ดวงใจรักในห้วงฝัน #ฝันพิเศษ# 12/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ดวงใจรักในห้วงฝัน #ฝันพิเศษ# 12/11/2018  (อ่าน 7383 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 ตกลงพี่พร้อมโดนวุ้นกอด  จูบปากไปแล้วสินะ   :-[

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 17 ผมหวั่นไหวอีกแล้ว



ในที่สุดช่วงสอบก็ผ่านพ้นไป เป็นอะไรที่ทรหดมากแต่ไม่ใช่ข้อสอบนะ เป็นพี่เทคของผมต่างหาก

เขามาติวให้ทุกวันด้วยสภาพเสื้อยืดกางเกงขาสั้นหลังอาบน้ำ หลัง ๆ มีเอาขามาโดนขาผมด้วย พอผมทำท่าเหมือนสติหลุดไม่ได้ตั้งใจติว เขาก็ชอบเอามือมาวางไว้บนหัวและพูดว่าสติจงมา

พอนึกย้อนดูแล้ว พี่พร้อมนี่เป็นผู้ชายขี้อ้อยมากมาย พอไม่มีแฟนแล้วเลยเปลี่ยนนิสัยเป็นผู้ชายเจ้าชู้ก็เป็นได้

พ้นช่วงสอบพวกรุ่นพี่บอกว่าจะไปท่องเที่ยวรับน้องนอกสถานที่ แต่เป็นกิจกรรมของคณะที่ผมรู้สึกว่า ลงทุนมากมาย เพราะนักศึกษาปีหนึ่งทั้งคณะมีร่วมพัน อ้อ... แต่พวกรุ่นพี่ที่ไป หลัก ๆ มีปีสอง ส่วนปีสูง ๆ ถ้าอยากไปต้องจ่ายเงิน

ผมไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามพี่ยอกับพี่พร้อมมา เขาบอกว่าที่ไปจริงคงไม่ครบถ้วนขนาดนั้น เพราะกลุ่มที่โดดเชียร์ก็เยอะ พวกนี้จะไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมของคณะอยู่แล้วแต่โดนเก็บเงินค่าท่องเที่ยวมาล่วงหน้า

เฮอ เฮอ เฮอ... บอกตามตรงว่าตอนจ่ายเงินผมไม่เคยสังเกตหรอกว่าเขาเก็บค่าอะไรบ้าง โชคดีนะเนี่ย ที่เขาบอกให้ทำอะไรผมก็ไปทำกับเขาด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเงินฟรี

สถานที่รับน้องเป็นชายหาดแถวภาคตะวันออกเช่นทุกปี เพราะปีก่อน ๆ ก็ไป รุ่นพี่สองคนนั้นบอกว่าคุยกันง่าย และเขาก็บริการดี มีหาดส่วนตัว มีพื้นที่กว้างรองรับคนจำนวนมาก ๆ

พวกรุ่นพี่นัดเจอที่มหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่ เช้ามาก ๆ อย่างที่ฟ้ายังไม่สว่างดี กำหนดการแค่สองวันคือเสาร์และอาทิตย์

ตอนไปถึงนี่รู้สึกว่าการไปรับน้องนอกสถานที่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ตระการตามาก เพราะมีรถบัสจอดเรียงกันเป็นตับ ส่วนใครขึ้นรถคันไหนมีกำหนดมาล่วงหน้าแล้ว โดยคู่พี่เทคน้องเทคจะได้ขึ้นคันเดียวกัน พี่ยอจึงต้องระเห็จไปขึ้นคันอื่นเพราะไอริณไม่ได้นั่งรถบัสคันเดียวกับผม

และพี่พร้อมก็ตามมานั่งเบาะข้างผม

หลัง ๆ มานี่ผมจึงต้องพยายามฮึดตั้งสติอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองไม่ไขว้เขวเอาใจออกห่างจากเหยียนจิ่นลี่ ก็พี่พร้อมนะชอบเอาหน้าตาของผู้ชายคนนั้นมาอ่อยผม พอเผลอทีไรใจผมมักจะแกว่งไปหาเขาทุกที

เมื่อรถบัสเคลื่อนที่ออกไปได้ไม่นาน ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบข้าง ๆ หันไปดูถึงเห็นว่าพี่เทคกำลังแกะถุงขนม แถมยังยื่นมาให้ผมด้วย

“กินไหม”

“พี่กินเหอะ ผมยังไม่หิว”

“รังเกียจเหรอ” ซ้ำร้ายยังส่งสายตาน่าสงสารมาให้อีก

อ่อยอีกแล้ว... เกลียดจริง ๆ

“ถ้าผมกินหมดอย่ามาบ่นล่ะ”

“จะบ่นอะไรก็ซื้อมาให้กิน”

ผมหยิบขนมใส่ปาก พยายามไม่คิดอะไรมากพร้อมบอกตัวเองให้สงบใจเข้าไว้ อีกใจหนึ่งเกิดคำถามว่าวิบากกรรมของผมยังไม่หมดสิ้นใช่ไหม หรือนี่เป็นผลของการที่ผมเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเหยียนจิ่นลี่ เหยียนจิ่นลี่ตัวจริงเลยลงโทษผม

กำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ รู้สึกว่ามีอะไรมาทับที่ไหล่ เมื่อหันไปมองเท่านั้นแหละ กลับเห็นศีรษะของพี่เทคที่ใช้ไหล่ของผมต่างหมอนอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ

ได้เหรอ? เอามุกอ่อยง่าย ๆ มาทำให้ผมใจเต้นง่าย ๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

ถามตัวเองว่ายอมสะบัดตัวให้เขาตกจากไหล่ไปไหม ก็ไม่อีก... ไม่เข้าใจชีวิตตัวเองจริง ๆ เล้ย!!!

ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงกว่าจะถึงรีสอร์ต ไหล่ผมชาไปเล็กน้อยแต่พอพี่พร้อมเอ่ยถามกลับบอกว่าไม่เป็นอะไร

เฮ้อ... เบื่อตัวเอง!

ส่วนที่พักผมได้นอนรวมกับเพื่อน ๆ ปีหนึ่ง พวกรุ่นพี่แยกไปต่างหาก ได้ยินอย่างนั้นแล้วรู้สึกดีขึ้นหน่อยและเริ่มตั้งปณิธานในใจว่า ผมจะไม่หวั่นไหวไปกับพี่พร้อมง่าย ๆ อีกแล้ว

รุ่นพี่ให้เวลาผมและเพื่อนร่วมชั้นปีแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงในการเก็บกระเป๋า จัดการธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นตัวที่เลอะได้ จากนั้นให้ไปรวมตัวกันที่ชายหาด

ข้อกำหนดที่บอกว่าต้องเป็นเสื้อผ้าตัวที่เลอะได้นี่ไม่อยากคิดเลยว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ก่อนมาเขาไม่ประกาศด้วยนะว่าให้เตรียมมาด้วย แต่ของผมพี่พร้อมกับพี่ยอบอกว่าให้เอาเสื้อกับกางเกงตัวที่เลอะแล้วไม่เสียดายไปด้วย ชุดผมก็เลยมาแนวเด็กบ้านนอกไปเล่นสงกรานต์เลย เสื้อยืดคอกลมที่บอกไม่ได้ว่าสีอะไรกับกางเกงเจเจสีเหลืองลายดอกชบา

ตอนที่ผมไปถึงชายหาด ทั้งรุ่นพี่ทั้งเพื่อนร่วมรุ่นก็มารวมตัวกันเยอะแล้ว พวกที่หิ้วกล้องโปรมาด้วยถ่ายรูปกันรัว ๆ พวกเซลฟี่ก็เพียบ ผมหันซ้ายหันขวามองหาพี่เทคก่อนเลย อยากถ่ายรูปคู่ด้วยอะจะเก็บไว้เป็นที่ระทึก แต่โดนกลุ่มของจันทร์เรียกตัวไว้ก่อน

“วุ้น! วุ้น! มาถ่ายรูปกัน” ผมวิ่งรี่ระริกระรี้เข้าไปเลยครับ กลุ่มเพื่อนจันทร์มีแต่ผู้หญิง ผมนี่แทรกไปอยู่กลางเป็นไข่ดาวที่ล้อมด้วยสาว ๆ พอแชะไปได้สองสามรูป จันทร์กลับบอกให้ผมไปเรียกพี่พร้อมกับพี่ยอมา

โด่!!! เรียกเรามาเข้าเฟรมแบบมีนัยนี่หว่า

แล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจ สองคนนั้นเดินมาพอดี ทั้งจันทร์และสาว ๆ ต่างส่งเสียงเรียกรุ่นพี่ทั้งสองกันยกใหญ่

อ้าว! รู้สึกเป็นส่วนเกินขึ้นมาฉับพลัน แล้วจริงดังว่า ผมโดนเบียดให้ไปยืนอยู่ชายขอบ อีกรูปโดนสั่งให้ไปเป็นคนกดชัตเตอร์

ฮึ! เพราะไม่หล่อสินะ… เพราะหล่อไม่พอล่ะสิ…

“หน้าบูด” พี่พร้อมเดินเข้ามาทักเมื่อสาว ๆ ต่างหันไปสนใจภาพในกล้อง และขอถ่ายรูปคู่กับพี่ยอ

ผมจึงฉีกปากให้เห็นฟัน

“มาถ่ายรูปกันหน่อยม่ะ”

ได้ยินปุ๊บ ผมรีบลูบผม ยกนิ้วกดไลก์ ยกยิ้มและเอียงคอทำมุมสามสิบเก้าจุดหนึ่งองศาและกดหน้าขึ้นอีกสององศา พี่พร้อมก็เหมือนจงใจแกล้งอะ ให้ผมรอพักใหญ่ก็ไม่กดชัตเตอร์ซะที แต่ผมไม่หลงกลหรอก ท่านี้ผมฝึกหน้ากระจกนานมากเพราะอย่างนั้นต่อให้แอ็กเป็นชั่วโมงก็ไม่หวั่น

เมื่อเขากดถ่ายภาพเสร็จกลับดึงหน้าจอโทรศัพท์ไปดูคนเดียวเลย ไม่ยอมให้ผมดูด้วย แถมยังส่งเสียงหัวเราะเหมือนขำมากอีก กระนั้นเขายอมส่งมาให้ผมดูหลังจากที่ผมร้องขอ

ภาพที่ปรากฏก็ปกติดี จนไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะอะไร พานให้ผมใจเสียไปล่วงหน้านึกว่าถ่ายออกมาแล้วน่าเกลียด

จากนั้นอีกไม่กี่นาทีพวกรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้นำกิจกรรมได้เรียกให้ปีหนึ่งทุกคนรวมแถวและแบ่งกลุ่ม

กิจกรรมช่วงครึ่งเช้ายังเป็นเกมส์ละลายพฤติกรรมสร้างความสามัคคี อย่างวิ่งเปี้ยวผ้าถุง ใช้ช้อนส่งไข่ ส่งยาง ส่วนการลงโทษผู้แพ้ก็เต้นเพลงโน้นเพลงนี้ ยังไม่มีอะไรเลอะเทอะ

ความเลอะเทอะเริ่มต้นหลังทานข้าวมื้อเที่ยงไปแล้ว มีตั้งแต่โดนแป้งทาหน้า ทาตัวซึ่งมีทั้งแป้งสีและแป้งขาว หนักหน่อยก็โดนเทใส่ศีรษะทำไฮไลต์โดยไม่ต้องพึ่งร้านทำผม

มีเกมอย่างให้ช่วยกันฝังเพื่อนในทรายด้วย แดดอย่างร้อนและผมก็เป็นผู้โชคร้ายที่ต้องลงไปนอนให้เพื่อนฝัง ตอนแรกที่ลงไปนอนนี่ลืมตาไม่ขึ้นเลย คนอื่นที่โดนฝังเหมือนกันเป็นอย่างไรไม่รู้แต่ผมร้อนมากครับ ยังดีที่พวกรุ่นพี่ไปหาร่มหาผ้ามาขึงกันแดดให้ ยังไม่ทันหมดวันสีผิวของผมจึงหมองลงทันควัน

เมื่อจบกิจกรรมรุ่นพี่ก็ปล่อยให้เล่นน้ำพักผ่อนซึ่งแดดร่มพอดีนั่นแหละ พอได้เวลาอิสระ พี่ยอเข้ามากอดคอผมดึงให้ไปเล่นตะกร้อชายหาดด้วยกัน

ตอนที่ได้ยินคำชวนกับเห็นลูกตะกร้อ ผมยังคิดว่าตัวเองเมาแดดอยู่ซะอีก ที่สำคัญลูกตะกร้อใหม่เอี่ยมเลย

“พี่ยอคิดว่าผมโกหกเรื่องเล่นตะกร้อเหรอ” ผมถาม

“เออ” หนุ่มรุ่นพี่ก็โคตรใจนักเลงตอบมาไม่อ้อมค้อมเลย ส่วนที่สนามกลับขึงเน็ตวอลเลย์บอล

“เล่นสนามนี้เหรอพี่”

“เออดิ”

“ขึงเน็ตสูงขนาดนี้ฟาดลูกไม่ข้ามหรอก”

พวกพี่ ๆ ที่อยู่ในสนามยังทำหน้างง ๆ ตอนที่พี่ยอร้องบอกให้ลดความสูงลง และมีคนร้องถามมาว่า “ลดทำไมวะ”

“กูจะเล่นตะกร้อ”

พี่ยอเลยโดนส่งเสียงสรรเสริญทันควัน

“เออน่า... กูอยากดูไอ้วุ้นเล่นตะกร้อ”

“พี่ไม่ต้องพยายามก็ได้มั้ง” ผมพูดพลางยื่นมือไปคว้าลูกหวายในมือเขา “เดี๋ยวเดาะให้ดูเลย” แต่อีกฝ่ายกลับชักมือหนี

“เดี๋ยวกูแข่งด้วย” บอกผมเสร็จเขาก็หันไปสั่งพวกเพื่อนตัวเองให้ลดความสูงของเน็ต พร้อมร้องบอกว่าเล่นแค่เซ็ตเดียว

เมื่อลดความสูงของเน็ตวอลเลย์บอลลง ชายเน็ตจึงเกือบลงไปกองกับพื้น แถมด้วยความยาวของเน็ตทำให้สนามกว้างกว่าปกติมาก ช่างเป็นภาพที่อนาถแท้ กระนั้นก็เถอะ ท้ายที่สุดยังมีคนลงเล่นทีมเดียวกับผม มีพี่พร้อมด้วย ก่อนเริ่มแข่งผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะวิชาพละสมัยมัธยมมีสอนตะกร้อ อย่างน้อย ๆ คงเล่นกันได้บ้าง แต่ผมคิดผิดครับ

ลูกเสิร์ฟแรก พี่ยอก็เตะวืดครับ

“หนึ่ง-ศูนย์” ผมร้องบอกออกไป

“อะไรวะ” รุ่นพี่ทีมคู่แข่งร้องถามกลับมาทันที

“ได้เสิร์ฟฝั่งละสามแต้มนะพี่” ผมร้องบอกอีกรอบ เห็นพี่ยอเขม่นมองมาแต่ก็ลอยหน้าลอยตาส่งกลับไปแบบไม่รู้สึกรู้สา และพี่ยอก็เสิร์ฟวืดไปอีกสองรอบติด จึงเปลี่ยนข้างเสิร์ฟ

ทีแรกพี่พร้อมเขาก็ลงแบบสนุก ๆ ขำ ๆ เหมือนกันแต่พอเห็นเพื่อนตัวเองวืดเลยส่งลูกให้สมาชิกอีกคนในทีมโยนแทน ส่วนผมเป็นคนเตะเสิร์ฟ เพราะเล็งแล้วว่าถ้าไม่ใช่ผมสงสัยวันนี้จะไม่ได้เล่น ผมก็นัดแนะกับคนส่งว่าให้โยนสูง ๆ มาเหนือศีรษะผมไว้ อีกฝ่ายทำได้ดีผลเลยเตะไปลงในสนามฝ่ายตรงข้าม

ทว่าแค่ลูกเดียวพี่ยอก็ร้องบอกว่าเลิก ๆ จะกลับไปเล่นวอลเลย์บอลแล้ว รุ่นพี่ปีสองถึงกับส่งเสียงโห่กันยกใหญ่

“อะไรกัน ผมยังไม่ได้โชว์ฝีมือให้สมกับฉายาวุ้นศักดิ์ ผันผวนเลย” ผมร้องแซว

“มึงมาเจอลูกตบของกูล่ะกัน”

ถึงเขาบอกมาแบบนั้นแต่ผมไม่ได้ลงครับ พอเปลี่ยนมาเล่นวอลเลย์บอลเลยมีคนสนใจเยอะ ผมจึงได้ไปนั่งดูที่ข้างสนาม และพี่พร้อมก็ตามมานั่งข้างกัน เขาชวนคุยเรื่องตะกร้ออีกนั่นแหละ

“ไม่คิดว่าจะเล่นเป็นจริง ๆ ด้วย”

“แล้วทำไมผมต้องโกหกอะ”

เห็นอีกฝ่ายยักไหล่โคลงศีรษะ ผมจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “แต่ผมเล่นไม่เก่งขนาดนั้นหรอก ไม่ได้เป็นทั้งตัวเสิร์ฟและตัวโยนด้วย”

พี่พร้อมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ทั้งเงียบฟัง รอให้ผมพูดต่อ

“แต่มันก็ต้องเคยฝึกมาบ้างใช่ไหมล่ะ” ผมตอบ ยักคิ้วสองจึกพร้อมยกยิ้ม

ได้นั่งคุยกับพี่พร้อมแค่พักเดียว จันทร์ก็เดินมาชวนผมให้ไปเล่นน้ำด้วยกัน แต่มันเหมือนมีกุมารทองคอยกระซิบบอกผม คนที่จันทร์อยากให้ไปเล่นน้ำด้วยไม่ใช่ผมแค่คนเดียวแต่หมายรวมถึงรุ่นพี่ปีสองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมด้วย

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการขัดศรัทธาของเพื่อนสาว

“พี่พร้อมไปเล่นน้ำกันเหอะ” ผมพยักพเยิดบอกพลางลุกขึ้นยืน และหนุ่มรุ่นพี่ก็ช่างว่าง่าย เขาลุกขึ้นยืนตาม

เห็นเพื่อนร่วมรุ่นพยายามเข้าหาพี่พร้อมขนาดนี้แล้วผมคิดว่าคงต้องช่วยส่งเสริม ประโยชน์แรกเลยเขาจะได้ไม่ต้องเอาหน้าตาที่เหมือนเหยียนจิ่นลี่มาอ่อยผมอีก และผมจะได้มีสมาธิตามหาเหยียนจิ่นลี่อย่างจริงจัง ผมกลัวว่าโดนอ่อยบ่อย ๆ ผมจะเอนเอียงไปหาเขาอีก

เมื่อคิดได้ผมจึงรอจังหวะเริ่มปฏิบัติการ

ครั้นกลุ่มเพื่อนลงความเห็นต้องกันว่าควรเลิกเล่นและขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเลยเดินตามพี่พร้อมไปติด ๆ เขาตรงไปยังฝักบัวนอกอาคารซึ่งทางรีสอร์ตติดตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยวล้างตัวหลังขึ้นจากทะเล

เขาหมุนก๊อกเปิดน้ำ และพาตัวเองเข้าไปยืนใต้สายน้ำ

“พี่พร้อม พี่พร้อมว่าจันทร์น่ารักไหม”

“อืม... ก็น่ารักดี” เขาตอบพร้อมหันมาสบตาผมด้วย ผมเผลอหลบตาหนี บอกไม่ถูกอะ จู่ ๆ มันก็รู้สึกเขินขึ้นมา ผมจึงต้องตั้งสติตัวเองใหม่ พลางชวนคุยต่อไปว่า

“นิสัยก็ดี เรียนก็ดีล่ะ”

“ทำไม? นายชอบเหรอ” ไม่รู้ว่าหูฝาดหรือเปล่าแต่เสียงอีกฝ่ายห้วนกระด้างขึ้นชอบกล ซ้ำยังปิดฝักบัวและหันมาคุยกับผมทั้งตัว

“เปล๊า” ผมพูดตอบ “แค่พูดชมเฉย ๆ” พลางคิดอยู่ในใจว่า หรือพี่พร้อมจะเข้าใจผิดคิดว่าผมชอบจันทร์เลยหึง แต่ไม่ได้คิดว่าเขาหึงผมนะ เขาน่าจะหึงจันทร์นั่นแหละ

“ไม่ล้างตัวเหรอ” พี่พร้อมถามและหันไปเปิดน้ำอีกรอบ

ที่จริงผมตามมาคุยแค่นี้แต่กลัวเขาจะจับได้ว่าผมจงใจ เลยเปิดฝักบัวล้างตัวเป็นพิธี ระหว่างนั้นพวกรุ่นพี่คนอื่นก็มีทยอยมาล้างตัว พี่พร้อมจึงถอยออกไปให้เพื่อนของเขาใช้ฝักบัวบ้าง ผมกำลังขยับออกแต่ได้ยินเสียงพี่ยอพูดกับเพื่อนเขาว่า

“ปานบนหน้าอกมึงเนี่ย เห็นกี่ครั้งก็นึกว่ามึงไปโดนใครกัดมาทุกที”

ผมงี้หันขวับไปมองเลย เห็นพี่พร้อมเปลือยอกขณะที่สองมือกำลังบิดเสื้อ พอพี่ยอหันมาเจอผมเลยพูดทัก “มองอะไรไอ้น้องวุ้น” ส่วนเพื่อนเขาก็สวมเสื้อกลับไปเหมือนเดิมอย่างใจเย็น

“ล้างตัวเสร็จแล้วก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มายืนตัวเปียกนาน ๆ เดี๋ยวเป็นหวัด” พี่พร้อมบอก

ผมอยากทำตามนะแต่อยากเห็นปานชัด ๆ ด้วยอะ

เฮ้ย! แบบนี้มันจุดประกายความหวังไม่ใช่เหรอ แต่ไม่ใช่สิ! รอยเล่น ๆ ในความฝันแบบนั้นไม่มีทางหลงเหลือมาถึงชาติภพนี้อยู่แล้ว หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วนภัสศัย!

