ฝันที่ 18 ผมริอ่านเป็นกามเทพ
เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องพี่พร้อมอยู่ตลอด ผมเคยสารภาพรักเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นการพิสูจน์ได้ว่า หนุ่มรุ่นพี่คนนี้เป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ และผมได้ข้อสรุปว่า เขาไม่น่าจะใช่ หลังจากนั้นผมฝันว่าตัวเองไปกัดทำรอยตำหนิไว้ และพี่พร้อมดันมีปานเหมือนรอยกัดอีก แต่ถ้าคิดอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง ผมว่าฝันเพ้อเจ้อของผมมันควรจะเชื่อถือไม่ได้
โอ๊ย!!! ทำไมโหมดระลึกชาติของผม มันถึงยากนักนะ ทำไมถึงไม่มีแบบเห็นป้ายบนหัวว่าคนคนนี้คือเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิด หรือไม่ก็วิญญาณของซุนเจียวซินมาคอยชี้บอกว่าคนนั้นคนนี้คือเหยียนจิ่นลี่บ้าง
“หน้ายุ่งแต่เช้าเชียว เป็นอะไรอีก”
นี่ก็อีกคน! ทำมาเป็นห่วงเป็นใยตลอด เดี๋ยวเปลี่ยนใจไปชอบเสียเลย ไม่ตามหาแล้วเหยียนจิ่นลี่น่ะ!
“แน่ะ! มองพี่ตาขวางเชียวตกลงเป็นอะไร”
“สงสัยน้องวุ้นจะลืมกินยา”
“ผมสบายดีพี่ยอ ไม่ต้องกินยาและขอขอบคุณในความเป็นห่วง คราวหน้าคราวหลังไม่ต้อง” ผมพูดกับเพื่อนของพี่เทคที่ปากสุนัขใส่ผมแต่เช้า รุ่นพี่คนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ชาติที่แล้วผมเคยไปเหยียบตาปลาเขาหรือเปล่า ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก
“รวมพี่ด้วยเหรอ” พี่พร้อมถามเสียงเจื่อนแบบน่าสงสาร
ผมควรตอบว่าใช่เพื่อตัดความยุ่งเหยิงในใจตัวเองใช่ไหม “ม... ไม่ ผมหมายถึงพี่ยอคนเดียว”
“อะไรวะ โคตรสองมาตรฐานเลย”
“ก็มันสมควรไหม” ผมถามกลับ
“กูผิดอะไร แค่พูดว่าคุณน้องวุ้นน่าจะลืมกินยาเท่านั้นเอง”
“แล้วมึงยุ่งอะไรกับน้องเทคกูนัก” พี่พร้อมถามเพื่อนเขา พี่ยอถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ และลากเสียงยาว “เออ... กูมันแค่เพื่อนนี่นะ” พูดประชดจบเขาก็หมุนตัวไปตักข้าว
พอดีว่าผมนอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นแต่เช้า เมื่อออกจากห้องพักมาเจอพวกรุ่นพี่ เขาบอกว่าให้ไปทานข้าวเช้าที่ห้องอาหารได้เลย ผมจึงมานั่งละเลียดข้าวเช้าไปพลาง ใช้สมองคิดโน่นคิดนี่ไปพลาง กระทั่งพี่เทคและเพื่อนสนิทของเขาตามมานั่งด้วย ต่อจากนั้นไม่นาน จันทร์กับเพื่อนในชั้นปีเดียวกันก็ตามมา หลังทานข้าวกันอิ่มทุกคนได้ชวนกันไปถ่ายรูปอีกหน
ช่วงเช้าวันอาทิตย์ในทริปรับน้องคราวนี้ เป็นเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง ก่อนจะออกเดินทางกลับตอนเพล ๆ และไปแวะตลาดทานข้าวหรือซื้อของ
ตอนนี้ทุกคนจึงจับกลุ่มถ่ายภาพรวมบ้างภาพเดี่ยวบ้าง ผมเองไปเข้าเฟรมกับเขาด้วยเช่นกัน
