Chapter 2 : คนที่เริ่มเข้าใจ
วันนี้ภูมิมาโรงเรียนสายกว่าปกติด้วยท่าทางสะลึมสะลืออย่างบอกไม่ถูก
วงดนตรีของภูมินัดซ้อมทุกวันตอน 7.15 จนถึง 8.30 และเป็นโชคดีของวงดนตรีโรงเรียนที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติเหมือนคนอื่นๆ ภูมิมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าเขาสายไปแล้วห้านาที ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเร่งพาตนเองผ่านสนามฟุตบอลเพื่อไปยังห้องดนตรี
ทันทีที่ภูมิเปิดประตูเข้าไป เสียงต้อนรับก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากเพื่อนร่วมวง
“ไอ้ภูมิมาสาย จ่ายมาห้าบาทเลยโว้ย!”
“เออๆ รู้แล้วน่า”
มีกฎว่าหากใครในวงมาสายจะถูกปรับนาทีละหนึ่งบาท ซึ่งก็สร้างเงินทุนเข้าวงได้มากโข สำหรับคนที่มาเช้าอยู่แล้วก็สบายไป แต่คนที่มาสายเป็นประจำก็เรียกได้ว่ากระเป๋าแฟบเลยทีเดียว
ทุกคนในวงเซ็ตเครื่องดนตรีเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงภูมิที่ต้องรีบวางกระเป๋าแล้วเดินไปเสียบปลั๊กแอมป์กีตาร์ ก่อนหยิบเอฟเฟกต์มาต่อเข้ากับเครื่อง เปิดแอมป์แล้วปรับความดังเสียงให้พอเหมาะจนเข้าที่เข้าทาง
เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องเก็บเสียง แต่นักดนตรีทุกคนกลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาและชินกันเสียแล้ว หากเป็นคนนอกเข้ามาได้ยินคงหนวกหูไม่น้อย
ภูมิดีดกีตาร์ตามจังหวะของเพลงแต่ละเพลงซึ่งมีทั้งร็อคและแนวอื่นๆ สลับกันไป อย่างหนึ่งที่ทำให้เขาชอบการเล่นดนตรีเป็นวงคือการที่ทุกคนเล่นเครื่องดนตรีของตัวเองไปพร้อมๆ กันจนผสมผสานเป็นเพลง โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลย กระนั้นใบหน้าของสมาชิกทุกคนก็ประดับด้วยรอยยิ้ม
ภูมิรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจทุกครั้งที่ได้ซ้อม และไม่เคยรู้สึกว่าเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นี้ผ่านไปเชื่องช้าหรือน่าเบื่อ
จนกระทั่งออดเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น ทุกคนจึงทยอยเก็บของและเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน ขณะที่ภูมิกำลังเช็ดสายกีตาร์ พี่เปิ้ล...รุ่นพี่สาวมอหกซึ่งประจำตำแหน่งมือคีย์บอร์ดในวงก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“ภูมิ วันนี้รีบกลับหรือเปล่า”
“ก็...ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” เขาหันไปตอบ แม้จะลังเลเพราะนึกถึงการเรียนพิเศษที่จะมีในตอนเย็น
“งั้นภูมิช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม” พี่เปิ้ลทำหน้าอ้อนตามแบบฉบับของตัวเอง ภูมิหัวเราะหน่อยๆ
“ลองบอกมาสิครับพี่ ถ้าผมช่วยได้ก็จะช่วย อ๊ะ...แต่เรื่องเงินขอปฏิเสธนะครับ”