“เป็นอะไรขมวดคิ้วเป็นปมเลย ไม่สบายหรือเปล่า” พี่พร้อมเดินเข้ามาใกล้ เขาถามพลางยกมือขึ้นอังหน้าผากของผม

ให้ตายเหอะ!!! เจอโมเมนต์นี้เข้าไปใครจะต้านทานไหว ผมได้แต่สะกดจิตตัวเองว่า เขาเป็นแค่รุ่นพี่ที่หน้าตาเหมือนเหยียนจิ่นลี่เท่านั้น หยุดมโน! หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว!

“รีบไปอาบน้ำซะเดี๋ยวพี่ไปขอยาให้”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” ผมรีบบอก ยกยิ้มพลางโบกมือปฏิเสธ จากนั้นพูดว่าจะไปอาบน้ำและหมุนตัวรีบเดินออกมา คิดอยู่ในใจว่าสงสัยคงต้องพยายามช่วยจับคู่พี่พร้อมกับจันทร์ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นผมต้องชอบพี่พร้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่

หลังทานข้าวมื้อเย็นพวกรุ่นพี่ยังให้เพื่อน ๆ ในชั้นปีรวมแถวทำกิจกรรมต่อ แต่พวกรุ่นพี่แค่กล่าวต้อนรับพวกเราเข้าคณะอย่างเป็นทางการ ร้องเพลงและผูกข้อไม้ข้อมือ ก่อนปล่อยอิสระแต่ที่ลานกิจกรรมยังมีตั้งวงทำการแสดงเล่นดนตรีจากพวกรุ่นพี่และปีหนึ่ง ผมจึงนั่งอยู่แถวนั้นน่ะแหละฟังเพลงกับเขาด้วย สักพักก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้าง ๆ ซึ่งคือพี่เทคและเพื่อนสนิทของเขา

“ทำไมมานั่งคนเดียว”

“เปล่าซะหน่อย เนี่ยเพื่อนนั่งอยู่เพียบ” ผมพูดและชี้ให้ดูเพื่อนที่นั่งอยู่รอบตัว เพียงแค่แต่ละคนต่างนั่งกระจายไปทั่วเท่านั้น

“กวนนะ”

“มึงเพิ่งรู้เหรอ”

ผมยังไม่ทันได้พูดตอบพี่ยอกลับพูดแทรกตัดหน้า จึงได้แต่เถียงอยู่ในใจว่าผมไม่ได้กวนซะหน่อย

“เมื่อกี้ไม่มาให้ผูกข้อมือล่ะ”

ผมนิ่งคิดคำตอบ “พอดีให้รุ่นพี่คนอื่นผูกอยู่อะ” คำตอบนี้แหละตั้งใจกวนแต่พี่พร้อมกลับหัวเราะ แล้วดึงข้อมือของผมไปเพื่อผูกสายสิญจน์

หัวใจของผมก็เต้นโครมครามอีกแล้ว

ผูกเสร็จยังเงยหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมาสบตาผมอีก แล้วจะให้ผมมีปฏิกิริยายังไงล่ะ ที่แน่ ๆ ผมเผลอหลบตาอีกแล้ว ก็เขาดันมีหน้าตาเหมือนเหยียนจิ่นลี่อะจะให้ทำอย่างไร รู้สึกว่ากำลังได้ยินสัญญาณเตือนเลยล่ะ ความหวั่นไหวกำลังเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ขออภัยที่มาสาย//*

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำไมอ่อยเก่งให้ความหวังเก่งแบบนี้  ///ทุบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทีแรกก็นึกว่าไม่ใช่ เห็นไม่สนใจ ตอนนี้มีปานเหมือนที่ทำไว้ แถมยังขี้อ่อยมาก

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
ทำไมขี้อ่อยอย่างนี้  :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 18 ผมริอ่านเป็นกามเทพ



เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องพี่พร้อมอยู่ตลอด ผมเคยสารภาพรักเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นการพิสูจน์ได้ว่า หนุ่มรุ่นพี่คนนี้เป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ และผมได้ข้อสรุปว่า เขาไม่น่าจะใช่ หลังจากนั้นผมฝันว่าตัวเองไปกัดทำรอยตำหนิไว้ และพี่พร้อมดันมีปานเหมือนรอยกัดอีก แต่ถ้าคิดอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง ผมว่าฝันเพ้อเจ้อของผมมันควรจะเชื่อถือไม่ได้

โอ๊ย!!! ทำไมโหมดระลึกชาติของผม มันถึงยากนักนะ ทำไมถึงไม่มีแบบเห็นป้ายบนหัวว่าคนคนนี้คือเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิด หรือไม่ก็วิญญาณของซุนเจียวซินมาคอยชี้บอกว่าคนนั้นคนนี้คือเหยียนจิ่นลี่บ้าง

“หน้ายุ่งแต่เช้าเชียว เป็นอะไรอีก”

นี่ก็อีกคน! ทำมาเป็นห่วงเป็นใยตลอด เดี๋ยวเปลี่ยนใจไปชอบเสียเลย ไม่ตามหาแล้วเหยียนจิ่นลี่น่ะ!

“แน่ะ! มองพี่ตาขวางเชียวตกลงเป็นอะไร”

“สงสัยน้องวุ้นจะลืมกินยา”

“ผมสบายดีพี่ยอ ไม่ต้องกินยาและขอขอบคุณในความเป็นห่วง คราวหน้าคราวหลังไม่ต้อง” ผมพูดกับเพื่อนของพี่เทคที่ปากสุนัขใส่ผมแต่เช้า รุ่นพี่คนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ชาติที่แล้วผมเคยไปเหยียบตาปลาเขาหรือเปล่า ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก

“รวมพี่ด้วยเหรอ” พี่พร้อมถามเสียงเจื่อนแบบน่าสงสาร

ผมควรตอบว่าใช่เพื่อตัดความยุ่งเหยิงในใจตัวเองใช่ไหม “ม... ไม่ ผมหมายถึงพี่ยอคนเดียว”

“อะไรวะ โคตรสองมาตรฐานเลย”

“ก็มันสมควรไหม” ผมถามกลับ

“กูผิดอะไร แค่พูดว่าคุณน้องวุ้นน่าจะลืมกินยาเท่านั้นเอง”

“แล้วมึงยุ่งอะไรกับน้องเทคกูนัก” พี่พร้อมถามเพื่อนเขา พี่ยอถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ และลากเสียงยาว “เออ... กูมันแค่เพื่อนนี่นะ” พูดประชดจบเขาก็หมุนตัวไปตักข้าว

พอดีว่าผมนอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นแต่เช้า เมื่อออกจากห้องพักมาเจอพวกรุ่นพี่ เขาบอกว่าให้ไปทานข้าวเช้าที่ห้องอาหารได้เลย ผมจึงมานั่งละเลียดข้าวเช้าไปพลาง ใช้สมองคิดโน่นคิดนี่ไปพลาง กระทั่งพี่เทคและเพื่อนสนิทของเขาตามมานั่งด้วย ต่อจากนั้นไม่นาน จันทร์กับเพื่อนในชั้นปีเดียวกันก็ตามมา หลังทานข้าวกันอิ่มทุกคนได้ชวนกันไปถ่ายรูปอีกหน

ช่วงเช้าวันอาทิตย์ในทริปรับน้องคราวนี้ เป็นเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง ก่อนจะออกเดินทางกลับตอนเพล ๆ และไปแวะตลาดทานข้าวหรือซื้อของ

ตอนนี้ทุกคนจึงจับกลุ่มถ่ายภาพรวมบ้างภาพเดี่ยวบ้าง ผมเองไปเข้าเฟรมกับเขาด้วยเช่นกัน

และแล้วเวลาเดินทางกลับก็มาถึง

ที่นั่งข้างผมยังเป็นของพี่พร้อมเช่นเดิม หลังจากรถยนต์เคลื่อนที่ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำอะไรบ้างเพราะผมได้แต่มองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปเรื่อย ก่อนต้องรู้สึกสะดุ้งเมื่อมีอะไรบางอย่างมาโดนที่หู หันไปมองถึงได้เห็นพี่พร้อมถือหูฟังไว้ข้างหนึ่ง

“อยากให้นายลองฟัง”

ผมจึงยื่นมือไปรับมา

เพลงที่พี่พร้อมเปิดให้ฟังเป็นเพลง ‘มันคือความรัก’ ของลุลา เพลงก็เพราะดีแหละ แต่ไม่เข้าใจว่าจะให้ฟังทำไม รู้ว่าเป็นเพลงดังตอนที่ผมยังเด็ก ๆ แต่มันเก่าแล้วไง ผมเคยฟังเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่

“พี่พร้อมชอบเหรอ” ผมถาม

“เพราะดี ไม่เพราะเหรอ” เขาถามกลับมาอีก

ผมพยักหน้ารับ พอเพลงของลุลาจบลงเพลงต่อไปเป็นเพลงที่ผมไม่รู้จักเลยตั้งใจฟังหน่อย เป็นเพลงจังหวะเร็ว ๆ ดนตรีฟังสนุกจนผมต้องเคาะเท้าตาม เมื่อได้ฟังเนื้อร้องเท่านั้นแหละ ผมได้แต่นิ่งฟังพลางกลั้นลมหายใจ เหลือบตามองพี่เทค เขาก็มองหน้าผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเขาผมต้องค่อย ๆ เบือนสายตาหนี


‘ฉันรู้แล้วว่าเกิดมาเพื่อใคร
รู้แล้วว่าใครที่ใจต้องการ
หัวใจเลือกเธอ
หวังว่าหัวใจเธอจะเลือกฉัน
และเป็นฉันเท่านั้น
ที่จะได้ใจเธอ’
  (รักของฉันคือเธอ - เบล สุพล)


ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเพลงนี้มีสิ่งที่พี่เขาต้องการจะสื่อ มันอาจเป็นเพียงเพลงที่เขาฟังและคิดว่ามันเพราะดี หรือมันเป็นเพลงที่อยู่ในเพลย์ลิสต์ของเขาและแอปพลิเคชันมันก็สุ่มเลือกขึ้นมา

ใช่ ๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ

“เพราะดีนะครับ” ผมหันไปพูดบอก ฝืนยิ้มให้เขาอีกที

“รู้สึกแค่เพราะเฉย ๆ เหรอ”

ผมจึงแสร้งตีสีหน้าเหลอหลาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พี่พร้อมถึงกับถอนหายใจออกมาและพูดตัดบทว่า “ง่วงแล้ว ขอยืมไหล่หน่อยนะ”

ผมปล่อยให้เขานอนขณะที่โทรศัพท์ของเขายังเล่นเพลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งในลิสต์มีแต่เพลงรักทั้งนั้น

ที่จริงผมอยากถามว่าการกระทำของเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่เมื่อคิดว่าตัวเองมีภาระผูกพันอยู่กับเหยียนจิ่นลี่ ความสับสนก็ผุดพรายออกมาไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าการที่พี่พร้อมมาทำเหมือนมีใจให้เพราะเขาชอบผมจริง ๆ หรือเพราะการสารภาพรักครั้งนั้นของผมไปจุดประกายความคิดอะไรของเขาหรือเปล่า

ในเมื่อตอนที่ผมปักใจเชื่อว่าเขาคือเหยียนจิ่นลี่ พี่พร้อมไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย นาน ๆ ถึงจะคุยกับผมสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ หลังผมสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลังจากที่ผมจับฉลากได้เป็นน้องเทคของเขา ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม เขายังคงเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันแบบผิวเผินเหมือนเดิม

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ เขาจะหันมาชอบผมภายในระยะเวลาไม่กี่วันได้ด้วยเหรอ

ผมเคยบอกกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและปณิธานอันแรงกล้าแล้วว่า ‘ถ้าไม่ได้เจอ ไม่ได้คบคนที่เป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิด ผมจะไม่เอาใครอีก’ ดังนั้นผมจึงย้ำบอกตัวเองอีกหน

“เป็นอะไรหรือเปล่าวุ้น” เสียงพี่พร้อมเอ่ยถามทำให้ผมได้สติเหลือบตาไปมอง ศีรษะของเขายังอยู่บนไหล่ เขาเองแค่เหลือกตามองผมเหมือนกัน จากนั้นจึงก้มลงไปมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่กำหมัดไว้แน่น ผมรีบแบมือก่อนส่งเสียงหัวเราะแหะแหะ

“พี่ไม่หลับเหรอ”

“หลับแต่นายขยับตัวเลยตื่น”

“ครับ” ผมรับคำและรีบนั่งพิงเบาะตัวตรงแน่ว พูดด้วยเสียงแข็งขัน “ต่อไปจะไม่รบกวนการนอนของรุ่นพี่แล้วครับ” พลางคิดอยู่ในใจต่ออีกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ชอบพี่พร้อมจริง ๆ ซะหน่อย โดนอ่อยแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไขว้เขว’  จากนั้นต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อพี่พร้อมสอดมือมารวบเอวผมไว้

“นอนไม่ถนัด” เขาบอก ส่วนผมก็ได้แต่ท่องยุบหนอพองหนออยู่ในใจและนั่งเกร็งตัวไปตลอดทาง จนกระทั่งขบวนรถบัสจอดที่ตลาดแหล่งขายของฝาก ก็ที่มีร้านของพ่อกับแม่ตั้งอยู่นั่นแหละ ผมจึงระริกระรี้เป็นพิเศษเนื่องจากตั้งแต่ไปเรียนกรุงเทพ ยังไม่เคยได้กลับบ้านเลย คราวนี้เป็นโอกาสที่ได้แวะร้านแบบไม่เสียค่ารถ

ผมจะตรงดิ่งไปที่ร้านแต่โดนพี่พร้อมคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน

“อะไรง่ะ”

“รอยอก่อน เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน” เขาบอกเพราะมื้อเที่ยงขากลับไม่มีงบของคณะต้องใช้เงินส่วนตัว

“แต่ผมจะไปที่ร้าน”

“หือ?” เขาขานเสียงแปลกใจ “ร้านของที่บ้านตั้งอยู่ตลาดนี้เหรอ ดีเลยเดี๋ยวพี่จะได้ไปไหว้พ่อแม่นายด้วย”

“ไปไหว้ทำไม”

“ก็เป็นพี่เทคต้องพาตัวเองไปรู้จักกับพ่อแม่น้องเทคไว้ ถ้านายเกเรจะได้ฟ้อง”

ผมตีหน้าหงิก “ผมไม่ทำตัวไม่ดีหรอกน่า”

“ไม่รู้ล่ะ เผื่อนายมัวแต่ดูซีรี่ย์ไม่หลับไม่นอนจนโดดเรียนอีกจะทำยังไงล่ะ”

“เรื่องนี้ห้ามพูดนะ!”

พี่พร้อมเลยยกยิ้มทำหน้าตาแบบที่บ่งบอกว่าเรื่องที่เขาพูดรู้ถึงหูพ่อแม่ของผมอย่างแน่นอน

“นะ นะ... อย่าพูดนะ อย่าบอกพ่อกับแม่ผมนะ” ผมพูดอ้อนพลางทำหน้าตาให้น่าสงสาร

“งั้นเป็นเด็กดีล่ะ” พี่พร้อมวางมือบนศีรษะของผมและยิ้มให้อย่างถูกใจ

ยืนรอเพียงไม่นานพี่ยอก็ตามมาสมทบ พี่พร้อมจึงพูดบอกจุดหมายที่แรกให้เพื่อนตัวเองรับรู้

“ไปบ้านวุ้นก่อน”

“เออ... น้องวุ้นมีบ้านอยู่ในตลาดนี่” พี่ยอพูดคล้ายถามย้ำ

“ไม่ใช่บ้าน เป็นร้านอย่างเดียว”

ด้วยเหตุนั้นผมจึงต้องเดินนำรุ่นพี่ทั้งสองคนไปยังร้าน

พ่อและแม่ของผมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ ก่อนแนะนำรุ่นพี่ทั้งสองให้บุพการีรู้จัก พวกเขาถามว่ามาได้อย่างไร ผมจึงเล่าเรื่องมารับน้องให้ฟังและขากลับก็มาแวะกินข้าว

“อ้าว! แล้วนี่กินข้าวกันแล้วเหรอ” แม่ถาม

“ยังอะ ก็พี่สองคนเขาอยากมาอุดหนุนร้านขายของฝากของรุ่นน้อง หนูเลยพามา”

ตอนพี่ยอได้ยินคำแทนตัวของผมเวลาคุยกับพ่อแม่ เขาส่งสายตาล้อเลียนมาให้ด้วย แต่ผมแค่เลิกคิ้วทำเป็นสงสัยความนัยที่เขาอยากจะสื่อ เรื่องนี้ผมไม่นอยด์หรอกเพราะโดนล้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว ขนาดพยายามเปลี่ยนมาใช้คำแทนว่า ‘ผม’ ทว่าสุดท้ายก็เผลอเรียกตัวเองว่า ‘หนู’ อยู่ดี เลยเลิกและถ้าใครอยากพูดล้ออย่างไรก็เรื่องของเขา

แต่จะเอาคืนหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนคราวนี้ผมก็จงใจพูดว่าพวกเขาจะมาอุดหนุนที่ร้านซะเลย เรื่องปกติธรรมดาของคนค้าขายล่ะนะ แต่ก็นั่นแหละ พอแม่ผมได้ยินปุ๊บก็โบกมือปฏิเสธ แล้วรีบลุกขึ้นไปหยิบขนมใส่ถุง ส่งให้รุ่นพี่ทั้งสองคนฟรี ๆ

“ข้าวหลามเนี่ยของที่ร้านน้าทำเอง อร่อยมากเลยนะ” โฆษณาเสร็จก็ฝากฝังผมต่อ “น้าฝากดูแลวุ้นด้วยนะ ถ้ามันไม่เข้าเรียนมัวแต่เที่ยวเตร่รีบโทรมาบอกน้าได้เลย”

การมาหาพ่อกับแม่ของผมครั้งนี้ของพี่พร้อมตรงตามจุดประสงค์ทุกประการ เขาแลกเบอร์โทรกับแม่ แถมได้สิทธิ์โทรมาฟ้องเต็มที่ ที่สำคัญแม่ผมจำพี่พร้อมไม่ได้ด้วย บิดามารดาของผมจึงยังไม่รู้ว่านี่แหละคือผู้ชายที่ผมอุตส่าห์พยายามตามไปถึงกรุงเทพ

ผมพารุ่นพี่ทั้งสองคนไปทานข้าวหลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาที่กำหนดจึงกลับไปขึ้นรถบัสและมันก็พาพวกผมกลับกรุงเทพ เมื่อถึงมหาวิทยาลัย พี่พร้อมยังอุตส่าห์ตามมาส่งผมที่หอด้วย

“ไม่ต้องไปส่งหรอก วุ้นเดินกลับเองได้”

“เถอะน่า” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนรุนไหล่ให้ผมเดินนำเข้าซอย มิหนำซ้ำยังตามมาส่งผมถึงหน้าประตู สถานการณ์แบบนี้สร้างความลำบากใจให้ผมมาก และคิดว่าควรต้องหาแฟนให้พี่พร้อมอย่างเร่งด่วนซะแล้ว!!!