และแล้วเวลาเดินทางกลับก็มาถึง
ที่นั่งข้างผมยังเป็นของพี่พร้อมเช่นเดิม หลังจากรถยนต์เคลื่อนที่ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำอะไรบ้างเพราะผมได้แต่มองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปเรื่อย ก่อนต้องรู้สึกสะดุ้งเมื่อมีอะไรบางอย่างมาโดนที่หู หันไปมองถึงได้เห็นพี่พร้อมถือหูฟังไว้ข้างหนึ่ง
“อยากให้นายลองฟัง”
ผมจึงยื่นมือไปรับมา
เพลงที่พี่พร้อมเปิดให้ฟังเป็นเพลง ‘มันคือความรัก’ ของลุลา เพลงก็เพราะดีแหละ แต่ไม่เข้าใจว่าจะให้ฟังทำไม รู้ว่าเป็นเพลงดังตอนที่ผมยังเด็ก ๆ แต่มันเก่าแล้วไง ผมเคยฟังเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่
“พี่พร้อมชอบเหรอ” ผมถาม
“เพราะดี ไม่เพราะเหรอ” เขาถามกลับมาอีก
ผมพยักหน้ารับ พอเพลงของลุลาจบลงเพลงต่อไปเป็นเพลงที่ผมไม่รู้จักเลยตั้งใจฟังหน่อย เป็นเพลงจังหวะเร็ว ๆ ดนตรีฟังสนุกจนผมต้องเคาะเท้าตาม เมื่อได้ฟังเนื้อร้องเท่านั้นแหละ ผมได้แต่นิ่งฟังพลางกลั้นลมหายใจ เหลือบตามองพี่เทค เขาก็มองหน้าผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเขาผมต้องค่อย ๆ เบือนสายตาหนี
‘ฉันรู้แล้วว่าเกิดมาเพื่อใคร
รู้แล้วว่าใครที่ใจต้องการ
หัวใจเลือกเธอ
หวังว่าหัวใจเธอจะเลือกฉัน
และเป็นฉันเท่านั้น
ที่จะได้ใจเธอ’ (รักของฉันคือเธอ - เบล สุพล)
ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเพลงนี้มีสิ่งที่พี่เขาต้องการจะสื่อ มันอาจเป็นเพียงเพลงที่เขาฟังและคิดว่ามันเพราะดี หรือมันเป็นเพลงที่อยู่ในเพลย์ลิสต์ของเขาและแอปพลิเคชันมันก็สุ่มเลือกขึ้นมา
ใช่ ๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ
“เพราะดีนะครับ” ผมหันไปพูดบอก ฝืนยิ้มให้เขาอีกที
“รู้สึกแค่เพราะเฉย ๆ เหรอ”
ผมจึงแสร้งตีสีหน้าเหลอหลาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พี่พร้อมถึงกับถอนหายใจออกมาและพูดตัดบทว่า “ง่วงแล้ว ขอยืมไหล่หน่อยนะ”
ผมปล่อยให้เขานอนขณะที่โทรศัพท์ของเขายังเล่นเพลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งในลิสต์มีแต่เพลงรักทั้งนั้น
ที่จริงผมอยากถามว่าการกระทำของเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่เมื่อคิดว่าตัวเองมีภาระผูกพันอยู่กับเหยียนจิ่นลี่ ความสับสนก็ผุดพรายออกมาไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าการที่พี่พร้อมมาทำเหมือนมีใจให้เพราะเขาชอบผมจริง ๆ หรือเพราะการสารภาพรักครั้งนั้นของผมไปจุดประกายความคิดอะไรของเขาหรือเปล่า