“ไม่ใช่สักหน่อย คืองี้...ห้องของพี่มีงานวิชาสุขะ อาจารย์ให้ทำโฆษณาต่อต้านยาเสพติดน่ะ แล้วคือต้องส่งอาทิตย์หน้าแล้ว แต่พวกพี่ลืมทำ โธ่...อย่าเพิ่งมองอย่างนั้นสิ” พี่เปิ้ลรีบทำเสียงอ่อนทันทีเมื่อเขาจ้องเขม็ง “ก็งานมอหกมันเยอะนี่นา ไหนจะเตรียมสอบนู่นนี่ พวกเราเลยลืมกันซะสนิทเลย กลุ่มพี่ก็ไม่มีใครมีหัวด้านนี้เลยสักคน ภูมิชอบถ่ายวีดิโอใช่ไหมล่ะ ช่วยพี่หน่อยนะ เนี่ย วันนี้พี่เอากล้องมาให้ด้วย พล็อตคร่าวๆ ก็คิดกันไว้แล้ว แค่อยากได้ตากล้องที่มีมุมภาพเจ๋งๆ ตัดต่อดีๆ ใส่ซาวด์เทพๆ แค่นั้นเอง”
“แล้วผมเข้าข่ายตรงไหนไม่ทราบครับ” ภูมิเบ้ปาก “ผมชอบถ่ายวีดิโอก็จริง แต่ไอ้เรื่องมุมภาพเจ๋งซาวด์เทพน่ะผมทำไม่ได้หรอก”
“พี่เชื่อว่าภูมิทำได้! นะๆๆๆ ภูมิ น้าาา”
ว่ากันว่าผู้หญิงมีความสามารถในการใช้ลูกอ้อนรบเร้าได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งภูมิเพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้เอง เพราะในที่สุดเขาก็ตอบตกลงไป
ภูมิโบกมือลาเพื่อนร่วมวงขณะแยกย้ายกันไปเรียน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โนเกียคู่ใจออกมาแล้วกดเข้าไอคอนข้อความ เลือกชื่อของคนที่ต้องการจะส่งแล้วพิมพ์เนื้อหาลงไป
‘พี่ภาคย์ ฝากบอกพี่โฟล์คทีสิว่าวันนี้เรียนไม่ได้แล้ว พี่เปิ้ลขอให้ช่วยอัดวีดิโอ’
ภูมิเช็คข้อความสองสามรอบก่อนกดส่ง แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม
หากเป็นปกติภูมิมั่นใจว่าทั้งพ่อและพี่ภาคย์คงไม่สนับสนุนให้เขาทำกิจกรรมพวกนี้แน่ แต่ครั้งนี้อ้างชื่อพี่เปิ้ลไปเลยสบายใจได้ว่าพี่ภาคย์คงไม่ว่าอะไรนัก เพราะพี่เปิ้ลกับพี่ภาคย์เป็นสายรหัสกันตอนเรียน และพี่ภาคย์ก็เอ็นดูพี่เปิ้ลพอสมควร
พอไปถึงห้องเรียนก็พบว่าซันจองที่นั่งไว้ให้แล้ว ภูมิจึงก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตอาจารย์ที่สอนหน้าห้อง ก่อนจะเข้าไปนั่งที่ตามระเบียบ มือก็ควานหาชีทกับกล่องดินสอขึ้นมาเหมือนจะตั้งใจเรียน แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่สร้างภาพไม่ให้เป็นที่เพ่งเล็งของอาจารย์เท่านั้น คนอย่างไอ้ภูมิเคยตั้งใจเรียนที่ไหนล่ะครับ
เสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้งต่อกัน ภูมิจึงหยิบขึ้นมาแล้วปลดล็อกหน้าจอ พบว่ามีข้อความเข้าสองข้อความจริงๆ ข้อความแรกมาจากพี่ภาคย์ซึ่งตอบกลับมาว่าอนุญาต ส่วนอีกข้อความมาจากพี่เปิ้ลซึ่งส่งพล็อตเรื่องคร่าวๆ ของโฆษณา รวมทั้งเวลานัดหมายตอนเย็นมาให้
ภูมิอ่านแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ...แน่ใจหรือว่าเป็นพล็อตเรื่อง เขาพบว่ามันเป็นเพียงไอเดียคร่าวๆ เท่านั้น ยังไม่มีรายละเอียดมาเลยว่าต้องการจะสื่อในรูปแบบไหน หรือเนื้อหาเรื่องที่จะถ่ายเป็นอย่างไร
...หมายความว่าเขาต้องเป็นคนคิดทั้งหมดสินะ
“ภูมิ รอนานไหม”
พี่เปิ้ลร้องทักเสียงใสแจ๋ว เมื่อภูมิหันไปมองก็พบว่านอกจากรุ่นพี่สาวแล้วยังมีก๊วนเพื่อนสนิทมาอีกสี่คน บางคนภูมิก็รู้จักเพราะเคยเห็น แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า
“นานจนรากงอกแล้วอ่ะพี่” ภูมิว่าติดตลก พี่เปิ้ลถลึงตาใส่ เขาจึงหัวเราะแล้วพูดต่อ “โอเคไม่แกล้งละ เข้าเรื่องกันเลยเนอะ จากคอนเซปต์โฆษณาที่พี่ส่งให้ผมเมื่อเช้า ผมว่านักเรียนเป็นตัวสื่อก็ดีนะ ที่ผมคิดมาคืออย่างนี้...”