READ 11:45 AM “พี่พร้อมจะเลิกเรียนยัง”
READ 11:45 AM “ไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันนะ”
“ได้” 11:45 AM
“แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงไลน์มาชวนได้เนี่ย” 11:45 AM

READ 11:46 AM “อ้าว! อยากกินข้าวกับพี่เทคบ้างไม่ได้เหรอ”

“คิดถึงก็บอกมาตรง ๆ ดิ” 11:46 AM


ฮื้อ!!! ส่งข้อความตอบกลับมาแบบจะให้ผมเข้าใจว่าอะไร


READ 11:46 AM “...”


ทว่าเขากลับไม่ตอบอะไรนอกจากส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้มมาให้

สมองของผมว่างเปล่าเหมือนโดนช็อตไปชั่วครู่ จ้องมองข้อความนั้นอยู่นานก่อนจะบอกตัวเองให้ตั้งสติ ไม่ปล่อยอารมณ์คล้อยตามคำพูดของเขาง่าย ๆ ย้ำบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่

“วุ้นไปกัน” เสียงเรียกของจันทร์ดังขึ้น ทำให้ผมรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง และลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า ออกจากห้องเรียนเดินตามกลุ่มเพื่อนไปยังโรงอาหาร

ที่ผมส่งข้อความไปชวนพี่พร้อมเพราะหวังจะเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนสาวอย่างจันทร์และพี่เทคได้คบกัน ผมต้องทำให้หนุ่มรุ่นพี่เลิกอ่อยผมโดยไว ไม่เช่นนั้นผมต้องกลับไปชอบเขาแน่ แต่อีกใจก็ลังเลเรื่องปานบนหน้าอกของพี่พร้อม

บางครั้งผมก็เกลียดความโลเลของตัวเอง ที่เลวร้ายคือผมไม่ฝันอีกเลยนับตั้งแต่ฝันครั้งก่อน

นอกจากโหมดระลึกชาติจะยากต่อการใช้งานแล้ว ระบบความฝันยังใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้างอีก

โอ๊ย!!! ผมอยากจะบ้า!!!

“วุ้น...” เสียงเรียกของเพื่อนทำให้ผมออกจากภวังค์

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาไม่ได้แค่พูดยังชี้มือและเลื่อนสายตาไปยังเป้าหมายที่สร้างความประหลาดใจ ผมมองตาม เห็นตัวเองกางมืองอค้างกลางอากาศจึงรีบเอาลง และขยายความบอกทุกคนว่าตัวเองเป็นพวกเมื่อคิดอะไรแล้วชอบออกแอคชั่นไปด้วย

“แล้วคิดอะไรอยู่ล่ะ” จันทร์หันกลับมาถาม นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวด้วยความอยากรู้ “แน้! หรือกำลังคิดอะไรลามก ๆ อยู่” คำถามนั้นทำให้ทุกคนส่งเสียงแซวกันยกใหญ่ ก่อนความสนใจของทุกคนจะหันไปหาสองหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำท่าคล้ายมายืนรอดักอยู่ระหว่างทาง

หลังพวกผมส่งเสียงทักทายยกมือไหว้ ก็มีคนส่งเสียงถามว่า

“พวกพี่จะไปไหนหรือครับ”

“จะไปกินข้าวเหมือนกัน แต่ต้องมายืนรอเด็กที่นัดไว้ก่อน” พี่พร้อมตอบอย่างหน้าไม่อาย ส่วนผมที่เป็นคนฟังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอีหนูของเสี่ยอย่างไรก็ไม่รู้

“แหม! ถ้าไม่ติดว่าหิวข้าวล่ะก็ จะยืนรอดูหน้าเด็กของพี่พร้อมนะเนี่ย” จันทร์พูดกลั้วหัวเราะ ผมจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหาจันทร์และส่งเสียงกระซิบ

“วุ้นนัดพี่เทคมาให้จันทร์นะ”

“นัดมาทำไม” จันทร์ถามกลับเสียงเบาหน้าตาเหลอหลา

“อ้าว! จันทร์เคยบอกว่าอยากให้วุ้นเป็นพ่อสื่อ”

“ซุบซิบอะไรเนี่ย” เสียงทักดังใกล้หูทำให้ผมกับจันทร์สะดุ้งโหยง หันไปเห็นพี่พร้อมยืนหรี่ตาจับผิดอยู่ด้านหลัง หันไปอีกด้านก็เห็นกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีก้าวเท้านำไปไกลแล้ว

“ไม่มีอะไร” ผมบอกปฏิเสธยกยิ้มและเอ่ยชวน “ไปกินข้าวกันเหอะ”

“ใช่ค่ะ ไปกินข้าวกันเถอะพี่พร้อม” จันทร์พูดสำทับ

“เฮอะ! คนไม่สำคัญอย่างเราก็ไม่มีใครสนใจแบบนี้ล่ะนะ” พี่ยอพูด

ผมจึงเอาใจด้วยการเดินอ้อมไปด้านหลังของเขาและดันแผ่นหลังให้อีกฝ่ายก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า “ไอ้พี่ยอก็รีบเดินไปกินข้าวแต่โดยดีเดี๋ยวนี้”

ถึงโรงอาหารจับจองโต๊ะที่นั่งได้เรียบร้อย ผมเดินไปซื้อข้าวของตัวเอง หย่อนก้นลงนั่งโดยมีพี่พร้อมตามมานั่งข้าง ๆ แต่เผอิญว่าผมถอดความหวั่นไหวเก็บไว้พร้อมโทรศัพท์มือถือแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้นายนภัสศัยพร้อมสู้เต็มที่!!!

ทว่าทุกอย่างผ่านไปปกติ พี่พร้อมคุยกับผมและเพื่อน ๆ อย่างปกติ ไม่มีการพูดจาสองแง่สองง่ามให้เข้าใจผิด สงสัยเขาคงเบื่อที่จะอ่อยผมแล้วล่ะ ความรู้สึกวูบโหวงเสียดายผุดขึ้นมาในอกชั่วแว็บหนึ่ง ก่อนที่ผมจะสลัดมันทิ้งพลางท่องชื่อเหยียนจิ่นลี่ซ้ำ ๆ

“เป็นอะไร”

ผมมองหน้าเจ้าของคำถามด้วยความแปลกใจ นึกสงสัยครามครันว่าเขาแค่ถามไปอย่างนั้นหรือเพราะรู้ว่าผมมีอาการผิดปกติจริง ๆ แต่ผมเลือกถามกวนกลับไป

“เป็นอะไรเหรอ” น้ำเสียงผมแดะแด๋เล็กน้อยแต่พองาม

เขายิ้มมอง “ทำหน้าเหมือนท้องผูก เมื่อเช้าไม่ได้เข้าห้องน้ำเหรอ”

ผมผงะไป

ดีนะ... กินข้าวอิ่มแล้ว

ผมจึงเบ้ปาก “ใครเขาถามเรื่องแบบนี้กัน”

“อ้าว! เป็นห่วงก็ต้องถามสิ”

“อะแฮ่ม ๆ แค่ก ๆ”

“เป็นอะไรหรือน้องจันทร์” คนที่เอ่ยคำถามเป็นเพื่อนสนิทของพี่เทคอย่างพี่ยอ แต่เพื่อนร่วมรุ่นของผมกลับจงใจพูดตอบพี่พร้อม

“เหมือนมีอะไรติดคอจันทร์เลยค่ะพี่พร้อม”

“แก้วน้ำน้องจันทร์อยู่ตรงนั้นไม่หยิบขึ้นมาดื่มล่ะครับ” พี่พร้อมตอบกลับไป

“อะไรกัน? จันทร์รู้สึกติดคอ พี่พร้อมไม่ห่วงจันทร์บ้างเหรอ” จันทร์ถามเสียงอ่อนเสียงหวานได้ยินแล้วแสลงใจอะ ผมจึงลุกขึ้นยืน ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ต่างหันมองผมเป็นตาเดียว

“วุ้นจะไปซื้อขนม” ผมพูดบอกและยกจานข้าวของตัวเองไปเก็บที่ด้วย ก้าวเท้าพ้นสายตาพวกเขาแล้วผมจึงย้ำบอกตัวเองอีกรอบ

‘ตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ จะมาโลเลอีกไม่ได้นะ!’


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พฤติกรรมพี่พร้อมคืออัลไล?  อ่อยเหรอ?


ส่วนพี่ยอ  คิดอะไรอยู่หนอ?

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันที่ 19 ผมจะอยู่กับเขา



พวกผมแยกกับพวกรุ่นพี่หลังกินข้าวเสร็จ ตอนนั้นพี่พร้อมไม่ได้พูดอะไรทว่าพอตกบ่าย ๆ เขากลับส่งข้อความมาชวนผมไปกินข้าวเย็น ผมรีบตอบตกลงอย่างรวดเร็วแต่ว่าเวลานัดจะหนีบพาจันทร์ไปด้วย

คราวนี้แหละผมต้องทำให้สำเร็จ!!!

ครั้นใกล้เวลาหมดชั่วโมงเรียนพี่พร้อมได้ส่งข้อความบอกว่ามารออยู่ข้างล่างตึกแล้ว

และดูดิ! ทำเป็นมานั่งคอยแต่สายไปแล้วเหอะ ไม่ใจอ่อนแล้วอยากจะบอกให้ ตอนที่เค้าชอบอยู่ไม่ชอบเค้า

“กำลังสาปแช่งใครอยู่หรือเปล่าวุ้น” จันทร์พูดถามยิ้ม ๆ “ขมุบขมิบปากไม่หยุดเหมือนกำลังด่าใครอยู่เลย”

ผมเม้มปากเพื่อหยุดการกระทำที่เพื่อนเอ่ยแซว และตอบคำถามไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก แต่พี่พร้อมบอกว่ามานั่งรออยู่ข้างล่างตึกแล้ว”

วิชาที่ผมเรียนเป็นวิชาพื้นฐานที่เรียนรวมกันเยอะมาก การคุยกันเลยไม่ค่อยเป็นที่สังเกตแต่จันทร์ก็ลดเสียงพูดให้เบาลงอีก

“ให้จันทร์ไปด้วยนี่คิดดีแล้วเหรอ”

“ทำไมล่ะ”

“พี่พร้อมไม่ได้ชวนจันทร์ซะหน่อย พี่เขาอาจจะอยากกินข้าวกับวุ้นสองต่อสองก็ได้นะ”

“ฮื๊อ! ทำไมจันทร์คิดอย่างนั้น” ถ้าไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ผมคงส่งเสียงตะโกนถามแล้ว หัวใจผมก็เต้นดังขึ้นด้วย เหมือนกำลังโดนจับได้ว่าทำความผิดเลย

“ก็พี่เขาไม่ได้ชวนจันทร์ เขาชวนวุ้น” เธอพูดย้ำ

“แล้วจันทร์ไม่ชอบพี่พร้อมแล้วเหรอ ไหนว่าชอบพี่พร้อมไง”

“แต่ถ้าพี่พร้อมไม่ชอบจันทร์ก็ไม่มีประโยชน์นี่”

“พี่พร้อมไม่ชอบจันทร์ตรงไหน ตอนนั้นยังเห็นคุยกันดีเลย”

“คุยกันดีก็แปลว่าชอบเนี่ยนะ อย่างนั้นเขาเรียกว่ามโนเข้าข้างตัวเองแล้ว”

ผมหน้าชาเพราะเหมือนโดนด่ากระทบอย่างไรไม่รู้ จันทร์คงเดาความคิดผมได้จึงพูดอีกว่า “จันทร์ไม่ได้ว่าวุ้นนะ แต่เรื่องแบบนี้แค่เขาทำดีด้วยแล้วเก็บเอามาฝันเข้าข้างตัวเอง คิดเพ้อพกว่าเขามีใจให้น่ะ แป๊กมาเยอะแล้ว ยังมีเลยพวกที่ปากบอกว่ารักอย่างโน้นรักอย่างนี้ พอเจอคนใหม่สวยกว่าก็ระริกเข้าไปหา”

“มีความหลังฝังใจปะเนี่ย” ผมถามเพราะประโยคหลัง ๆ อินเนอร์ของจันทร์มาเต็มมากและเธอก็สารภาพออกมา

“นิดหน่อยน่ะ” ก่อนเอ่ยเตือน

“ไม่สนใจเรียนแล้ว”

ผมจึงหันเหสายตากลับไปมองเนื้อหาที่อาจารย์สอน ตั้งใจพักเรื่องพี่พร้อมไว้ชั่วครู่

หลัง ๆ มานี่ผมเก็บเรื่องของเขาไปคิดตลอดเวลาที่ว่างเลยนะ มากกว่าเหยียนจิ่นลี่แล้วด้วย เออ... แต่เป็นแบบนี้มานานแล้วนี่หว่า ตั้งแต่ที่ได้เจอเขาครั้งแรกตอนที่ยังอยู่มอหก ช่วงแรก ๆ นี่อยากคุยกับเขามาก ขนาดเปิดหน้าต่างข้อความทุกนาทีเพื่อดูว่าเขาอ่านข้อความหรือยัง อืม... แถมเคยหึงเคยหงุดหงิดตอนที่เขาคุยกับจันทร์ทั้งที่ตอนนั้นเขาก็ยังคบกับพี่ดีไซน์อยู่ คิดไปคิดมาพี่พร้อมก็เจ้าชู้นะเนี่ย อ่อยไปทั่ว...

มานับดูก็ปีกว่าแล้วที่ผมตกอยู่ในภาวะแบบนี้ น่าแปลกเนอะ ที่เรื่องของคนคนหนึ่งจะอยู่ในความคิดได้ยาวนานจนน่าเหลือเชื่อ

ผมโน้มตัวลงนอนฟุบกับโต๊ะ และได้ยินเสียงอุทานของจันทร์ดังขึ้นเบา ๆ ทว่าเธอกลับไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจนอนหลับ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งรอบด้านกลับมืดสนิท จากนั้นเบื้องหน้าก็ปรากฏร่างของคนคนหนึ่ง เห็นปุ๊บพลันนึกได้ทันทีว่านั่นคือซุนเจียวซิน เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ระลึกชาติได้ที่ผมได้คุยกับวิญญาณตัวเอง

“เจ้าจะทำให้เรื่องมันวนเวียนอยู่แต่ที่เดิมหรือ สุดท้ายผลลัพธ์มันก็จะจบลงเช่นเดิม”

“งั้นตกลงพี่พร้อมคือเหยียนจิ่นลี่หรือไง”

“หึ!”

“อ้าว! ทำไมไม่ตอบล่ะ” ผมถามแต่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะโดนปลุก

“อาจารย์ปล่อยแล้ววุ้น” จันทร์พูดและเอ่ยเตือน “พี่พร้อมรออยู่ข้างล่างไม่ใช่เหรอ”

ผมตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อรุ่นพี่

“จันทร์ไปด้วยกันดิ” ผมรีบเก็บของและเดินตามเพื่อนออกไป เลือกที่จะเมินเฉยคำเตือนของซุนเจียวซินในความฝัน

บอกไม่ถูกเหมือนกันมันกึ่ง ๆ เหมือนจะรู้ความหมาย แต่มันเหมือนมีม่านหมอกคอยบดบังไว้ทำให้ความคิดไม่กระจ่างชัด

“พยายามจังนะ” จันทร์พูดประชดก่อนตอบตกลง “ไปก็ได้”

ลงไปถึงข้างล่าง กวาดสายตามองหาพี่เทคแค่รอบเดียว ผมก็เจอเขาและเพื่อนสนิทจับจองโต๊ะม้านั่งตัวหนึ่งไว้ ผมเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ทักทาย

“นั่งก่อน เดี๋ยวรอไอริณด้วย” พี่พร้อมบอก

จันทร์ถึงกับหันมามองหน้าผมและหันไปถามรุ่นพี่ทั้งสองคน “จะไปเลี้ยงสายเทคกันหรือคะ”

“เปล่า ยอมันต้องเลี้ยงเพราะแพ้พนัน” ไม่ต้องรอให้ผมถาม พี่เทคขยายความต่อว่า “มันเคยพูดว่าวุ้นเล่นตะกร้อไม่เป็น ถ้าเล่นเป็นจะเลี้ยงหมูกระทะเลย”

ผมเหลือบตามองคนที่ถูกพูดถึงทันที ยังไม่ทันอ้าปาก พี่ยอกลับดักทางว่า “ทำไม? ก็หน้ามึงมันไม่ให้”

“เล่นตะกร้อเขาใช้ตีน เอ๊ย! เท้า เขาใช้เท้าเล่นไม่ใช่ใช้หน้า”

“เออ ๆ กูรู้แล้ว มึงน่ะเทพกว่าที่กูเห็น”

“อย่างนี้ผมชวนจันทร์ไปด้วยนะ”

“ได้เลย” พี่พร้อมตอบก่อนเจ้ามือเสียอีก “ทีแรกพี่จะชวนคนอื่นด้วย แต่ยอบอกว่าไม่มีตังค์”

“เฮ้ย! ไม่ใช่ว่ากินเสร็จผมต้องไปล้างจานใช้หนี้นะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกไม่มีตังค์ของมันคืออยู่ได้ทั้งเดือนของชาวบ้านตาดำ ๆ แบบพวกเรา” พี่พร้อมพูด

“มึงพูดมากวะวันนี้” พี่ยอพูดตัดบทแรงเหมือนกันแฮะแต่พี่พร้อมแค่ส่งเสียงหัวเราะยักคิ้วให้เพื่อน

รอไอริณกันอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวเพื่อนร่วมชั้นปีของผมก็ตามมาสมทบ จากนั้นพวกเราเคลื่อนขบวนไปร้านหมูกระทะเจ้าเดิมที่รุ่นพี่เคยพาผมไปเลี้ยง

เมื่อได้โต๊ะ ผมปล่อยให้ทุกคนเลือกที่นั่งก่อน ทีแรกว่าจะเล็งจัดที่นั่งให้จันทร์ได้นั่งข้างพี่พร้อมแต่คนอื่นเขาไม่รู้กับผมด้วย ถ้าถึงขนาดต้องไปนัดแนะกับพี่ยอและไอริณ มันจะยิ่งดูแปลก ๆ และสุดท้ายผมก็ได้นั่งข้างพี่พร้อม

ถ้าคิดแบบนิยายรักนี่เรียกว่าพรหมลิขิตชัด ๆ แต่ความจริงแล้วเพราะมีผู้หญิงมาสองคน พวกเธอเลยนั่งด้วยกัน พี่ยอเลือกนั่งหัวโต๊ะ ผมจึงต้องนั่งข้างพี่พร้อม

อาหารการกินทุกอย่างเป็นแบบบริการตนเอง พวกผมจึงแยกย้ายกันไปตักของใครของมัน และผมก็กลับมาพร้อมสารสัตว์น้อยใหญ่ทั้งบนบกและในน้ำเช่นเดิม แต่มีคนที่ไม่ยอมลุกไปไหนด้วยอยู่คนหนึ่ง... พี่พร้อมนั่นเอง

“พี่พร้อมไม่ลุกไปตักเหรอ” นึกคันปากอยากถามว่าต้องวุ่นวายอยู่กับข้อความในไลน์อีกหรือไง แต่ด้วยความเป็นคนดีมีศีลธรรมจึงไม่ได้ถามออกไป

“ก็นายตักมาเผื่อแล้วไม่ใช่หรือ” เขาใช้สายตามมองจานที่ผมยกมาพลางยื่นมือออกมาหยิบมันวางลงกับโต๊ะอย่างมีน้ำใจ

ผมกะพริบตาปริบ ๆ ทั้งอึ้งทั้งงุนงง

“นั่งสิจะยืนอยู่ทำไม” เขาพูดพร้อมฉุดมือผมให้ทรุดตัวลง และจัดการคีบสรรพสัตว์ที่ผมตักมาขึ้นย่างอย่างถือวิสาสะ

ตอนที่คนอื่นกลับมาที่โต๊ะผมยังทำหน้างง ๆ อยู่เลยละมั้ง จันทร์ถึงได้ส่งเสียงถาม “เป็นอะไรเหรอวุ้น”