ในเมื่อตอนที่ผมปักใจเชื่อว่าเขาคือเหยียนจิ่นลี่ พี่พร้อมไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย นาน ๆ ถึงจะคุยกับผมสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ หลังผมสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลังจากที่ผมจับฉลากได้เป็นน้องเทคของเขา ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม เขายังคงเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันแบบผิวเผินเหมือนเดิม
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ เขาจะหันมาชอบผมภายในระยะเวลาไม่กี่วันได้ด้วยเหรอ
ผมเคยบอกกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและปณิธานอันแรงกล้าแล้วว่า ‘ถ้าไม่ได้เจอ ไม่ได้คบคนที่เป็นเหยียนจิ่นลี่กลับชาติมาเกิด ผมจะไม่เอาใครอีก’ ดังนั้นผมจึงย้ำบอกตัวเองอีกหน
“เป็นอะไรหรือเปล่าวุ้น” เสียงพี่พร้อมเอ่ยถามทำให้ผมได้สติเหลือบตาไปมอง ศีรษะของเขายังอยู่บนไหล่ เขาเองแค่เหลือกตามองผมเหมือนกัน จากนั้นจึงก้มลงไปมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่กำหมัดไว้แน่น ผมรีบแบมือก่อนส่งเสียงหัวเราะแหะแหะ
“พี่ไม่หลับเหรอ”
“หลับแต่นายขยับตัวเลยตื่น”
“ครับ” ผมรับคำและรีบนั่งพิงเบาะตัวตรงแน่ว พูดด้วยเสียงแข็งขัน “ต่อไปจะไม่รบกวนการนอนของรุ่นพี่แล้วครับ” พลางคิดอยู่ในใจต่ออีกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ชอบพี่พร้อมจริง ๆ ซะหน่อย โดนอ่อยแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไขว้เขว’ จากนั้นต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อพี่พร้อมสอดมือมารวบเอวผมไว้
“นอนไม่ถนัด” เขาบอก ส่วนผมก็ได้แต่ท่องยุบหนอพองหนออยู่ในใจและนั่งเกร็งตัวไปตลอดทาง จนกระทั่งขบวนรถบัสจอดที่ตลาดแหล่งขายของฝาก ก็ที่มีร้านของพ่อกับแม่ตั้งอยู่นั่นแหละ ผมจึงระริกระรี้เป็นพิเศษเนื่องจากตั้งแต่ไปเรียนกรุงเทพ ยังไม่เคยได้กลับบ้านเลย คราวนี้เป็นโอกาสที่ได้แวะร้านแบบไม่เสียค่ารถ
ผมจะตรงดิ่งไปที่ร้านแต่โดนพี่พร้อมคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน
“อะไรง่ะ”
“รอยอก่อน เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน” เขาบอกเพราะมื้อเที่ยงขากลับไม่มีงบของคณะต้องใช้เงินส่วนตัว
“แต่ผมจะไปที่ร้าน”
“หือ?” เขาขานเสียงแปลกใจ “ร้านของที่บ้านตั้งอยู่ตลาดนี้เหรอ ดีเลยเดี๋ยวพี่จะได้ไปไหว้พ่อแม่นายด้วย”
“ไปไหว้ทำไม”
“ก็เป็นพี่เทคต้องพาตัวเองไปรู้จักกับพ่อแม่น้องเทคไว้ ถ้านายเกเรจะได้ฟ้อง”
ผมตีหน้าหงิก “ผมไม่ทำตัวไม่ดีหรอกน่า”
“ไม่รู้ล่ะ เผื่อนายมัวแต่ดูซีรี่ย์ไม่หลับไม่นอนจนโดดเรียนอีกจะทำยังไงล่ะ”
“เรื่องนี้ห้ามพูดนะ!”
พี่พร้อมเลยยกยิ้มทำหน้าตาแบบที่บ่งบอกว่าเรื่องที่เขาพูดรู้ถึงหูพ่อแม่ของผมอย่างแน่นอน
“นะ นะ... อย่าพูดนะ อย่าบอกพ่อกับแม่ผมนะ” ผมพูดอ้อนพลางทำหน้าตาให้น่าสงสาร
“งั้นเป็นเด็กดีล่ะ” พี่พร้อมวางมือบนศีรษะของผมและยิ้มให้อย่างถูกใจ
ยืนรอเพียงไม่นานพี่ยอก็ตามมาสมทบ พี่พร้อมจึงพูดบอกจุดหมายที่แรกให้เพื่อนตัวเองรับรู้
“ไปบ้านวุ้นก่อน”
“เออ... น้องวุ้นมีบ้านอยู่ในตลาดนี่” พี่ยอพูดคล้ายถามย้ำ
“ไม่ใช่บ้าน เป็นร้านอย่างเดียว”
ด้วยเหตุนั้นผมจึงต้องเดินนำรุ่นพี่ทั้งสองคนไปยังร้าน
พ่อและแม่ของผมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ ก่อนแนะนำรุ่นพี่ทั้งสองให้บุพการีรู้จัก พวกเขาถามว่ามาได้อย่างไร ผมจึงเล่าเรื่องมารับน้องให้ฟังและขากลับก็มาแวะกินข้าว
“อ้าว! แล้วนี่กินข้าวกันแล้วเหรอ” แม่ถาม
“ยังอะ ก็พี่สองคนเขาอยากมาอุดหนุนร้านขายของฝากของรุ่นน้อง หนูเลยพามา”
ตอนพี่ยอได้ยินคำแทนตัวของผมเวลาคุยกับพ่อแม่ เขาส่งสายตาล้อเลียนมาให้ด้วย แต่ผมแค่เลิกคิ้วทำเป็นสงสัยความนัยที่เขาอยากจะสื่อ เรื่องนี้ผมไม่นอยด์หรอกเพราะโดนล้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว ขนาดพยายามเปลี่ยนมาใช้คำแทนว่า ‘ผม’ ทว่าสุดท้ายก็เผลอเรียกตัวเองว่า ‘หนู’ อยู่ดี เลยเลิกและถ้าใครอยากพูดล้ออย่างไรก็เรื่องของเขา
แต่จะเอาคืนหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนคราวนี้ผมก็จงใจพูดว่าพวกเขาจะมาอุดหนุนที่ร้านซะเลย เรื่องปกติธรรมดาของคนค้าขายล่ะนะ แต่ก็นั่นแหละ พอแม่ผมได้ยินปุ๊บก็โบกมือปฏิเสธ แล้วรีบลุกขึ้นไปหยิบขนมใส่ถุง ส่งให้รุ่นพี่ทั้งสองคนฟรี ๆ
“ข้าวหลามเนี่ยของที่ร้านน้าทำเอง อร่อยมากเลยนะ” โฆษณาเสร็จก็ฝากฝังผมต่อ “น้าฝากดูแลวุ้นด้วยนะ ถ้ามันไม่เข้าเรียนมัวแต่เที่ยวเตร่รีบโทรมาบอกน้าได้เลย”
การมาหาพ่อกับแม่ของผมครั้งนี้ของพี่พร้อมตรงตามจุดประสงค์ทุกประการ เขาแลกเบอร์โทรกับแม่ แถมได้สิทธิ์โทรมาฟ้องเต็มที่ ที่สำคัญแม่ผมจำพี่พร้อมไม่ได้ด้วย บิดามารดาของผมจึงยังไม่รู้ว่านี่แหละคือผู้ชายที่ผมอุตส่าห์พยายามตามไปถึงกรุงเทพ
ผมพารุ่นพี่ทั้งสองคนไปทานข้าวหลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาที่กำหนดจึงกลับไปขึ้นรถบัสและมันก็พาพวกผมกลับกรุงเทพ เมื่อถึงมหาวิทยาลัย พี่พร้อมยังอุตส่าห์ตามมาส่งผมที่หอด้วย
“ไม่ต้องไปส่งหรอก วุ้นเดินกลับเองได้”
“เถอะน่า” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนรุนไหล่ให้ผมเดินนำเข้าซอย มิหนำซ้ำยังตามมาส่งผมถึงหน้าประตู สถานการณ์แบบนี้สร้างความลำบากใจให้ผมมาก และคิดว่าควรต้องหาแฟนให้พี่พร้อมอย่างเร่งด่วนซะแล้ว!!!
READ 11:45 AM “พี่พร้อมจะเลิกเรียนยัง”
READ 11:45 AM “ไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันนะ”
“ได้”
11:45 AM“แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงไลน์มาชวนได้เนี่ย”
11:45 AMREAD 11:46 AM “อ้าว! อยากกินข้าวกับพี่เทคบ้างไม่ได้เหรอ”
“คิดถึงก็บอกมาตรง ๆ ดิ”
11:46 AMฮื้อ!!! ส่งข้อความตอบกลับมาแบบจะให้ผมเข้าใจว่าอะไร
READ 11:46 AM “...”
ทว่าเขากลับไม่ตอบอะไรนอกจากส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้มมาให้
สมองของผมว่างเปล่าเหมือนโดนช็อตไปชั่วครู่ จ้องมองข้อความนั้นอยู่นานก่อนจะบอกตัวเองให้ตั้งสติ ไม่ปล่อยอารมณ์คล้อยตามคำพูดของเขาง่าย ๆ ย้ำบอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่เหยียนจิ่นลี่
“วุ้นไปกัน” เสียงเรียกของจันทร์ดังขึ้น ทำให้ผมรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง และลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า ออกจากห้องเรียนเดินตามกลุ่มเพื่อนไปยังโรงอาหาร
ที่ผมส่งข้อความไปชวนพี่พร้อมเพราะหวังจะเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนสาวอย่างจันทร์และพี่เทคได้คบกัน ผมต้องทำให้หนุ่มรุ่นพี่เลิกอ่อยผมโดยไว ไม่เช่นนั้นผมต้องกลับไปชอบเขาแน่ แต่อีกใจก็ลังเลเรื่องปานบนหน้าอกของพี่พร้อม
บางครั้งผมก็เกลียดความโลเลของตัวเอง ที่เลวร้ายคือผมไม่ฝันอีกเลยนับตั้งแต่ฝันครั้งก่อน
นอกจากโหมดระลึกชาติจะยากต่อการใช้งานแล้ว ระบบความฝันยังใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้างอีก
โอ๊ย!!! ผมอยากจะบ้า!!!
“วุ้น...” เสียงเรียกของเพื่อนทำให้ผมออกจากภวังค์
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาไม่ได้แค่พูดยังชี้มือและเลื่อนสายตาไปยังเป้าหมายที่สร้างความประหลาดใจ ผมมองตาม เห็นตัวเองกางมืองอค้างกลางอากาศจึงรีบเอาลง และขยายความบอกทุกคนว่าตัวเองเป็นพวกเมื่อคิดอะไรแล้วชอบออกแอคชั่นไปด้วย
“แล้วคิดอะไรอยู่ล่ะ” จันทร์หันกลับมาถาม นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวด้วยความอยากรู้ “แน้! หรือกำลังคิดอะไรลามก ๆ อยู่” คำถามนั้นทำให้ทุกคนส่งเสียงแซวกันยกใหญ่ ก่อนความสนใจของทุกคนจะหันไปหาสองหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำท่าคล้ายมายืนรอดักอยู่ระหว่างทาง
หลังพวกผมส่งเสียงทักทายยกมือไหว้ ก็มีคนส่งเสียงถามว่า
“พวกพี่จะไปไหนหรือครับ”
“จะไปกินข้าวเหมือนกัน แต่ต้องมายืนรอเด็กที่นัดไว้ก่อน” พี่พร้อมตอบอย่างหน้าไม่อาย ส่วนผมที่เป็นคนฟังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอีหนูของเสี่ยอย่างไรก็ไม่รู้
“แหม! ถ้าไม่ติดว่าหิวข้าวล่ะก็ จะยืนรอดูหน้าเด็กของพี่พร้อมนะเนี่ย” จันทร์พูดกลั้วหัวเราะ ผมจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหาจันทร์และส่งเสียงกระซิบ
“วุ้นนัดพี่เทคมาให้จันทร์นะ”
“นัดมาทำไม” จันทร์ถามกลับเสียงเบาหน้าตาเหลอหลา
“อ้าว! จันทร์เคยบอกว่าอยากให้วุ้นเป็นพ่อสื่อ”
“ซุบซิบอะไรเนี่ย” เสียงทักดังใกล้หูทำให้ผมกับจันทร์สะดุ้งโหยง หันไปเห็นพี่พร้อมยืนหรี่ตาจับผิดอยู่ด้านหลัง หันไปอีกด้านก็เห็นกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีก้าวเท้านำไปไกลแล้ว
“ไม่มีอะไร” ผมบอกปฏิเสธยกยิ้มและเอ่ยชวน “ไปกินข้าวกันเหอะ”
“ใช่ค่ะ ไปกินข้าวกันเถอะพี่พร้อม” จันทร์พูดสำทับ
“เฮอะ! คนไม่สำคัญอย่างเราก็ไม่มีใครสนใจแบบนี้ล่ะนะ” พี่ยอพูด
ผมจึงเอาใจด้วยการเดินอ้อมไปด้านหลังของเขาและดันแผ่นหลังให้อีกฝ่ายก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า “ไอ้พี่ยอก็รีบเดินไปกินข้าวแต่โดยดีเดี๋ยวนี้”
ถึงโรงอาหารจับจองโต๊ะที่นั่งได้เรียบร้อย ผมเดินไปซื้อข้าวของตัวเอง หย่อนก้นลงนั่งโดยมีพี่พร้อมตามมานั่งข้าง ๆ แต่เผอิญว่าผมถอดความหวั่นไหวเก็บไว้พร้อมโทรศัพท์มือถือแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้นายนภัสศัยพร้อมสู้เต็มที่!!!
ทว่าทุกอย่างผ่านไปปกติ พี่พร้อมคุยกับผมและเพื่อน ๆ อย่างปกติ ไม่มีการพูดจาสองแง่สองง่ามให้เข้าใจผิด สงสัยเขาคงเบื่อที่จะอ่อยผมแล้วล่ะ ความรู้สึกวูบโหวงเสียดายผุดขึ้นมาในอกชั่วแว็บหนึ่ง ก่อนที่ผมจะสลัดมันทิ้งพลางท่องชื่อเหยียนจิ่นลี่ซ้ำ ๆ
“เป็นอะไร”
ผมมองหน้าเจ้าของคำถามด้วยความแปลกใจ นึกสงสัยครามครันว่าเขาแค่ถามไปอย่างนั้นหรือเพราะรู้ว่าผมมีอาการผิดปกติจริง ๆ แต่ผมเลือกถามกวนกลับไป
“เป็นอะไรเหรอ” น้ำเสียงผมแดะแด๋เล็กน้อยแต่พองาม
เขายิ้มมอง “ทำหน้าเหมือนท้องผูก เมื่อเช้าไม่ได้เข้าห้องน้ำเหรอ”
ผมผงะไป
ดีนะ... กินข้าวอิ่มแล้ว
ผมจึงเบ้ปาก “ใครเขาถามเรื่องแบบนี้กัน”
“อ้าว! เป็นห่วงก็ต้องถามสิ”
“อะแฮ่ม ๆ แค่ก ๆ”
“เป็นอะไรหรือน้องจันทร์” คนที่เอ่ยคำถามเป็นเพื่อนสนิทของพี่เทคอย่างพี่ยอ แต่เพื่อนร่วมรุ่นของผมกลับจงใจพูดตอบพี่พร้อม
“เหมือนมีอะไรติดคอจันทร์เลยค่ะพี่พร้อม”
“แก้วน้ำน้องจันทร์อยู่ตรงนั้นไม่หยิบขึ้นมาดื่มล่ะครับ” พี่พร้อมตอบกลับไป
“อะไรกัน? จันทร์รู้สึกติดคอ พี่พร้อมไม่ห่วงจันทร์บ้างเหรอ” จันทร์ถามเสียงอ่อนเสียงหวานได้ยินแล้วแสลงใจอะ ผมจึงลุกขึ้นยืน ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ต่างหันมองผมเป็นตาเดียว
“วุ้นจะไปซื้อขนม” ผมพูดบอกและยกจานข้าวของตัวเองไปเก็บที่ด้วย ก้าวเท้าพ้นสายตาพวกเขาแล้วผมจึงย้ำบอกตัวเองอีกรอบ
‘ตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ จะมาโลเลอีกไม่ได้นะ!’
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++