แล้วภูมิก็ใช้เวลาประมาณสิบนาทีอธิบายรูปแบบของคลิปวีดิโอที่เขาตั้งใจจะทำ เมื่อตกลงกันได้แล้วภูมิจึงเริ่มถ่ายแต่ละฉาก ทำหน้าที่เป็นทั้งตากล้องและผู้กำกับ กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนเกือบหกโมงเย็น
ขณะที่ภูมิกดดูคลิปที่ถ่ายอีกรอบเพื่อเช็คความเรียบร้อย เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ภูมิจึงวางกล้องลงข้างตัวแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ประหลาดที่ภูมิไม่เคยเห็น แต่เขาก็กดรับพร้อมกรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล”
[ภูมิ นี่พี่เองนะครับ]
“ครับ?” ภูมิตอบรับอย่างงงๆ ใช้เวลาประมาณสามวินาทีในการจะนึกถึงเจ้าของเสียง
เฮ้ย...เสียงนี้มัน...
“พี่โฟล์ค!”
[ใช่ครับ ตอนนี้ภูมิยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่า] ปลายสายตอบกลับมา
“อ่า อยู่พี่ เพิ่งถ่ายวีดิโอเสร็จพอดี กำลังจะกลับ”
[ไอ้ภาคย์บอกพี่เรื่องที่ภูมิติดงานแล้วนะ ตอนนี้พี่มาทำธุระแถวโรงเรียนภูมิ ให้พี่รับกลับบ้านไหม]
“อ่า” ภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเพิ่งรู้จักกับพี่โฟล์คได้แค่วันเดียวเลยอดเกรงใจไม่ได้ แต่ยังไงพี่โฟล์คก็เป็นเพื่อนสนิทพี่ภาคย์ ...คงไม่มีปัญหามั้ง “เอางั้นก็ได้ พี่โฟล์คใกล้ถึงยังอะ”
[อีกสักสิบนาทีครับ]
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมรอหน้าโรงเรียนนะ”
[โอเคครับ แล้วเจอกัน]
ภูมิกดวางสาย พร้อมกับที่พี่เปิ้ลเดินเข้ามาหา
“เรียบร้อยไหมภูมิ มีอะไรต้องแก้อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้วล่ะ เดี๋ยวผมเอากลับไปตัดต่อแล้วก็ใส่ซาวด์ให้ อ้อ พี่เปิ้ลอย่าลืมส่งรายชื่อกลุ่มพี่ให้ผมด้วยนะ ต้องใส่ในวีดิโอด้วยใช่ไหม”
พี่เปิ้ลพยักหน้าให้อย่างกระตือรือร้น ซ้ำยังส่งสายตาหวานฉ่ำจนภูมิขนลุก “ขอบคุณมากเลยนะน้องภูมิสุดหล่อของพี่ เดี๋ยวว่างๆ จะไปพาเลี้ยงบุฟเฟต์ เคปะ”
“ไม่พลาดอยู่แล้ว”
ตอบแบบทีเล่นทีจริงไปงั้นแหละครับ เห็นพี่เปิ้ลบอกจะเลี้ยงทีไรก็ลืมทุกที
หลังจากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกลับบ้าน พ่อของพี่เปิ้ลมารอรับนานแล้ว ส่วนเพื่อนของพี่เปิ้ลบางคนก็อยู่หอใกล้ๆ โรงเรียน บางคนก็รอผู้ปกครองมารับ
ภูมินั่งรออยู่ในโรงเรียนประมาณห้านาทีพี่โฟล์คก็โทรเข้ามาบอกว่าถึงแล้ว พร้อมทั้งบอกยี่ห้อและเลขทะเบียนรถเสร็จสรรพ
เมื่อภูมิเดินออกไปก็ถึงกับตะลึงค้าง เพราะร่างสูงที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากำลังยืนพิงรถเบนซ์คันสีดำด้วยมาดคุณชายสุดฤทธิ์ แบบที่คนรอบข้างยังต้องหันมามอง ขนาดเขาเองยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปหา จนเจ้าของรถหันมาเห็นจึงเอ่ยทัก “อ้าวภูมิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมครับ”
“เอ่อ” ภูมิเกาท้ายทอยแก้เก้อ พร้อมทั้งก้าวเข้าใกล้รถโดยเสมองไปทางอื่น “รถพี่โคตรหรูเลยว่ะ”
โฟล์คหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้อีกฝ่าย “ขึ้นรถได้เลยครับ”
ตลอดทางบนรถมีเพียงเสียงแอร์กับเสียงดีเจจากคลื่นวิทยุ ภูมิอดรู้สึกอึดอัดไม่ได้ ทั้งจากบรรยากาศในรถหรูที่ไม่คุ้นชิน และจากความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนที่มีฐานะเป็นเพื่อนของพี่ชาย อ้อ...และเป็นครูสอนพิเศษด้วย
ทว่าจู่ๆ ร่างสูงที่ขับรถอยู่ก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาโดยไม่ได้หันมามอง “กล้องวีดิโอตัวนั้นของภูมิเหรอครับ”
“หืม” ภูมิก้มลงมองกล้องวีดิโอที่ตนวางไว้บนตัก ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก เป็นของรุ่นพี่ที่ผมช่วยอัดวีดิโอให้น่ะ”
“เป็นวีดิโอเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ เล่าได้หรือเปล่า”
“ฮื่อ เป็นโฆษณารณรงค์เรื่องยาเสพติด นี่ผมก็อัดเสร็จแล้ว เหลือแค่เอากลับไปตัดต่อกับใส่ซาวด์ให้เนียนๆ”
ประโยคที่ฟังดูราวกับสิ่งที่ทำเป็นเรื่องง่ายทำให้โฟล์คต้องหันไปมองร่างเล็กอย่างสงสัย “ภูมิดูถนัดเรื่องแบบนี้จังนะครับ”
“อืม...ไม่รู้สิ มันก็สนุกดีนะ เคยลองทำครั้งแรกแล้วติดใจ เลยศึกษาเองเรื่อยๆ”
“งั้นภูมิก็มีกล้องเป็นของตัวเองด้วยเหรอครับ”
“กล้องวีดิโอไม่มีหรอก มีแต่กล้องถ่ายรูปธรรมดา แต่ก็เก่ามากแล้วล่ะ”
“ภูมิโชคดีจัง เก่งทั้งดนตรีทั้งถ่ายรูป รู้ไหมว่าพี่อยากเรียนกีตาร์ตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” โฟล์คบ่นแบบไม่จริงจังนัก ร่างเล็กจึงรีบหันมาแย้ง
“โธ่พี่ เรื่องแค่นี้เอง กีตาร์น่ะฝึกเองก็ได้”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ แต่พี่คงไม่มีความอดทนมากพอล่ะมั้ง เพลงง่ายๆ พี่ยังเล่นไม่จบเลย” พูดไปก็หัวเราะไป นึกถึงหลายครั้งที่ขอยืมกีตาร์ของเพื่อนมาดีดเล่น แต่ก็ไม่เคยออกมาเป็นเพลงสักครั้ง แม้แต่เสียงที่ออกมาตอนจับคอร์ดยังไม่เพราะเลย
“ถ้าพี่อยากเล่นเป็นก็ต้องอดทนมากกว่านี้สิ ถ้าพยายามยังไงก็ต้องสำเร็จ” ภูมิบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนโฟล์คหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าๆ โอเคครับ พี่เชื่อก็ได้”
ภูมิยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะแนะนำต่อ “ผมว่าพี่ลองหาเพลงที่ชอบสักเพลงไหม เอาแบบว่าอยากเล่นสุดๆ พี่จะได้มีกำลังใจในการฝึกเล่น”
“อืม ก็น่าสนใจนะ” โฟล์คพึมพำขณะคิดตาม “ไว้พี่จะลองคิดดูแล้วกัน”
“มีอะไรก็ถามผมได้นะพี่ เรื่องนี้ผมถนัด” ภูมิฉีกยิ้ม
“โห ไม่ค่อยถ่อมตัวเลยนะครับลูกศิษย์พี่ ดูจะถนัดหลายอย่างเลยนะเนี่ย นอกจากดนตรีแล้วมีอะไรอีกบ้างล่ะ”
“พวกถ่ายภาพกับวีดิโอก็ทำได้นะพี่ แล้วก็...เฮ้ย พี่โฟล์คๆ จอดกินบะหมี่ร้านนี้ได้ปะ ผมโคตรชอบอะ!” ภูมิชี้ไปด้านนอกรถพร้อมทั้งเอ่ยเสียงกระตือรือร้น จนคนขับรถต้องเบี่ยงพวงมาลัยเข้าเลนซ้ายตามคำขอของคนร่วมทาง
รถเบนซ์สีดำจอดเทียบฟุตบาท ดูขัดกับบรรยากาศโดยรอบซึ่งมีร้านบะหมี่รถเข็นเล็กๆ เพียงร้านเดียว กระนั้นภูมิก็แทบจะกระโจนลงจากรถเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ ก่อนนั่งแหมะที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถนักพร้อมทั้งร้องบอกคนขาย “เฮีย เหมือนเดิมที่นึงนะ!” แล้วจึงหันไปถามร่างสูงที่เดินตามมาทีหลัง “พี่โฟล์คเอาไรปะ”
“พี่เอาเหมือนภูมิแล้วกัน” โฟล์คบอกง่ายๆ ขณะทรุดตัวลงนั่ง
“โอเค เฮียๆ เปลี่ยนเป็นเอาสองที่นะ”
รอไม่นานนัก เส้นเล็กน้ำใสสองชามก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ภูมิจัดการหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วโซ้ยเหมือนคนอดอยาก แหงล่ะ ตั้งแต่เลิกเรียนเขายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา เมื่อกี้ที่นั่งรถมาก็ท้องร้องตั้งหลายครั้ง แต่ดีที่เสียงเบาพี่โฟล์คเลยไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงอายตาย
โฟล์คมองคนตรงหน้าอย่างอดขำไม่ได้ ก่อนหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วเริ่มจัดการบะหมี่ในชามของตนเองบ้าง
“เนี่ย ร้านนี้ผมโคตรชอบ แต่ก่อนแวะกินประจำเลย แต่พอเปลี่ยนไปนั่งรถเมล์กลับบ้านก็เลยไม่ได้ผ่านแถวนี้ วันนี้โคตรโชคดีที่พี่มารับ” ภูมิว่าอย่างนั้น
ทั้งสองคนคุยกันสัพเพเหระจนกระทั่งบะหมี่ในชามหมด โฟล์คจึงเดินเอาเงินไปให้ลุงคนขายที่ยืนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ ราคาที่ได้ยินทำให้โฟล์คอดแปลกใจไม่ได้ เพราะถูกกว่าก๋วยเตี๋ยวตามปกติที่เขากินมาก จนไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวราคานี้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กข้างกายเขาก็ดูภูมิใจนักภูมิใจหนากับราคาก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ
ราคาแค่ชามละยี่สิบบาทแต่คุณภาพคับชาม เห็นทีเขาคงต้องมาฝากท้องอีกบ่อยๆ
พอขึ้นรถภูมิก็ยังสามารถหาเรื่องคุยต่อได้เป็นต่อยหอย จนโฟล์คอดคิดไม่ได้ว่าคนขายก๋วยเตี๋ยวแอบใส่ยาอะไรลงไปหรือเปล่า ท่าทีของคนกินถึงได้ผิดจากตอนแรกขนาดนี้
...บางครั้งบุคลิกของลูกศิษย์เขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็รู้สึกสบายใจกับบุคลิกร่าเริงของอีกฝ่ายมากกว่าบุคลิกนิ่งๆ เหมือนคนที่แบกโลกไว้ทั้งใบล่ะนะ
“รู้เปล่าว่าผมเคยเขียนบทแล้วก็กำกับละครห้องด้วยนะ ชนะเลิศของระดับชั้นด้วย อ๊ะ...ยังไม่หมดนะพี่ ภาพถ่ายผมก็ส่งประกวดได้รางวัลชนะเลิศมาแล้วเหอะ” ภูมิได้ทีโม้ยาวเป็นหางว่าว รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนโฟล์คอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ
“ฮ่าๆ ขนาดนั้นเชียว พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ”
กึก
ภูมิรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เผลอหันขวับไปมองร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อกี้พี่โฟล์คพูดว่าอะไรนะ?
เขาน่ะหรือ...เหมาะกับนิเทศมากกว่าหมอ?
ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นในใจ ไม่ใช่ปลื้มปีติกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่อาจจะเรียกได้ว่าเขา...คิดไม่ถึง
...คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใกล้ตัวพูดประโยคนี้ออกมา
...เหมือนว่ากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วจู่ๆ ก็ถูกฉุดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าโฟล์คกลับตีความท่าทางของคนข้างตัวไปอีกอย่าง จึงรีบบอก “ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ถ้าภูมิอยากเป็นหมอจริงๆ ก็เป็นได้นะ เพราะภูมิก็เป็นคนเรียนเก่ง หมอไม่น่าจะยากจนเกินไป...”
“เปล่า” ภูมิเอ่ยขัดขึ้นมาทันที “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก ช่างมันเถอะ”
แล้วจึงหันหน้าไปทางหน้าต่าง ดึงความสนใจของตนเองไปไว้กับทิวทัศน์ด้านนอกผ่านกระจกใส แม้ว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายจะยังวนเวียนอยู่ในใจตลอดก็ตาม
‘พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ’
บางทีถ้าคนพูดประโยคนี้เป็นพ่อหรือพี่ชายของเขา เรื่องทั้งหมดอาจจะดีกว่านี้...
รถเบนซ์คันสีดำเคลื่อนตัวมาจอดหน้าบ้านหลังเดิม ภูมิคว้ากล้องวีดิโอและกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถ
“เดี๋ยวครับภูมิ”
เสียงเรียกจากคนที่นั่งในรถทำให้ภูมิต้องหันกลับไปมอง
“ถ้าวันนี้พี่พูดอะไรไม่ดีหรือทำให้ภูมิไม่สบายใจ พี่ขอโทษนะครับ”
ไม่เลย พี่โฟล์คไม่ได้พูดอะไรไม่ดีหรอก เป็นเขาต่างหากที่เครียดไปเอง และไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเลยเผลอทำให้บรรยากาศอึดอัดไปเสียเฉยๆ
ภูมิไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป ทำเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ แล้วก้มหัวเป็นเชิงลาอีกครั้ง
“แล้วเจอกันนะครับภูมิ” โฟล์คพูดทิ้งท้ายก่อนขับรถออกไป
ภูมิเดินเข้าบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูห้องก่อนทิ้งร่างทั้งร่างบนเตียงนุ่ม นอนพักครู่หนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าตนยังมีงานสำคัญต้องทำจึงเด้งตัวขึ้นมา คว้ากล้องวีดิโอของรุ่นพี่แล้วต่อสายเข้ากับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
แม้จะรู้ว่างานของพี่เปิ้ลมีกำหนดส่งอาทิตย์หน้า นั่นหมายความว่าเขายังมีเวลาวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์อีกสามวัน แต่เพราะไม่อยากเอาเรื่องหนักหัวมาคิดให้ปวดสมอง ภูมิจึงตัดสินใจจะทำวีดิโอให้เสร็จภายในคืนนี้ อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้เขาจดจ่อกับงานโดยไม่เผลอคิดเรื่องอื่นไปพักหนึ่ง
--------------------------------------- TBC -------------------------------------------
ถึงคนในครอบครัวจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนเข้าใจน้องภูมิเพิ่มอีกคนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะคะ

/กอดน้องแรงมาก
CT.hamonigar