ผมสั่นศีรษะเพราะตอบไม่ถูกว่าควรบอกอย่างไร

ระหว่างที่รอให้ของบนเตาสุก เหล่าเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่ก็พูดคุยสัพเพเหระไปพลาง อย่างเรื่องรับน้องที่ทะเลหรือเรื่องกิจกรรมทั่วไปในมหาวิทยาลัย ผมร่วมวงคุยกับเขาด้วยแต่สายตาจ้องหมูที่ตัวเองคีบย่างไว้ ขณะที่รอให้มันเกรียมขึ้นอีกสักนิด กลับมีมือดีมาคีบไปหน้าตาเฉย

“พี่พร้อม! ของผม”

“อ้าวเหรอ” ถึงเขาจะตอบกลับมาแบบนั้นก็ยังคีบเข้าปากตัวเองอยู่ดี ผมหน้าหงิกแต่ต้องยอมหันเหสายตามองหาหมูชิ้นใหม่ ทว่ามันกลับโดนคีบตัดหน้าอีกรอบโดยรุ่นพี่คนเดิม แถมเขายังทำหน้าเคี้ยวอย่างมีความสุขมากด้วย

“ไปแย่งมัน เดี๋ยวมันก็กัดเอาหรอก” พี่ยอพูดน้ำเสียงเหมือนเอือมระอาเพื่อนตัวเองมาก

“รออยู่เนี่ย เข้ามากัดเลยตรงนี้ ๆ” เขาเอียงคอชี้บอกจุดให้ผมกัด

จากที่โมโหอารมณ์ของผมจึงเปลี่ยนทันควัน หญิงสาวเพื่อนร่วมรุ่นส่งเสียงวี้ดว้ายกันเบา ๆ ตามมาด้วยคำถามของไอริณ

“พี่พร้อมพูดอย่างนี้จะให้ไอเข้าใจยังไง”

“แหม ๆ” จันทร์ส่งเสียงออกมาแค่นั้น ทั้งที่สีหน้าของเธอดูยิ้มแย้มกระนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ดี

“ไม่ใช่นะ” ทว่าคำปฏิเสธของผมกลับโดนแทรกด้วยคำถามของพี่ยอ

“แหมอะไรเหรอน้องจันทร์”

“อิจฉาคนจะมีคู่อะพี่ยอ”

“อิจฉาทำไมพี่ยังว่าง” หนุ่มรุ่นพี่พูดแซวแต่เพื่อนผมแค่หัวเราะไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นหัวข้อสนทนาได้เปลี่ยนไปอีก แต่ผมกลับรู้สึกตื้อจนกินอะไรไม่ลง เมื่อเป็นอย่างนั้นพี่พร้อมจึงส่งคำถามพลางคีบของที่สุกแล้วใส่ถ้วยของผม

“เป็นอะไร ดูไม่ค่อยกินเลย ร้านนี้เขาปรับจริงนะ”

“ฟังดูดีเลยล่ะถ้าไม่มีประโยคสุดท้าย” ผมตอบกลับไป

“ก็นายทำเหมือนไม่ค่อยชอบให้เป็นห่วง”

“ผมไม่ได้ทำอย่างที่พี่ว่าซะหน่อย” พูดพลางก้มหน้าหลบสายตา ทำเป็นสนใจของกินในถ้วย

“พูดอย่างนี้แสดงว่ายอมให้เป็นห่วงได้แล้ว และถ้ามากกว่านั้นล่ะ”

ผมหันไปมองหน้าคนถาม สบตาที่จ้องมองมาก่อนโดนขัดจังหวะด้วยเสียงกระแอมกระไอ

“ขอโทษทีนะเพื่อน แต่ไม่ได้อยู่กันสองคน” พี่ยอพูดพานให้ผมเก้อประหม่าและใบหน้าร้อนผ่าว แต่เพราะไม่มีใครเอ่ยแซวให้ผมเขินอายไปมากกว่านั้น บรรยากาศในการกินจึงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จวบจนเมื่ออาหารสิ้นสุดลง พี่ยอบอกว่าจะไปส่งไอริณกับจันทร์เอง แล้วเขาก็เรียกแท็กซี่รีบพาสองสาวขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับพี่เทค

เรื่องที่จะเป็นพ่อสื่อให้จันทร์เลือนไปจากสมองจนหมด ซึ่งต้องโทษพี่พร้อมนั่นแหละ

คราวโน้นเขาเปิดเพลงทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปเยอะ มาคราวนี้ยังถามแบบนั้นอีก ทั้งที่ผมเลือกตัดสินว่าเขาไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่ และจะตัดใจไม่โลเลใจง่ายกับเขาอีกแล้ว

“กลับเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องพูดคุยให้ชัดเจน ผมต้องขจัดความโลเลสับสนในใจออกไปให้หมดให้ได้ ผมจึงคว้าแขนเขาไว้ ดึงให้เดินห่างออกจากป้ายรถเมล์มาเล็กน้อย ให้พ้นระยะผู้คนรอบข้างทว่าแสงไฟข้างทางยังสว่างมากพอให้ผมได้มองเห็นสีหน้าท่าทางของเขา

“พี่พร้อมทำแบบนี้เพราะผมสารภาพรักกับพี่เหรอ”

“ก็ส่วนหนึ่ง” ท่าทางของพี่พร้อมดูคล้ายลังเล

“แต่พี่ปฏิเสธผมไปแล้วนี่”

“ปฏิเสธที่ไหน แค่ถามว่าจะแกล้งอะไรพี่หรือเปล่า”

เออ...จริง

“ทำไมต้องคิดอย่างนั้นล่ะ ทำไมถึงคิดว่าผมแค่แกล้งสารภาพรักล่ะ”

“ก็... นายสนิทกับยอ”

“แต่ผมกับพี่ยอเคยบอกพี่แล้วว่าไม่ได้คบกัน”

“แต่ก่อนหน้านั้น นายทะเลาะกับยอ มันไม่แน่ว่าที่บอกว่าไม่ได้คบกันเพราะเคืองกันอยู่ แต่หลังจากที่นายมาพูดกับพี่ พี่ก็ถามยอแล้ว มันบอกว่าไม่รู้ไม่มีนัดแนะอะไรทั้งนั้น”

ผมอยากถามว่า ‘ถ้ามันไม่ใช่การแกล้งเล่นพี่จะตอบตกลงอย่างนั้นเหรอ’ แต่นึกขึ้นมาได้อีกอย่าง เขาเคยพูดไว้ในวันที่แน่ใจว่าเลิกกับพี่ดีไซน์แน่แล้ว เขาจะคั่วไปทั่วบ้าง

“จันทร์ชอบพี่พร้อมนะ ถ้าจันทร์มาสารภาพรักกับพี่ พี่จะคบกับจันทร์ไหม”

“ทำไมพี่ต้องคบ พี่ไม่ได้ชอบจันทร์”

“แต่พี่พร้อมเคยพูดไว้ว่าใครท้องนั่นแหละคือแม่ของลูกพี่” ผมยกคำพูดของเขามาพูดซ้ำ “ผมท้องให้พี่ไม่ได้นะ”

พี่พร้อมหัวเราะ “นั่นพี่แค่พูดประชด มันไม่สำคัญหรอก” เขาเดินเข้ามาใกล้และยกมือขึ้นวางบนศีรษะของผม “พี่เข้าใจว่านายอาจยังลังเลคลางแคลง แต่ยังไม่ต้องรีบคิดรีบตัดสินใจก็ได้ พี่รอได้”

“แต่ผมไม่อยากให้พี่รอ ที่จริง...” ผมพูดออกไปแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าควรเล่าเรื่องเหยียนจิ่นลี่ให้เขาฟังหรือเปล่า

“ที่จริง?” เขาพูดถามย้ำคล้ายต้องการให้ผมเอ่ย

“คนที่ผมชอบหน้าตาคล้ายพี่พร้อม”

“คล้ายพี่? หมายถึงไม่ใช่พี่?”

“ใช่ เอ้ย...ไม่ใช่” ผมรีบเปลี่ยนคำพูดเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเข้าใจผิด “เขาเป็นคนอื่นที่หน้าตาเหมือนพี่พร้อม ตอนที่ผมเจอพี่ทีแรกเลยนึกว่าพี่เป็นเขา”

เขานิ่งเงียบไร้คำโต้ตอบกลับมา

“ผมขอโทษครับ”

“ที่สารภาพรัก... ก็ไม่ได้คิดจะพูดกับพี่ด้วย”

ผมพยักหน้า “ผมคิดว่าถ้าสารภาพรักออกไป จะเป็นการพิสูจน์ได้ว่าพี่กับเขาคือคนคนเดียวกันหรือเปล่า”

“พิสูจน์ยังไง?”

“ก็ถ้าพี่ตอบตกลง แสดงว่าเขากับพี่คือคนคนเดียวกัน”

“แต่พี่ไม่ได้ตอบปฏิเสธนี่” เขาพูดแย้ง

“แต่...” ผมถึงสำนึกได้ว่าวิธีของตัวเองมันโคตรตลก

“เอาเป็นว่าพี่ให้กลับไปนอนคิดหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้พี่จะไปเอาคำตอบ” เขาสรุปออกมา แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ผมควรจะให้คำตอบแบบไหนกับเขา แล้วจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาคือเหยียนจิ่นลี่หรือไม่ใช่ ใช้ปานที่ผมยังไม่เคยเห็นชัดเจนนั่นนะเหรอ แต่มันเชื่อถือได้แน่นอนหรือเปล่านี่สิ มีแต่คำถามเต็มสมองผมไปหมด

“ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว” พี่พร้อมพูดตัดบท “คืนนี้กลับไปอาบน้ำนอนให้หลับ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่”

เขารุนหลังให้ผมกลับไปยืนรอแท็กซี่

พวกผมขึ้นรถมาลงที่เดียวกัน พี่พร้อมยังคงเดินตามมาส่งผมถึงห้องเหมือนเดิม เขาบอกฝันดีก่อนหมุนตัวเดินกลับไป หลังปิดประตูลง ความคิดวุ่นวายก็ย้อนกลับมาหาผม ทว่าหลังอาบน้ำล้มตัวลงนอนผมกลับหลับลงอย่างง่ายดาย กระนั้นมันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วแว็บเดียวที่ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง

“ตื่นแล้วหรือ”

เสียงถามคุ้นหูทำให้ผมตื่นเต็มตาพลางขยับตัวลุกขึ้น วินาทีนั้นความเจ็บปวดได้แล่นจี๊ดไปถึงแกนประสาท เขาลุกตามขึ้นมาประคองตัวผมให้พิงแผงอกกว้าง

“ยังเจ็บไม่หายอีกหรือ”

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้” เหตุที่ผมต้องถามเพราะผมได้มาอยู่ในตำหนักของต้าอ๋องอีกแล้ว และคนตรงหน้าก็คือเหยียนจิ่นลี่

เขาขมวดคิ้วก่อนพูดอธิบาย “จำไม่ได้รึ ข้าให้เจ้าย้ายเข้ามาอยู่ในวัง และทำงานเป็นอาลักษณ์อย่างไรเล่า”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นสายตาเหลือบไปเห็นรอยกัดที่ขึ้นเป็นห้อเลือดบนหน้าอกของเหยียนจิ่นลี่ “เอ๊ะ!” แม้แต่รอยก็ยังอยู่ นี่หมายความว่าผมตื่นขึ้นมาช่วงระยะเวลาต่อจากฝันคราวที่แล้วเหรอเนี่ย

งงแฮะ!

“ทำไมรึ รอยนี่เจ้ากัดไว้เป็นรอยตำหนิ”

“ผมหลับไปนานแค่ไหนเหรอ”

“น่าจะเพียงเค่อ[1] เดียว”
       [1] ราว ๆ 15 นาที

ผมรู้สึกว่าทั้งงงและน่าแปลก ผมกลับมาอยู่ในร่างของซุนเจียวซินอีกแล้ว หนนี้ช่วงเวลาต่อจากฝันคราวที่แล้วด้วย หรือว่าเรื่องพี่พร้อมจะเป็นแค่ความฝันกัน

“ขมวดคิ้วมุ่นเชียว คิดสิ่งใดอยู่รึ” เขาพูดพลางใช้ปลายนิ้วคลึงกลางหน้าผากของผม น้ำหนักมือนุ่มนวลอ่อนโยนจนผมต้องโถมตัวกอดเขาไว้

“ไม่มีอะไรหรอก ผมงง ๆ เพราะเมื่อกี้ฝันเหมือนจริงมาก”

“ฝันว่าอะไรหรือ”

“อืม... เล่าให้ฟังดีไหมนะ” ผมทำท่าคิด “เรื่องมันยาวมาก ๆ”

“ไม่เป็นไร ต่อให้ยาวมากข้าก็มีเวลาทั้งชีวิตคอยฟังเรื่องของเจ้า”

โอ๊ย! ได้ยินแล้วชุ่มชื่นหัวใจอะ

“ผมจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิตเลยนะ”

“แน่นอน ถึงเจ้าอยากทิ้งข้า ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น”

“ไม่ได้นะข้าไม่ยอม!!!”

คำพูดที่ออกมาจากปากของผมทำให้ทั้งตัวผมเองและเหยียนจิ่นลี่ผละห่างออกจากกัน

“ใครน่ะ” ผมส่งเสียงถาม ชายหนุ่มตรงหน้าก็คงรู้สึกแปลกใจที่ผมถามอย่างนั้น ก่อนเสียงในหัวจะดังขึ้นมาให้ได้ยิน

‘กลับไปภพภูมิของเจ้าได้แล้ว ที่แห่งนี้เป็นที่ของข้า’

‘ที่ของคุณ?’

ผมเห็นเหยียนจิ่นลี่มองมาด้วยท่าทางตื่นตะลึง เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังเป็นบ้าก็ได้ ดังนั้นผมต้องจัดการใครก็ไม่รู้ที่กำลังจะยึดร่างผมไปให้เร็วที่สุด

‘เจ้าต่างหากที่กำลังขโมยร่างของข้า กลับไปเสียนภัสศัย!’

‘หมายความว่ายังไง’

‘ข้าหมายความตามที่พูด จงไปเดี๋ยวนี้!!!’ จบคำพูดนั้นผมรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกแรงมหาศาลผลักจนกระเด็น และภาพเบื้องหน้าได้เปลี่ยนไปฉับพลัน ผมมองเห็นร่างของเหยียนจิ่นลี่ตรงเข้าไปโอบประคองซุนเจียวซินซึ่งหอบหายใจอย่างหนัก

“เจียวซินเจ้าเป็นอะไรหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” ซุนเจียวซินพูดพลางเอนตัวพิงร่างของชายหนุ่มไว้

‘มันเกิดอะไรขึ้น หมายความว่ายังไง’ ผมส่งเสียงถามแต่ดูเหมือนว่าเขาทั้งคู่จะไม่ได้ยิน จากนั้นเหยียนจิ่นลี่ก็พูดขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“มีคนกำลังขโมยร่างของข้า”

หลังประโยคนั้นชายหนุ่มก็รีบคว้ามือของซุนเจียวซินขึ้นมาดู “แต่แหวนของเจ้ายังอยู่ และข้าไม่ได้แตะต้องมันเลย”

“ไม่ใช่ความผิดของท่าน... พี่จิ่นลี่ เป็นข้าที่ประมาทเองไม่คิดว่าพลังของเขาจะกล้าแข็งขึ้น” ซุนเจียวซินตอบเสียงออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้

‘อธิบายให้เข้าใจหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นจะวนเวียนอยู่แถวนี้นั่นแหละ และอย่าเผลอล่ะกัน’

“น่ารำคาญจริงเชียว”

“ฮะ!!!” เหยียนจิ่นลี่ร้องอุทาน คงนึกว่าซุนเจียวซินกำลังว่าตัวเองละมั้ง

‘ตกลงว่าได้ยินเสียงผมด้วยสินะ ดีเลยจะก่อกวนให้หนักเลย’ ผมบอก

‘รีบกลับไปเสียนภัสศัย ไม่เช่นนั้นร่างของเจ้าในภพภูมิโน้นจะสิ้นลม’ ซุนเจียวซินเอ่ยบอก เขาไม่ได้ขยับปากพูดแต่เสียงกลับดังก้องให้ผมได้ยิน

‘ภพภูมิไหน’ ผมถาม

ในเวลานั้นทุกสิ่งทุกอย่างในความทรงจำของผมว่างเปล่าไปหมด ผมจดจำได้แค่สองคนตรงหน้าคือเหยียนจิ่นลี่และซุนเจียวซิน จดจำได้แค่ร่างกายของซุนเจียวซินคือตัวผมด้วยเช่นกัน

‘หลับตาและปล่อยวางเรื่องราวในภพนี้ อย่าฝืนดึงรั้งไว้’ ผมทำตามที่เขาบอก ภาพหลังเปลือกตากลับไม่ได้ดำมืดแต่เป็นแสงสว่างจ้า เสียงของซุนเจียวซินยังดังมาให้ผมได้ยินอีกประโยค

‘ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าพบเจอเรื่องยุ่งยาก’



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พออ่านตอนนี้จบ

เกิดประเด็นคำถามเต็มหัวไปหมดเลยอ่ะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันสุดท้าย ผมชื่อพร้อม



ผมรู้จักเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปีคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่นิสัยดีนะแต่เพราะไม่ได้คุยกันแบบตัวเป็น ๆ เลยไม่รู้ว่าจะเป็นคนนิสัยดีตามที่ได้รับรู้จากข้อความที่อ่านหรือเปล่า แต่เท่าที่คุยกันเขาเป็นคนช่างคุยดี ตลก ดูเป็นเด็กซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัย ชอบส่งข้อความมาคุยกับผมทุกเวลาที่ว่าง

ส่วนผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย ถึงอย่างนั้น น้องเขาก็ยังไม่หายไป

คุยกันเกือบปี จนช่วงใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่าจะมาเรียนด้วย บอกให้ผมช่วยดูแลเขาด้วยนะแล้วจะหิ้วข้าวหลามมาฝาก

ผมเออออรับคำไปตามประสา ถามถึงคณะที่จะเข้าบ้าง ถามเรื่องการสอบบ้าง ฝั่งน้องเขาเองอัปเดตข้อมูลสถานะการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยมาเรื่อย ๆ จนเขาบอกว่าติดแล้วช่วยพาไปหาหอหน่อย

ตอนแรกผมอ้างติดโน่นติดนี่ไปเรื่อยทั้งที่จริงก็ขี้เกียจนั่นแหละและรู้สึกว่า ‘เฮ้ย! ไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้นซะหน่อย’ แต่พอน้องมันถามเรื่องนี้มาหนัก ๆ ประกอบกับที่มันบอกว่าจะมาเป็นรุ่นน้องในคณะ ผมจึงตัดสินใจตกลง

พวกเรานัดเจอกันแถวหน้ามหาวิทยาลัย น้องเขาหิ้วข้าวหลามมาฝากตามที่เคยบอกไว้แต่เป็นข้าวหลามกระบอกเล็ก ๆ ในแพ็กเกจทันสมัยน่าถือที่ดูไม่เชย ผมจึงยอมรับไว้

แว็บแรกที่เห็นก็รู้สึกว่า ‘เป็นแน่ ๆ’ และตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่บอกเด็ดขาดว่าหอที่ผมหาให้เขา เป็นหอเดียวกับผม ก็นะถึงข้อความที่เขาส่งมาคุยด้วยจะเป็นข้อความทั่วไป แต่มันรู้สึกได้แหละว่าน้องเขาชอบผม

จะว่าผมหลงตัวเองก็ได้ ไม่ถือ (ยิ้ม)

แต่ช่วงรับน้อง เขาทำให้เห็นว่าเขาเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเต็มที่กับกิจกรรม มิหนำซ้ำยังโดนเพื่อนสนิทของผมซึ่งแฝงตัวไปเป็นพี่เนียนยุผสมหลอกให้ทำโน่นทำนี่ง่าย ๆ ด้วย หลัง ๆ ผมจึงค่อนข้างสบายใจที่จะคุย ประมาณว่าคุยกันได้แต่ไม่อยากให้ล้ำเส้น

ความจริงผมไม่ได้รังเกียจนะและต้องบอกว่าผมชอบเพศเดียวกันด้วยซ้ำ

ผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอโตขึ้นหน่อยก็ฝันว่ามีอะไรกับเขาคนนั้น และด้วยฮอร์โมนวัยรุ่นทำให้ผมอยากลองของจริงเลยเลือกคบผู้ชายคนหนึ่ง แต่ความเป็นจริงมันต่างกับความฝันสิ้นเชิง ตอนนั้นแค่เล้าโลมผมกลับขยะแขยงจนอยากอาเจียนออกมา จึงเลิกกันหลังจากนั้น

ผมอยากตามหาผู้ชายในฝันแต่ติดที่ผมไม่รู้จักชื่อ แถมเขายังใส่ชุดอย่างกับในหนังจีน ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะตามหาเขาได้ที่ไหน ถ้าดูแค่ชุดแล้วไปเขาที่ประเทศจีน มันคงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

การฝันถึงเขาทำให้ผมมีความสุขแต่ก็ทรมานด้วยเช่นกัน ยิ่งได้เห็นในฝันยิ่งคิดถึงและเจ็บปวด ประกอบกับมีเพื่อนผู้หญิงในห้องทำท่าเข้ามาจีบ เพื่อนสนิทผมที่ชื่อยอเลยบอกว่าให้ลองคบดู ได้คบผู้หญิงจริง ๆ อาจจะหายฟุ้งซ่านได้

สรุปมันหาย ผมไม่ได้ฝันถึงเขาอีก ถึงกระนั้นผมยังพยายามมองหาเขาอยู่เสมอนั่นแหละ

ยอเคยถามว่าถ้าเจอแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มคบกับแฟนผู้หญิงแรก ๆ แน่นอนว่าผมตอบไม่ได้ เขาจึงเตือนสติผมว่า

“มึงจะจมอยู่กับคนที่ไม่มีตัวตนแบบนั้นไปตลอดทั้งชีวิตและละเลยคนที่มีตัวตน คนที่ทำให้มึงมีความสุขได้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”

ที่เพื่อนผมพูดมันตรงกับความคิดส่วนหนึ่งของผม

บางครั้งคนในฝันอาจเป็นเพียงจินตนาการที่ผมสร้างขึ้นมาจากการดูหนัง ดูละครหรือการ์ตูนสักเรื่อง ผมจึงหันมาให้ความสนใจกับแฟนที่กำลังคบหา และผมก็ตกหลุมรักเธอได้จริง ๆ เราคบกันมาเรื่อย ๆ จนเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นเราก็เริ่มห่างกัน

การเลือกเรียนคนละคณะทำให้พวกเราไม่ได้เจอกันเหมือนเดิม กิจกรรมรับน้องทำให้เราไม่ค่อยได้คุยกัน ไม่ค่อยได้ไปกินข้าวด้วยกัน ถึงเวลาอ่านหนังสือสอบต้องแยกกันไป และยอมรับเลยว่าถ้ามีเวลาว่างผมมักจะเลือกเล่นเกมก่อน แต่ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันจะมีปัญหา เพราะตลอดระยะเวลาที่พวกเราคบกัน ผมเป็นแบบนี้ ว่างคือนั่งเล่นเกมและเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร รวมถึงการเล่นเกมของผมไม่ได้กระทบกับการเรียนหรือกิจกรรมอื่นที่ต้องทำ ผมจึงคิดว่าถึงห่างกันไป ไม่ค่อยได้คุยกันแต่อีกเดี๋ยวเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม และผมเองไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากเธอ

ทว่านับวันมันยิ่งไม่ใช่ ปิดเทอมผมชวนเธอออกมาเดินเที่ยว แต่เธอชอบบอกว่าไม่ว่างซึ่งเธอบอกอย่างนั้นผมย่อมเชื่ออย่างนั้น จากนั้นถ้าได้ออกมาเจอกันเธอจะชอบบอกให้ผมขอรถพ่อแม่มาขับ ผมจึงต้องไปทำใบขับขี่แต่ก็นั่นแหละ รถของพ่อแม่ พวกท่านย่อมต้องใช้ เธอจึงบอกว่าให้ซื้อรถใหม่

ตอนที่ได้ยินแฟนพูดอย่างนั้นผมนึกขำอยู่ในใจเพราะรถยนต์ไม่ใช่แค่สองสามพันที่จะนึกอยากซื้อก็ซื้อ เมื่อเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ยอฟัง เพื่อนผมกลับใจป้ำเสนอให้ผมหยิบยืมรถไปใช้ซะอย่างนั้น แต่ผมปฏิเสธเนื่องจากมันไม่สมควรอยู่แล้ว

ระยะหลัง ๆ ผมกับแฟนเลยมีเรื่องทะเลาะกันตลอด ขนาดซื้อน้ำเปล่ายังทะเลาะกันได้เลย จนผมมาฉุกคิดว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้แล้ว จึงพยายามไปหา พยายามไปเอาใจซึ่งช่วงนั้นทำให้รู้สึกได้ว่าเหมือนเธอมีคนอื่น เนื่องจากระหว่างที่เธออยู่กับผม เธอชอบคุยไลน์แต่ไม่เปิดเสียงเตือน

อ้อ... ระหว่างนั้นรุ่นน้องที่หิ้วข้าวหลามมาฝากได้กลายมาเป็นน้องเทคของผม และเหมือนว่าจะสนิทกับยอมาก ถึงขั้นที่เพื่อนของผมอาสาจะขับรถพาไปซื้อของทำพานไหว้ครู แต่เผอิญว่าเขาเกิดมีธุระด่วนขึ้นมา เช้านั้นจึงโทรหาผมขอให้ไปขับรถ

ส่วนน้องเทคผมที่ชื่อวุ้น พอเห็นหน้าผมปุ๊บก็หน้าหงิกปั๊บ ตอนแรกแค่ตงิด ๆ ว่าสองคนนี้สนิทกันเนอะครั้นได้เห็นสีหน้าแบบนั้นจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หรือผมจะตกข่าว? แต่ก็ยินดีกับเพื่อนด้วย

ทีนี้เมื่อผมเริ่มแน่ใจเรื่องที่แฟนน่าจะมีคนอื่น ผมจึงกลับไปหาเพื่อนสนิท ยิ่งเห็นกอดรัดกับน้องเทคตัวเองยิ่งแสลงใจถึงทั้งคู่จะปากแข็งว่าไม่ได้คบกันก็เถอะ ตอนนั้นคิดประมาณว่าเห็นคนอื่นมีความสุขแล้วเศร้าใจ... อะไรทำนองนั้น

แต่น้องเขาเป็นคนดีมาก ชวนผมไปดื่มระบายเครียดด้วย (ซึ่งบางทีมันไม่ได้ช่วยอะไร) แต่หลังจากที่น้องเทคและเพื่อนสนิทเถียงกันไปเถียงกันมาอยู่สักพัก จึงได้ข้อสรุปว่าคืนนั้นจะไปดื่มสุราระบายทุกข์กันที่บ้านเพื่อนของผม และนอนค้างที่นั่นเลย

แต่หลังจากไปถึงกว่าจะได้เข้าเรื่อง ต้องรอให้แอลกอฮอล์เข้าเส้นอยู่พักใหญ่ ยอยังเป็นที่ปรึกษาที่ดีเหมือนเคย ซักผมจนละเอียดก่อนถามผมว่าจะเลือกทางไหน หลังจากที่บอกข้อสงสัยของตัวเองออกไป

ผมไม่มีคำตอบให้เพราะกลัวจะรู้ว่าเธอมีคนอื่นจริง ๆ เหมือนกัน และถ้าเป็นอย่างนั้น ผมกับแฟนอาจต้องเลิกกัน หรือถ้าไม่เลิก ตัวผมเองอาจจะไม่สามารถรักเธอได้เหมือนเดิม อีกใจหนึ่งก็เสียดายวันเวลายาวนานที่คบกันมา ทว่าน้องเทคของผมกลับบอกว่าเรื่องราวอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

นั่นสิ... เธออาจแค่คุยกับเพื่อนธรรมดา ถ้าผมพยายามกลับไปเอาใจเธอให้มากหน่อยเราคงกลับมาเป็นเหมือนเดิม

แต่สังหรณ์ของผมดีมากไปหน่อยเพราะทันทีที่เริ่มต้น ผมกลับได้พบเจอความจริงทันควัน

เช้านั้นมีผม ยอและน้องเทคไปดักรอแฟนผม เริ่มปฏิบัติการง้อตามที่สองคนนั้นตั้งชื่อ คิดไปคิดมารู้สึกว่าเพื่อนสนิทและน้องเทคจะสนุกสนานกันมากเหลือเกิน แต่ความละเหี่ยใจคงอยู่ได้ไม่นาน มันจางหายไปเมื่อผมเห็นว่ามีรถยนต์คันหรูขับมาส่งแฟนสาวถึงหน้าคณะ

ผมเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาในทันใด

เพราะผมจน ไม่มีรถ ไม่มีปัญญาซื้อกระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางให้เธอ ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งพาไปเที่ยว

ที่จริงตอนนั้นผมตัดใจแล้วนะแต่โดนเพื่อนลากไป เลยถามเพื่อความกระจ่างว่าผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร

“พร้อมสนใจด้วยเหรอ”

ถามกลับมาอย่างนี้ที่ตั้งใจจะเลิกราเลยไม่ได้พูดซะทีแล้วยังทำให้ของขึ้นอีก

“ทำไมไซน์พูดงี้ พร้อมไม่สนใจไซน์ตอนไหน”

ทุกตอน!!! พร้อมไม่รู้ตัวเหรอไง” เธอตะคอกตอบกลับมา “ปล่อย!!!” ส่วนมือที่คว้าจับไว้เพราะจะได้คุยให้รู้เรื่อง ...ไม่เข้าใจผู้หญิง ทะเลาะกันทำไมต้องเดินหนีแล้วเมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่องวะ

“มึงใจเย็น ๆ ดิ ดีไซน์แขนติ๊ดเดียว มึงจับแรงเดี๋ยวแขนเขาก็หักหรอก” เพื่อนสนิทของผมพูด ซึ่งบอกไว้เลยว่าผมไม่ได้จับแรงสักนิด แต่คนนอกคงไม่มีใครมารับรู้ด้วยใช่ไหม ผมจึงยอมปล่อยแล้วเธอก็เดินไปเลย

นี่ไงไอ้ที่ควรจบเลยไม่จบสักที

“พูดขอโทษสิครับ” น้องเทคผมกระซิบบอก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับไปว่าต้องขอโทษอะไรด้วยเหรอวะ ทว่ากลับโดนย้ำให้พูดขอโทษอีก

ผมเลยยอมทำตาม ซ้ำร้ายยังให้ผมตะโกนดัง ๆ อีก ยังไม่พอน้องมันยังทำหน้าสนุกกับการคิดหาวิธีง้อแฟนมากด้วย ผมจึงไม่รู้ว่าจะขัดศรัทธาอย่างไรดี

ถึงกระนั้น ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแฟนมันต่อไม่ติดแล้ว พอได้โอกาสอยู่ด้วยกันสองคนผมเลยถามว่าตกลงจะอย่างไรกันแน่

“ก็ห่างกันสักพัก เผื่อพวกเราจะได้คิดอะไรได้มากขึ้น”

คราวนี้ผมไม่ปรึกษาเพื่อนและน้องเทคแล้วครับ แต่ไปตั้งกระทู้ถามในพันทิปแทน ซึ่งคำตอบของกูรูแต่ละท่านนั้นเป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ ผมพยายามทำใจนะแต่คบกันมาตั้งนานให้ตัดใจภายในวันสองวันมันคงเป็นไปไม่ได้

แต่... เพื่อนสนิทของผมค่อนข้างเป็นห่วงเป็นใยชีวิตผมมาก เห็นผมห่างกับแฟนกลับจัดการโทรไปนัดกินข้าวด้วยกัน ก่อนพาผมไปชวนน้องเทค หลังทานอาหารผมตั้งใจจะไปส่งอดีตแฟนเพราะคิดว่ามันเย็นแล้ว แต่เธอกลับตอบมาว่า

“ไม่ต้องหรอก ลำบากพร้อมเปล่า ๆ เดี๋ยวเพื่อนเรามารับ”

“เพื่อนที่ว่าคือไอ้นินใช่ไหม” แม่งเอ๊ย! ยังกล้าใช้คำว่าเพื่อนอีกเหรอวะ โคตรน่าหงุดหงิด!

“ไม่ใช่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเหรอ”

บอกให้ห่างกันสักพักนี่เขาเรียกว่าคุยรู้เรื่องแล้วเหรอ? ผมทั้งเบื่อทั้งเซ็งทั้งโมโห หรือผมต้องเป็นคนบอกเลิกเอง ไม่... ไม่ดี ถึงขนาดกล้าคุยกับคนอื่นแบบนี้ ผมบอกเลิกเองก็เข้าทางเธอพอดี

“พร้อมขอโทษ ไซน์จะยกโทษให้พร้อมไม่ได้เลยเหรอ” ผมลองพูดออกไปตามที่น้องเทคของผมสั่งสอนไว้ น้องมันเคยบอกว่าเป็นผู้ชายผิดถูกไม่ต้องไปสนใจ ออกปากขอโทษไว้ก่อนเดี๋ยวดีเอง ถ้าไม่ยกตัวอย่างอ้างอิงว่าเห็นมาจากพ่อกับแม่ของเขาล่ะก็ ผมไม่มีทางเชื่อน้องเทคเด็ดขาด

และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรู้ทันทีว่าใครโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เธอบอก คิดอยู่ในใจว่าถูกจังหวะเหลือเกิน เมื่อเธอกลับไปแล้วผมจึงคิดว่า เออ... อย่างนั้นปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็ได้วะ เพราะถึงอย่างไรเธอคงต้องไปควงกับหมอนั่นอย่างออกหน้าออกตา

แต่เพื่อนสนิทที่แสนดีของผม ยังอุตส่าห์พามานั่งเล่นกินลมชมวิวเพื่อปล่อยอารมณ์

เมื่อน้องเทคของผมพูดทักเรื่องพ่อแม่ขึ้นมาทำให้ผมนึกได้

กับแฟนคนนี้พ่อแม่รู้จัก ผมคบกับเธอมาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมและเคยถามพ่อแม่ว่า ถ้าจะแต่งงานต้องใช้เงินเท่าไหร่ มันอาจเป็นความคิดที่จริงจังเกินไป แต่ถ้านับเวลากระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเท่ากับพวกเราจะคบหากันหกปี จากนั้นลองใช้ชีวิตการทำงานอีกสักสามสี่ปี และแต่งงานตอนอายุยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ด ผมว่ามันกำลังพอดีเลย ผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้เยอะหน่อย ตอนจัดงานแต่งจะได้ไม่ขัดสน ผู้หญิงส่วนใหญ่วาดหวังเรื่องงานแต่งอยู่แล้ว ผมอยากทำให้เธอมีความสุขก็เท่านั้น

ไหนตอนแรก ๆ ที่เริ่มคบกันเวลาที่บอกรักยังชอบให้ผมสัญญาว่าจะไม่มองผู้หญิงคนอื่นอีก เมื่อลองย้อนคิดดูมันเป็นอะไรที่น่าเจ็บใจมาก แถมยังกั๊กไว้ไม่ยอมบอกเลิกให้ชัดเจน

“ไหนมึงบอก แค่ขอให้ห่าง ๆ กันสักพัก” ยอถาม

“ห่างกันสักพักก็เหมือนกับขอเลิกแหละมึง กูไปตั้งกระทู้ถามมาแล้ว กรณีของกูนี่เขาบอกว่าเจอคนใหม่อยากจบแบบสวยหรู หรือไม่ก็... ถ้าคลิกกับอีกฝ่ายก็ไปอย่างถาวร”

“มึงก็ใจเย็น ๆ รอดูไปก่อน มึงกับไซน์คบกันมาตั้งนาน”

“กูไม่สนแหละ แม่งอยากไปก็ไป กูจะได้ไปคั่วกับคนอื่นบ้าง”

“เดี๋ยวได้ติดโรคก่อนได้แต่งงานหรอกมึง”

“ถุงยางก็มี แค่ป้องกันก็จบแล้ว คราวนี้กูจะเอาให้หมดเลย ใครท้องนั่นแหละแม่ของลูกกู”

บอกได้เลยว่าตอนที่พูดน่ะ อารมณ์ประชด ผมไม่คิดทำแบบนั้นจริง ๆ หรอก

หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตโสด ๆ ของผมไปเรื่อย ยังไม่ค่อยมีใครเข้ามาคุยกับผมเท่าไหร่ ผมเองยังเบื่อ ๆ กับผู้หญิงอยู่ จนกระทั่งน้องเทคมาสารภาพรัก

ผมตกใจประมาณหนึ่ง เพราะเข้าใจว่าน้องเทคกับยอน่าจะปิ๊งปั๊งกัน

“เล่นอะไรเนี่ย”

“เล่น?”

“นัดกับไอ้ยอไว้ว่าจะแกล้งอะไรพี่หรือเปล่า”

“ฮะฮะฮะ อะไรเนี่ยรู้ตัวเร็วจัง” เมื่อน้องเขาตอบกลับมาแบบนั้นจึงโล่งใจ ผมไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนและถึงอยากจะลองคบใครสักคน ก็คงได้แต่คบแบบธรรมดาไม่มีทางได้ทำอะไรลึกซึ้งเพราะฉะนั้นอย่าคบให้เสียเวลาดีกว่า

ความสัมพันธ์ทางกายอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญของชีวิตคู่ แต่ถ้าไม่มีเลยมันจะแปลก ๆ นะสิ

น้องเขาขอแยกไปเซเว่น ส่วนผมเดินกลับไปหาเพื่อน ตอนนั้นจึงพูดกับยอว่า “เล่นแบบนี้กูไม่ขำนะ”

“เล่นอะไร”

“ก็ให้วุ้นมาสารภาพรักอ่าดิ”

“ตลกแล้วมึง ใครจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น” สีหน้าคนตอบจริงจังไม่มีวี่แววว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องขำขัน

“อ้าว!”

“แล้วมึงตอบมันว่ายังไง”

“กูยังไม่ได้ตอบ กูแค่ถามว่านัดกับมึงมาแกล้งอะไรหรือเปล่า แล้วน้องเขาก็บอกว่านัดกับมึงมา ตกลงมันยังไงวะ”

“เออ... งั้นมึงไม่ต้องเก็บมาคิดมากหรอก มันอาจจะแค่ป๊อดเลยเปลี่ยนใจมั้ง”

“หมายความว่ายังไงวะ”

“ก็น้องมันชอบมึง”

ผมไม่ได้ตกใจกับคำตอบเพราะพอดูออกตั้งแต่ที่มาขอไลน์ แต่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย ผมเห็นว่าเขาสนิทกับเพื่อนผม จึงคิดว่าอาจจะเปลี่ยนใจไปแล้ว

“แล้วมึงกับน้องมันล่ะ” ผมถามบ้าง

“ไม่มีอะไร กูสนิทกับมันตั้งแต่ตอนเป็นพี่เนียน มันไม่คิดมากที่โดนกูด่า แกล้งแรง ๆ ก็ไม่บ่น กูเลยนับมันเป็นคนสนิท”

“ไอ้โรคจิตเอ๊ย!”

“กูไม่ได้โรคจิต” เพื่อนผมเถียงทันควัน “กูแค่สถุล หยาบคาย ปากหมาและสามานย์”

ได้ฟังคำสรรเสริญตัวเองแบบภาคภูมินั้นแล้วผมเลยหมดคำพูด

ผมคิดว่ามันคงไม่มีอะไรจนกระทั่งเพื่อนของน้องเทคมาบอกว่าเขาไม่มาเรียน โทรไปไม่รับ ทีแรกเธอมาถามว่ารู้จักหอของวุ้นหรือเปล่า อยู่ที่ไหน ผมถึงบอกว่าเดี๋ยวจะไปดูให้เอง ตอนนั้นผมเริ่มใจเสียแล้วเหมือนกันแต่ไม่ได้ออกอาการอะไรมาก

ผมรีบกลับไปที่หอ ตรงไปดูที่ห้องของน้องเทคก่อนเป็นลำดับแรก ยอเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ส่วนผมลองโทรเข้า เอาหูแนบประตูกลับได้ยินเสียงริงโทนดังมาจากข้างใน ตอนนั้นยิ่งใจไม่ดีหนักแต่พยายามคิดในทางที่ดีเอาไว้  ยอมันว่าจะพังประตูเข้าไป แต่ผมเอ่ยห้ามเพราะเดี๋ยวถ้าเกิดน้องเขาแค่ลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมลงไปขอกุญแจสำรองจากเจ้าหน้าที่ข้างล่าง พี่เขาก็เดินตามมาไขประตูให้

เปิดประตูเข้าไปเห็นน้องเทคนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใจของผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที เดินตรงเข้าไปอังจมูกก่อนเลย พบว่ายังหายใจก็โล่งอกไปเปลาะ คลำเนื้อคลำตัวปรากฏว่าอุณหภูมิยังปกติ ผมจึงหันไปขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่หอพักพลางบอกว่าน่าจะไม่มีอะไรแล้ว

“มันหลับเหรอวะ” เพื่อนผมถาม

“ต้องลองปลุกดูก่อน”

ผมเรียกชื่อน้องเขาและตบหน้าเบา ๆ สักพักอีกฝ่ายก็ตื่น

“ง่วงอะ ขอนอนต่อนะ” เขายังงัวเงียแต่กลับยื่นปากมาจูบผมซะอย่างนั้น มิหนำซ้ำยังซุกตัวเข้าหาผมคล้ายคุ้นชิน

“เอ่อ...” ยังไงดีล่ะ แต่รู้อย่างหนึ่งว่าหัวใจของผมเต้นแรงโครมครามขึ้นมาทันควัน

“ดูท่าพวกเราจะกังวลไร้สาระแล้วละมั้ง” ยอพูดซึ่งขัดจังหวะอารมณ์ผมมาก แถมยังพูดเหมือนน้องเทคผมแกล้งทำอีก มาว่าน้องผมได้อย่างไร

“เงียบไปเหอะน่า”

โดนกอดแบบนี้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลย แต่ไม่สิ... ต้องปลุกน้องเขาขึ้นมาก่อน

“วุ้นลืมตาก่อน”

เขายอมลืมตาเงยหน้ามองผมอย่างที่บอก “เมื่อกี้พี่จิ่นลี่เรียกผมว่าอะไรนะ”

“พี่จิ่นลี่?” เอ๊ะ!

“ละเมออะไรอยู่ฮะ! ไอ้น้องวุ้น” ยอพูดแทรกขึ้นมาอีกหน เจ้าของชื่อจึงหันมองและเปล่งเสียงดังออกมา

“พี่ยอ!!!”

“เออ! กูเอง ทำหน้าเหมือนไม่เคยเห็นกู”

น้องเขาหันมามองหน้าผมอีกหนและเด้งตัวผละออกห่างทันใด แต่ท่าทางเขาโอนเอนเหมือนจะเป็นลมผมจึงขยับตามไปช่วยประคอง

“นอนลงก่อน” และหันไปพูดกับเพื่อนสนิทว่า “ไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าน้องหน่อยดิ”

ยอบ่นที่โดนใช้งานแต่ผมไม่ได้สนใจหันไปส่งคำถามให้น้องเทคด้วยความเป็นห่วง

สรุปแล้วคือเขาดูซีรี่ย์จนเช้าจึงนอนเพลิน ยอมันถามซ้ำแบบไม่เชื่อถือ ผมเองรู้สึกว่าคำแก้ตัวของเขาเชื่อไม่ค่อยได้เหมือนกันแต่ไม่อยากซักไซ้ให้มากความ จากนั้นจึงชวนน้องเทคไปกินข้าวเพราะอีกฝ่ายนอนทั้งวันจนไม่ได้กินอะไร ระหว่างกินข้าวผมจึงถามเรื่องเรียนเรื่องอ่านหนังสือเตรียมสอบ เพราะกลัวว่าเขามาอยู่หอคนเดียวจะมัวแต่เล่นจนไม่ได้อ่านหนังสือ ปีหนึ่งมีแต่วิชาที่เก็บเกรดได้ง่าย ผมอยากให้เขาทำคะแนนดี ๆ ไว้ ขึ้นปีสูง ๆ จะได้ไม่ลำบาก คุยกันไปคุยกันมาจึงกลายเป็นว่าน้องเขายอมให้ผมไปติวให้ และเขาทำเหมือนว่าเหตุการณ์สารภาพรักไม่เคยเกิดขึ้นพานให้ผมรู้สึกเสียใจนิดหน่อย

คืนนั้นยอมานอนที่หอกับผมด้วย ผมจึงปรึกษาเขาว่า “วันนี้น้องวุ้นเขาจูบกูใช่ปะ”

“มึงนับด้วยเหรอ แค่เอาปากแตะกัน” มันยังไม่เงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ ส่วนผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ

“กูนับ”

“เออ... แล้วไง”

“กูไม่ขยะแขยงเลยเว้ย”

ต้องนั่งรอมันอีกพักหนึ่ง อีกฝ่ายถึงจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “มึงอยากลองกับคนอื่นไหมล่ะ เดี๋ยวกูถามคนรู้จักให้”

“น้องเขาก็ชอบกู ถ้าอย่างนั้นกูจีบเขาดีปะ”

“มึงตั้งใจจะจีบอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ไม่อย่างนั้นจะเสนอตัวไปติวให้ทำไม” เพื่อนสนิทพูดดักทาง

ผมหัวเราะ ก่อนถามย้ำไปว่า “มึงไม่ได้ชอบน้องเขาแน่นะเว้ย”

“ต่อไปกูคงทำตัวสนิทกับใครไม่ได้แล้วดิเนี่ย ไม่อย่างนั้นเพื่อนกูคงหาว่าชอบเขาอีก” ยอเงียบไปพักและพูดขึ้นมา “ถ้ากูเกิดบอกว่าชอบมึงจะถอยให้หรือไง”

“ไม่!”

“กวนตีน!” เขาด่าทิ้งท้าย

วิธีการจีบของผมไม่ค่อยเหมือนจีบเท่าไหร่ แค่ทำให้น้องเขาใจเต้นเรื่อย ๆ เพราะรู้อยู่ว่าเขาก็ชอบผมเหมือนกัน แม้ท่าทางของเขาในบางครั้งเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไร ผมไม่ได้หยอดเพื่อให้เขามาสารภาพรักกับผมอีกหน แต่หยอดเพื่อให้ชัวร์ตอนที่ผมขอคบเป็นแฟน เขาจะไม่ปฏิเสธ

ทว่าตอนไปรับน้องคณะเขากลับพูดถึงเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา พานให้ผมกังวลกลัวเขาจะเปลี่ยนใจกลับไปชอบผู้หญิง ในความคิดของผมถ้ายังไม่มาสายนี้เต็มตัว ผมว่าความชอบมันเปลี่ยนกันได้ อารมณ์ในตอนนั้นผมจึงอยากกดน้องเขาใจจะขาด กระนั้นเพราะอะไร ๆ มันก็ไม่สะดวก ผมจึงได้แต่ระงับใจตัวเองไว้และลองนั่งหาเพลงจัดเพลย์ลิสต์ไปเขย่าหัวใจอีกฝ่ายวันนั่งรถกลับ

แต่ก็นั่นแหละ น้องเขากลับตีหน้าเฉย ๆ ได้เนียนนัก

จะมีเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดีหน่อยก็ตรงที่ได้ไปเจอพ่อแม่ของวุ้นนี่แหละ

ตอนไปส่ง อยากหาเรื่องเข้าห้องไปรวบหัวรวบหางอยู่เหมือนกัน แต่รุ่งอีกวันยังต้องไปเรียนและผมเองก็เพิ่งรับปากกับแม่ของวุ้นว่าจะคอยดูแลไม่ให้เกเรอยู่หยก ๆ จึงจำต้องถอยอย่างช่วยไม่ได้

หลังกลับจากรับน้องสองสามวัน เขาส่งข้อความมาชวนผมไปข้าวกลางวัน ผมนี่ตีปีกแล้วและโดนข้อว่าอยากกินข้าวกับพี่เทคตบร่วงทันทีเหมือนกัน

“กูว่ามันคงไปกินกับเพื่อนปกตินะแหละ” ยอพูดเมื่อชะโงกหน้ามาดูข้อความ

ผมได้แต่ส่งเสียงชิชะที่เพื่อนสนิทรู้ใจน้องเทคของผมเหลือเกิน

“แล้วมึงว่าตอนนี้น้องมันคิดอะไรอยู่วะ”

“ไม่รู้ดิ ไม่มีกิจกรรมแล้วเลยไม่ค่อยได้คุย มึงล่ะไปนั่งจีบมันตั้งนาน คุยอะไรบ้าง”

“ทั่ว ๆ ไปว่ะ กูยังกังวลว่าวุ้นจะเปลี่ยนใจไปชอบน้องจันทร์อยู่เนี่ย”

“หือ? ไม่ใช่หรอกมั้ง ตอนวันทำพานมันยังหึงมึงกับน้องจันทร์อยู่เลย”

“ฮะ!” ผมร้องอุทานก่อนส่งเสียงหัวเราะ “ขี้หึงนะเนี่ย น่ารักว่ะ”

“กูอยากอ้วก” ยอทำหน้าเหม็นเบื่อ “ขนาดยังไม่ทันได้คบกันนะ เออ... แล้วอย่าพามาทำที่ห้องนะเว้ย กูรับไม่ได้”

“เออ ๆ” ผมรับคำ

ผมแชร์ห้องอยู่กับยอแต่เพื่อนสนิทคนนี้จะมานอนบ้าง กลับบ้านบ้างแล้วแต่อารมณ์มัน ส่วนผมจะอยู่หอตลอดและกลับบ้านแค่ช่วงวันหยุด

ผมกับเพื่อนไปยืนดักรอน้องเทคที่ระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร เห็นเขาและกลุ่มเพื่อนมาแต่ไกล ยอจึงพูดออกมาลอย ๆ

“กูว่าแล้ว”

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงจุดที่ผมสองคนยืนอยู่ กลุ่มรุ่นน้องต่างยกมือไหว้และมีคนส่งเสียงถามว่าพวกผมจะไปไหน

“จะไปกินข้าวเหมือนกัน แต่ต้องมายืนรอเด็กที่นัดไว้ก่อน”

รุ่นน้องปีหนึ่งต่างส่งเสียงโห่แซว ทว่าคนที่ผมพูดถึงกลับเบือนสายตาหนี

ชอบชะมัดที่อีกฝ่ายทำท่าทางแบบนี้

“แหม! ถ้าไม่ติดว่าหิวข้าวล่ะก็ จะยืนรอดูหน้าเด็กของพี่พร้อมนะเนี่ย” น้องจันทร์พูดก่อนที่น้องเทคของผมจะขยับเข้าไปกระซิบพูดอะไรกันก็ไม่รู้ ส่วนเพื่อนคนอื่นของเขาก็ชวนให้เดินกันต่อ ผมจึงขยับไปแอบฟังด้วย

“อ้าว! จันทร์เคยบอกว่าอยากให้วุ้นเป็นพ่อสื่อ”

พ่อสื่ออะไร? อยากรู้ด้วยน่ะเลยออกปากถามออกไป “ซุบซิบอะไรเนี่ย”

“ไม่มีอะไร... ไปกินข้าวกันเหอะ” เขาพูดไม่ได้เอ่ยชื่อใครเป็นพิเศษแต่ผมรู้ว่าหมายถึงผม และรุ่นน้องสาวก็พูดชวนสำทับโดยออกชื่อผมมาตรง ๆ ผมจึงตงิด ๆ ว่าที่กระซิบกระซาบกันมันต้องเกี่ยวกับผมแน่ ๆ กะว่าจะเฉยไว้ก่อนรอดูเหตุการณ์ กระนั้นสุดท้ายแล้วกลับพูดหยอกน้องเขาไปนิดหน่อย

“อะแฮ่ม ๆ แค่ก ๆ” เสียงกระแอมกระไอเรียกร้องความสนใจดังขึ้น และเพื่อนสนิทผมก็ช่างรู้จักรับมุก

“เป็นอะไรหรือน้องจันทร์”

“เหมือนมีอะไรติดคอจันทร์เลยค่ะพี่พร้อม” ผมแปลกใจที่รุ่นน้องเจาะจงเอ่ยชื่อผมทั้งที่คนถามคือยอ

“แก้วน้ำน้องจันทร์อยู่ตรงนั้นไม่หยิบขึ้นมาดื่มล่ะครับ” ผมตอบพร้อมชี้มือไปที่แก้วน้ำของเธอ

“อะไรกัน? จันทร์รู้สึกติดคอ พี่พร้อมไม่ห่วงจันทร์บ้างเหรอ” ผมเคยคุยกับน้องจันทร์ และเท่าที่จำได้สำเนียงการพูดแบบปกติของเธอจะไม่ใช่อย่างนี้แฮะ อย่างไรก็ตามคนที่นั่งอยู่ข้างผมกลับลุกขึ้นยืนทำให้คนในโต๊ะต่างหันมองเขาเป็นตาเดียว

“วุ้นจะไปซื้อขนม” น้องเทคผมตอบก่อนรีบถือจานเดินลิ่ว ๆ ไปเลย

“อะไรหรือเปล่าเนี่ย” ยอพูดถาม

ผมหันกลับไปทันเห็นน้องจันทร์ย่นจมูกและอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ซ้ำร้ายไม่ยอมเฉลยอะไรอีกต่างหาก

วุ้นเดินกลับมาพร้อมถ้วยขนมและท่าทางทุกอย่างก็เป็นปกติเหมือนเดิม ผมจึงทำเฉย ๆ บ้างจนกระทั่งแยกย้าย พอเข้าคลาสช่วงบ่ายผมเลยพูดทวงเรื่องพนันที่ยอเคยหลุดปากไว้

“ยังจำได้หรือเปล่า ว่าถ้าวุ้นเล่นตะกร้อได้จริง ๆ มึงจะเลี้ยง”

“จำได้ มึงจะให้กูเลี้ยงจริง ๆ เหรอ มันไม่เกี่ยวกับมึงเลยนะ แล้วมึงก็ไม่ได้พนันกับกูด้วย” ยอเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนพูดตอบ พวกผมยังทำท่ามองเนื้อหาบนจอที่อาจารย์กำลังอธิบาย

“เออ... มึงต้องเลี้ยง กูจะไลน์ไปชวนน้อง” พูดไปพลางกดโทรศัพท์ไปพลาง “กูจะหาโอกาสรวบหัวรวบหาง”

ยอสบถ “อย่างนั้นไม่ต้องอ้างเรื่องที่กูแพ้พนันกับตัวเองก็ได้นะ”

“แล้วจะให้กูเดินไปหาที่ห้อง แล้วบอกว่า ‘พี่จะปล้ำน้องนะ’ อย่างนั้นเหรอ”

ยอสบถอีกรอบ “หลัง ๆ นี่มึงมีแต่เรื่องใต้สะดือเนอะ”

“อ้าว! จะได้รู้ไปเลยว่ากูกับน้องเขาจะเข้ากันได้หรือเปล่า”

“อันนี้กูรู้ พวกมึงเข้ากันไม่ได้หรอก เพราะมึงไม่เคยกันทั้งคู่”

คราวนี้เป็นผมบ้างที่ด่ามันกลับไป จากนั้นจำต้องเงียบเสียงเพราะอาจารย์เริ่มเพ่งเล็ง

จนหมดชั่วโมงเรียน ผมจึงชวนยอให้ไปรอน้องเทค เขาบ่นอีกเล็กน้อยก่อนขอส่งข้อความไปชวนน้องเทคของตัวเองให้ไปกินเลี้ยงด้วยกัน


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
น้องเทคผมไม่ได้มาคนเดียวแต่พาน้องจันทร์มาด้วย สองคนนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ ๆ ผมได้แต่คิดระหว่างนั้นก็ชวนรุ่นน้องทั้งสองคนคุย จนไอริณ น้องเทคของยอตามมาสมทบ พวกเราถึงเดินทางไปที่ร้าน ผมเลือกเก้าอี้ฝั่งที่วางตั้งเรียงไว้สองตัวเพื่อดูปฏิกิริยาของรุ่นน้องด้วย น้องผู้หญิงกลับเลือกนั่งฝั่งเดียวกัน ยอก็เลือกนั่งหัวโต๊ะ เท่ากับว่าวุ้นต้องมานั่งข้างผมไปโดยปริยาย

เขาวางกระเป๋าและเดินไปตักของกินโดยไม่รอใครเหมือนเดิม พักเดียวก็กลับมาพร้อมจานเต็มสองมือและของสดพูนสูงเหมือนครั้งแรกที่ผมพาเขามาเลี้ยงรับน้อง

“พี่พร้อมไม่ลุกไปตักเหรอ”

“ก็นายตักมาเผื่อแล้วไม่ใช่หรือ” ผมตีหน้ามึนพลางยื่นมือออกไปรับ พอเขาได้ยินจึงทำหน้ามึนเสียแทนจนผมต้องดึงให้ทรุดตัวลงนั่ง

“นั่งสิจะยืนอยู่ทำไม”

ระหว่างที่นั่งทานผมยังแกล้งเขาด้วยการแย่งของที่เขาเฝ้าย่างอยู่ กระทั่งเพื่อนผมต้องร้องปราม

“ไปแย่งมัน เดี๋ยวมันก็กัดเอาหรอก”

“รออยู่เนี่ย เข้ามากัดเลยตรงนี้ ๆ” ผมบอกและเอียงคอชี้จุด สองสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงส่งเสียงวี้ดว้าย

ผมยังไม่รู้เรื่องลับลมคมในระหว่างน้องเทคกับเพื่อน ทว่าคงไม่ต้องกังวลมากแล้วละมั้ง ส่วนวุ้นชะงักและหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยแต่พักเดียวอาการต่าง ๆ ก็หายไปเมื่อไม่มีใครพูดแซวมากกว่านั้น

หลังทานกันเสร็จ ยอต้อนสองสาวขึ้นรถปล่อยให้ผมได้ดำเนินการตามที่ตั้งใจ แต่ผมกลับโดนลากให้เดินตาม เขาหยุดและหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางจริงจัง

“พี่พร้อมทำแบบนี้เพราะผมสารภาพรักกับพี่เหรอ”

ผมนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบ จะให้บอกว่าเพราะโดนจูบมันก็ยังไงอยู่นะ เขาคงไม่ประทับใจผมหรอก “ก็ส่วนหนึ่ง”

“แต่พี่ปฏิเสธผมไปแล้วนี่”

ว่าแล้วเชียว วุ้นจะต้องแปลความไปในทำนองนี้

“ปฏิเสธที่ไหน แค่ถามว่าจะแกล้งอะไรพี่หรือเปล่า”

เขาถามเหตุผล ผมจึงตอบไปตามที่คิด

“จันทร์ชอบพี่พร้อมนะ ถ้าจันทร์มาสารภาพรักกับพี่ พี่จะคบกับจันทร์ไหม”

“ทำไมพี่ต้องคบ พี่ไม่ได้ชอบจันทร์”

“แต่พี่พร้อมเคยพูดไว้ว่าใครท้องนั่นแหละคือแม่ของลูกพี่ ...ผมท้องให้พี่ไม่ได้นะ”

ผมหัวเราะ เออ... จำแม่นแฮะ “นั่นพี่แค่พูดประชด มันไม่สำคัญหรอก” และวางมือบนศีรษะของเขา “พี่เข้าใจว่านายอาจยังลังเลคลางแคลง แต่ยังไม่ต้องรีบคิดรีบตัดสินใจก็ได้ พี่รอได้”

สรุปคือคราวนี้ก็แห้วครับ แต่สภาวะอย่างนี้ฝืนเอาให้ได้มันก็ดูน่ารังเกียจเกินไป เนื่องจากความตั้งใจดั้งเดิมผมอยากรวบรัดเพื่อให้เขาไม่เปลี่ยนใจไปชอบผู้หญิงคนอื่นก็เท่านั้น

“แต่ผมไม่อยากให้พี่รอ ที่จริง...”

“ที่จริง?”

“คนที่ผมชอบหน้าตาคล้ายพี่พร้อม”

“คล้ายพี่? หมายถึงไม่ใช่พี่”

“ใช่ เอ้ย...ไม่ใช่ เขาเป็นคนอื่นที่หน้าตาเหมือนพี่พร้อม ตอนที่ผมเจอพี่ทีแรกเลยนึกว่าพี่เป็นเขา”

อ้าว! ซะงั้น ผมคิดว่าตัวเองคงจะอกหัก แต่คุยไปคุยมากลับยังงง  ๆ และเหมือนจะไม่ได้อกหักแน่นอน จึงตัดบทบอกเขาไม่ต้องคิดมากและพาไปส่ง

กลับไปถึงห้องผมโดนรูมเมทเป่าปากแซวเลยล่ะ แต่ผมไม่ได้พูดอธิบายอะไรมาก แค่หยิบผ้าขนหนูไปอาบน้ำและก่อนนอนได้ส่งข้อความไปบอกน้องเทคว่าพรุ่งนี้จะไปเคาะประตูห้อง

ทว่าเช้าวันถัดมาตอนที่ผมไปเคาะประตูเรียก เขากลับไม่ออกมาเปิด แถมโทรไปไม่รับสาย

ผมเอะใจจึงกดโทรออกอีกครั้งพลางเอาหูแนบประตูฟังเสียง และได้ยินเสียงริงโทนดังมาจากข้างในห้องจริง ๆ ตอนนั้นผมร้อนใจมาก รีบลงไปขอกุญแจจากเจ้าหน้าที่ข้างล่างอีกครั้ง พร้อมกับคิดอยู่ในใจว่าคงต้องขอสำรองกุญแจห้องของเขามาเก็บกับตัวจริง ๆ แล้ว

หลังเปิดประตูเข้าไป วุ้นยังนอนหลับนิ่งเหมือนครั้งก่อนไม่ผิด แต่คราวนี้ผมปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ในใจมันกังวลมันร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ตอนโทรเรียกรถพยาบาลก็ใช้มือจับชีพจรเขาไปด้วย ลางสังหรณ์มันบอกว่าการหลับของเขามันไม่ใช่เรื่องปกติ ผมหันรีหันขวาง ข้างในมันร้องบอกว่ารอไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงมองหาบัตรประจำตัว บัตรนักศึกษาของเขาและแบกเขาขึ้นบ่า พาลงลิฟต์ไปข้างล่าง กำลังจะพ้นประตูรั้วของหอพักรถพยาบาลก็มาจอดข้างหน้า

ผมตามขึ้นรถไปด้วยและโดนซักประวัติสาเหตุอาการของน้องเทค พยาบาลยังงงกับอาการที่ผมอธิบาย แต่ตอนนั้นเครื่องวัดการเต้นของหัวใจมันกลับส่งเสียงร้องออกมา พี่พยาบาลจึงต้องขยับตัวปั๊มหัวใจให้ ส่วนผมคราวนี้ยิ่งกว่าใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เหมือนโดนกระชากออกไปเสียมากกว่า ผมไม่กล้าขยับตัวเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวจะไปขวางการทำงานของพยาบาล ...จนกระทั่งถึงโรงพยาบาลสัญญาณชีพของวุ้นก็ยังไม่กลับมา

ผมคอยอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน คอยภาวนาให้น้องเทคปลอดภัย และรู้สึกว่าเวลาที่รอคอยมันยาวนานเหลือเกิน ระหว่างนั้นยอโทรมาหา ผมจึงบอกว่าอยู่โรงพยาบาลและเล่าเรื่องน้องเทคให้ฟัง จากนั้นผมจึงมีเพื่อนสนิทมานั่งคอยด้วยกัน

“มึงว่ามันเล่นยาหรือเปล่าวะ”

แต่ผมยังไม่ทันได้พูดตอบอะไร หมอได้ออกมาจากห้องและบอกว่าน้องเทคของผมปลอดภัยแล้ว เขาจะส่งวุ้นไปตรวจร่างกายและขอให้แอดมิดอยู่โรงพยาบาลหนึ่งคืน คุณหมอให้พวกผมไปจัดการเรื่องลงทะเบียนประวัติและห้องพัก

“ทำไมคิดอย่างนั้น” ผมถามกลับไปบ้าง ขณะเดินไปที่เคาน์เตอร์ และผมยื่นบัตรประชาชนกับบัตรนักศึกษาไปให้เจ้าหน้าที่ ยอจึงหยุดพูดรอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่บอกเรียบร้อยและเดินห่างออกมาแล้ว เขาถึงกล่าวตอบ

“มันน่าแปลกไม่ใช่เหรอวะที่หลับสนิทจนปลุกไม่ตื่น แถมครั้งนี้ยังหัวใจหยุดเต้นอีก”

“วุ้นอาจมีโรคประจำตัวอะไรสักอย่างก็ได้”

ถึงผมจะบอกเพื่อนไปแบบนั้นแต่ข้อสรุปของหมอกลับกลายเป็นว่า น้องเทคของผมสุขภาพปกติดี ไม่มีสารเสพติดในร่างกายด้วย จึงหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้กระนั้นหมอยังให้รอดูอาการหนึ่งคืนเหมือนเดิม

เมื่อเปิดประตูห้องพักผู้ป่วย ปรากฏว่าคนป่วยกำลังนั่งดูทีวีด้วยท่าทีเบิกบานเป็นปกติ

“คราวนี้เมื่อคืนมึงดูเรื่องอะไรล่ะ” หลังคำถามของยอ น้องเทคก็หันมายิ้มให้พลางส่งเสียงหัวเราะแหะแหะ

“ตอบพวกพี่มาไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อน พี่จะได้บอกแม่นายถูก”

“อย่านะพี่พร้อม!!!” เขาร้องบอกพร้อมยื่นมือมาคว้ามือผมข้างที่ถือโทรศัพท์ไว้

“ผมไม่ได้ดูอะไรเลย หลังจากพี่มาส่งก็อาบน้ำเข้านอนเลย”

“แต่ต้องบอกที่บ้านอยู่ดี”

เขายังสั่นศีรษะและพูดต่อว่า “ถ้าเล่าให้ฟังแล้วจะเชื่อไหมล่ะ”

“เล่ามาก่อนเลย” ยอถามเสียงแข็ง

เขาก้มหน้า รอยยิ้มจางลงก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองพวกผม เสียงพูดของเขาเบาค่อยอย่างไม่มั่นใจ “ผมแค่ถอดวิญญาณไปเที่ยวมา”

ผมไม่ได้ส่งเสียงอุทานหรือร้องถามแต่หันไปมองหน้าเพื่อนเพื่อยืนยันว่าได้ยินเหมือนกันหรือไม่

“เห็นม้า... มันฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อแต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว เพราะฉะนั้นร่างกายของผมปกติดีทุกอย่าง” เขายกยิ้ม และยังยกแขนทำท่าเบ่งกล้ามที่ไม่ค่อยจะมี ให้ดูเพื่อยืนยัน

“เอ็ง... มีความสามารถพิเศษทางนี้หรือ” เพื่อนสนิทผมสุภาพขึ้นมาอีกระดับทันที

“เรียกว่ามีความสามารถก็ไม่ค่อยถูกหรอก ต้องเรียกว่า... บังเอิญทำได้มากกว่า”

“แล้วจะบังเอิญทำได้อีกไหม” ผมถามบ้าง

“คิดว่าคงไม่แล้ว...” เขาทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูดต่อ แต่ก็ไม่ยอมพูด ถึงกระนั้นผมก็กดโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ของเขาอยู่ดี เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เล่น ๆ ถ้าเกิดน้องเขาปุบปับเป็นอะไรขึ้นมาและครั้งหน้าช่วยไม่ได้ คนที่เสียใจมากที่สุดก็เป็นพ่อแม่ของเขานั่นแหละ

“พี่พร้อมไหนว่าไม่โทร” เขาร้องถามเสียงหลง ผมได้ยินเสียงตอบจากปลายสายแล้วจึงขยับออกไปคุยนอกห้อง หูอีกข้างได้ยินยอพูดตอบกลับไปว่า “เพื่อนกูยังไม่ได้พูดเลยว่าถ้ามึงเล่าจะไม่โทรหาพ่อแม่มึง”

“ผมพร้อมนะครับ พี่เทควุ้น” หลังจากนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ขนาดบอกว่าวุ้นปลอดภัยดีทุกอย่างแล้ว คุณน้ายังพูดว่าจะมาหา เดี๋ยวบ่าย ๆ คงมาถึง ผมนำข้อความที่คุยทางโทรศัพท์มาบอกน้องเทค

“ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” น้องเทคของผมยังบ่นพึมพำ หน้ามุ่ยมู่ทู่อย่างไม่ชอบใจ

“คนอื่นเขาเป็นห่วง ไม่คิดบ้างเหรอ” ผมพูดดุ สีหน้าของเขายังดูคล้ายไม่ค่อยพอใจแต่ไม่ได้พูดโต้เถียงอะไร

พ่อแม่ของวุ้นมาถึงช่วงบ่าย ๆ อย่างที่บอกไว้ ผมกับเพื่อนสนิทจึงบอกขอกลับไปเรียน ปล่อยให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน และตอนเย็นพวกผมถึงกลับไปเยี่ยมคนป่วยอีกครั้ง ไม่รู้ว่าน้องเทคพูดกับพ่อแม่อย่างไร พวกท่านทั้งสองถึงไม่มีท่าทีกังวล ทั้งยังพูดว่าจะกลับบ้านเย็นนั้นเลย

“ที่จริงไปนอนค้างที่ห้องวุ้นก็ได้นะครับ ถึงอย่างไรคืนนี้น้องเขาก็ต้องนอนที่โรงพยาบาล” ผมลองเอ่ยเสนอ

“แม่เป็นห่วงน้องสาวเจ้าวุ้น เป็นเด็กผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวกลัวจะเป็นอันตราย”

“พี่พร้อมปล่อยให้พ่อแม่ผมกลับไปเหอะ ผมหายแล้วแข็งแรงมาก จะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลยก็ได้”

“ไม่ได้หรอก” คุณน้าหันไปห้ามลูกชายทันควัน “หมอบอกให้อยู่ดูอาการอีกคืนก็ต้องอยู่สิ”

“หนูไม่ได้คิดจะกลับจริง ๆ ซะหน่อย แค่เปรียบเปรยให้พี่เขาฟังเท่านั้น”

เมื่อครอบครัวเขาสรุปอย่างนั้น ผมกับเพื่อนจึงได้แต่ยกมือไหว้บอกลาผู้อาวุโสทั้งสอง ครั้นเหลือกันแค่สามคน ผมจึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า

“เดี๋ยวคืนนี้กูจะมานอนเฝ้าวุ้น”

“ไม่ต้องครับไม่ต้อง” น้องเทคพูดพลางโบกมือปฏิเสธ “ผมอยู่ได้ ทั้งหมอทั้งพยาบาลก็อยู่เพียบ”

“ใครถามความคิดเห็น” ผมหันไปถาม

เขาจึงโคลงศีรษะจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“มึงจะให้กูไปเอาเสื้อผ้ามาให้หรือไง” ยอถามผมบ้าง

“เดี๋ยวกูกลับไปเอาเองดีกว่า” แล้วหันไปถามคนบนเตียง “อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวพี่ซื้อมาฝาก”

“บะหมี่เกี๊ยวน้ำล่ะกันครับ” เขาตอบกลับมาอย่างว่าง่าย ผมพยักหน้ารับก่อนเดินออกจากห้องมาพร้อมเพื่อนสนิท เมื่อออกมาอยู่ที่โถงทางเดินแล้ว ยอถามชวนคุยว่า

“นึกว่ามึงจะอยู่เฝ้าแบบไม่ให้คลาดสายตาเลยซะอีก”

“ก็พ่อแม่เขายังไม่กังวลขนาดนั้นเลย กูจะทำตัวเว่อร์เดี๋ยวน้องมันรำคาญไปเสียก่อน”

“แล้วมึงเชื่อเรื่องถอดวิญญาณอะไรนั่นหรือเปล่าวะ”

“ไม่รู้ดิ แต่พวกมองเห็นผี มองเห็นสิ่งเร้นลับยังมีเลย”

“จะบอกว่าเชื่อ”

ผมตอบไม่ถูกจริง ๆ

คืนนั้นตอนกลับมานอนเฝ้าน้องเทคจึงลองถามเรื่องนี้ “ที่บอกว่าถอดวิญญาณไปเที่ยว ไปที่ไหนมาเหรอ”

“จีนยุคโบราณ” เขาตอบแล้วส่งเสียงหัวเราะแบบเขินอาย “แต่บางทีผมก็คิดว่าหรือจะดูหนังมากเกินไป”

คำตอบของเขาทำให้ผมเอะใจแต่เขาพูดถึงเรื่องหนัง ผมกลับเริ่มเห็นพ้องด้วย “ติดหนังจีนขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ประมาณนึง ผมอ่านนิยายแปลพวกกำลังภายในด้วย แต่ตามอ่านอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น”

ผมพยักหน้ารับก่อนวกกลับสู่เรื่องที่บอกให้เขาเก็บไปคิด “แล้วเรื่องเมื่อวานว่ายังไง พี่ใช่คนที่นายชอบหรือเปล่า”

“ขอโทษด้วยครับ เมื่อวานพอหัวถึงหมอนผมก็หลับไปเลย”

“อย่างนั้นลองคบกันดูไหม ไม่แน่นายอาจชอบพี่มากกว่าผู้ชายคนนั้นก็ได้” ผมพาตัวเองไปนั่งบนขอบเตียง หันมองจ้องหน้า

เขาเงียบนิ่งคิดนานจนผมต้องเอ่ยถาม “นายไม่ชอบพี่แล้วเหรอ”

คนฟังเงยหน้ามองอย่างตกใจ ผมจึงถาม

“จะตกใจอะไร”

“พี่พร้อมรู้ด้วยเหรอ ใครบอก”

“ไม่เห็นต้องมีใครบอก ส่งไลน์มาคุยด้วยตลอดขนาดนั้นไม่ว่าใครก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ”

“แล้วที่พี่ไม่ค่อยตอบเพราะต้องการให้ผมตัดใจไปเองเหรอ” หน้าตาของเขาเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“เปล่า พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมพูดปฏิเสธ “แต่ตอนนั้นพี่มีแฟนแล้ว พี่ไม่มีทางคุยกับคนอื่นมากกว่าแฟนตัวเองอยู่แล้วล่ะน่า”

“อย่างนั้นทำไมไม่บอกปฏิเสธมาตั้งแต่แรกเลยล่ะ”

“ก็นายไม่ถาม พูดออกไปจะโดนหาว่าหลงตัวเองนะสิ”

“อ้าว!” เขาร้องอุทาน สีหน้าบ่งบอกเลยว่าทำไมถึงเป็นความผิดของตัวเองได้

ผมหัวเราะยกมือขึ้นวางบนศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู จากนั้นพูดหยอด “แต่พี่ยังไม่ได้ปฏิเสธเลยนะ ตอนนี้ก็จะไม่ชอบแล้วเหรอ”

เขาเงียบไม่ยอมตอบ

“แต่ตอนนี้พี่ชอบนายนะ”

“พี่พร้อมแค่เจ้าชู้ก็บอกมาเหอะ”

“อยากรู้ว่าเจ้าชู้หรือไม่เจ้าชู้ก็ต้องลองคบดู”

วุ้นเบะปาก

“ทำไมไม่ชอบพี่แล้วจริง ๆ เหรอ” ผมอ้อนอีกหน ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ วุ้นพยายามเขยิบหนี ผมจึงต้องเท้าแขนอีกข้างคร่อมกันไว้ “เสียใจจัง พี่ชอบน้องวุ้นมาก”

“ข... ขนลุกอะ ฟังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้”

“ไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่น่ากลัวหรอก”

ผมกำลังรวบตัวอีกฝ่ายเข้าหาอยู่แล้ว แต่โดนขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูเสียก่อน

“ขออนุญาตวัดความดันค่ะ”

ผมขยับถอยห่างเปิดทางให้พยาบาล รอจนบุคคลที่สามออกไปจากห้อง ผมถึงได้ตรงเข้าไปหาคนบนเตียงอีกครั้งทว่าอีกฝ่ายกลับรู้ทันรีบล้มตัวลงนอนตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง

“ผมง่วงแล้วพี่พร้อม”

“ครั้งนี้พี่ยอมปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่อย่าลืมล่ะพี่รอคำตอบอยู่” พูดจบผมก็กดริมฝีปากลงบนผ้า ตรงจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นแก้มของเขา จากนั้นขยับตัวออกมาเดินไปปิดไฟล้มตัวลงนอนบ้าง ผมเหลือบตาแอบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลง สักพักได้ยินเสียงขยับตัวและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ผมจึงปล่อยตัวเองให้นอนหลับ

เช้าตื่นขึ้นมายังไม่เห็นน้องเทคลืมตาก็ใจหายวาบ ผมตรงไปที่เตียงของเขา เขย่าตัวและส่งเสียงปลุก แต่เช้านี้ไม่มีเหตุการณ์น่าตกใจเพราะเขายอมลืมตาตื่นขึ้นมาง่าย ๆ

“พี่จิ่นลี่?”

ชื่อนี้อีกแล้ว หรือเป็นคนที่วุ้นชอบและบอกว่าหน้าตาเหมือนผม?

ผมไม่ปล่อยความสงสัยของตัวเองไว้ เอ่ยถามเขาทันที

“พี่จิ่นลี่นี่เป็นคนที่นายแอบชอบอย่างนั้นเหรอ”

คำถามของผมทำให้เขาหายงัวเงีย ขยับลุกขึ้นนั่งจากนั้นจึงโบกมือ พูดปฏิเสธแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “ไม่ใช่... เอ๊ย! ใช่สิ ก็ชอบแหละครับ”

“เขาหน้าตาเหมือนพี่ขนาดนั้น?”

“เหมือนร่างโคลนของพี่พร้อมเลย” น้องเทคยอมพูดตอบ ผมจึงทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงด้วยท่าทางที่ตั้งใจคุย

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่พี่ถามค้างไว้จะว่ายังไง”

เขาหลุบตาผินหน้าหนี ก่อนพูดเสียงเบา “พวกเราลองคบกันดูก่อนก็ได้”

ผมไม่ถามหาเหตุผลให้มากความเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องซักไซ้

“ตกลงเราเป็นแฟนกัน”

เมื่อเขาพยักหน้ารับ ผมจึงฉวยโอกาสแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากและริมฝีปากของเขา แต่เป็นจูบที่เพียงแค่แนบประกบริมฝีปากเท่านั้น ทว่าคนโดนกระทำกลับชะงักและออกอาการนิ่งอึ้ง

“ตกใจทำไม นายก็เคยจูบพี่แล้วนะ”

“ไม่นับดิ ครั้งนั้นผมไม่รู้ตัวซะหน่อย”

ได้ยินแล้วรู้สึกโมโหแฮะ “หมายความว่านายคิดว่าพี่เป็นคนอื่น”

เขาเบือนสายตาหนีอีกเช่นเดิม

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือแต่หลังจากนี้ห้ามคิดถึงคนอื่น เข้าใจไหม”

เขาพยักหน้าระรัว

ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ผมต้องการยืนยันเพื่อให้แน่ใจ “ต่อจากนี้จะถอดวิญญาณไปไหนอีกไหม”

เขาสั่นศีรษะ “ไม่แล้ว ทำไม่ได้แล้ว”

“ดีแล้ว อย่าทำเลย ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นนายยังหลับอยู่พี่ใจไม่ดีเลย” ผมพูดพลางเนียนดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด เขาก็ยอมให้ผมกอดง่าย ๆ ซ้ำร้ายยอมโอบเอวผมเกลือกหน้าไปมาบนแผงอกด้วย ผมได้แต่ท่องอยู่ในใจว่าตอนนี้ยังอยู่โรงพยาบาล

เจ็บใจตัวเองนักที่ไม่เลือกสถานที่ให้ดีกว่านี้หน่อย

เสียงความคิดสองฝั่งตีกันมั่วซั่วเลยแต่ที่แน่ ๆ มือผมลากเข้าไปใต้เสื้อของน้องเขาแล้ว และจมูกก็เลื่อนลงไปอยู่แถวฐานคอของเขา ที่สำคัญอีกฝ่ายไม่มีท่าทีขัดขืนสักนิด

ผมลากกึ่งปากกึ่งจมูกไล่ไปตามสันคางวกกลับไปที่ริมฝีปาก เขาเผยอปากให้ผมสอดปลายลิ้นเข้าไปอย่างยินยอม ถึงจะมัวเมาอยู่เล็กน้อยแต่ยังรู้สึกว่าทำไมเชี่ยวจังวะ มิหนำซ้ำยังทั้งขบทั้งดูดจนผมเสียววาบไปถึงปลายเท้าเลย

ว่ากันตามจริง ถ้าผ่านเรื่องพรรค์นี้มาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมไม่เก็บมาคิดมากหรอกแต่มันข้องใจ

กระนั้นก็ตามผมและน้องเขายังแลกลิ้นอยู่อีกพักใหญ่ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่ามันยังไม่พอ ตั้งแต่ที่จูบกับเขามาความรู้สึกขยะแขยงที่ผมเคยเจอยังไม่กล้ำกรายผมเลยสักกระผีกลิ้น ไอ้ที่ว่าจะพอจะเลิกเลยรู้สึกว่าอีกนิดน่า และรั้งฝ่ามือไม่ให้ขยับไปไหนแทน เพราะถ้าลากมือไปเรื่อย ๆ ผมว่ามันยาวแน่

ตอนที่ผละออกห่างใบหน้าของวุ้นจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“จูบเก่งเนอะ” ผมเปรย เขายังเงียบจึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ

“เคยจูบมากี่ครั้งแล้ว”

“พี่พร้อมรับไม่ได้เหรอ” แฟนหมาด ๆ ของผมถามกลับมา ทำหน้าทำตาหงอย ๆ แบบไม่ค่อยมั่นใจ

“เปล่า แค่แอบคิดว่าจะมีใครตามมาวุ่นวายหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก ผมไม่เคยมีแฟน”

ตอบอย่างนี้จะให้เข้าใจว่ายังไง

“ผมไม่เคยไปทำอะไรกับใครด้วย” เขารีบพูดต่อแต่กลับไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แต่คบกับพี่แล้วห้ามทำตัวนอกลู่นอกทาง เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ”

และเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างรู้จังหวะ ผมลุกขึ้นยืนเป็นช่วงเวลาเดียวกับพยาบาลเปิดประตูเข้ามา

“อาหารเช้าค่ะ หลังจากเอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เรียบร้อย จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งนะคะ”

พวกผมพยักหน้ารับ

วุ้นจึงลงจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนที่พามา เขาสวมแค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ผมถามเขาเรื่องนี้แต่เพราะกุญแจห้องของเขาก็อยู่ที่ผม เจ้าตัวไม่อยากให้ยุ่งยากจึงบอกว่าจะสวมชุดที่ใส่มานั่นแหละ

นั่งรอให้เจ้าหน้าที่ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเพียงไม่นาน พวกผมก็ได้เดินทางกลับ ผมไปส่งเขาที่ห้อง ไขประตูให้และเดินตามเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องเชื้อเชิญ อีกฝ่ายหมุนไปหมุนมาก่อนเลือกนั่งบนเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ

“เดี๋ยวไปทำเรื่องขอกุญแจห้องให้พี่ด้วยนะ” ผมเดินตามไปวางกุญแจไว้ที่โต๊ะ

“ขอทำไม”

คงเพราะว่าผมเดินตามเข้าไปใกล้มั้ง แฟนหมาด ๆ จึงลุกหนีเดินไปอีกทาง และไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียง

แบบนี้ให้ท่านี่นา...

ผมรีบเดินตามไปนั่งลงข้างกันพลางรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ขยับหนี ก่อนเอ่ยตอบ “เผื่อพี่มาหา หรือว่าไม่ได้”

“มาหาอะไร ก็เจอกันที่มหาวิทยาลัยตลอดแล้วนี่” เขาก้มหน้าอ้อมแอ้มพูดตอบเสียงเบา

“แบบว่าเผื่อมานอนด้วยอะไรอย่างนี้”

เขาเงียบไปแต่มือกลับอยู่ไม่สุขขยับบิดไปบิดมา

ผมหัวเราะ ช้อนใบหน้าของเขาให้เงยขึ้นและแนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง

ผมรู้สึกดีนี่นา จะจูบบ่อย ๆ ก็คงไม่แปลกหรอกใช่ไหม


+++++จบแล้วจ้า+++++

*//ทีแรกว่าจะตัดตอน แต่เห็นหลายท่านงุงงง เราจึงไม่อยากให้ค้างคา แต่ว่าถ้ายังงงอยู่ก็บอกได้นะเออ เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษมาให้ แต่ต้องรอไปก่อน อิอิ เดี๋ยวขอไปกำหนดพล็อตตอนพิเศษหน่อย ตอนที่คิดพล็อตเรื่องนี้เราคิดมาแค่นี้ล่ะ ขอขอบพระคุณที่ติดตามเสมอมาค่ะ//*

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ขอบคุณมาก

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จบง่ายไปนิดนึง แต่โอเค ตอนที่ย้อนไปอดีตจินลี่มีความรักเต็มล้นเลย มาตอนนี้ะร้อมหื่นมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
สนุกค่ะ
ชอบพาร์ทอดีตมากเลย จินลี่รักจินเซียวมาก
เวลาหวานกัน กิ๊วก๊าวใจมาก
ฝันสุดท้ายเนี่ยเปลี่ยนภาพพี่พร้อมในหัวเราที่มีมาทั้งหมดเลยค่ะ หื่นมาก คิดจะรวบหัวรวบหางน้องตลอดเวลา นังพี่พร้อม!!!!

พี่พร้อมหน้าเหมือนจินลี่แล้ววุ้นหน้าเหมือนจินเซียวด้วยรึเปล่าคะ?

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฮ้ย!.....เด๋วนะ   นี่คือ "จบบริบูรณ์" แล้วเหรอ?

ทำไมมันไวจังอ่ะ?

เหมือนถูกคำสั่งสายฟ้าฟาดจากผู้อำนวยการสร้างให้ตัดจบดื้อ ๆ เลยอ่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ฝันพิเศษ



“จะไปไหนวะ” ยอเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อสนิทหยิบทั้งกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ กำลังจับลูกบิดประตู

“ไปนอนห้องวุ้น”

ชายหนุ่มผู้ถามทำหน้าคล้ายหมั่นไส้ก่อนพูดว่า “เบื่อว่ะ แม่งเห็นเด็กสำคัญกว่าเพื่อน”

“อ้าว! แน่นอนดิ เด็กกูต้องสำคัญที่สุด” พร้อมตอบกลั้วหัวเราะก่อนเดินออกจากห้อง เขาเดินลงบันไดไปชั้นสี่ เดินเลี้ยวไปเคาะประตูบานหนึ่ง แค่ครู่เดียวมันก็ถูกเปิดออก

“พี่พร้อม” เจ้าของห้องร้องทักขณะที่เขาถือวิสาสะเดินเข้าไปด้านใน อีกฝ่ายยังส่งเสียงถามตามมา

“ทำไมใส่ชุดอย่างนี้มาล่ะ”

ชายหนุ่มก้มมองเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นของตัวเอง จากนั้นหันไปเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ พี่จะมานอนกับวุ้นก็ต้องใส่ชุดนอนมาดิ”

“ใส่ชุดนี้เดินมาจากหอโน้นอ่านะ”

พร้อมจึงนึกได้ว่ายังไม่เคยบอกแฟนว่าอยู่หอเดียวกัน กระนั้นคราวนี้เขากลับยังไม่พูดเฉลยเช่นเดิม

“ไม่ได้เหรอ” เขาถาม

“ผมก็หวงของผมไหมล่ะ งั้นเดี๋ยวผมใส่แบบพี่ไปเดินข้างนอกบ้างดีไหม”

พร้อมจึงแกล้งกวาดสายตามองหนุ่มรุ่นน้องตั้งแต่หัวจรดเท้า “อืมเอาเหอะ แต่อย่างวุ้นคงไม่มีใครมองหรอก อย่าแก้ผ้าออกไปเดินแล้วกันเดี๋ยวโดนจับข้อหาอนาจาร” เขาเดินไปนั่งลงบนเตียง และเจ้าของห้องก็เดินตามมานั่งตรงหน้า

“หน้าตารูปร่างผมมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” คนถามทำท่าไม่มั่นใจ

ชายหนุ่มกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ “มาให้จูบทีก่อนเดี๋ยวตอบให้” ทว่าหนุ่มรุ่นน้องกลับถอยหลังหนี

“ผมตัวเหม็นยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“งั้นรีบไปอาบเลย พี่ง่วงแล้ว”

“งั้นก็นอนไปก่อนดิ”

“มานอนกับแฟน แล้วจะให้นอนไปก่อนเนี่ยนะ อย่างนั้นพี่จะมาทำไม”

วุ้นหน้ามุ่ยที่เหมือนจะโดนบ่น เขาคว้าผ้าขนหนูรีบเดินเข้าห้องน้ำ หลังอาบน้ำเสร็จกลับออกมาด้วยการพันผ้าขนหนูที่เอวผืนเดียว เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ราวตากผ้ามาซับน้ำบนเส้นผม ก่อนเดินไปยังตู้เสื้อผ้า

เหลือบตามองแฟนหนุ่ม อีกฝ่ายก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกม จากนั้นก้มหน้ามองร่างกายตัวเอง

“พี่พร้อมว่าผมไปเล่นกล้ามดีไหม”

พร้อมเหลือบตาขึ้นมองเพียงเล็กน้อย และเลื่อนสายตากลับไปมองหน้าจอเช่นเดิม “เล่นทำไมเหนื่อยเปล่า ๆ”

“แต่พี่พร้อมยังมีกล้ามเลยไม่ใช่เหรอ” วุ้นกระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงพลางเอ่ยถาม เขายังพันผ้าขนหนูผืนเดียวอยู่เช่นเดิม

“ไม่แต่งตัวเนี่ย ตั้งใจอ่อยเหรอ”

“อ่อยไปพี่พร้อมก็ไม่สนใจนี่” สีหน้าของวุ้นบ่งบอกว่าข้องใจสงสัยจริง ๆ พร้อมจึงโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวและโถมเข้ากอดรัดหนุ่มรุ่นน้อง ขณะที่วุ้นคว้าจับปมผ้าขนหนูไว้เป็นอย่างแรก

“ใครว่าไม่สนใจ” พร้อมยิ้ม “คุณทำสำเร็จแล้วนะครับ” เขาแนบริมฝีปากลงบนตุ่มเนื้อบนหน้าอก พานให้หนุ่มรุ่นน้องดิ้นพล่าน

“พี่พร้อม! พี่พร้อม!” วุ้นเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงหลง กระทั่งร่างกายอ่อนระทวยเหลวเป็นน้ำ อีกฝ่ายถึงยอมเงยหน้า เขารับรู้ความรุ่มร้อนที่บังเกิดขึ้น เมื่อรวบรวมเรี่ยวแรงได้จึงเอ่ยถามว่า

“พี่พร้อมจะทำเหรอ”

“ไม่ทำหรอก” หนุ่มรุ่นพี่หัวเราะ ดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งกระนั้นยังรั้งให้ร่างกายเกยกันไว้ด้วยท่าทางหมิ่นเหม่

วุ้นถูกจูบ ถูกโอบกอดไว้ด้วยสองแขนแข็งแรงและมันได้จบลงแค่นั้น แม้ทั้งร่างยังมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว จากนั้นกลับกลายเป็นการนอนอิงแนบชิดอยู่บนเตียง ฝ่ามือใหญ่ที่ลากลูบบนแผ่นหลังทำให้เคลิ้มเพลินคล้ายจะหลับ ก่อนเขาจะฉุกคิดนึกบางอย่างขึ้นมาได้

วุ้นขยับตัวลุกขึ้นนั่งดึงเลิกชายเสื้อกล้ามของแฟนหนุ่มร่นมันไปกองเหนือหน้าอก

“ทำอะไร อยากเห็นกล้ามเดี๋ยวพี่ถอดให้ดูก็ได้” พร้อมขยับตัวช่วยหนุ่มรุ่นน้อง และดึงเสื้อออกทางศีรษะ ทั้งยังพูดเย้าว่า “จับได้ ลูบได้พี่ไม่ถือ”

หนุ่มรุ่นน้องย่นจมูกก่อนจะก้มหน้าให้ความสนใจกับปานบนหน้าอก ใช้ปลายนิ้วลูบถูราวกับพยายามลบร่องรอย

“ปานนี่ของจริงลบไม่ออก” ชายหนุ่มพูด รู้สึกขำสีหน้าอีกฝ่ายที่แสนตั้งอกตั้งใจ

วุ้นล้มตัวลงนอนทับเขาไว้เช่นเดิมจากนั้นเอ่ยชวนคุย “นี่พี่พร้อม ผมจะเล่าความฝันให้ฟัง อยากฟังปะ”

“ฝันเกี่ยวกับอะไร”

“ฝันเรื่องถอดวิญญาณน่ะ”

ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นนั่งตั้งใจฟัง เขาสนใจเพราะมันทำให้วุ้นถึงกับหัวใจหยุดเต้น แม้คนตรงหน้าจะบอกว่าไม่สามารถทำได้อีกแล้ว แต่เสียงในใจลึก ๆ คอยเตือนให้ระวังอยู่เสมอ

“ใส่เสื้อก่อนไหม หนาวหรือเปล่าเดี๋ยวเป็นหวัด”

“ถามมาเป็นชุดไม่เว้นวรรคให้ผมตอบเลย” แต่แทนที่เจ้าของห้องจะลุกไปหาเสื้อมาใส่กลับดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเสียอย่างนั้น

“คืนนี้จะนอนแบบนี้หรือไง” พร้อมถาม

“ได้ไหมล่ะ เนื้อแนบเนื้อจั๊กจี้ดี”

“แล้วเมื่อกี้ใครร้องเสียงหลงเชียว”

“ใคร? ผมไม่เห็นได้ยิน” คนพูดแกล้งทำหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่อง

พร้อมยิ้มขำ “เอ้า! เล่าได้หรือยัง เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่ได้นอนจริง ๆ หรอก” เขารบเร้าผสมขู่

“เริ่มแล้ว! เริ่มแล้ว!” เด็กหนุ่มรุ่นน้องรีบพูด “อืม... เริ่มจากตรงไหนดี” วุ้นเริ่มเล่าจากวันที่โดนรถเฉี่ยวและสลบไป เรื่องที่เหมือนว่าตนข้ามเวลา และความทรงจำมากมายที่พรั่งพรูเข้ามา เรื่องที่นอนหลับและไปเจอผู้ชายที่ชื่อเหยียนจิ่นลี่บ่อยครั้งและเหตุการณ์ที่ถูกเตะกระเด็นออกจากร่างของตัวเอง

“ตอนที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ผมถึงนึกเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้ ซุนเจียวซินเป็นพวกมีพลังพิเศษล่ะ คล้ายพวกมีสัมผัสที่หก หรือไม่ก็องเมียวในการ์ตูนญี่ปุ่น ร่างกายเลยไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะได้อยู่กับเหยียนจิ่นลี่ พวกวิญญาณจึงไม่กล้าเข้าใกล้ แต่พอโตขึ้นสักสิบห้าแม้อยู่กับพวกดวงแข็งอย่างเหยียนจิ่นลี่ก็ไม่ได้ผลอีก รู้สึกว่าจะโดนวิญญาณเข้าสิงเป็นว่าเล่นเลย แล้วจู่ ๆ ก็มีนักพรตหรือนักบวชโผล่มาที่บ้าน มาช่วยไว้ ทีแรกนักบวชคนนั้นจะพาซุนเจียวซินไปขึ้นเขาฝึกวิชา แต่เหยียนจิ่นลี่ไม่ยอม นักบวชจึงได้แต่สอนหลักการฝึกและควบคุมความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมเลยรู้สึกว่าที่ตัวเองระลึกชาติได้ คงไม่ใช่เพราะความตั้งใจที่จะกลับไปหาเหยียนจิ่นลี่อย่างเดียว ตอนโดนเตะออกจากร่าง ซุนเจียวซินยังพูดทำนองว่า ไม่คิดว่าผมจะมีพลังกล้าแข็งขึ้น”

“ทำไม? อยากมีพลังบ้างเหรอ” พร้อมเอ่ยถามแทรก “แต่พี่ไม่อยากให้มีนะ ถอดวิญญาณไปโน่นไปนี่ไม่เห็นจะดี ถ้าอยากไปก็นั่งรถเดินทางไปเองก็ได้”

“ถ้าอยากไปอังกฤษ อเมริกาคงนั่งรถจนเมื่อย”

พร้อมส่งเสียงหึ เหล่มองคนในอ้อมกอดที่ยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มเผล่ออกมา เห็นแล้วมันเขี้ยวนักพร้อมจึงใช้จมูกฟัดแก้มอีกฝ่ายจนสะใจ

“พี่ไม่อยากให้ทำนะ แต่ถ้าเกิดทำได้ขึ้นมาอีก ต้องรีบบอกล่ะ”

“ทำไม่ได้แล้วจริง ๆ ผมรู้สึกว่าต้องให้ซุนเจียวซินช่วย” วุ้นบอกออกไปแค่นั้นเพราะแม้แต่ตัวเขายังอธิบายไม่ถูก เขาเคยคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่แสนพิเศษนี้ ว่าเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างไร จนได้ผลสรุป น่าจะเพราะซุนเจียวซินดึงเขากลับไปในยุคอดีต การกระทำแบบนั้นเป็นการสร้างเส้นทางให้เขาสามารถเดินทางไปเองได้ในคราวหลัง ก็มีแต่แนวคิดนี้ที่น่าจะเป็นไปได้

“ง่วงยัง เงียบไปเลย” หนุ่มรุ่นพี่ส่งเสียงถามมาอีกรอบ

“ง่วงแล้ว” วุ้นตอบพร้อมทำท่าหาว เขาขยับจะล้มตัวลงนอนจึงโดนชายหนุ่มรุ่นพี่ไล่ให้ไปใส่เสื้อผ้า พร้อมคำขู่สำทับว่า “ถ้าไม่ใส่จะไม่ได้นอน”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อยนี่นะ” ฝ่ายเจ้าของห้องส่งเสียงพูดพึมพำแต่ยังดังพอให้ชายหนุ่มได้ยิน

“แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อย” พร้อมบอกออกไป เด็กหนุ่มร่างเล็กกว่า รีบสวมเสื้อและหันไปพูดว่า “ก็อ่อยนะสิ”

พร้อมมองพลางเร่งให้หนุ่มรุ่นน้องสวมกางเกง ตบหมอนเพื่อให้คู่สนทนารีบมาขึ้นเตียง วุ้นนำผ้าขนหนูไปตาก เดินไปปิดไฟก่อนปีนขึ้นเตียง ตรงเข้าไปเบียดแฟนหนุ่มซึ่งอุตส่าห์ขยับเว้นที่ไว้ให้

“เป็นแฟนกันแล้ว มีเวลาอีกถมถืด” พร้อมพูดก่อนประทับริมฝีปากบนหน้าผากและปากของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์

“อือ” วุ้นขานเสียงรับ “พี่พร้อมคงไม่ต้องไปรบหรอกใช่ไหม”

“ฮะ!” คนถูกถามส่งเสียงอย่างกังขา

หนุ่มรุ่นน้องหัวเราะไม่ยอมอธิบายก่อนพูดว่านอนแล้วนะ

- จบฝันพิเศษ -

มาแบบสั้น ๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว

ว่าแต่...วุ้นถามเรื่อง "ไปรบ"  มันมีนัยยะอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
:pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว

ว่าแต่...วุ้นถามเรื่อง "ไปรบ"  มันมีนัยยะอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ก็เหยียนจิ่นลี่เคยไปรบ วุ้นเลยถามด้วยความคิดกึ่ง ๆ มุกตลก เผื่อพี่พร้อมจะไปสมัครเป็นทหารอะไรอย่างนี้

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aft22423

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
น่ารักดีค่ะ มีหลายอารมณ์ดี แต่อยากให้ยาวกว่านี้จัง -w-
 :-[ :-[ :impress2: :impress2:  :sad4:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
อ่านรวดเดียวจบ

ช่วงแรกน่าสนใจมากค่ะ เขียนได้ดี สำนวนราบรื่น คำผิดแทบไม่มีเลย
พอกลับมายุคปัจจุบัน ... โอเคเลยค่ะ
แม้จะมีช่วงเอื่อย ๆ น่าเบื่อ และกดข้ามบ้างในช่วงหลังรับน้องอะไรนั่น
แต่พอกลับไปอดีต ก็สนุกได้อีก

พอมาถึงพาร์ตของ "พร้อม" ... อ่านแล้วเสียดายเลย
ไม่รู้สึกถึงความรักของพร้อม ...
ยิ่งใช้สรรพนาม "น้องเทค" ทำให้รู้สึกว่า ห่างเหินมาก
ไม่มีความเอ็นดูน้องอย่างที่บอกเล่า

ยิ่งมาตอนจบ ... ต้องร้อง อ้าว เฮ้ยยยย เลยค่ะ
ตัดจบได้แบบละครเรทติ้งไม่ดีมาก ๆ เลย
น่าเสียดายเนอะ ... แม้จะมีตอนพิเศษ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะจบดีขึ้นเลย

แต่สุดท้ายก็ "ขอบคุณนะคะ" ที่เขียนให้อ่านและลงจนจบ
"ขอบคุณค่ะ"  +1 ให้นะคะ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
มาต่ออีกนิดนะ สนุกมากๆ เดี๋ยวจะแวะเข้ามาดูบ่อย ขอบคุณมาครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด