน้ำตาล

ผมแค่มองพิจารณาแต่คนที่มาด้วยกันกลับชี้ไม้ชี้มือขอซื้อจากพ่อค้าทันที ต้าอ๋องไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินเอง มีทหารองครักษ์ซึ่งคอยเดินตามอยู่ด้านหลังเป็นคนจ่ายเงินให้

เขาส่งพุทราไม้นั้นมาให้และด้วยความที่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ผมก็รับไว้สิพร้อมเอาเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ สายตาจดจ้องว่าต้าอ๋องจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า จะมีแบบยื่นหน้ามาหาให้ป้อนหน่อยอะไรทำนองนั้นไหม ทว่าเขาเพียงมองผมกินพลางอมยิ้มน้อย ๆ ซึ่งเป็นยิ้มที่อิมแพ็กกระแทกใจอีกแล้ว ผมเลยต้องล่าถอยเบือนหน้าหนี

เดินวนจนสุดตลาด พวกเราถึงได้เดินทางกลับ

เมื่อกลับไปถึงวัง ต้าอ๋องเรียกผมให้ไปนั่งทำงานในห้องหนังสือด้วยกัน ตอนนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องเขียนคำสั่งรายการดำเนินงานผลสรุปทั้งหลายที่ต้าอ๋องประชุมกับขุนนางเมื่อเช้า

ตกบ่ายนั่งมานานจนเมื่อย เขาชวนให้ผมออกไปดูฝึกทหารด้วยกันซึ่งมันไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียวแต่ต้าอ๋องลงไปพะบู๊กับเขาด้วย 

ผมนั่งดูพวกเขาตีกันด้วยอาการตื่นเต้น เคยเห็นแต่ในภาพยนตร์ว่าสนุกแล้วนะแต่คนสู้กันจริง ๆ แบบนี้กลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เวลาที่พวกเขาฟันดาบกระโดดกระโจนจะดูเชื่องช้ากว่าในภาพยนตร์ แต่มันให้อารมณ์ของความสมจริง แม้ตอนที่ดาบ หมัดหรือเท้ากระแทกโดนตัวจะให้ความรู้สึกหวาดเสียวเจ็บตัว แต่เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงออกว่าเจ็บและมัวแต่ฟาดใส่กันไม่ยั้ง ผมจึงเชียร์เพลินด้วยความเมามัน

“เห็นเจ้าดูสนุกนัก ลองดูบ้างไหม”

ผมชี้มือเข้าหาตัวเองเมื่อต้าอ๋องพักยกและหันมาถาม ตอนแรกผมลังเลอยู่แต่คิดไปคิดมาซุนเจียวซินอาจมีฝีมือฝึกวรยุทธ์กระบี่กระบองมาด้วยก็เป็นได้

ถึงจะเป็นแค่อาลักษณ์แต่คงไม่ใช่บัณฑิตผอมแห้งแรงน้อยหรอกมั้ง

ผมโดดลงไปยืนบนลานรับดาบมาถือแต่กลับยังไม่สัมผัสถึงความทรงจำเกี่ยวกับคัมภีร์ยุทธ์ ตำราการจับดาบหรือท่าหมัดท่าเท้าใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะไม่ใช่มนุษย์จำพวกที่ด้อยเรื่องกีฬามิหนำซ้ำเมื่อกี้เห็นท่าทางของต้าอ๋องกับทหารมาแล้ว ผมจึงหยิบยืมมาใช้

 คู่มือของผมเป็นต้าอ๋อง เขาตั้งท่าก่อนผายมือเชื้อเชิญให้ลงมือ ผมจึงจัดให้ตามคำเรียกร้อง

ทว่าผมคงคาดเดาความสามารถของซุนเจียวซินผิดหรือไม่ก็เพราะชะล่าใจที่ตั้งแต่ข้ามเวลาเข้ามาอยู่ในร่างของผู้ชายคนนี้ ผมทำได้อย่างที่คนในยุคนี้ทำได้แต่ความจริงคือผมเหวี่ยงดาบไปมาได้สะเปะสะปะน่าเกลียดมาก แถมนานเข้าดาบในมือก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องใช้สองมือจับ

เมื่อต้าอ๋องปล่อยให้ผมรุกไล่จนตัวผมออกอาการเหนื่อย เขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายฟาดดาบใส่ผมบ้าง

บอกตามตรงว่าเป็นอะไรที่โคตรขี้โกง ผมเหนื่อยแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ หนักเข้าเลยโยนดาบทิ้งและเอาแต่พลิกตัวหลบวิถีดาบของต้าอ๋อง

เขาหยุดมือ ยกยิ้มหัวเราะเหมือนสะใจเล็ก ๆ

“ต้าอ๋องมีฝีมือเป็นเลิศ เกล้ากระหม่อมไม่อาจสู้ได้” ผมประสานมือกัดฟันพูดชมแต่บอกได้เลยว่าผมประชด!!!

“เสียทีที่เจ้าเป็นถึงลูกแม่ทัพใหญ่”

ประโยคของเขาทำให้ผมหูผึ่ง

ผมไม่มีความทรงจำของซุนเจียวซินตกหลงเหลืออยู่เลย พอได้ยินที่เขาบอกย่อมต้องสนใจเป็นธรรมดา

“แล้วตอนนี้พ่อของผมอยู่ที่ไหน”

ต้าอ๋องเลิกคิ้ว สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย ผมถึงรู้สึกตัวคิดได้ว่า ตายล่ะหว่าเผลอหลุดปากถามแบบนั้นไป เขาอาจสงสัยก็เป็นได้

“ข้าเห็นเมื่อสองสามวันก่อนเจ้ายังส่งสารคุยกับบิดาอยู่ไม่ใช่หรือ”

“เออ... นั่นสิ” ผมเออออตอบรับหัวเราะเสียงแห้งกลบเกลื่อน

ต้าอ๋องเลิกเล่นฟันดาบตอนพระอาทิตย์ราแรง เขาพาผมกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยให้ผมอาบน้ำก่อนเช่นเคย ออกมาจากโซนอาบน้ำอีกครั้งก็เห็นว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเสียแล้ว ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของต้าอ๋อง หยิบม้วนไม้ไผ่ซึ่งเป็นฎีกาที่ขุนนางเขียนถวายรายงานให้ต้าอ๋องขึ้นมาอ่าน รอเวลาระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังอาบน้ำ

เมื่อต้าอ๋องอาบน้ำเสร็จ สำรับอาหารจึงถูกยกเข้ามา พวกเรากินข้าวด้วยกันเงียบ ๆ เหมือนเดิม อ่านรายงานต่ออีกเล็กน้อยหลังทานอาหารและก็ถึงเวลาเข้านอน

เพียงแต่ต้าอ๋องเดินตามเข้ามาในห้องนอนของผมด้วย

“คุณเข้ามาทำไม ไม่ไปนอนเตียงตัวเอง”

“ข้าอยากนอนที่นี่ใครจะทำไม”

“แต่นี่ห้องของผม”

“แต่มันเป็นตำหนักของข้า”

อ้าว! ผมร้องอุทานในใจ ถึงจะเป็นตำหนักของเขาแต่ห้องนี้ก็ยกให้ผมแล้วไม่ใช่เหรอหรือผมเข้าใจอะไรผิดอีก

“นอนได้แล้ว ข้าง่วงแล้ว” ต้าอ๋องไม่เพียงแค่พูด เขายังคว้ากระชากข้อมือจนร่างของผมเซไปล้มทับเขาก่อนจะโดนเหวี่ยงให้เอนตัวลงนอนในอ้อมกอดของผู้เป็นเจ้าของตำหนัก

โอ้ มายก็อดเนส!!! แบบนี้เขาเรียกว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ

ผมมาจากยุคไทยแลนด์สี่จุดศูนย์ที่ความรักไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศสภาพแต่ต้าอ๋องไม่ใช่คนยุคเดียวกับผมไม่ใช่เรอะ มานอนกอดผู้ชายแบบผมนี่มันจะดีเร้อหรือความจริงแล้วซุนเจียวซินไม่ใช่ผู้ชาย ผมคิดอย่างสงสัยและนอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ

แหมเนาะ ถึงต่างคนต่างสวมเสื้อผ้าทว่ามันไม่ได้หนาจนไม่รู้สึกนี่หว่า

“เจ้าไม่ง่วง?”

ผมรับรู้ได้ว่าหน้าของเขากับหน้าของผมอยู่ใกล้กันมาก ตอนที่เขาพูดหรือหายใจ ลมหายใจของเขาพุ่งมากระทบแก้มผมพอดีจนเริ่มอยากได้กลิ่นปากเหม็น ๆ จากเขาบ้าง ไอ้อารมณ์สะมะลึกกิ๊กกิ๊วที่รู้สึกอยู่นี้จะได้สงบลง แต่เผอิญกลิ่นปากของเขาราวกับแปรงฟันด้วยยาสีฟันเซปตาเฟ่ที่โฆษณากระหน่ำครึกโครมว่าลดกลิ่นปากตอนเช้าได้

ผมขยับตัว บอกไม่ถูกว่าทำไปทำไมไม่รู้แต่มันเป็นสัญชาตญาณ หัวใจของผมก็กระโดดกระเด้งกระดอนเต้นรัวไปหมด และเริ่มคิดตงิด ๆ ว่าท่าทางแบบนี้ล่อแหลมชะมัด

“ตกลงเป็นอะไรเจียวซิน” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ผมสยิวกิ้วไปอี้ก!!!

“ไม่ได้เป็นอะไร ค... แค่คุณขยับออกไปห่าง ๆ หน่อยไม่ได้เหรอ” ผมพยายามคุมเสียงของตัวเองให้ราบเรียบที่สุด

“ที่นอนเจ้าเล็กแค่นี้ ข้าขยับก็ตกนะสิ”

โอ้ย!!! อยากถามว่าทำไมต้องทำเสียงเซ็กซี่แบบนั้นด้วย ผมไม่เคลิ้มตามหรอกนะเว้ย ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้นอีกครั้งแม้ว่าตอนนี้จังหวะการเต้นของหัวใจอาจจะทะลุสองร้อยครั้งต่อนาทีไปแล้ว มีโปรโมชั่นแถมด้วยร่างกายอ่อนระทวยยิ่งกว่าขี้ผึ้งลนไฟนี่ด้วย พูดกันตามจริงผมไม่รู้สึกว่าแขนขาตัวเองยังใช้ได้และเผลอคิดว่าโดนกอดจนกลายเป็นอัมพาตแล้วมั้ง ยังไม่นับคำตอบที่เขาบอกว่าที่นอนผมเล็กอีกนะ คือถ้าที่นอนผมแคบคุณมึงจะมานอนเบียดกับผมทำไมล่ะครับ

“ต้าอ๋องก็กลับไปนอนเตียงตัวเองสิ”

เขาขยับตัวขึ้นมานอนทับบนตัวผม ถึงจะไม่ได้ลงน้ำหนักทั้งตัวเพราะเหมือนอีกฝ่ายจะเท้าข้อศอกรับน้ำหนักตัวเองไว้ทว่ามันไม่ได้ช่วยป้องกันอะไร ๆ ไม่ให้แนบสัมผัสกันเลย

“ไยข้าต้องนอนคนเดียวด้วย”

“ก็โต ๆ กันแล้วทำไมต้องนอนกับคนอื่นเล่า” ผมตอบ

“บิดามารดาของเจ้าก็แยกฟูกนอนรึ”

คำถามของเขาทำให้ผมละความสนใจจากร่างกายซึ่งสัมผัสเสียดสีกันหันมาพยายามเค้นหาคำตอบ “ทำไมพ่อกับแม่ผมต้องแยกกันนอน พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน”

“ก็นั่น”

ต้าอ๋องตอบมาสั้น ๆ แต่คำว่า ‘ก็นั่น’ ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเลยนะ ผมจึงกะพริบตาปริบ ๆ ส่งสีหน้างุนงงไปให้ ถึงจะมืดแต่ผมเชื่อว่าเขามองเห็นเพราะผมยังเห็นใบหน้าของเขาที่กระทบแสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ไกล ๆ เลย

ทว่าเขาทำเพียงแค่จ้อง จ้องและก็จ้องหน้าผมด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม ก่อนโน้มตัวแตะริมฝีปากลงกับหน้าผากของผม วินาทีนั้นผมกลับหลับตาพริ้มรอรับจุมพิตโดยไม่ขัดขืน เขาแตะริมฝีปากที่เปลือกตา ปลายจมูกไล่มาถึงริมฝีปาก

สารภาพเลยว่าผมแอบลุ้นปนรอคอยอยู่เล็กน้อย

สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากทำให้เคลิ้ม ๆ ลอย ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาผละออกห่างก่อนแตะกดย้ำซ้ำ เอาเป็นว่าเป็นจูบแรกของผมที่ดูดดื่มยาวนานและปั่นป่วนไปทั้งตัว

สรุปคือร่างกายผมเหลวไร้กระดูกไปแล้วจริง ๆ

แต่!!! และที่สำคัญมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น!!!

มันลามปามเลยเถิดกลายเป็นผมเสียตัวให้ผู้ชายครับท่านผู้ชม!!!

โอ๊ย! ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กแก่แดดใจแตกและสารพัดสารเพ

ผมเจอต้าอ๋องนับรวมแล้วเพิ่งวันที่สองแต่ผมยอมนอนกับเขาแล้ว โอ๊ย! ทำไมใจง่ายอย่างนี้ว้า ถ้าพ่อแม่รู้คงโดนตีตาย ถึงจะเป็นผู้ชายก็เหอะ มันเร็วไปไหม ฮอร์โมนพุ่งพล่านไปแล้วเว้ยเฮ้ย

ที่พีคอีกอย่างคือผมรู้สึกดี!!!

ผมกำลังจะกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลายใจ มากรัก ใจง่ายสำส่อนไปทั่วแล้วใช่ไหม

ถึงจะรู้ไอ้เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ก็เหอะ แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาควรต้องรู้จักหักห้ามใจหักห้ามอารมณ์สิเว้ยเฮ้ย มิหนำซ้ำมันควรมีความสัมพันธ์ทางใจแบบตอบรับเป็นแฟนกันตกลงคบกันก่อนแล้วค่อยอะจึ๊กอะจึ๊กไม่ใช่เหรอ

“เป็นอะไร ขมวดคิ้วเป็นปมเชียว” เสียงพูดดังขึ้นในความเงียบ ผมเหลือบตาขึ้นมอง ทันได้เห็นริมฝีปากของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่มันจะแนบลงกับหน้าผากตรงหว่างคิ้วพานให้ผมต้องหลุบตาลง

ผมคิดว่าตัวเองหลับไปชั่วครู่หลังจากกิจกรรมเข้าจังหวะเสร็จสิ้น พอรู้สึกตัวตื่นเหตุการณ์ทุกอย่างก็พุ่งเข้ามาในสมองให้ผมต้องโวยวายตบตีกับตัวเองในใจ

ส่วนคู่กรณียังนอนกอดผมแบบแนบเนื้อเปลือยเปล่าอยู่ข้างกัน

“กำลังคิดกังวลเรื่องใดอยู่ บอกข้าซิเจียวซิน”

ใครจะกล้าพูดความเวิ่นเว้อบ้าบอของตัวเองออกไปง่าย ๆ อีกอย่างเขามัวแต่แตะปลายจมูกตรงโน้นทีตรงนี้ทีแบบนี้ใครจะมีสมาธิกัน

เขาหยุดชะงักและขยับใบหน้ามาจ้องสบตา แม้จะมืดแต่ผมยังมองเห็นนัยน์ตาแวววาวคู่นั้นของเขา

“เจ้าคือที่หนึ่งในใจของข้าและข้ารักเจ้ามากมายเหลือเกิน โปรดจำคำพูดนั้นให้ดี”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 3 ผมกับภารกิจ


ผมจำได้และเข้าใจคำพูดของเขาแต่ไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ

รักก็คือรัก... แต่เขาเป็นต้าอ๋องจะมารักกับอาลักษณ์ที่เป็นผู้ชายอย่างผมได้เหรอ หรือยุคสมัยที่ผมย้อนเวลากลับมาเขายอมรับให้ผู้ชายรักกันได้?

กระนั้นไม่ว่าขบคิดอย่างไรก็เป็นไปได้ยาก ยุคสมัยนี้ยังปกครองระบบกษัตริย์อยู่เลย กษัตริย์ต้องมีทายาทเพื่อสืบบัลลังก์ อ๊ะ... เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

วันแรกที่ผมเจอเขา เหมือนว่าเขากับคุณซุนเจียวซินกำลังนั่งคุยกันอยู่และต้าอ๋องก็พูดย้ำเรื่องสนมอะไรนั่นอยู่ตลอด ทั้งยังเข้าใจผิดคิดว่าคุณซุนหมางเมินเย็นชาอะไรนั่นด้วย

อ้อ... เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมพยักหน้ากับตัวเอง

“อาลักษณ์ซุน ท่านคิดวิธีใดได้หรือ”

ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง หันมองผู้ที่ส่งเสียงเรียกซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนางที่มาประชุมกันทุกเช้าเพื่อปรึกษาข้อราชการ ต้าอ๋องมองผมคล้ายรอคำตอบ ขุนนางทั้งหลายก็จ้องหน้ากดดันแต่พอดีว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ฟังว่าพวกเขากำลังพูดคุยปรึกษากันเรื่องอะไร ในหัวของผมจึงไม่มีคำตอบของคำถาม

ผมยิ้ม “ต้องขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เกล้ากระหม่อมยังคิดวิธีใดไม่ได้” ตอบไปอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนั้นแหละทว่าต้าอ๋องกลับไม่ได้พยายามคาดคั้นเอาคำตอบ เขาทำเพียงหันไปพูดคุยกับขุนนางคนอื่นต่อไป

ผมจึงต้องดึงสติไม่ให้วอกแวกหันมาใส่ใจสิ่งที่พวกเขาคุยกันบ้าง จนสรุปได้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันถึงช่วงหน้าหนาวและหน้าแล้งที่กำลังมาถึง

ช่วงฤดูหนาวของแคว้นอากาศเย็นจัดแต่ยังไม่ถึงขั้นมีหิมะตก พ้นจากช่วงอากาศหนาวควรเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่แผ่นดินแถวนี้ไม่ได้งดงามด้วยยอดไม้แตกใบผลิดอกเบ่งบาน เพราะต้องเผชิญความแห้งแล้งอีกสองสามเดือนกว่าฝนจะมาเยือน ฤดูหนาวต่อด้วยความแห้งแล้งจึงทำให้อาหารขาดแคลน ผู้คนจะอดอยากล้มตาย ไหนเรื่องข่าวคราวสงครามที่เล่าลือมาให้ได้ยินอีก

เป็นคนยุคนี้ก็ลำบากไม่ใช่น้อย

หลังต้าอ๋องว่าราชการเสร็จ ผมจึงรื้อความทรงจำเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลก่อนให้เขาฟัง แต่ผมไม่ได้บอกชื่อหรือเล่าว่าเป็นทฤษฎีของใครหรอกนะ เล่าแค่เพียงวิธีการคร่าว ๆ ว่ามันทำอย่างไรเพราะจะให้บอกรายละเอียดอย่างครบถ้วนผมก็ไม่สามารถ ความรู้ของผมมันแค่หางอึ่งเท่านั้น

ครอบครัวผมมีอาชีพค้าขายที่แต่ดั้งเดิมเผาข้าวหลามขายเป็นหลัก ก่อนจะรับผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลายอย่างมาวางจำหน่ายจนกลายเป็นร้านขายของฝาก

ส่วนความรู้เรื่องการเกษตร การจัดการน้ำ มันมาจากการที่โรงเรียนพาไปทัศนศึกษานิทรรศการต่าง ๆ อีกประการหนึ่งเพราะประเทศไทยน้ำท่วมบ่อยมากชนิดที่ว่าถ้าฝนตกเกินสองชั่วโมงเมื่อไหร่ จังหวัดบ้านผมต้องเริ่มเตรียมหาเรือมาพายสัญจรขณะเดียวกันก็ต้องประสบกับภาวะแห้งแล้งทุกปี

“ตอนที่ข้าถามในโถงว่าราชการ ทำไมเจ้าไม่ตอบเล่า”

“ผมสารภาพตามตรงก็ได้ ตอนนั้นผมคิดเรื่องอื่นอยู่ ไม่ได้คิดวิธีการแก้น้ำแล้งพวกนี้หรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะกว่าจะเห็นผลคงต้องรออีกหลายปี”

“หลายปีก็หลายปี อย่างน้อยได้เริ่มลงมือทำบ้าง” เขาพูดพลางเอื้อมมือมาวางทับหลังมือผมไว้ คว้าจับพลางใช้นิ้วโป้งคลึงหลังมือผมเล่น

“ครั้งนี้ร่างกายของเจ้ามีปัญหาหรือไม่”

คำถามของเขาทำให้ผมหน้าแดงย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอย่างช่วยไม่ได้ ซ้ำร้ายน้ำเสียงที่ต้าอ๋องใช้ยังให้ความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ถามเพราะความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียว

“ถ้าเจ็บป่วยไม่สบายให้รีบบอก อย่าฝืนอดทนไว้”

ได้แต่พึมพำตอบกลับไปเสียงเบาว่าไม่เป็นไรหรอก แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ แค่เจ็บยอกเล็กน้อยก่อนจะสะดุดใจกับคำว่า ‘ครั้งนี้’ ในประโยค

มีคำว่า ‘ครั้งนี้’ นั่นก็แสดงว่ามีคำว่า ‘ครั้งก่อน’ หรือ ‘ครั้งที่แล้ว ๆ’ ด้วยเหรอ พอคิดได้อย่างนั้นก็คันปากนึกอยากถามว่าตกลงแล้ว ต้าอ๋องกับซุนเจียวซินเป็นอะไรกันแน่ แต่ผมไม่อยากให้ต้าอ๋องรู้ว่าผมไม่ใช่ซุนเจียวซินตัวจริง เกิดเขาโมโหจนระเห็จผมออกจากวัง ผมก็ลำบากนะสิ

เอายังไงดี ผมพยายามใช้สมองคิดเค้นหาทางที่จะทำให้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

“เรื่องพระชายาและพระสนม”

แค่เกริ่นเรื่อง เขากลับบีบมือของผมด้วยแรงน้ำหนักมากกว่าเดิมแต่ไม่ส่งเสียงใดราวกับรอให้ผมพูดต่อ “ผมทราบว่าคุณจำเป็นต้องรับพวกเธอเข้ามาเป็นภรรยา ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผม...”

“ข้ายังเหมือนเดิมเจียวซินและเจ้ายังเป็นหนึ่งเดียวในใจของข้า ไม่ว่าหญิงใดก็ไม่อาจเทียบเคียงเจ้าได้”

เอาล่ะ! ผมเข้าใจสถานะของคุณซุนเจียวซินสำหรับต้าอ๋องแล้ว ฉะนั้นเหลือแค่ฝั่งคุณซุนเจียวซินแล้วล่ะแต่บังเอิญว่าผมเรียกเจ้าของร่างตัวจริงมาถามไม่ได้เสียด้วย อีกอย่างคือตอนนี้ผมเป็นคุณซุนเจียวซิน

เมื่อลองคิดวิเคราะห์ตามสภาพการณ์ที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันขนาดนี้ แถมต้าอ๋องยังทำตัวสนิทสนมกับคุณซุนเจียวซินเป็นอย่างมาก ผมว่าพวกเขาคงคบกันนั่นแหละ อืม... ค่อยยังชั่วหน่อยที่ความใจง่ายของผมคงไม่ใช่เรื่องแปลก บางทีตอนนั้นวิญญาณของคุณซุนเจียวซินอาจจะแทรกแซงเข้ามาใช้ร่างกายแทนผมก็ได้

ผมพยักหน้ากับตัวเองหงึก ๆ

“เจียวซิน” ต้าอ๋องส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าของร่างที่ผมสิงอยู่

เมื่อรู้อย่างนี้ ผมจึงพอเข้าใจอาการเป็นห่วงชอบเซ้าซี้ของเขาได้เพราะเป็นคนที่รักเป็นคนที่มีใจให้ จะห่วงจะหวงจะแคร์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ชั่วแวบหนึ่ง ความปวดแปลบกลับปรากฏขึ้นในอกแต่เนื่องจากต้าอ๋องส่งเสียงถามซ้ำอีกครั้ง ผมจึงต้องรีบยกยิ้มสั่นศีรษะปฏิเสธพร้อมบอกว่าไม่เป็นอะไรกระนั้นเขายังคงถามย้ำอย่างไม่วางใจ

“ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ผมยกยิ้มกว้างให้เขาพลางยกมือขึ้นจิ้มจมูกโด่งน่าหมั่นไส้ด้วยอาการมันเขี้ยว “มีต้าอ๋องสุดหล่อมาบอกรักซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้จะให้ผมเจ็บป่วยตรงไหนได้อย่างไร”

“เจ้าก็พูดไปเรื่อย สองเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องกันเสียที่ไหน” เขาคว้าจับมือข้างนั้นของผมไว้พร้อมแนบกึ่งปากกึ่งจมูกกดจูบลงไป

เมื่อครู่ผมมีความรู้สึกแปลบแว็บเข้ามาในอกแต่ตอนนี้มีแต่ความขัดเขินเก้อประหม่ากับการกระทำของเขา

เพราะรู้เหตุผลพลันเข้าใจว่าทำไมเวลาที่ต้าอ๋องอยู่กับผมในห้องรโหฐานถึงไม่มีขันทีหรือนางกำนัลคนไหนอยู่รอรับใช้ อย่างครั้งแรกในสวน คนพวกนั้นก็ถูกสั่งให้ยืนรออยู่ที่ไกล ๆ เพราะต้าอ๋องจะตะมุตะมิทำตัวกุ๊กกิ๊กกับคุณซุนเจียวซินนี่เอง เท่ากับว่าคนสนิทใกล้ชิดทั้งหลายต่างรู้เรื่องต้าอ๋องกับคุณซุนเจียวซิน หรือบางทียุคนี้การคบหาระหว่างคนเพศเดียวกันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกละมั้ง

และผมก็ได้คำตอบกับสิ่งที่สงสัยในวันต่อมาเมื่อไทเฮาให้คนมาตามไปเข้าเฝ้า ตอนไปถึงที่ตำหนักผมพยายามทำให้ใจโล่ง ๆ ร่ม ๆ ไม่คิดอะไรมากพร้อมก้าวเท้าไปยืนต่อหน้าพระมารดาของต้าอ๋อง ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวยกประสานมือย่อตัวคำนับผู้มีศักดิ์สูงตามธรรมเนียมด้วยท่วงท่าแช่มช้อยเชื่องช้า จากนั้นไทเฮารับสั่งให้ผมยืนขึ้นซึ่งท่ายืนอย่างสำรวมคือประสานมือและก้มหน้ามองพื้น ไม่ริคิดจะแอบเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายสักกระผีก

“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเจียวซิน”

เสียงของไทเฮายังฟังดูเด็กน่าจะอายุไม่เยอะ ถ้าคำนวณตามอายุของต้าอ๋องอย่างน้อยน่าจะประมาณสามสิบเจ็ดหรือสามสิบแปด ผมคิดก่อนตอบคำถามกลับไปว่าสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยไทเฮาที่เป็นห่วง

“ต้าอ๋องคงบอกเจ้าเรื่องกำหนดการรับสนมเข้าวังแล้วกระมัง”

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ถึงจะตอบออกไปแบบนั้นแต่ความจริงผมไม่ได้ถามเขาละเอียดยิบย่อย ก่อนหน้าที่จะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ ผมเคยบอกไปว่าแล้วแต่ต้าอ๋องเพราะคิดว่าเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแต่หลังจากที่ผมพูดถาม เขาคงคิดว่าผมอาจอยากตัดความสัมพันธ์ พอพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ต้าอ๋องถึงพยายามเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นตลอด

“ถ้าพวกนางเข้ามาอยู่ในวังแล้ว อยากให้เจ้าคอยดูแลให้ด้วย ราชวงศ์ต้องการรัชทายาทหากต้าอ๋องมีโอรสสักหลาย ๆ คน ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องผิดพลาดนอกลู่นอกทางไปสักเรื่องสองเรื่อง พวกขุนนางคงไม่กล้าว่าอะไรอีกและบัลลังก์ของต้าอ๋องคงจะมั่นคง”

“เกล้ากระหม่อมทราบแล้ว ไทเฮาไม่ต้องเป็นห่วง”

หลังจากได้ยินสิ่งที่ผมรับปาก ไทเฮาก็บอกขอบอกขอบใจผมอีกสองสามประโยคด้วยน้ำเสียงพึงพอใจอย่างชัดเจน และประโยคที่ไทเฮาพูดกับผม มันทำให้สรุปได้ว่าไทเฮาเองไม่พอใจกับความสัมพันธ์ระหว่างต้าอ๋องและซุนเจียวซินแต่คงแตกหักไม่ได้ถึงได้ยอมให้คุณซุนเจียวซินเป็นอาลักษณ์ส่วนพระองค์

อีกอย่างที่ผมกลัว ไม่ใช่ว่าคุณซุนเจียวซินจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นสปายสายลับที่ลอบเข้ามาปลงพระชนม์ต้าอ๋องหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคงได้ปวดหัวยิ่งกว่านี้

กลับไปถึงตำหนักของต้าอ๋อง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของตำหนักกำลังนั่งกระสับกระส่ายรออยู่แล้ว ครั้นเห็นผมเปิดประตูเข้าไปจึงรี่เข้ามาหาทันที คว้าจับมือพลางพยุงผมไปหาที่นั่งซึ่งไม่ใช่ที่ไหนไกลก็เตียงนอนในห้องผมนั่นแหละ

ที่ประทับและฟูกนอนของต้าอ๋องตรงกับประตูห้องพอดีแถมประตูก็ไม่ใช่บานทึบมิดชิดเพราะแกะลวดลายเป็นช่องเสริมความสวยงาม เขาคงกลัวว่าใครจะมาเห็น ห้องนอนของผมกับห้องทำงานของต้าอ๋องที่ควบรวมห้องกินข้าวเข้าไปด้วยซึ่งอยู่อีกฝั่งยังมีผนังบังสายตาผู้คนได้มากกว่า

“เสด็จแม่พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

“ก็ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป”

“อย่ามาโกหก เจียวซิน”

ดูท่าว่าประเด็นของผมคงมีเรื่องให้ปะทะกันมายาวนาน “ทรงขอให้ผมช่วยคอยดูแลสาว ๆ ของคุณและพยายามกระตุ้นให้คุณมีทายาทเยอะ ๆ แค่นี้เองไม่มีอะไรต้องกังวลสักหน่อย” ประโยคหลังผมพูดไปอย่างที่ใจคิด

ถึงผมกับต้าอ๋องจะสานสัมพันธ์ทางกายกันแล้วและเจ้าของร่างคนเดิมก็เลิฟ ๆ อยู่กับอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องหลงรักต้าอ๋องด้วยนี่นา

ยอมรับว่าตอนที่อยู่กับต้าอ๋องผมใจเต้น ออกอาการเขินอายประหม่าตอนสบตาหรือหยอกล้อคุยกัน แต่ถ้าอยู่ห่าง ๆ เฉย ๆ ไม่เร้าไม่กระตุ้น ผมกลับรู้สึกว่าไม่ได้รักเขา จึงสรุปกับตัวเองว่าความรู้สึกที่เผชิญเมื่ออยู่กับต้าอ๋องในบางครั้งคงเป็นความรู้สึกของคุณซุนเจียวซิน

วิญญาณและความรู้สึกนึกคิดของผมมาอยู่ในร่างคนอื่นซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้ไปสู่สุคติ ถ้าเผลอเอาใจไปผูกไว้กับอีกฝ่าย ตอนที่ถึงเวลาไปผมคงต้องเสียใจมาก

“ข้าคงไม่สำคัญกับเจ้า”

ทว่าผมคงลืมบางอย่างไป ผมปล่อยวางได้แต่มีคนที่ไม่ปล่อยวางอยู่เหมือนกัน

หลังต้าอ๋องพูดประโยคนั้นจบ เขาก็ผละตัวออกห่างจากผม เบือนหน้าไปมองทางอื่นกระนั้นท่าทางของเขาราวกับติดป้ายบอกให้ผมต้องง้อ

ในฐานะที่ผมมายืมร่างคนอื่นอาศัย ผมทำให้แฟนเขางอน ผมต้องรับผิดชอบด้วยการง้ออยู่แล้วล่ะครับ

“ต้าอ๋องครับ อย่าเพิ่งโกรธสิ” ผมพูดพร้อมขยับเข้าไปใกล้ เขาแกล้งขยับหนีผมจึงสอดมือเข้าไปกอดแขนรั้งเขาไว้ พลางเกยคางไว้บนไหล่หนา

“ไหนคุณบอกว่าคุณรักผม ผมเป็นหนึ่งเดียวในใจและคุณจะเป็นเหมือนเดิมเพราะเชื่อใจคุณนะ ผมถึงไม่กังวลอะไร”

ต้าอ๋องหันกลับมา “หึงหวงข้าสักนิด จะเป็นไรไป”

“อ้าว ผมเป็นคนใจกว้างแบบนี้กลับไม่ชอบ”

“เจ้าใจกว้างแต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่รักข้าเลยต่างหาก” เขาตีหน้างอคล้ายเด็ก ๆ ยามที่ถูกพ่อแม่ขัดใจ

“โอ๋ ๆ อย่าน้อยใจสิ ผมรักคุณนะ” ผมไม่ได้แค่พูดยังแตะริมฝีปากเข้ากับปากของเขาด้วย พอทำไปแล้วกลับรู้สึกเหมือนเผลอตัวไม่ได้ตั้งใจ สัมผัสถึงความร้อนบนใบหน้าซึ่งพุ่งสูงขึ้นเล็กน้อยแต่เพราะทำอย่างนั้น ต้าอ๋องถึงอารมณ์ดีขึ้นทันตา เขาขยับเข้ามาเบียดพร้อมโอบเอวผมไว้ ก่อนแนบริมฝีปากลงมาอย่างถนัดถนี่

ไม่รู้ว่าคุณซุนเจียวซินตัวจริงจูบกับต้าอ๋องบ่อยหรือเปล่าแต่เด็กใจแตกอย่างผมกลับเกือบเลยเถิดอีกแล้วทั้งที่ยังไม่พ้นยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยก่อนโดนขัดจังหวะ

คนที่มาเคาะประตูส่งเสียงเรียกเป็นขันทีคนสนิทของต้าอ๋อง ผมดันตัวชายหนุ่มเจ้าของตำหนักให้ออกห่างพลางจัดแต่งสาบเสื้อให้เข้าทางก่อนหันมาดูความเรียบร้อยของตัวเอง จากนั้นเดินไปเปิดประตู

ผนังห้องของผมคงมีประตูลับที่ทำให้ต้าอ๋องออกไปโผล่อีกที่กระนั้นตำแหน่งที่เขาเดินออกมาคือหลังฉากแถวโซนถังไม้สำหรับอาบน้ำ

เขาเดินไปทรุดตัวนั่งประจำที่ตรงโต๊ะเตี้ยหน้าฉากกั้นฟูกนอนซึ่งถูกยกให้สูงเป็นพื้นต่างระดับ ผมยืนอยู่ที่พื้นด้านล่าง เยื้องมาทางซ้าย

ขันทีเดินนำเข้ามาพร้อมหญิงสาวหกนางแต่ละคนงามแฉล้มกินกันไม่ลง สวมชุดผ้าแพรผ้าไหมคนละสีจนผมแอบคิดว่าน่าจะมีอีกคนจะได้ครบทีม เสื้อผ้าของพวกเธอไม่โชว์ผิวเนื้อเนินหน้าอกก็โชว์ช่วงคอระหง รัดเอวคอดกิ่วจนน่ากลัวว่าจะหักลงได้ง่าย ๆ ทั้งแต่งหน้าเกล้าผมจัดเต็ม ผิวขาวปากแดงแก้มอมชมพูระเรื่อแต่สังเกตเทียบกับสีผิวมือซึ่งโผล่พ้นปลายแขนเสื้อ ผมคิดว่าแต่ละคนก็ขาวดั่งไข่ปอกไม่ต่างกัน

“คารวะต้าอ๋อง”

พวกเธอส่งเสียงย่อตัวคำนับต้าอ๋องอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นจึงยืนนิ่งก้มหน้าลงเล็กน้อยให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของตำหนักพิจารณาหน้าตา บ้างชม้ายชายตามองต้าอ๋องหนุ่มแล้วรีบเสหลบด้วยท่าทีเอียงอาย

จากนั้นขันทีได้แจ้งชื่อและที่มาของพวกเธอ แต่ละคนมียศเป็นองค์หญิงของเผ่าที่มีความสัมพันธ์กับแคว้นเหยียนทั้งนั้น

ต้าอ๋องไม่ได้พูดอะไรมากแค่บอกยินดีต้อนรับและให้จัดตำหนักพร้อมส่งนางกำนัลไปให้ ก่อนโบกมือไล่พวกเธอทั้งหมดออกไป เหลือแต่ขันทีคนสนิท

“ต้าอ๋อง ค่ำนี้จะเสด็จที่ตำหนักไหนดีพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกนางเพิ่งมาวันแรกจะไม่ให้พักผ่อนเลยหรืออย่างไร”

เมื่อได้ยินคำตอบขันทีผู้นั้นจึงแอบเหลือบมองผม แหมไอ้ผมย่อมรู้หน้าที่เพียงแค่อีกฝ่ายส่งสายตามา “ต้าอ๋องลองเสด็จไปทักทายพูดคุยกับพวกเธอสักหน่อยเถอะครับ พวกเธออุตส่าห์จากบ้านมาไกล ต้าอ๋องเป็นเจ้าบ้านควรต้อนรับให้ดี”

คู่สนทนาของผมเหล่มองตาขุ่นขวาง

ผมจึงก้าวเท้าขึ้นบันไดเตี้ยไปยังจุดที่ประทับพร้อมก้มลงกระซิบข้างหู “ถ้าไม่ไป ก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก”

ต้าอ๋องตวัดสายตามองแต่อย่างผมหรือจะรู้สึกรู้สา ผมเดินลอยหน้ากลับมายืนที่เดิมพลางคิดว่านี่แหละภารกิจที่ทำให้ดวงวิญญาณของผมมาอยู่ในร่างของคุณซุนเจียวซิน

ลองคิดดูว่าถ้าเป็นคุณซุนเจียวซินที่รักต้าอ๋องเหมือนกัน เขาจะทำใจส่งต้าอ๋องไปให้หญิงอื่นได้ไหม นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ในร่างนี้เพราะผมไม่ได้รักเขามาก เอ้ย! ต้องบอกว่าเพราะผมไม่ได้รักเขา

“ได้ข้าจะไป ไปบอกพวกนางว่าข้าจะไปเยี่ยมเยียนคนละครึ่งชั่วยาม”

ทั้งผมทั้งขันทีได้ยินคำประกาศก็มองหน้ากันเองก่อนหันมองต้าอ๋อง เขาเหมือนรู้จึงอธิบายว่า “พวกนางมีหกคน ถ้าข้าไปเยี่ยมคนใดคนหนึ่ง คนอื่นอาจน้อยใจได้”

“เป็นความคิดที่ถูกต้องครับ” ผมรีบพูดสนับสนุน “และตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะเป็นคนจัดตารางให้เอง มีหกคนก็หกวันพอดี ผมให้ต้าอ๋องพักหนึ่งวัน ตกลงตามนี้” ผมรีบรวบรัดสรุปก่อนเดินตรงเข้าไปหาขันทีประจำตำหนักที่ยืนอยู่ด้วยกันในห้อง รุนหลังพร้อมชวนเขาคุยเรื่องรายนามและรายละเอียดลำดับความสำคัญของหญิงสาวแต่ละคน เป็นการหนีหน้าจากต้าอ๋องไปด้วยในตัว

ตกเย็นผมยังคงหนีหน้าต้าอ๋องและกลับเข้าตำหนักตอนที่เขาต้องออกไปเยี่ยมบรรดาสาว ๆ

กินข้าวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็อ่านหนังสืออีกเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้านอน

รู้สึกตัวอีกครั้งคือมีคนมาเบียดขอนอนด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นชายหนุ่มเจ้าของตำหนัก

“ขยับอีกหน่อยข้าจะตกแล้ว”

ฟากหนึ่งของเตียงนอนติดผนังเพราะฉะนั้นผมก็ขยับไปไหนไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงยกตัวขึ้นไปนอนเกยอยู่บนตัวเขา

ลมหายใจของต้าอ๋องคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าและร่างกายของเขามีกลิ่นน้ำหอมหวาน ๆ ติดมาด้วย กลิ่นพวกนั้นทำให้ภายในอกเสียดแปลบขึ้นมาขณะที่สองแขนของเขายังกอดรัดรอบตัว

“ถ้าอยากให้ข้าไปหาพวกนางอีก ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าต้องไปนอนบนฟูกของข้า ถ้าไม่ทำตามที่สั่งจะได้เห็นดีกัน”

“นอนเบียดกันอย่างนี้ไม่ดีเหรอ” ผมพูดหยอก

“ข้ากลัวว่าเจ้านอนดิ้นจนพลัดตกจากตั่งไปมากกว่า”

“ถ้าคุณกอดผมแน่นพอ ผมจะตกไปได้ยังไง”

“ได้ ข้าจะรัดจนเจ้ากระดุกกระดิกไม่ได้เลยเชียว” น้ำเสียงตอบกลับของเขาชื่นมื่นจนเผลอถามไปว่า “สาว ๆ ที่คุณไปหามาเป็นอย่างไรบ้าง”

“อย่าพูดถึงคนอื่นยามที่เราอยู่ด้วยกัน” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ยกมือข้างหนึ่งลูบหลังพร้อมกระซิบบอกให้ผมหลับตานอน ผมทำตามอย่างว่าง่ายตามวิสัยเด็กดีที่ใครบอกอะไรก็เชื่อ พยายามปัดความแปลบปลาบในอกทิ้งไปเสีย ผมเชื่อว่าต้าอ๋องคงรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน แม้มีบางเศษเสี้ยวในใจคิดว่าเขาอาจยินดีที่ได้ดื่มกินกับหญิงสาวหน้าตาสวยหมดจด แต่อีกใจหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาทันควัน ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมเขาต้องกลับมาหาซุนเจียวซิน

ผมลอบระบายลมหายใจ บอกตัวเองไม่ต้องไปคิดให้วุ่นวายก่อนปล่อยสติให้ดิ่งลงสู่นิทรา

กระนั้นค่ำคืนถัดมาหลังจากต้าอ๋องไปหาหญิงสาวตามที่ผมเขียนตารางกำหนดไว้ให้ เขายังคงกลับมานอนที่ตำหนัก ผมย้ายไปนอนที่ฟูกของเขาตามคำสั่ง รู้สึกตัวตื่นเพราะผิวเนื้อเย็นเฉียบเบียดเข้ามาใกล้

“ทำไมตัวเย็นจัง” ผมถามอย่างข้องใจพร้อมดึงผ้าห่มคลุมให้พลางใช้มือลูบเนื้อลูบตัวเขาให้อุ่นขึ้น

“ข้าเพิ่งอาบน้ำมา”

ฟังคำตอบแล้วคิดในใจว่าดึกป่านนี้เนี่ยนะและนึกได้ว่าก่อนต้าอ๋องเข้ามาไม่ได้ยินเสียงอะไร

น้ำที่ใช้อาบจะมีขันทีคอยเปลี่ยนเติมให้ซึ่งปกติพวกเขาค่อนข้างมือเบา ทำงานแต่ละอย่างไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวนแต่ไม่น่าจะเงียบสนิทขนาดไม่ได้ยินเสียงใด อีกประการน้ำที่นำมาเติมให้ควรเป็นน้ำร้อนสิ

“แล้วทำไมตัวเย็นขนาดนี้ ท่านไปเล่นน้ำในสระข้างนอกมาเหรอ”

ต้าอ๋องหัวเราะเสียงเบา เบียดตัวเข้าหาร่างของผมอีกนิด “เปล่า อาบในห้องนี่แหละแต่ข้าบอกให้ขันทีเตรียมน้ำไว้แต่เย็น พอดึกมันจึงไม่ร้อนเท่าเดิม ข้าตัวเย็นเจ้าก็ช่วยทำให้ร่างกายข้าอุ่นขึ้นสิ”

ไม่ทันได้โต้ตอบผมกลับโดนจู่โจมเข้าเสียก่อน นึกอยากพูดอยากถามอะไรก็ไม่สามารถทำได้เพราะโดนปิดปากด้วยจุมพิตของอีกฝ่าย ร่างกายของคุณซุนเจียวซินคุ้นเคยกับมือของต้าอ๋อง แป๊บเดียวจึงจุดติดไปกับเขาด้วยพานให้ร่างกายต้าอ๋องร้อนจนเหงื่อซึม

กรณีเกิดเหตุการณ์แบบนี้ผมจะบอกว่าไม่ใช่เพราะจิตใจตัวเองโอนเอนยอมตกลง บอกไม่ถูก... คงเป็นฮอร์โมนด้วย คงเพราะวิญญาณคุณซุนเจียวซินในร่างผมด้วยล่ะแม้ผมจะรู้สึกดีกับมันก็เถอะ

เหตุการณ์เวียนซ้ำเป็นอย่างนั้นทุกค่ำคืน หลังจากที่ต้าอ๋องไปหาหญิงสาว เขาจะกลับมานอนที่ตำหนักทุกครั้งพร้อมพาตัวเย็นเฉียบมาเบียดกับผมบนฟูกจนเกิดเรื่องเลยเถิด

คืนแรก ๆ ยังพอทำเนา พอคืนที่ห้าผมจึงตื่นรอเขา ครั้นชายหนุ่มเจ้าของตำหนักกลับมา ผมจึงเรียกขันทีเข้ามาเติมน้ำอุ่นให้เขาอาบ

“เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นรอข้า”

“รอดีกว่า ทำทุกวันก็ไม่ไหวนะ” ผมบอกเขาไปตามตรง

ต้าอ๋องไม่ได้รุนแรง ไม่ได้เอาแต่ใจทว่าผมต้องตื่นไปทำงานทุกวัน มันเหมือนร่างกายล้าสะสมและออกอาการประท้วง ถึงไม่ใช่ร่างกายของผมแต่ผมยังมีสำนึกว่าต้องดูแลให้ดี

คนฟังได้ยินคำตอบถึงกับออกอาการงอน แน่นอนว่าผมง้อแต่ง้อด้วยคำสั่ง

“ต้าอ๋องห้ามโกรธ ห้ามงอนด้วยเพราะคุณทำผมเจ็บไม่หาย” ประโยคคำพูดของผมทำให้เขาหายจากอาการหน้างอทันควัน เหมือนเรื่องความเจ็บป่วยของคุณซุนเจียวซินจะเป็นอันดับหนึ่ง

“แล้วไยเจ้าไม่บอกข้า”

“ก็กำลังบอกอยู่นี่ไงครับ”

“เจ้า!... ไม่สิ!... ช่างเถอะ ข้าจักตามหมอหลวง” ท่าทางของเขาคล้ายหงุดหงิด

“จะบ้าเหรอ ให้เขามาตรวจอะไร” ผมรีบพูดห้าม “ไม่ต้องหรอก อีกเดี๋ยวสองสามวันก็หาย”

“ได้อย่างไร ก็เจ้าบอกว่าเจ็บ”

พูดเองกับฟังเขาพูดมันต่างกันนะ ผมรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าพร้อมกับฉุกคิดว่ามันกลายมาเป็นการถกเถียงเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณไม่ฟังที่ผมพูด ไม่ต้องมาคุยกัน” ผมแกล้งทำเป็นงอนเขาบ้าง กอดอกหันหลังให้ อมลมไว้ในแก้มเพื่อทำหน้าบึ้งแต่พอโดนโอบจากด้านหลังพร้อมการไถแซะศีรษะจากชายหนุ่ม ผมกลับหายงอนเป็นปลิดทิ้งแถมเสียงพูดของเขายังทำให้ร่างกายระทวย

“อย่าโกรธข้านะ ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า”

“ผมรู้แล้วครับ” ผมเอี้ยวหน้ากลับไปบอก ทั้งแก้มทั้งจมูกของพวกเราชนกันพอดีจึงต้องเอนศีรษะออกห่างเล็กน้อย

“นอนนะง่วงแล้ว” เมื่อผมพูดชวน เขาก็ยอมขยับตัวทั้งที่ยังกอดเอวผมไว้ ลากตัวผมให้ไปล้มตัวลงนอนด้วยกัน


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 4 ผมไปด้วย


ไทเฮาเรียกผมเข้าไปพบอีกรอบ ไม่เชิงชมเชยที่ผมทำตามคำสั่งแต่ก็ตงิด ๆ ว่าโดนติเตียนอยู่บ้าง

หลังจากคำนับเรียบร้อย เธอก็เดินเข้ามาหาจับมือถือแขนผมอย่างสนิทสนม ตอนนั้นผมจึงเหลือบขึ้นมองใบหน้าของเธอ แล้วต้องร้อง ‘โอ้โฮ้! หน้าเด็กเว่อร์วัง’ อยู่ในใจ

ไทเฮาเป็นผู้หญิงร่างเล็ก เตี้ยกว่าผมเล็กน้อยและอย่างที่ความคิดแรกผุดขึ้นมาคือยังดูเด็กอยู่มาก มองคล้ายผู้หญิงอายุไม่เกินสามสิบ

“ทำดีมากที่ทำให้ต้าอ๋องยอมไปเยี่ยมตำหนักในได้แต่คงดีกว่านี้ถ้าต้าอ๋องยอมค้างทั้งคืน”

แหม! ไอ้ผมล่ะอยากบอกว่าถ้าผู้ชายจะทำมีเวลาแป๊บเดียวก็ทำได้ ถ้าคนไม่มีอารมณ์ต่อให้นั่งอยู่ด้วยทั้งคืนก็ได้แค่จ้องตาให้เบื่อขี้หน้าเท่านั้นแหละ ที่จริงความคิดในใจผมค่อนข้างหยาบโลนกว่านี้สักหน่อยแบบไม่ค่อยเหมาะกับอายุสิบเจ็ดของผม แต่มันก็มาจากการที่ได้อยู่กับเพื่อนผู้หญิงในโรงเรียนนั่นแหละ

โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่มีผู้หญิงสวย ๆ แบบน้องนางของต้าอ๋องอยู่เยอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มองหน้าแล้วทำให้ใจฝันหา คนสวยพอมองแล้วก็อืม... รู้ว่าสวยแต่บางคนไม่ได้ดึงดูดให้รู้สึกอยากครอบครองนี่นา แต่บางคนไม่ได้สวยเลิศแต่กลับให้อารมณ์อยากได้อยากเอาก็มี

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมทำเพียงแค่รับคำไปเท่านั้นเพราะยังจำได้ว่าประเด็นความต้องการของไทเฮาคือรัชทายาท ของแบบนี้คุณภาพมันสำคัญกว่าปริมาณแต่จะพาต้าอ๋องไปตรวจก็ไม่มีหมอกับโรงพยาบาลซะด้วยสิ เลยคิดว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรมนั่นแหละ

กลับมาถึงตำหนักต้าอ๋อง อีกฝ่ายกำลังกระสับกระส่ายรออยู่เช่นเคยแต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายที่รี่เข้าไปหาพร้อมบอกว่า “ไม่มีอะไรเลย ไทเฮาชมด้วย” พลางยิ้มแฉ่งเต็มหน้าให้เขาอีกรอบ ต้าอ๋องเหมือนไม่ค่อยเชื่อถือนักทว่าผมไม่มีอะไรให้หนักใจกังวลต่อให้เขาคาดคั้นอย่างไรก็ไม่มีทางเจอสิ่งผิดปกติ

“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเดือดเนื้อร้อนใจต้องมีลูกให้ได้นะ”

ที่จริงผมไม่อยากกดดันเขา กลัวว่าความเครียดจะไปทำให้น้ำเชื้อฝ่อแต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าแต่ละคืนที่เขาไปหาบรรดาน้องนางทั้งหลายจะมัวแต่นั่งจ้องตาหรือทำเพียงกล่อมสาว ๆ เข้านอน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ภารกิจคงไม่ลุล่วง ผมอยากรู้แค่ว่าถ้าทำงานนี้สำเร็จจะเป็นอย่างไรต่อก็เท่านั้น

และคงเพราะตอนกลางคืนต้องอยู่กับสาว ๆ ช่วงกลางวันต้าอ๋องจึงทำตัวติดกับผมแจ

ช่วงก่อนหน้าที่จะรับสนม ผมต้องอยู่กับเขาตลอดทั้งวันละนะแต่รู้สึกว่าหลัง ๆ มานี่จะมากไป ขนาดผมจะไปปลดทุกข์ทำธุระยังต้องบอก ผมเลยแกล้งเดินหายไปนาน ๆ ถ้ามีโอกาส

“ซุนเจียวซิน!!!” เขาแผดเสียงเรียกชื่อทันทีที่เห็นหน้าผม

“โอ๊ะ! ทำไมต้าอ๋องยังอยู่ที่ตำหนักล่ะครับ ต้องเตรียมตัวไปตำหนักพระสนมแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมแกล้งพูดเปลี่ยนเรื่องพร้อมเรียกขันทีนางกำนัลให้เข้ามาดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชายหนุ่ม

“อย่าทำให้ข้าโมโห”

“แล้วคิดว่าผมโมโหไม่เป็นหรือไง” ผมตอบกลับไป

เขาตอบโต้ด้วยการทรุดตัวลงกับที่เหมือนเดิม เมื่อเป็นอย่างนี้บรรดาผู้มีหน้าที่รับใช้ทั้งหลายจึงได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่กล้าขยับตัวด้วยกลัวว่าจะทำให้ต้าอ๋องพิโรธยิ่งกว่าเดิม

ผมโบกมือไล่ให้พวกเขาออกไปด้านนอก เดินตามไปปิดประตูและดึงม่านก่อนเดินกลับไปหาชายหนุ่มที่ตีสีหน้าบึ้งตึงทำท่างอนอีกแล้ว

ผมจะจับเข่าคุยเปิดอกอย่างลูกผู้ชายฉะนั้นจึงไปทรุดตัวลงนั่งด้านข้างพลางดันให้ตัวเขาหมุนตำแหน่งมาเผชิญหน้า

“คุณจะโมโหอะไรนักถ้าผมจะเดินไปดูโน่นดูนี่บ้าง”

แต่เขาไม่ตอบ

“กลัวว่าผมจะหนีไปจากคุณหรือไง” ซึ่งบอกได้ว่าเป็นการกลัวที่งี่เง่ามาก นั่นเพราะผมไม่รู้จักที่ไหนในดินแดนแคว้นนี้เลย แล้วจะให้ไปไหนได้อย่างไรแต่ผมยังสติดีอยู่เลยไม่ได้พูดบอกออกไป

เขาไม่ตอบเช่นเคยทว่าเหลือบสายตามองผมก่อนเบือนหน้าหนี กัดกรามแน่นและสีหน้าเคร่งเครียดลงที่บ่งบอกว่าคำตอบนี้ล่ะโป๊ะเชะ!

ผมไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกประมาณนี้ซะด้วยสิ พอดีว่าตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟน มีปิ๊งสาวบ้างแต่ผมยังป๊อดเกินกว่าจะเดินเข้าไปจีบและยังไม่ทันได้โตกลับโดนรถเฉี่ยวจนวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของคุณซุนเจียวซินเสียก่อน

“ผมจะไปไหนได้ ผมรักคุณนะ” ผมพูด ยอมรับว่าไม่ค่อยรู้สึกพิเศษกับคำนี้สักเท่าไหร่แต่เหมือนว่ามันเป็นคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์

“รักรึ” ต้าอ๋องหันหน้ากลับมาแค่นเสียงถาม “ข้ารู้สึกว่าพักนี้เจ้าพูดว่า ‘รัก’ ได้ง่ายดายเหลือเกินนะ”

ตายละหว่า!

“คุณไม่ชอบเหรอ ถ้าไม่ชอบผมไม่พูดก็ได้”

พอตอบไปแบบนั้นเขาจึงสะบัดหน้าหนี ผมเอื้อมมือไปจับเข่าของเขาไว้เพื่อให้ตรงกับความตั้งใจแต่คิดไปคิดมาเลื่อนไปจับมือดีกว่า

ต้าอ๋องไม่ได้ดึงมือหนีแบบที่ผมนึกกลัว

ผมเงียบไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงหัวข้อที่ต้องการพูดคุยกับเขา

“ผมรักคุณจริง ๆ ไปไหนไม่ได้หรอก” ประโยคแรกผมพูดแทนคุณซุนเจียวซิน ส่วนประโยคหลังคือความในใจ

“และผมก็คิดว่าถ้าเรารักกัน” แน่นอนว่า ‘เรา’ ในที่นี้ผมหมายถึงคุณซุนเจียวซินและเขา “ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเสียหน่อย ก็ตรงนี้” ผมจิ้มนิ้วมือบนหน้าอกของอีกฝ่าย “ผูกพันกันตลอดเวลาอยู่แล้วนี่นา”

ผมอุตส่าห์คิดบทพูดที่น่าประทับใจอย่างนี้ออกมาแล้ว หวังว่าเขาจะประทับใจด้วยนะ

เขาตอบรับด้วยการจับมือผมดึงไว้แนบอก ใบหน้าก้มต่ำของเขาเศร้าหมองลงเล็กน้อย

“ผมเชื่อคำพูดของคุณ เชื่อใจคุณและเชื่อในความรู้สึกที่คุณมีให้และเข้าใจเหตุผลของคุณดี ผมไม่เป็นไรหรอก” ในอกเจ็บแปลบวาบขึ้นมาราวกับประท้วงคำพูดที่บอกออกไป

ผมจึงได้แต่พูดในใจว่า ถ้าเขายังมั่นคง มันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอกน่า

กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาหลังจากนั้นกลายเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ถึงต้องทำงานด้วยกันแต่ไม่ให้ความรู้สึกสนิทสนมเหมือนเดิม พอเขาไม่ทำตัวติดกับผมทำเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ตัวผมก็ขยับถอยห่างออกมา

ถอยห่างตามตัวอักษรเลยแต่ไม่ได้ไปไหนไกลแค่เดินไปเดินมาอยู่ในวัง

กระทั่งวันหนึ่งตอนที่ผมนั่งอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในสวน มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เขาเรียกชื่อให้ผมเงยหน้าฉับพลันนึกได้ทันทีว่านั่นคือพี่ชายของคุณซุนเจียวซิน

เขายังสวมเกราะเนื้อตัวเลอะมอมแมมเล็กน้อย

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่”

“สบายดีครับ พี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” คำถามนั้นมันหลุดไปเอง ผมไม่รู้ว่าปกติเขาต้องอยู่ที่ไหนรู้สึกเพียงแค่การกลับมาของเขาคือเรื่องไม่ปกติ

“ทางชายแดนต้องนำข่าวมาแจ้ง พี่จึงขออาสากลับมาเพราะอยากมาเยี่ยมเจ้าด้วย” สีหน้าของเขาเป็นกังวลอยู่ชั่วครู่ก่อนยกยิ้มบาง “เจ้าสบายดี พี่กับท่านพ่อก็ดีใจ ประเดี๋ยวคงต้องไปเข้าเฝ้าต้าอ๋องเสียที”

“ผมไปด้วย” ผมเก็บม้วนไม้ไผ่รีบลุกขึ้นยืน ฝ่ายคนเป็นพี่ชายเขาไม่ได้ห้ามปรามคำใด เราสองคนจึงไปหาต้าอ๋องที่อยู่ในห้องทำงาน

ข่าวที่พี่ชายของคุณซุนเจียวซินนำมาแจ้งคือการเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นฉู่ ฝ่ายนั้นยกทัพเคลื่อนกำลังมายังทิศทางซึ่งตรงสูงแคว้นพานให้คาดเดาว่าน่าจะเข้าโจมตี

ต้าอ๋องจึงหน้าคล้ำเครียดยิ่งกว่าเดิม

“อาลักษณ์ซุนเขียนราชโองการแต่งทัพเพื่อเสริมกองกำลังที่ชายแดน ออกรบคราวนี้ข้าจะนำทัพเอง”

“ต้าอ๋อง!!!”

ไม่ใช่แค่ผมที่ส่งเสียงห้ามปรามแม้แต่พี่ชายของคุณซุนเจียวซินก็เช่นกัน

“เกล้ากระหม่อมกับท่านแม่ทัพปรึกษากันแล้วว่าต้องการขอแค่กำลังเสริมและต้องการทูลให้ต้าอ๋องระมัดระวังไว้ ไม่จำเป็นที่ต้าอ๋องต้องเสด็จไปแนวหน้าเองหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

แต่คนที่ถูกเรียกว่าต้าอ๋องไม่ยอมฟัง

“ข้าเป็นถึงต้าอ๋องผู้ปกครองแคว้นนี้จะนั่งรอให้เหล่าทหารมาคอยปกป้องอยู่ได้อย่างไร รองแม่ทัพซุนอย่าห้ามเลย ข้าเป็นผู้นำทัพเองเพราะหวังว่าเหล่าทหารจะได้มีกำลังใจ”

และแค่แป๊บเดียวข่าวคราวที่ต้าอ๋องจะออกรบก็แพร่สะพัดไปทั่ววัง เออ... ต้องแพร่สะพัดสิเพราะผมเขียนหนังสือไปแจ้งตั้งหลายหน่วย แต่กว่าจะรวบรวมกำลังพลจัดเตรียมอาวุธและเสบียง กว่าที่กองทัพจะได้ออกเดินทางก็อีกเจ็ดวันข้างหน้า แต่พี่ชายผมจะเดินทางกลับไปชายแดนก่อน วันที่คุณพี่ต้องเดินทางผมยังออกไปส่งเขาตามประสา

เขาบอกแค่ให้ผมดูแลตัวเองดี ๆ ผมก็บอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดีเหมือนกัน จากนั้นเขาจึงควบม้าจากไป พอเห็นแผ่นหลังของพี่ชายที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ กลับรู้สึกใจหาย ในอกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

ผมตรงกลับไปยังตำหนักของต้าอ๋อง พบว่าเขากลับมาจากตำหนักไทเฮาแล้วเหมือนกัน จึงดิ่งเข้าไปถามถึงเรื่องที่เขาไปคุยเพราะคิดว่าไทเฮาน่าจะห้ามปรามไม่ให้ออกรบ ที่ไหนได้ไทเฮากลับส่งเสริมและแค่อวยพรให้ได้ชัยชนะกลับมา

นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เอ่ยออกไปว่า “ผมไปด้วยนะครับ”

“ไปไหนรึ”

“ไปรบกับคุณไง”

“ไม่ได้!!!” เมื่อได้ยินความต้องการของผมเขากลับปฏิเสธทันควัน

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมเป็นผู้ชายนะ พี่ชายผมเป็นรองแม่ทัพ พ่อผมก็เป็นแม่ทัพ แฟนของผมก็กำลังจะออกรบ ทุกคนไปรบกันหมดผมจะไม่ออกไปรบด้วยได้ยังไง” อีกอย่างผมมั่นใจว่าน่าจะเอาตัวรอดได้เพราะผมลงเรียนรด. และจงใจพูดว่า ‘แฟน’ เผื่อเขาจะลังเลยอมตกลงโดยง่ายทว่าผมคิดผิด

“แล้วอย่างไร ถ้าข้าไม่อนุญาตเจ้าก็ไปไม่ได้”

“อะไรกัน ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่อนุญาตให้คุณไปเหมือนกัน”

“ซุนเจียวซินเจ้าควรรู้จักแยกแยะให้ดีไม่ใช่มาเอาแต่ใจไม่รู้กาลเทศะ”

อ้าว! โดนดุไปอี้ก

ผมยังโดนบ่นอีกยาวเหยียดจนสมองมึนชาจำไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรบ้าง จับใจความได้แต่ให้รออยู่ที่วังหลวงและดูแลงานทางนี้ให้ดี

โดนพูดกรอกใส่หูมาขนาดนั้น จนผมเริ่มสำนึกว่าสิ่งที่คิดมันคงคล้ายกับนางเอกไร้สมองในนิยาย แบบเกิดเหตุการณ์จะเป็นจะตายหรืออะไรที่รู้อยู่ว่าอันตรายแต่ยังดันทุรังพยายามทำให้ได้ อะไรทำนองนั้น ผมจึงเก็บเอาสิ่งที่เขาพูดมาคิดทบทวนกระนั้นระหว่างที่ทบทวนการกระทำความคิดของตัวเอง ผมก็แสดงออกว่าโกรธเขาไปด้วย

มันต้องแยกแยะกันนะระหว่างสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำเพราะผมโกรธที่เขาดุผม คือไม่ต้องดุมากก็ได้พูดบอกดี ๆ ผมก็ตั้งใจรับฟัง

การโกรธของผมแสดงออกด้วยการเมินเขานั่นแหละ ช่วงก่อนระหองระแหงกันอยู่ยังไม่คืนดีกันเลย พอมามีเรื่องนี้อีกผมจึงตัดสินใจกลับมานอนที่เตียงตัวเองและคราวนี้ต้าอ๋องไม่ยอมตามมานอนด้วย

ช่วงหัวค่ำมันเต็มไปด้วยทิฐิ ผมจึงบอกกับตัวเองว่า ‘ไม่ง้อก็ไม่ต้องง้อ ใครจะสนกัน’ แต่พอตกดึกเข้าหน่อยพานรู้สึกว่าหรือต้องทะเลาะกันอย่างนี้ไปตลอด อีกไม่กี่วันต้าอ๋องต้องไปชายแดนและไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนกว่าเขาจะกลับมา ถึงกระนั้นผมยังคงนอนอยู่ที่เดิม ร่างกายไม่ยอมลุกออกไปหาเขาอย่างที่หัวใจร่ำร้อง

บรรยากาศช่วงเช้าถัดมายังคงอึมครึมมึนตึงอยู่เช่นเคย

หลังประชุมเช้ากับพวกขุนนางเสร็จและไปกินข้าว เขากลับนั่งกินข้าวเงียบ ๆ ไม่อ้าปากพูดคุยอะไรสักแอะ ตอนนั้นจึงเป็นผมที่กระสับกระส่ายบ้าง เข้าใจส่วนหนึ่งว่าเขาอาจจะเครียดกังวลกับสงคราม กับเรื่องบ้านเมืองแต่ไม่เห็นจำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนี้นี่นา

หลังจากทนอึดอัดต่ออยู่อีกครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจคีบกับข้าวให้เขา

ต้าอ๋องแค่เหลือบตาขึ้นมองพร้อมกล่าวขอบคุณและลงมือกินข้าวต่อ ผมจึงเอาใหม่ด้วยการชวนเขาคุยก่อน

“วันนี้อากาศดี ไปนั่งเรือเล่นกันสักหน่อยไหมครับ”

“ไม่ดีกว่า ข้าว่าจะไปตรวจดูการเตรียมความพร้อมของกำลังพล อีกอย่างหากเหล่าทหารรู้ว่าหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ข้ายังมีแก่ใจไปล่องเรือเล่น ความเคารพยำเกรงจะลดลงได้”

อืม... ชวนคุยผิดเรื่องไปหน่อย เลยต้องม้วนเสื่อกลับมาสนใจถ้วยใส่ข้าวตรงหน้า จากนั้นผมเรียกลูกฮึดให้ใจฮึกเหิมอีกครั้งและติดตามเขาไปทำงาน

การตามเขาไปทำงานก็ไม่มีอะไรมาก ได้แค่เดินดูโน่นเดินดูนี่ตามก้นต้าอ๋องต้อย ๆ เขาไปดูว่าการตรวจเช็คอาวุธกับเตรียมเสบียงไปถึงไหนแล้ว ของพวกนั้นจะถูกตรวจนับก่อนบรรทุกใส่เกวียนเตรียมไว้ พอถึงวันเดินทางเขาจะหาม้ามาเทียมลากออกไป ระหว่างนี้จะมีคนไปเกณฑ์ชาวบ้านให้มาเป็นทหารร่วมรบสงคราม

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ในอกของผมก็สะท้านเยือก นึกเปรียบเทียบว่าชาวบ้านที่ว่านั้นเป็นพ่อ เป็นพี่ชายลูกชาย เป็นลุงหรืออา พวกเขาเคยแต่ใช้ชีวิตสงบสุขไม่เคยต้องถืออาวุธไปฆ่าฟันใคร มันจะน่ากลัวขนาดไหน ที่สำคัญไปสู้รบใช่ว่าจะไม่โดนอีกฝ่ายฆ่าตาย ไม่ใช่แค่ชาวบ้านแต่หมายรวมถึงคนที่มีอาชีพเป็นทหารด้วย

ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้อย่างจริงจังมาก่อนเพราะยุคสมัยที่ผมอยู่มันค่อนข้างสงบสุข ตอนที่ผมลงเรียนรด. ก็คิดแค่ว่าจะได้ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร พอระลึกได้ว่าเหตุการณ์นองเลือดกำลังจะบังเกิดขึ้น ในอกดันหวิว ๆ จะเป็นลมขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เป็นอะไรหรือไม่เจียวซิน สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย”

ผมโบกมือปฏิเสธยกยิ้มเจื่อนให้ต้าอ๋องและขอตัวไปหาที่นั่งพัก

แถวนั้นไม่มีเก้าอี้ให้นั่งอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ผมต้องเดินวนหาก่อนเจอพื้นซึ่งยื่นออกมาจากตัวอาคาร ลักษณะของมันเกิดจากการก่อสร้างฐานของอาคารกว้างกว่าตัวอาคาร ผมเดินห่างจากจุดที่แยกกับต้าอ๋องพอสมควรแต่อาการหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลมบรรเทาลงไปก่อนที่ผมจะได้เจอที่นั่งพักเสียอีก

บางทีอาการของผมอาจมีสาเหตุมาจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับก็เป็นได้ พอความคิดนั้นแว็บเข้ามาในหัวผมต้องรู้สึกตกใจ คือไม่ได้นอนกับต้าอ๋องแค่คืนเดียว ผมถึงขั้นนอนไม่หลับเลยเหรอนี่

แย่แล้ว! ไม่ใช่ว่าผมเสพติดการนอนกับเขาไปแล้วนะ และนี่เขากำลังจะไปรบ ผมจะนอนคนเดียวได้เหรอ ไม่ใช่สิ! ประเด็นสำคัญไปรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง!

“จังหวะดีที่สุดก็ตอนที่เหยียนจิ่นลี่อยู่ในสนามรบ”

อะเร๊ะ! อะไรหว่า

ผมชะงักหยุดทุกอาการโวยวายเวิ่นเว้อของตัวเองพลางหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง

“ให้เจ้าหาคนลอบยิงเขาช่วงที่กำลังชุลมุน และให้ใช้ยานี้เคลือบหัวธนู”

เฮ้ย!!!

ผมร้องโวยวายกับตัวเองในใจทว่าร่างกายแข็งทื่อไปแล้ว

เสียงพูดคุยค่อนข้างเบาก็จริงแต่ผมว่าตัวเองยังได้ยินทุกประโยคชัดเจน ไม่กล้าพยายามมองหาที่มาอีกเพราะกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีคนบังเอิญมาอยู่แถวนี้ มันจะปะเหมาะเคราะห์ดีไปไหมที่ให้ผมมาได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ที่นั่งมีตั้งเยอะแยะทำไมมาเลือกนั่งตรงนี้ ผมหมายถึงชานพื้นอาคารมันยื่นยาวเป็นแนวแต่ดันเลือกมานั่งตรงมุมให้ได้ยินเขาคุยกัน

เอ๊ะ! หรือนี่คือภารกิจที่สองของผม

คิดได้ดังนั้นเมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวห่างออกไป จึงขยับร่างแอบยื่นศีรษะออกไปชะโงกดูแต่ตอนนั้นเห็นเพียงแผ่นหลัง คนหนึ่งสวมชุดขุนนาง ส่วนอีกคนสวมชุดทหาร เห็นชุดที่พวกเขาสวมใส่ยิ่งพานให้นึกโมโห อะไรกัน! ถ้าไม่ชอบต้าอ๋องก็ลาออกไปก็ได้นี่หว่า วางแผนตั้งใจฆ่าแกงแบบนี้มันชั่วร้ายเลวทรามมาก น่าเสียดายที่ผมไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร จะได้นำไปฟ้องต้าอ๋องให้จับมาลงโทษแต่ผมไม่ได้ตามสองคนนั้นออกไปหรอกนะ ผมยังสติดีอยู่ ถ้าตามไปดูเผลอ ๆ จะโดนเชือดทิ้งก่อนจะได้นำเรื่องนี้ไปฟ้อง

เรื่องที่ได้ฟังทำให้อาการวิงเวียนศีรษะหายไปฉับพลัน ผมลุกขึ้นเดินกลับไปหาต้าอ๋อง เมื่อเจอตัวก็ตรงเข้าไปคว้าข้อมือเขาทันทีทว่าเขากลับสะบัดมือผมทิ้งทันทีเหมือนกัน

“อาลักษณ์ซุน ข้าเป็นต้าอ๋อง”

ป๊าด!!! ความสนิทสนมทำพิษ

ผมจึงรีบประสานมือค้อมศีรษะขออภัยและเดินตามเขาด้วยท่าทางสงบเรียบร้อย

ถึงต้าอ๋องจะชอบคุณซุนเจียวซินแบบลึกซึ้งแต่เท่าที่ผมสังเกตมาเหมือนว่าเขาทั้งสองคนมีข้อตกลงกันอยู่ซึ่งเป็นข้อตกลงที่พวกเขาคุยกันไว้ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาอยู่ในร่างนี้

ถ้าอยู่ข้างนอกที่สาธารณะไม่ใช่ในตัวตำหนักของต้าอ๋อง พวกเขาจะพูดคุยกันแบบต้าอ๋องกับขุนนาง ทั้งกิริยาท่าทางก็สนิทแบบห่างเหิน ดูเหมือนขุนนางที่รู้ใจแบบปกติไม่มีการแตะตัวเกินจำเป็น

เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงเป็นความผิดของผมเต็ม ๆ

ผมเดินตามเขาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมแบบกังวลไปจนกระทั่งเขายอมเดินกลับเข้าตำหนัก จึงได้ฤกษ์คุยธุระก่อนที่อกจะระเบิด

กำลังจะอ้าปากพูดพลันฉุกคิดได้เสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะมีสายลับของฝ่ายตรงข้ามคอยจับตาดูต้าอ๋องอยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ จับมือเขาไว้พลางลดเสียงไม่ให้ดังเกินไป

“มีคนคุยกันว่าจะลอบฆ่าคุณตอนที่คุณอยู่ในสนามรบ พวกเขาจะยิงด้วยธนูอาบยาพิษ”

แววตาของเขาแสดงความตระหนกออกมาชั่วแวบหนึ่งก่อนกลับมาราบเรียบปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้า

“ขอบใจที่เจ้านำมาบอก แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

ผมจึงเล่าเหตุการณ์ที่พบก่อนเดินกลับไปสมทบกับเขาให้ฟัง

“ให้ผมไปด้วยไม่ได้เหรอ พอรู้อย่างนี้แล้วผมกังวลอย่างไรไม่รู้”

“แต่ถ้าเจ้าไปด้วยข้าจะพะวงกับความปลอดภัยของเจ้ามากกว่าการดูแลปกป้องตัวเอง”

“อยู่รอฟังข่าวอย่างเดียว ผมกลัวตัวเองจะคิดมาก อีกอย่างถ้าไม่ได้นอนกับคุณผมคงนอนไม่หลับ” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วละนะ ขอเอาเรื่องที่นอนไม่หลับเมื่อคืนมาอ้อนหน่อยเหอะ

ใจหนึ่งผมยังกลัวถ้าต้องไปเห็นสงครามแบบที่เขารบราฆ่าฟันกันแต่อีกใจเพราะห่วงผู้ชายตรงหน้า ไหนจะลางสังหรณ์ตอนที่พี่ชายเดินทางกลับไปชายแดนเมื่อวันก่อนอีก ถ้าเขาไม่อยู่ผมคงกังวลจนนอนหลับไม่ลงแน่

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เขาตบหลังมือของผมเป็นการปลอบ

“เอาแบบนี้ไม่ได้เหรอ ผมแค่ตามไปด้วยแต่รับปากจะไม่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้คุณเด็ดขาด คุณให้รออยู่ที่ตรงไหน ผมจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่กระดุกกระดิกไปไหนเลย”

ต้าอ๋องยกยิ้มกระนั้นยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธอยู่ดี

“คุณจะไม่คิดถึงผมเหรอ” ผมถามพยายามบีบเสียงตัวเองให้ดูออดอ้อนขึ้นอีกพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ แบบที่คิดว่าคงดูน่าสงสารพร้อมกล่าวเสริม

“แต่ผมคงคิดถึงคุณมากแน่เลย”

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองใบหน้าของผม แนบหน้าผากลงมาปลายจมูกของเราสัมผัสกันก่อนที่เขาจะเบี่ยงหน้าเล็กน้อยเพื่อแนบริมฝีปาก

จูบของเขาเพียงแค่แตะปากแผ่วผิว

“ข้าก็คงคิดถึงเจ้า แต่ถ้าต้องเห็นเจ้าลำบากหรือตกอยู่ในอันตรายข้าคงปวดใจมากกว่า”

“แล้วคุณไม่คิดถึงใจผมบ้าง ผมไม่ได้แช่งนะแต่อยู่ห่างกันขนาดนั้นคุณเจ็บป่วยไม่สบายยังไงผมก็ไม่มีทางรู้ได้เลย ผมอยากดูแลคุณก็ทำไม่ได้ จิ่นลี่ให้ผมไปเถอะ ให้ผมไปด้วยอย่าทิ้งผมไว้ทางนี้คนเดียวเลย”

ณ ตอนนั้นอินเนอร์ผมแรงมากถึงขั้นสั่งน้ำตาให้ร่วงเผาะและไหลออกมาเป็นทาง

ส่วนต้าอ๋องก็ดึงผมเข้าไปกอดปลอบ จูบซับน้ำตาให้ไปพลาง บรรยากาศมันเศร้าหมองแต่กลับแฝงความอบอุ่น เขาลูบหลังปลอบบ้าง แตะจูบบนหน้าตาผมบ้าง

ถึงจะรู้ตัวว่าร้องไห้เกินเบอร์ไปเยอะแต่เมื่อเขายิ่งลูบหลังยิ่งกอดปลอบ มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งไม่สามารถหยุดน้ำตาไว้ได้ ผมจับยึดชายเสื้อเขาไว้ ซบหน้าลงบนแผงอกกว้างจำใจปล่อยให้น้ำตาไหลไปจนกว่ามันจะยอมหยุดลงเอง

คืนนั้นผมกลับไปนอนกับเขา เราไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้เมื่อตอนบ่ายแต่ผมตัดสินใจแน่แล้ว ถึงเขาไม่อนุญาตผมก็จะตามไป ผมอาจทำเหมือนนางเอกโง่ ๆ ที่พาตัวเองเข้าไปสู่อันตรายและต้องรอให้พระเอกมาช่วย

แต่สิ่งที่ไม่ควรลืมคือผมเป็นผู้ชาย ผมได้เรียนรด. ผมเป็นนักศึกษาวิชาทหารผู้เป็นกำลังสำรองของกองทัพไทย ทอทหารอดทนแข็งแรงและเข้มแข็ง ผมสามารถปกป้องตัวเองและคนที่ผมรักได้ ที่กล่าวมาไม่ใช่ต้องการปลุกขวัญและกำลังใจของตนเอง แต่ผมเป็นผู้ชาย ผมสามารถสมัครเข้าไปเป็นทหารในกองทัพได้ แล้วผมต้องรอคำอนุญาตจากต้าอ๋องทำไมกันเล่า!!!

อ้อ... ร่างกายของคุณซุนเจียวซินก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน!!!

อารมณ์สาวน้อยจงสลายไปเสีย เพี้ยง!!!



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบบบบบบบบ   :mew1: :mew1: :mew1:
สนุกมากกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มาต่อไวๆนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 5 ผมกับสงคราม


หลังจากวันนั้นผมไม่ได้คุยกับต้าอ๋องเรื่องขอติดตามกองทัพไปด้วยอีกเลย ไม่กระโตกกระตากแพร่งพรายแผนการใด ๆ ของตนทั้งสิ้น ใช้ชีวิตอยู่กับเขาแบบที่รู้ว่าอีกสองวันแฟนจะจากไปรบนั่นล่ะ

ถึงกำหนดวันเคลื่อนทัพ ผมขอยืนส่งเขาแค่ที่ตำหนักโดยไม่ได้พูดบอกเหตุผล ทำเงียบเพียงส่งยิ้มให้ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเพราะถ้าออกไปยืนส่งที่ลานด้านหน้าวังหลวง ผมกลัวว่าจะกลับมาแปลงตัวเป็นพลทหารไม่ทัน

“รักษาตัวดี ๆ นะครับ อย่าลืมนะว่ามีคนรอคุณอยู่” ผมปั้นหน้าเศร้าปนให้กำลังใจซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากเนื่องจากรู้ตัวว่าจะแอบเกาะติดไปด้วย

“เจ้าก็เช่นกัน ข้ารักเจ้า... เจียวซิน”

เขายืนมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนตัดใจหมุนตัวก้าวเท้าเดินจากไป ผมยืนรอให้แผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา จากนั้นจึงรีบหันหลังกลับเข้าไปเปลี่ยนชุด หยิบข้าวของที่จัดเตรียมไว้และวิ่งสี่คูณร้อยออกไปสมทบกับกำลังพลทั้งหมดที่รวมตัวอยู่หน้าประตูวัง

ชาวบ้านทั่วไปหลังโดนเกณฑ์ให้เข้าร่วมกองทัพจะได้รับแจกชุดยูนิฟอร์มเครื่องแบบลำดับชั้นพลทหารเดินเท้า ผมจึงไปขอซื้อต่อมาคนละชุด

ที่ลานรวมตัวมีทหารระดับล่างคอยตรวจสอบรายชื่อชาวบ้านที่ตอนนี้ถูกแปลงสภาพเป็นทหาร เขาถามชื่อและผมก็บอกชื่อจริงของตัวเองไป ชื่อที่เป็นภาษาไทยนั่นแหละ พอเขาทวนชื่อซ้ำมันเลยเพี้ยงเปลี่ยนเป็นชื่ออื่น ผมพยักพเยิดอือออรับคำ เขาเอะใจทักที่ชื่อผมไม่มีอยู่ในเอกสารแต่ผมให้เหตุผลว่าอาสามาเองเพราะอยากร่วมรบเพื่อปกป้องแคว้น เขาจึงพยักหน้ารับ

ก่อนที่กองทัพออกเดินทาง ต้าอ๋องพูดปลุกใจอีกเล็กน้อย ผมไม่ได้ยินหรอกว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง สมัยนี้ไม่มีเครื่องขยายเสียงนี่นา พอเขาเฮ ผมก็เฮ จากนั้นพวกที่อยู่บนหลังม้าจึงได้ออกเดินทางก่อน ส่วนผมต้องเดินตามไปซึ่งเมื่อเดินไปสักพักผมถึงได้เริ่มรู้สึกตัวว่าคิดผิด!!!

ชื่อตำแหน่งบอกชัดเจนว่าพลทหารเดินเท้า ผมจึงต้องเดินตั้งแต่เช้าจรดเย็น ร่างกายของคุณซุนเจียวซินออกอาการตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่ด้วยความที่ผมเคยเดินทางไกลสมัยเรียนลูกเสือ ผมเลยพยายามอดทนเดินตามเขาไป

พอเย็นมืดหยุดเดินผมแทบอยากทรุดตัวลงไปกองกับพื้นแต่ยังทำไม่ได้เพราะต้องช่วยกันกางกระโจมค้างแรมชั่วคราวก่อน และมันไม่ใช่อย่างเต็นท์เดินป่าในปัจจุบันที่เอาแกนเหล็กสอดเข้าไปก็ใช้ได้ ต้องขุดปักเสาแล้วค่อยขึงผ้า ผมจึงโดนใช้แรงงานให้ไปขุดเสาอีก ดีนะที่เสามันต้นเล็กถ้าต้นใหญ่แบบเสาเอกปลูกบ้านคงตายก่อน

ถึงเวลาได้พัก ผมดูเท้าตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกและรู้สึกว่าระบมอยู่ไม่น้อย ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วงมีหน่วยเสบียงคอยทำให้ แต่อย่างว่าผมอยู่กับต้าอ๋องได้กินฟลูคอร์สทุกวัน เมื่อแปลงร่างเป็นพลทหาร มีแค่ข้าวกับเนื้อให้นิดหน่อยพอกล้อมแกล้ม เรื่องอาบน้ำไม่ต้องไปถามถึง ส่วนที่หลับที่นอนรวมกับคนอื่นซึ่งส่งเสียงกรนกันสนั่นยิ่งกว่าเรือหางยาว แต่ดีไปอย่างที่ผมทั้งเหนื่อยและล้า ตกดึกจึงหลับไปแบบไม่รู้ตัว

แค่วันแรกผมก็นึกก่นด่าตัวเองที่ตามมาลำบากทรมานร่างกายตั้งหลายรอบ

ตกเย็นวันที่สองผมจึงพยายามพาตัวเองไปหาต้าอ๋อง ยอมโดนเรียกว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเลยนาทีนี้ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองป้อแป้กว่าที่ควรเป็นมาก

ถึงจะหยุดพักแค่คืนเดียวแต่ที่ค้างแรมของต้าอ๋องยังต้องตั้งกระโจมใหญ่โตทำให้ตามหาได้ไม่ยาก แต่ที่ยากคือการผ่านทหารยามเข้าไป มีการกันเขตพื้นที่หวงห้ามไม่ให้พลทหารระดับล่างผ่านเข้าออกอย่างชัดเจน

“สวัสดีครับ ผมขอพบต้าอ๋องหน่อย”

ก่อนเข้าไปถามผมยังคิดอยู่ว่าจะโดนไล่หรือเปล่านะและก็จริงดังที่คาด ทหารยามที่ยืนเฝ้าโบกมือไล่โดยไม่ถามธุระปะปังเลยด้วยซ้ำ ผมยังเตร็ดเตร่ยืนรออยู่แถวนั้น หวังว่าจะเจอใครสักคนที่ตัวเองพอจะรู้จักหรือใครสักคนที่พอจะรู้จักหน้าตาคุณซุนเจียวซินกระนั้นทหารยามคงรำคาญสายตา ถึงได้ส่งเสียงไล่ผมอีกรอบ คราวนี้ทำท่าจะยกด้ามทวนขึ้นมาฟาดผมด้วย เห็นเช่นนั้นจึงต้องรีบถอย จ้องหน้าทั้งสองคนอีกครู่ก่อนหมุนตัวหันหลัง

อย่าให้ผมเจอต้าอ๋องเชียวจะฟ้องให้เข็ด

“เกิดเรื่องใดรึ” เสียงที่ได้ยินทำให้ผมขนลุกซู่

จังหวะดีเกินไปอีกแล้ว!!!

ผมกู่ร้องในใจพลางรีบก้าวเท้าหาที่ซ่อน ได้ยินทหารสองคนรายงานเรื่องผมแว่ว ๆ พอถึงกระโจมด้านหน้าจึงรีบเลี้ยวแอบเข้าไป จากนั้นจึงค่อยชะโงกศีรษะออกมาดู

เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของผู้ชายที่วางแผนจะฆ่าต้าอ๋อง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะติดตามกองทัพมาด้วย ฝ่ายนั้นน่าจะเป็นขุนนางบุ๋นนี่นา เดาจากชุดที่เขาสวมเมื่อครั้งก่อน

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นความคิดที่จะไปหาต้าอ๋องเพื่อลดความลำบากในการเดินทางกับกองทัพพลันหายไปในพริบตา เป้าหมายของผมที่อุตส่าห์ตามมาลำบากลำบนเพราะต้องการมาช่วยต้าอ๋องให้พ้นจากการปองร้ายตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา ดังนั้นผมจึงค่อย ๆ ย่องตามผู้ชายคนนั้นไป

แต่นั่นแหละถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างการปอกกล้วยเข้าปาก ผมคงไม่ได้ย้อนเวลามารับภารกิจสุดโหดอย่างนี้ (ผมคิดว่าการช่วยเหลือไม่ให้ต้าอ๋องถูกสังหารเป็นภารกิจสุดโหด น้อยที่สุดมันก็ยากกว่าการทำให้ต้าอ๋องไปตำหนักพระสนมนั่นแหละ)

ผมคลาดกับผู้ชายคนนั้น

ด้วยความที่ผมดูหนังและละครมาอย่างโชกโชนโดยเฉพาะละครไทย กรณีเหตุการณ์ร้าย ๆ อย่างนี้ ตัวเอกที่กำลังติดตามผู้ร้ายไปติด ๆ มักจะพลาดท่าโดนจับได้และกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้พระเอกมาช่วยเหลือ (ผมไม่อยากใช้คำว่านางเอกเพราะว่าผมเป็นผู้ชาย) ผมต้องไม่ประมาทจนทำให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนั้น จึงตามหลังไปห่าง ๆ ...ห่างจนทำให้อีกฝ่ายเลี้ยวแว็บพ้นกระโจมพักแรมหลังหนึ่งและหายไปเลย ซ้ำร้ายยังไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัด เท่ากับตามหาได้ยาก ผมจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักและหาทางอื่น

คืนนั้นผมหลับลงอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อนอีกเช่นเคย เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนกองทัพถึงเดินทางเคลื่อนที่ต่อ

พลทหารทุกคนเดินเรียงกันเป็นแถวแม้จะไม่ได้เป็นระเบียบถึงขั้นก้าวเท้าพร้อมกันแต่ดูเรียบร้อยสมัครสมานกันดี หน้าขบวนสุดรู้สึกว่าจะเป็นทหารม้า ด้านข้างมีทหารบนหลังม้าขนาบอยู่เช่นกัน ระหว่างที่เดินผมปล่อยสมองให้คิดโน่นคิดนี่ไปด้วยกระนั้นประเด็นหลักยังคงเป็นเรื่องของต้าอ๋อง

ผมทบทวนประโยคคำพูดที่แอบได้ยินมา พวกนั้นบอกว่าจะลอบยิงต้าอ๋องและจะทายาพิษที่ลูกธนู พูดถึงอาวุธที่ใช้เพราะฉะนั้นย่อมต้องเป็นทหารที่ใช้ธนูได้สินะ แต่นั่นแหละจะลอบสังหารต้าอ๋องคงไม่มีทางใช้พลทหารฝีมือกาก ๆ อยู่แล้วล่ะ เพราะถ้าพลาดโดนจับได้ ฝ่ายนั้นย่อมต้องเป็นฝั่งที่สังเวยชีวิตแทน

ถ้าหาคนสั่งยากเกินไปคงต้องเปลี่ยนมาหาคนลงมือ

คิดได้ดังนั้นผมจึงกวาดสายตาสำรวจรอบตัวแต่อย่างว่าในหมู่พลทหารซึ่งเดินเรียงแถวกันเป็นพืดอยู่นี้ควรจะมีเบาะแสอะไรด้วยหรือไงนะ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ” คำถามนั้นทำให้ผมหันไปหาที่มาของเสียงพูด เขาเป็นชายหนุ่มซึ่งสูงกว่าผมในระดับที่ต้องเงยหน้ามอง

“ข้าว่าจะทักตั้งแต่วันแรกที่เห็นเจ้าแล้ว อย่างเจ้านี่ไม่น่าจะมาเป็นทหารได้เลยนะ”

ผมอึ้งไปแป๊บหนึ่ง แบบว่ารูปร่างหน้าตาอย่างคุณซุนเจียวซินมันดูแปลกแยกขนาดนั้นเลยเหรอวะ และไม่รู้ว่าตกลงแล้วผมทำหน้าตาแบบไหนออกไป เขาจึงส่งเสียงหัวเราะมาให้แทน

“เจ้าเคยจับดาบหรือไม่ ขอโทษนะแต่รูปร่างอย่างเจ้ามีแรงจับดาบด้วยรึ”

“ก็ได้อยู่นะ” ผมตอบกลับไปกลาง ๆ ก็เคยจับดาบมาแม้จะประมือกับต้าอ๋องได้แค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ

“เจ้าชื่ออะไร ข้าเฉินฟู่”

“เรียกผมว่าเสี่ยววุนก็ได้”

“เสี่ยววุน? ชื่อเจ้าตลกชะมัด” เขาพูด “เจ้ายังไม่ได้ตอบเลยตกลงกำลังมองหาสิ่งใด”

“มองไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษและกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อไหร่จะถึงชายแดน”

“เย็นนี้แหละแต่ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงอาจต้องฉะกับทัพฉู่เลยก็ได้”

“คุณดูกระตือรือร้นจังเลยนะ”

“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือสงครามมักสร้างวีรบุรุษ”

ผมพยายามฟรีซสีหน้าตัวเองให้ปกติธรรมดา ไม่กลอกตา ไม่เบะปากพลางพยักหน้ารับ

ผมเกิดในยุคบ้านเมืองสงบสุข ไม่เคยเจอกับสงครามแต่ก็ไม่ชื่นชอบการตีรันฟันแทงกับใครเขาหรอกนะ ประมาณว่า ‘ผู้มีปัญญาล้วนไม่ตัดสินด้วยกำลัง’ อะไรทำนองนั้น ฟังดูดีเนอะ ความจริงแค่กลัวแพ้ซ้ำร้ายยังเจ็บตัวอีกเท่านั้นแหละดังนั้นจึงไม่อินกับแนวคิดของอีกฝ่าย

การมีเฉินฟู่เป็นเพื่อนคุยระหว่างเดินเท้านับว่ามีข้อดีอยู่บ้างเพราะเหมือนทำให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทั้งวันลดน้อยลง พอตะวันคล้อยต่ำผมก็เริ่มมองเห็นกำแพงเมือง

“นั่น... เดินอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงแล้ว”

ถึงเสียที!!! ผมอยากตะโกนกู่ร้องออกมาดัง ๆ ขาของผมปวดจนชา ชาจนปวดอีกรอบแล้ว ที่ยังเดินไหวเพราะความพยายามกัดฟันอดทนล้วน ๆ

กองทหารที่เพิ่งมาถึงไม่ได้ถูกเกณฑ์ให้เข้าไปในเมือง แต่ผมมองสำรวจโดยรอบไม่เห็นที่ตั้งกระโจมที่พักของต้าอ๋อง คาดว่าเขาคงเข้าไปพักอยู่ในเมืองแล้วละมั้ง

หาที่นั่งพักได้ก็ถอดรองเท้าเพื่อนวดเท้านวดขา รู้สึกการแอบเข้ามาอยู่ในกองทัพครั้งนี้ไร้สาระชะมัด ต้องเดินเหนื่อยทั้งวัน สืบหาเบาะแสอะไรก็ไม่ได้ แล้วถ้าผมทำภารกิจไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นวะ คิดแล้วได้แต่ถอนหายใจ

“ท้อแล้วรึ”

ผมเงยหน้ามองเฉินฟู่ที่กำลังเดินเข้ามาหาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่สวมรองเท้าไว้เหมือนเดิม

เขานิ่งเงียบราวกับรอให้ผมตอบ

“ก็มีบ้าง” แต่คำตอบของผมหมายถึงเรื่องของต้าอ๋องกระนั้นเขากลับไม่ได้พูดอะไรเพื่อต่อบทสนทนาทำเพียงนั่งอยู่ข้างผมแบบนั้น ตอนแรกก็แปลกใจแต่พอเห็นสายตาของเขาทอดมองท้องฟ้าแล้วจึงไม่อยากรบกวน

วันถัดมาพวกพลทหารถูกปลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อฝึกการต่อสู้ ตอนนี้สนามรบยังเงียบเชียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางทัพฉู่ พวกทหารระดับสูงจึงหันมาเคี่ยวเข็ญชาวบ้านให้สามารถใช้อาวุธเพื่ออย่างน้อยที่สุดจะได้ไม่ต้องวิ่งไปรับดาบของศัตรูเปล่า ๆ ปลี้ ๆ

ส่วนทางเฉินฟู่นั้นสมกับที่ตั้งใจจะเป็นวีรบุรุษจากสงคราม ท่วงท่าการจับดาบต่อสู้ของเขาราวกับมืออาชีพ พวกนายกองเห็นหน่วยก้านดีจึงโดนเลือกให้สังกัดอีกหน่วยคล้ายกับหน่วยพิเศษ นอกจากโดนจับแยกฝึก ยังได้เปลี่ยนที่นอนใหม่ด้วย

ผมถึงปิ๊งไอเดียใหม่หวังให้เฉินฟู่เป็นผู้ช่วยทำภารกิจ

ตกเย็นได้เวลาพักหลังการฝึกซ้อมจึงไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวกระโจมที่พักแห่งใหม่ของเฉินฟู่ แต่ที่นั่นเข้าง่ายไม่เหมือนที่ประทับของต้าอ๋อง เมื่อผมเดินไปแถวนั้นหลายคนที่พอจำหน้าผมได้ ส่งเสียงทักขึ้นทันที

“มาหาเฉินฟู่หรือ” แล้วอีกฝ่ายก็ชี้ไม้ชี้มือบอกตำแหน่งคนที่ผมต้องการพบ ครั้นเห็นตัว ผมรีบปรี่เข้าไปหาคว้าข้อมือดึงเขาไปอีกทางพลางลากไปยังที่ลับตาผู้คน

“เจ้าจะพาข้าไปไหนเนี่ย อย่าบอกนะว่าไม่พอใจที่ข้าได้เลื่อนขั้น”

“อย่างคุณยังไม่เรียกว่าเลื่อนขั้นหรอก” ผมตวัดเสียงพูดตอบ “แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยเท่านั้นแหละ”

“แล้วไยต้องพามาที่ลับตาด้วยเล่า”

“ก็เรื่องที่ผมต้องการคุยด้วยมันเป็นความลับ”

สีหน้าของเฉินฟู่จึงแสดงความสนใจออกมาทันควันแต่ก่อนจะได้อ้าปากพูด ความรู้สึกลังเลกลับแว็บขึ้นมาให้ฉุกคิดทบทวนอีกรอบ

ถ้าเฉินฟู่เกิดเป็นคนของฝ่ายนั้นล่ะ

“ตกลงเจ้าจะคุยอะไรกับข้าเนี่ย” เขาถามกระตุ้น ผมจึงต้องระงับความคิดระแวงที่เกิดขึ้นไว้ก่อนเพราะถึงอย่างไรผมก็ไม่มีหนทางให้เลือกมากนัก

“อยากทำผลงานใหญ่ไหม ยิ่งกว่าวีรบุรุษสงครามอีก”

“ยิ่งกว่าวีรบุรุษสงคราม?”

“ใช่ ยิ่งกว่าวีรบุรุษสงคราม” ผมพูดย้ำ

“ลองว่ามาสิ”

“ปกป้องต้าอ๋อง”

เฉินฟู่จ้องหน้าผมนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา “ถ้าต้าอ๋องริจะเป็นแม่ทัพออกรบแต่ไม่มีปัญญาป้องกันชีวิตตัวเอง ก็ให้ต้าอ๋องพรรค์นั้นตายเพราะคมดาบศัตรูไปเถอะ”

ผมสบถคำหยาบกับตัวเองในใจ แต่คำสบถของผมออกแนวทึ่งและชื่นชมเสียมากกว่า จากนั้นจึงรีบอธิบายเพื่อไม่ให้เขาเข้าใจต้าอ๋องของผมผิด

“ต้าอ๋องไม่อ่อนถึงกับโดนทัพฝั่งตรงข้ามจัดการง่าย ๆ หรอก ที่ผมต้องการคือให้คุณปกป้องต้าอ๋องจากพวกลอบกัดต่างหาก”

“ที่เจ้าต้องการ? ไม่ยักรู้ว่าเจ้าสนิทกับต้าอ๋องถึงขนาดนั้น ซ้ำร้ายยังรู้เรื่องดี ๆ อีกด้วย”

เฉินฟู่กอดอกยกยิ้มมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์รู้ทัน

เว้ย! ตกลงไม่ใช่ชาวบ้านสมองมีแต่กล้ามธรรมดาเหรอวะเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นวิญญาณสายลับหรือตำรวจฝีมือดีข้ามเวลามาน่ะ

ผมเบือนหน้าหนีสายตาของอีกฝ่ายขณะชั่งใจ หลังทบทวนตัดสินใจได้จึงหันกลับไปหา

“ผมบังเอิญได้ยินว่ามีคนจะลอบสังหารต้าอ๋องช่วงที่ต้าอ๋องชุลมุนอยู่กับรบทัพจับศึก ทีแรกก็จะเก็บไว้หาทางสร้างผลงานให้ตัวเอง แต่คิดไปคิดมาแค่ผมคนเดียวคงไม่ไหว เลยอยากได้คุณมาร่วมมือ” ถ้าแถไปแบบนี้ดูสิยังจะจับได้ไหม

“อ้อ... ต่อให้เป็นข้าที่ช่วยต้าอ๋องได้ เจ้าย่อมจะได้ความชอบในฐานะคนร่วมมือ” อีกฝ่ายเหมือนจะพึมพำกับตัวเองแต่เสียงกลับชัดเจนให้ผมได้ยินด้วย ก่อนหันมาพูดกับผม “ไม่คิดว่าข้าจะขโมยผลงานทั้งหมดหรืออย่างไร”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมคงได้แต่ทำใจ” ผมแกล้งพูด

“ได้! ข้าร่วมมือแต่ต้องถามเจ้าเพิ่มเติม ตกลงว่าเป็นใครที่คิดลอบสังหารต้าอ๋อง”

ผมบอกออกไปเท่าที่รู้ซึ่งมันแทบไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร อย่างว่าละนะ ไม่เคยเห็นหน้าไม่มีทางรู้อยู่แล้วละกระนั้นเฉินฟู่ยังคงพยักหน้ารับไม่ได้พูดต่อว่าอะไรด้วยท่าทางแบบหาทางจัดการเรื่องนี้ได้แน่นอน

พวกเราแยกย้ายกันหลังจากนั้นและไม่ได้เจอกันอีก สองสามวันต่อมาพลทหารที่ถูกเกณฑ์มาเฉพาะกิจก็ถูกสั่งให้รวมตัวตั้งแถว ตามมาด้วยคำสั่งที่ให้สวนสนามออกไปยืนตั้งทัพอยู่นอกกำแพงเมือง มีคนถือธงประจำอยู่หัวแถว แต่หน้าของหน้าแถวสุดเป็นอะไรไม่รู้ ...รู้แต่เบื้องหน้าห่างออกไปคือกองทัพของอริศัตรู

ถึงเวลาแล้ว!!! ผมร้องโหยหวนอยู่ในใจแต่ด้วยอารมณ์ตระหนกหวั่นกลัว คร่ำครวญว่าใครมันวางแผนรบแบบนี้ กำแพงเมืองอยู่ข้างหลังก็คอยยึดมั่นรักษาป้อมสิเว้ย!!! จะปล่อยให้ทหารตัวเล็ก ๆ ออกมาถูกฆ่าทำไม!!!

ทว่าระหว่างที่ผมกำลังร่ำร้องอาลัยให้กับชีวิตตัวเอง ประตูเมืองได้ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมร่างในชุดเกราะห้าคนควบม้าตรงออกมา ผ่านช่องว่างระหว่างกองทหารไปหยุดอยู่หน้าแถว

แสงแดดกลางวันจัดจ้าแต่รู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่นสะท้าน หัวใจหดตัวบีบเกร็ง ผมว่าปอดตัวเองก็หดตัวเพราะความกลัวเหมือนกัน รู้สึกหายใจไม่ค่อยเต็มปอดอย่างไรก็ไม่รู้

ระยะเวลาที่ยืนอยู่ในแถวยาวนานราวชั่วกัลป์ พอ ๆ ความหวิวโหวงในอกที่คล้ายจะเป็นลมทุกขณะทว่าน่าแปลกที่ผมยังยืนอยู่ได้ไม่ล้มลงไปเสียที

ผมอยากได้ข้ออ้างกลับเข้าไปในเมือง!!! เป็นลมสักทีเถอะ!!!

รอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่ได้สนใจ จังหวะนั้นเองเสียงกลองศึกประสานกับเสียงโห่ร้องพลันดังกึกก้อง ทัพแถวหน้าวิ่งพุ่งตัวออกไป

กองทัพแต่ละส่วนจะมีธงประจำกองของตัวเองคอยกำหนดบังคับการเคลื่อนไหว ธงยังไม่เดินหน้าก็ยังไปไม่ได้ ถ้าธงถอยต้องถอยตามธงแต่จะเหลืออยู่สักกี่คนต้องวัดดวงเอาเอง

และแล้วก็ถึงตากองพันของผม คนที่อยู่ด้านหน้าวิ่งกรูออกไปด้วยความฮึกเหิม โคตรของความแน่ใจว่าฮึกเหิมชัวร์กระตือรือร้นเสียขนาดนั้นพานให้ผมต้องวิ่งตามไปด้วย

เมื่อถึงจุดปะทะ ทุกที่มีแต่ความสับสนอลหม่าน เห็นพวกที่ไม่ได้สวมชุดแบบเดียวกันต้องยกดาบขึ้นฟันมันเสียก่อน เลือดสาดกระเซ็นโดนตัวทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนต้องเสถอยเพราะโดนชนกระแทกกระนั้นกลับถลาเข้าไปให้หาดาบที่เงื้อรออยู่พอดี ผมยกดาบในมือขึ้นกันพลางยกเท้าถีบให้อีกฝ่ายถอยห่าง พลันหางตาเหลือบเห็นอีกคนพุ่งเข้ามาด้วยแรงอาฆาต ผมเบี่ยงตัวหลบ กระแทกร่างที่เข้ามาใกล้ด้วยสันดาบ จากนั้นหันไปเหวี่ยงคมใส่อีกคนที่เข้ามาในระยะเอื้อมถึง

สรรพเสียงอื้ออึงราวกับตัดการรับรู้ ผมได้แต่พยายามเอาตัวรอด รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นรัวแต่กลับไม่สามารถหยุดพักคลายความเหน็ดเหนื่อย สายลมนิ่งสนิทจนรอบตัวมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

สมองวาบฉุกคิดถึงต้าอ๋องขึ้นมา

ผมสบถก่นด่าที่มัวแต่บ้าระห่ำจนลืมนึกไปเลยว่าที่ตามมาเสี่ยงตายเพื่ออะไร จากนั้นกวาดสายตามองหาคนที่อยู่หลังม้า ไม่แน่ใจหรอกว่าหนึ่งในห้าที่ออกมาจากประตูเมืองจะมีต้าอ๋องไหม แต่พยายามไปหาดูก็ไม่เสียหลาย

ทว่าไม่มีแล้ว!!!

มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนยกดาบฟาดฟันกันมืดฟ้ามัวดิน ระหว่างที่มองหาอีกฝ่ายยังต้องแบ่งสมาธิมาคอยป้องกันโรมรันศัตรูไปด้วย ผมขยับพุ่งไปด้านหน้า ร่างกายชุ่มโชกด้วยเลือดจนคิดว่าต่อไปคงไม่กล้ากินต้มเลือดหมูอีกเพราะกลัวว่าต้องระลึกถึงประสบการณ์ระทึกครั้งนี้ บนพื้นเริ่มมีร่างไร้ชีวิตทอดนอนระเกะระกะ ยิ่งเหมือนต้มเลือดหมูเข้าไปใหญ่

ผมยังยกดาบปลิดชีวิตผู้คนอย่างไม่ปรานีขณะที่สองแขนเริ่มหนักขึ้นจนต้องกัดฟันฝืนทน

เสียงเฮโลระลอกใหม่ดังขึ้นพานให้ทุกคนในที่แห่งนั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ตัวผมยังคิดว่าหรือแม่งมีมาเพิ่มอีกแล้ววะ แล้วก็ใจชื้นเมื่อเห็นว่ากองทหารที่วิ่งกรูเข้ามาสวมชุดแบบเดียวกัน

ทันใดนั้นเอง ผมได้หันเหสายตาไปเจอต้าอ๋อง เขากำลังเพ่งสมาธิอยู่กับศัตรูตรงหน้า เดาจากชุดเกราะที่ฝ่ายนั้นสวมคงระดับแม่ทัพเหมือนกัน ด้วยความดีใจผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาและเพราะความสะเพร่าเลินเล่อทำให้ผมโดนจวกเข้าที่หลังเต็ม ๆ ร่างกายของผมเซไปด้านหน้าเกือบล้มลงแต่ใช้ดาบยันไว้ก่อนหันกลับไปรับอาวุธของอริที่ตามมาซ้ำ อาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่หลบหลีกได้คล่องแคล่ว หาช่องปาดคออีกฝ่ายจนแน่นิ่ง

ช่วงนาทีนั้นเองที่ปลายสายตาของผมเหลือบเห็นคนง้างคันธนูเล็งทิศทางไปยังต้าอ๋อง ไม่ทันได้ร้องเตือนลูกศรก็ถูกปล่อยออกจากแล่ง ผมปราดดิ่งเข้าขวางผลักชายหนุ่มให้ห่างออกจากวิถี แผ่นหลังร้อนวาบพร้อมเสียงฉึกที่ดังก้องหู ต้องปล่อยให้ร่างกายล้มลงกับพื้นอย่างไร้แรงต้าน ความเจ็บปวดค่อย ๆ เด่นชัดสวนทางกับสติที่รางเลือนมัวพร่าลง

ทรมานมาก! จะตายก็ตายไปเลยดิวะ ให้มารับรู้ความเจ็บบนแผ่นหลังที่แผ่ซ่านลามไปทั่วแบบนี้ไม่ไหวนะ แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่าจะไม่ได้มีโอกาสล่ำลาคนรักแบบในนิยายเหรอ ชั่วขณะต่อมาก็คิดว่าไม่น่าตามมาทรมาทรกรรมอย่างนี้เลย แต่เจ็บนาน ๆ แบบนี้หมายความว่าผมจะไม่ตายใช่ไหม

สารพัดร้อยแปดพันเก้าความคิดที่ผุดขึ้นมาตีกันไม่หยุดไม่หย่อน ก่อนที่จะรับรู้ได้ว่าร่างกายถูกยกขึ้น ถูกเขย่าจนสติสตังกลับมากระทั่งภาพเบื้องหน้าชัดเจน

รู้สึกดีใจขึ้นมานิดนึงที่มีโอกาสสัมผัสโมเมนต์ร่ำลาคนรักแบบในคู่กรรม ดีใจเพิ่มขึ้นอีกตรงที่ได้โมเมว่าตัวเองเป็นโกโบริ

“เจียวซิน อย่าเป็นอะไรนะ”

ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนจึงพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อเขา แต่มันเข้าตามตำราเป๊ะที่เสียงของผมแผ่วเบาจนแทบไม่หลุดออกจากลำคอ มันเจ็บจนไม่มีแรงและหายใจลำบากทุกครั้งที่อยากจะเอ่ยปาก

“จิ่นลี่” พร้อมพยายามสุดความสามารถที่จะยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้เขา มันเหมือนเรี่ยวแรงโดนสูบออกไปจนหมด

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะ”

นอกจากความเจ็บปวดจากแผลบนแผ่นหลังแล้ว ในอกผมยังแปลบวาบวูบโหวง รู้สึกถึงก้อนสะอึกปรี่มาจุกอยู่ในลำคอและหยาดน้ำที่ไหลออกจากตา

ผมไม่อยากร้องไห้แต่มันกลั้นไม่อยู่จริง ๆ เพราะเกิดรู้สึกว่าผมจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขาอีกแล้ว

“ข้าไม่ให้เจ้าตายเจียวซิน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ อดทนไว้”

บอกให้ผมอดทนแต่ไม่เห็นพาผมไปหาหมอรักษาเสียที มัวแต่ประคองอยู่ได้

นั่น! ตลกไปอีก

แต่วินาทีนั้นผมรู้ตัวเองดีว่าคงอดทนอย่างที่เขาต้องการไม่ไหว จึงฝืนเรียกแรงฮึดเอ่ยคำสุดท้าย

“เป็นต้าอ๋องที่ดีนะ...”

แต่โชคร้ายเพราะว่าคำที่ต้องการพูดต่อกลับไม่หลุดออกไปอย่างที่หวัง สติรับรู้สัมผัสรอบตัวค่อย ๆ ห่างออกไปกระนั้นก่อนที่ความนึกคิดทั้งมวลจะดับสนิท ผมกลับได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจน

“ข้าจะกลับไป... ข้าจะกลับไปอยู่กับเจ้า ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก ข้าจะรักเจ้าเช่นที่เคยเป็นมา ...ไม่ว่าชาติภพใดจะรักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

เสียงที่ได้ยินนั้นเบาลงและจางหายไปก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้ตื่นลืมตาอีกครั้ง...


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
งั้นเจียวซินก็ไม่ตาย  แล้วกลับมาอยู่กับอ๋องสินะ    :sad4: :serius2: :hao5:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 6 ผมกับตกลงว่ามันเป็นแค่ความฝัน?



“น้องคะ น้อง! เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”

ผมกะพริบตาปริบ ๆ กวาดสายตามองรอบตัวก่อนคำอุทาน เอ๊ะ! อ้าว! ได้กลับมาเยือนอีกหน

“น้องคะ เจ็บตรงไหนไปโรงพยาบาลไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

คำทักทำให้ผมยกมือขึ้นกุมหน้าอก ความเจ็บหน่วงที่รู้สึกยังชัดเจนราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้น

“เจ็บหน้าอกหรือคะ ถ้างั้นพี่พาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่า ลุกไหวไหมหรือให้พี่โทรเรียกรถพยาบาลดี” หญิงสาวยังเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายหน้าตาตื่น จนผมต้องหันไปยกยิ้มพร้อมสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ผมไม่เป็นไรครับ” และพยายามยันตัวลุกขึ้นสำรวจร่างกาย

ยืนได้ ไม่เจ็บไม่เคล็ด ไม่ขัดยอกตรงไหน

“แต่เมื่อกี้น้องจับหน้าอก แถมน้ำตายังไหลอีก”

ผมยกมือเช็ดหน้าเมื่อโดนทักเช่นนั้น “ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับพี่ ไม่โดนรถเลยด้วย พอดีกระโดดมาเหยียบหินเลยลื่นล้ม”

“แต่เมื่อกี้น้องสลบไปแป๊บนึงเลยนะ”

ผมหัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับไปพลางถามว่าจริงเหรอ จากนั้นจึงกล่าวย้ำกับพี่สาวว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ สีหน้าของเธอยังกังวลและบอกว่าจะไปส่งผมที่บ้าน ขอแลกเบอร์เผื่อจะได้ติดต่อหากผมเป็นอะไรจนต้องไปนอนโรงพยาบาล แต่ผมปฏิเสธเพราะผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ลื่นล้มเพราะเหยียบหินแต่ก้มลงสังเกตอีกทีคงไม่ใช่หินอย่างเดียวน่าจะหญ้าด้วย บวกกับข้างทางเป็นสโลปลงเพราะเขาทำถนนสูงกันน้ำท่วม ล้มลงไปก็ไม่ได้เจ็บมาก ยืนพูดย้ำอยู่อีกพักใหญ่พี่สาวเจ้าของรถจึงยอมเชื่อ ยอมกลับขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องขับออกไป

ผมกวาดสายตามองรอบตัวอีกหน

ท้องฟ้าที่ผมเห็นเป็นสีส้มแล้ว ถนนหนทางเดิม ๆ ที่เคยเห็นจนชินสายตากลับเข้ามาอยู่ในทัศนวิสัย ตึกอาคาร เสาไฟข้างทาง รถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่วิ่งเข้าซอย ทุกอย่างตอกย้ำว่าที่แห่งนี้คือโลกที่ผมเกิดและเติบโตขึ้นมา ไม่ใช่บ้านเรือนปลูกสร้างจากไม้รูปแบบแปลกตา ไม่มีผู้คนซึ่งสวมเสื้อผ้าเนื้อหนากันความหนาวเย็น และไม่มีต้าอ๋อง ไม่มีทหาร ไม่มีสงคราม

ในอกวูบโหวง สมองของผมเต็มเพียบด้วยความสับสนงงงวย

สิ่งที่เจอ ภาพเหตุการณ์ที่เห็นหรือแม้แต่สัมผัสของเขายังเด่นชัด จนไม่น่าเชื่อว่านั่นเป็นเพียงความเพ้อเจ้อหรือฝันไป แม้แต่ใบหน้าของเหยียนจิ่นลี่ผมยังจำได้ติดตา

ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนกระทั่งแสงไฟข้างทางสว่างขึ้นพร้อมรอบกายที่มืดลง ความเจ็บจี้ดที่ขาเพราะยุงกัดทำให้สำนึกรู้ตัวและยอมตัดใจ

ผมชื่อวุ้น นายนภัสศัย ใจแกล้วกล้า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า กำลังจะขึ้นมอหกในอีกไม่กี่เดือน ไม่ใช่ซุนเจียวซิน ไม่ได้เป็นอาลักษณ์ ไม่รู้จักเหยียนจิ่นลี่และไม่เคย... รักผู้ชายคนนั้น

“มันแค่ฝันเว้ย ไอ้วุ้น” ผมย้ำบอกตัวเองอีกครั้งก่อนยกเท้าก้าวเดินกลับบ้าน

เพราะมัวแต่ยืนทำเอ็มวี ตอนที่ผมถึงบ้านจึงมืดกว่าปกติทำให้โดนพ่อแม่ดุนิดหน่อย พวกท่านทั้งสองไม่ได้เข้มงวดห้ามไม่ให้ผมไปไหน คงเพราะรู้อยู่ว่าไม่สามารถห้ามเด็กผู้ชายที่กำลังห้าวเป้งคึกคะนองได้ เขาขอแค่จะไปไหนมืด ๆ ค่ำ ๆ ก็ให้โทรกลับไปบอกบ้างเท่านั้น

กินข้าวเสร็จผมก็ไปอาบน้ำเข้านอน แต่พอได้ล้มตัวลงกับเตียงความฝันนั่นกลับย้อนมาหาอีกครั้งพร้อมความรู้สึกโหยหาเสียดาย

ผมไม่ควรวิ่งเข้าไปช่วยต้าอ๋องหรือเปล่า ...คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจ

ความคิดเสี้ยวหนึ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันผิดพลาด ผมเคยบอกต้าอ๋องเรื่องคนลอบทำร้าย บอกเฉินฟู่ให้ช่วยปกป้องต้าอ๋อง แค่นั้นควรจะเพียงพอแล้ว เมื่อกลับมาทบทวนดูผมรู้สึกว่าต้าอ๋องน่าจะปกป้องตัวเองได้และเฉินฟู่น่าจะจับคนร้ายได้เช่นกัน

พอย้อนคิดให้ดี อย่างเฉินฟู่ไม่น่าจะใช่ชาวบ้านธรรมดาด้วยซ้ำแล้วที่ต้าอ๋องพาตัวเองมาอยู่ในสนามรบก็ประหลาดเกินไป แม้แต่ทหารที่ขี่ม้าตามหลังต้าอ๋องออกมาก็หายไป

“โธ่เว้ย!!!” ผมสบถส่งเสียงออกมา ตามด้วยประโยคที่เปล่งเสียงพูด “มันก็แค่ฝันไร้สาระจะเก็บมาคิดอีกทำไม”

อย่างไรก็ตาม ค่ำคืนนั้นผมยังคงฝันเห็นเขาและคุณซุนเจียวซินอยู่ดี พวกเขาหัวเราะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข นั่งอยู่ข้างกันในศาลากลางสวน ความฝันนั้นทำให้ผมทั้งอิจฉาและเศร้าใจ พวกเขาควรอยู่ด้วยกันเช่นนั้น ถึงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยแต่อย่างน้อยยังได้อยู่ด้วยกัน

คงเพราะความฝันเมื่อคืนละมั้ง รุ่งเช้าถัดมาผมจึงตื่นขึ้นมาพร้อมน้ำตา ถึงพยายามดึงสติกลับมาทุกคราวที่รู้สึกตัวกระนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องราวในความฝันทำให้โลกของผมอึมครึมหม่นหมอง มันคงอยู่ราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ ผมจึงค่อย ๆ รู้สึกว่าผลกระทบจากความฝันมันน้อยลง ...แต่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ




“แม่ หนูมาเปลี่ยนแล้ว เอ้านี่ปิ่นโต” ผมเดินหิ้วปิ่นโตไปวางบนโต๊ะลิ้นชักสำหรับเก็บเงินก่อนลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่งลง

“พ่ออะ” ผมถามถึงอีกคนที่ไม่เห็นหน้าอยู่ในร้าน

“ไปดูเขาเผาข้าวหลาม” แม่ตอบก่อนหิ้วปิ่นโตมื้อกลางวันหายเข้าไปด้านในซึ่งกั้นเป็นห้องครัวกระนั้นมันกลับไม่ได้มีข้าวของให้ทำครัวได้จริงจัง มีแค่โต๊ะกินข้าว จานชามและตู้เย็น

พ่อแม่ของผมมีอาชีพขายของฝาก ร้านตั้งอยู่ในจังหวัดมีทะเลซึ่งตึกทุกคูหาซึ่งตั้งเรียงต่อกันเป็นพืดต่างขายของฝากคล้าย ๆ กัน

ส่วนใหญ่เป็นของที่รับมาขายต่อ จะมีแต่ข้าวหลามนี่ล่ะที่มีตรายี่ห้อเป็นของตัวเอง เป็นกิจการในครอบครัวทางพ่อ คนงานจึงเป็นญาติและพี่น้อง

ตอนช่วงปิดเทอมผมจะมาช่วยแม่เฝ้าร้านขายของทุกวัน แต่ตอนนี้เปิดเทอมใหม่ขึ้นชั้นมอหกแล้ว เลยโดนเคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือมากกว่ามานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ที่ร้าน

ส่วนเรื่องอาหารกลางวันของพ่อกับแม่ พอดีป้าข้างบ้านเอาแกงมาให้ผมเลยหาข้ออ้างออกมาที่ร้าน เหตุผลหลักคือขี้เกียจอ่านหนังสือนี่แหละ ในจังหวัดมีมหาวิทยาลัยและผมคิดมาตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมแล้วว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้าน เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือมากก็ได้

ผมขยับลากเก้าอี้พาตัวเองไปอยู่แถวหน้าร้านเมื่อเห็นว่ามีรถบัสชะลอความเร็ววิ่งผ่านด้านหน้า

เนื่องจากรถบัสย่อมพาลูกทัวร์มาเที่ยว ผมจึงต้องไปเสนอหน้าเสนอตาว่าร้านนี้มีคนขาย ที่สำคัญคนขายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วย อิอิ

ต้องรอพักใหญ่กว่าลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้านจะหนาตาขึ้น

“เชิญชมด้านในก่อนได้นะครับ” ผมร้องบอกพร้อมส่งยิ้มหวาน และก็มีลูกค้าเดินวนเข้ามาดูมาซื้อของเป็นระยะ ๆ ผมขายของไปแจกยิ้มไปอย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก พอแม่ออกมาช่วยคิดเงินผมจึงไปยืนแถวหน้าร้านคอยเชียร์ให้ลูกค้าซื้อของ หันไปหันมาคุยกับลูกค้าอีกชั่วครู่ สายตาของผมบังเอิญเหลือบไปเห็นลูกค้าวัยรุ่นกลุ่มใหญ่กำลังเดินผ่านหน้าร้าน พวกเขาไม่มีท่าทีสนใจที่จะซื้อของเหมือนแค่เดินดูไปเรื่อย ๆ แต่ผู้ชายตัวสูงในกลุ่มกลับทำให้ผมเผลอตัวส่งเสียงเรียกออกไป

“พี่ ๆ แวะเข้ามาดูในร้านก่อนสิครับ”

ถึงคนที่ผมเห็น มีหน้าตาละม้ายเหยียนจิ่นลี่แต่ไม่มีทางที่ผมจะเผอเรอลืมตัวเปล่งเสียงเรียกชื่อนั้นออกไปเด็ดขาด ผมยังตระหนักจดจำได้ดีว่าตัวเองอยู่ประเทศไทยและวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็คนไทย

พวกเขายอมหยุดยืนที่หน้าร้านตามเสียงเรียก ผมจึงรีบถลาเข้าไปหาพร้อมข้าวหลามในแพ็กเกจหูหิ้วซึ่งผูกปากถุงอย่างดี

ถึงอย่างไรผมก็เป็นลูกหลานคนค้าขายนี่เนอะ

“สนใจซื้อข้าวหลามของร้านเราไปเป็นของฝากหน่อยไหมครับ ถึงไม่ฝากใครทานเองก็อร่อยถุงละห้าสิบบาท ไม่หวานมาก หน้าแฉะกะทิแต่ข้างในหอมนุ่ม สะอาด ทานง่ายไม่เลอะมือ” ผมรีบพูดนำเสนอ

ข้าวหลามซึ่งเป็นอุตสาหกรรมในเครือญาติตระกูลของผมไม่ได้มีท่อนยาวแบบสมัยก่อน ลูกพี่ลูกน้องที่เรียนจบมาร์เก็ตติ้งนำเสนอให้รีโนเวทแบรนด์สั่งให้ตัดท่อนไม้ไผ่ให้สั้น หลังเผาเสร็จต้องใส่ถุงมัดปากกันฝุ่นผง ตอนกินก็แสนง่ายแค่ใช้ช้อนซึ่งมีแถมให้ในถุงตักทานไม่ต้องใช้มีดผ่าแบบยุคอดีต แต่กว่าจะปรับปรุงสูตรข้าวกับเรื่องไฟที่ใช้ก็นานพอดูกระนั้นผมก็ไม่ได้ไปรู้เรื่องกับเขาหรอกนะ แค่ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดกัน

คงเพราะความสามารถในการนำเสนอสินค้ากับรอยยิ้มของผม สาว ๆ ในกลุ่มนั้นจึงให้ความสนใจสินค้าในมือกันเป็นอย่างดี ยอมควักเงินซื้อคนละถุงสองถุง แต่คนที่ผมสนใจกลับยังยืนมองเงียบ ๆ

“มาจากไหนกันหรือครับ” ผมถามด้วยอารมณ์ของคนท้องถิ่นชวนนักท่องเที่ยวคุยเรื่องทั่วไป

“กรุงเทพจ้า พวกพี่... น้องยังเรียนมัธยมใช่ไหม” หญิงสาวในกลุ่มตอบกลับ ทำท่าจะเล่ารายละเอียดของทริปแต่ชะงักเพราะคำแทนตัว

“อยู่มอหกแล้วครับ”

“พวกพี่ไปรับน้องกันมา”

“เหรอครับ พวกพี่เรียนที่ไหนกันเหรอ”

เมื่ออีกฝ่ายบอกชื่อมหาวิทยาลัยผมจึงพยักหน้ารับรู้หงึก ๆ จากนั้นใครสักคนในกลุ่มก็เอ่ยชวนให้เดินดูของกันต่อ ผมยกยิ้มให้อีกรอบโบกมืออวยพรให้พวกเขาเดินทางโดยสวัสดิภาพ และมองตามแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นโดยไม่ละสายตา นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้คุยกันบ้างเลย เขาเองไม่มีท่าทีสนใจผมสักนิด ทั้งที่จ้องตายก็แล้ว ยิ้มให้ก็แล้ว ไม่เห็นมีวี่แววรักเปิดเผย หรือต้องได้เห็นหุ่นทรงกันนะ

ผมคิดอย่างติดตลกกับเนื้อเพลงลูกทุ่งซึ่งผ่านเข้ามาในความคิด ก่อนยกมือขึ้นประกบสองแก้มเพราะสัมผัสได้ถึงอาการร้อนวูบวาบ

การพบเจออีกฝ่ายครั้งนี้อาจเป็นพรหมลิขิตก็เป็นได้และฝันนั่นอาจจะเป็นลางบอกเหตุ ลองคิดดูว่าถ้าผมไม่ฝัน ผมจะเสนอหน้าอยากคุยกับเขาไหมแต่มันพลาดตรงที่เขาไม่มีทีท่าอยากคุยกับผมนี่แหละ

หรือว่า!!! …เขาเป็นผู้ชายขี้อาย

ผมประกบมือเข้าหากันเมื่อคิดได้อย่างนั้น

มันต้องใช่อย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ตอนเขาเป็นต้าอ๋องก็นิ่ง ๆ ขี้เก๊กแบบนี้ ต้องใช่แน่ ๆ ผมพึมพำซ้ำกับตัวเองจากนั้นจึงคิดว่าในฐานะที่ผมเป็นผู้ชายใจแกล้วกล้า สงสัยต้องเดินหน้าจีบเขาเอง

ดังนั้นตอนที่พวกเขาเดินวนผ่านหน้าร้านอีกรอบ (เขาไม่ได้ตั้งใจเดินมาอ่อยผมหรอกนะ ผมไม่ได้เป็นพวกหลงตัวเองสุดกู่แต่พวกเขาต้องเดินผ่านหน้าร้านเพื่อกลับไปขึ้นรถ) ผมเดินตามไปดึงเสื้อชายหนุ่มผู้ซึ่งมีหน้าตาเหมือนต้าอ๋องไว้ เขาหันกลับมามองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม ผมปล่อยมือจากเสื้อของเขาและเอ่ยว่า

“ขอไลน์ไอดีของพี่หน่อยได้ไหมครับ”

อุ้ย! เขินจังแต่เพื่อไม่ให้ไก่ตื่น คงต้องต่อประโยคอธิบายให้เขาเข้าใจไปทางอื่นอีกเล็กน้อย “ผมแค่อยากได้ไว้ปรึกษาเรื่องมหาวิทยาลัย ถ้าผมจะขอพี่ผู้หญิงก็คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ อีกอย่างผมรู้สึกถูกชะตากับพี่มาก”

“พร้อม”

เขาหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงเรียก ผมจึงได้เห็นว่าเพื่อนเขาหยุดยืนรอในระยะที่ไม่ห่างอย่างพร้อมเพรียง

“อย่าดีกว่าคงไม่ค่อยว่างตอบ”

คำปฏิเสธของเขาทำให้ใจของผมห่อเหี่ยว “นาน ๆ ตอบครั้งหนึ่งก็ได้ครับ แต่ขอไอดีให้ผมเถอะนะ” ผมพยายามกะพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าตาน่าสงสารให้เขาเห็นใจ

ผมตัวเตี้ยกว่าเขา เวลาเงยหน้าช้อนตาขึ้นมองอย่างนี้ยังคิดว่าตัวเองต้องโมเอ้มากแน่นอน ตอนนั้นผมจึงพยายามสะกดจิตเขาในใจอีกเล็กน้อยว่า ‘จงให้มาซะดี ๆ’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ

“สแกนคิวอาร์แล้วกัน”

ในที่สุดก็สำเร็จ!!! ผมอยากชูมือโห่ร้องฮูย่า! ฮูย่า! รอบร้านสักสิบรอบ แต่สิ่งที่ผมทำคือรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและต้องพยายามบังคับมือไม่ให้สั่นเทาตอนที่กดเข้าแอปพลิเคชัน ผมสแกนคิวอาร์โค้ดบนหน้าจอของเขาและกดเพิ่มเพื่อนทันที

‘พร้อม’ ชื่อดิสเพลย์ที่ปรากฏทำให้ผมมองอยู่นาน ก่อนเงยหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

เขาพยักหน้ารับและหมุนตัวหันหลังเดินจากไป ผมยืนมองจนแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับสายตาจึงได้ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออีกหน ส่งข้อความทักทายไปให้เขา คนรับยังไม่ได้เปิดอ่านแต่ผมก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเดินกลับเข้าไปหาแม่

“แม่ หนูชอบผู้ชายแล้วนะ”

แม่หน้าเหวอนิ่งงันไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามกลับมาว่า “ทำไมใจง่ายจังเพิ่งเจอเขาเมื่อกี้เอง”

“แม่เห็นด้วยเหรอ หนูเขินจัง”

ผู้เป็นมารดายกมือทาบอก ตีสีหน้าราวกับฟ้ากำลังถล่มจนผมแอบคิดในใจว่า ‘ทำไมออกอาการเว่อร์จัง’

“แม่ต้องเตรียมเงินไว้เป็นค่าผ่าตัดแปลงเพศให้วุ้นหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก ถ้าเกิดอกหักวุ้นจะอยู่เป็นโสด”

“ไม่ต้องมุ่งมั่นตั้งใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง กะอีแค่ผู้ชายคนเดียว”

“วุ้นอยากเป็นคนรักเดียวใจเดียวอะ”

“หนูยังเด็กนัก หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล อาจได้เจอผู้หญิงที่โดนใจกว่าพ่อหนุ่มคนเมื่อกี้ก็ได้” แม่พูดสอน “แม่ไม่ห้ามหรอกแต่จะทำอะไร ให้คิดถึงตัวเองให้มาก รักตัวเองให้เยอะ ๆ แล้วก็จำไว้ว่าวุ้นมีพ่อกับแม่รออยู่ข้างหลัง”

“แม่พูดอย่างกับถ้าวุ้นอกหักแล้วจะฆ่าตัวตายงั้นแหละ อีกอย่างแม่แน่ใจเหรอว่าพ่อเขารับได้”

“รับได้สิ นั่นสามีแม่นะแต่ถ้ารับไม่ได้เดี๋ยวแม่จัดการเอง”

“ซึ้งอะแต่ไม่โผเข้าไปกอดนะ หนูโตแล้ว”

คู่สนทนาจึงพยักหน้ารับคล้ายเอือมเต็มทน

เป็นอันว่าหนทางรักของผมกับเขาได้รับไฟเขียวจากพ่อแม่เรียบร้อย เรื่องพรรค์นี้ต้องรีบพูดแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่มีเหตุการณ์ดราม่าถ้าเกิดว่าผมกับพี่เขาตกล่องปล่องชิ้นกันได้

คืนนั้นหลังจากกินข้าวอาบน้ำกลับเข้ามาในห้องนอน ผมล้มตัวลงบนเตียงโดยมีโทรศัพท์ติดมือตามมาด้วย เมื่อเปิดหน้าแชทของพี่พร้อม สติ๊กเกอร์ทักทายของผมขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ และเขาตอบมาว่า ‘อือ’ สั้นไปนิดแต่ไม่ถือสาเพราะใจมันรัก

งุ้ย!!! เขินจัง

ผมจึงลองส่งข้อความไปถาม “ถึงกรุงเทพหรือยังครับ” และออกจากหน้าจอไปเปิดเว็บเบราว์เซอร์เพื่อหาข้อมูลมหาวิทยาลัย ถ้าคิดจะจีบพี่พร้อมผมต้องเปลี่ยนสถานที่เข้าเรียนใหม่ อยู่ห่างกันอย่างนี้อีกห้าสิบปีก็ไม่มีทางใจตรงกัน คิดได้อย่างนั้น จึงลุกขึ้นจากเตียงไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ ต่อไปนี้ผมจะขยันแล้วนะครับ

ผมหยิบหนังสือขึ้นมากางตรงหน้าด้วยท่าทางมุ่งมั่นแข็งขัน แต่ก็นะเพราะใจมัวแต่พะวงอยู่กับการรอข้อความตอบกลับของผู้ชายที่อยากคุยด้วย ถึงได้เผลอตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทุกสองนาที ถ้าเป็นอย่างนี้หนังสือที่ต้องอ่านคงไม่กระเตื้องแน่ ๆ ผมจึงตัดใจโยนโทรศัพท์คว่ำหน้าลงบนเตียงพร้อมบอกตัวเองให้ตั้งใจ

ทว่าครู่หนึ่งต่อมาเจ้าเครื่องมือสื่อสารกลับส่งเสียงร้องเตือน ผมสมาธิหลุดรีบถลาเข้าไปหยิบขึ้นมาดูทันที

 


“อืม ถึงนานแล้ว” 8:12 PM

Read 8:12 PM “ทำอะไรอยู่หรือครับ”
“เล่นเกม” 8:13 PM

Read 8:13 PM “ออ”

Read 8:13 PM “พี่ครับ พี่เรียนอยู่คณะอะไร”

“วิดวะ” 8:14 PM

8:14 PM “เรียนยากไหม”

8:14 PM “นี่ผมกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกคณะอะไรดี”

8:14 PM “พี่เรียนวิดวะอะไรครับ”



 
 
ถามไปแล้วต้องปล่อยเวลารอให้อีกฝ่ายตอบ แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบ ผมมองโทรศัพท์มือถือด้วยใจห่อเหี่ยวพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

“การจีบใครสักคนนี่มันยากจังน้า”

เมื่อฉุกคิดได้ก็รีบสลัดความคิดท้อแท้ออกจากหัว เพิ่งเริ่มเองจะมายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ได้ยังไงพร้อมบอกกับตัวเองอีกว่า เขาไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าอีกฝ่ายเรียนที่ไหนเรียนคณะอะไรก็เพียงพอแล้ว ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนให้ถามระหว่างนี้ต้องเร่งอ่านหนังสือ

ด้วยเหตุที่ตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ผลการเรียนของผมจึงอยู่ในเกณฑ์ปานกลางมาตลอดแต่มหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายเรียนอยู่ คะแนนสูงกว่าเยอะดังนั้นถ้าอยากไปอยู่ที่เดียวกับพี่พร้อม ผมต้องขยันอ่านหนังสือแล้ว

แต่คืนนั้นประมาณสี่ทุ่มผมก็ง่วง จึงเข้านอนก่อน อ่านหนังสือตอนง่วง ๆ อย่างไรก็ไม่เข้าหัวเพราะฉะนั้นเข้านอนเพื่อให้ตื่นเช้าด้วยสมองปลอดโปร่งเป็นดีที่สุด

ตอนเช้าตื่นมาผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นอันดับแรก เมื่อได้เห็นข้อความตอบกลับของพี่พร้อม ผมรู้สึกว่าเช้านี้ช่างสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาทันควัน ตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยและคณะได้ในวินาทีนั้น


“ถ้ายังไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร ก็ให้ดูว่าชอบอะไรที่สุด” 0:35 AM


“ผมชอบพี่ที่สุดเพราะฉะนั้นต้องเลือกไปอยู่ใกล้ ๆ พี่ใช่ไหมครับ” ผมพูดกับหน้าจอโทรศัพท์ขณะที่สายตามองข้อความและรูปดิสเพลย์ซึ่งเป็นเพียงภาพแผ่นหลัง

น่าแปลก... ตั้งแต่ได้พบเขา ความรู้สึกของผมราวกับปะทุออกมา ที่เคยคิดว่าไม่ได้ชอบเหยียนจิ่นลี่แต่เมื่อเห็นคนที่มีหน้าตาเหมือนผู้ชายคนนั้น ความรู้สึกในใจกลับเอ่อล้นท่วมท้น หรือบางที.. นี่อาจเกิดจากความรู้สึกผิดที่ผมพรากพวกเขาทั้งคู่ให้แยกจากกัน

แต่พอคิดอีกที... ก็ผมมันใจง่ายนี่นะ

ช่างมันเถอะ! ผมบอกกับตัวเอง จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตอนนี้ผมคือนายนภัสศัย ใจแกล้วกล้า ไม่ว่าการที่ฝันถึงเหยียนจิ่นลี่และซุนเจียวซินจะมีเหตุผลอะไร ต่อแต่นี้คนที่เลือกหนทางข้างหน้าคือตัวผมเองและผมเลือกแล้วว่าจะเลือกรักเขา

...พี่พร้อมสุดหล่อของผม




หลังจัดการอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ผมออกจากห้องลงบันไดเดินเข้าไปในครัว แม่กำลังทำกับข้าวส่วนพ่อเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเหมือนกัน

“เดี๋ยวเช้านี้พ่อไปส่งปากซอย”

“ไปส่ง ’ไมอะ วุ้นเดินไปเองได้”

“ฝนตก จะเดินออกไปเองเหรอ”

ผมจึงรีบออกไปส่องดูที่หน้าต่าง เห็นหยดน้ำร่วงหล่นลงมาโปรยปรายจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความ

6:22 AM “พี่”

6:22 AM “ที่บ้านผมฝนตกล่ะ”

6:22 AM “แถวโรงเรียนน้ำท่วมอีกแน่”

6:22 AM “วันนี้พี่มีเรียนหรือเปล่า”


กดส่งเรียบร้อยจึงเดินไปตักข้าว พอทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ น้องสาวที่อายุน้อยกว่าสองปีก็เดินเข้ามาพอดี พ่อจึงหันไปบอกให้เธอรีบกินข้าวจะได้ออกไปด้วยกัน

“พ่อไปส่งที่โรงเรียนเลยไม่ได้เหรอ” ว่านพูด ออกแนวงอแงอยู่ไม่น้อย

“เดี๋ยวได้ขึ้นรถสองแถวก็ไม่เปียกแล้ว ถ้าไปส่งแกกว่าจะวนกลับไปถึงร้านสายกันพอดี”

“ใช่ว่าเปิดร้านแต่เช้าจะขายของได้ซะหน่อย”

“ว่านอย่าเอาแต่ใจน่า” แม่ส่งเสียงพูดปราม

ฝนตกอย่างนี้ผมก็อยากให้พ่อไปส่งแต่พอจะเข้าใจความลำบากของผู้เป็นบิดาเหมือนกัน ถึงจังหวัดที่ครอบครัวของผมอาศัยอยู่จะไม่ใช่เมืองหลวง แต่การจราจรติดขัดมากเพราะมีเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และโรงเรียนของผมกับน้องสาวอยู่ในเขตเมืองที่มีผู้คนอาศัยกันหนาแน่น วันทำงานปกติผู้คนยังนำรถออกมาขับบนถนนกันเกลื่อน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงวันฝนตกแบบนี้เลย ที่ตั้งใจว่าจะไปอ่านหนังสือในห้องสมุดก่อนเข้าแถว คงต้องพับโครงการไปอีกแล้วละมั้ง

ทานข้าวเรียบร้อยหยิบกระเป๋า เปิดประตูเดินขึ้นรถ ผมถึงล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ รู้สึกว่ามันสั่นเตือนมาสักพักแล้วแต่เพราะยังกินข้าวอยู่ผมจึงไม่กล้าหยิบออกมาดู


“มี” 6:54 AM

“เดินทางระวังด้วยล่ะ” 6:54 AM


มีการเป็นห่วงเค้าด้วยอะ! อย่างนี้รักตายเลย


7:11 AM “พี่อยู่หอหรืออยู่บ้าน”


ผมยังถือโทรศัพท์ไว้ในมือแม้มันจะนิ่งเงียบจนกระทั่งรถยนต์เคลื่อนที่มาถึงหน้าปากซอย ผมเก็บมันลงกระเป๋า กางเกง เปิดประตูและสาวเท้าว่องไวไปยืนใต้ร่มหลังคาป้ายหยุดรถ สายฝนยังตกต่อเนื่องไม่ขาดเม็ดแต่เมื่อนึกถึงข้อความแสดงถึงความเป็นห่วงของผู้ชายที่ผมอยากได้มาเป็นแฟนแล้ว รู้สึกราวกับท้องฟ้ามืดครึ้มเบื้องบนกระจ่างใสขึ้นทันตา นึกอยากล้วงโทรศัพท์ออกมานั่งลุ้นข้อความตอบกลับทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นรถสองแถวประจำทางวิ่งมาไกล ๆ ทำให้ต้องยั้งใจไว้

รถสองแถวเคลื่อนที่มาจอดหน้าป้ายหยุดรถ ผมรุนไหล่ให้น้องสาวเดินขึ้นไปก่อนจึงเดินตามขึ้นไป บนรถยังมีที่นั่งว่าง ครั้นทรุดตัวนั่งเป็นมั่นเหมาะแล้วผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องอีกครั้ง ซึ่งยังไร้การตอบรับจากอีกฝั่ง

อยากคุย!!!

แต่ผมไม่กล้าส่งข้อความรัว ๆ ไปชวนคุยเดี๋ยวเขารำคาญไปเสีย ตอนนี้มานึกเสียใจว่าน่าจะขอชื่อเฟซบุ๊กไว้ด้วยอย่างน้อยนั่งว่าง ๆ ยังพอตามไปส่องได้ ส่วนหน้าโฮมในไลน์ไม่มีอัปเดตอะไรทั้งนั้น

ไว้ขอทวิตเตอร์ด้วยดีกว่า ผมบอกกับตัวเองในใจ

คิดไปคิดมา ผมจึงกดเข้าเบราว์เซอร์ เสิร์ชหาชื่อเฟซบุ๊กของคณะกับสาขาที่เขาเคยบอกไว้ และแล้วภารกิจตามหาคนของผมก็เริ่มขึ้น

อืม... มุ่งมั่นตั้งใจยิ่งกว่าตอนอ่านหนังสือเป็นร้อยเท่าเลยล่ะ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 7 ผมไปหาแล้วนะ



ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่พร้อมสุดที่รักก้าวหน้าไปแค่ไหน ผมคงต้องตอบว่าเท่ากับปลายนิ้วก้อย

โคตรของไม่กระเตื้อง! ไม่คืบหน้า! บางทีปลายนิ้วก้อยยังเยอะเกินไปด้วยซ้ำ!

ช่วงแรก ๆ ที่ได้คุยกันผ่านข้อความ เขายังคงตอบกลับมาบ้างอาจจะช้าหน่อยแต่อย่างน้อยก็ตอบภายในวันนั้น พอพ้นอาทิตย์ที่สอง คราวนี้ข้อความตอบกลับเริ่มหายไปเป็นวัน ไอ้ผมก็กลัวเขาจะรำคาญหากเซ้าซี้มากไป เลยอดทนรออย่างใจเย็น แต่ถ้าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้าถูกทิ้งค้างเลยวันผมจะส่งข้อความอื่นไปให้เขาอีกรอบ เขาก็มีเข้ามาตอบกลับบ้าง ตอนนั้นยังไม่เจอสภาพอ่านแล้วไม่ตอบเพราะฉะนั้นผมจึงรออย่างอดทนซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยังหาชื่อเฟซบุ๊กของพี่เขาไม่เจอด้วยล่ะ ประมาณว่าถ้าเขาหายไป ผมก็ไม่มีหนทางอื่นติดต่อเขาได้เลย

หลังจากนั้นระยะเวลาที่ข้อความไม่ถูกเปิดอ่านก็ยาวนานขึ้นแถมเพิ่มเติมความโหดร้ายด้วยการอ่านแต่ไม่ตอบอย่างที่เคยกังวลไว้ ตอนที่ผมเจอเหตุการณ์นั้นครั้งแรกผมจิตตกเศร้าซึมไปเป็นวันจนพ่อแม่ น้องสาว และเพื่อนที่โรงเรียนเอ่ยปากทักเลยว่าผมเป็นอะไร พอได้ยินคำตอบพวกเขาก็ปลอบใจผมยกใหญ่

“ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก มองผู้หญิงบ้างก็ได้” ประโยคนี้ของแม่ส่วนพ่อนั่งปิดปากเงียบกอดอกขมวดคิ้ว

ฝ่ายน้องสาวซึ่งรู้แต่ว่าผมคุยกับใครสักคนหนึ่งอยู่ผ่านทางข้อความแชต คราวนี้เลยรู้ว่าฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ชาย เธอมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย (น้องสาวผมไม่ใช่สาววายนะครับ ไม่ต้องลุ้นว่าจะคอยช่วยเหลือหรือหาวิธีช่วยผม) ก่อนพูดอย่างเย็นชาว่า “ก็เรื่องธรรมดา”

จะมีคำแนะนำดี ๆ หน่อยก็พวกเพื่อน ๆ ซึ่งรู้ว่าฝ่ายที่ได้รับข้อความของผมเป็นผู้ชายแต่ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้เรื่องความรู้สึกพิเศษที่ผมมีให้พี่พร้อมหรือเปล่า (เพราะผมไม่เคยบอกให้รู้ แหมเนาะ จะให้สารภาพแบบตอนที่บอกแม่ ผมยังไม่ใจกล้าพออะ เขินด้วย เนี่ย! แต่คิดก็หน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว) พวกเขาแนะนำว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่ส่งข้อความกลับมาว่ารำคาญหรือบล็อกการติดต่อก็ให้ส่งข้อความไปคุยเรื่อย ๆ ไม่ต้องรอข้อความตอบกลับเพราะที่ฝ่ายนั้นเงียบเพื่อรอให้เราหายไปเอง

ดังนั้นผมจึงส่งข้อความไปคุยกับพี่เขาเรื่อยเปื่อย เรื่อย ๆ ทุกวัน ๆ ถ้าว่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เล่าเรื่องตลกบ้าง ซึ่งเขาก็มีตอบรับกลับมาบ้างจริง ๆ ด้วย

ตอนได้รับข้อความตอบกลับ ผมล่ะอยากวิ่งรอบห้องโห่ร้องฮูย่า! ฮูย่า! เสียจริง

ระหว่างนั้น ผมก็พยายามหาเฟซบุ๊กกับอินสตาแกรมของพี่เขาต่อไปซึ่งยังคงหาไม่เจอเสียที เนื่องจากผมไม่เคยรู้ชื่อจริงของเขา จึงใช้วิธีไปส่องตามเพจคณะ เพจสโมสรคณะและเพจคิ้วบอย พยายามไล่ดูรูปจนตาแฉะก็ยังไม่เจอ เลยต้องคิดข้อความถามแบบเนียน ๆ กับเขาเสียแทน


READ 12:22 PM “พี่เรียนปีอะไรแล้วครับ”


ผมทิ้งข้อความไว้สามวันกว่าเขาเข้ามาตอบ

หลัง ๆ มานี้ผมไม่ค่อยทิ้งคำถามเจาะจงไว้สักเท่าไหร่ พอเห็นเขาเมินเฉยไม่ยอมตอบกลับแล้วมันใจเสีย ต้องนั่นลุ้นระทึกทุกวันว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะยอมตอบและก็เป็นโชคดีของผมมากที่คราวนี้เขาตอบข้อความช่วงเย็น ๆ ไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนซึ่งผมมักจะหลับไปแล้ว


“เพิ่งปีหนึ่ง” 6:19 PM

READ 6:19 PM “ครับ”

READ 6:19 PM “พี่ครับผมอยากเปลี่ยนชื่อเฟซพี่ช่วยแนะนำหน่อยสิ”

READ 6:20 PM “ใช้ชื่ออะไรดี”


“ไม่รู้อะ” 6:20 PM

“พอดีใช้ชื่อตัวเอง” 6:20 PM

READ 6:20 PM “ชื่ออะไรเหรอ”


ถามออกไปแล้วก็ได้แต่นั่งลุ้นว่าเขาจะยอมบอกไหม


“Chanin Piromsamon” 6:22 PM


ทันทีที่เห็นข้อความนั้นปรากฏขึ้นมา ในอกของผมพองฟูด้วยความดีใจ ถึงจะไม่ได้ถามขอเฟชบุ๊กออกไปตรง ๆ แต่มันก็ต้องมีเอะใจ อย่าง ‘เอ๊ะ! ไอ้น้องคนนี้อยากรู้ชื่อเฟซไปทำไม’ อะไรทำนองนี้บ้างล่ะ การที่เขายอมให้ชื่อเฟซบุ๊กมาทื่อ ๆ มันคงไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็พอจะมีใจให้

โอ๊ย! ดีใจจนแทบดิ้นตายแล้ว

“พี่วุ้น!” เสียงตะโกนดังลั่นของน้องสาวทำให้อารมณ์เปรมปรีดิ์ของผมชะงักไปฉับพลัน “เป็นบ้าอะไรถึงได้ลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น ว่านต้องหาพระมาห้อยคอยให้ปะ” เธอนั่งอยู่บนโซฟา เหยียดสายตามองผมคล้ายแขยงรังเกียจ

แหม! ขอออกอาการดีใจหน่อยก็ไม่ได้

ผมลุกขึ้นลูบหัวลูบผมให้เข้าที่เข้าทาง มองค้อนน้องสาวหนึ่งทีก่อนเปลี่ยนย้ายไปนั่งที่อื่น


READ 6:25 PM “อ่านว่าอะไรอะ”

READ 6:25 PM “ชานินเหรอ”

“ชนินทร์” 6:25 PM

READ 6:25 PM “อ้อ”


ผมต้องระงับอาการอยากเอ่ยปากชมใจจะขาด ...ชื่อเพราะอะ โดนใจ แต่ผมไม่กล้าหยอดเพราะเดี๋ยวโดนรังเกียจไปเสียก่อน กลัวโดนบล็อก ถึงตอนนี้จะได้ชื่อเฟซบุ๊กมาแล้วก็เถอะเพราะถ้าเขาเกิดรู้สึกถูกคุกคาม ต่อให้เริ่มมีใจให้ก็ย่อมไม่มีประโยชน์


READ 6:26 PM “งั้นผมใช้ชื่อตัวเองเหมือนเดิมแหละเนอะ”
“ถ้าเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นไม่กลัวเพื่อนจำไม่ได้เหรอ” 6:26 PM

READ 6:27 PM “เพื่อนผมก็ใช้ชื่ออื่นกันหลายคนนะ”

READ 6:27 PM “อย่าง ยักษ์ใหญ่ กันดั้มแมนงี้”

READ 6:27 PM “เออพี่”

READ 6:27 PM “ดูอนิเมะไหม”

READ 6:28 PM “หรือเล่นแต่เกม”


“วุ้น! กินข้าวได้แล้ว” เสียงแม่เรียกดังออกมาจากครัว ทำให้ผมต้องรีบส่งข้อความสุดท้าย

“งืม ๆ รู้แล้ว” ทว่ายังไม่อยากกินเลยอะ ยังอยากคุยต่อ นาน ๆ ถึงจะได้มีโอกาสคุยกับพี่พร้อมยาวขนาดนี้

“วางโทรศัพท์แล้วรีบมากินข้าวอย่าให้แม่โมโห” เสียงคาดโทษดังซ้ำทำให้ผมต้องรีบส่งข้อความไปบอกอีกฝ่ายและต้องวางโทรศัพท์อย่างจำใจ


“ดูแค่บางเรื่อง” 6:28 PM

“เล่นเกมมากกว่า” 6:29 PM

READ 6:29 PM “เกมอะไรเหรอ”

READ 6:30 PM “พี่ แม่เรียกไปกินข้าวแล้วอะ”

READ 6:30 PM “เดี๋ยวผมกลับมาคุยต่อนะ”

“ไปเหอะ” 6:29 PM

“กำลังจะไปกินข้าวเหมือนกัน” 6:29 PM


กลับมาเปิดโทรศัพท์และส่งข้อความไปให้เขาอีกครั้งปรากฏว่าอีกฝ่ายเงียบหายไปเลยครับ

เฮ้อ!... เศร้าใจ

วินาทีต่อมาเมื่อนึกขึ้นได้ผมจึงรีบเข้าเฟซบุ๊ก พิมพ์ชื่อที่ได้มาในช่องค้นหาแต่พอกดเข้าไปเท่านั้น กลับไม่สามารถดูสถานะหรือข้อความอัปเดตอะไรได้ทั้งนั้น

ผมได้แต่ร้องโหยหวนอยู่ในใจ

ทำไมไม่เปิดเป็นสาธารณะล่ะครับ!!!

ด้วยความเศร้าหมองตรอมตรมที่มีอยู่เต็มเพียบจนท่วมล้นหัวใจเหมือนเศษขยะที่ถูกพัดพามากับน้ำยามฝนตก ผมจึงจรลีพาร่างกายและจิตใจอันชอกช้ำไปล้มตัวลงนอน น้ำตายังไม่ทันไหลกระทบหมอนก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง พาตัวเองกลับไปนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดตำราเพื่อศึกษาเล่าเรียนเตรียมตัวสอบ

ผมต้องใช้ความเจ็บช้ำนั้นผลักดันตัวเองให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยของพี่พร้อมให้ได้!!!

เพื่อให้ได้จีบแบบเห็นหน้าเห็นตา ไม่ต้องรอคอยข้อความตอบกลับที่เดี๋ยวสามวันดี สี่วันไข้

ผมต้องฮึดสู้เพื่อชัยชนะของพวกเรา(?)

เอาล่ะ!!! ลงมืออ่านหนังสือซะ! วะฮ่าฮ่า!

และแล้วด้วยอานุภาพมหัศจรรย์พลังแห่งรักเมื่อช่วงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาเยือน ผมก็สามารถทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ซึ่งทำให้ผลสรุปออกมาปรากฏว่า...

ผมสอบติด!!!

หลังจากนี้ผมต้องเดินทางไปแก้บนตามวัดกับศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่บนไว้ก่อน จัดการขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ฤกษ์ไปวอแวกับพี่พร้อมสุดหล่อ คราวนี้ผมไม่กลัวเขาบล็อกไลน์ผมแล้วล่ะ ต่อให้บล็อกก็ยังเจอกันในมหาวิทยาลัยได้อยู่ดี ผมเป็นรุ่นน้องพี่เขาด้วยยังไงก็หนีไม่พ้น


7:45 AM “พี่ ๆ ผมสอบติดแล้ว”

7:45 AM “ช่วยพาผมไปหาหอหน่อยได้ไหม”


แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม คือไม่ยอมตอบเสียที

ปิดเทอมนะเว้ย! ทำอะไรอยู่เนี่ย! ทำไมไม่รู้จักตอบข้อความเสียบ้าง คนอะไร ฮึ่ย! ฮึ่ย! อย่าให้ได้เจอตัวนะ จะกอดรัดแล้วก็ จ...จูบ! เสียให้เข็ด!

งุ้ย! เขินอีกแล้ว

“ไอ้วุ้น! เละเทะหมดแล้ว เพ้อเจ้ออะไรอยู่คนเดียวเนี่ย”

คำตวาดทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ มองห่อขนมของฝากที่ร่วงจากชั้นวางหล่นกระจายอยู่เต็มพื้น

“อุ้ย! หนูไม่ได้ตั้งใจ” ผมพูดก่อนจะก้มลงเก็บข้าวของ

“มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่องค์ไหนตามมาอยู่ด้วยหรือเปล่า พักหลัง ๆ แม่ว่าวุ้นจะขี้มโนออกอาการมากไปหน่อยนะ”

“แม่อะ” ผมร้องเสียงหลง ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง สงสัยต้องฝึกนิสัยใหม่ ต้องระงับอาการออกท่าทางตามความคิดให้ได้อย่างจริงจังเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพี่พร้อมจะตกใจ

หลังจากนั้นผมยังระดมส่งข้อความถึงพี่พร้อมอีกเรื่อย ๆ ถ้าไม่ยอมตอบก็ต้องรำคาญกันไปข้าง


READ 7:34 PM “อะไรกันทำไมใจจืดใจดำกับรุ่นน้องได้ขนาดนี้”

READ 7:34 PM “พาผมไปหาหอพักแถวมหาวิทยาลัยหน่อยนะ”

READ 7:35 PM “เดี๋ยวผมหิ้วข้าวหลามไปฝาก”
“เออ” 7:50 PM

“จะเข้ามาวันไหนก็บอก” 7:50 PM

ในที่สุดฟ้าเบื้องบนก็เห็นความพยายามของผม ขอบคุณครับเจ้าพ่อเจ้าแม่ ขอบคุณพี่พร้อมที่ตอบตกลงเสียทีครับ

ผมก้มลงกราบโทรศัพท์ด้วยความดีใจเปี่ยมล้นและถลาออกจากห้องนอน ลงไปชั้นล่าง พ่อกับแม่ยังนั่งดูละครช่วงหัวค่ำกันอยู่

“หนูจะไปดูหอพักแล้ว ขอเงินไปวางมัดจำด้วยนะ”

“อ้าว! หอในเขาเปิดให้จองแล้วเหรอ” พ่อถาม

“หนูจะอยู่หอนอก ให้หนูอยู่หอนอกเถอะนะ” ผมทรุดตัวลงไปนั่งแหมะกับพื้นพลางเกาะขาบิดาและช้อนสายตาขึ้นมอง

“หอในไม่ดีเหรอ ประหยัดกว่า ปลอดภัยด้วย อยู่ในมหาวิทยาลัยไปไหนก็สะดวก” พ่อยังยกเหตุผลมาโน้มน้าว

“แต่หนูไม่อยากอยู่รวมกับคนอื่น ถ้าเกิดรูมเมตมีโรคประจำตัวล่ะ อย่างเป็นเกลื้อนงี้หรือไวรัสตับอักเสบเอบีซีดีอี ถ้าเขาเป็นคนซกมกไม่ยอมซักเสื้อผ้า ถ้าเขาเป็นพวกนอนกรนล่ะ...”

“เดี๋ยว ๆ” แม่ส่งเสียงพูดเบรก “ที่พูดมามันเกินไปหน่อยมั้ง บอกมาตามตรงดีกว่าอยากอยู่หอนอกเพราะอะไร รึตั้งใจจะพาผู้ชายคนนั้นเข้าห้อง”

ชะอุ้ย! หม่ามี้ช่างรู้ใจเสียจริง ๆ แต่ถึงโดนจับได้ผมก็ยังยืนกระต่ายขาเดียว

“เปล่าซะหน่อย หนูไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับคนอื่น” ผมยังอ้างตาใส “คิดดูนะแม่ หนูนอนคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งถ้าต้องตื่นมาแล้วเห็นใครเดินอยู่ในห้อง คงตกใจตายล่ะ”

“รูมเมตไม่ใช่ผี” แม่พูด

“แล้วทำไมไม่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน พ่อจำได้ว่าแกอยากเข้าที่นั่นไม่ใช่เหรอ”

“แต่มอที่สอบติดภาษีดีกว่านะ มีแต่พวกเก่ง ๆ เท่านั้นแหละที่จะสอบได้ ชื่อเสียงดีกว่า หนูคิดว่าถ้าเรียนจบมาคงหางานทำได้ง่าย”

“อ้าว! แล้วตกลงว่าไม่กลับมาขายของที่บ้านแล้วเหรอ” พ่อถามน้ำเสียงตกใจ

ลืมเลยอะ ว่าเคยบอกพ่อไว้จะกลับมาขายของที่บ้าน เอายังไงดี “ก็กลับมาขายแต่พอหนูเรียนจบพ่อจะเลิกขายของยกร้านให้หนูเลยเหรอ ก็ไม่ใช่อย่างนั้นนี่เพราะงั้นตอนที่พ่อยังทำงานอยู่ หนูจะไปทำงานบริษัทสักแป๊บก่อน”

“ไอ้ได้นะได้ แต่แกคิดดีแน่แล้วเหรอ”

“ไม่ได้ตั้งใจอยู่หอนอกเพราะคิดจะพาผู้ชายมานอนที่ห้องหรอกใช่ไหม” แม่ยังโพล่งถามย้ำ

“หนูคิดดีแล้วและจะไม่ทำอะไรให้พ่อแม่เสียใจด้วย ไม่ต้องห่วงนะ”

พ่อกับแม่หันมองหน้าสบตากันคล้ายจะปรึกษากันอีกรอบ

อยากมีโมเมนต์นี้กับพี่พร้อมบ้างจัง ...แค่มองตาก็รู้ใจ

“ตกลงอยู่หอนอกก็ได้ จะไปดูวันไหนก็บอก”

“แล้วจะไปกับใคร” แม่ยังถาม รู้สึกว่าติดใจเรื่องพี่พร้อมมาก ไหนตอนนั้นว่ายอมรับได้แล้วไงล่ะ

“ไปกับรุ่นพี่” ผมเลี่ยงตอบทว่ามารดายังซักฟอกไม่เลิกทำให้จำต้องบอกออกไป

“รุ่นพี่ที่ไหน”

“ก็พี่คนนั้นแหละ”

แม่เงียบไปเลยเมื่อได้ยินคำตอบ

“หนูแค่ชวนเขาไปช่วยหาหอพักเฉย ๆ เขาเรียนอยู่ที่นั่นมาตั้งปีแล้วนะ”

“ตกลงที่เลือกเข้าที่นั่นเพราะผู้ชายเหรอ” พ่อถามเสียงดังขึ้นมาอีก ท่าทีมองคล้ายกำลังกรุ่นโมโห

ผมชะงักกลั้นหายใจ ถ้าเป็นไปได้อยากหายตัวจากตรงนี้แล้ว ทำไมพ่อกับแม่เชื่อมโยงเก่งจังแถมยังทำงานเป็นทีมสามัคคีมาก เล่นยิงคำถามใส่ผมแบบนี้แล้วจะให้ตอบยังไงล่ะ

“ก็มีส่วน” เสียงผมเบาอ้อมแอ้มลงทันควัน

“วุ้น การเข้ามหาวิทยาลัยหรือการเลือกคณะมันคืออนาคตของแกนะ ทำไมถึงเอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับคนอื่น คิดบ้างหรือเปล่าถ้าเรียนไม่ไหวขึ้นมาจะทำอย่างไร ไหนต้องอยู่ห่างบ้านอีก เจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาจะไม่มีแม่คอยดูแลหรอกนะ”

จ๋อยไปเลย...

ผมขยับตัวนั่งพับเพียบ ประนมมือขึ้นกลางอก “ผมขอโทษครับ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกก่อน แต่เรื่องพี่คนนั้นผมคิดดีแล้ว และเขาก็เป็นแค่แรงบันดาลใจให้ผมลองตั้งใจพยายามอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ถึงต่อจากนี้ผมจะต้อง...” สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพราะไม่อยากพูดออกไปให้เป็นการแช่งตัวเอง แต่เพื่อให้พ่อกับแม่มั่นใจ... เอาวะ!

“ถึงต่อจากนี้ ผมจะต้องอกหักจากพี่เขา ผมก็จะไม่มีทางนำมันมาเป็นสาเหตุทำให้ผลการเรียนแย่ลง ผมจะตั้งใจเรียนเหมือนตอนที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้”

“แกพูดเองนะ”

“ครับ” ผมขยับท่าทางอีกครั้งเปลี่ยนเป็นชูมือขึ้นสามนิ้ว “ด้วยเกียรติของผู้ชายใจแกล้วกล้า ข้าขอสัญญาว่า...”

“ไม่ตลกได้ไหม”

“ชะอุย!” ผมแกล้งส่งเสียงอุทานเมื่อเจอคำพูดดักทางของแม่ ก่อนขยับเกาะขาของบิดาไว้เช่นเดิม

“ตกลงพ่ออนุญาตแล้วเนอะ”

“เออ จะไปวันไหนก็มาบอก”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ ลุกขึ้นยืนวิ่งปร๋อกลับขึ้นไปบนห้อง ต้องคุยกับพี่พร้อมเพื่อกำหนดวันไปเดตอีก


READ 8:23 PM “พี่ว่างเมื่อไหร่”

“ต้องถามน้องนั่นแหละจะมาเมื่อไหร่” 8:41 PM


โห้! ถามกลับมาเหมือนชวนหาเรื่องเลยแฮะ

ผมจึงเช็ดดูกำหนดการอีกรอบ

“ไปดูหอก่อนวันรายงานตัวแล้วกัน วันที่รายงานตัวพ่อแม่ไปด้วยเขาจะได้ไปส่งที่หอพักเลย” ผมพึมพำพูดกับตัวเอง ก่อนกดพิมพ์ข้อความซึ่งเป็นวันที่ที่ตนเองสะดวก


“ได้” 8:45 PM

“จะมาถึงตอนกี่โมง” 8:45 PM

READ 8:46 PM “เอาสักสิบครึ่งนะ”

“ใกล้ถึงวันนัดไลน์มาเตือนด้วยล่ะ” 8:46 PM


“อะไรต้องเตือนด้วย ใช่ซี่เค้ามันไม่สำคัญนี่” ถึงจะบ่นไปอย่างนั้นผมก็ยังยิ้มแต้ออกมาอยู่ดี จะได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ แล้ว มันต้องดีใจเป็นธรรมดา

ระหว่างที่รอเวลาให้ถึงวันนัด ผมลองเสิร์ชหาข้อมูลร้านข้าวแถวนั้นมาเตรียมไว้ด้วย ตั้งใจจะบอกว่าให้แนะนำร้านข้าวหน่อย แต่ถ้าพี่เขาตอบว่าไม่รู้จะได้งัดข้อมูลออกมาบอก เออใช่... บอกว่าเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยพาไปดูหอพักก็ได้ เดี๋ยวหิ้วข้าวหลามไปฝากอย่างที่บอกไว้ จะได้กลายมาเป็นลูกเขยบ้านใจแกล้วกล้า ...ความคิดนี้ก็ดี

นอกจากหาข้อมูลร้านข้าว (ร้านข้าวธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่ภัตตาคารหรูหราหรอกนะ ผมไม่ได้รวยขนาดนั้น) ผมยังซื้อเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสำหรับออกเดต ปกติสวมแต่เสื้อยืดกางเกงยีนทว่าออกเดตทั้งทีมันต้องทำให้คู่เดตประทับใจใช่ไหมล่ะ ผมต้องไปเดินหาตั้งหลายตลาดนัดแน่ะว่าจะได้เสื้อผ้าที่โดนใจ ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปซื้อตามห้างสรรพสินค้าเพราะว่ามันแพงครับ

เอาไว้ผมได้เข้าไปเรียนในกรุงเทพเมื่อไหร่ จะหาเวลาว่างไปทำงานพิเศษด้วยเพื่อเก็บเงินไว้พาพี่พร้อมไปเดต ผมคิดไว้ถึงป่านนั้นแล้วล่ะ

และแล้ว… วันเวลาที่น่าจดจำสำหรับผมก็มาถึง วันที่ผมนัดกับพี่พร้อมว่าจะไปดูเรือนหอด้วยกัน

อุ้ย! ว่าไปนั่นแต่แอบคิดอยู่ในใจอะ

เช้านั้นผมตื่นแต่เช้าเพราะกว่ารถบัสปรับอากาศสาธารณะที่วิ่งรับคนทั้งโลกจะเดินทางไปถึงบางนาให้ผมต่อรถไฟฟ้าไปมหาวิทยาลัย มันต้องใช้ระยะเวลาเดินทางนานมาก ผมไม่กล้านั่งรถตู้เท่าไหร่เพราะกลัวไปไม่ถึง หวั่นเกรงว่ามันจะหงายท้องลงข้างทางหรือกระโดดไปชนกับรถยนต์อีกฝั่งถนนเสียก่อน

เลยขอเลือกเดินทางช้า ๆ แต่ชัวร์ดีกว่า

ผมโหลดเพลงลงโทรศัพท์ไว้เพียบ งานนี้ไม่มีเหงาแน่นวล

ลั่นล้ากับการเดินทางสัญจรอยู่หลายชั่วโมง ผมจึงพาตัวเองไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด โชคดีที่มีรถไฟฟ้าถึงมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นผมคงหลงไปเดินเล่นอยู่แถวสะพานพุทธแน่ ๆ รถราในกรุงเทพนี่น่างงงวยที่สุด

อธิบายก่อน จังหวัดบ้านเกิดของผมเจริญไม่น้อยหน้าใครเพราะปริมาณนักท่องเที่ยวกับมนุษย์เงินเดือนทำงานในโรงงานมหาศาล ทั้งห้าง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ทั้งสวนสนุก โรงเรียน มหาวิทยาลัยและโรงเรียนติวเตอร์มีครบทุกอย่าง ผมจึงไม่จำเป็นต้องถ่อออกจากบ้านเกิดเพื่อไปเผชิญความลำบากที่อื่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่พร้อม วันนี้ผมก็ยังนอนแผ่ตีพุงอยู่ที่บ้านนั่นแหละ

พอมาถึงผมก็ส่งไลน์ไปให้เขา เขาตอบกลับมาว่าให้ไปรอที่ประตูมหาวิทยาลัย ผมไปยืนรอสักพักเขาส่งข้อความมาอีกว่า


“อยู่ไหนเนี่ย” 10:47 AM

READ 10:47 AM “อยู่หน้าป้ายชื่อมหาลัยเลย”

“ตรงไหน” 10:47 AM

“พี่ก็อยู่แถวหน้าป้าย” 10:47 AM


อ้าว!!!

ตอนนั้นในหัวผมมีแต่คำอุทาน มันว่างเปล่านึกอะไรไม่ออก ในใจอยากเบะปากร้องไห้อยู่รอมร่อ ผมก็ยืนอยู่หน้าป้ายนะถึงมันจะดูเล็กไปหน่อยก็เหอะ


“ถ่ายรูปส่งมาให้ดูหน่อย” 10:48 AM

READ 10:48 AM (ส่งรูป)

“นั่นมันประตูหลังม.” 10:48 AM

“ทำไมไม่มาประตูหน้าล่ะ” 10:48 AM

READ 10:49 AM “แล้วต้องทำยังไงอะ”

READ 10:49 AM “ToT”

“ถ้าเห็นวินวิ่งอยู่แถวนั้นให้เรียกเลย” 10:49 AM

“บอกให้เขามาส่งที่ประตูหน้า” 10:50 AM


ผมกวาดสายตามองหาพี่วินมอเตอร์ไซค์ตามคำสั่ง ทันได้เห็นพี่เขาคนหนึ่งกำลังขี่รถมาจึงโบกเรียกอย่างว่องไว

“พี่ครับ ไปประตูหน้ามหาลัยครับ”

พี่เขาพยักหน้ารับพร้อมส่งหมวกมาให้ ผมก็กระโดดขึ้นคร่อม จากนั้นเขาบิดคันเร่งออกตัวบื้ดไปอย่างรวดเร็ว ถึงช่วงที่มีลูกระนาดก็เบียดขอบถนน ให้ล้อแทรกผ่านร่องแคบ ๆ ไม่กี่นาทีต่อมา ผมจึงได้เห็นหน้าพี่พร้อม อยากถลาเข้าไปหาทันทีอยู่เหมือนกันแต่ต้องจ่ายค่าพี่วินก่อน

“พี่พร้อม” ผมร้องเรียกยิ้มกว้างเดินเข้าไปหา สีหน้าเขาดูแปลกใจเล็กน้อยพานให้ผมจิตตกเริ่มกังวล

...หรือสภาพผมดูแย่มาก ผมคิดขณะยกมือลูบหัวลูบผมจัดทรงให้เข้าที่ หลบสายตาเขาอย่างเก้อประหม่าถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองหิ้วข้าวหลามมาด้วย

“พี่ครับ ผมเอามาฝาก”

คราวนี้เขาชะงักไปอีก ผมจึงลดมือลง “เดี๋ยวผมถือให้ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถือเอง” เขายื่นมือมารับถุงไป

ถึงจะเป็นถุงใสแบบที่เห็นชัดเจนว่าบรรจุอะไรไว้ด้านในแต่ผมคิดว่าข้าวหลามบ้านผมออกจะกิ๊บเก๋ ไม่ได้ดูบ้านนอกมากนะ เลยพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก

“ไปกันยัง” เขาถาม เมื่อผมพยักหน้าเดินนำผมข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อรอรถเมล์และพาผมลงป้ายที่สอง เดินตามฟุตบาทอีกระยะหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าซอย  ไกลมากแต่มีความสุขมากเหมือนกัน ผมชะลอฝีเท้าเดินตามหลังเขา แอบมองด้านข้าง นึกอยากถ่ายรูปเก็บไว้แต่กลัวเขาจับได้เลยต้องเดินตามแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

หอพักที่เขาพาผมมาดูเป็นอาคารสูงร่วมสิบชั้น สองข้างทางมีแต่หอพักดูเงียบสงบ

“ถ้าไปเรียนนั่งวินไปก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับพาขึ้นรถเมล์ จำสายที่มาได้หรือเปล่า”

ผมรีบพยักหน้าหงึก ๆ ถึงส่วนใหญ่จะมองแต่พี่เขากระนั้นผมยังมีสำนึกเรื่องชีวิตความอยู่รอด จึงต้องตั้งใจจดจำหมายเลขรถเป็นพิเศษ

เขาพาผมเดินไปติดต่อห้องชั้นล่าง

“ห้องที่จองไว้นะครับ” พี่พร้อมพูดจบพี่ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบกุญแจ เดินออกมาล็อกประตูห้องกระจกสำหรับพนักงานและนำหน้าไปที่ลิฟต์ พาขึ้นมาชั้นสี่ ถัดจากลิฟต์มาอีกห้องหนึ่ง เธอไขเปิดเข้าไปพร้อมอธิบายว่าในห้องมีอะไรให้บ้าง ค่าเช่าเท่าไหร่ ต้องวางค่าประกันกับมัดจำอีกเท่าไหร่ ผมเดินสำรวจดูห้องน้ำ ดูฝ้าห้องน้ำและเปิดประตูออกไปดูระเบียง ก่อนกลับมามองสำรวจฝ้าในห้องอีกรอบ ถ้าเป็นไปได้อยากหาไม้มากระทุ้งทุกแผ่นเลยว่ามันแข็งแรงดีหรือเปล่า เพราะกลัวว่าวันดีคืนดีจะมีเพื่อนโผล่ออกมา

ผมตัดสินใจตอบตกลงทันที ก็ตั้งใจมาแล้วและเหลือบสายตามองพี่พร้อมที่กลับมายืดตัวยืนตรงหลังยืนพิงกรอบประตูมาตลอด

หลังจากนั้นลงมาข้างล่างจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายและแจ้งวันเข้าพัก เมื่อเรียบร้อยผมจึงหันไปพูดกับพี่พร้อมว่า

“แถวนี้มีร้านข้าวหรือเปล่าครับ”

“ก็ร้านแถวหน้าปากซอยนั่นแหละ”

ขากลับเขายังพาผมเดินอีกเช่นเดิม และพาแวะเข้าร้านข้าวขาหมูอย่างไม่ลังเล

“พี่ชอบเหรอ” ผมลองถาม

“เข้ามานั่งในร้านเขาแล้วจะให้ตอบยังไงล่ะ” เขาถามกลับหน้าตาย ก่อนหันไปสั่งอาหารกับพี่พนักงานเสิร์ฟที่เดินตามมาที่โต๊ะ

“ข้าวหมูแดงหมูกรอบพิเศษไข่ต้มครับ” พี่พร้อมสั่งของตัวเองเสร็จถึงได้หันมาถาม ผมไม่เคยกินแล้วจะรู้ไหมว่าอะไรอร่อย

“เอาแบบพี่เขาครับ” ผมยิ้มบอกพี่พนักงานอย่างสิ้นคิด เห็นแว็บ ๆ ทางหางตาว่าอีกฝ่ายชะงักด้วยสีหน้าประหลาดอีกแล้ว พอผมหันไปตั้งใจมองกลับกลายเป็นว่าเขากำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์

“แล้วหอพี่อยู่ไหน”

“อีกฝั่ง” เขาเหลือบตามองหน้าผมเล็กน้อย

“อ้าว! ทำไมพี่พร้อมไม่พาผมไปดูหอที่พี่อยู่ล่ะ ถ้าผมมีการบ้านจะได้ถือไปให้พี่สอนได้”

“อยู่มหาลัยไม่มีการบ้านแล้ว”

“จริงดิ”

“เออ การบ้านมันสำหรับเด็กมัธยมกับประถม”

อาหารมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว อยากจะบอกว่าหน้าตาน่ากินมาก

“มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงนะ ตอบแทนที่พี่อุตส่าห์ลำบากพาผมมาหาหอพัก”

เขาพยักหน้ารับคล้ายไม่ใส่ใจพานให้ใจผมห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย ก่อนพยายามเรียกแรงฮึดบอกตัวเองว่า มันก็ธรรมดาของช่วงแอบรักนั่นแหละ เดี๋ยวพอเขาชอบเราชีวิตก็แฮปปี้ดี๊ด๊า

อย่างไรก็ดีเมื่อได้ตักข้าวเข้าปาก ความสุขก็มาเยือนเหมือนกันเพราะมันอร่อย หม่ำไปจนอิ่มแปล้จึงควักเงินออกมาจ่ายค่าเสียหาย จากนั้นพี่พร้อมได้พาผมข้ามฝั่งมาขึ้นรถเมล์ไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัยและพาขึ้นรถรับส่งที่วิ่งในมหาวิทยาลัยไปดูอาคารคณะ

ในอกปลื้มปริ่มกับความเอาใจใส่ของเขาขึ้นมาทันที นอกจากนั้นเขายังพาผมไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าหลังมอด้วย อยากอยู่กับเขาต่ออีกนิด แต่พอคิดว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้เจอเขาทุกวันแล้ว ผมจึงตัดใจได้ในที่สุด

ผมยกยิ้มกล่าวขอบคุณเขาอีกหนก่อนเดินขึ้นบันไดสะพานลอยข้ามฝั่ง เมื่อพ้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหันไปมองเขาอีกรอบทันได้เห็นเขากำลังขึ้นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยพอดี ผมยืนมองจนภาพของเขาลับหายไป

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านมาให้ความสนใจเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้และขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์แรงเชียร์ค่ะ ขอแจ้งว่าตอนต่อไปจะนำมาลงอัปเดตให้อ่านในวันที่ 4 สิงหาคม 2561 นะคะ อย่างไรก็ฝากติดตามด้วยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Manse.ya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รออ่านต่อค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 8 ผมอกหัก



พ่อกับแม่ขับรถพาผมมารายงานตัวและส่งเข้าหอพัก ท่านทั้งสองเดินสำรวจห้องอย่างที่ผมทำในคราวแรกก่อนจะมาช่วยลงมือจัดของ จากนั้นขับรถพาผมไปซื้อของกินมาตุนที่ห้องเพราะเห็นว่ามีตู้เย็นให้พร้อม ส่วนถนนหนทางต้องไปทางไหนอย่างไรก็ใช้ผู้ช่วยสารพัดประโยชน์อย่างกูเกิ้ล ราว ๆ สี่โมงเย็นถึงได้ฤกษ์ร่ำลา ส่วนน้องสาวของผมเธอไม่ได้มาด้วยเพราะความขี้เกียจ
คืนแรกที่ผมต้องนอนในที่อยู่แห่งใหม่ มันโหวง ๆ เหงา ๆ ชอบกล

READ 9:21 PM “พี่”

READ 9:21 PM “เหงาอะ”

“แล้ว?” 9:23 PM

READ 9:23 PM “จะมีผีโผล่มาปะ”

READ 9:23 PM “ผมกลัวผีอะ”

READ 9:24 PM “นอนไม่หลับแน่เลย”
“ก็ไม่ต้องนอน” 9:24 PM

“แต่ถ้าวันแรกรับพรุ่งนี้ไม่เห็นหน้ามีเรื่องแน่” 9:25 PM

READ 9:25 PM “โหดจัง”

READ 9:25 PM “เค้ากลัวนะ”

READ 9:25 PM (สติ๊กเกอร์)



หลังจากนั้นผมก็ได้คุยสัพเพเหระกับพี่เขาเรื่อยเปื่อยจนสี่ทุ่มเขาถึงไล่ให้ไปนอน ผมอยากคุยต่ออีกนะแต่ในใจก็อิ่มเอมบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะได้คุยโต้ตอบผ่านข้อความที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่ผมรู้จักเขามา

หรือเห็นหน้าผมแล้ว เขาเลยใจอ่อนชอบผมบ้างเหมือนกัน

โอ๊ย!!! ดีใจ

ผมปิดไฟดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วปิดตาแต่รู้สึกว่าหน้ายังยิ้มอยู่เลย ความรู้สึกเป็นสุขในอกก็ฟูฟ่อง ผมหลับสนิทอย่างเป็นสุข ตอนเช้าตื่นอย่างสดชื่นแจ่มใส อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมออกจากหอเดินไปหน้าปากซอยเพื่อหาข้าวกินก่อนไปมหาวิทยาลัย แถวนั้นมีร้านโจ๊กด้วย ผมจึงแวะเข้าไปนั่งหันเข้าหาถนน มองรถราการจราจรที่แสนติดขัดยามเช้าสลับกับการละเลียดโจ๊กไปพลาง
มองไปมองมาเหมือนเห็นพี่พร้อมแว็บ ๆ คล้ายเขากำลังเดินข้ามถนน ผมขยับตัวลุกลี้ลุกลน อยากลุกออกไปหาแต่ติดว่ายังกินข้าวไม่หมดและยังไม่ได้จ่ายเงินด้วย ขณะที่กำลังตัดสินใจไม่ถูก จังหวะต่อมามีรถเมล์วิ่งผ่านบังสายตาของผมไม่ให้เห็นพี่เขา ครั้นเจ้ารถคันใหญ่เคลื่อนพ้นไปกลับพาพี่พร้อมซึ่งผมเห็นแว็บ ๆ หายไปด้วย

ผมชะเง้อคอพยายามมองหาแต่เสียดายโจ๊กในถ้วย จึงรีบตักใส่ปากและจ่ายเงิน เดินออกไปนอกร้าน กวาดสายตาร้อยแปดสิบองศาก็ไม่เจอ

คงตาฝาดละมั้ง ผมบอกตัวเอง จากนั้นจึงยืนรอจังหวะเพื่อข้ามถนนเดินทางไปมหาวิทยาลัย

ในกำหนดการผมต้องไปรวมตัวที่ตึกคณะ ซึ่งที่นั่นมีพวกรุ่นพี่ตั้งโต๊ะรอลงทะเบียนให้ปีหนึ่งอยู่แล้ว พอต่อแถวรอรับป้ายชื่อเสร็จเขาก็บอกให้ผมไปนั่งรอ คนที่มาก่อนผมต่างนั่งเรียงแถวอยู่ก่อนหน้า

“เฮ้ย!” ฝ่ามือหนาหนักตีลงบนบ่าพร้อมเสียงทักพานให้ผมสะดุ้งตกใจ พอผมหันไปให้เห็นหน้า เขากลับสบถสรรเสริญผมด้วยสัตว์ชนิดหนึ่ง

“ชื่อวุ้น ไม่ใช่เหี้ย” ผมบอกเขาอย่างนอบน้อม

“เอ้ย! ขอโทษที กู... ผม... เราไม่ได้ตั้งใจ”

“ใช้สรรพนามอะไรก็ได้ตามแต่สะดวกเลย”

เขาหัวเราะแห้ง ๆ ตามด้วยประโยคข้อความว่า “พอดีเห็นยืนงง ๆ เลยเข้ามาทัก”

“อ้อ... กำลังเลือกว่าจะนั่งแถวไหนดี”

คนก่อนหน้าเขาจัดเป็นแถวตอนมีเป็นสิบแถว แต่ละแถวสั้นบ้างยาวบ้าง ผมกำลังลังเลว่าควรไปนั่งที่แถวสั้นหรือแถวยาวดี ทว่าคนที่เพิ่งเข้ามาทักกลับลากผมให้ไปนั่งแบบไม่ปล่อยให้ผมตัดสินใจ

“ไม่ต้องเลือกหรอกตรงไหนก็เหมือนกัน” จากนั้นอีกฝ่ายจึงแนะนำตัวว่าชื่อยอ

“ยอ? แบบที่เมื่อก่อนเขาสั่งควายให้หยุดอ่านะ”

ชายหนุ่มคนที่นั่งอยู่ด้านหลังทำท่าเหมือนเงิบไปนิดก่อนจะตั้งสติได้และโต้ตอบกลับมาว่า “มึงเคยเลี้ยงควายด้วยเหรอ” ทั้งยังเน้นชื่อเพื่อนยากของชาวนาสมัยก่อนชัดเจน

ดูเชิงแล้ว ผมกับเพื่อนใหม่จะไปกันไม่รอดแฮะ ดังนั้นเพื่อความสงบสุขในสังคมมหาวิทยาลัยผมจึงพูดขึ้นว่า “เอ้า! หรือหมายถึงที่จับปลาหรือใบยออะ”

“มึงนี่บ้านนอกเนอะ”

จ้า! พ่อมหาจำเริญ

“เพื่อนยอเก่งจังเลยจ้า ฉันมาจากสุพรรณ” ผมพยายามดัดเสียงให้เหน่อเข้าไว้ แล้วคนฟังก็ดันเชื่อ

“จริงดิ กูมาจากสุโขทัย”

เอ่อ... แล้วมันน่าตื่นเต้นตรงไหนวะ ห่างกันตั้งไกล

ในที่สุดการสนทนาอันไร้สาระกับเพื่อนใหม่ของผมก็สิ้นสุดลงเสียทีเมื่อรุ่นพี่ถือโทรโข่งมากดเสียงเรียกร้องความสนใจ ก่อนแนะนำชื่อตัวเอง แล้วก็ร้องเพลงเต้นประกอบดนตรีกันไป มีสอนบูมคณะ บูมมหาวิทยาลัย สอนร้องเพลง สอนเต้น มีได้ไปรวมกับคณะอื่นทำกิจกรรมบ้าง แล้วผมก็โดนเพื่อนยอลากให้ไปเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าสาธารณะตลอดไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในหรือนอกคณะ จนชื่อเสียงเรียงนามของผมเป็นที่รู้จักขึ้นมาในฉับพลัน

กิจกรรมแรกรับมีอยู่สามวัน ทว่าตลอดเวลาผมกลับไม่ได้เจอพี่พร้อมสุดหล่อของผมเลย กระทั่งเย็นวันที่สาม พวกรุ่นพี่มารวมตัวกันหนาแน่นมากกว่าวันแรก ผมถึงได้เห็นหน้าพี่เขาเสียที

“เอาละน้อง ๆ มาถึงกิจกรรมสำคัญกันแล้ว เลือกดาวเดือนจ้า”

แต่เหมือนว่าพี่เขาจะมีเล็ง ๆ ไว้อยู่แล้วมั้ง เพราะเขาเรียกชื่อออกมาเลย ที่สำคัญผมฟลุ๊กติดกับเขาด้วย

“น้องวุ้นยิ้มแป้นเลยนะคะ” พี่แป๋วถือไมโครโฟนเดินเข้ามาหา ที่จริงเขาให้แต่ละคนแนะนำตัวนั่นแหละ

“ครับ เพราะผมรู้ตัวว่าผมหล่อ” จบคำพูดของผมมีทั้งเสียงโห่และเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดถูกใจ จนมีพี่คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่าให้มันเป็นไปเลยดีไหม

“ไม่ดีครับ เพราะผมเป็นคนมีประชาธิปไตยอยู่ในหัวใจ”

แล้วเหล่าลูกคู่ก็โห่รับอีกรอบ พี่แป๋วซึ่งถือไมโครโฟนอยู่จึงบอกให้ทุกคนเงียบและให้ผมแนะนำตัว

“ผมนายนภัสศัย ใจแกล้วกล้า ชื่อเล่นวุ้น ความสามารถพิเศษเต้นไก่ย่าง” หลังประโยคนั้นเสียงกลองรัวขึ้นพร้อมเนื้อร้องทำนองเพลงที่ผมรีเควส แล้วจะรออะไร… ก็เต้นไปสิครับ

แหมอันที่จริงผมเพิ่งรู้ตัวว่ามีความสามารถพิเศษนี้ก็ตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่แหละ

พอเพลงวนครบรอบและหยุดลงผมก็กลับมายืนตัวตรงแน่วด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนยกมือขึ้นแนบหูขออนุญาตถามคำถาม
พี่แป๋วจึงต้องเดินกลับมาหาผม

“ยกมือทำไมคะน้อง”

“ผมมีเรื่องจะถามครับ”

“ค่ะ ว่ามา”

“ทำไมเพื่อนยอถึงไม่ได้รับเลือกให้ลงสมัครเดือนคณะละครับ” ผมว่ามันก็หล่อนะ สูงหุ่นดี หน้าตาไปวัดได้สบาย ๆ เลยแต่ไหงพวกรุ่นพี่ไม่เลือกมาด้วย

พี่แป๋วถามว่ายอไหน พอชี้มือไปพร้อมกับคำสั่งออกไมค์ให้เจ้าของชื่อยืนขึ้น พี่เขาตอบกลับมาว่า “พอดีน้องเขาติดสินบนไว้แล้วว่าขอไม่ลงสมัครเดือนน่ะค่ะ”

“งั้นผมขอติดสินบนบ้างได้ไหม”

“ไม่ได้ค่ะ” แหมตอบปฏิเสธแบบไม่ทันคิดเลยอะ

หลังจากการแนะนำตัวเป็นการตอบคำถามแสดงทัศนวิสัยและความคิดเห็น โดยให้รุ่นพี่ที่อยู่ในที่แห่งนี้และเพื่อนร่วมคณะเป็นคนตัดสินเลือกว่าใครจะเป็นดาวและเดือน ด้วยวิธีการเขียนชื่อคนที่เลือกใส่กระดาษและหย่อนลงกล่อง
หลังรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นอธิบายจบเธอก็เริ่มถามคำถาม ทุกคนต่างได้คำถามของตัวเอง จนในใจของผมเริ่มเต้นโครมครามเพราะความตื่นเต้น ฟังคนอื่นตอบคำถามแบบไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เพราะมัวแต่กังวลจนมาถึงคำถามของตัวเอง

“คุณมีวิธีลดภาวะโลกร้อนอย่างไรในแบบของคุณเอง”

“ขอบคุณสำหรับคำถามครับ สำหรับวิธีลดภาวะโลกร้อนของผมคือไม่โกรธครับ แล้วก็ยิ้มเยอะ ๆ ถ้าคนเราอารมณ์ดี อารมณ์เราก็จะไม่ร้อนและโลกก็จะไม่ร้อน”

ไม่มีเสียงกรี๊ดกร๊าดนะมีแต่เสียงหัวเราะและหลายคนที่ทำหน้าเงิบไม่เข้าใจว่าไอ้นี่มันตอบอะไร ตอนแรกผมอยากจะแนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งด้วย แต่พอดีไม่ได้ค่าโฆษณาเลยคิดว่าไม่พูดดีกว่า

การเลือกดาวเดือนจบลงที่พวกพี่เอากระดาษลงคะแนนไปแอบนับ เขาให้รุ่นน้องตัวเล็ก ๆ อย่างพวกผมกลับเข้าไปนั่งประจำที่ จากนั้นให้แบ่งแถวจับพี่เทค แต่พี่เทคจะมาในรูปของกระดาษต้องไปตามหาตัวว่ารุ่นพี่ผู้โชคดีนั้นคือใคร และมีเกมลงโทษสำหรับคนที่หาพี่เทคไม่เจอ

ผมจึงเริ่มภาวนาในใจว่าขอให้จับได้พี่พร้อม

เมื่อถึงคิวของผม กระดาษคำใบ้ของผมก็เขียนคำว่า “มีครบทุกอย่าง”

ผมยิ้มแก้มปริทันที

คนอื่นอาจคิดว่าพี่เทคคนนี้มีครบตั้งแต่บ้าน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือและสารพันแต่ในฐานะคนที่รู้จักรุ่นพี่เป็นการส่วนตัว (ก็รู้จักอยู่คนเดียวนั่นแหละ) ผมย่อมต้องนึกถึงเขาเป็นอันดับแรก ทั้งยังนึกขอบคุณเจ้าพ่อเจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่ในใจ
พอเสร็จสิ้นการจับพี่เทคผลการเลือกดาวเดือนก็ออกพอดี แน่นอนว่าไม่ใช่ผม ถึงจะรู้ตัวว่าหล่อแต่ผมไม่ได้อยากเป็นตัวแทนคณะไปแสดงความสามารถขนาดนั้นหรอก คือไม่มีความสามารถอะไรด้วยไง

จากนั้นรุ่นพี่ก็ปล่อยให้แยกย้ายกลับบ้าน ผมจึงรีบตรงดิ่งเข้าไปหาพี่พร้อมทันที

“สวัสดีครับ” ผมพูดพร้อมยกมือไหว้งาม ๆ “น้องเทคพี่ใครอะ”

ที่พวกรุ่นพี่ต้องมารวมตัวกันก็เพื่อดูหน้ารุ่นน้องที่ตัวเองต้องดูแลด้วยละมั้ง เพราะตอนที่จับสลากได้เขาให้อ่านด้วยว่าข้อความเขียนอะไรไว้บ้าง

“ไม่ต้องมาอยากรู้” เขาพูดเหมือนรำคาญ

“งั้นพี่รู้ปะใครเป็นพี่เทคผม” ก่อนจะล้วงหยิบลูกอมในกระเป๋าส่งให้

ลูกอมเม็ดนี้ไม่ได้ซื้อมานะ ได้ฟรีมา ได้รับแจกตอนไปทำกิจกรรมรวมทุกคณะ

“ฝากให้พี่เทคของผมด้วยนะครับ บอกว่ารุ่นน้องที่น่ารักขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

พอเขายื่นมือออกมารับผมก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที คนมันเขินอยู่นานไม่ได้หรอก อิอิ

ครั้นค่ำมืดก็ส่งข้อความไปถาม

READ 8:16 PM “พี่”
READ 8:16 PM “เอาลูกอมให้พี่เทคผมหรือยัง”

“ให้แล้ว” 8:20 PM

READ 8:20 PM “กำลังทำไรอยู่”

READ 8:20 PM “กินข้าวยัง”

“กำลังจะกิน” 8:21 PM

“ไว้ค่อยคุย” 8:21 PM


คิดอยู่ในใจว่าห้วนไปหน่อยนะแต่เมื่อนึกถึงว่าเขากำลังจะกินข้าวผมจึงไม่ได้ติดใจอะไร และคืนนั้นก็ไม่มีข้อความใด ๆ จากเขา ผมเองก็ไม่ได้อยากส่งไปเซ้าซี้เพราะถึงอย่างไรก็ต้องไปเจอกันที่มหาวิทยาลัยอยู่ดี

หลังกำหนดเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ ที่คณะยังมีนัดรวมให้ซ้อมร้องเพลงให้ซ้อมบูมอยู่เรื่อย ๆ และมีการเข้าห้องเชียร์ ก็การที่พวกรุ่นพี่มาแหกปากตะโกนปาว ๆ ให้เจ็บคอเล่นนั่นแหละแต่เพียงชั่วพักชั่วครู่ แล้วเขาก็ไป จากนั้นจะมีสันทนาการมาปลอบประโลมพวกรุ่นน้องให้หายจากอาการปวดหูด้วยการร้องเพลงเต้นแร้งเต้นกา

ก่อนปล่อยให้พวกผมกลับบ้าน พวกรุ่นพี่ได้มีกระดาษคำใบ้หรือจดหมายน้อยจากพี่เทคมาส่งให้ด้วย

ผมยิ้มแก้มปริตอนรับมาถือและเปิดอ่าน

‘สวยมาก’

อ้าว! อ้าว! อ้าว! และอ้าว! ถ้าไม่เกรงใจจะขอสักร้อยอ้าว! คือ... มันคืออะไรอะ มาแบบนี้ก็แสดงว่าพี่เทคผมไม่ใช่พี่พร้อมนะสิ อะไรวะ โคตรดับฝันอะ

ผมถอนหายใจ อารมณ์ตอนนี้มันไม่อยากตามหาพี่เทคแล้ว จะเป็นใครก็มาเหอะ สวยแค่ไหนก็ไม่สนง่ะ

“เป็นไรเพื่อนวุ้น หน้าตาเหมือนรมบ่จอย” ยอเดินเข้ามาถามพร้อมยกแขนขึ้นพาดบ่าผมไว้ ผมจึงยื่นกระดาษคำใบ้ของพี่เทคให้ดู

“ว้าว! ดีไม่ใช่เหรอ ใครวะสวยมาก ในคณะมีปีสองหน้าตาดี ๆ หลายคนนะ” เขาพูดพลางสอดส่องสายตามองหา

“ที่รู้น่าจะเป็นคุณหนูด้วยมั้ง ใบแรกเขียนว่ามีครบทุกอย่าง”

“ฮะ?”

“หือ” เห็นอีกฝ่ายส่งเสียงอย่างแปลกใจ ผมจึงส่งเสียงถามกลับไปบ้าง

“อ้อ เป็นสาวสวยที่เป็นคุณหนู” จู่ ๆ ก็กลายเป็นพยักหน้าเออออรับคำซะงั้น

“แล้วของมึงล่ะ” สนิทกันแล้วครับ ใช้สรรพนามพ่อขุนรามได้เต็มที่

“อ้อ... กูรู้แล้วว่าเป็นใคร”

“จริงดิทำไมรู้เร็วนัก มึงรู้จักรุ่นพี่คนไหนเป็นพิเศษเหรอ ตอนประกวดเดือนก็ทีแล้ว ถ้าติดสินบนได้ทำไมไม่บอกบ้าง”

“อ้าว! ไอ้นี่! ไม่ใช่ว่าตอนที่ได้รับเลือกมึงยิ้มแป้นหน้าบานเหรอ”

“ก็ภูมิใจแหละที่ตัวเองหล่อ แต่ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะ ไอ้เดือนคณะอะไรเนี่ย ไม่อยากมีปัญหาทีหลัง”

“ปัญหาอะไร ที่บ้านไม่ให้ทำกิจกรรมเหรอ”

“เปล่า” ผมบอกปฏิเสธเพราะคิดเผื่อไปล่วงหน้ากรณีที่ผมกับพี่พร้อมได้คบกันจะได้ไม่ยุ่งวุ่นวายมาก เป็นเดือนก็เหมือนเป็นคนของสังคมนั่นแหละ ความคิดดาราไปอีกไหมล่ะ ก่อนบอกยอไปว่า “ช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอยู่แล้ว”

“แหม! อดเสือกเลย”

โถะ! นึกว่าเป็นห่วง!

จากนั้นยอก็ชวนผมไปกินข้าว เป็นร้านที่อยู่ข้างมอแต่ต้องนั่งรถเมล์ไปเพราะไกล ขี้เกียจเดิน กินข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายทางใครทางมัน

ผมก็นั่งรถเมล์กลับหอ ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความคุยกับพี่พร้อมไปด้วย


READ 7:08 PM “พี่”

READ 7:08 PM “พี่เทคผมสวยแค่ไหน”

“ก็ประมาณหนึ่ง” 7:52 PM


ว่ากันตามจริงก็เริ่มท้ออีกแล้ว การจีบใครสักคนเนี่ยมันโคตรเหนื่อยเลย ยิ่งเขามีปฏิกิริยาตอบรับแบบเย็นชาหมางเมิน ไม่ค่อยสนใจ ผมก็เริ่มกลับมาถามตัวเองอีกรอบ

ชอบเขาจริงเหรอ นี่มันความรักแน่หรือวะ อาจจะหลงเพราะเขาหน้าตาเหมือนผู้ชายในฝันก็ได้

พอคิดถึงเรื่องความฝัน ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง

ทำไมถึงฝันได้ยาวและชัดเจนขนาดนั้นได้วะ อาจจะทะลึ่งลามกไปนิดแต่ผมยังจำความรู้สึกตอนที่กอดกับเขาได้อยู่เลย

ตอนที่ผมกำลังคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ผมกลับมาถึงห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพาตัวเองมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงหนังสือที่เรียนไปวันนี้ออกมากางอ่านทวนซ้ำขณะที่ถือโทรศัพท์มือถือ กิจวัตรเดิม ๆ คือนั่งรอข้อความตอบกลับของพี่พร้อมแต่เพราะสัญญากับพ่อแม่ไว้แล้วว่าผมจะไม่ยอมให้เรื่องผู้ชายมาทำให้เสียการเรียน เลยคิดเอาว่าแทนที่จะมานั่งเพ้อเจ้อละเมอไร้สาระ ก็ควรอ่านหนังสือไปด้วย

หรือเพราะผมยังทำไม่เต็มที่ เวลาจะตัดใจเลยเหมือนว่ายังลังเลอยู่

“เอาวะ!” ผมพูดบอกตัวเอง ลองจีบให้เต็มที่อย่างที่ตั้งใจดูก่อน ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่จริง ๆ แล้วค่อยตัดใจก็ยังไม่สาย

ปฏิบัติการของผมก็ง่าย ๆ ด้วยการพาตัวเองเข้าไปในวงโคจรของพี่เขา เสนอหน้าตามติดเป็นขี้ปลาทอง เอาให้รังเกียจกันไปข้าง
ไม่สิ! คิดอย่างนั้นคงทำให้เขารำคาญแน่ ๆ ผมจึงเปิดหน้าเบราว์เซอร์ เปิดหาทฤษฎีสร้างความคุ้นเคย ที่เขาเรียกว่าทฤษฎียี่สิบเอ็ดวัน แต่พอไปอ่านข้อมูลเข้าจริง ๆ มันไม่ใช่เว้ยเฮ้ย! งั้นช่างมันสร้างทฤษฎีของนายนภัสศัยขึ้นมาเองแล้วกัน

แต่เนื่องจากพี่พร้อมไม่ยอมบอกว่าพักอยู่หอไหนกันแน่ ผมจึงทำได้แค่เพียงไปรอเขาที่คณะพร้อมขนมปังและนม จะจีบเขาก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากสิ

นั่งรออยู่นานก็ไม่เห็นเขามาเสียทีจนกระทั่งใกล้เวลาเข้าเรียน ผมจำต้องลุกไปเข้าชั้นเรียนด้วยความเศร้าใจ สงสัยต้องเริ่มด้วยการสืบหาตารางเรียนของรุ่นพี่ละมั้ง

ตกเย็นผมก็รี่ตรงเข้าไปหาเพื่อนยอเลยครับ เพื่อนคนนี้ก็แปลกมันบอกว่าเรียนคนละคลาสกับผมก็จริง แต่ตลอดทั้งวันไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้ว่าลงเรียนวิชาอะไรอยู่กันแน่ วิชาบังคับของปีหนึ่งก็ไม่เคยเห็นหน้าแม้แต่ที่โรงอาหารก็ยังไม่เจอเลย

“ยอรู้จักพวกรุ่นพี่ปีสองเหรอ”

“เออ ทำไมล่ะ”

“อยากได้ตารางเรียนของพี่พร้อมอะ หาให้หน่อยได้ไหม”

“จะเอาไปทำไมจะจีบม... พี่เขาเหรอ”

แม้เขาจะสะดุดคำพูดแบบแปลก ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะตอนนั้นตกใจอยู่ ทำไมมันเก่งจังวะ เดาถูกเผ็งเลย
และคงเพราะอาการชะงักงันของผม คู่สนทนาจึงได้คำตอบทันที

“เฮ้ย!” อีกฝ่ายร้องเสียงหลงหน้าตาตื่น “ทำไมชอบพี่เขาเร็วจัง เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วันเองไม่ใช่เหรอ” แทนที่จะตกใจว่าทำไมผมชอบผู้ชายกลับไปตกใจเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น แปลกคนจัง

แต่ผมก็ยอมตอบ “ไม่ได้เพิ่งชอบ ชอบมาเป็นปีแล้ว เนี่ยที่ตามมาเข้าที่นี่เพราะตั้งใจว่าจะมาจีบพี่พร้อมเลย” ผมได้ยินอีกฝ่ายพึมพำว่า ‘ไปชอบมันตอนไหนวะ’ ด้วยล่ะ

“ไม่ได้ขอให้ช่วยอย่างอื่นหรอกน่า แค่ถามพวกรุ่นพี่ให้เรื่องตารางเรียนของพี่พร้อมให้หน่อย” ผมพูดรบเร้าต่อ แต่อีกฝ่ายยังถามย้ำ

“แน่ใจเหรอเรื่องจะจีบ”

“แน่ใจดิ”

“เออ... เดี๋ยวหาตารางเรียนให้แล้วกัน” ยอรับปากแต่หน้าตาไม่ค่อยเต็มใจนัก มิหนำซ้ำยังดูหมดเรี่ยวแรงยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ได้สนใจสีหน้าของเขาสักเท่าไหร่เพราะบรรลุเป้าหมายแล้ว ถ้าได้ตารางเรียนมา ผมจะได้ไม่ต้องเก้อเวลาไปดักรอพี่พร้อมอีก
วันต่อมาซึ่งเป็นช่วงตอนเย็นก่อนเข้าประชุมเชียร์ ยอได้เอาตารางเรียนของพี่พร้อมซึ่งจดด้วยลายมือมาให้ เพื่อไม่เป็นการประมาทผมจึงถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือด้วย

แน่นอนว่าระหว่างวันผมไม่เคยได้เจอกับเพื่อนยออีกเช่นเคย แต่ขอเบอร์กับไลน์มาแล้วนะ พอส่งข้อความไปถามมันก็บอกว่าเรียนอยู่ เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมาก

จากนั้นพวกผมสองคนต้องไปเข้าประชุมเชียร์ฝึกร้องเพลงและโดนพี่ว้ากมาตะโกนใส่ เย็นนั้นมีอัปเลเวลด้วยการให้ลุกนั่งแบบเบาะ ๆ ด้วย

ว้าว! เจ๋งไปอีก รู้สึกได้ถึงความห่วงใยสุขภาพของรุ่นน้องจากรุ่นพี่ (ไม่ได้ประชดนะ) และจบด้วยสเต็ปเดิมคือเหล่าสันทนาการมาให้ความบันเทิงกับรุ่นน้อง

เมื่อรุ่นพี่สั่งให้แยกย้าย ยอก็รี่เข้ามากอดคอผม

“ไปกินข้าวกัน”

เพื่อนอุตส่าห์ชวนผมย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว พยักหน้ารับเขาก็เดินนำหน้า

เพื่อนคนนี้พาผมเดินออกนอกมอ ข้ามถนนไปยังแถวที่มีการตั้งร้านขายอาหารให้อารมณ์คล้ายกับตลาดโต้รุ่ง แต่เขาตั้งขายกันแถวฟุตบาท ช่วงที่พวกผมมายังหัววันอยู่เพราะคนน้อยมากกระนั้นก็ยังมีลูกค้า

ยอเดินนำตรงไปยังโต๊ะที่นั่งซึ่งมีลูกค้าจับจองอยู่ก่อนหน้า โต๊ะนั้นเป็นคู่หญิงชายแต่ฝ่ายชายนั่งหันหลังให้ทีแรกผมจึงไม่รู้ว่าใคร เข้าไปใกล้ถึงได้เห็นว่าเป็นพี่พร้อม ผมยังคิดว่าเพื่อนรู้ใจอุตส่าห์พามาหาคนที่ชอบแต่ความจริงไม่ใช่

“อ้าว! เลิกแล้วเหรอ”

“พาวุ้นมาด้วย” ยอพูด

พี่พร้อมแค่หันมองและพยักหน้ารับ “นั่งด้วยกันก็ได้”

ผมจึงรีบพาตัวเองไปนั่งข้างพี่พร้อมทันที จากนั้นพี่พร้อมก็แนะนำผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยกันให้ผมรู้จัก

“นี่ดีไซน์แฟนพี่เอง”

ผมสบถเป็นชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ในใจ หันมองยอซึ่งมันเบือนหน้าหนีคงเพราะรู้อยู่แล้ว อารมณ์ของผมตอนนั้นจึงกึ่ง ๆ เหมือนฟ้าผ่าตามที่เขา (ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้) ชอบเปรียบเปรยกัน ตัวมันจะชา ๆ มึน ๆ เหมือนโดนคิติคอลฮิตติดสตั้น สมองผมว่างเปล่าขาวกลวง แต่ยังอุตส่าห์บอกตัวเองให้ยกยิ้มทักทายได้

รู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก

จากนั้นเหมือนกระแสไฟฟ้าล้านโวลต์จะค่อยสลายไปและเริ่มบังเกิดความรู้สึกปวดแปลบในอก ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวแต่ในใจมันโหวง ๆ บอกไม่ถูก เหมือนสำนึกได้ว่า ‘เฮ้ย! ต้องตัดใจจริง ๆ แล้วล่ะ’ ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังบอกตัวเองให้ลองทุ่มเทอย่างเต็มที่อยู่เลย

ยอหันมาถามผมเรื่องสั่งข้าว ผมก็ยังมีแก่ใจตอบว่า “เอาผัดกะเพราทะเล” เพราะห่างบ้านมานานเลยคิดถึง และหันไปพูดกับพี่พร้อม

“พี่ดีไซน์สวยมากเลยพี่ คบกันมานานยังอะ”

“ตั้งแต่มอห้า ก็จะสี่ปีแล้วปะ” ประโยคสุดท้ายผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างผมเขาหันไปถามแฟน พี่ผู้หญิงคนนั้นเขาก็พยักหน้าเออออแล้วหันมาบอกผมว่า

“เรียกพี่ไซน์เฉย ๆ ก็ได้ ดีไซน์มันเต็มยศเกินไป”

คำตอบของเขาทำให้ผมเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างและดูเหมือนว่ายอเองก็รู้จักกับพี่พร้อมอยู่แล้ว พวกเขาคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้สัพเพเหระ เมื่อข้าวของผมถูกนำมาเสิร์ฟ ผมก็กินแต่รู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อย ไม่เหมือนร้านป้าแถวบ้าน สงสัยทะเลไม่สด

หลังกินเสร็จพวกเราก็แยกย้ายทางใครทางมัน พี่พร้อมต้องไปส่งแฟนเขากลับบ้านพอคล้อยหลังทั้งสองคนนั้นแล้ว ผมจึงหันไปพูดกับยอว่า

“ขอบคุณมึงนะ”

“เรื่องไหนอะ”

“มึงก็รู้ว่าเรื่องไหน” ผมบอกพร้อมยิ้มให้ อาการโหวง ๆ ในอกยังคงอยู่แต่ผมคิดว่าผ่านไปสักคืนได้นอนหลับสักหน่อย ผมคงหายดีแล้ว

“ตอนนี้จะได้ตัดใจจริง ๆ ได้เสียที”

“มึงไม่เป็นไรนะ”

“เออดิ กูแค่... แอบรักเขาอยู่ข้างเดียวแล้วก็อกหักเอง จะให้กูฟูมฟายเหมือนญาติเสียหรือไง” ผมพูดและยกยิ้มส่งให้เขา

“ขอบคุณอีกที”

ยอใจดีมาก เขาอุตส่าห์เดินมาส่งผมที่หอก่อนตีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยเมื่อเห็นอาคารที่ผมอยู่อาศัยพานให้ผมใจเสียไปด้วย

“ทำไมอะ มันมีข่าวไม่ดีในหอเหรอ”

 “เปล่า” เขาตอบ “หอนี้ดี... ว่าแต่มึงหาหอจากในเน็ตเหรอ”

“เปล่าอะ พี่พร้อมเขาช่วยหาให้”

“อ้อ” เขาตอบรับแค่นั้นก่อนจะยกมือโบกลา

ค่อยยังชั่ว... นึกว่าอกหักแล้วต้องมาอกสั่นขวัญแขวนกับสิ่งลี้ลับอีก



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 9 ผมงงแล้วนะ



ตอนที่ผมลืมตาตื่นพบว่าสถานที่ที่ผมนอนอยู่กลับไม่ใช่ห้องในหอพัก

ที่มองเห็นเป็นฝ้าเพดานสูงซึ่งน่าจะทำมาจากไม้ ห้องกว้างโล่งโปร่งไม่ร้อนซ้ำไม่ได้เย็นอย่างกรณีใช้เครื่องปรับอากาศ ที่สำคัญมองไม่เห็นเครื่องทำความเย็นที่ว่านั่นด้วยและเมื่อพลิกตัวก็ได้เห็นเขานั่งมองผมอยู่ ร่างกายจึงลุกเด้งพรวดขึ้นโดยอัตโนมัติ

“พี่?”

“อย่าเพิ่งลุกเจียวซิน นอนลงก่อน” เขาขยับมาประคองตัวผมให้นอนลงอีกครั้ง

แต่เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมได้ยินเขาเรียกผมว่าเจียวซิน เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย

พอได้สติกวาดสายตาพิจารณารอบตัวอีกหนปรากฏว่าผมกลับมาอยู่ยุคโบราณอีกแล้ว

โอ้! บร๊ะเจ้า! ตกลงมันเกิดอะไรกันแน่วะ

ผมยกมือขึ้นกุมขมับ

“ปวดหัวหรือเจียวซิน รอประเดี๋ยวข้าให้คนไปนำยามาแล้ว” เขาพูดพร้อมเปลี่ยนที่นั่งจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งบนเตียง แต่ว่าเตียงที่ผมนอนอยู่มันกว้างมากพอให้กลิ้งไปกลิ้งมาได้สบายเลยล่ะ

“ที่นี่ที่ไหนครับ” ผมถามเพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ย้อนมาอยู่ยุคนี้คือผมโดนธนูยิงตายไปแล้ว ไหงถึงมานอนอยู่บนเตียงได้และถ้าจำไม่ผิด นี่ไม่ใช่ห้องของเขา

“บ้านของเจ้าเยี่ยงไรเล่า”

“บ้านผม? แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นี่”

“ข้าก็มาที่บ้านเจ้าเป็นปกติ”

“มานั่งอยู่ข้างเตียงผมก็ปกติด้วยเหรอ” ผมถามกลับ ส่วนหนึ่งอะสงสัยแต่อีกใจคือเหม็นขี้หน้า ถึงเขาจะไม่ใช่พี่พร้อมทว่าหน้าตาเหมือนกัน ผมจึงเคืองทั้งคู่นั่นแหละ

“เพราะข้าสำนึกผิด”

“สำนึกผิด?”

“ที่ทำให้เจ้าตกน้ำจนไม่สบาย”

หือ! ตอนนี้ผมไม่สบายอยู่เหรอ เอ้ย! ไม่ใช่ดิ! ทำไมมันกลายเป็นตกน้ำไปได้ กำลังจะถามออกไปแล้วเชียวเรื่องสงครามกับแคว้นฉู่แต่เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกชื่อ ผมจึงพยายามยันตัวลุกอีกรอบ เขาจึงเข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น

“เจ้าตื่นแล้ว ดีเหลือเกิน ข้าให้คนยกยากับน้ำแกงมาให้เจ้าแล้ว ดื่มน้ำแกงอุ่น ๆ เสียหน่อยเจ้าจะได้หายเร็วขึ้น”

“ท่านพี่ทำไมต้องตื่นเต้นด้วย ผมไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย” เห็นสีหน้าท่าทางเขาแล้วทำให้ผมต้องรีบปลอบ

“เจ้าไม่รู้ ตอนที่ขึ้นจากน้ำหน้าเจ้าซีดเพียงใด โตจนป่านนี้แล้วเมื่อไหร่จะหยุดวิ่งซนเสียที”

อ้าว! แล้วไหงกลายเป็นวิ่งซนจนตกน้ำไปได้ล่ะเนี่ย

“แต่เขาบอกว่าเป็นความผิดของเขา” ชี้มือพลางพูด พี่ชายของคุณซุนเจียวซินจึงมีสีหน้าเหยเกคล้ำเครียด ประสานมือค้อมศีรษะและพูดว่า

“รัชทายาทอย่าถือสาน้องชายของเกล้ากระหม่อมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

เอ๋!!! รัชทายาท! หมายถึงเหยียนจิ่นลี่อะนะ เขายังไม่ได้เป็นต้าอ๋องเหรอ งง!

แต่สถานการณ์แบบนี้ผมไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรหรอกเลยได้แต่หุบปากฟังเขาคุยกัน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวขอโทษ ควรเป็นข้าเสียอีกที่ต้องขอให้เจ้าอภัย ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจียวซินคงไม่ตกน้ำไปหรอก”

“เห็นมะ เขายังยอมรับเลย” จบประโยคของผมปุ๊บพี่ชายก็หันมาถลึงตาใส่ปั๊บ ช่วยไม่ได้อะ มันห้ามปากไม่ได้นี่นา หลังจากนั้นคนรับใช้ผู้หญิงก็เดินถือถาดเข้ามาในห้อง การพูดคุยของพวกเราจึงหยุดชะงักลง ผมชะเง้อมองของในถาดเห็นน้ำสีดำในถ้วยทั้งสองใบก็นึกแขยงขึ้นมาทันที

“อะไรน่ะ ผมไม่กินเด็ดขาดเลยนะ” ร้องบอกไว้ก่อน

“เจ้าเจ็บไข้อยู่ ไม่ดื่มยาได้อย่างไร” พี่ชายพูด

“จิ้นเหอ เจ้าก็อย่าบังคับเจียวซินเลย”

อ้อ... พี่ชายชื่อจิ้นเหอนี่เอง แต่ได้ยินพวกเขาพูดคุยโต้ตอบกันแล้วผมว่าทั้งคู่น่าจะสนิทกันมากพอควร

“ท่านเองก็ตามใจเขาจนเหลิงแล้ว”

และเมื่อเห็นว่าเหยียนจิ่นลี่เข้าข้าง ผมจึงพูดกับพี่ชายว่า “พี่ไม่ได้เป็นคนต้องดื่มน้ำขมปี๋พวกนั้น คุณไม่เข้าใจหรอกมันทรมานมากแค่ไหน”

“แต่ถ้าเจ้าไม่ดื่มยา เจ้าจะต้องนอนซมอยู่บนเตียงตลอดไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะ”

อ้าว!!! ผมหันไปมองเจ้าของประโยคซึ่งเปลี่ยนข้างไปซะแล้ว

“ตกลงคุณจะอยู่ข้างไหนกันแน่” ผมถาม

“ข้าอยู่ข้างเจ้า” เหยียนจิ่นลี่ตอบกลับมา “แต่ข้าอยากให้เจ้าหายป่วยด้วยเช่นกัน”

เขาหยิบถ้วยยากับช้อนมาถือ ใช้ช้อนคนและเป่าไล่ความร้อนก่อนตักขึ้นจิบ “กำลังอุ่นเลย” หน้าตาของเขาตอนชิมดูเหมือนว่ารสชาติของมันไม่แย่มาก ตอนที่เขาตักมาป้อนใกล้ปาก ผมจึงเผลอซดเข้าไปเต็มที่

“แหวะ! ขมจะตาย”

“หือ... ไม่นะ” เขาพูดแล้วลองตักขึ้นชิมอีกรอบ “ไม่ขมเลย”

อะไรวะ ตอนผมกินรู้สึกว่ามันรสชาติแย่มากเลยนะ ทำไมเขาถึงบอกว่าไม่ขมเลยล่ะ ผมลังเลตอนที่เขายื่นช้อนมาตรงหน้า พอเขาพยักพเยิดรบเร้า ผมจึงกลั้นใจลองอีกครั้ง

“ขมจะตาย คุณกินยังไงถึงบอกว่าไม่ขม”

“อะไรกัน ไหนข้าจะลองกินบ้าง” เมื่อพี่ชายผมพูดอย่างนั้น เหยียนจิ่นลี่จึงส่งช้อนไปให้ เขาตักน้ำยาสีดำเข้าปากแล้วหันพูดกับผมว่า “ขมที่ไหน ไม่ขมเลย คงเพราะเจ้าป่วย ลิ้นของเจ้าจึงทำงานผิดเพี้ยนกระมัง”

บ้าดิ! เชื่อก็กินหญ้าแล้ว

“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าดื่มเป็นเพื่อน” เหยียนจิ่นลี่พูดเมื่อเห็นว่าผมยังมีท่าทีปฏิเสธ เขาหันไปสั่งสาวใช้ที่ยังนั่งอยู่กับพื้นให้ไปยกยามาอีกถ้วย นั่งรอแค่พักเดียวยาอีกถ้วยก็ถูกยกมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าอยากดื่มถ้วยไหน”

ถ้วยไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ

“ข้าจะดื่มก่อน ถ้าข้าดื่มหมดแล้วเจ้าต้องดื่มให้หมด ได้หรือไม่”

เอาจริงดิ!

เขาไม่รอให้ผมทักท้วง ยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนเกลี้ยง ผมมองด้วยความทึ่งเมื่อสีหน้าของเขายังปกติไม่แสดงออกถึงรสชาติอันเลวร้ายที่ได้ลิ้มรส จากนั้นจึงรับถ้วยยาจากสาวใช้มาส่งให้

ผมอยากอิดออดอยู่เหมือนกันนะแต่เห็นวิธีตะล่อมหลอกกินยาของเขาแล้วนึกสงสาร ทั้งที่ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ จึงรับถ้วยถือออกอาการลังเลเล็กน้อยตอนยกเข้าใกล้ปาก และฮึบ! ยกดื่มรวดเดียวให้หมด

รสชาติเกินบรรยายจริง ๆ

พวกเขาส่งน้ำสีดำในถ้วยอีกใบมาให้ผมล้างปาก แต่คราวนี้พอน้ำแตะลิ้นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ยา ผมจึงดื่มไปอีกสองสามอึกก่อนส่งคืน

“รัชทายาท ให้น้องชายของเกล้ากระหม่อมพักผ่อนอีกสักเล็กน้อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคเหมือนถามความเห็นแต่ที่จริงเอ่ยไล่นั่นแหละ ผมจึงช่วยสนับสนุนคำพูดของพี่ชายด้วยการล้มตัวลงนอนและช่วยพูดไล่ “ผมจะนอนพักต่อแล้ว คุณกลับไปได้” กระนั้นกลับโดนพี่ชายถลึงตาใส่อีกรอบ

อ้าว! อะไรอะ อยากให้เขากลับอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

“ได้… วันนี้ข้ากลับก่อน แล้วข้าจะมาเยี่ยมเจียวซินอีกครั้งวันพรุ่งนี้” เหยียนจิ่นลี่พูดแทรกการสื่อสารทางสายตาระหว่างผมกับพี่ชาย เขาช่วยขยับผ้าห่มที่คลุมร่างกายของผมไว้ก่อนลุกเดินออกไปจากห้อง ส่วนตัวผมเองรู้สึกง่วงอยากนอนขึ้นมาจึงหลับตาลงอย่างรวดเร็วและคิดหวังอยู่ในใจว่าถ้าลืมตาตื่นอีกครั้งจะได้กลับไปอยู่ในยุคปัจจุบันของตัวเองซะทีนะ

แต่ไม่ใช่... ตื่นมาอีกรอบ ผมก็ยังอยู่ในร่างของคุณซุนเจียวซิน

ผมไม่เข้าใจระบบการย้อนเวลาของตัวเองเลย อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ผมย้อนเข้ามาอยู่ในร่างของคุณซุนเจียวซินได้ล่ะเนี่ย ครั้งแรกก็แค่สลบวูบจนทำให้เข้าใจผิดนึกว่าตัวเองตายแล้ว ส่วนครั้งนี้ผมเข้านอนตามปกติ ตื่นอีกทีดันมาอยู่ในร่างคนอื่นซะงั้น แล้วต้องทำภารกิจจนตายถึงได้กลับเข้าร่างตัวเองอีกหรือเปล่าวะ

ไม่ดิ! ตอนนี้เหยียนจิ่นลี่ยังเป็นแค่รัชทายาทเพราะงั้นคงไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาหรือผมถึงตายแล้ว

หรือว่านี่คือโลกคู่ขนาน

หรือแค่ฝัน?

แต่ครั้งที่แล้วตอนโดนฟัน... เอ่อ... ตอนโดนดาบฟันกับตอนถูกลูกธนูเจ็บจริงเลยนะ

ฮึ่ย!!! งงกับชีวิต

ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออกโดยแขกที่มาเยี่ยมเยือนเป็นประจำอีกครั้ง ผมนั่งมองเขาอยู่บนเตียงพลางคิดอยู่ในใจ ทำไมเหยียนจิ่นลี่ถึงได้เดินเข้าห้องผมราวกับเดินเข้าห้องตัวเองได้ละเนี่ย ถ้าเป็นตำหนักของเขาก็ว่าไปอย่าง แถมยังถือวิสาสะมานั่งบนเตียงแล้วลูบหัวลูบผมเหมือนสนิทสนมกันมากอีกด้วย

เขาอังหลังมือกับหน้าผากของผมและย้ายมาอังแถวช่วงคอ ปล่อยให้ผมกะพริบตาปริบ ๆ นั่งมองเขา

“ตัวเจ้าไม่ค่อยร้อนแล้ว จะออกไปนั่งเล่นในสวนหรือไม่ เดินหมากสักกระดานและจิบชากินขนมไปพลาง”

พอเขาพูดชวนก็รู้สึกว่าอยากทำขึ้นมาทันที

“ไว้ถ้าเจ้าหายดีเมื่อไหร่ข้าจะพาไปขี่ม้าตามที่เคยสัญญาไว้”

สัญญาอะไรนั่นนะผมจำไม่ได้หรอก แต่มีเสียงเล็ก ๆ คอยบอกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ผมกำลังรออยู่ “จริงนะ คุณสัญญาแล้วนะ”

เขายกมือลูบหัวผมอีกหน ยกยิ้มและรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีทางผิดสัญญาแน่นอน

จากนั้นเขาเรียกบ่าวรับใช้ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผม มาช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หาเสื้อคลุมให้ผมสวมทับอีกชั้นก่อนจับมือจูงผมออกไปด้านนอก

แสงแดดด้านนอกสว่างจ้า อากาศดีแม้จะรู้สึกว่าค่อนข้างเย็น ใบไม้ดอกไม้ผลิดอกแตกใบสวยงาม ผมนึกรู้ขึ้นมาทันทีว่าช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ เหยียนจิ่นลี่พาผมไปนั่งในศาลา บนโต๊ะมีกระดานหมากและสักพักสาวใช้ก็ยกชากับขนมเดินตามมา บรรยากาศผ่อนคลายรื่นรมย์ มันทำให้ความรู้สึกคิดถึงผุดพรายขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก

ผมกับเขาเดินหมากกันจบกระดานก่อนที่เขาจะพาผมกลับมาส่งที่ห้อง น่าแปลกอีกอย่างที่ผมรู้วิธีเล่น รู้วิธีลงหมากราวกับเป็นเกมที่ผมฝึกมาเนิ่นนานแล้ว รูปแบบของกระดานและหมากที่ใช้เล่นจะคล้าย ๆ หมากล้อมที่รู้จักกันทุกวันนี้ แต่มีกฎกติกาอะไรต่างกันหรือเปล่าก็ไม่รู้หรอกนะ ผมรู้จักเกมหมากนี้เพราะหนังสือการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่เคยดังมากในอดีต

หลังจากวันนั้น เหยียนจิ่นลี่เขาก็มาหาผมทุกวัน จนผมต้องถามว่าไม่มีงานมีการทำเหรอและเขาก็ตอบกลับมาว่า

“การดูแลเจ้าก็เป็นงานของข้า”

เป็นคำตอบที่คล้ายหมัดฮุกกระแทกใจเข้าอย่างจัง ฟังเผิน ๆ เหมือนว่าการที่เขามาดูแลผมเพราะเป็นหน้าที่แต่คนระดับเขาไม่ใช่มนุษย์จำพวกเลือกงานไม่ได้ซะหน่อย กระนั้นยังเสียเวลาเกือบทั้งวันมาอยู่กับผม มันเป็นความรู้สึกตื้นตันสุขใจที่ได้เป็นคนสำคัญ

กระทั่งเขาคิดว่าผมหายป่วยดีแน่นอนแล้ว จึงนัดหมายบอกให้พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าและแต่งตัวให้รัดกุมเตรียมตัวไปขี่ม้าเที่ยว คืนนั้นผมจึงดี๊ด๊าแทบนอนไม่หลับจนแปลกใจว่าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา พอรุ่งเช้าผมก็ลืมตาตื่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

บ่าวประจำตัวคนเดิมเข้ามาในห้องอย่างรู้งาน มาคอยช่วยดูแลก่อนที่ผมจะไปร่วมโต๊ะกินข้าวกับพี่ชาย ทว่าตอนไปถึงเหยียนจิ่นลี่กลับมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“ตื่นเช้าเช่นนี้นอนหลับเต็มที่หรือไม่” คุณพี่ชายเอ่ยถามแต่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดแซว ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณซุนเจียวซินตื่นเช้าหรือตื่นสาย แต่เมื่อหลายวันก่อนตั้งแต่ผมลืมตารู้ตัวว่าอยู่ในร่างคนอื่น ผมตื่นสายโด่งทุกวัน ก็นะไม่มีนาฬิกาปลุกนี่นา ไม่ต้องเร่งรีบไปทำอะไรด้วย แล้วจะต้องรีบตื่นไปทำไม ดูเหมือนว่าคุณซุนเจียวซินจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญพอควร งานการอะไรก็ไม่ต้องหยิบจับ

“ถ้าผมนอนไม่เต็มที่จะยกเลิกแผนการวันนี้เหรอครับ” ผมลอยหน้าลอยตาถามแต่ถึงอยากยกเลิกก็ทำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ยอม!!!

“ถ้าเจ้าคิดว่าไปไม่ไหว คงต้องทำเยี่ยงนั้น”

นั่น!!! เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว ผมตวัดสายตาขุ่นเคืองมองเหยียนจิ่นลี่ที่เขาเข้าข้างพี่ชาย กระนั้นอีกฝ่ายกลับแค่ส่งเสียงหัวเราะกลับมา

จากนั้นสำรับอาหารก็ถูกยกเข้ามา จัดการมื้อเช้าเสร็จพวกเขาก็ออกไปหน้าบ้าน ที่หน้าประตูมีคนเตรียมนำม้าออกมารอท่าอยู่แล้ว พอเห็นม้าสีดำตัวใหญ่พ่วงพี ผมรีบวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหามันทันใดพร้อมกับความรู้สึกคิดถึงที่ตีตื้อขึ้นมาในอก ย้อนยุคกลับมาคราวนี้รู้สึกว่าได้เจอแต่สิ่งที่น่าคิดถึง

เจ้าม้าตัวนั้นก็แสนเชื่องเพราะเหมือนว่ามันกำลังไถหน้าเข้ากับมือผมอย่างออดอ้อน ฉับพลันความทรงจำเกี่ยวกับม้าตัวนี้ผุดขึ้นมาให้ระลึกได้

มันเป็นม้าลักษณะดีที่เหยียนจิ่นลี่หามาให้และเหมือนว่าคุณซุนเจียวซินจะรักและสนิทกับมันมาก

“ไปกันเถอะ จะได้ถึงทุ่งหญ้าไม่สาย”

ผมจึงเหยียบโกลนปีนขึ้นหลังม้า มือจับบังเหียน ก็เนาะ! จนถึงป่านนี้ผมไม่นึกสงสัยแล้วว่าตัวเองจะทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ อย่างไม่เคยเรียนภาษาจีนยังพูดได้คล่องปร๋อ เรื่องอื่นจึงไม่สมควรเก็บมาคิดอีกต่อไป

เหยียนจิ่นลี่บังคับให้ม้าเดินเหยาะ ๆ นำอยู่ด้านหน้า พ้นประตูกำแพงเมืองถึงได้ควบเต็มฝีเท้าและกลายเป็นว่าผมกับเขาขี่ม้าแข่งกันกระทั่งไปถึงทุ่งกว้าง ฝีเท้าม้าจึงได้ลดความเร็วลง

ผมยิ้มกว้างทั้งที่ยังเหนื่อยหอบรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ออกแรง (จริง ๆ ขี่ม้าก็เหนื่อยนะถึงจะไม่ได้เหนื่อยเท่าม้าก็เถอะ) เมื่อเห็นเขาโดดลงจากหลังม้า ผมจึงกระโดดลงไปยืนบนพื้นบ้าง จากนั้นเดินตามเขาไปพาม้าไปกินน้ำที่ลำธารซึ่งต้องผ่านทุ่งไปอีกหน่อย

กลิ่นหญ้ากลิ่นน้ำกลิ่นธรรมชาติทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างสดชื่นมีความสุข

“อะไร” ผมถามเมื่อหันไปเห็นสายตาของคนที่มาด้วยกัน

“ไม่มีอะไร แค่มองเจ้า”

“แล้วทำไมต้องมองล่ะ” สายตาของเขาวิบวับเป็นประกาย

“ข้าจะมองคนที่ข้าชอบไม่ได้หรือ”

คำพูดของเขาทำให้ผมเก้อเขิน รู้สึกถึงไอร้อนผ่าวบนใบหน้าก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “ท่านชอบข้าไม่ได้ อีกหน่อยข้าจะแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเจียงแล้ว”

ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ประโยคดังกล่าวกลับทำให้ผมชะงัก คิดไปว่าหรือมิตินี้คุณซุนเจียวซินจะไม่ได้ชอบเหยียนจิ่นลี่

“ถ้าเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นจริง วันมงคลของเจ้าข้าจะส่งของขวัญไปให้” เสียงของเขาหมองลงจนสัมผัสได้ หันไปมองหน้าก็เห็นอีกฝ่ายยกยิ้มทั้งที่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเศร้าใจ หัวใจของผมวูบโหวงเจ็บปวดขึ้นมาทันทีก่อนโผโถมเข้ากอดเขาไว้

“ท่านต้องห้ามข้าสิ จะมาตามใจง่ายดายอย่างนี้ได้เยี่ยงไร” พอผมเอ่ยตัดพ้อเขาก็สอดแขนกอดรัดร่างกายของผมไว้เช่นกัน พร้อมผิวหนังแถวบริเวณหน้าผากสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่แตะแนบลงมา

“คราก่อนยังปฏิเสธเสียงแข็ง โวยวายวิ่งหนีข้าจนตกน้ำตกท่าไป”

“ก็ท่านไม่ให้เวลาข้าเตรียมตัว” ผมเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของเขาที่ทอดมองอยู่ก่อนหน้าพอดี

“แล้วยามนี้เจ้าพร้อมหรือไม่”

ประโยคคำพูดนั้นทำให้ผมฮึดฮัดขัดใจแต่ก็ยอมหลับตาลงเพื่อส่งสัญญาณว่าผมพร้อมแล้ว ก่อนเสียงหนึ่งจะดังแทรกเข้ามา

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

ผมผวาลุกขึ้น หันมองที่มาของเสียงก่อนรีบหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งตั้งปลุกไว้ขึ้นมา กดปิดเสียง จากนั้นจึงยกมือขึ้นกุมขมับ

สบถกับตัวเองซ้ำ ๆ

ผมรู้แล้วว่าฝันบ้าฝันบอนั่นคืออะไร ต้องบอกว่ามันใกล้เคียงกับการระลึกชาติแต่ชาติภพที่ผมระลึกได้มันห่างไกลมาก ซึ่งไม่รู้ว่าผมวนเวียนมาเกิดแล้วกี่ครั้ง

ความทรงจำมากมายไหลบ่าเข้ามาในสมองราวกับสายน้ำหลาก

ซุนเจียวซินเป็นบุตรชายคนเล็กในตระกูล พ่อเป็นแม่ทัพคู่ใจของต้าอ๋องผู้ซึ่งเป็นบิดาของเหยียนจิ่นลี่ แม่เคยเป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮา เหยียนจิ่นลี่กับพี่ชายที่ชื่อจิ้นเหอจึงเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมา หลังซุนเจียวซินเกิดได้สองปีมารดาก็เสียชีวิต จึงถูกเลี้ยงดูโดยพี่เลี้ยงและพี่ชายกับองค์รัชทายาทผู้เป็นเพื่อนของพี่ชาย และอาจเพราะเพื่อนของพี่ชายใจดีคอยตามใจมาตลอด สุดท้ายซุนเจียวซินเกิดแอบชอบเพื่อนพี่ชาย แต่ก็รู้ว่าความรักครั้งนี้เป็นไปไม่ได้จึงพยายามหักห้ามใจตัวเอง และก็มาดีแตกตอนที่เหยียนจิ่นลี่สารภาพรัก เมื่อชายหนุ่มขึ้นครองราชย์ก็ยอมตกลงปลงใจไปอยู่กับเขาง่าย ๆ โดยที่พ่อกับพี่ชายห้ามไม่ได้ แต่สำนึกอยู่เสมอว่าคนรักที่เป็นต้าอ๋องต้องมีรัชทายาท ถึงได้ยินยอมให้เขามีสนมและพยายามเลือกฮองเฮาให้อีกฝ่าย ก่อนต้องเสียชีวิตเพราะแอบตามไปร่วมรบด้วย

ตัวผมในชาติภพของซุนเจียวซินยังไม่อยากตาย พยายามอดทนฝืนยื้อชีวิตตัวเองอย่างที่สุด แต่คงเพราะสิ้นอายุขัยแล้วมั้ง เลยอธิษฐานว่าถ้าได้เจอจะกลับไปรักเขาอีก

โคตรน้ำเน่า!!!

ผมไม่รู้ว่าการที่ตัวเองเห็นความเป็นไปในชาติภพนั้นและระลึกจดจำได้เป็นเพราะแรงอธิษฐานหรือเปล่า แต่ที่ผมรู้ในตอนนี้ สุดท้ายแล้วความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

“ซุนเจียวซิน ตอนนี้เหยียนจิ่นลี่มีผู้หญิงอื่นไปแล้ว เขามีคนรักใหม่แล้ว”

เพราะฉะนั้นความรู้สึกของคุณมันก็แค่ของไร้ค่าเท่านั้น!!!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหมือนชดเชย หรือเอาคืนกันหรือเปล่า
ชาตินู้นอ๋องรักเจียวซิน
พอมาชาตินี้  วุ้นเลยหลงรักพี่พร้อมซะเอง
แต่มันแหม่งๆ รู้สึกขัดใจที่ตามตื๊อพี่พร้อม
ตัดใจได้ก็ดีนะ เขามีแฟนแล้วด้วย  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 10 ผมว่ามันเป็นวิบากกรรม



ผมกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ...

ตื่นเช้าไปเรียน ตกเย็นเข้าประชุมเชียร์ ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนร่วมคลาสและเพื่อนยอที่จะปรากฏตัวให้เห็นบ้าง เลิกส่งข้อความไปเซ้าซี้กับพี่พร้อม พอไม่เริ่มชวนเขาคุยก็ไม่มีข้อความจากอีกฝ่ายเหมือนกัน

วันแรก ๆ เหมือนจะลงแดงเสียให้ได้ มันโคตรของทฤษฎียี่สิบเอ็ดวันเลยแต่ผมทำตัวอย่างนั้นมาเกือบปี มันต้องติดยิ่งกว่าสารเสพติดชนิดไหน ๆ อยู่แล้ว ผมเปิดหน้าต่างกระดานสนทนาของเขาขึ้นมาดูทุกลมหายใจที่ว่าง พยายามระงับนิ้วตัวเองไม่ให้กดพิมพ์ข้อความ ถ้าถามว่าทำไมไม่ลบล่ะ

มันตัดใจไม่ได้อะ ...ชีช้ำก็ตรงนี้แหละ

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็อดทนทำตัวปกติเรื่อยมาแต่มีคนหนึ่งที่บอกว่าผมดูไม่ปกติ

“กูดูไม่ปกติยังไง มึงไม่ได้อยู่กับกูตลอดทั้งวันซะหน่อยอย่ามามั่ว” ผมบอกปัดขณะก้าวเท้าไปตามทางเดิน พอดีเห็นว่าเพื่อนร่วมคณะต่างรอขึ้นรถรับส่งในมหาวิทยาลัยกันเต็มพืด ผมจึงค่อย ๆ เดินไปหน้ามหาวิทยาลัยก็คงไม่ต่างกัน

“มึงจะเห็นตาตัวเองได้ยังไง ถึงมึงจะยิ้มหัวเราะกับคนอื่นแต่นัยน์ตามึงไม่ได้ยิ้มด้วยเลย” ยอคว้าไหล่ดึงให้ผมกลับไปเผชิญหน้า

“แต่กูสบายดี กูเตรียมใจไว้อยู่แล้ว มันแค่มีความรู้สึกอืด ๆ เนือย ๆ แบบไม่ได้ดั่งใจบ้างเท่านั้นมึงไม่ต้องเป็นห่วง”

“เออ... สบายดีก็สบายดี” เขารับคำแล้วเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนพูดว่า “กูขอโทษ”

“เฮ้ย! ไม่ต้องหรอก มึงทำถูกแล้ว ดีกว่าให้กูเพ้อเจ้อไปนานกว่านี้”

“เปล่า กูขอโทษเรื่องอื่น”

ผมจึงมองหน้าคู่สนทนาอย่างแปลกใจ

“ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นนะเว้ย” ยอบอกแล้วยังย้ำว่า “เหยียบให้มิดด้วย”

“ถ้าร้ายแรงขนาดนั้นมึงก็เก็บไว้เหอะ”

“แล้วถ้ารู้ทีหลังมึงจะโกรธหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะ กูเป็นพวกใจกว้าง...” ผมลากเสียงคำสุดท้ายพร้อมวาดมือแสดงท่าทางเพื่อประกอบคำพูด ยอจึงย้ำถามอยู่อีกสองสามครั้งจนมายอมเลิกราเมื่อผมพูดยืนยันหนักแน่น

หลังจากที่คุยกันวันนั้นเพียงไม่นาน ความลับที่เพื่อนยออุบเงียบไว้ก็ถูกแถลงไข สรุปแล้วคนที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นรุ่นพี่ปีสอง

ไอ้xxxยอมันเป็นพี่เนียน!!!

ฮ่วย! เล่นกันยาวนานชะมัด

ตอนที่พี่แป๋วพิธีกรสันทนาการเจ้าเดิมเฉลย ผมได้แต่นั่งเหวอ เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่เคยเจอเขาในคลาสหรือในมหาวิทยาลัยช่วงกลางวันสักครั้ง ยอไม่มีทางได้เรียนคลาสเดียวกับพวกปีหนึ่ง จะเดินกับพวกปีสองก็คงกลัวโดนจับได้ แล้วที่สนิทกับปีสองจนติดสินบนได้อีก

เริ่มคิดตงิด ๆ ว่าน่าจะโกรธมันสักหน่อย

“เอ้า! ต่อไปกิจกรรมเฉลยเทค” พี่แป๋วพูดใส่ไมค์ ทำให้ผมคิดว่าวันนี้พี่ว้ากคงไม่ลงแล้วล่ะ ปีหนึ่งทั้งคณะมีเป็นพัน แค่กิจกรรมนี้อย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว พี่แป๋วอธิบายวิธีการหาพี่เทค โดยให้เดินไปหารุ่นพี่ที่คิดว่าคนนั้นคือเจ้าของกระดาษคำใบ้ หลังจากเจอพี่เทคให้นั่งลง ส่วนคนที่หาเจ้าของคำใบ้ไม่เจอต้องยืนรอรับบทลงโทษ

พอพี่เขาส่งสัญญาณปุ๊บ ทุกคนก็วิ่งกรูแยกย้ายกันออกไป

ต้องบอกก่อนว่าวันนั้นพื้นที่ทำกิจกรรมเป็นลานกว้างบริเวณหน้าอาคารคณะ พวกรุ่นพี่ปีสองก็ยืนล้อมรุ่นน้องอยู่แถวนั้น

ส่วนตัวผมที่ไม่สามารถไขปริศนาได้แน่นอนจึงเดินออกไปหาพี่แป๋วอย่างมาดแมน

“มีอะไรหรือคะน้องวุ้น” พี่เขาถามอย่างสนิทสนมใจดี

“ผมไม่ทราบว่าพี่เทคคนไหนครับ”

“แล้วต้องการให้พี่ช่วยยังไงหรือเปล่าคะ”

“พี่รู้หรือเปล่าว่าพี่เทคผมเป็นใคร”

พี่แป๋วหัวเราะ “จะรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่ลองไปเดินถามดูก่อน”

“พี่ให้เวลาแค่สิบนาทีเอง”

“ไปถามคนที่เล็งไว้อาจจะใช่เลยก็ได้นะ ไปลองดูก่อนเถอะ” พี่เขาคะยั้นคะยอ

ไปถามคนที่เล็งไว้... ไปถามคนที่เล็งไว้... ถึงจะใช่ก็ไม่ดีใจหรอกนะ

ผมหันไปหันมาเห็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยังไม่มีปีหนึ่งเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ ผมจึงตรงดิ่งเข้าไปหา เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนและมีเพื่อนร่วมรุ่นของผมอยู่ด้วย พอผมส่งคำถามออกไปพวกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะกันใหญ่

“พี่ครับ! พี่ครับ! พี่สวยมากเลยมาเป็นพี่เทคผมเอาป่ะ”

“ไหน ๆ เอากระดาษคำใบ้มาดูดิ” พี่อีกคนถามหาของที่สืบสาวไปหาพี่เทคได้

’มีครบทุกอย่าง’ ‘สวยมาก’ และ ‘หมายถึงแฟน’ น่าจะเป็นผู้ชายหรือไม่ก็ทอมนะน้อง”

“เป็นเลสก็มีแฟนสวยได้ครับ” ผมเถียงขาดใจเพราะตอนมอปลาย ผมยังเคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ บางคนคบกันเองเยอะแยะ

พวกเขาบ่นกันพึมพำว่าใครวะ อยู่ครู่เดียวก็ตะโกนส่งเสียงดังว่าใครเป็นพี่น้องวุ้นให้มารับตัวไปหน่อย จนผมอยากถามกลับไปว่า ‘เล่นอย่างนี้เลยหรือครับ’

“ไม่ได้นะคะเพื่อน พวกรุ่นพี่ก็อย่าเปิดตัวไปหาน้องเองนะคะเพราะเราต้องการแรงงานจิปาถะ”

อุ้ย! ท่าจะเดาได้แล้วแหะว่าบทลงโทษจะเป็นอะไร ผมเลยยืนลังเลตัดสินใจว่าจะพยายามหาพี่เทคหรือยอมรับโทษดี ถ้าพี่พร้อมยังไม่มีแฟน ผมคงเลือกพยายามหาพี่เทคอย่างไม่ลังเล แต่เมื่อทางเลือกนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับผมแล้ว ผมขอเลือก...

“หมดเวลาค่า!!!”

เหอ เหอ เหอ ไม่ต้องเลือกแล้ว

“รุ่นน้องที่หาพี่ไม่เจอ ไปยืนฝั่งซ้ายเลยค่ะ รุ่นพี่ไปยืนฝั่งขวา ส่วนรุ่นพี่รุ่นน้องที่พบคู่ของตัวเองแล้วย้ายมานั่งตรงกลาง พี่ ๆ ช่วยดูด้วยนะว่าตรงไหนเป็นคี่ไม่ใช่คู่”

เมื่อทุกคนย้ายไปประจำที่ของตัวเองเรียบร้อยผมจึงหันซ้ายมองขวาสอดส่องสายตาสำรวจเพื่อนร่วมชะตากรรม มีไม่น้อย หลายสิบอยู่

“คนแรกเป็นน้องวุ้นเลยแล้วกัน”

พอพี่แป๋วออกไมค์เรียก ผมจึงรีบวิ่งหน้าเริดไปหา เขาส่งไมค์มาพร้อมถามคำใบ้

“น้องวุ้นคิดว่าคำใบ้ที่ได้มาควรหมายถึงใคร”

“พี่แก้มครับ”

พี่แก้มคือพี่ผู้หญิงที่ผมเดินเข้าไปขอให้เขามาเป็นพี่เทคนั่นแหละ ถึงการที่ผมพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ให้ได้เป็นเพราะพี่พร้อม แต่ถ้าหวืดจากพี่พร้อมแล้วผมก็อยากได้พี่เทคสวย ๆ ไว้อวดคนอื่นนะครับ ขอสาบานเลยว่าผมไม่ได้คิดอกุศลแน่นอน

“พี่แก้มมีแฟนแล้วนะ”

“ผมก็ไม่ได้คิดไม่ดีเหมือนกัน” ผมตอบหน้าตายแต่คงมีหลายคนไม่เชื่อ เสียงโห่จึงกระหึ่มขึ้นมา

“เอาล่ะ เข้าเรื่อง” พี่แป๋วพูดจบก็หันไปถามพี่แก้มว่าใช่พี่เทคของผมหรือเปล่า

“ไม่ใช่จ้า”

“พี่แก้มบอกไม่ใช่ อย่างนั้นพี่จะให้น้องวุ้นคิดคำพูดอ้อนวอนให้พี่เทคยอมเปิดเผยตัว” พูดจบก็จ่อไมค์มาที่ปากของผมทันที ไม่เห็นทำอย่างที่พูดว่าจะให้ผมคิดประโยคอ้อนวอนอะไรนั่น หรือวินาทีเดียวคือเวลาที่พี่ให้!!!

ก็บ่นในใจไปอย่างนั้นแหละ

“พี่ครับ... น้องวุ้นคนซื่ออยากได้คนมาดูแลนะครับ พี่ครับ... พี่เป็นใครช่วยบอกวุ้นที”

“พี่เทคได้ยินอย่างนี้แล้วจะยอมเฉลยไหมว่าตัวเองเป็นใคร ถ้าเป็นกู... กูไม่รับน้องเทคอย่างนี้ว่ะ” พี่แป๋วรีบดึงไมค์กลับไปพูดทันที

อ้าวพี่! ไหงพูดอย่างนั้น 

แล้วก็เงียบจริง ๆ ด้วย ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น

“อ้าว! พร้อมไม่ออกมารับน้องอะ” พี่แป๋วพูดใส่ไมค์อีกรอบ เจ้าของชื่อจึงตะโกนกลับไปว่า “แป๋วยังบอกว่าจะไม่รับน้องแบบนี้มาเทค”

“โอ๊ะโหยย! ได้ยินคำพูดตอกย้ำ มันยิ่งกว่าโดนมีดแทง เจ็บไปทั้งหัวใจดวงน้อย ๆ” ผมแกล้งเซและทำท่าปาดน้ำตา แต่แม่ง!!! รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาจริง ๆ

“พร้อมรีบออกมารับน้องไปดิ” พี่แป๋วพูดเร่ง ก่อนจะหันมาพูดกับผมว่าให้เดินไปนั่งด้านหลังสุดกับพี่เทคได้เลย จากนั้นพี่แป๋วจึงเรียกชื่อเพื่อนร่วมรุ่นคนต่อไปของผมออกมา

“หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้เมื่อเดินมาถึงตัวเขา พลางทรุดตัวลงนั่งเมื่อเขาทำท่านั่งลงด้วยเช่นกัน

พี่พร้อมวางมือบนศีรษะผม ยกยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อกี้พี่พูดล้อเล่นนะ” ผมจึงยิ้มตอบกลับไป

“ผมรู้ครับ พี่ไม่ต้องคิดมาก”

ผมนั่งอยู่ข้างเขาตลอดช่วงทำกิจกรรม แอบคิดอยู่ว่าถ้าเป็นผมเมื่อหลายวันก่อน ...ก่อนที่จะรู้ว่าทำไมตัวเองถึงฝันประหลาด ...ก่อนที่จะรู้ว่าเขามีแฟนแล้ว ช่วงนั้นผมคงมีความสุขมากที่ได้มีโมเมนต์แบบนี้แต่ตอนนี้ผมอึดอัดว่ะ

ผมยังจัดการกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เลยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ทั้งที่ฝืนให้ใบหน้าคงรอยยิ้มไว้

แต่ผมเก่ง!

ถึงจะเหมือนไม่ค่อยมีสติเพราะใจคอยแต่กระหวัดคิดถึงเขา คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กระนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีกระทั่งรุ่นพี่ปล่อยเลิกกิจกรรม

“ไปกินข้าวด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง”

ช่วงเวลาที่ผมชะงักไปเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่เป็นวินาทีที่สมองผุดความคิดมากมายและพยายามหาคำตอบในการกระทำของอีกฝ่าย ผมยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังอ่อยผม แต่ความคิดโต้แย้งก็ผุดขึ้นทันควัน เขากับพี่เนียนยอเป็นเพื่อนกัน การที่ยอพาผมไปเจอเขากับแฟนคงเป็นเรื่องจงใจที่เขาอาจมีส่วนร่วมด้วย คำถามนี้เขาอาจจะลองใจผมอยู่

“เลี้ยงจริงเหรอ ถ้าพี่บอกว่าจะเลี้ยง ไปถึงร้านผมไม่จ่ายจริง ๆ นะ” ผมถามเขา พยายามบิ๊วอารมณ์ตัวเองให้ตื่นเต้นเห็นแก่ของฟรี ปั้นหน้าแบบจะไปถล่มให้เต็มคราบ ให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้คิดอะไร

“เออจริงดิ เดี๋ยวชวนยอกับน้องเทคมันไปด้วย” เขาพูดพลางมองหาคนที่มีชื่ออยู่ในประโยค แล้วเดินเข้าไปหาคนที่ถูกพูดถึง ผมจึงทำท่ากระตือรือร้นเดินตามไปด้วย

อย่างที่ผมเคยพูดกับยอไว้ ผมไปแอบรักเขาเอง แล้วอกหักเพราะไม่ยอมถามเขาก่อนว่ามีแฟนหรือยัง ผมว่ามันก็มีแต่ตัวเองนี่แหละที่ต้องจัดการกับความรู้สึกซึ่งมันยังหลงเหลือ ลูกผู้ชายใจแกล้วกล้าแบบผมมีแต่ต้องเผชิญหน้า ความคิดหนีไม่เคยอยู่ในสมอง

อย่างที่โบราณเขาว่าไว้ ‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’ ห่างหายไปแล้วความรู้สึกที่มีไม่ยอมจางไป ดังนั้นต้องเปลี่ยนเป็นเจอหน้าทุกวันบ้าง ความบ้าเวิ่นเว้อจะได้หมดไป

หลังจากที่พี่พร้อมบอกความต้องการของตัวเอง ยอได้หันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเล็กน้อยแต่ผมยิ้มแป้นให้ตาหยี ไอ้ที่เขาบอกว่าดูแววตาจะได้มองไม่เห็น ก่อนเข้าไปเกาะแขนปะเหลาะ

“พี่ยอครับ... พี่ยอ... พี่ยอสมควรพาน้องวุ้นไปเลี้ยงเพื่อไถ่โทษข้อหาที่ทำเนียนมาแสนนานนะครับ” ท้ายประโยคผมทำเป็นกัดฟันพูด แสร้งทำให้เขารับรู้ว่ากูไม่ให้อภัยนะเว้ย

“ไหนมึงว่าใจกว้าง จะไม่โกรธ”

“นั่นเพราะมึงยึกยักท่ามากไม่ยอมพูดซะที กูรำคาญเลยพูดไปงั้น ๆ แหละ” ผมตอบทันควัน

“อ้าว! ไอ้น้องวุ้น ตอนนี้กูเป็นพี่มึงนะเว้ย”

“แล้วไงไอ้พี่ยอ! ยอ...” ชื่อของเขาคำสุดท้ายผมลากเสียงเล็กน้อย ถ้าเคยดูขวัญเรียม เวลาเขาสั่งควายให้หยุดเขาร้อง ‘ยอ’ แบบลากเสียงนิด ๆ นั่นแหละอารมณ์นั้นเลย และเจ้าของชื่อก็รู้ตัวว่าโดนล้อเลียนอยู่ มันจึงแยกเขี้ยววาดแขนมารัดคอผมไว้จนต้องดิ้นกระแด่ว ๆ

พี่พร้อมและน้องเทคของยอมองแล้วส่งเสียงหัวเราะ ก่อนพี่พร้อมจะพูดว่า “ตกลงไปไหมมึง”

“ไปดิ! ไปร้านหมูกระทะแล้วกัน ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ตั้งใจไปถล่ม”

พี่ยอยังไม่ได้ปล่อยคอผม เขาทำท่าประกอบท่าทางด้วยการเอามืออีกข้างมาขยี้หัวผมอย่างเมามัน จากนั้นหันไปแนะนำน้องเทคให้ผมกับพี่พร้อมรู้จัก

“น้องไอริณ”

กับไอริณจะเรียกว่าไม่รู้จักเลยก็ไม่ใช่ ประมาณว่าเคยเห็นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้เสียมากกว่า ไอริณเป็นสาวแว่นตัวเล็ก น่ารักไม่หยอกเลยล่ะ

เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกผมจึงเคลื่อนขบวนไปยังร้านอาหารจุดหมาย

พี่พร้อมพูดเปรยออกมาอีกประมาณว่าถ้าบอกสายเทคแล้วคงมีนัดกินเลี้ยงอีกรอบ ผมจึงยกยิ้มกว้าง “ดีจัง! จะได้กินของฟรีอีก”

การเดินทางไปร้านหมูกระทะต้องนั่งรถเมล์ไป หลังลงจากรถยังต้องเดินต่ออีกเล็กน้อย

ร้านที่รุ่นพี่ทั้งสองคนเลือกเป็นร้านใหญ่ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ตั้งเรียงเป็นแถวไว้รองรับลูกค้า มีพนักงานคอยดูแลหาโต๊ะ ได้โต๊ะที่นั่งเรียบร้อย พี่พร้อมก็จับจองที่นั่งปล่อยให้คนอื่นไปตักของที่อยากทานกันตามใจ ตอนที่ผมถือจานหมูจานเนื้อและสรรพสัตว์ทั้งหลายกลับมาที่โต๊ะ ก็เห็นพี่เทคผมกำลังก้มหน้าก้มตาเคร่งเครียดอยู่กับโทรศัพท์ ตรงหน้าเป็นเตาย่างที่พนักงานยกมาวางไว้ให้

“พี่พร้อมไปตักของดิ เดี๋ยววุ้นเฝ้าโต๊ะให้เอง”

“อ้อ... เรากินก่อนเลยไม่เป็นไร” เขาเหลือบตามองผมแค่แว็บเดียวแล้วก้มหน้าพิมพ์ข้อความระรัว

เห็นอย่างนั้นแล้วหมั่นไส้อะ! ทีกับผมนะ แม่งไม่เห็นเคยส่งข้อความยาว ๆ มาคุยบ้าง และด้วยอารมณ์นั้นผมจึงไม่สนใจผู้ชายที่เคยแอบชอบอีก คีบสรรพสัตว์ที่ผมตักมาขึ้นย่างบนเตา พอพี่ยอกลับมาที่โต๊ะเขาเลยส่งเสียงดุทันที

“มึงกะจะกินคนเดียวเลยเหรอไอ้น้องวุ้น วางหมูตัวเองเสียเต็มกระทะเลย”

“เต็มที่ไหน ฝั่งนั้นยังเหลือ” ฝั่งที่ผมเอื้อมมือไปไม่ถึงมันยังว่างตั้งเยอะ ผมงอน! เลยคีบหมูที่วางเรียงไว้กลับมาสุมตรงหน้าตัวเองเท่านั้น หันไปเห็นจานที่ไอริณถือมาจึงเอ่ยถามชวนคุยบ้าง

“ไอริณกินแค่นั้นจะอิ่มเหรอ”

“ก็หมดแล้วเดี๋ยวค่อยลุกไปตักใหม่ ไม่อยากเอามาเยอะ กินเหลือเขาปรับนะวุ้น”

“เออ... ถ้าเหลือกูจะให้น้องวุ้นจ่ายค่าปรับเอง”

“ไม่เหลือหรอกน่าไอ้พี่ยอ!!!” ผมกระแทกเสียงตอบกลับ รู้สึกเหมือนไม่มีใครรักผมเลยว่ะ

“แล้วมึงไม่ไปตักอะไรมากินเหรอ” พี่ยอหันไปถามพี่พร้อม คนถูกถามจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบว่าเออเดี๋ยวไป พี่ยอจึงแสดงออกถึงความเผือกด้วยการชะโงกหน้าไปดูหน้าจอว่าพี่พร้อมคุยกับใคร

“มีเรื่องอีกแล้วเหรอมึง”

“ไม่มีอะไรหรอก” ฟังดูก็รู้ว่าตอบแบบขอไปที

แต่ผมเห็นแล้วสงสารว่ะ ก็นะอารมณ์ของคนแอบชอบเห็นคนที่ตัวเองชอบเคร่งเครียดขมวดคิ้วไม่มีความสุขพานให้รู้สึกไม่มีความสุขไปด้วย ผมจึงหยิบถ้วยตรงหน้าพี่เขาหงายขึ้น คีบหมูลงไปวางไว้ให้และแกะตะเกียบวางไว้ข้างกัน

“พี่พร้อม นี่นะ... เดี๋ยวไม่มีแรงพิมพ์” เขาจึงเหลือบตาขึ้นมายกยิ้มให้เล็กน้อยและก้มหน้าดูข้อความต่อไป แต่สักพักเขาก็ใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นนั้นเข้าปาก

ผมแอบมองอยู่ตลอดแหละ พอเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าดีใจว่ะ หลังจากนั้นผมจึงย่างหมูใส่ปากตัวเองบ้าง คีบใส่ถ้วยพี่พร้อมบ้าง แต่สรรพสัตว์อื่น (ที่ผมตักมา) ผมกินเองคนเดียวเพราะผมตักมาตามความชอบของตัวเอง เมื่อทุกอย่างหมดเกลี้ยงผมก็อิ่มพอดี แต่ยังลุกไปตักหมูมาย่างให้พี่พร้อมต่อไปจนไอริณพูดแซว

“ดูแลพี่เทคดีจังเลยเนอะ”

“ไอริณก็อยากให้เค้าดูแลเหรอ” ผมแซวกลับเพราะต้องการเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัว เห็นหมูตรงหน้ากำลังสุกพอดีจึงคีบใส่ถ้วยอีกฝ่าย

“เค้าให้นะ” พูดบอกแล้วทำท่าเขินอายบิดตัวไปมา

“น้องเทคกู อย่ามาทำกะลิ้มกะเหลี่ยไม่เข้าท่า” พี่ยอไม่พูดเปล่ายังล้วงน้ำแข็งในแก้วมาปาใส่ผมด้วย สกปรกที่สุด!!!

และระหว่างที่ผม พี่ยอและไอริณคุยเล่นกัน พี่พร้อมก็ยังคงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ส่งข้อความอยู่เช่นเดิม ความจริงมันมีช่วงที่พี่พร้อมวางโทรศัพท์อยู่บ้าง แต่สีหน้าท่าทางของเขายังดูรู้ว่ากำลังหงุดหงิดอารมณ์เสีย พอเห็นแบบนั้นแล้วผมจึงเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ช่วงรอจ่ายเงิน พี่พร้อมก็ขอตัวออกไปโทรศัพท์ขณะที่ไอริณไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงได้จังหวะถามพี่ยอ

“พี่พร้อมเขาเป็นอะไรเหรอ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

แต่หน้าตาของผมคงจะแสดงออกถึงความกระหายใคร่รู้มากเกินไป คู่สนทนาจึงตอบกลับมาว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ต้องมายุ่ง”

“อะไร! ตัวเองอายุมากกว่าแค่ปีเดียว จะเป็นผู้ใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว”

“ก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กบางคนที่รี่ตามผู้ชายมาสอบเข้ามหา’ลัยเดียวกับเขานั่นแหละ”

อุก!!! โดนคำยอกย้อนเข้าไป ทั้งจุกทั้งเจ็บเลยทันที

“เฮ้ย! เฮ้ย! อย่าร้องกูขอโทษ”

“บ้าเดะ! ใครจะร้องไห้เพราะคำด่าแค่นี้กัน” แต่เมื่อกี้ก็แอบน้ำตาซึมอยู่เหมือนกันนะ กระนั้นผมก็ส่งสายตาเคืองกรุ่นไปให้อีกฝ่ายและสะบัดหน้าหนี

เมื่อไอริณกลับมาและพี่พร้อมกับพี่ยอจ่ายค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกผมจึงเดินทางกลับ ทีแรกพี่ยอจะนั่งรถเมล์ตามไปส่งไอริณที่บ้าน แต่เธอปฏิเสธบอกว่าบ้านตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย สุดท้ายจึงยืนรออยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจนกระทั่งส่งไอริณขึ้นรถเมล์เรียบร้อย พวกผมหนุ่ม ๆ ทั้งสามถึงเดินทางกลับด้วยเช่นกัน

ผมกับพี่พร้อมลงป้ายเดียวกัน จากนั้นหันไปยกมือไหว้เขาหนึ่งทีแล้วมุ่งหน้าเดินเข้าหอ หลังมาถึงห้อง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องเฟซบุ๊กของพี่เขา

เขายอมรับแอดผมเป็นเพื่อนแล้วล่ะ ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ พอผมบอกว่าจะแอดไปเขาก็ยอมกดรับให้ แต่หน้าฟีดของพี่พร้อมไม่ค่อยมีอะไรอัปเดตภาพอะไรก็ไม่ค่อยมี สงสัยเขาคงเล่นอินสตาแกรมมากกว่ามั้ง แต่ผมตั้งใจว่าจะไม่ตามสืบตามหาแล้ว กลัวเจอภาพบาดตาบาดใจ สักพักถึงได้ล้มตัวลงนอน

แค่ทำเหมือนไม่ได้ชอบผู้ชายคนนั้น มันก็ไม่ได้ยากนักหรอก...


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แค่ทำเหมือนไม่ได้ชอบผู้ชายคนนั้น มันก็ไม่ได้ยากนักหรอก.............
เลิกชอบไปเลย .......ไอ้พี่พร้อมน่ะ  หมั่นไส้   :z6: :z6: :z6:
ท่าจะโดนแฟนทำให้เสียใจละสิ   :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ช่วงเวลาอึนๆ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อึนจังงงงงงง :ling1: :ling1: :ling1: :ling2:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 11 ผมว่าเขากำลังอ้อย


“อ้าว!!! ทำไมมากันแค่สองคนเองล่ะ”

หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างผมยกยิ้มและพูดตอบไปว่า “แค่ไปซื้อของเองค่ะพี่แป๋ว เลยตกลงให้จันทร์กับวุ้นไปกันสองคน รายการของที่ใช้ก็จดมาหมดแล้ว”

“แล้วจะถือกันกลับมาไหวเหรอ แค่สองคน?” รุ่นพี่ปีสองยังถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่ยอบอกว่าจะขับรถไปให้ครับ” ผมตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม

พี่เนียนยอเคยบอกว่ามาจากสุโขทัยใช่ไหมครับ แต่ที่จริงที่อยู่ปัจจุบันของผู้ชายคนนั้นอยู่ในกรุงเทพฯ มิหนำซ้ำยังเป็นคุณหนูลูกเศรษฐี พ่อแม่มีธุรกิจผลิตขนมและผลไม้แปรรูปอบแห้งที่ส่งขายต่างประเทศ ได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจการที่บ้านของอีกฝ่ายทีแรก ผมยังร้องอุทานในใจว่า ‘ผ้าขี้ริ้วห่อทอง’ ชัด ๆ

ส่วนคราวนี้เขาเห็นว่าพวกผมต้องไปซื้อของมาทำพานไหว้ครูกันเลยอาสามาช่วยขับรถรับส่งจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินเป็นค่าแท็กซี่หรือลำบากขึ้นรถเมล์

ดังนั้นพี่แป๋วจึงอือออรับคำก่อนย้ำว่าถ้าไปซื้อของแล้วต้องขอบิลเงินสดเพื่อนำมาเบิกเงินกับสโมสรนักศึกษา พร้อมอธิบายว่าในบิลเงินสดต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง

ผมจึงกดสิ่งที่พี่เขาบอกบันทึกลงในโทรศัพท์มือถือ แล้วเดินออกไปรอแถวหน้าตึกซึ่งนัดกับพี่ยอไว้ทว่าคนที่มาหากลับเป็นพี่พร้อมซะงั้น

ผมกับจันทร์ยกมือไหว้ตามธรรมเนียมที่ดี ก่อนจันทร์จะเอ่ยถามชายหนุ่มรุ่นพี่

“พี่พร้อมมาทำอะไรเหรอคะ”

“ก็มาขับรถพาเราสองคนไปซื้อของ”

พอได้ยินคำตอบผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาคนที่เคยรับปากผมไว้ทันที และได้คำตอบกลับมาว่าเขามีธุระด่วนต้องไปกับที่บ้าน เลยขอให้พี่พร้อมมาขับรถให้แทน

“จะไปกันหรือยัง” พี่พร้อมถาม หน้าตาเขาเฉย ๆ น้ำเสียงพูดก็เฉย ๆ แต่ผมรู้สึกทะแม่ง ๆ ล่ะ สงสัยโรคคิดเข้าข้างตัวเองจะกำเริบ

จันทร์หันมามองผม ผมจึงพยักหน้าก้าวเท้าเดินนำหน้าเพื่อนร่วมรุ่น พี่พร้อมก็หมุนตัวเดินนำไปที่รถ เห็นรถแล้วชะงักไปนิดถึงมันจะเป็นรุ่นนิยมในท้องตลาดแต่ก็เป็นรถอเนกประสงค์ราคาหลายตังค์

ก็เข้าใจ สมัยนี้ไม่ว่าใคร ๆ ก็มีรถขับไม่อย่างนั้นรถยนต์จะเต็มท้องถนนไปหมดอย่างทุกวันนี้เหรอ แต่ใจหนึ่งผมยังรู้สึกแปลก ๆ แบบว่าเพิ่งพ้นวัยทำใบขับขี่มาได้ไม่เท่าไหร่ พ่อแม่ก็ซื้อรถให้ขับแล้วเหรอวะ ตอนพี่ยออาสาขับรถมารับผมก็ถามเขาออกไปตรง ๆ เหมือนกัน ถึงรู้ว่าบ้านเขามีรถหลายคันมากพอให้ลูกชายนำรถไปใช้ถ้าจำเป็น พอเห็นพี่พร้อมมีรถยนต์ขับด้วย เลยเริ่มคิดว่าหรือมันคือเรื่องปกติของคนกรุงเทพฯ

ผมเดินไปเปิดประตูหลังแต่จันทร์กลับแย่งขึ้นไปแล้วบอกให้ผมไปนั่งข้างหน้า พี่พร้อมเห็นเหตุการณ์ที่พวกผมแย่งเบาะด้านหลังกันจึงส่งเสียงดุมาว่า

“พี่ไม่ใช่คนขับรถนะ”

“อ้าว! แล้วใครจะเป็นคนขับอะ” ผมมองอย่างแปลกใจ พี่พร้อมเป็นคนถือกุญแจแถมยังพาตัวเองไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้วด้วย

จันทร์ถึงกับส่งเสียงหัวเราะกิ๊กเลย ส่วนพี่พร้อมชะงักไปชั่วแป๊บก่อนจะทำสีหน้าแบบ... คล้ายจะหัวเราะปนเอือมระอา

“วุ้นขับรถเป็นหรือเปล่าล่ะ จันทร์ขับไม่เป็นเหมือนกัน”

ผมพอขับได้แต่ไม่มีใบขับขี่แถมยังเป็นรถคนอื่นอีกใครจะกล้าขับกันล่ะ ผมยังลังเลใจไม่เสร็จเลยพี่พร้อมก็เรียกให้ขึ้นรถ สำทับว่าให้ผมมานั่งข้างหน้าแล้วเขาก็สตาร์ทเครื่อง

ผมยังแอบเหลือบมอง ก็เป็นคนขับเองแท้ ๆ กลับบอกไม่ใช่คนขับรถ แปลกคน!!!

“ฟังเพลงไหม” เขาหันมาถามผู้โดยสารที่เป็นรุ่นน้องอย่างพวกผม จันทร์จึงตอบเสียงดังว่า “ฟัง!” แถมยังเรียกร้องให้เปิดคลื่นโน้นคลื่นนี้ด้วย

“กดหาให้เพื่อนหน่อยสิ” เขาหันมาสั่งขณะหมุนพวงมาลัยพารถยนต์เคลื่อนที่ไปตามถนนในมหาวิทยาลัย ถึงระบบวิทยุในรถยนต์จะคล้าย ๆ กันหมดแต่พวกรถรุ่นใหม่ ๆ ก็ทำผมงงเหมือนกัน

รถยนต์ที่บ้านผมเป็นยี่ห้อเดียวกับที่พี่พร้อมขับอยู่แหละแต่รุ่นปีเกิดและอายุการใช้งานห่างกันไกล อย่างน้อยรถที่บ้านก็ไม่ใช่หน้าจอทัชสกรีนสารพัดประโยชน์แบบคันนี้

ผมกับจันทร์เพื่อนร่วมรุ่นที่โดนโทษเป็นแรงงานจิปาถะเหมือนกัน นัดเจอพี่ยอที่อาคารคณะซึ่งตอนนี้คนขับรถกลายเป็นพี่พร้อมไปแล้ว คนที่เบี้ยวนัดบอกว่าจะพาไปตลาดที่อยู่แถว ๆ มหาวิทยาลัย ถึงจะใช้คำว่า ‘แถว ๆ มหาวิทยาลัย’ เขาก็พูดกันว่านั่งรถเมล์เกือบชั่วโมงนั่นแหละ ทีนี้พอผมเห็นพี่พร้อมบังคับเลี้ยวออกนอกมหาวิทยาลัยโดยไม่เอ่ยปากอะไร เลยอนุมานเดาเอาว่า รุ่นพี่สองคนน่าจะคุยกันมาก่อนหน้าแล้ว

ผมได้แต่นั่งมองสองข้างทางไปเรื่อยเพราะหนทางแปลกตา ทุกวันนี้ได้แต่นั่งรถเมล์จากหอไปกลับมหาวิทยาลัยเท่านั้น

“ได้ไปทัวร์กรุงเทพที่ไหนบ้างหรือยัง” พี่พร้อมส่งเสียงถามพลางเหลือบสายตามองผมเล็กน้อย

รถติดเป็นช่วง ๆ แต่เคลื่อนตัวได้เรื่อย ๆ

“หมายถึงวุ้นเหรอ” ผมถาม

“พี่ถามน้องจันทร์”

อ้าว!!! ดีนะถามก่อน ถ้าพูดตอบออกไปคงได้หน้าม้านกว่านี้ ผมเลยเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างแต่หูยังได้ยินคำตอบของคนถูกถาม

“จันทร์เข้ามาเรียนพิเศษในกรุงเทพฯ ช่วงปิดเทอมประจำค่ะ พี่สาวจันทร์ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ส่วนใหญ่ก็เดินอยู่แถว ๆ สยามอะ”

คิดไปคิดมาก็แปลกใจว่าพี่พร้อมไปรู้ได้อย่างไรว่าจันทร์เป็นเด็กต่างจังหวัด ผมเบ้ปากรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“น้องจันทร์เรียนพิเศษแถวไหน”

“แถวพญาไทค่ะแต่มีบางตัวเรียนที่สยามด้วย”

“แล้วมาไหว้พระที่วัดนี้หรือยัง” เมื่อพี่พร้อมพูดแบบนั้นผมจึงชะเง้อมองด้วย วัดตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกับมหาวิทยาลัยและห่างออกมาไม่ไกล

“มาไหว้แล้วค่ะ พอดีที่วัดมีหลวงพ่อซึ่งช่วยเรื่องโชคลาภด้วย ตอนพ่อแม่มาส่ง พี่สาวจันทร์เลยพามาไหว้กันทั้งบ้าน อุ๊ย! จันทร์ชอบเพลงนี้ พี่พร้อมเปิดเสียงดังอีกหน่อยได้ไหมคะ”

คนถูกถามไม่ได้ตอบเป็นคำพูดแต่ผมเห็นเขากดปุ่มที่พวงมาลัยเร่งเสียงให้ แล้วทั้งสองคนก็คุยกันเรื่องเพลงเรื่องศิลปินคนโน้นคนนี้ พานให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินและความรู้สึกแย่ ๆ ก็ปะทุอยู่ในอก ผมพยายามเบี่ยงความสนใจของตัวเองด้วยการเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเฟซบุ๊กบ้าง ดูข้อความของกลุ่มเพื่อนบ้างแต่มันค่อนข้างยากเพราะอย่างไรสองหูของผมยังได้ยินพวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

อยากตะโกนออกไปว่าอิจฉาโว้ย!!! และอยากพูดบอกจันทร์ว่าพี่พร้อมเขามีแฟนแล้ว! อย่าไปหลงกลเชียวล่ะเดี๋ยวโดนหลอก ทว่าผมไม่มีทางพูดอย่างนั้นต่อหน้าพี่พร้อมหรอก เดี๋ยวถ้าเกิดเขาตั้งใจอ้อยจันทร์ขึ้นมาจริง ๆ ผมจะโดนเขม่น

ความรู้สึกอึดอัดหงุดหงิดของผมสิ้นสุดลงเมื่อรถยนต์เคลื่อนที่เข้าไปหยุดนิ่งยังลานจอดรถของตลาด ผมเปิดประตูลงไปยืนพร้อมสูดลมหายใจเข้าแล้วแกล้งทำเป็นตื่นเต้นกับสถานที่ที่มาเยือน

“เอาไงดีวุ้น จะแยกกันไปเดินสำรวจก่อนไหม”

ผมชะงักเลิกคิ้วและตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่เอาอะ วุ้นไม่เคยมาเดินเดี๋ยวหลง” ใครจะยอมปล่อยให้เธอไปเดินคุยกับพี่พร้อมสองคนล่ะ ไม่มีทางซะหรอก!

เฮ้ย! ผิด! ผิด! นายนภัสศัย นายต้องช่วยดูแลไม่ให้เพื่อนจันทร์หลงกลลมปากตกหลุมเสน่ห์พี่พร้อมสิ

ผมดึงสติกลับมาก่อนพยักพเยิดให้เพื่อนร่วมรุ่นเดินไปด้วยกัน

ตลาดใหญ่แบ่งพื้นที่ขายเป็นสัดส่วน โซนไหนขายเนื้อสัตว์ก็มีแผงเนื้อสัตว์ตั้งเรียงราย โซนไหนขายผักผลไม้ก็เต็มไปด้วยผักผลไม้ มันทำให้การเดินหาร้านดอกไม้เป็นเรื่องง่าย หลังเดินวนดูอยู่สองสามรอบผมกับเพื่อนร่วมรุ่นก็ตัดสินใจเลือกร้านค้าได้และเป็นร้านที่มีของทุกอย่างครบครัน พวกผมจึงแค่ยื่นกระดาษจดไปให้ เจ้าของร้านก็จัดการหาทุกอย่างใส่ลงถุง

ก่อนจ่ายเงินผมขอใบเสร็จรับเงินอย่างที่พี่แป๋วพูดย้ำและแบ่งของที่ต้องถือกันไปคนละถุงสองถุง

“พี่พร้อมทานข้าวมาหรือยัง ทานข้าวกันไหมคะ” จันทร์เอ่ยชวนเมื่อนำของมาเก็บที่รถเรียบร้อย ต้องบอกว่าเป็นประโยคที่ดูธรรมชาติแบบไม่คิดอะไรสุด ๆ แต่ติดตรงที่ทำไมไม่พูดชื่อผมด้วยวะ ชวนรุ่นพี่ไม่ชวนเพื่อนเหรอ? สงสัยอะ ...สงสัย

ครั้นไอ้ผมจะพูดแทรกออกความคิดเห็นก็ยังไงอยู่ ผมจึงเบนสายตามองร้านอาหารข้างในตลาด เผื่อเขาจะกินกัน... หมายถึงถ้าพวกเขาจะกินข้าวกัน ผมจะได้ไปสั่งของที่อยากกิน

“อืม... กินก็ดี”

ได้ยินเสียงตอบของรุ่นพี่ ผมจึงแอบหันมองเล็กน้อยแต่บังเอิญสบตากับเขาพอดี ผมจึงต้องบังคับให้ตัวเองผินหน้าโดยไม่แสดงอาการพิรุธ แล้วออกเดินนำหน้าทั้งสองคน

“โต๊ะไหนดีล่ะ” ผมหันไปถามจันทร์

“นึกว่าวุ้นจะไม่กินเสียอีก เห็นเงียบ ๆ”

“ก็เห็นว่าจันทร์กำลังคุยกับพี่พร้อมแล้ว” ผมทิ้งประโยคไว้แค่นั้น หันมองรอบตัวก่อนชี้มือบอกว่าจะไปซื้อร้านไหน ขณะที่กำลังจะก้าวออกไปพี่พร้อมก็ส่งแบงก์ร้อยมาให้

“เอาเงินนี่ไปเดี๋ยวพี่เลี้ยง”

“ไม่ต้องหรอกครับ” ผมโบกมือปฏิเสธพลางต่อประโยคที่แสดงออกถึงความตะกละของฟรี เขาจะได้ไม่มองว่าผมเป็นคนดีมากนัก “พี่พร้อมให้จันทร์เถอะ มื้อนี้ไม่ต้องเลี้ยงผมหรอกเก็บรวบยอดไว้มื้อใหญ่ทีเดียวดีกว่า”

เมื่อผมปฏิเสธ หญิงสาวเพื่อนร่วมรุ่นก็ปฏิเสธเหมือนกัน

“ไม่ต้องเลี้ยงหรอกค่ะ แค่พี่พร้อมขับรถมาให้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

สรุปแล้วตกลงให้เป็นต่างคนต่างจ่ายของตัวเอง

ลักษณะร้านขายอาหารมีการจัดการแบบเดียวกับฟู้ดคอร์ตในห้างสรรพสินค้า แยกส่วนพื้นที่ทำอาหารกับโต๊ะนั่งทานซึ่งไม่ได้จำกัดว่าเป็นโต๊ะของร้านใดแต่ไม่มีการซื้อคูปอง ใช้วิธีจ่ายเงินสดให้ร้านนั้น ๆ เลย

ผมซื้อข้าวหมูแดงหมูกรอบไข่ต้ม ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เดินกลับมาที่โต๊ะ พี่พร้อมเดินกลับมาช่วงพอ ๆ กันแต่ไม่มีจานข้าวกลับมาด้วย

“เอาน้ำอะไรเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”

“น้ำเปล่าครับ” เขาหันหลังเดินไปหาจันทร์ด้วย แต่ผมเป็นพวกนิสัยเสียจึงลงมือทานโดยไม่รอใครทั้งสิ้น ตอนที่รุ่นพี่ถือขวดน้ำสองขวดกลับมาวางที่โต๊ะ ผมก็กำลังจ้วงข้าวใส่ปากอย่างเต็มปากเต็มคำ เขาเดินหายไปและกลับมาพร้อมข้าวผัดกะเพราไข่ดาว

“หิวขนาดนั้นเชียว”

ได้ยินเสียงถามผมจึงเงยหน้ามองคนพูด

“คราวนี้พี่ถามนาย”

ไม่ต้องตั้งใจจะพูดอย่างนั้นซะหน่อย ข้าวเต็มปากใครจะกล้าพูดตอบ ผมคิดอยู่ในใจรอกระทั่งกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่หมดถึงได้ตอบไปว่า “ไม่ได้หิวมากครับ แต่มันอร่อย”

“อ้อ” เขาส่งเสียงในลำคอ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวเย็น ๆ ยอมันจะมาที่มหา’ลัย”

ผมพยักหน้ารับ คิดอยู่ในใจว่า เออดี... จะได้เคลียร์เรื่องที่เปลี่ยนคนขับรถ ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องให้คนอื่นมาแทน พวกผมนั่งรถเมล์ขึ้นแท็กซี่มาเองก็ได้ ผมไม่ชอบใจเพราะฝ่ายนั้นรู้อยู่ว่าผมเพิ่งอกหักจากพี่พร้อมยังพยายามทำให้มาเจอบ่อย ๆ อีก ถึงจะทำเหมือนว่าไม่คิดอะไรแล้ว แต่แผลมันยังไม่หายดีนะเว้ย!!! เลยจะต่อว่าซะหน่อย!

จันทร์กลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมจานทรงแบนร้อนฉ่าและแก้วกระดาษใส่กาแฟ เห็นสิ่งที่เพื่อนสั่งมาแล้วรู้สึกอยากกินขึ้นมาทันทีแต่คงต้องหาโอกาสมาคราวหน้า

“ถ้าจะมาที่นี่ต้องนั่งรถเมล์สายไหนเหรอ จันทร์รู้ปะ”

หญิงสาวตอบคำถามโดยง่ายและต่อถามต่อ “วุ้นจะมาซื้อกับข้าวไปทำอาหารที่ห้องเหรอ”

“เปล่าเลย” ผมโบกมือปฏิเสธ “ถามไว้เผื่อมาหาข้าวกิน”

“ถ้ามาช่วงเย็น ๆ รถจะติดมากจนหายหิวไปเสียก่อน” พี่พร้อมพูดแทรก

“อ้อครับ” ผมพยักหน้ารับคำและก้มหน้ากินข้าวต่อ คงเพราะต่างคนต่างกินละมั้งบทสนทนาทุกอย่างจึงเงียบลงกระทั่งผมทานเสร็จ ถึงล้วงกระเป๋าหยิบเหรียญส่งให้รุ่นพี่คืนค่าน้ำที่เขาจ่ายให้ผมไปก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกน่าน้ำขวดเดียว”

ในเมื่อเขาไม่เอาผมจึงไม่คะยั้นคะยอให้เขารับและเก็บเหรียญลงกระเป๋าตัวเองอย่างง่ายดาย

รอหญิงสาวเพื่อนร่วมรุ่นทานอาหารจนหมด พวกเราถึงได้เดินทางกลับมหาวิทยาลัยซึ่งตอนกลับไปถึง มีเพื่อนร่วมรุ่นบางคนมารวมที่ตึกคณะบ้างแล้ว

วันนั้นพวกเรามีนัดหมายกันมาทำพานไหว้ครูโดยตกลงกันว่าจะเริ่มทำตั้งแต่ช่วงบ่าย อันที่จริงผมมีเรียนทั้งเช้าและบ่ายแต่โดดครับเป็นเด็กไม่ดีหนึ่งวัน

พวกรุ่นพี่เปิดห้องประชุมให้พวกเราเข้าไปใช้พื้นที่เตรียมพานไหว้ครูด้านใน ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยงานคือคนที่มีฝีมือด้านนี้ ยกเว้นผมที่เสนอหน้ามาช่วยทั้งที่ไร้ความสามารถ แต่ก็นั่นแหละพวกคนที่ถูกลงโทษเพราะหาพี่เทคไม่เจอต้องมารวมตัวกันครบทุกคน บางคนก็มีพี่เทคของตัวเองมานั่งคุมอย่างผมเป็นต้น

หลังจากพี่พร้อมขับรถมาส่งแล้ว เขายังคงนั่งรวมอยู่กับปีหนึ่งคอยช่วยพับใบตองแต่น่าหมั่นไส้ตรงที่นั่งคุยกับจันทร์ไม่ห่างเลย

ไม่เข้าใจอะ... มีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมระริกระรี้กับผู้หญิงอื่นนักวะ น่าโมโห!!!

“วุ้น! เบามือหน่อยสิ เดี๋ยวใบตองก็ไม่พอหรอก” จันทร์หันมาต่อว่าเมื่อเห็นผมออกแรงบีบจนใบตองเป็นรอยช้ำ

ด้วยความที่เป็นเพื่อนที่ดี ผมเลยต้องอยู่คอยเป็นก้างขวางคอไม่ให้พี่พร้อมอ้อยจันทร์ และเพื่อนผมจะได้ไม่ต้องตกบ่วงเสน่ห์ของผู้ชายนิสัยไม่ดีอย่างพี่พร้อม

“ใจเย็น ๆ น่า อีกเดี๋ยวยอก็มาแล้ว” พี่พร้อมพูด ทำให้ผมงุนงงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาก็พูดออกมาอย่างนั้น

“ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไร แต่จันทร์ว่ามันก็สวยดี ไปเดินเย็น ๆ หรือเช้า ๆ แดดจะไม่ค่อยร้อนมาก” จันทร์หันไปคุยกับพี่พร้อมอีกครั้ง

“งั้นถ้าพี่จะไปเที่ยวต้องไปค้างคืนนะสิ”

“แหม! ที่เที่ยวในราชบุรีก็ไม่น้อยนะ วันแรกพี่ก็ไปอุทยานเฉลิมพระเกียรติ แวะที่สวนเมล่อน นอนรีสอร์ตนอกเมืองแล้ววันที่สองพี่ค่อยกลับมาเที่ยวแถว ๆ ตัวเมือง ก่อนกลับกรุงเทพก็แวะตลาดน้ำ”

พี่พร้อมพยักหน้า

“แต่ถ้าพี่อยากไปเที่ยวจังหวัดอื่นจันทร์ก็พอแนะนำได้ พี่สาวจันทร์เป็นขาเที่ยวค่ะ จันทร์ยังติดสอยห้อยตามไปบ่อย ๆ แต่ของจันทร์เน้นประหยัดเป็นหลัก ห้องพักจะถูกหน่อยแบบแค่พอนอนได้ อย่างของพี่พร้อมเลือกห้องพักเกรดดี ๆ หน่อยจะดีกว่า”

“อืม... เดี๋ยวพี่จะลองไปชวนคนที่อยากพาไปด้วยก่อน แล้วจะมาถามข้อมูลอีกรอบ”

เฮ้ย! อะไรกันอะ!!! ผมเผลอแป๊บเดียวชวนกันไปเที่ยวแล้วเรอะ

“พี่พร้อมกับจันทร์จะไปไหนกันเหรอ”

“ไปไหน?” จันทร์ถามผมหน้าเหลอหลา

“ก็เมื่อกี้จันทร์คุยกับพี่พร้อมว่าจะไปเที่ยวกัน”

“ไม่ได้ไป พี่พร้อมแค่ถามว่าราชบุรีมีที่เที่ยวอะไรบ้าง”

จันทร์ไม่รู้อะไรซะแล้ว!!! ผมคันปากอยากพูดออกไปนักหรือผมควรลากจันทร์ออกไปคุยให้เคลียร์ดีเนี่ยทว่าในจังหวะนั้นเอง ผมกลับโดนกอดล็อกคอจากด้านหลัง พอหันไปมองปรากฏว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ที่เบี้ยวนัดผมเมื่อเช้า

“โอ๊ะ! ทำอะไรแบบนี้กับเขาเป็นด้วยเหรอ” พี่ยอถามด้วยรอยยิ้ม แววตาบ่งบอกว่ากำลังสนใจสิ่งที่อยู่ในมือผม

“ไม่เป็นแต่มีคนสอน” ผมตอบเสียงห้วนและส่งใบตองที่พับจีบเรียบร้อยแล้วไปให้จันทร์ จากนั้นผมจึงลุกขึ้นพร้อมดึงให้พี่ยอเดินออกจากห้องไปด้วยกัน ลากอีกฝ่ายไปจนสุดทางเดินที่ไม่ค่อยมีคน

“ทำไมถึงเบี้ยวนัดเนี่ย” เสียงถามของผมหงุดหงิดโมโห

“ก็บอกว่ามีธุระด่วน”

“อย่างนั้นไม่เห็นต้องให้พี่พร้อมมาขับรถแทนเลยนี่นา”

“เพราะบอกไปแล้วว่าจะขับรถให้ ถ้าบอกว่าไปไม่ได้แล้วจะว่าไม่รักษาคำพูดนะสิ”

“ไม่จำเป็นต้องคิดอย่างนั้นเสียหน่อย แล้วให้พี่พร้อมมาแทนทางนี้ลำบากใจกว่าอีก”

ยอยกมุมปาก เขากอดอกกดสายตามอง “ไหนว่าไม่เป็นไร สบายดีไง” ถูกอีกฝ่ายนำคำที่เคยพูดไว้เอามาย้อนแบบนี้ทำให้ผมต่อบทสนทนาไม่ถูกเลยทีเดียว

“เออ!!!” ผมกระแทกเสียง “ยังไม่อยากเจอหน้า! พอใจยัง?” ผมเบ้ปากสะบัดหน้าหนี พี่ยอจึงขยับเข้ามากอดคอผมไว้พลางใช้มืออีกข้างขยี้ผมไปด้วยราวกับชอบใจที่ทำให้ผมจนมุมได้

อะไรกันวะ! รุ่นน้องยังเศร้าเพราะอกหักกลับทำเหมือนไม่เห็นใจซะงั้น

“อีกอย่างนะ พี่พร้อมยังทำท่าเหมือนจะจีบจันทร์ด้วย” พอพูดออกไป อีกฝ่ายจึงชะงักไปทันที

“ตลกแล้ว อย่างไอ้พร้อมเนี่ยนะ”

“จริงนะ! วันนี้ที่ไปซื้อของกันคุยกับจันทร์ตลอด กะหนุงกะหนิงจนวุ้นหาโอกาสพูดแทรกไม่ได้เลย”

“เพ้อเจ้อแล้ว... พร้อมมันรักดีไซน์จะตาย”

“ลองไปสังเกตดูสิ” ผมบอก

ผมกับเขาจึงกลับเข้าไปในห้องประชุมซึ่งถูกแปลงให้กลายเป็นสถานที่ทำพานไหว้ครู แค่โผล่หน้าเข้าไปก็เห็นว่าพี่พร้อมกับจันทร์ยังคุยกันเหมือนเดิม ผมจึงหันไปมองสบสายตากับพี่ยอส่งสัญญาณว่า นั่น! นั่น! เห็นหรือยัง

ชายหนุ่มรุ่นพี่เดินตรงไปหาเพื่อนสนิทและทรุดตัวลงนั่งเพื่อฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ผมจึงเดิมตามไปด้วยทว่าพอนั่งลง พี่พร้อมกลับหันมาเอ่ยถาม

“โอเคแล้วใช่ไหม”

“โอเคอะไรเหรอ” พี่ยอส่งคำถามกลับไปเสียแทน ผมก็สงสัยเช่นเดียวกัน

“ก็...” พี่พร้อมเอ่ยออกมาแค่นั้นแล้วกลับเงียบไปพลางมองหน้าเพื่อนสลับกับผม จึงโดนพี่ยอคะยั้นคะยอให้พูด

“มีอะไรพูดมาดิ”

“ก็น้องวุ้นเขาหงุดหงิดเพราะเมื่อเช้ามึงไม่มารับน้องเขา กูเลยอยากรู้คุยกันโอเคแล้วใช่ไหม”

“ฮะ!!!” ผมส่งเสียงอุทาน ส่วนพี่ยอหันขวับมองหน้าผมทันที

“มึง?”

“ก็ที่บอกเมื่อกี้ว่าไม่ว่างไม่เป็นไร” ผมรีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของพี่ยอ เขาจึงยอมพยักหน้ารับ

“อ้อ”

จากนั้นผมจึงหันไปมองหน้าพี่พร้อม หงุดหงิดขึ้นมาอีก อยากตะโกนบอกออกไปนัก ถึงผมจะชอบพี่พร้อมง่ายดายรวดเร็วแต่ผมก็ไม่ได้ใจง่ายชอบผู้ชายคนอื่นไปทั่วนะเว้ย!!!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อยากตะโกนใส่หูว่า เบื่อพร้อมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม  :angry2: :angry2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 12 ผมโดนกลั่นแกล้ง



“ไอ้อ..เอี้ยอึ๊ย” คำสบถด่าของผมกลายเป็นเสียงอู้อี้เมื่อโดนฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มรุ่นพี่ตะปบปิดปากที่กำลังจะตะโกนด่าไว้ ตอนนี้พี่ยอพาผมมาหามุมสงบเงียบแถวอาคารคณะสงบสติอารมณ์อีกครั้งแล้ว

“ไอ้น้องวุ้น!!! นี่มันในมหาวิทยาลัยนะเว้ย ถึงไม่มีใครแต่เสียงมันก็ดังก้องอยู่ดี ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ช่วยหาคำอะไรที่มันดี ๆ หน่อย”

ผมเหลือบสายตาไปมอง อีกฝ่ายจึงยอมปล่อยมือ พอหายใจหายคอสะดวกผมก็เริ่มกลอกตาคิด

เพราะไอ้พี่พร้อมคนเดียวเลย!!! ถึงผมจะไม่ใช่อัจฉริยะขั้นเทพแต่ก็พอเดาได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเข้าใจผมกับพี่ยอในทางผิด ๆ แต่ไม่รู้ว่าไอ้ความเข้าใจผิดนั่นมันเลยเถิดไปถึงไหน

“มึงชอบกูเหรอพี่ยอ” ผมถามคนตรงหน้าเมื่อตั้งสติได้ ต้องเพราะคนตรงหน้าผมแน่ ๆ ที่ทำให้พี่พร้อมคิดอะไรอกุศลออกมาได้

พี่ยอชะงักไป

อาการโคตรชัด!!!

“มึงนี่โคตรหลงตัวเองเลยว่ะ” พี่ยอพูดตอบกลับมาพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“วุ้นถามให้มึงตอบ ไม่ต้องมาวิจารณ์นิสัย”

“งั้นมึงดูปากกูนะคะ” พี่ยอชี้มือที่ปากตัวเองแล้วเอ่ยช้า ๆ ชัด ๆ “กู-ไม่-ได้-อยาก-เอา-มึง-มา-เป็น-เมีย”

ผมสบถในใจ ไม่เห็นต้องย้ำชัดขนาดนั้นเลยแต่จะให้ปักใจเชื่อเสียทีเดียวมันก็ขัดแย้งกันเอง ประการแรก

“ถ้าพี่ไม่ได้ชอบผมจะอุตส่าห์เอารถที่บ้านมารับไปซื้อของทำไมวะ”

“อ้าว! งานคณะปีที่แล้วกูก็ขับรถพาเพื่อนไปซื้อของเหมือนกัน”

“จริงดิ! อะไรจะอวดรวยขนาดนั้น”

“อ้าวเฮ้ย! กูรวยกูผิดหรือไง”

ผมสบถในใจอีกหลาย ๆ รอบด้วยความหมั่นไส้

ต่อไปประการที่สอง “ทำไมพี่ยอต้องตามมาตอแยผมนัก”

“ถึงกูจะเป็นรุ่นพี่มึง แต่ก็คิดว่ามึงเป็นเพื่อนกูนะ”

คำพูดของเขาทำให้ผมประหลาดใจสงสัยและความรู้สึกนั้นคงปรากฏบนใบหน้าเขาจึงพูดย้ำออกมาอีกว่า “ทำไมต้องเรียนปีเดียวกันหรืออายุเท่ากันเท่านั้นเหรอ ถึงจะเป็นเพื่อนกันได้”

“พี่ยอไม่ได้ชอบวุ้นจริง ๆ นะ”

“เออ!!!” เขาตอบเสียงดัง “มึงเอาอะไรมาคิดวะ ว่าผู้ชายที่เข้าใกล้มึงจะต้องชอบมึง กูไม่ได้มีรสนิยมอย่างมึงเลยนะ”

“รสนิยมอย่างผมก็ไม่ได้หนักหัวใครเลยนะเว้ยไอ้พี่ยอ” ผมเถียงกลับไป ดูเหมือนว่าการที่ผมชอบพี่พร้อมจะทำให้ผมกลายเป็นเกย์ในสายตาเขา แต่ถึงผมจะเป็นเกย์แต่กำเนิดก็ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นไม่ใช่เหรอ

“เออ ๆ ช่างรสนิยมมึง” เขาตอบแบบขอไปที

“ถึงงั้นก็เถอะ ที่พี่พร้อมเข้าใจอะไรผิด ๆ ต้องเพราะพี่ยอนั่นแหละ”

พี่ยอหันมามองหน้าผม สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความกังขา “พร้อมมันเข้าใจอะไรผิด”

“ก็ที่เข้าใจว่าวุ้นกับพี่ยอเป็นอะไรกัน”

หน้าตาของอีกฝ่ายจึงยิ่งแปลกใจ “เป็นอะไรคืออะไร? แบบเข้าใจว่ากูกับมึงชอบกันนะเหรอ”

ผมพยักหน้าทว่ากลับโดนพี่ยอด่า

“มึงนี่โคตรขี้มโนเลย อย่าเพ้อเจ้อตีความเอาเองได้ไหม”

“ผมเปล่า!!!”

“อีกอย่าง พร้อมมันมีแฟนอยู่แล้ว ทำไมต้องกลัวว่ามันจะเข้าใจผิดด้วย ตกลงมึงยังไม่ตัดใจใช่ไหม” พี่ยอพูดถามโดยไม่ยอมให้ผมเอ่ยแทรก

“กูก็ไม่ใช่คนดีมากขนาดนั้นหรอกนะแต่ริจะไปแย่งแฟนคนอื่นเนี่ยมึงคิดดีแล้วเหรอ วันนี้มึงแย่งเขามาได้ ไม่คิดบ้างว่าในอนาคตจะมีคนมาแย่งแฟนมึงบ้าง”

“เดี๋ยว!!! หยุด!!!” ผมยกมือห้าม “หยุดพูดก่อนดิไอ้พี่ยอ ผมยังไม่เคยพูดเลยนะว่าจะแย่งพี่พร้อมมาจากพี่ดีไซน์”

“มึงไม่พูดแต่มึงคิด”

นั่น! ใส่ร้ายผมอีก

“ไม่ได้คิดโว้ย!” ผมร้องตะโกนแต่อีกฝ่ายยังจ้องกดดันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อถือ ผมจึงต้องอ้อมแอ้มเสียงเบาตอบไปว่า “มันไม่ได้ตัดใจได้ง่ายขนาดนั้น เข้าใจกันบ้างดิ” เพราะความรู้สึกที่ผมมีให้ผู้ชายคนนั้นมันไม่ได้เพิ่งก่อเกิดขึ้นเมื่อวานหรือวันก่อนแต่มันเป็นความรู้สึกที่ผูกพันตัวผมมาเนิ่นนาน กระนั้นก็เถอะต่อให้พูดเล่าออกไปมันก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับคนอื่นอยู่ดี ผมจึงบอกพี่ยอไปว่า

“ผมแอบชอบพี่พร้อมมันตั้งเกือบปี จะให้ตัดใจง่าย ๆ ได้ยังไงล่ะ”

และเหตุผลนั้นคงทำให้อีกฝ่ายเห็นใจ เขาจึงไม่พูดต่อว่าอะไรผมอีกแถมมีโบนัสให้ด้วยการลูบหัวปลอบอีกต่างหาก

จบกิจกรรมวันไหว้ครู การแข่งขันกีฬาระหว่างคณะก็จ่อคิวเป็นลำดับต่อไปทันที นอกจากแข่งกีฬายังต้องแข่งเชียร์ที่มีหลีดและสแตนด์ กรณีนี้ไม่ต้องคิดทบทวนมากผมก็เลือกลงแข่งกีฬาทันใดเพราะซ้อมสแตนด์หนักหนาสาหัสมาก

“เตะบอลเป็นจริงเหรอ” คำถามของรุ่นพี่ปีสองผู้ซึ่งกำลังทำหน้าที่รับสมัครนักกีฬาฟุตบอลเรียกความสนใจของพี่ยอและพี่พร้อมให้หันมองผมทันควัน ถ้าต้องเลือกกีฬาสักชนิดผมต้องเลือกฟุตบอลอยู่แล้ว ความสูงขนาดผมถ้าเลือกบาสเกตบอลมันจะดูไม่เจียมตัวไปสักหน่อย อีกอย่างกีฬาที่ใช้ผู้เล่นน้อย ๆ พวกรุ่นพี่คงมีโอกาสเลือกคนได้มาก

และวิบากกรรมของผมคงยังไม่หมดง่าย ๆ แค่เป็นน้องเทคของพี่พร้อม แต่สองเพื่อนซี้คู่นั้นยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะด้วย ดังนั้นผมจึงต้องวนเวียนอยู่ในชีวิตของพี่พร้อมต่อไป

“เป็นสิครับ แหมพูดแล้วจะหาว่าคุย”

“เออ... งั้นไม่ต้องพูด” ประโยคนี้พี่ยอเป็นคนตอบกลับมา

“โธ่! พี่ยอก็...” ตัดพ้อเป็นพิธีแล้วเอ่ยต่อว่า “ผมลงชื่อเลยนะครับ”

“เดี๋ยว ๆ ใครจะยอมให้เอ็งเข้าทีม” เพื่อนซี้ของพี่เทคยังขัดขวางอย่างต่อเนื่อง

“อ้าว! อะไรอีกล่ะ”

“เคยเล่นมาจริงเหรอ”

“จริงสิครับ ผมเริ่มเตะมาตั้งแต่สามขวบ”

“ฟุตบอล?” คนถามมีสีหน้าแปลกใจแกมไม่เชื่อถือ ผมจึงยอมตอบออกไปตามความจริง

“ตะกร้อ” ก่อนจะรีบขยายความ “แต่มันก็ครือ ๆ กันนั้น ใช้เท้าเหมือนกันอีกอย่างผมก็ดูฟุตบอลประจำ นี่นะนักเตะในดวงใจผมต้องคนนี้เลย โรเจอร์ เฟเดอเร่อร์”

“นั่นมันนักเทนนิส” รุ่นพี่อีกคนพูดแย้ง

“แหม! มันเป็นมุก ผมจะบอกว่าเมสซี่ พวกพี่จะได้คิดว่าผมเกร่อนะสิ”

“เมสซี่นี่ตอนนี้สังกัดอยู่ทีมไหน” พี่พร้อมถาม นัยน์ตาของเขากำลังยิ้มเหมือนขำขัน แต่ผมไม่ขำว่ะ พอดีว่าผมรู้ว่าเมสซี่เป็นนักฟุตบอลที่ดังมากจนชื่อถูกบรรจุอยู่ในพจนานุกรมของสเปน ทว่าผมไม่ค่อยได้ดูฟุตบอลจริงจังแบบตามดูทุกลีกติดหน้าจอ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่รู้ว่าเขาอยู่ทีมไหน วินาทีนั้นต้องเดาเอาล้วน ๆ

“บ... บาร์ซาครับพี่” เอาวะเล่นง่าย ๆ แบบนี้แหละ ตอบเป็นชื่อทีมดังในสเปนไปซะ

“รับมันมาเถอะ น้องเทคกู” พี่พร้อมพูดกับเพื่อนเขา พอได้ยินผมก็ยิ้มกว้างหน้าบานขึ้นทันที รี่เข้าไปบีบนวดแขนพี่เทคอย่างเอาอกเอาใจ

“ขอบคุณครับ พี่เทคผมนี่หล่อที่สุด”

พี่ยอคงหมั่นไส้ถึงได้พูดว่า “หน้าบานเกินไปแล้ว” ผมจึงทำเป็นลอยหน้าลอยตาล้อเลียนก่อนต้องสะดุ้งโหยงเพราะคำพูดของพี่เทค

“หยอกกันน่ารักดีนะ”

ผมกำลังจะบอกแก้ความเข้าใจผิดกลับโดนเพื่อนซี้ของพี่พร้อมพุ่งตรงเข้ามาล็อกคอปิดปาก

“ม... อุ๊บ”

“แหม! ไม่ต้องเขินนะน้องวุ้น พร้อมมันไม่ได้พูดชม”

ผมมองพี่พร้อมที่ยกคิ้วยักไหล่ ไม่ยอมพูดขยายความอะไรก่อนเดินไปคุยกับเพื่อนคนอื่นแล้วหันไปถลึงตาให้คนที่รัดคอของผม พอเขายอมคลายวงแขน ผมจึงหมุนตัวกลับไปหาเขาทันที อยากตะเบ็งเสียงใส่เหมือนกันแต่กลัวจะมีคนอื่นมาร่วมฟังด้วยจึงได้แต่กัดฟันพูดเบา ๆ

“ตั้งใจจะทำอะไรของพี่เนี่ย ไอ้พี่ยอ”

“ช่วยมึงไง”

“ช่วยบ้าช่วยบออะไร พี่...” ผมชะงักคำพูดเพราะเพิ่งโดนอีกฝ่ายเตือนเรื่องนี้ไปเอง และหลุบตาหนีเมื่อนึกขึ้นได้ ขณะที่คนตรงหน้ายอมยืนอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้พูดซ้ำเติมอะไร

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยบอกเสียงเบา ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าครั้งหน้าผมจะทำตัวแบบนี้อีกก็ฝากด้วยนะ”

“เออ” พี่ยอรับคำพลางวางมือบนศีรษะของผมเหมือนทุกที “การตัดใจไม่จำเป็นต้องหลบหน้าหนีหายไปจากสังคมเสมอไปนะเว้ย มึงแค่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ที่มีต่อไอ้พร้อมก็พอ อย่าไปคิดว่าต้องเอามันมาเป็นผัว...”

ผมรีบยื่นมือไปปิดปากเมื่อเขาพูดคำนั้นออกมา มองชายหนุ่มร่างสูงกว่าหน้าตาตื่น กระซิบเอ็ดเสียงเบา

“ผมก็ไม่ได้อยากได้พี่พร้อมมาเป็นสามีซะหน่อย”

“มึงนี่ไม่ดูตัวเองเลยนะ” พี่ยอวิจารณ์ทันควัน

“พี่ยออย่ามายุ่งเรื่องโพสิชันของผมเลยน่า” บอกแล้วสะบัดตัวเดินหนี ผมตีหน้ามุ่ยหงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดจาออกมาโต้ง ๆ เฮ้ย!!! ทำไมวะ ตัวเล็กต้องอยู่ล่างเสมอไปเลยหรือไง เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ลีลาต่างหาก

อีกฝ่ายก็รั้งต้นแขนของผมให้กลับไปเผชิญหน้า เขายิ้มทะเล้น “เออ ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แซวเล่นแค่นี้ทำงอนนะ”

ผมเบะปากไม่สบอารมณ์ แสดงออกให้เขารู้ว่าผมยังโกรธ พี่ยอจึงรัดคอให้ผมต้องดิ้นกระแด่ว ๆ อีกหน เริ่มกลับมาคิดอีกแล้วว่าหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ต้องคิดไม่ซื่อกับผมแน่ ๆ เอะอะแต๊ะอั๋งทำเนียนกอดคอตลอด

“เชอะ! แล้วมาบอกว่าไม่ได้คิดอะไร” ผมบ่น

“คิด!!!” พี่ยอตอบกลับรวดเร็ว “คิดว่ามึงนี่โคตรขี้มโนเลย” แล้วเขาก็ผลักหัวผมจนต้องเซแถ่ด ๆ เกือบล้มหน้าทิ่มพื้น แทนที่อีกฝ่ายจะสำนึกผิด เขากลับหัวเราะชอบใจ ผมไม่เข้าใจเลยทำไมตัวเองถึงได้โชคร้ายมารู้จักกับคนแบบนี้ด้วยเนี่ย




หลังสมัครเข้าทีมฟุตบอล พวกรุ่นพี่ก็นัดซ้อมกันช่วงเย็น ๆ แต่เนื่องจากทุกคณะล้วนต้องฝึกซ้อมเหมือนกัน สนามใหญ่ที่ใช้แข่งขันจึงมีการลงตารางขอใช้ ส่วนวันอื่นพวกรุ่นพี่เขาจะนัดที่ลานหน้าคณะ ถึงจะบอกว่าซ้อมแต่ก็เหมือนนัดกันเตะบอลเล่นขำ ๆ ซะมากกว่า

ผมเองก็เตรียมตัวมาพร้อม หลังเรียนเสร็จ ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบ

พวกรุ่นพี่ที่ไม่มีเรียนช่วงบ่ายหรือที่เลิกเรียนเร็วเขามาเล่นต่อบอลอยู่ก่อนหน้าแล้ว พอผมไปถึงจึงยกมือไหว้รอบวงและขอแจมด้วย เล่นกันเบา ๆ แค่เรียกเหงื่อรอคนครบถึงจะแบ่งข้างเล่นกันจริงจังแต่ถึงจะบอกว่าคนครบแต่ก็ขาดพี่พร้อมไป พอถึงช่วงพักเหนื่อยผมจึงขยับไปหาเพื่อนสนิทของพี่เทค

“ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดกวนตอบกลับมา

“มาคนเดียวที่ไหน มีคนอื่นอีกตั้งเยอะแยะ”

“พี่พร้อมไปไหนล่ะครับ” ผมถามออกไปตรง ๆ ไม่รู้พี่ยอมันเป็นอะไรตอบกลับมาดี ๆ ไม่ได้

“ไปยุ่งอะไรกับมันนักหนาล่ะ” เขาตอบกลับมาด้วยท่าทางคล้ายรำคาญ

“อ้าว! แค่อยากรู้ก็ไม่ได้หรือไง”

“ไม่ต้องไปอยากรู้เรื่องของมันหรอก”

“ไม่บอกดี ๆ เดี๋ยวผมไปหาทางสืบเองแล้วจะรู้สึก” ผมขู่ออกไป ประจวบกับรุ่นพี่คนอื่นเขาเรียกให้ลงสนามไปเล่นกันต่อ ผมจึงผละออกมาทว่าชายหนุ่มรุ่นพี่กลับตามมารั้งคอผมไว้ ผมสะบัดตัวออกเพราะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอะอะก็กอดคอ เขาจึงยิ่งรัดคอผมแน่นขึ้น

“เฮ้ย! ไอ้สองคนนั้น เขาเล่นบอลเว้ยไม่ใช่มวยปล้ำ” รุ่นพี่ที่อยู่ในสนามด้วยกันร้องแซว

“เออ ๆ เดี๋ยวกูขอไปคุยกับไอ้น้องวุ้นแป๊บนึงเดี๋ยวมา” พี่ยอพูดก่อนพยายามลากตัวผมออกจากสนามแต่ผมพยายามดิ้นขืนตัวพร้อมเค้นเสียงลอดไรฟันบอกเขาว่า

“ผมไม่อยากคุยกับพี่ ปล่อยเลยนะ”

“กูจะเล่าเรื่องไอ้พร้อมให้ฟัง มึงไม่อยากรู้แล้วหรือไง”

พอได้ยินชื่อนั้นผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะได้สติขืนตัวไว้อีกครั้ง “ไม่จำเป็นต้องเล่า!!! ถ้าผมอยากรู้อะไรเดี๋ยวก็หาทางเอาเองแหละน่า”

“เพราะอย่างนั้นกูถึงจะบอกมึงเอง” เขาพูด แต่เพราะผมพยายามสลัดตัวออกให้ได้ เขาจึงพาผมห่างออกจากพื้นที่ลานสนามได้แค่ระยะทางใกล้ ๆ

“ผมไม่อยากรู้จากปากพี่แล้ว!!!”

“มึงโมโหอะไรเนี่ยไอ้วุ้น”

“แล้วพี่ยอสำนึกตัวบ้างไหมว่าทำอะไรให้วุ้นโมโห” ผมตะโกนเสียงดัง เรียกสายตาคนรอบข้างและหยุดทุกกิจกรรมรอบกาย พวกเขาคงกลัวว่าพวกผมจะตีกันละมั้ง ขณะที่ผมจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ระหว่างนั้นคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของพวกผมก็โผล่ออกมา

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันนะ”

“พี่พร้อม!!!”

“ไอ้เหี้ยพร้อม!!!”

ผมกับพี่ยอประสานเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายแทบพร้อมกัน ก่อนผมจะตวัดสายตาไปมองพี่ยอตาเขียว “เลิกสักทีได้ไหมเรื่องสรรเสริญคนอื่นด้วยคำว่าเหี้ยเนี่ย”

“อ้าว! แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรกับมึงด้วยวะ”

“ยังไม่เลิกอีก” ผมเสียงดังบอกกลับไป ยกกำปั้นขึ้นมาอยากจะชกสักหมัดสองหมัดแต่โดนคู่กรณีชี้หน้าปรามไว้ จึงทำได้แค่ยกมือขู่

“ใจเย็น ๆ” พี่พร้อมบอกอีกรอบ “คบกันมันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง แต่คนหนึ่งร้อน อีกคนก็ต้องคอยเป็นน้ำเย็นไม่งั้นมันจะอยู่ไม่ยืด”

“ผมไม่ได้คบกับเขา!!!”
“กูไม่ได้คบกับมัน!!!”

ผมกับพี่ยอยังพร้อมใจพูดพร้อมกันเช่นเดิม “พี่/มึงเข้าใจผิด”

พี่พร้อมชะงักไปพร้อมกับส่งเสียงอาอือรับทราบ

ผมเองก็แปลกใจที่คราวนี้ไม่โดนพี่ยอขัดคอซ้ำยังพร้อมใจแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ด้วย แต่เหมือนว่าพี่พร้อมจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะประโยคถัดไปเขาบอกว่า “อืม... แล้วแต่ไม่ได้คบก็ไม่ได้คบแต่มีเรื่องอะไรไม่ชอบใจก็ค่อย ๆ คุยกัน คนกันเองทั้งนั้น”

“ทำตัวเป็นกูรูเชียวนะมึง เรื่องของตัวเองยังแก้ไม่ได้เลย” พี่ยอพูดแขวะ ผมงี้รีบกางใบหูรอรับสารเลยทีเดียว

พี่พร้อมกลับแค่พยักพเยิดส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแบบไร้อารมณ์โต้ตอบพลางยืดเส้นยืดสายเตรียมลงไปวิ่งในสนาม

ผมเงียบรอเผือกอยู่นานไม่เห็นพี่ยอต่อบทสนทนา เลยเสนอหน้าเข้าไปคุยกับพี่เทค

“พี่พร้อมวันนี้ไปกินเหล้าที่หอผมไหม”

“เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านชวนผู้ชายไปกินเหล้าบนห้องนะมึง” คำพูดประโยคนี้มาพร้อมแรงผลักที่ศีรษะทำให้ผมเซแถ่ด ๆ โดยผู้กระทำคือพี่ยออีกแล้ว ตกลงพี่ยอคือเจ้ากรรมนายเวรผมใช่ไหมเนี่ย ถึงได้ทารุณกรรมผมทั้งร่างกายและจิตใจตลอดเวลา

“อายุก็ยังไม่ถึงคิดว่าจะไปซื้อเหล้าได้ที่ไหนฮะ” พี่ยอถามต่อทว่าพี่พร้อมกลับพูดออกมาว่า

“เออ... ไปดื่มกันสักหน่อยก็ดีว่ะ”

“เฮ้ย! เอาจริงดิ กินไปก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้หรอกนะเว้ย!!!”

“กูไม่ได้คิดว่ามันจะช่วยกูแก้ปัญหาได้ แค่อยากระบาย”

“ผมพร้อมสำหรับพี่เสมอครับ” ผมรีบเสนอตัว แล้วก็โดนพี่ยอรัดคออีก

“มึงเห็นหน้าน้องเทคมึงไหม ถ้ามันมีหูกับหาง มึงจะเห็นว่ามันระริกระรี้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นกูถามมึงอีกครั้ง” พี่ยอหยุดพูดเล็กน้อย “มึงคิดดีแล้วใช่ไหม”

“พี่พร้อมไม่ต้องห่วง ไม่ว่าพี่มีปัญหาอะไรเดี๋ยวอุ๊บ…”

“ใครให้มึงพูด” พี่ยอพูดดุ

พี่พร้อมไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด เขาเพียงแค่พยักหน้าให้ และแล้วค่ำคืนนั้นพวกผมสามคนก็ไปรวมตัวสังสรรค์ระบายทุกข์รับฟังปัญหาของพี่พร้อมที่บ้านพี่ยอ 

อาจจะไม่ค่อยดีต่อพี่พร้อมสักหน่อย... แต่ผมรู้สึกมีความสุขลั้ลล้ามากเลยล่ะ

ส่วนไอ้เรื่องตัดใจจากการแอบรักก็ยังคิดว่าจะตัดใจนะ แต่แบบว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่พร้อม ได้รู้เรื่องของเขาเพิ่มขึ้นอีกนิด ...มันก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 13 ผมโลเล



พี่ยอให้ผมไปเตรียมเสื้อผ้าสำหรับไปค้าง ก่อนที่พวกเราทั้งสามคนจะโดยสารรถแท็กซี่ไปยังบ้านของเขา

บ้านของพี่ยอตั้งอยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรร บ้านแต่ละหลังมีรั้วรอบมิดชิด ในโรงรถของบ้านมีรถจอดอยู่สองคัน และได้ทราบคำบอกเล่าจากปากพี่ยอว่า ตอนนี้ที่บ้านเหลือแต่คนงานกับแม่บ้าน พ่อแม่ไปดูงานที่ต่างประเทศ พี่สาวอยู่คอนโดจะกลับมาบ้านอาทิตย์ละครั้งหรือนานกว่านั้น

บ้านของพี่เขาไม่ใหญ่มากแต่ดูสวยและหรูหรา กระนั้นเขากลับพาแขกมารับรองที่สวนด้านนอกพร้อมเตาหมูกระทะ เอิ่ม... ไม่ค่อยเข้ากับสภาพฐานะเท่าไหร่เลยอะ ยังดีที่มีพระเอกของงานเป็นพี่สุราซึ่งไม่ใช่หงส์ทองหรือสองแปดห้า

“ทำหน้าอะไรของมึง ไอ้น้องวุ้น”

ผมหันมองพร้อมส่งสายตาไปถามประมาณว่า ‘หมายความว่ายังไง’

“ทำหน้าเหมือนรังเกียจที่รุ่นพี่คนนี้เลี้ยงหมูกระทะ”

“เอ้า! ก็เห็นเคยบอกว่ารวย แต่ดูอาหารที่เตรียมมาเลี้ยงเพื่อนที่มาเยี่ยมบ้านดิ”

“เนื้อที่กูสั่งแม่บ้านมานี่คัดเกรดนำเข้าเลยนะเว้ย ไม่ใช่กิโลละไม่ถึงร้อยแบบที่มีขายในตลาดทั่วไป แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”

ผมไม่เสียเวลาพูดตอบ เรื่องอย่างนี้ต้องลองด้วยตัวเองถึงจะรู้

ผมทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะไม้อย่างรวดเร็ว

โต๊ะในสวนตั้งอยู่ในศาลาไม้กันแดดกันฝนได้อย่างดี บรรยากาศร่มรื่นด้วยแมกไม้ ยามพลบค่ำแบบนี้ดวงไฟแอลอีดีกลางศาลาถูกเปิดให้ความสว่างไสวจนไม่ต้องเพ่งตามอง มีจานยากันยุงวางเรียงเป็นจุดเพื่อไล่เจ้าแมลงกินเลือด

ผมคีบเนื้อสไลด์ชิ้นให้วางแผ่นบนเตาหมูกระทะ ตามด้วยสรรพสัตว์หลากหลายชนิดที่พี่ยอจัดหามารับรอง

“อ้าว! พี่ ๆ นั่งสิครับจะรออะไร” ผมร้องเรียกชายหนุ่มสองคนที่ยังยืนมอง ส่วนมือยังถือตะเกียบขึ้นย่างบนเตาไม่หยุด

“เออ... ดีเนอะ” พี่ยอพูดอย่างระอา ผมจึงรับคำเห็นด้วยประสมโรง

“ดีอยู่แล้วสิครับ ก็พี่บอกว่าเนื้อที่สั่งแม่บ้านมามันอร่อยมากนี่นา”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกลอกตาสามร้อยหกสิบองศาพร้อมพ่นลมหายใจหน้าตาเหม็นเบื่ออย่างไรชอบกล ก่อนทำเหมือนจะปลงได้และหันไปตักน้ำแข็งใส่แก้ว ผมจึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้นไปคว้าพร้อมจัดการเครื่องดื่มให้พวกเขาเสียแทน จัดการเทพระเอกลงแก้ว จนพี่ทั้งสองคนต้องร้องเสียงหลง

“พอ!!! พอไอ้วุ้น มึงจะมอมพวกกูให้น็อกในแก้วเดียวเลยหรือไง เทซะเยอะเชียวมึง”

“อ้าว! ไม่รู้อะ เห็นว่าเป็นของแพงเลยนึกว่าดีกรีน้อย”

“กินเหล้าเป็นด้วยเหรอนายน่ะ” พี่พร้อมพูดถาม

“แหม... ใครไม่เคยลองก็แปลกแล้ว” ผมตอบก่อนถือแก้วใส่น้ำโค้กกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง และลากเอาชั้นวางถังน้ำเครื่องดื่มมาใกล้ตัว งานนี้ผมจะเป็นเด็กชงเหล้าเอง ไม่เมาก็ให้มันรู้ปาย!!!

ดังนั้นพอเครื่องดื่มเริ่มพร่องผมจึงขยันเติมให้สองหนุ่มรุ่นพี่เป็นพิเศษ จนเหมือนจะเริ่มอิ่ม พี่พร้อมก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูดเรื่องหนักอกเสียที ผมเองพอปากว่างเพราะหนักท้องก็เริ่มคันปากยิบ ๆ อยากถามใจจะขาดแต่ไม่รู้จะเกริ่นอย่างไร กระทั่งพี่ยอกระตุ้นถาม

“เอ้ามึง! อยากระบายอะไรพูดมา”

แม่ง! โคตรโดนใจ! ผมงี้ตัวสั่นระริก เปิดเรดาร์การรับรู้พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พี่พร้อมแต่รักษาอาการด้วยแกล้งทำเป็นคีบของดิบขึ้นย่างบนเตา คีบปลาหมึกสุกเข้าปากไปตามเรื่อง

“กู... คิดว่าดีไซน์อาจมีคนอื่น”

แม่ง! ผมสบถ ตะเกียบเกือบร่วง

เพิ่งรู้ว่าเขามีแฟนเมื่อไม่นานและเพิ่งอกหักไปหยก ๆ นี่กลับมาได้ยินประเด็นที่สร้างความหวังอีกแล้ว

พี่ยอเองคงรับรู้ความรู้สึกของผมเหมือนกัน เขาปรายสายตาแสนดุปรามผมทันควัน ผมจึงแสร้งก้มหน้าหลบแล้วแอบลอบยิ้ม

เลิกกันเลยครับ! เดี๋ยวผมดามหัวใจพี่เอง!

“โอ๊ย!!!” ผมร้องออกมาเพราะไอ้พี่ยอมันกระทืบเท้าเต็ม ๆ เลยซึ่งเสียงของผมมันคงขัดอินเนอร์ของพี่พร้อม เขาถึงทำหน้าเหลอหลา ไอ้ที่กำลังจะพูดต่อเลยเงียบไป

“น้องวุ้น ยุงกัดใช่ไหม” พี่ยอรีบพูด “เดี๋ยวให้คนยกพัดลมมาให้ เออ... มึงเข้าไปยกจากในบ้านมาเองเลยดีกว่า”

“อะไรเล่า!” ผมโวยวาย ส่งสายตาสื่อสารไปว่าที่ผมตามมาที่นี่เพราะอยากฟังเรื่องพี่พร้อมนะเว้ย จะมาไล่ผมไปเพื่อคุยกันเองสองคนเนี่ย ไม่มีทางซะล่ะ

“เอ้ย! ยอไม่ต้องใช้น้องมันหรอก เดี๋ยวกูไปยกให้” พี่พร้อมขันอาสา

“บอกป้าศรีให้หาให้ก็ได้” พี่ยอพูดบอก คล้อยหลังเพื่อนสนิทแล้วพี่ยอจึงหันมาพูดกับผมเสียงเบา “หน้าบานมากมึง เพื่อนกูกำลังเศร้า เดี๋ยวมันก็คิดว่ามึงสมน้ำหน้ามันหรอก”

“จริงดิ” ผมถามพลางยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองก่อนสูดลมหายใจ ปรับสีหน้าตัวเอง แล้วหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ดียัง”

“เออ... โคตรตอแหลเลย” พี่ยอเหลือบตามองแค่ชั่วแว็บ แล้วหันไปสนใจคีบเนื้อสุกบนเตาเข้าปาก

ผมเบะปาก ยกขวดเหล้ามาเทใส่แก้วพี่พร้อมอีกหน่อย จนเพื่อนสนิทเขาส่งเสียงถามว่าตั้งใจมอมเหล้าพวกรุ่นพี่จริง ๆ ใช่ไหม ผมแค่ยักไหล่

อีกครู่หนึ่งพี่พร้อมถึงเดินกลับมา หิ้วพัดลมตัวเขื่องมาด้วย พวกผมจึงต้องจัดตำแหน่งยากันยุงกันอีกเล็กน้อย และวงปรึกษาศิราณีจึงได้เริ่มต้นอีกครั้ง

“ทำไมถึงคิดว่าดีไซน์มีคนอื่นวะ” พี่ยอถาม

“เขาไม่ค่อยว่างเจอกู โทรไปก็ไม่ค่อยรับ บางทีโทรไปก็ติดสาย”

“ไซน์อาจจะคุยธุระอยู่ก็ได้”

“สองสามทุ่มเนี่ยนะมึง”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย สองสามทุ่มเนี่ยเวลาโทรจีบกันชัด ๆ

“แล้วไลน์อะ” พี่ยอยังถามต่อ

“ก็มีตอบบ้างแต่มึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยเล่นไลน์”

เอ๊ะ! อ้าว! เฮ้ย! อย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขามีแฟนถึงไม่ค่อยคุยกับผมดิเนี่ย แหม... ไม่ค่อยได้เล่นไลน์นี่เอง ทำให้ผมรู้สึกนอยด์มาตั้งนาน เฮ้ย! ไม่ใช่ดิ! ดึงสติกลับมาเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!

“แล้วนอกจากที่พูดมาเนี่ย มีอะไรอีกที่ทำให้มึงคิดว่าเขามีคนอื่น ไม่ใช่ว่าไซน์โกรธเพราะมึงเอาแต่เล่นเกมจนไม่สนใจอีกล่ะ”

“ช่วงนี้กูไม่ได้เล่นเลย” พี่พร้อมตอบไม่เต็มเสียง เหมือนเลี่ยงไม่อยากพูดถึง มิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนีเมื่อพี่ยอจ้องจับผิด ท่าทางแบบนี้ของเขาดูน่ารักมากเลยล่ะ เขาทำหน้าอาย ๆ แบบเด็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้

“ช่วงนี้ไม่ได้เล่นแต่ช่วงก่อนล่ะ” พี่ยอซักไซ้ “ไซน์อาจงอนมึงตั้งแต่ช่วงก่อน”

พี่พร้อมขยี้ผมตัวเอง แล้วยกแก้วใส่น้ำสีอำพันขึ้นดื่มเอือก ๆ คล้ายกระหายอย่างหนัก พอวางแก้วอีกครั้งน้ำที่อยู่ข้างในหายไปหมดเกลี้ยงเลย ผมจึงชงเครื่องดื่มให้เขาอย่างรวดเร็ว

“มึงอย่าหนี”

ผมมองหน้าคนถาม ก่อนหันมองพี่พร้อมเมื่อเขาพูดตอบเสียงดัง “เออ! กูเพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานนี้แหละ ว่าเขาโมโห โกรธ งอนหรืออะไรสักอย่างกับกูมากกว่าทุกที ใครจะไปรู้วะ! กูก็นึกว่าแค่โกรธกูเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนทุกที” แล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง ผมเห็นท่าไม่ดีเลยเปลี่ยนไปชงน้ำอัดลมให้พี่เขาแทน

“เออ... ไม่ต้องหัวร้อน เดี๋ยวกูช่วยน่า”

“วุ้น! แก้วพี่ไปไหน” เขาถามผมเสียงดัง พอกดคิ้วเพราะอารมณ์ไม่ดี หน้าตาพี่พร้อมดูดุขึ้นมาก

“นี่ไง” ผมชี้นิ้ว

“น้ำดำขนาดนี้มันโค้กไม่ใช่เหรอ แล้วเหล้าพี่ล่ะ”

“ผมเห็นพี่ซดโฮก ๆ กลัวว่าจะฟุบไปก่อนเลยเบรกด้วยโค้กอะ” ผมตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมตอบด้วยความใสซื่อเป็นห่วง เขาจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจก่อนยกน้ำในแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอีกเช่นเดิม วางแก้วกระแทกโต๊ะดังปึก

“ชงเหล้าเท่านั้นแล้วอย่าเปลี่ยนเป็นโค้กอีก”

แล้วจะให้ผมตอบอย่างไรนอกจาก “ครับพี่” และเงี่ยหูฟังพี่ยอกับพี่พร้อมคุยเรื่องประเด็นความรักกันต่อไป

“แล้วจะเอายังไง จะสืบเรื่องคนใหม่หรือหาทางขอคืนดี”

เขามีสีหน้าลังเลแบบตัดสินใจไม่ได้พานให้ผมสงสัยว่าต้องคิดอะไรนักหนา “ยังรักเขาอยู่ก็ต้องพยายามขอคืนดีสิ” ผมโพล่งออกไป

“ปากดีนะมึง” พี่ยอด่าผมทันควัน

“ด่าน้องกูทำไมเนี่ย”

ว้าว! พี่พร้อมพูดปกป้องผมด้วย ดีใจอะ ได้โอกาสดี ๆ แบบนี้ผมควรอยู่เฉยเรอะ ฟ้องสิครับรออะไร

“พี่พร้อม พี่ยอชอบแกล้งผมอะ เขาชอบรัดคอจนผมหายใจไม่ออก” ผมขยับไปเกาะแขน กะพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าน่าสงสารให้เขาเห็นใจ

“มึงแกล้งน้องเทคกูเหรอไอ้ยอ” แล้วพี่พร้อมก็หันไปไล่บี้เพื่อนสนิทจริง ๆ ด้วย ผมปรบมืออยู่ในใจระรัวเลย แบบนี้คือพี่พร้อมเมาแล้วใช่ไหม

“มึงไปเชื่ออะไรมัน ไอ้น้องวุ้นมันปัญญาอ่อนขนาดนี้ กูไม่กล้าแกล้งมันหรอกเดี๋ยวมันจะเอ๋อยิ่งไปกว่าเดิม”

ผมหน้าหงิกทันที “ผมสอบติดมหา’ลัยนี้ได้นะเว้ยไอ้พี่ยอ เพราะงั้นไม่มีทางปัญญาอ่อนอยู่แล้ว”

“เหรอ...” เขาลากเสียงยาว ทำท่าแบบคำพูดของผมเป็นแค่คำแก้ตัวที่เชื่อถือไม่ได้

น่าโมโหว่ะ! แต่ว่าประเด็นสนทนามันกลายมาเป็นเรื่องของผมได้อย่างไรง่ะ “มาคุยเรื่องของผมทำไมเนี่ย ตอนนี้ต้องร่วมใจกันแก้ปัญหาของพี่พร้อมก่อนดิ” ผมพูดเตือน

“เออ... ตกลงเอาไงล่ะมึง อยากกลับไปคืนดีหรือจับชู้”

“โห๋!!! พี่ยอพูดเกินไป ชู้อะไร พี่แน่ใจแล้วเหรอ มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”

“น่าแปลกเนอะ” พี่ยอกลับหันมาส่งสายตาวิบวับน่าขนลุกให้ผมเสียแทน แต่พอพี่พร้อมบอกว่าจะหาทางง้อคืนดีเขาจึงหันไปคุยกับเพื่อนสนิท

พอจะเข้าใจคำพูดของเขาอยู่เหมือนกัน พี่พร้อมมีปัญหากับแฟน แทนที่ผมรีบแทรกเข้าไปเสี้ยมกลับทั้งเชียร์ให้คืนดี ไหนจะแก้ต่างให้พี่ดีไซน์อีก เฮ้อ... ตกลงตัดใจได้แล้วหรือว่ามันคือวิบากกรรมของคนแอบรักกันนะ ผมถามตัวเองอยู่ในใจ

คืนนั้นกว่าวงสุราหมูกระทะจะได้ฤกษ์ยามแยกย้ายก็ตอนที่พี่พร้อมเมาคอพับ พี่ยอเป็นคนแบกเพื่อนสนิทขึ้นไปทิ้งบนห้องนอนแขกและให้ผมเก็บข้าวของไปวางแช่ในอ่างล้างจานในครัว จากนั้นให้ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง

ตอนที่ผมกำลังย่องขึ้นบันได พี่ยอก็เดินมาเจอพอดี เขาพาผมไปยังห้องพักแขกอีกห้อง เมื่อเยี่ยมหน้าเข้าไปไม่เห็นรุ่นพี่อีกคนจึงหันไปถามเจ้าของบ้าน “อ้าว! นึกว่าต้องนอนห้องเดียวกับพี่พร้อมซะอีก”

“กูไม่ให้มึงนอนกับมันหรอก กูกลัวเพื่อนโดนปล้ำ”

ผมเบะปาก ด่าเขาในใจที่ชอบว่าผมเพ้อเจ้อ พี่ยอก็เพ้อเจ้อเหมือนกัน ผมไม่ทำอะไรโง่ ๆ ให้โดนเกลียดหรอกนะ แต่เมื่อหันไปเห็นเขายืนขวางอยู่หน้าประตูเหมือนยังมีเรื่องคุย ผมจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ที่ยุไอ้พร้อมเมื่อเย็นนี่ ใจจริงหรือเปล่า”

“ใจจริงดิ ทำไมล่ะ”

“มึงตัดใจได้แล้ว?”

ผมขมวดคิ้ว “เพราะพี่ยอชอบวนเวียนพูดประมาณนี้ ผมต้องเข้าใจผิดว่าพี่ชอบผมอยู่แล้วล่ะ” เอ่ยบอกว่าไม่ได้มโนเข้าข้างตัวเอง แต่การกระทำของเขาพานให้คนอื่นเข้าใจผิด พี่พร้อมก็เข้าใจผิด

“กูแค่แปลกใจสงสัยว่ามึงชอบเพื่อนกูได้ยังไง กูกับพร้อมรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม ไม่เคยเห็นมึงผ่านเข้ามาในชีวิตมันเลยสักหน อีกอย่างก่อนเข้ามหา’ลัย มึงอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ มึงไปเจอมันเมื่อไหร่”

“พี่ไม่ได้อยู่กับพี่พร้อมตลอดเวลาซะหน่อย”

“ตอบคำถามกูมา”

พี่แม่งโหดว่ะ เสียงแข็งเชียวที่ผมยอมบอกนี่ไม่ใช่เพราะกลัวนะ แค่เกรงใจขนาดตัวพี่เขา “ปีก่อนที่พวกพี่ไปรับน้องที่ทะเลกัน”

“อ๊ะ! ไอ้น้องพ่อค้ามัธยม”

ผมเอียงคอกะพริบตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับฉายาแบบนั้นมาด้วย ที่สำคัญไม่เห็นจะจำพี่ยอได้เลยแต่เขายอมเฉลยให้ฟัง “วันนั้นกูก็อยู่ด้วยที่มึงขอไลน์ไอ้พร้อม” ก่อนบ่นพึมพำ นึกว่าเลิกคุยไปนานแล้วเสียอีก

“มึงไม่ได้มาเจอพร้อมมันเลยไม่ใช่เหรอ แค่ส่งข้อความไร้สาระมาให้เพื่อนกูฝั่งเดียวเนี่ย ฝังใจขนาดนั้นเชียว”

“พี่รู้ได้ไงอะ” ผมร้องถาม

“ก็กูเคยเห็น กูยังว่าเพื่อนกูโคตรอดทน เออ... แต่มึงอดทนกว่านี่เนอะ แม่งไม่ตอบยังส่งข้อความไปคุยกับมันไม่หยุดหย่อน”

ผมเริ่มโมโหแล้วล่ะ น้ำเสียงของคนพูดเหมือนค่อนแคะอย่างไรก็ไม่รู้

“เออ... ผมมันพวกดื้อด้าน พอใจหรือยัง ผมง่วงจะไปนอนแล้ว” ผมพูดก่อนจะพยายามดันประตูปิดทว่าเขายันประตูไว้

“พี่ยอขยับไปดิ”

“มึงแน่ใจนะว่าชอบไอ้พร้อมมันจริง ๆ ไม่ใช่แค่หลงหน้าตา”

คำพูดของเขาทำให้ผมชะงัก ความสับสนผุดพรายขึ้นในใจแต่พอเห็นเขาเผลอตัวลดแรงที่ดันประตู ผมจึงยื่นมือผลักเขาออกไป และปิดประตูดังโครมซึ่งพานให้ผมสะดุ้งไปด้วยเพราะไม่คิดว่าจะเสียงดังขนาดนี้ ก่อนคำถามของเขาจะหวนย้อนกลับมาให้ผมขบคิดอีกครั้ง

คนที่ตัวผมในชาติภพก่อนอยากเจอคือเหยียนจิ่นลี่ และความฝันความทรงจำทั้งหลายทำให้ผมเข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่พร้อม แต่อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเหยียนจิ่นลี่ที่ผมอยากเจอถึงได้ทำตัวห่างเหินกับผมนักวะ แถมมีแฟนไปก่อนอีกหรือเขาจะไม่เคยรักผมจริง? พอผมตาย ก็คงระริกระรี้ไปกับคนอื่นเลยละมั้ง นี่คงเป็นแบบที่เขาว่า ‘สามวันจากบุรุษเป็นอื่น’

ผมหันรีหันขวาง รู้สึกหงุดหงิดอึดอัดในอกขึ้นมาอีก

มีอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เขาเหมือนไม่ใส่ใจผม ...นั่นคือพี่พร้อมอาจจะไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่

ผมถอนหายใจ ถ้าเป็นอย่างหลังจริง ๆ แล้วผมจะไปตามหาเหยียนจิ่นลี่ตัวจริงได้ที่ไหนล่ะ

“เฮ้อ...”

เพราะคิดมากไปก็คงไม่สามารถหาคำตอบได้ ผมจึงรื้อเสื้อผ้ามาอาบน้ำ ก่อนกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง ต้องลองหลับดูเผื่อจะฝันเห็นอะไรเพิ่มเติม ทว่ากลับรู้สึกว่านอนไม่หลับ อาจจะหลับแหละแต่เหมือนหลับไม่สนิท ซ้ำร้ายยังไม่ฝันเรื่องที่ผมอยากรู้ด้วย

เพราะฉะนั้นตอนเช้าเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย หลังล้างหน้าแต่งตัว ผมเปิดประตูออกจากห้องที่ใช้หลับนอนและเดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงคุยแว่วดังมาจึงเดินตามเสียงไป ปรากฏว่าทั้งพี่พร้อมและพี่ยอมานั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวแล้ว

“หน้าง่วง ๆ ยังแฮงก์อยู่เหรอ” พี่พร้อมถาม ผมเห็นเขาถือแก้วอยู่ในมือจึงชะโงกยื่นหน้าไปดู เขาจึงยอมบอกให้ว่ากำลังดื่มอะไรอยู่

“กาแฟ”

“เมื่อวานก็ไม่ได้กินไม่ใช่เหรอ แฮงก์ได้ยังไง” คราวนี้เป็นประโยคคำถามของพี่ยอ ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติมและร้องว่าหิวข้าว เจ้าของบ้านจึงหันไปสั่งแม่บ้านให้ตั้งโต๊ะ

ผมดึงเก้าอี้ออกมาทรุดตัวลงนั่ง แอบเหลือบมองพี่ยอเล็กน้อยพร้อมคิดในใจว่า หรือแท้จริงแล้ว พี่ยอจะเป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิด ก็ดูสิ... เขาชอบแต๊ะอั๋งผมประจำ ชอบทำให้เข้าใจผิดว่ามีใจให้ ไหนจะดูแลอย่างดีอีก

“มองหน้ากูนี่ อยากมีเรื่องเหรอ” พอพี่ยอหันมาปะสายตาผม เขาก็เอ่ยถามออกมาทันที

ผมรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ หลบสายตาพร้อมก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ โหดขนาดนี้ไม่มีทางเป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิดแน่ ๆ นอกจากใจง่ายแล้ว เอ็งยังเป็นพวกโลเลด้วยเหรอเนี่ย... นายนภัสศัย

“มึงแกล้งน้องเทคกู” พี่พร้อมพูด

ผมเงยหน้ามองเขาทันที และเหมือนเห็นว่าร่างกายของเขาจะมีออร่าเปล่งประกายออกมาลาง ๆ แต่พอกะพริบตาและสังเกตให้ดี มันเป็นเพราะเขาใส่เสื้อขาว รวมถึงไอ้ที่ดูคล้ายประกายแสงมันเป็นแสงแดดที่ตกสะท้อนกับพื้น

ผมเอียงคอร้องอุทานในใจ มันเป็นอะไรที่อะเมซิ่งมาก

“กูแกล้งตอนไหน แค่ถามเฉย ๆ” พี่ยอตอบและเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยมาคุยเรื่องแผนการง้อดีไซน์ ตกลงไหมไอ้น้องวุ้น”

เพราะประโยคสุดท้ายเขาหันมาถาม ผมจึงรีบหันไปผงกศีรษะรับก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ว่า จะไปช่วยให้เขาคืนดีกันทำไม พลาดแล้ว!!! แทนที่จะแค่รับฟัง วางตัวเป็นกลางและอยู่เฉย ๆ กลับต้องไปช่วยให้เขาคืนดีกับแฟน หาความชีช้ำมาใส่ตัวอีกแล้ว


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 14 ผมเป็นกาวประสานใจ



ภารกิจช่วยพี่พร้อมง้อพี่ดีไซน์ มีรายละเอียดกิจกรรมง่าย ๆ คือทำอะไรก็ได้ที่ทำให้พี่ดีไซน์เซอร์ไพรซ์ แฮปปี้ ตื่นเต้น ดีใจและยอมกลับมาหวานแหววจี๋จ๋ากับพี่เทคของผมอีกครั้ง

แต่ผมอยากรู้ว่ะครับ เรื่องแบบนี้มันสมควรให้คนอื่นช่วยเหลือเหรอ? มันต้องออกมาจากใจไม่ใช่หรือไง แต่นะ... ผมเป็นเพียงรุ่นน้องตัวเล็ก ๆ ซึ่งโดนเพื่อนพี่เทคข่มด้วยแววตาดุร้ายที่คล้ายจะกินเลือดกินเนื้อผมตลอดเวลาจนไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้ารับเห็นดีเห็นงาม

ตามสเต็ปพี่พร้อมต้องไปรับไปส่งพี่ดีไซน์ แต่เผอิญว่าพี่พร้อมไม่มีรถยนต์ (รถที่เขามารับผมกับจันทร์ไปซื้อของเป็นรถของพี่ยอที่ฝ่ายนั้นให้ยืมมา) เลยต้องตัดข้อนี้ไปและเปลี่ยนเป็นไปดักเจอที่คณะแทน

แต่กระนั้นวันแรกที่พี่พร้อม รวมถึงพี่ยอและผมซึ่งเป็นผู้ติดตามไปดักเจอพี่ดีไซน์กลับได้เจอช็อตดาเมจทันที พี่ดีไซน์เดินลงมาจากรถยนต์คันหนึ่ง โดยมีผู้ชายอีกคนเดินตามมาส่ง

ผมหันมองพี่พร้อม เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งราวกับโดนสาปให้เป็นหิน ส่วนคนที่เลือดร้อนคือพี่ยอซะงั้น เขาดึงพี่พร้อมออกไปทักทายสองคนนั้นอย่างไม่สนใจหน้าอิฐหน้าพรหม ผมจึงเดินตามไปด้วย

“หวัดดีดีไซน์”

หญิงสาวเจ้าของชื่อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้า เธอยกยิ้มตอบด้วยท่าทางปกติ

“หวัดดียอ มาทำอะไรแถวนี้เหรอ”

“ว่าจะมาชวนไซน์ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน”

“โทษทีนะ เรากินมาแล้ว”

“อ้อ...” พี่ยอขานเสียงรับและเอ่ยปากถามโดยไม่เก็บความเผือกบนใบหน้าสักนิด “แล้วนั่นใครอะ”

“นี่นิน” พี่ดีไซน์บอกแค่ชื่อไร้ตำแหน่งฐานะต่อท้าย ผู้ชายคนนั้นก็รู้หลบรู้หลีก เขาชิงบอกลาหญิงสาวที่ตนขับรถมาส่งพลางก้าวเท้ากลับไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นใคร” ในที่สุดสติของพี่พร้อมก็กลับคืนมา เขาถามแฟนสาวเสียงแข็ง

“พร้อมสนใจด้วยเหรอ” พี่ดีไซน์ตอบและทำท่าจะเดินหนี พี่พร้อมคว้าจับแขนเรียวบางไว้ทันใด

เอิ่ม... คราวหน้าผมคงต้องเตรียมป๊อปคอร์นกับเก้าอี้มาด้วย

“ทำไมไซน์พูดงี้ พร้อมไม่สนใจไซน์ตอนไหน”

ทุกตอน!!! พร้อมไม่รู้ตัวเหรอไง” เธอตะคอกตอบกลับไป “ปล่อย!!!

เพราะพี่พร้อมไม่ยอมปล่อยแขนพี่ดีไซน์ พี่ยอจึงเสนอหน้าเข้าไปเป็นคนกลางแยกทั้งคู่ “มึงใจเย็น ๆ ดิ ดีไซน์แขนติ๊ดเดียว มึงจับแรงเดี๋ยวแขนเขาก็หักหรอก”

พี่พร้อมจึงยอมปล่อยมือ

พอเป็นอิสระพี่ดีไซน์สะบัดหน้าเดินหนีตรงขึ้นตึกไปเลย ส่วนสองหนุ่มรุ่นพี่ได้แต่ยืนมองตามตาปริบ ๆ

ทึ่มชะมัด!!! ผมคิดในใจก่อนขยับเข้าไปใกล้และกระซิบพูด “พูดขอโทษสิครับ” ทั้งคู่หันมามองผม เลิกคิ้วคล้ายส่งคำถาม ผมล่ะอยากยกมือขึ้นตบหน้าผากรัว ๆ ไม่เคยจีบผู้หญิงกับง้อแฟนกันหรือไงนะ คำแรกที่ต้องพูดเวลาง้อผู้หญิงคือ ‘ขอโทษ’ ต่างหากไม่ว่าจะผิดหรือถูก พ่อผมทำประจำ ถ้าแม่โมโหจนจะกลายร่างเป็นนางยักษ์เมื่อไหร่ พอพ่อผมพูดขอโทษปุ๊บ จากที่กำลังเดือด ๆ กลายเป็นอุ่น ๆ ทันที

“พูดว่า ‘ขอโทษ’ สิครับ” ผมย้ำบอกอีกหนและกระตุ้นให้อีกฝ่ายทำตามด้วยการบอกว่า “พี่ดีไซน์กำลังจะขึ้นตึกไปแล้ว”

“ขอโทษ” พี่พร้อมยอมทำตามที่ผมบอก

“เอ่ยชื่อและพูดเสียงดัง ๆ ด้วย” ผมสะกิดบอกอีกหนเมื่อเห็นว่าพี่ดีไซน์เดินหน้าตรงไม่แม้แต่ชะงักเท้าแสดงให้เห็นว่าเธอได้ยิน

ไซน์!!! พร้อมขอโทษ” เสียงพี่พร้อมดังจนเรียกสายตาของนักศึกษาคนอื่นซึ่งอยู่บริเวณนั้นให้หันมามองได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงเจ้าของชื่อ แต่ระยะห่างมันไกล ผมจึงมองไม่เห็นว่าเธอทำหน้าอย่างไร เธอมองพวกเรา... ความจริงอาจจะมองพี่พร้อมคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นตึกต่อไป

“ไม่เห็นได้ผลเลย” คนพูดคือพี่ยอ

“เรื่องแบบนี้มันต้องใจเย็น ๆ ดิ” ผมพูดตอบพร้อมล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดหน้าเว็บ กดพิมพ์ข้อความ

“แล้วจะทำอะไรล่ะนั่น” รุ่นพี่คนเดิมยังถามต่อ

“หาไอเดียทำเซอร์ไพรซ์ง้อพี่ดีไซน์ไง” จากนั้นเงยหน้ามองรุ่นพี่ทั้งสองคน ยักคิ้วให้ “ศึกนี้ยังอีกยาวไกล”

ถึงผมจะบอกพวกรุ่นพี่ไปอย่างนั้นแต่ว่าพอถึงเวลาเข้าเรียนผมก็ไปเข้าเรียนก่อนแล้วค่อยนัดกลับมาเจอกันอีกหน เมื่อได้คุยถามที่มาที่ไปหรือความจริงจะพูดว่า ผมเผือกตะล่อมถามให้พวกพี่เขาเล่าเหตุการณ์เหตุผลที่พี่พร้อมคบหากับพี่ดีไซน์ให้ฟัง ซึ่งได้ความว่า พวกพี่เขาเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว เมื่อสนิทกันมากคุยกันสบายใจดีเลยตกลงเป็นแฟนกันเสียเลย ไม่มีกระบวนการจีบหรือทำอะไรที่ปิ๊งปั๊งสร้างความประทับใจ ส่วนที่บอกว่ารักมาก ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะผูกพันมากกว่ารัก

ผมพูดเหมือนรู้จักความรักดีเลยเนอะ แต่สำหรับผมไม่มีใครทุ่มเทให้กับความรักมากจนกลายเป็นคนไร้สมองเท่ากับคุณซุนเจียวซินแล้วล่ะ ทว่าสภาพสังคมยุคสมัยมันต่างกัน สิ่งที่ทำนั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วก็เป็นได้

เอาล่ะ! กลับมาพูดถึงเรื่องพี่พร้อมกันต่อ

ตอนที่คุย ผมก็พูดย้ำว่าถ้าต้องการง้อผู้หญิงต้องใช้ความอดทนมากเลยนะ แน่นอนว่าผมไม่ได้เชี่ยวชาญแต่ผมศึกษาจากอาจารย์กู๋และพี่พันทิปมาแล้ว เรื่องนี้ผมจึงมั่นใจมากเพียงแต่มีสิ่งที่ไม่ได้บอกกับรุ่นพี่ทั้งสองคน นั่นคือมั่นใจว่าถ้าไม่คืนดีกันก็เลิกกันไปเลย

ผมไม่ได้ตั้งใจวางแผนทำให้พวกเขาเลิกกันโดยทำท่าเป็นช่วยเหลือหรอกนะ ทำแบบนั้นไป เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันความลับแตก สุดท้ายพี่พร้อมอาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ อย่างว่า... เรื่องของหัวใจมันต้องใช้ความจริงใจดิ ถ้าผมกับเขามีบุญวาสนาต่อกันจริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหันมามองผมในสักวันแหละ แต่ระหว่างนั้นผมว่าจะกลับบ้านแล้วไปไหว้บนบานเจ้าพ่อเจ้าแม่สักหน่อย อิอิ

ที่ผมคิดไว้ก็ไม่ต่างจากที่พี่ยอนำเสนอในคราวแรกที่พวกเราคุยกัน

ต้องเช้าถึง กลางวันถึงและเย็นถึง และคิดไว้ว่าจะมีทำเซอร์ไพรซ์ใหญ่แบบคลิปขอแต่งงานที่ดัง ๆ อีกสักอย่าง ให้พี่ดีไซน์รู้สึกว่าพี่พร้อมยอมทุ่มทุนทำให้ เธอก็น่าจะประทับใจ

แรก ๆ เวลาพี่พร้อมไปหาพี่ดีไซน์ทีไร พี่ยอชอบลากผมพ่วงไปด้วยทุกที ถ้าแค่ส่งดอกไม้หรือแค่ทักทาย ผมกับพี่ยอจะหลบอยู่หลังเสาหรือมุมตึกบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ไปกินข้าว โต๊ะผมจะมีสมาชิกสี่คนจนผมรู้สึกว่าพี่ยอคงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมจริง ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าผมแอบชอบเพื่อนสนิทเขา และในเมื่ออยากให้ช่วยก็ช่วยแล้วยังจะลากผมไปดูภาพบาดตาบาดใจอีก พอพ้นห้าวัน ผมจึงบอกพี่ยอว่า

“ปล่อยพี่พร้อมกับแฟนไปสวีตกันบ้างเถอะ อย่าเสนอหน้าไปเป็นก้างนักเลย” จากนั้นผมจึงได้เป็นอิสระ

และคงเพราะพี่พร้อมกับพี่ดีไซน์ยังคงสถานะแฟนกันอยู่ละมั้ง พวกผมถึงไม่ได้มีโอกาสเห็นผู้ชายที่ชื่อนินอีก กระทั่งอีกไม่กี่วันต่อมา ผมก็ได้เจอพี่เทคกับเพื่อนซี้อีกหน

“วุ้นไปกินข้าวกันไหม” พี่พร้อมถามชวน

ผมมองด้วยความสงสัย ในใจไม่ได้คิดว่าเขาชวนไปกินข้าวสองต่อสองหรอก แต่ข้องใจที่เขาไม่ไปกินข้าวกับพี่ดีไซน์ ทั้งแอบคิดว่า ‘เลิกกันไปแล้วเหรอ’ อยู่เหมือนกัน แถมพี่พร้อมยังดูหน้าหมอง ๆ กระนั้นก็ไม่กล้าถามเพราะมันดูละลาบละล้วงเกินเบอร์ เลยถามแค่ “แล้วพี่ดีไซน์ละครับ” ส่วนอีกใจคิดว่าก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเตรียมโชว์อลังการ

พี่ยอเป็นคนตอบคำถามนั้น “ก็ไปด้วยกันนี่แหละ ทำไมมีนัดหรือไง”

“เปล่า... ก็ที่เคยบอกว่าให้ปล่อยพี่พร้อมกับพี่ดีไซน์เขาไปจี๋จ๋ากันบ้าง จะตามไปเป็นกขค. ทำไม”

คราวนี้พี่พร้อมจึงตีหน้าแหย ให้ผมกังขาขึ้นอีกว่ามันอะไรกันนักหนา ทว่าก็โดนพี่ยอตัดบทด้วยการลุกขึ้นมากอดคอผม “เออน่า ไปเหอะเดี๋ยวเลี้ยงเอง วันนี้จะพาไปกินอาหารญี่ปุ่น”

ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะแค่รีบตกลงทันควันเท่านั้นเอง

ผมและพวกรุ่นพี่โดยสารแท็กซี่ไปที่ห้างสรรพสินค้า

ตอนขึ้นแท็กซี่ผมได้นั่งข้างพี่พร้อมด้วยล่ะ ส่วนพี่ดีไซน์นั่งอีกข้าง พี่ยอนั่งหน้าเบาะข้างคนขับ ตอนนั้นรู้สึกดี๊ด๊ามากเพราะได้แอบจินตนาการเข้าข้างตัวเอง แต่พอรถเคลื่อนที่ไปสักพักและไม่มีเสียงพูดคุยของใครเลย ผมก็เริ่มอึดอัด แบบว่าอย่างน้อย พี่พร้อมกับพี่ดีไซน์สมควรจะจู๋จี๋ดู๋ดี๋ คุยกันบ้าง นี่อะไรเงียบกริบไม่ต่างกับอยู่ในป่าช้า อ้อ... ไม่เงียบมากเพราะพี่แท็กซี่เปิดเพลงลูกทุ่งฟังไปด้วย

ลงจากรถมาผมจึงโฉบไปเบียดพี่ยอ “นี่พี่ยอ คนกรุงเทพเขามีกฎห้ามไม่ให้คุยกันในแท็กซี่เหรอ” คำถามของผมอาจจะแปลก แต่ผมสงสัยจริง ๆ นี่นา

“ไม่มีหรอก” พี่ยอตอบกลับมาเสียงแข็งโดยไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มเติมและเดินตามหลังคู่รักไปเข้าร้านอาหาร ผมจึงได้แต่คิดว่าช่างมันก็ได้วะ ถึงอย่างไรก็มากินฟรี เรื่องของคนอื่นไม่ยุ่งก็ได้

เมื่อเข้ามาในร้าน ผมได้ที่นั่งข้างพี่ยอและฝั่งตรงข้ามคือคู่รัก ผมรีบหยิบเมนูที่บริกรนำมาเปิดดูทันที แล้วเอียงคอไปกระซิบถามคนข้างตัวว่า “ไม่จำกัดงบใช่หรือเปล่า”

“เออ” เสียงของพี่ยอยังแข็งไม่สร่างซา

ถ้าผมเป็นคนนอกไม่รู้เรื่องรู้ราวระหว่างพวกเขามาก่อน ผมอาจจะคิดว่าพี่ยอกำลังโมโหหึงพี่ดีไซน์ก็ได้นะเนี่ย ก็พี่ยอเล่นขมวดคิ้วตีหน้าบูดขนาดนี้ มากินข้าวแท้ ๆ ไม่ได้ออกรบจับศึกซะหน่อย

พอพูดถึงเรื่องออกรบ ผมก็คิดถึงเฉินฟู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากที่ผมตายไปแล้วเขาจะได้เป็นแม่ทัพนายกองอย่างที่หวังหรือเปล่า และผ่านมาหลายชาติขนาดนี้แล้ว เขาจะได้เกิดเป็นตัวอะไรกันน้า รู้สึกคิดถึงอะ

“ยังเลือกไม่ได้เหรอมึง” เสียงพี่ยอดังถามทำให้ผมหันไปมอง

“ก็ให้วุ้นค่อย ๆ เลือกไปมึงจะไปเร่งทำไมเล่า”

ผมจึงหันไปยักคิ้วลอยหน้าลอยตาให้รุ่นพี่ข้างตัว มีพี่เทคดีก็งี้ คอยปกป้องเข้าข้างตลอด

“พนักงานเขายืนรออยู่”

ผมจึงได้หันมองพี่พนักงานผู้หญิง ก่อนกวาดสายตามองรอบโต๊ะโดยมีพี่ยอย้ำคำพูดว่า “เขาสั่งกันเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่มึงเนี่ย”

“ยอเองก็เรียกน้องดี ๆ หน่อย” พี่ดีไซน์ดุเพื่อนตัวเองบ้าง

จากนั้นผมก็วางเล่มเมนูลงกับโต๊ะแล้วชี้นิ้วจิ้มรายการที่อยากกิน ฝ่ายพี่ดีไซน์ซึ่งเห็นจำนวนรายการที่ผมสั่งจึงร้องถามออกมาว่า “น้องวุ้นกินเยอะนะเนี่ย กินหมดจริง ๆ เหรอ”

“หมดครับพี่ไม่ต้องห่วง อีกอย่างมื้อนี้อุตส่าห์มีคนเลี้ยงทั้งที”

คล้อยหลังพนักงานแล้ว พี่ดีไซน์ยังชวนผมคุยอีกหลายประโยค จะว่าไปพี่ดีไซน์น่ารักดีนะ หน้าตาก็ดี ที่คุยเล่นกันคร่าว ๆ เธอก็พูดจาดี ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยแปลกใจที่พี่พร้อมจะชอบพี่ดีไซน์

ถึงกระนั้นบรรยากาศระหว่างมื้ออาหารกลับทำให้ผมรู้สึกเอ๊ะ! สะดุดใจอยู่เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าปกติพี่พร้อมเป็นแบบนี้หรือเปล่าแต่ในสายตาผม รู้สึกว่าเขาค่อนข้างเฉย ๆ ไม่ค่อยดูแลเทคแคร์แฟนสักเท่าไหร่ อาหารญี่ปุ่นที่พวกผมมากินถูกสั่งเป็นเซตของใครของมันก็จริงแต่มันยังให้ความรู้สึกแปร่ง ๆ อยู่ดีละนะ

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการกินของผมไม่ได้ลดลงตามสภาวะบรรยากาศรอบตัว ของที่ผมสั่งมาจึงเกลี้ยงฉาด

“อิ่มจังตังค์อยู่ครบ” รู้สึกดีจริง ๆ

แล้วต้องหันไปชี้มือใส่พี่ยอที่ทำท่าจะทำมิดีมิร้ายกับร่างกายของผม “อย่านะเดี๋ยวอ้วกใส่เลย”

“อี๋!!! น่าเกลียดว่ะ”

“ยังไม่ได้อ้วก” ผมร้อง พี่ยอแม่งโคตรโอเวอร์แอ็กติ้งอะ

มื้อนั้นคนจ่ายเงินเป็นพี่ยอกับพี่พร้อม พอออกจากร้านพี่ดีไซน์ก็ขอตัวกลับ

“เดี๋ยวพร้อมไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก ลำบากพร้อมเปล่า ๆ เดี๋ยวเพื่อนเรามารับ”

“เพื่อนที่ว่าคือไอ้นินใช่ไหม” พี่พร้อมเขาไม่ได้ใช้เสียงดังนะแต่รู้เลยว่าไม่พอใจ ส่วนพี่ดีไซน์ก็ทำหน้าเหมือนรำคาญสุด ๆ

ณ อารมณ์นั้นผมโคตรอยากได้ป๊อปคอร์นเลย

“ไม่ใช่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเหรอ”

พี่พร้อมจึงหันหน้าหนี เหมือนพยายามสงบสติอารมณ์และเหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่ใบหน้าและแววตาของเขาก็ดูราวกำลังจะร้องไห้ ท่าทางของเขาพานให้ในอกของผมแปลบวาบขึ้นมา

“พร้อมขอโทษ ไซน์จะยกโทษให้พร้อมไม่ได้เลยเหรอ”

“ไซน์แค่เบื่อที่จะฟังคำขอโทษซ้ำ ๆ ซาก ๆ”

แล้วเสียงเตือนของโทรศัพท์พี่ดีไซน์ก็ดังขัดจังหวะอารมณ์ของคนทั้งคู่ เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูโดยไม่สนใจผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมเห็นพี่พร้อมกำมือกัดฟันแน่น มองผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแฟนซึ่งมัวแต่สนใจข้อความในโทรศัพท์ สัญชาตญาณโคนันในตัวผมมันบอกว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ

“ขอโทษนะ แต่เพื่อนไซน์มาแล้ว เราคงต้องไปก่อน” เธอพูดลาง่าย ๆ และหมุนตัวเดินจากไป ส่วนพี่พร้อมยังยืนมองแผ่นหลังของเธออยู่อย่างนั้น

อืม... จะเรียกว่าเป็นผู้ชายที่ดีหรือเป็นผู้ชายที่ทึ่ม... ดีนะ

ส่วนพี่ยอก็ตามสเต็ปเพื่อนที่ดี เดินเข้าไปตบบ่าปลอบและบอกว่าอย่าคิดมาก

ผมยืนมองพวกเขาทั้งสองคนและกะพริบตาปริบ ๆ

เอาตามจริงคือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเข้าไปยุ่มย่ามหรือเปล่า ผมตกลงกับพี่ยอว่าจะช่วยคิดหาวิธีให้พี่พร้อมกลับไปคืนดีกับพี่ดีไซน์ แต่ตามที่ผมเห็น ...คนมันจะไปแล้วอะ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่หรอก เรื่องนี้ส่วนหนึ่งคงต้องโทษพี่เทคผมด้วย ปากพูดบอกว่าอยากคืนดีแต่ดูไม่กระตือรือร้นสักเท่าไหร่เลย

ผมเดินตามรุ่นพี่ทั้งสองคนออกมานอกห้างสรรพสินค้า เวลานั้นเพิ่งเป็นช่วงหัวค่ำ ผู้คนจึงยังดูคึกคัก เขาสองคนเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งพวกผม ผมเดินตามขึ้นไปและยังได้นั่งเบาะหลังข้างพี่พร้อมอยู่เหมือนเดิม ผมแอบเหลือบมองพี่พร้อมที่เอาแต่มองวิวข้างทาง นึกอยากปลอบใจอยู่เหมือนกันแต่กลัวว่าคำที่คิดได้ จะไม่ถูกใจเขาอ่าดิ เลยได้แต่นั่งเงียบ ๆ

ผมมาเอะใจเมื่อรถแท็กซี่ต้องขึ้นทางด่วน คราวนี้ผมมองซ้ายมองขวาเหลอหลาเชียวล่ะ เพราะแน่ใจว่าทางกลับมหาวิทยาลัยมันใกล้นิดเดียวและไม่จำเป็นต้องขึ้นทางด่วนด้วย ในใจผมลุกลี้ลุกลนมากแต่พยายามนั่งกับที่อยู่เฉย ๆ เพราะพอลองคิดดู ไม่มีทางที่พี่ยอกับพี่พร้อมจะพาผมไปทำมิดีมิร้ายหรอก กระนั้นก็พยายามมองทางไปด้วยเผื่อโดนทิ้งจะได้กลับถูก

รถแท็กซี่มาจอดหน้าสวนใต้สะพานขึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีชื่อเรียกว่าสวนหลวงพระรามแปด ผมจึงลงจากรถด้วยอาการตื่นเต้นนิด ๆ เพราะไม่เคยมา กวาดสายตามองรอบตัวอย่างตื่นตา ถนนเส้นหน้ามีรถวิ่งขวักไขว่ ในสวนเองก็เปิดไฟสว่างจ้า ขนาดท้องฟ้ามืดแล้ว ผมยังเห็นมีคนมาวิ่งมาออกกำลังกาย บ้างก็นั่งคุยนั่งเล่นอยู่ที่ศาลา

หันกลับไปมองรุ่นพี่ปีสองเห็นเดินลิ่ว ๆ ไปทางสะพานจึงรีบวิ่งตามไป แต่สายตายังหันมองรอบตัว

สายลมเย็นพัดโชยมาจากแม่น้ำ ผมสูดกลิ่นน้ำซึ่งเหมือนจะมีกลิ่นโคลนผสมอยู่ด้วย แต่ผมรู้สึกว่ามันสดชื่นดีนะ บ้าน ๆ ดีและเพราะไม่ค่อยได้สัมผัสด้วยล่ะ มันถึงให้ความรู้สึกแตกต่าง

ทว่าพอหันกลับไปมองพี่เทคกับเพื่อนสนิทเท่านั้นแหละ ผมต้องร้องอุทานในใจอย่างตื่นตระหนก ผู้ชายสองคนนั้นปีนขึ้นไปอยู่บนราวสะพานแล้ว อยากจะบอกว่าผมร้องโหยหวนในใจหนักมากแต่ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวสองคนนั้นจะตกใจแล้วร่วงลงไป เลยได้กระดึ๊บเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า

“พี่พร้อม พี่ยอ” ผมส่งเสียงเรียกเสียงสั่น

“มึงมานี่ดิลมเย็นนะ” พี่ยอพูด

“ตรงนี้ก็ลมเย็น” ผมตอบ ลมเย็นจนขาสั่นพับ ๆ เลยล่ะพลางพยายามพูดกล่อม “ลงมายืนที่พื้นเถอะ ลมแรงเดี๋ยวร่วงไป อันตรายด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก ลมแรงอย่างนี้รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“ยืนบนพื้นก็ลมแรงเท่ากันแหละ ลงมายืนข้างล่างเถอะ” ผมยังพยายามโน้มน้าวอย่างต่อเนื่อง วินาทีนั้นข่าวเรื่องคนโดดสะพานฆ่าตัวตายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลย ผมไม่เคยมาแต่ผมเคยอ่านข่าวเกี่ยวกับสะพานนี้นะ มีคนกระโดดสะพานลงไปตายจนลือกันว่าต้องมีตัวตายตัวแทนแล้ว สองคนนั้นยังทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก

“พี่ชีวิตคนเรามันมีค่านะเว้ย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ไว้บ้าง เขาเลี้ยงเรามาลำบากนะพี่”

“เพ้อเจ้ออะไรเนี่ยมึง” พี่ยอพูด ส่วนเพื่อนเขาพึมพำเสียงเบาแล้วจู่ ๆ ก็ส่งเสียงตะโกนโวยวาย

“นั่นดิแล้วอย่างนี้จะบอกพ่อแม่ยังไงวะ ไหนสัญญากันไว้แล้วยังไงล่ะวะ คิดถึงกูบ้างไหม กูอุตส่าห์ปฏิเสธผู้หญิงที่เสนอตัวมาให้กูเอาตั้งมากมายเพื่อมึงเลยนะ”

ผมสบถ ชะงักไปชั่วครู่และประมวลผลใหม่พร้อมขยับไปยืนใกล้ ๆ กางใบหูเพื่อรอเผือก

“ไหนมึงบอก แค่ขอให้ห่าง ๆ กันสักพัก” พี่ยอถามเพื่อนสนิท

“ห่างกันสักพักก็เหมือนกับขอเลิกแหละมึง กูไปตั้งกระทู้ถามมาแล้ว กรณีของกูนี่เขาบอกว่าเจอคนใหม่อยากจบแบบสวยหรู หรือไม่ก็... ถ้าคลิกกับอีกฝ่ายก็ไปอย่างถาวร”

“มึงก็ใจเย็น ๆ รอดูไปก่อน มึงกับไซน์คบกันมาตั้งนาน”

“กูไม่สนแหละ แม่งอยากไปก็ไป กูจะได้ไปคั่วกับคนอื่นบ้าง”

“เดี๋ยวได้ติดโรคก่อนได้แต่งงานหรอกมึง”

“ถุงยางก็มี แค่ป้องกันก็จบแล้ว คราวนี้กูจะเอาให้หมดเลย ใครท้องนั่นแหละแม่ของลูกกู”

ได้ยินสิ่งที่พี่พร้อมพูดแล้วตลกอะและงงด้วย คนเขามีแต่ไม่อยากให้ผู้หญิงท้องเพราะไม่อยากรับผิดชอบ ยิ่งยังเรียนไม่จบด้วยแล้ว มีแต่ความลำบาก และคำพูดก็ขัดแย้งกันเองชะมัด ใส่ถุงยางจะท้องได้อย่างไร

“พี่พร้อมเมาปะเนี่ย”

“เออ! มันเมาดิบไร้สาระ” พี่ยอเป็นคนตอบคำถามแทนเพื่อนสนิทอีกแล้ว

“ไปกินเหล้าไหมมึง กูอยากเมาจริง ๆ แล้ว” พี่พร้อมเอ่ยชวน “ไปส่งวุ้นที่หอก่อนแล้วไปตื๊ดกัน”

“อ้าว! ไหงตัดผมทิ้งล่ะ อุตส่าห์ลากผมมาถึงที่นี่แล้ว”

“นี่ไงกำลังพาไปส่ง” เขาตอบ ผมจึงงอแงต่อ

“ไม่!!! ผมอยากไปด้วยอะ”

“ที่ที่พวกกูไปกัน เขาเปิดถูกกฎหมายไม่รับเด็กอายุไม่ถึง” พี่ยอพูด

“นายไม่ได้กินเหล้าไม่ใช่เหรอ จะไปทำไม” พี่เทคถามต่อ

“อยากไป!!! อยากเห็น! อยากรู้!” พร้อมส่งสายตาอ้อน ๆ ไปให้รุ่นพี่ทั้งสองคน พวกเขาหันมองหน้าเหมือนปรึกษา ก่อนโดดลงจากราวสะพานมายืนที่พื้น และเดินนำ

“ไม่กลับเหรอ” พี่ยอหันมาถามเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่ง ผมจึงรีบตามไปและเดาเอาว่าพวกเขาคงยอมให้ผมตามไปด้วยแล้วล่ะ ทว่าที่ไหนได้พอเขาพาผมมาส่งที่หอบอกให้ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไอ้ผมก็ตื่นเต้นรีบวิ่งขึ้นบันไดไป หลังไขประตูห้องเท่านั้นแหละ เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้นตามมาด้วยคำพูดว่า “ไปแล้วนะ” วิ่งลงไปดูแท็กซี่อีกทีไม่มีแล้ว สรุปคือผมโดนทิ้งอะ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//สิ้นเดือนอีกแล้วววว ฝันต่อไปพบกันวันที่ 4 กันยายน 2561 นะ อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนล่ะ//*

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
อยากรู้ว่าใครคือต้าอ๋อง สนุกดีคะ น้องมีความมโนสู๊งสูง น่ารักดี มาลุ้นกัน  :m20:
ใจจริงอยากเชียร์พี่ยอนะ เราว่าเวลาอยู่ด้วยกันแล้วมันเพลินดี ความจริงพร้อมอาจเหมือนแค่หน้าก็ได้
ยังสรุปไม่ได้ อยากอ่านในช่วงของทั้ง 2 คนนี้บ้าง เอ๊ะ เฉินฟู่จะโผล่มาเกิดด้วยป่าวน่อ
แล้วนินนิจะมาเป็นประเด็นไรบ้าง สงสัยๆ เต็มไปหมด รอจ้าๆ  :katai3:
 :L2:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 15 ผมสารภาพรัก




เจ็บใจมาก!!! แต่ทำอย่างไรไม่ได้นอกจากรัวสติ๊กเกอร์ส่งเข้าไปในหน้าแชทของรุ่นพี่ทั้งสอง และคู่นั้นก็สมเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่ยอมเปิดอ่านหน้าต่างแชทของผมเลย

ฮึ่ย!!! น่าโมโห!

แต่นะในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วผมจึงอาบน้ำเข้านอนและตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่นแจ่มใส ไปเล่าเรียนด้วยความราบรื่นให้สมกับหน้าที่ที่พึงกระทำ โดยหวังว่าจะได้เจอพี่เทคและเพื่อนสนิทพี่เทคที่มหาวิทยาลัย แม้จะยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อให้พวกรุ่นพี่สำนึกในการกระทำของตัวเอง

ทว่าไม่เจอครับ

ตลอดทั้งวันผมไม่เห็นหน้าของสองคนนั้นเลย ไปซ้อมฟุตบอลก็ไม่เจอกัน ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง แต่ตอนที่มาถึงหอ ผมเหมือนเห็นหลังพี่พร้อมแว็บ ๆ เขากำลังจะเดินเข้าลิฟต์แต่เผอิญตอนนั้นผมอยู่นอกอาคารหอพัก ก่อนผ่านเข้าประตูกระจกของหอ กำหนดให้ต้องสแกนบัตรก่อนซึ่งกว่าจะได้ล้วงบัตร กว่าจะตื๊ดบัตรเพื่อเปิดประตู คนที่ผมคิดว่าเป็นพี่พร้อมก็ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นสองแล้ว ตอนนั้นผมจึงลังเลว่าจะวิ่งขึ้นบันไดตามไปหรือยืนรอดูเลขชั้น แต่เมื่อคิดกลับไปกลับมา ถ้าผมตาฝาดและคนที่เห็นไม่ใช่พี่พร้อม ผมคงเหนื่อยเปล่า เลยเลือกข้อแรก รอดูว่าลิฟต์หยุดที่ชั้นไหน มาฉุกคิดขึ้นได้อีกว่า ต่อให้รู้เลขชั้น ผมย่อมไม่มีทางรู้หมายเลขห้องอยู่ดี ตอนนั้นผมจึงตัดใจยอมแพ้ จดจำแค่เลขชั้นของผู้ชายที่ผมคิดว่าเป็นพี่พร้อมเผื่อไว้ ก่อนเดินเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องของตัวเอง

เมื่อได้มีเวลานั่งว่าง ๆ แบบนี้เรื่องที่เคยสงสัยอย่างพี่พร้อมใช่เหยียนจิ่นลี่หรือไม่ เลยย้อนกลับมาให้ผมคิดอีกครั้ง ถ้าพูดแค่ความรู้สึกผมว่าพี่พร้อมเนี่ยแหละคือเหยียนจิ่นลี่ ไม่ใช่เพราะแค่หน้าตาเหมือนอย่างเดียว

แต่ถ้าให้คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน ผมสงสัยเรื่องที่พี่พร้อมหน้าตาเหมือนเหยียนจิ่นลี่มากกว่าที่เขาจะใช่เหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิดหรือเปล่าอีก ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าทำไมเหยียนจิ่นลี่กับพี่พร้อมถึงหน้าตาเหมือนกันได้ต่างหาก

อีกเรื่องคือความรู้สึกของตัวเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมเลยถอนหายใจออกมาพลางวางคางพาดบนโต๊ะเขียนหนังสือ

ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่าตัวเองคงไม่ได้รักพี่พร้อมมาก อย่างน้อยหลังจากรับรู้ว่าพี่พร้อมมีแฟนแล้ว และจดจำเรื่องราวของซุนเจียวซินได้ ความรู้สึกชอบที่พวยพุ่งในอกมันก็เบาบางลง

“ทำไมเจ้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้”

ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง หันมองที่มาของเสียงและหันมองรอบตัว

จู่ ๆ ผมก็ฝันอีกแล้ว

เจ้าของเสียงพูดนั้นเป็นเหยียนจิ่นลี่ ส่วนที่ที่ผมอยู่เป็นศาลาในสวน ผมจึงพยายามนึกอีกนิดว่ามันควรจะเป็นสวนที่วังของเขาหรือที่บ้านของซุนเจียวซิน ยังไม่ทันคิดออก เหยียนจิ่นลี่กลับดึงความสนใจของผมด้วยการเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ

“อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวก็เจ็บป่วยไปหรอก” เขาพูดพลางยกมือขึ้นมาอังที่แก้มของผม

ถึงผมจะรู้สึกว่าไม่ได้รักพี่พร้อมมากแต่มันต่างกับผู้ชายคนนี้โดยสิ้นเชิง แค่ได้ยินเสียงของเขา แค่ได้สัมผัสฝ่ามืออบอุ่น ความรู้สึกโหยหาคิดถึงกลับเอ่อล้นออกมาจนอยากร้องไห้

“เจียวซิน!!!” เขาเรียกชื่อผมด้วยอาการตกใจ แต่ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ ผมก็โถมตัวเข้ากอดเขาไว้และซุกหน้าเช็ดหยาดน้ำกับแผงอกกว้าง

“เป็นอะไร หืม... ผู้ใดแกล้งเจ้า บอกข้า! เดี๋ยวข้าไปจัดการมันให้” เสียงพูดประโยคหลังของเขาขึงขังจนผมต้องส่งเสียงหัวเราะออกมา เกลือกหน้าไปมาสูดกลิ่นกายของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ถึงตัดใจยอมเงยหน้าขึ้นได้

“ถ้าผมจะบอกว่าเป็นคุณล่ะ”

“ข้า? ข้างั้นรึ ข้าไปกลั่นแกล้งเจ้าเมื่อใดกัน” เขาถามกลับด้วยสีหน้าเหลอหลาไม่เห็นด้วย

ผมเบะปาก ไม่ยอมอธิบายเพิ่มเติม ก็อย่างว่านะจะบอกถึงปัญหาที่ผมกำลังเผชิญได้อย่างไร ผมคิดว่าถ้าถามออกไปเขาคงตอบไม่ได้เหมือนกัน หรือจะลองดู? เพราะเหยียนจิ่นลี่คนที่ผมคุยด้วยมันก้ำกึ่งระหว่างความฝันกับความทรงจำอย่างมาก เขาโต้ตอบราวกับมีชีวิตอยู่ตรงหน้าและพูดคุยกับตัวผมได้จริง ๆ

“คุณไปเกิดใหม่เป็นใครเหรอ”

“หือ!” เขาตีหน้าขรึม “ไยต้องแช่งชักข้าด้วย”

“แช่งที่ไหน ผมถามเพราะอยากรู้”

“แล้วเรื่องพรรค์นั้นข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร ข้ายังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ตรงหน้าเจ้าหรือเจ้าต้องการหาเรื่องเลิกกับข้ารึเจียวซิน”

เห็นเขาทำหน้าโมโหฉุนเฉียวผมจึงต้องรีบส่งเสียงอ้อน “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าบึ้งสิ ผม...” นิ่งคิดเล็กน้อยเพื่อเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัว

“แค่คิดว่าถ้าชาติหน้ามีจริง คุณจะเกิดเป็นใครก็เท่านั้น”

เรื่องราวความสัมพันธ์ของเหยียนจิ่นลี่และซุนเจียวซินมันเหมือนนิยายน้ำเน่า เหยียนจิ่นลี่ขึ้นครองแคว้นเป็นต้าอ๋อง เขาอยากอยู่กับคนรักจึงเสนอให้ซุนเจียวซินทำงานในวัง แต่ความสัมพันธ์ผิดแผกก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของไทเฮา เหยียนจิ่นลี่จึงมีปากเสียงไม่ลงรอยกับแม่ตัวเอง แต่พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา การกระทบกระทั่งครั้งนั้นสร้างความสั่นคลอนกับอำนาจของผู้ครองแคว้น ซุนเจียวซินถึงได้เลือกทางอื่น

ตัวผมในชาติภพนั้นเลือกที่จะเป็นฝ่ายถอยทว่าเหยียนจิ่นลี่ไม่ยอม เขามีอำนาจในมือและก็พร้อมทำลายทุกสิ่ง พอเรื่องราวกระทบความมั่นคงของแคว้น ไทเฮาจึงยอมอ่อนข้อให้และต่อรองขอแค่ให้ต้าอ๋องมีรัชทายาท ส่วนคนที่ต้องดำเนินการให้เป็นเช่นนั้นคือซุนเจียวซิน

“เกิดเป็นผู้ใดก็ได้ที่ได้รักเจ้า”

“ปากหวาน” ผมพูดแขวะด้วยความหมั่นไส้ “ถ้าเป็นใครก็ได้ คุณอาจจะเกิดเป็นพ่อกับแม่ผมก็ได้นะ”

ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริงนี่เท่ากับเสียแรงเปล่าเลย อุตส่าห์ทุ่มเทเวลาอ่านหนังสือตั้งเยอะแยะเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ห่างจากบ้าน

“ไม่ล่ะ... ไม่มีทาง ถ้าเป็นบิดามารดา ข้าคงไม่ได้จูบเจ้าอย่างนี้” เขาไม่ได้แค่พูด แต่กดริมฝีปากลงมาแสดงให้ผมเห็นอย่างถ้อยคำที่ต้องการสื่อ

ลิ้นของเขากวาดไปทั่ว ดูดดึงและสร้างความวาบหวามให้บังเกิด เขาทำให้ร่างกายของผมร้อนผ่าว

“เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมพูดบ่นยามที่เขาผละตัวออก ซุกหน้าลงกับอกของเขาเพื่อซ่อนความเขินอาย

“จะกลัวไปทำไม ใครกล้ามองข้าจะควักลูกตาให้หมด”

คำพูดบ้าอำนาจแบบนี้ ผมว่าคงเป็นช่วงที่เขาได้เป็นต้าอ๋องแล้ว

เขาปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวไร้บทสนทนาไปอีกชั่วครู่ ทำเพียงโอบกอดผมด้วยสองแขนพร้อมลูบหลังไปพลาง ยอมให้ผมได้ซึมซับความอุ่นหวานอันน่าอภิรมย์ ถึงผมจะอิ่มเอมกับมันแต่ลึก ๆ ยังแฝงด้วยความโหยหาคิดถึง

“ถ้าชาติหน้ามีจริง...” เขาเอ่ยเรียกความสนใจจนผมต้องเหลือบตาขึ้นมอง

“ข้าจะเกิดเป็นคนธรรมดา แบบธรรมดาสุด ๆ ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีทรัพย์สินมั่งมี”

“จะดีเหรอ เกิดเป็นคนจนนี่ลำบากนะ” ผมเอ่ยทักท้วง

“อย่างนั้นแค่พอมีพอใช้ไม่ฟุ่มเฟือย เจ้าเองก็เหมือนกัน ถ้าเกิดใหม่ห้ามร่ำรวยมากนัก เรื่องราวความรักระหว่างเราจะได้ไม่มีอุปสรรคมาก”

อ้าว! ตกลงที่บ้านผมไม่รวยเพราะคำสั่งของเขาเหรอ ผมคิดและต้องหัวเราะออกมากระนั้นก็ยอมตอบตกลง

“ข้าจะอายุมากกว่าเจ้า เจ้าจะได้เรียกข้าว่าพี่จิ่นลี่เหมือนเดิม”

เห๋!!! จริงเหรอเนี่ย ตกลงปกติผมเรียกเขาว่าพี่จิ่นลี่เหรอ

“ครับต้าอ๋อง”

“เด็กดื้อ!” เขาพูดดุไม่จริงจัง “อืม... แล้ว...”

♪♫Zile, zile  Zile, zile eu alerg Mile, mile Mile, mile pe maidan…♪♫

ผมสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถือทันใด สมองยังมึนงงเล็กน้อยตอนเลื่อนหน้าจอรับสาย

“ฮัลโหล” เอ่ยออกไปแล้วต้องกระแอมอีกสองสามครั้งเพื่อให้เสียงกลับมาปกติ

“วุ้น!!!” เสียงจันทร์ลอดมาตามสาย “ไม่มาเรียนเหรอ อาจารย์บอกว่าท้ายคาบจะมีควิซนะ”

ได้ยินอย่างนั้นผมถึงละโทรศัพท์ออกมาดูเวลาด้วยอาการเลิ่กลั่ก เลขเก้าบนมุมหน้าจอทำให้ผมตื่นตกใจลุกขึ้นยืนทันควันพร้อมอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวปวดคอถามหา แต่ผมละความสนใจไว้แล้วกรอกเสียงตอบปลายสาย

“ขอบคุณมากจันทร์ ขอบคุณที่โทรมาบอกนะ เดี๋ยววุ้นรีบไป”

ผมวางสายรีบวิ่งเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว ออกมาคว้าชุดนักศึกษาขึ้นสวมใส่และออกจากห้อง

ระหว่างทางก็คิดก่นด่าสงสัยตัวเองอยู่ในใจ ทำไมถึงได้นอนฟุบกับโต๊ะเขียนหนังสือได้ทั้งคืนขนาดนั้น เสียงนาฬิกาปลุกของโทรศัพท์ก็ไม่ได้ยิน จำได้ว่าเมื่อวานไม่ได้เหนื่อยมากและตอนที่ผมนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ เพิ่งหัวค่ำเองด้วย

วันนั้นผมไปทันเข้าเรียนในครึ่งหลังและได้ควิซท้ายคาบ ถึงจะตอบคำถามไม่ค่อยได้แต่อย่างน้อยก็มีคะแนนล่ะนะ

ช่วงเที่ยงผมเห็นพี่ดีไซน์กับพี่นินเดินอยู่ด้วยกัน ต่อมความอยากรู้เลยทำงานอีกครั้ง ที่อยากรู้คือสองคนนี้คบกันแล้วแน่ใช่ไหมอะไรเทือกนี้ ทีแรกผมกะว่าจะตามไปดูสองคนนั้นเลยแต่เสียงท้องร้องและกระเพาะอันว่างเปล่าทำให้ผมยั้งใจไว้ได้ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้รับสารอาหารพลังงานใด ๆ ดังนั้นจึงต้องไปกินข้าวก่อน

ตอนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ ผมเห็นพี่เทคและเพื่อนของเขาเดินเข้ามาในโรงอาหาร จึงรีบชูมือกวักเรียกแต่พี่ยอแกล้งทำเมินมองไม่เห็นผม ยังดีที่พี่พร้อมไม่ได้ทำแบบเพื่อนของเขา หนุ่มรุ่นพี่หันมายิ้มให้กระนั้นก็เดินผ่านไปไม่ยอมแวะเข้ามาหา

คงเพราะเห็นผมหน้าบู้ จันทร์ถึงเอ่ยถาม

“มีอะไรเหรอ”

ผมจึงเล่าเรื่องที่โดนสองคนนั้นทิ้งไม่ยอมให้ไปกินเหล้าด้วยให้ฟัง แต่จันทร์กลับถามเรื่องอื่น

“พี่พร้อมโสดแล้วจริงดิ”

“ยังไม่ชัวร์เหมือนกัน ทำไมเหรอ”

“ถ้าพี่พร้อมโสดจันทร์ว่าจะจีบสักหน่อย”

ผมชะงัก หัวใจร่วงวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทันควัน “จันทร์ชอบพี่พร้อมเหรอ”

“พี่พร้อมหล่อดีออก นิสัยดีด้วย”

พานให้คอฝืดเฝื่อนกลืนข้าวไม่ลงขึ้นมาทันใด ลังเลว่าควรจะบอกจันทร์ดีหรือไม่ว่าผมก็ชอบพี่พร้อม

เรื่องแบบนี้มันเดาใจคนอื่นยากซะด้วย เพราะถ้าพูดออกไปจันทร์ก็จะมองว่าผมเป็นเกย์ แล้วถ้าเกิดผมกับพี่พร้อมไม่ได้คบกัน มันจะทำให้ผมคบผู้หญิงไม่ได้อีกหรือเปล่า แบบถ้าพลาดจากพี่พร้อมแล้วต้องไปคบผู้ชายคนอื่นผมก็ไม่เอาหรอกนะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

“ทำไม หรือมีใครขอให้วุ้นเป็นพ่อสื่อให้แล้ว”

ผมรีบโบกมือปฏิเสธ

ลองคิดไปคิดมา ไม่แน่ว่าพี่พร้อมอาจจะไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่จริง ๆ ก็ได้ละมั้ง ก็เขาเป็นคนพูดเองว่าถ้าเกิดใหม่จะรักผมเหมือนกัน ถึงในฝันมันดูสอดคล้องจนเหมือนว่าผมมโนไปเองก็เถอะ แต่ผมเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อจนไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์อธิบายได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจะเชื่อความฝันเป็นตุเป็นตะนั่นนะแหละ

“นั่งด้วย” พี่ยอเอ่ยบอกโดยไม่รอให้พวกผมอนุญาต

กลุ่มเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสองอย่างมีมารยาท ...ยกเว้นผม

“ไม่คิดจะไหว้รุ่นพี่หรือน้องวุ้น” พี่ยอเจาะจงถาม

“จะแกล้งอะไรน้องกู” พี่พร้อมปาดหน้าถามกลับทันที สองเพื่อนซี้เลยหันไปคุยกันเอง

“กูแกล้งมันที่ไหน” พี่ยอทำท่าหงุดหงิดที่เพื่อนจับผิดทั้งที่ตากับมือสนใจอยู่กับชามก๋วยเตี๋ยว “มึงก็เล่นไม่เลิก”

แล้วพี่พร้อมก็หันมาถามผม “เงียบเชียวยังโกรธเรื่องเมื่อวันก่อนหรือไง”

“ฮึ! ใครจะกล้าโกรธ ผมมันก็แค่รุ่นน้องธรรมดา”

“มีงอนด้วยเว้ย!!!” พี่ยอพูดแซว เพื่อนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงโพล่งออกไปว่า “แบบนี้ต้องเลี้ยงเหล้าครับ เชื่อผมหายงอนแน่นอน”

“ผมกินแต่ชีวาสนะครับ เหล้าอื่นผมแพ้ กินแล้วผื่นขึ้น” ผมรีบพูดเพิ่มเติม

“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” พี่ยอยังเป็นคนโต้ตอบเหมือนเดิม ส่วนพี่เทคก็นั่งหัวเราะอย่างเดียว

“พี่ยอรู้ได้ยังไง เคยมาดมปากผมเหรอ” ผมเอ่ยด้วยท่าทางแสร้งตกใจ พวกเพื่อนถึงกับส่งเสียงรับเป็นลูกคู่

เรื่องพาไปกินเหล้าเอิกเกริกนี่ค่อนข้างยากแน่นอนครับ ผมได้ยินแว่ว ๆ ว่าจะเลี้ยงเหล้ารุ่นน้องก็ได้ แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจะโดนทัณฑ์บนทันที มหาวิทยาลัยของผมเข้มงวดเรื่องนี้มาก เรื่องเลี้ยงเหล้าเลยเหมือนเป็นมุกตลกพูดคุยกันขำ ๆ เสียมากกว่า ส่วนใหญ่ถ้าจะมีเลี้ยงก็ต้องรอพ้นปีหนึ่งไปก่อน

หลังกินข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายแต่ใจผมน่ะอยากคุยกับพี่พร้อมต่อ

เฮ้อ... ผมค่อนข้างจะไม่เข้าใจตัวเองเลย ทีแรกก็รู้สึกว่าไม่ได้ชอบมากทว่าพอได้เจอแล้วกลับรู้สึกอยากอยู่กับเขานาน ๆ ใจหนึ่งอยากสารภาพรักไปเลยจะได้รู้ว่าออกหัวหรือก้อย

ผมอกหักเพราะรู้ว่าเขามีแฟนมาแล้ว พอเขาจะกลับมาโสดอีกครั้งก็เลยมีความหวังซะงั้น

ความคิดผมจมอยู่กับสิ่งที่ตัดสินใจไม่ได้ ถึงกระนั้นผมยังใช้ชีวิตไปตามปกติ

ช่วงกีฬาคณะผมไปนั่งเป็นตัวสำรองส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างสนาม คอยเกาะติดพี่เทคกับเพื่อนพี่เทค ได้ลงบ้างบางนัดที่พวกรุ่นพี่ประมาณการว่าชนะแน่ ๆ

ทีมฟุตบอลของคณะผมค่อนข้างเล่นจริงจัง พวกรุ่นพี่หวังว่าต้องชนะเลิศ จะว่าไป... ไม่ว่ากีฬาชนิดไหนคณะผมก็จริงจังทั้งนั้น สรุปสุดท้ายจึงกวาดเหรียญมาได้เพียบ การแข่งสุดท้ายคือประกวดเชียร์และกลางคืนจะมีประกวดดาวเดือน

พวกรุ่นพี่โปรโมทให้พวกผมไปกดโหวตกันตั้งแต่สโมสรนักศึกษายังไม่ได้เปิดโหวต ผมก็เอากับเขาด้วย ถ้านั่งว่าง ๆ จะเปิดเว็บไปกดโหวตดาวเดือนของคณะตัวเอง แต่ผลการโหวตยังไม่ใช่ที่สุดนะครับเพราะอย่างไรคืนประกวดเขานับยอดกุหลาบด้วย

ผมก็ไปซื้อกับเขา แต่ไม่ได้เอาไปให้ดาวเดือนนะ ตั้งใจจะเอาไปให้พี่เทค

หลังจากขบคิดจนตกผลึก ผมคิดว่าตัวเองควรสารภาพรักล่ะ ผมไม่อยากมานั่งคิดว่าเขาคือเหยียนจิ่นลี่หรือไม่ ไม่อยากมานั่งเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่คนเดียว ทุกวันนี้ความรู้สึกของผมอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความคิดที่จะทุ่มเทให้พี่พร้อมหรือตัดใจ ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อรักคนอื่น ผมไม่ได้คิดว่าความทรงจำในอดีตชาติของตนเองมีไว้เพื่อผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้

ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวเองต้องเด็ดขาดให้รู้ดำรู้แดงไปเลย!!!

เมื่อช่วงกลางวันผมส่งข้อความไปถามพี่พร้อมมาแล้ว ว่าเขาจะมางานประกวดด้วยหรือเปล่า เขาตอบว่ามาเพราะสโมฯยังอนุญาตให้ปีสองเข้าไปดูประกวดกับคอนเสิร์ตท้ายงานได้



READ 2:26 PM “พี่มาถึงแล้วไลน์มาบอกหน่อย”

READ 2:26 PM “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”



คงเพราะประโยคข้อความของผมมันดูจริงจังเกินไป พี่พร้อมเลยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่เขาก็ยอมส่งข้อความมาบอกตามที่ขอ


“มาถึงแล้ว” 7:29 PM


ความสนใจของผมอยู่กับแต่โทรศัพท์ ตอนที่เครื่องสั่นเตือนข้อความของพี่พร้อม ผมจึงฝ่าผู้คนออกไปหาเขาได้ทันที ผมก้มมองดอกไม้ในมือที่ดูช้ำเล็กน้อยแต่เพราะมันมืดแล้วจึงมองไม่ค่อยเห็น รู้สึกได้เลยว่ามือเย็นลง หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น และความลังเลก็หวนกลับมาหาผมอีกครั้ง

ผมกลัวว่าเขาจะปฏิเสธเพราะเขาไม่ได้มีท่าทีให้ผมเลย แต่พอคิดว่าถ้าเขาคือเหยียนจิ่นลี่ เขาต้องตอบตกลง ในใจผมจึงมีแรงฮึดขึ้นมา

ผมเจอพี่พร้อมยืนอยู่แถวหน้าประตูหอประชุม ข้าง ๆ คือเพื่อนสนิทของเขา

“มีอะไรเหรอ” พี่พร้อมถาม ผมเหลือบเห็นสายตาของพี่ยอชั่วแว็บหนึ่ง แววตาที่เห็นบ่งบอกว่าเขารู้ว่าผมกำลังทำอะไร ผมจึงพยายามไม่หันไปมองหน้าของเขาอีก

“ไปที่อื่นได้ไหม”

พี่พร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ผมรีบเดินเลี่ยงนำหน้าเขาไปเป็นการบังคับกลาย ๆ 

ผมหยุดยืนห่างจากจุดเดิมไปไม่ไกล เพราะถ้าเดินห่างออกไปมาก แสงไฟมันไม่สว่าง ถ้ามองเห็นหน้าไม่ชัดและเกิดพี่พร้อมยอมตกลง ผมก็พลาดวินาทีที่โลกควรจดจำนะสิ

ผมสูดลมหายใจเรียกแรงฮึดและหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ยื่นดอกกุหลาบให้พร้อมพูดว่า

“ผมชอบพี่พร้อม พี่เป็นแฟนกับผมนะ”

พี่พร้อมอึ้งชะงักไปก่อนจะยกยิ้มและยอมรับดอกไม้ที่ผมยื่นไปให้ “เล่นอะไรเนี่ย”

“เล่น?”

“นัดกับไอ้ยอไว้ว่าจะแกล้งอะไรพี่หรือเปล่า”

คราวนี้เป็นผมเองที่ไปไม่เป็น เหมือนหายใจไม่ออกแต่ก็พยายามเค้นเสียงตัวเองออกมา “ฮะฮะฮะ อะไรเนี่ยรู้ตัวเร็วจัง”

เป็นอันว่าเขาไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่

“เออ... ผมจะไปเซเว่นพี่เอาอะไรไหม”

“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ”

ผมรีบวิ่งออกมาเพราะกลัวว่าตัวเองจะทนฝืนปั้นสีหน้าไม่ไหว

ผมสงสัยตัวเอง

ควรจะโล่งอกไม่ใช่เหรออย่างน้อยก็ยืนยันแน่ชัดว่าเขาไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่ แต่ทำไมในใจถึงเจ็บปวดจนอยากร้องไห้ขนาดนี้

ผมอ้าปากสูดลมหายใจ เงยหน้าขึ้น

ท้องฟ้าในกรุงเทพมืดดำไม่เห็นแสงดาวสักดวงและความรู้สึกคิดถึงบ้านก็พวยพุ่งขึ้นมา

ผมพ่นลมหายใจเมื่อกดข่มความรู้สึกให้กลับมาเป็นปกติ

“ก็ดีแล้ว... จะได้เอาเวลาไปตามหาเหยียนจิ่นลี่ตัวจริง” ผมพึมพำบอกกับตัวเอง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...หรือว่า...เหยียนจินลี่ตัวจริงจะเป็นพี่ยอ?

ว่าแต่...พี่ยอรวยมั้ย?  ถ้ารวยก็ไม่น่าจะใช่จิ  อิอิ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 16 ผมทำตำหนิไว้แล้ว



คราวนี้ตอนที่ผมรู้สึกตัวกลับยืนอยู่กลางตำหนักต้าอ๋อง ในตำหนักไม่มีใครทว่าจากนั้นไม่นานประตูได้ถูกเปิดออก พอผมหันไป เขาก็สาวเท้าเข้ามาสวมกอดผมไว้

“เป็นอย่างไรพออยู่ได้ไหม”

“ได้สิครับ แค่มีพี่จิ่นลี่ไม่ว่าที่ไหนผมก็อยู่ได้ทั้งนั้น” ผมยิ้มพูดอ้อนไปโดยอัตโนมัติ เขาก้มหน้าทำท่าเหมือนจะฉกจูบแต่ผมใช้มือขวางเขาไว้

แผงไหล่ของเขากว้างบดบังสายตาของผมจนมิด แต่คิดว่าห้องนี้คงไม่ได้มีแค่ผมและเขา

เหยียนจิ่นลี่จึงยกมือขึ้นมาดึงมือผมออก ขยับปากแบบไม่มีเสียงเป็นข้อความว่า ‘คืนนี้’ ผมแกล้งขมวดคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจและเปลี่ยนเรื่องคุย

“ทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

คำถามของผมทำให้เขาขมวดคิ้วบ้าง ‘‘เจ้ายอมตกลงเป็นอาลักษณ์ประจำตัวข้าแล้ว และยังยอมเข้ามาอยู่ในวัง ข้าหวังว่าเจ้าคงจะไม่กลับคำ”

“เปล๊า!!!” ผมปฏิเสธเสียงสูง ผละตัวออกจากอ้อมกอดของเขาพลางพยักหน้ารับกับตัวเอง คราวนี้ฝันถึงช่วงที่เพิ่งเข้าวังเหรอเนี่ย แต่หลัง ๆ ผมรู้สึกว่าความทรงจำกับความฝันที่ผมเห็นมันค่อนข้างประหลาด

อย่างครั้งแรกเลย ผมเห็น ผมรับรู้แต่บางถ้อยคำหรือบางประโยคมันยังเป็นคำพูดที่ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วงหลังการเห็นความทรงจำอดีตชาติในรูปแบบของความฝัน มันให้ความรู้สึกว่านี่แหละตัวผม เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจคิดและพูดออกไป

ว่ากันตามจริง ผมทั้งงงและสงสัย แต่คิดมากไปก็หาข้อสรุปไม่ได้ซ้ำร้ายจะปรึกษาใครก็คงยาก จะให้ไปถามพระแบบในละคร เอ่อ... ผมไม่ได้คิดลบหลู่นะแต่สมัยนี้ไม่ใช่ว่าพระทุกรูปจะปฏิบัติจนมีความสามารถพิเศษ ถ้าให้ไปหาพระเกจิอาจารย์ ผมคิดว่ามันดูทุ่มเทเกินไปเพราะมันเป็นแค่ความฝัน ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย เลยปล่อยตามเลยเหมือนเดิม

ระหว่างที่คิด ผมก็เดินสำรวจโน่นนี่นั่นไปด้วย เมื่อนึกขึ้นได้จึงแกล้งถาม “เตียงของผมอยู่ไหนล่ะครับ”

ชายหนุ่มผู้เป็นต้าอ๋องจึงผายมือไปยังฟูกนอนกลางห้องพร้อมยกยิ้มนัยน์ตาพราวระยับ

ถ้าจำไม่ผิด... ผมย้ายมาอยู่ในวังวันแรกก็เสียท่าให้เขาเลย แบบนี้ไม่ดีแน่! ผมต้องยื้อความบริสุทธิ์ของตัวเองให้นานที่สุด

“ไม่อะ ผมอยากได้เตียงของตัวเอง” ผมประกาศบอกเขา

“แล้วนอนกับข้าไม่ดีอย่างไร”

แน่ะ! ยังมาถาม “ผมนอนคนเดียวมาตั้งนาน จู่ ๆ จะให้ผมนอนกับใครก็ไม่รู้ได้ยังไง”

“ใครก็ไม่รู้ของเจ้า หมายถึงผู้ใดเล่า” เขาถามกลับ สีหน้าคล้ายสนุก “อะไรกัน... ทีตอนเด็ก ๆ กลับรั้งชายเสื้อข้าไว้ไม่ยอมให้ข้ากลับทั้งที่ค่ำมืดแล้ว ร่ำร้องแต่อยากให้พี่จิ่นลี่นอนด้วย”

“ใคร? ใครทำแบบนั้น คุณจำผิดแล้วล่ะ” ผมร้องอย่างร้อนตัว ความทรงจำแบบนั้นสำหรับผมก็ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่เหมือนจำได้ราง ๆ อยู่เหมือนกันทว่าถ้ายอมรับก็เท่ากับแพ้น่ะสิ หนทางที่ดีที่สุดคือแกล้งโวยวายซะเลย “ไม่รู้แหละ ถ้าไม่ทำอย่างที่ผมต้องการ ผมจะโกรธจริง ๆ ด้วย” และเพิ่มความสมจริงด้วยการกอดอกทำหน้าบึ้ง เขาจึงเอ่ยเรียกขันที สั่งจัดเตียงให้ผมซึ่งไม่ไกลเลย อยู่ในตำหนักเขาเองนั่น ไอ้ห้องเชื่อมเล็ก ๆ ที่มีแค่เตียงกับหลังไม้ใส่เสื้อผ้า

“พอใจหรือไม่ท่านอาลักษณ์ซุน” เขาถามยียวน

ผมเดินเข้าไปทำเป็นปรายตามองและพยักหน้า รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางจัดที่นอนให้ผมห่างจากตำหนักนี้ จากนั้นเดินผ่านเขาออกไปด้านนอก

“ผมคงต้องขอตัวไปทำงานก่อน ไหน ๆ การเข้าวังมาครั้งนี้ก็เพื่อทำงานล่ะนะ”

เขายกยิ้มมุมปาก ผายมือไปทางห้องซึ่งอยู่อีกฝั่ง ผมเดินไปยังทิศทางนั้นโดยมีเขาเดินตาม ผมจึงหันไปเขม่นจ้องพลางเอ่ยถาม

“ต้าอ๋องจะเดินตามมาทำไมล่ะ”

“ข้าจะไปดูฎีกาเช่นกัน”

“งั้นผมไปเดินสำรวจแถว ๆ นี้ก่อนดีกว่า” ผมเปลี่ยนใจทันควัน

“เจ้าเป็นอาลักษณ์ประจำพระองค์ ต้าอ๋องกำลังจะทำงาน เจ้าจะยังไปเดินเล่นอยู่ได้รึ” เหยียนจิ่นลี่ถามหน้าตาขึงขัง

ผมรู้!!! เขาแกล้งพูด

“แน่ะ ยังมาทำหน้าพิลึกใส่ข้าอีก”

ผมขมวดคิ้ว

“แน่ะ! แน่ะ! ยังไม่หยุด”

หนนี้ผมได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ พูดไม่ออก ข้องใจตั้งแต่ที่เขาบอกว่าผมทำหน้าพิลึกแล้ว กระนั้นเขากลับส่งเสียงหัวเราะ คว้าจับข้อมือของผมและลากให้เดินไปยังห้องทำงานด้วยกัน เมื่อทรุดตัวลงนั่งได้ก็เอ่ยปากสั่งทันที

“อาลักษณ์ซุนไปหยิบฎีกามาซิ”

ผมมองของที่เขาสั่งให้หยิบ รู้ไหมครับ มันวางห่างจากตัวเขาแค่เอื้อมมือเท่านั้นเอง

“หยิบไม่ถึงหรือครับ”

“ใช่! หยิบไม่ถึง” เขาตอบหน้าตาย ...น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด ถึงจะคิดอย่างนั้นอยู่ในใจสุดท้ายก็ต้องเดินไปหยิบให้อยู่ดี ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าหยิบม้วนไม้ไผ่ส่งให้ แต่คนเป็นต้าอ๋องกลับคว้ามือของผมไว้แทน ผมขมวดคิ้วพลางส่งสายตาถาม ทว่ากลับโดนกระชากให้ล้มเสียหลัก ก่อนโดนรวบทั้งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของอีกฝ่าย

โอ๊ย! มุกน้ำเน่า… แต่ทำให้หัวใจของผมเต้นโครมครามมาก

ผมย่นจมูกฝืนสีหน้าไม่ให้ฉีกยิ้ม เขาโน้มหน้าลงมากัดปลายจมูกผมเบา ๆ มันทำให้ผมต้องเหลือบสายตาขึ้นมองและได้สบนัยน์ตาสีดำสนิทในระยะประชิด หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอีกจนต้องหลบสายตา

ตอนนั้นจึงกวาดมองรอบห้องว่านอกจากพวกผมสองคนแล้ว ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่ ขณะที่ผิวแก้มยังรู้สึกถึงสัมผัสของอีกฝ่าย

“กลางวันแสก ๆ ทำอะไรไม่อายผีสางเทวดา” ผมบ่นเสียงเบา

“ตำหนักนี้ไม่มีผี ท่านเทพเองก็คงมีมารยาทพอไม่มาแอบดูพวกเราหรอก” เขาตอบกลับพลางลากริมฝีปากจนมาแนบกับริมฝีปากของผม

แล้วอย่างผมหรือจะขัดขืน ก็ปล่อยให้เขาจูบไปตามระเบียบก่อนไปต่อที่เตียง

ความตั้งใจที่จะไม่ยอมเสียท่าง่าย ๆ พังครืนไปอย่างรวดเร็ว เนี่ยแหละน้า... มอบใจให้เขาไปแล้ว ไม่ต้องรบเร้านานข้าวสารก็พร้อมที่จะกลายเป็นข้าวสุก

หลังจากเรียบร้อยโรงเรียนเหยียนจิ่นลี่ ผมก็หลับไปพักหนึ่งและเมื่อตื่นขึ้นมายังเห็นเขานอนกอดผมอยู่บนฟูก ความรู้สึกอุ่นวาบมีความสุขจึงยิ่งพองโตอยู่ในอก

“เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงถามของเขานุ่มทุ้มจนเหมือนว่าตัวกำลังจะลอยเสียให้ได้ แต่ผมก็แกล้งเบะปากทำเป็นร้องไห้งอแง

“เจ็บอะ! เจ็บมากเลย ต้องตายแน่ ๆ”

เขาถึงกับลุกพรวด ทำท่าจะส่งเสียงตามหมอ ผมจึงต้องรีบลุกขึ้นตะครุบปากเขาไว้ แล้วก็จี๊ดไปถึงสมอง ตอนที่นอนนิ่ง ๆ ยังไม่เจ็บมากเท่าไหร่แต่พอขยับเท่านั้นแหละ นึกสบถอยู่ในใจที่ความฝันมันสมจริงเหลือเกิน แต่ต้องรีบเอ่ยห้ามเขาไว้ก่อน

“ผมไม่เป็นอะไร แค่แกล้งคุณเล่นเฉย ๆ”

“เจียวซิน เรื่องอย่างนี้สมควรล้อเล่นหรือ”

“ผมขอโทษ แต่นอนลงก่อนนะ ขยับมากแล้วมันเจ็บอะ”

“ข้าจะให้คนตามหมอ”

“ถ้าตามมาก็ไม่ต้องมาคุยกับผมอีก” ผมใช้เสียงดุทำหน้าจริงจังเข้าใส่ เขาจึงยอมดึงผมให้ล้มตัวลงนอน มือข้างหนึ่งกดนวดแถวสะโพกผมไปพลาง

ผมชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย แค่ได้อยู่ด้วยกัน ...แต่เพราะรู้ว่าความต้องการแบบนั้นมันเป็นไปยาก จึงอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาส่งเสียงถามซึ่งดูเหมือนว่าจะคอยสังเกตผมอยู่ตลอด ผมจึงขยับศีรษะขึ้นไปวางบนแผงอกเปลือย แนบหูลงฟังเสียงหัวใจของเขาทว่ามือของเขากลับซุกซนจนผมต้องเด้งศีรษะและยกฝ่ามือขึ้นตี

“อยู่เฉย ๆ สิ ผมไม่ไหวแล้วนะ”

เขายิ้มยอมเปลี่ยนตำแหน่งการวางมือทว่าก็เลื่อนมาลูบวนแถวหัวไหล่ “เจ็บหรือไม่”

ผมเลิกคิ้ว

“ข้าไม่ทันห้ามใจ”

ผมเอี้ยวคอมอง เห็นรอยแดงจาง ๆ อยู่ตรงจุดที่เขาสัมผัสจึงปิ๊งไอเดีย โน้มตัวลงกัดเนื้อของเขาเต็มเขี้ยว เหยียนจิ่นลี่สะดุ้งแต่ยอมไม่ร้องออกมา

“โกรธข้าหรือ”

“เปล่าซะหน่อย แค่ทำตำหนิ” และถึงจะบอกว่ากัดเต็มเขี้ยวแต่รอยที่ผมทำไว้ก็เป็นเพียงรอยเล็ก ๆ เหนือหน้าอก กัดไปครั้งแรกมีแต่รอยฟัน ต้องใช้ฟันหน้าขบย้ำอีกหลายครั้งกว่าจะเป็นรูปร่างที่ผมพอใจ ทว่ามันก็เป็นรอยที่ไม่มีรูปทรงเท่านั้น

“ถึงไม่ทำตำหนิ ข้าก็เป็นของเจ้า”

ผมเบะปากหมั่นไส้กับความปากหวานของเขา ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากรูปกระจับ ไม่ได้อธิบายให้เขาฟังว่าที่ทำตำหนิไม่ได้ทำเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ทำเพื่อให้หาเขาเจอต่างหาก แม้จะรู้ว่าวิธีแบบนี้มันเพ้อเจ้อไม่น่าเป็นไปได้ กระนั้นลองดูก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะ

ผมล้มตัวลงนอนบนแผงอกกว้างฟังเสียงหัวใจของเขาเช่นเดิม นานเข้าเลยเคลิ้มเพลินเหมือนจะหลับอีกรอบก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อปลุก

“วุ้น! วุ้น! ตื่นสิ!”

น่าแปลกที่ได้ยินเสียงเหยียนจิ่นลี่เรียกชื่อเล่นภาษาไทยที่พ่อแม่ตั้งให้นี่แหละ ผมจึงยอมลืมตาแถมขานเสียงรับในลำคอให้ด้วย แต่ตอนนั้นรู้สึกง่วงมากผมถึงบอกเขาว่า

“ง่วงอะ ขอนอนต่อนะ” พลางขยับไปจูบปากเขาอีกทีเพื่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน ผมกอดคอเขาไว้ซุกศีรษะเพื่อหลับต่อ

“เอ่อ...”

“ดูท่าพวกเราจะกังวลไร้สาระแล้วละมั้ง”

“เงียบไปเหอะน่า” เหยียนจิ่นลี่แค่นเสียงดุ เหมือนเขาคุยอยู่กับคนอื่นแต่ในตำหนักของต้าอ๋องเนี่ยนะ น้ำเสียงไร้ความเคารพอีกต่างหาก ได้ยินสำเนียงแบบนี้แล้วนึกถึงเฉินฟู่ขึ้นมาทันทีเลย

“วุ้นลืมตาก่อน” เขาหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่ แต่ราวกับสมองของผมเริ่มกลับมาทำงานเต็มที่แล้วถึงได้จับใจความสำคัญได้ เขาเรียกผมว่า ‘วุ้น’

ผมลืมตา ยกศีรษะเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย

อ้าว! ก็ยังใช่เหยียนจิ่นลี่นี่นา

“เมื่อกี้พี่จิ่นลี่เรียกผมว่าอะไรนะ”

“พี่จิ่นลี่?”

“ละเมออะไรอยู่ฮะ! ไอ้น้องวุ้น” เสียงบุคคลที่สามทำให้ผมหันไปมอง และต้องร้องอุทานออกมา “พี่ยอ!!!”

“เออ! กูเอง ทำหน้าเหมือนไม่เคยเห็นกู”

เห็นหน้าเพื่อนสนิทพี่เทคแล้ว ผมต้องรีบหันกลับไปมองคนตรงหน้า จากนั้นต้องรีบเด้งตัวออกห่าง ก็เมื่อกี้ผมกอดรัดพี่พร้อมแนบแน่นแบบถ้าสิงได้คงทำไปแล้ว ทว่าพอเคลื่อนไหวร่างกายแล้วกลับรู้สึกหน้ามืดหมดแรงขึ้นมาฉับพลัน

พี่พร้อมขยับเข้ามาช่วยประคองผมไว้

“นอนลงก่อน” เขาหันไปพูดกับเพื่อนอีกว่า “ไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าน้องหน่อยดิ”

“ลำบากกูอีก” พี่ยอบ่นแต่ยังหมุนตัวไปทำตามที่พี่พร้อมสั่ง

“นายไม่สบายเหรอ” พี่พร้อมหันมารัวคำถามผม “แต่ตัวก็ไม่ร้อน ไปหาหมอมาหรือยัง”

“เปล่าครับ ผมสบายดีแต่เมื่อกี้ผมแค่... ขยับเร็วไปหน่อยมั้งเลยหน้ามืด” ตอบพลางลุกขึ้นนั่ง ขณะที่พี่ยอหาผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้ผมพอดี

“ถ้าสบายดีทำไมหลับลึกจนปลุกไม่ตื่นเลยวะ นี่ถ้าอีกนาทีหรือสองนาทีไม่ยอมตื่นว่าจะเรียกรถพยาบาลแล้ว”

“ก็...” ผมไม่มีอะไรแย้งเพราะยังงง ๆ สับสนอยู่นิดหน่อย พี่พร้อมจึงช่วยอธิบายให้ผมกระจ่าง “จันทร์บอกพวกพี่ว่าวันนี้วุ้นไม่มาเรียน โทรหาตั้งแต่เช้าก็ไม่ยอมรับสาย เลยขอให้ช่วยมาดูเพราะกลัวว่าจะไม่สบาย ทีแรกเคาะประตูเรียกเห็นนายไม่ตอบก็นึกว่าไม่อยู่ แต่พอโทรเข้ากลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ในห้อง”

ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีสายที่ไม่ได้รับจำนวนมากจริง ๆ ด้วย ทว่าผมไม่อยากให้พวกเขาเป็นกังวลจึงโกหกว่าผมดูซีรีย์จนดึก เพิ่งได้นอนเมื่อช่วงเช้า เลยนอนเพลิน

“ดูซีรีย์จนเช้าทั้งที่รุ่งอีกวันมีเรียนเนี่ยนะ” พี่ยอถามอย่างข้องใจ

“แหม... แบบคิดว่าจะดูอีกนิด อีกแค่ตอนเดียว แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้วอะไรทำนองนี้ไง”

“นอนทั้งวันแบบนี้เท่ากับยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม” คำถามแสดงความห่วงใยดังออกมาจากปากของพี่พร้อม ซึ่งเมื่อผมได้ยินปุ๊บ ท้องของผมก็ร้องตอบรับปั๊บ เสียงดังโครกตอบคำถามได้เป็นอย่างดี

“งั้นไปล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวจะได้ไปกินข้าว”

ที่จริงผมอยากอาบน้ำเลย ให้อยู่กับพี่พร้อมทั้งที่ตัวเหม็นมันค่อนข้างลดทอนความมั่นใจ แต่เหลือบเห็นท้องฟ้านอกระเบียงที่กลายเป็นสีดำแล้วก็เลิกคิดจุกจิก อีกอย่างผมโดนพี่พร้อมปฏิเสธมาแล้วต้องพยายามทำตัวให้เขาชอบอีกทำไม พอคิดได้จึงรีบลุกไปล้างหน้า

อีกพักใหญ่ต่อมาจึงเดินตามสองรุ่นพี่ไปกินข้าว

พื้นที่ฟุตบาทยามค่ำคืนถูกเปลี่ยนเป็นร้านอาหารโต้รุ่ง ผมเห็นร้านได้กลิ่นอาหารแล้วยิ่งหิว และพี่พร้อมก็ทำเหมือนอ่านใจผมได้ เขาหันมาพูดกับผมว่า “สั่งมากินทีละอย่าง ถ้าไม่อิ่มแล้วค่อยสั่งเพิ่ม”

ผมพยักหน้าก่อนพุ่งตรงไปสั่งบะหมี่เกี๊ยว จากนั้นจึงตามไปนั่งโต๊ะเดียวกับรุ่นพี่

“อีกไม่นานก็จะสอบแล้ว เตรียมอ่านหนังสือหรือยัง”

ตอนที่ได้ยินคำถาม ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะเหมือนว่าวันนี้พี่พร้อมจะคุยกับผมมากกว่าปกติ แต่เมื่อคิดว่าพี่เทคคงต้องห่วงผลการเรียนของรุ่นน้อง เลยไม่ได้คิดอะไรให้มากความอีก

“ผมอ่านมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว สัญญากับพ่อแม่ไว้แล้วอะ”

“บอกกับพ่อแม่ว่าจะคว้าเกียรตินิยมให้ได้เลยเหรอ” พี่ยอแกล้งทำตาโตพูดแซว

“ไม่ใช่! พี่ยอก็... ผมแค่บอกว่าจะตั้งใจเรียนเฉย ๆ”

“เป็นเด็กดีไม่เข้ากับหน้าตาเลยนะ”

“ใครจะเหมือนพี่ หน้าตาก็ดีแต่นิสัย...”

“พูดดี ๆ นะมึง” รุ่นพี่พูดพร้อมยกนิ้วขึ้นชี้หน้า ผมเลยต้องหุบปาก ผมไม่ได้กลัวนะแค่เกรงใจขนาดตัวของเขาเท่านั้นเอง

“ดูมึงทำ แล้วอย่างนี้ยังกล้าพูดว่าไม่ได้แกล้งน้องกูอีก” พี่พร้อมหันไปคุยกับเพื่อน ผมจึงรีบพยักหน้ารับเห็นด้วยเตรียมจะอ้าปากใส่ไฟอยู่แล้วทว่าเห็นสายตาข่มขู่จากพี่ยอเสียก่อน

“กูแค่พูดคุยด้วยความเอ็นดู” พี่ยอตอบหน้าตาย

ผมเบะปากอย่างหมั่นไส้ทันที อย่างนี้เรียกว่าเอ็นดู การกระทำของพวกโจรผู้ร้ายคงเรียกว่ามีเมตตาแล้วล่ะ

ขนาดพี่พร้อมยังส่งเสียงหัวเราะอย่างระอาไม่เชื่อถือ จากนั้นเขาหันมาพูดกับผมว่า “มีวิชาไหนไม่เข้าใจหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ติวให้”

“ทีเพื่อนฝูงขอร้องไม่เคยเห็นสนใจ” พี่ยอพูดแทรกขึ้นมาทันควัน

“พี่ยอก็โง่เหรอ”

“เอ๊ะ! ไอ้นี่!” หนุ่มรุ่นพี่เขม่นมองผม ก่อนหันไปฟ้องเพื่อน “มึงดู น้องมึงมันปากดีอย่างนี้ ยังคิดว่ากูแกล้งมันอยู่อีก ถ้ามึงมาติวกับเพื่อนกู มึงก็โง่เหมือนกันนะเว้ย ไอ้น้องวุ้น” ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับผม

“อืม ผมโง่” และหันไปยกมือไหว้พี่เทค “ขอบคุณพี่พร้อมที่ใจดีมีเมตตาต่อเด็กน้อยตาดำ ๆ ด้วยนะครับ”

ตอบรับกลับไปแล้ว ผมเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าช่างไม่เข็ดไม่สำนึก อกหักจากผู้ชายคนนี้มาสองครั้งสองคราแล้วยังพาตัวเองไปพัวพันกับเขาอีก แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่ดิ ครั้งหลังจะเรียกว่าอกหักก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าผมแค่พิสูจน์ให้กระจ่างว่าพี่พร้อมคือเหยียนจิ่นลี่หรือเปล่าต่างหาก

และถึงพี่พร้อมไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่ มันก็ไม่มีเหตุให้ผมต้องทำตัวเหินห่างจากเขาด้วย ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นพี่เทคล่ะนะ

หลังจากวันนั้น เมื่อเจอพี่พร้อมอีกครั้ง เขาก็นัดวันติว ทีแรกผมนึกว่าจะไปนั่งติวกันที่ห้องสมุดซะอีก ที่ไหนได้เขากลับเลือกมาติวที่ห้องผมล่ะ ผมก็งง ๆ อยู่แบบว่าทำไมต้องมาติวที่ห้องแต่เขาไม่ให้ผมแย้งไง นัดเสร็จก็ไปเลย ผมต้องเสียเงินซื้อเก้าอี้พลาสติกด้วยเพราะที่ห้องมีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว

พอถึงเวลานัดเขามาเคาะประตู ปรากฏว่าเขามาในชุดเสื้อยืดคอกลมกางเกงขาสั้น ให้อารมณ์แบบอาบน้ำสระผมมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมยังอยู่ในชุดนักศึกษา

“ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่รอ ถ้าติวเสร็จจะได้นอนเลย”

ผมยอมทำตามที่เขาพูดนะ แต่รู้สึกประดักประเดิดอย่างไรก็ไม่รู้ แถมหัวใจยังกระโดดโลดเต้นส่งเสียงโครมครามด้วย ผมเร่งอาบน้ำโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ออกมาจากห้องน้ำเห็นเขานั่งอยู่บนเตียงกำลังดูทีวีอยู่

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาพยักพเยิดถามถึงทีวี

ผมรีบพยักหน้ารับ “มีขนมอยู่ในตู้เย็นด้วยนะ พี่พร้อมหยิบมากินได้เลย” และเดินถือผ้าขนหนูไปตากก่อนกลับมานั่งบนเก้าอี้พลาสติกอย่างรวดเร็ว

“นั่งเก้าอี้ตัวนี้ดีกว่า นายจะได้มีสมาธิอ่านหนังสือ”

คืออยากจะบอกว่าเหมือนร่างกายมันไร้แรงต้านทานอะ เขาบอกอะไรก็ทำตามทุกอย่างเลย ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ และที่พีกกว่านั้นคือ เวลาที่นั่งติวเขาจะชอบขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ กลิ่นสบู่จากตัวเขารบกวนสมาธิผมมาก

มีช่วงจังหวะหนึ่งที่พี่พร้อมอธิบายเนื้อหาเสร็จ เขาก็ส่งเสียงถามว่าเข้าใจไหม ส่วนผมก็เผลอหันไปมอง

มันเป็นอะไรที่ใกล้กันมาก(ลากเสียงยาว ๆ เลย) เมื่อตาสบตา หัวใจผมเต้นระรัวจนเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน ได้แต่พยายามท่องยุบหนอพองหนอสงบสติ บอกตัวเองว่าผมรักเหยียนจิ่นลี่คนเดียว

แต่พี่พร้อมนี่โคตรร้ายกาจเลย เอาหน้าเหยียนจิ่นลี่มาอ่อย อย่างนี้ผมก็หวั่นไหวอ่าดิ



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด