【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)  (อ่าน 22656 ครั้ง)

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน

สำหรับภูมิ...พี่โฟล์คเป็นทั้งครูสอนพิเศษ เป็นพี่ชาย เป็นคนให้คำปรึกษา

และเป็นคนที่อยู่ข้างกันในวันที่ไม่มีใคร

ภูมิได้เลือกเส้นทางอย่างที่ต้องการ และได้ความฝันของตัวเองกลับมา

ทว่าความรักที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจ...กลับไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนความฝัน

♫ Songs of the story ♫
(เป็นเพลงสามเพลงที่เราใช้ฟังตลอดการเขียนนิยายเรื่องนี้ เลยอยากนำมาแชร์กันค่ะ)

--------------------------------------------------

นิยายเรื่องนี้เคยเขียนจบแล้วในเว็บอื่นนะคะ อาจมีคุ้นกันบ้าง^^ แต่เพราะเราเริ่มเขียนตั้งแต่ 4 ปีก่อน พอมาย้อนอ่านก็คันไม้คันมือกับที่เคยเขียนไว้ตอนเด็ก...เลยขออนุญาตลบแล้วรีไรท์ใหม่เพื่อเกลาให้นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานที่เราพอใจที่สุดค่ะ เลยถือโอกาสนำฉบับรีไรท์มาลงในเล้าด้วยเลย

ฝากตัวด้วยนะคะ สามารถแนะนำติชมได้ค่ะ ยินดีมากๆ<3

CT.hamonigar

ปล.แพลนตอนนี้คืออัพทุกวันอังคาร พฤหัส เสาร์นะคะ จะพยายามให้ได้ตามตารางนี้เรื่อยๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงยังไงจะแจ้งอีกครั้งค่ะ

ทักทายกันได้ใน facebook กับ twitter นะคะ <3

-------------------------------------------------------

สารบัญ

บทนำ
บท 1 วันแรก
บท 2 คนที่เริ่มเข้าใจ
บท 3 เคว้งคว้าง
บท 4 ปลอบ
บท 5 ยามค่ำคืน
บท 6 อีกหนึ่งมุมมอง
บท 7 เคลียร์
บท 8 คำชวนของเพื่อน
บท 9 เรื่องที่ปกปิด
บท 10 ทะเลเฮฮา
บท 11 คำสารภาพในคืนค้างแรม
บท 12 การกระทำที่สวนทาง
บท 13 ความในใจคนป่วย
บท 14 ความสัมพันธ์ที่พัฒนา
บท 15 ความอบอุ่น
บท 16 ความลับไม่มีในโลก
บท 17 หัวใจที่เจ็บปวด
บท 18 ในเบื้องลึกของหัวใจ
บท 19 อีกครั้ง
บท 20 สับสน
บท 21 เรื่องที่รับรู้
บท 22 ความจริง
บท 23 นับจากนี้
บทส่งท้าย


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 23:08:55 โดย CT.hamonigar »

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Intro
   
“เฮ้อ...”
   
ท่ามกลางความวุ่นวายของห้องเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ภูมิ...เด็กหนุ่มร่างเล็กซึ่งเป็นเจ้าของเก้าอี้ติดหน้าต่างแถวหลังสุดได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ขณะมองดูกระดาษที่แปะไว้บนสมุดพก

   มันคือใบแจ้งผลการเรียนของเทอมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ใครหลายคนดีใจกับตัวเลขที่เข้าใกล้สี่จุดศูนย์ และทำให้ใครหลายคนแทบน้ำตาเล็ดกับตัวเลขที่ทิ้งห่างออกไป

   สำหรับภูมิ เกรดสามกว่าๆ ที่ปรากฏบนกระดาษไม่ใช่ตัวเลขที่เลวร้ายนัก ออกจะน่าประหลาดใจด้วยซ้ำสำหรับเด็กกิจกรรมที่สนใจการเล่นมากกว่าการเรียน กระนั้นภูมิก็รู้ว่าคนทางบ้านคงไม่ดีใจไปกับเขาเท่าไหร่ ...เขาไม่ใช่เด็กเรียนแย่นัก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเรียนเก่ง โดยเฉพาะเมื่อถูกเปรียบเทียบกับพี่ภาคย์...พี่ชายคนเดียวที่เพิ่งสอบติดแพทย์ไปหมาดๆ

   ไม่รู้เหมือนกันว่าค่านิยมของสังคมกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีเพื่อนรอบข้างก็ตั้งเป้าอยากเป็นหมอกันเกือบทุกคน อาจารย์ต่างพากันแนะนำให้สอบแข่งขันเข้าคณะนี้ให้ได้ ถ้าทำได้ก็จะได้โล่รางวัล ได้ใบประกาศเกียรติคุณ ได้ออกไปโชว์ตัวหน้าเสาธง ยิ่งเมื่อพี่ชายของเขาสอบติดคณะที่ใครๆ ใฝ่ฝันได้สำเร็จ เขาก็ยิ่งถูกกดดันอีกเป็นเท่าตัว

   ทั้งที่ตอนจะขึ้นมอสี่ เขาเลือกแผนการเรียนวิทย์-คณิตเพราะคาดหวังว่าตอนเข้ามหาวิทยาลัยจะมีโอกาสเลือก แต่กลับกลายเป็นว่าคณะที่เขาอยากเข้าจริงๆ กลับยิ่งห่างไกลกว่าเดิม

   ภูมิอยากเข้าคณะนิเทศฯ อยากทำงานด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง

...มันคือตัวตนที่เขาค้นพบมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทั้งจากการทำกิจกรรมมากมายในรั้วโรงเรียน ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และตั้งคำถามกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน

“เกรดเป็นไงวะไอ้ภูมิ”

ฝ่ามือของใครบางคนแปะหมับเข้าที่ไหล่พร้อมกับเอ่ยถาม คนที่กำลังคิดอะไรเครียดๆ จำต้องเงยหน้ามองเพื่อนสนิท ก่อนถอนหายใจอีกรอบ

“คงโดนด่าอีกตามเคย”

คำตอบที่แปลความหมายสั้นๆ ได้ว่า...ไม่โอเค ทำให้ซัน...เพื่อนที่ซี้กันมาตั้งแต่มอหนึ่งบีบไหล่เบาๆ เป็นเชิงปลอบ เพราะเข้าใจดีว่าเพื่อนของเขาถูกกดดันจากคนรอบข้างพอสมควร

“เอาน่า ช่างมันเถอะ” ซันว่าอย่างนั้น เหลือบตามองใบเกรดบนสมุดพกของเพื่อนแล้วพูดต่อ “เกรดมึงไม่ได้แย่นะ ยิ่งหัวสมองระดับมึงกูว่าเข้านิเทศได้สบาย ส่วนเรื่องที่บ้าน...กูว่าเดี๋ยวเขาก็เข้าใจเองแหละ”

ภูมิพยักหน้ารับแกนๆ เข้าใจว่าเพื่อนคงอยากปลอบ แต่เขานั่นแหละรู้ดีที่สุดว่าการจะให้ที่บ้านยอมรับคงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก

...เขาพยายามมาตั้งแต่ก่อนขึ้นมอปลาย จนตอนนี้เป็นนักเรียนชั้นมอห้าแล้ว แต่คนทางบ้านกลับไม่เคยเข้าใจว่าเขาไม่ได้อยากเป็นหมอแม้แต่น้อย

...แตกต่างจากไอ้ซันราวฟ้ากับเหว

ภูมิคิดขณะเหลือบมองเพื่อนข้างตัวที่กำลังเตรียมหนังสือสำหรับเรียนวิชาแรก

...ไอ้ซันอยากเป็นหมอตั้งแต่จำความได้

มันเล่าว่าตอนเด็กๆ พ่อแม่ทำงานหนัก มันเลยเป็นคนที่คอยดูแลน้องสาวเวลาป่วยตลอด มันชอบดูแลคนขนาดที่ว่าพ่อกับแม่จะมาป้อนข้าวป้อนยาให้น้องก็ยังไม่ยอม ไอ้ซันอาสาจะทำเองทุกอย่าง พ่อกับแม่มันไม่เคยบังคับเรื่องการเรียนหรืออนาคต แต่ตัวไอ้ซันเองนั่นแหละที่ชัดเจนกับเป้าหมายจนน่านับถือ

พอหันมาดูตนเองซึ่งไม่มีความคิดที่จะเรียนเฉียดหมอเลยสักนิด แถมความชอบจริงๆ ยังถูกขัดขวาง

   ...ก็ไม่รู้เหมือนว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตดี...





   ภูมิลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงจ่ายให้ ก่อนกระชับเป้สะพายหลังแล้วมองลอดรั้วไม้เข้าไปในตัวบ้าน รถโตโยต้าคันสีขาวคุ้นตาจอดเด่นเป็นสง่าภายในรั้ว บ่งบอกว่าคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

   ภูมิผลักประตูไม้เข้าไป มั่นใจว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้นต้องลอดเข้าไปถึงหูคนในบ้านแน่ กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ เดินเข้าตัวบ้านด้วยท่าทางที่ดูเหมือนปกติ

   “กลับมาแล้วหรือ”

   ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไป เสียงทักจากชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นตามคาด แม้จะฟังดูเรียบเฉยเหมือนคำทักทายปกติ แต่เขากลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

   เป็นความอึดอัดที่เกิดขึ้นจนชินชา...ล่ะมั้ง

   “ครับ” ภูมิตอบพร้อมกับหันไปมองเจ้าของคำถามซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในครัว ใบหน้าของคนมีอายุภายใต้กรอบแว่นหนาไม่ได้ชายตามาทางเขา ข้างๆ กันนั้นมีร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาสนใจแต่ข้าวในจานด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย

   ภูมิปรายตามองคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อและเป็นพี่ชายของตนก่อนลอบถอนหายใจ เตรียมจะเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของตนเอง

   “ไม่คิดจะให้พ่อกับพี่แกดูเกรดหน่อยเหรอ”

   พี่ภาคย์ทักขึ้นอย่างรู้ทัน ...แน่นอนว่าพี่ชายเขาคงไม่ลืมวันออกเกรดของโรงเรียนเก่า

   ภูมิจำใจต้องวางกระเป๋านักเรียนลง หยิบสมุดพกเล่มบางออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   ผลที่ตามมาไม่ต่างจากที่เขาคาดมากนัก ตอนที่คิ้วของพ่อกระตุกเมื่อเห็นตัวเลขบนกระดาษ เพียงเท่านั้นภูมิก็เตรียมใจรับคำบ่นเป็นชุดอย่างที่เจอประจำ

   ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป เมื่อคนเป็นพ่อทำเพียงแค่ปิดสมุดกลับตามเดิม แล้ววางลงกับโต๊ะ

   “ภาคย์ ฝากน้องด้วย” ชายวัยกลางคนหันไปหาลูกชายคนโตพร้อมทั้งพูดประโยคที่ภูมิไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ตามเดิม

   ภาคย์วางช้อนส้อมในมือลง แล้วบอกเสียงเรียบ “พ่อกับพี่ตัดสินใจแล้วว่าจะให้แกเรียนพิเศษที่บ้าน”

   “เรียนพิเศษที่บ้าน?”

   ภูมิเอ่ยทวนอย่างนึกว่าตนเองหูฝาดไป

   “ใช่ เรียนแบบตัวต่อตัว เขาจะมาสอนแกที่บ้านนี่แหละ”

   “แต่เรียนตัวต่อตัวมันแพงนะพี่ภาคย์ แล้วที่ผมเรียนพิเศษอยู่แล้วทุกอาทิตย์มันไม่โอเคตรงไหน”

   “อย่าคิดว่าพ่อกับพี่ไม่รู้เรื่องที่แกโดดเรียนไปซ้อมดนตรีนะ” ภาคย์โต้กลับด้วยแววตาแข็งกร้าว ทำเอาคนเป็นน้องชายเสียวสันหลังวาบ ทั้งยังรู้สึกหน้าชาเมื่อถูกคนเป็นพี่ชายจับความลับได้

   ใช่...มีหลายครั้งทีเดียวที่เขาไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน โดยให้พ่อกับพี่ภาคย์เข้าใจว่าไปเรียนพิเศษ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นคงไม่มีใครอนุญาตให้เขาไปแน่ๆ

   “คิดว่าที่พ่อทำงานหนักเพื่อส่งแกเรียนมันไม่มีค่าเลยเหรอวะ!”

   “...ผมขอโทษครับ”

   คนมีชนักติดหลังไม่มีข้อแก้ตัว ได้แต่ก้มหน้ารับผิดอย่างจำยอม

   ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากโกหก แต่ตอนนั้นใกล้ถึงงานแข่งที่เขาและเพื่อนๆ เฝ้ารอมาทั้งปี เพื่อนร่วมวงของเขาทุกคนต่างนัดซ้อมอย่างขะมักเขม้นภายใต้เวลาที่เหลือจำกัด เขาจึงจำต้องทิ้งการเรียนพิเศษและเลือกไปซ้อมวงกับเพื่อน

   “พี่จะบอกแค่นี้แหละ อ้อ...เกรดเทอมนี้แย่ลงไปเยอะเลยนี่”

   น้ำเสียงของภาคย์ดูเย็นลงเมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดของน้องชาย เขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายของเขาไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี แต่ผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด

   แต่ภูมิก็ยังเอ่ยแย้งอย่างไม่เข้าใจ

   “พี่ภาคย์ ผมรู้ว่าผมผิด แต่พี่จะจ้างครูสอนพิเศษทำไม มันแพงกว่าเรียนธรรมดาหลายเท่าเลยนะพี่ บ้านเรามีเงินเหลือใช้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   เขายกข้อเท็จจริงมาโต้ล้วนๆ  เพราะตอนนี้คนที่ทำงานหาเงินเข้าบ้านมีเพียงพ่อคนเดียว และตำแหน่งงานของพ่อก็ไม่ได้สูงอะไร ทั้งยังต้องส่งเสียลูกชายเรียนตั้งสองคน พี่ภาคย์เองก็เพิ่งเข้ามหา’ลัยได้ไม่นาน แม้ค่าเทอมแพทย์จะไม่แพงนักเพราะมีทุนสนับสนุน แต่การเงินของบ้านก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

   “ไม่ได้จ้างหรอก ฟรี”

   “ฮะ?”

   “เพื่อนพี่ไง ไอ้โฟล์คน่ะ จำได้รึเปล่า”

   ภูมิส่ายหน้าเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหู

   “งั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอ” ภาคย์ตัดบท “เขาจะมาสอนแกที่บ้านตอนเย็นตั้งแต่พรุ่งนี้ อย่าลืมล่ะ หลังจากนั้นค่อยไปคุยกันเองว่าจะเรียนวันไหนอีก”

   “แต่ตอนเย็นผมมีซ้อมดนตรี...”

   “ซ้อมเสร็จก็กลับสิ ไม่เกินหกโมงหรอกใช่มั้ย”

   “...อืม”

   หลังจากนั้น ภาคย์ก็หยิบช้อนส้อมขึ้นมาและก้มลงตักข้าวเข้าปาก ไม่สนใจน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก

   ภูมิมองพี่ชายสลับกับคนเป็นพ่อแล้วแอบถอนหายใจ ก่อนคว้าสมุดพกกับกระเป๋าขึ้นมาแล้วเอ่ยเบาๆ “ผมขึ้นห้องแล้วนะ”

   “เออ”

   เมื่อได้รับการตอบรับ ภูมิจึงลุกออกจากห้องครัว เดินผ่านบันไดไม้ขึ้นมาที่ชั้นสอง แล้วตรงดิ่งเข้าห้องนอน

   ภูมิเดินไปนั่งบนเตียงไม้ที่อยู่ติดหน้าต่าง เอื้อมมือไปหยิบกล้องถ่ายรูปสีดำที่วางอยู่บนหัวเตียงมาถือไว้ ยกยิ้มให้ของในมือเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งแผ่นหลังลงกับฟูกโดยที่ยังถือกล้องแนบอก มืออีกข้างยกขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วหลับตาลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ

   ความเงียบโรยตัวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ...แทนที่จะทำให้เจ้าของห้องผ่อนคลาย ภูมิกลับรู้สึกถึงปัญหามากมายที่วนเวียนรอบด้าน อีกทั้งบานประตูที่เหมือนจะเป็นทางออกกลับดูห่างไกลจนแทบมองไม่เห็น

   เขาตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่า...เมื่อไหร่ความสับสนเหล่านี้จะจบลง


---------------------------------------------

หลังเจอพี่โฟล์ค ชีวิตของน้องภูมิจะเปลี่ยนไปค่ะ :)

CT.hamonigar

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 1 : วันแรก       

           

              เย็นวันต่อมา ภูมิที่เพิ่งกลับถึงบ้านต้องกะพริบตาปริบๆ  มองพี่ชายตัวเองสลับกับคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่น

           

          “นี่ไอ้โฟล์ค ที่บอกไว้เมื่อวาน” ภาคย์พูดกับน้องชาย ก่อนหันไปหาร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ “มึง นี่ภูมิน้องกู”



            “สวัสดีครับ”



            คำทักทายแสนสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมา ทำให้ภูมิแทบอยากจะร้องดังๆ ด้วยความอิจฉาปนหมั่นไส้



ก็ไอ้คนตรงหน้าเขาดันแผ่ออร่าของ ‘ผู้ชายเพอร์เฟค’ ออกมาซะจนเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังสัมผัสได้ ส่วนสูงร้อยหกสิบห้าของตนดูด้อยยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจอส่วนสูงที่ดูยังไงก็มากกว่าร้อยแปดสิบของคนตรงหน้า ยังไม่นับดวงตาคมเข้มกับจมูกได้รูปที่ดูดีมีราศี เทียบกับตาตี๋ชั้นเดียวแบบคนจีนของเขาแล้ว...



            ช่วยแบ่งความหล่อมาให้ผมสักครึ่งนึงจะเป็นพระคุณมากเลยครับ



          ทว่าด้วยมารยาทจึงจำต้องเก็บอาการ ปกปิดด้วยการกระแอมไอสองสามทีก่อนตีหน้าเรียบ “อะ...โอเค”



            “งั้นกูไปข้างนอกแล้วนะ”



ภาคย์คว้ากุญแจรถขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเดินออกไป ปล่อยให้คนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่มองหน้ากันไปมา



จนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงเป็นฝ่ายพูดก่อนพร้อมรอยยิ้ม “งั้นมาเริ่มกันเลยไหมครับ”



            “หืม”



            “ภูมิจะให้พี่สอนที่ไหนดีครับ ห้องนั่งเล่น หรือห้องภูมิ”



            เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้สมองประมวลผลคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่ตนกับครูสอนพิเศษกำลังนั่งอยู่สองคน แล้วเริ่มไตร่ตรองความเหมาะสมทั้งหลายแหล่



...ถ้าเป็นห้องนอนมันออกจะแคบไปหน่อย แถมเขายังไม่ได้จัดห้องอีกต่างหาก ห้องนั่งเล่นแหละกว้างดี อยู่ใกล้ครัว หยิบของกินอะไรก็ง่าย



            คิดได้ดังนั้นจึงหันไปตอบ “ห้องนั่งเล่นแล้วกัน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”



            “ครับ”



            พออีกฝ่ายตอบง่ายๆ ภูมิก็หายเข้าไปในครัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าขวดเล็กสองขวด เขาไม่รู้ว่าพี่โฟล์คชอบน้ำอะไรจึงรินนำส้มของโปรดตัวเองมาด้วยอีกสองแก้ว



            ก็เขามาสอนให้ฟรีนี่นา ต้องบริการดีหน่อย



            “จะเริ่มกันเลยมั้ยพี่” ภูมิถามเมื่อนั่งลงหน้าโซฟา แต่อีกคนกลับส่ายหน้า



            “พี่ยังไม่รู้เลยครับว่าจะสอนอะไรภูมิ”



            อะไรของพี่โฟล์ควะ



            “อ้าว พี่ไม่ได้เตรียมมาเหรอ”



            “เตรียมครับ แต่ในเมื่อพี่ยังไม่รู้ว่าภูมิอยากเรียนอะไร แล้วพี่จะสอนภูมิได้ยังไง”



            ภูมิชะงักไปทันที



            ...คนตรงหน้าหมายความว่ายังไง ยังไม่รู้จะสอนอะไรเพราะยังไม่รู้ว่าเขาอยากเรียนอะไร...



            ...มีคนเคยสนใจด้วยหรือไง...มีคนเคยถามความต้องการของเขาด้วยหรือไง...



            เรื่องที่เขาอยากเรียนนิเทศฯ น่ะ...ไม่ใช่ว่าไม่เคยพูดกับทางบ้าน แต่ทั้งพ่อทั้งพี่ภาคย์ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาเลยสักคน ทุกคนอ้างแต่เรื่องอนาคต บอกว่านิเทศฯ เป็นอาชีพในโลกแห่งความฝันที่เขาเพ้อเจ้อไปเอง แต่สิ่งสำคัญคืออนาคตที่เขาต้องดำรงชีพให้ได้ และหมอก็เป็นอาชีพที่จะตอบโจทย์นี้ได้



            ภูมิเคยโต้แย้งหลายครั้งจนเกิดเป็นเรื่องทะเลาะใหญ่โต ทั้งพ่อทั้งพี่...ไม่มีใครอยู่ข้างเขา หรือเห็นด้วยกับเขาเลยสักคน จนเขารู้ว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์หากจะคุยเรื่องนี้กันอีก



            ทุกวันนี้ภูมิพยายามทำตัวไม่เรื่องมาก พ่อสั่งให้เรียนอะไรก็เรียน ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็แลกมากับการปิดกั้นตัวเอง ไม่โต้แย้ง...แต่มีความคิดที่คัดค้านในใจมาตลอด



            ด้วยเหตุนี้ ประโยคที่พี่โฟล์คเพิ่งถามเมื่อครู่จึงเป็นประโยคที่เขาไม่ได้รับบ่อยนัก



            ...มีคนสนใจจริงๆ หรือว่าเขาอยากเรียนอะไร



            “สอบหมอต้องใช้หลายวิชานะ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข อังกฤษ ไทย สังคม ภูมิอยากเรียนวิชาไหนกับพี่ก่อนล่ะครับ หรือมีวิชาไหนที่คิดว่ายังไม่ถนัดไหม”

 

           ราวกับความหวังในใจดับวูบลง



...อะไรกัน ที่แท้ก็เหมือนเดิม...



            ...แค่จะให้ช่วยเลือกว่าจะสอนวิชาอะไรก่อนเท่านั้นสินะ...



ภูมิหลุบสายตาลงต่ำก่อนตอบส่งๆ  ปัดความผิดหวังในใจทิ้ง “อะไรก็ได้ ผมไม่เก่งสักวิชานั่นแหละ”



...บ้าจริงๆ  ...จะหวังอะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียว



“งั้นพี่ขอดูใบเกรดของภูมิเทอมนี้ได้ไหมครับ”



“อือ เดี๋ยวไปหยิบมาให้”



ภูมิว่าเสียงเรียบ ก่อนเดินหายขึ้นไปบนห้องนอน









 

โฟล์คนั่งมองนาฬิการุ่นโบราณที่มีหน้าปัดเป็นเลขโรมัน เข็มยาวกระดิกไปเรื่อยๆ บ่งบอกเวลาที่ผ่านไปเกือบห้านาที ทั้งที่การขึ้นไปเอาใบเกรดใบเดียวไม่น่าใช้เวลานานขนาดนี้



ใจหนึ่งก็คิดว่าจะขึ้นไปตามเผื่อเกิดอะไรขึ้น แต่อีกใจก็คิดว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขามาทำหน้าที่เป็นครูให้น้องชายของเพื่อนสนิท จึงควรปล่อยไปสบายๆ ไม่เร่งรัดอะไรมาก เพราะวัยรุ่นสมัยนี้มีโลกส่วนตัวสูง ยิ่งเป็นการสอนแบบตัวต่อตัวด้วยแล้ว ความเข้าใจในตัวของลูกศิษย์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะละเลย



แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าของภูมิยามที่ตอบคำถามเขาเมื่อครู่นี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ...ทำไมลักษณะการแสดงออกถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น



...ไอ้ภาคย์บอกว่าช่วยติวให้น้องมันสอบเข้าหมอที เขาก็เตรียมการสอนมาหมดแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมถามความต้องการของอีกฝ่ายว่าอยากเรียนวิชาอะไร หรืออยากได้การสอนรูปแบบไหน



แต่ดวงตาที่ฉายแววผิดหวังของเด็กคนนั้น...หรือเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป











 

“พอภูมิลองเอาสมการสองอันนี้มาเท่ากันก็จะเหลือตัวแปรแค่ตัวเดียว เห็นมั้ยครับ ได้คำตอบออกมาแล้ว”



เสียงของพี่โฟล์คดังอยู่ข้างหู พร้อมกับลากนิ้วชี้ไปมาบนกระดาษตามคำอธิบาย



ภูมิไม่ได้แย้งอะไรนัก นอกจากก้มหน้าก้มตาทำตัวเป็นลูกศิษย์ว่านอนสอนง่าย ทำตามคำสั่งของครูสอนพิเศษคนใหม่



“โอเคครับ ข้อนี้ภูมิมีอะไรสงสัยหรือเปล่า ถ้าไม่มีจะได้ข้ามไปข้อต่อไป”



“ไม่มีฮะ ต่อได้เลย”



ภูมิงึมงำขณะพลิกชีทวิชาเคมีซึ่งเป็นการบ้านจากที่โรงเรียน เพราะตอนแรกไม่รู้ว่าจะให้อีกฝ่ายสอนอะไรดี นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีการบ้านวิชาเคมีแบบที่เรียกว่าเยอะบานตะไท เลยถือโอกาสเอามาให้พี่โฟล์คสอนจะได้ไม่ต้องทำเอง นั่นไง...ฉลาดไหมล่ะครับ



“งั้นเหรอครับ” พี่โฟล์คตอบรับในลำคอ “ภูมิก็ดูเข้าใจหมดแล้วนะ พี่ไม่ต้องสอนยังได้เลย หรือว่าอยากให้พี่เน้นตรงไหนเป็นพิเศษก็บอกได้นะครับ”



เพราะเท่าที่โฟล์คเห็น อธิบายแค่นิดหน่อยเด็กตรงหน้าก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้เวลามาก เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหัวไวพอสมควร อยากจะกลับไปบอกไอ้ภาคย์จริงๆ ว่าถ้าภูมิมุ่งมั่นอยากเป็นหมอก็มีสิทธิ์ลุ้นไม่น้อย บางทีเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่ครูสอนพิเศษก็ได้



“ไม่หรอก เพราะพี่สอนเก่งนั่นแหละ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำช้ากว่านี้เยอะ”



ภูมิไม่ได้พูดยอเกินความจริงเลย จริงอยู่ที่เนื้อหาเคมีบทนี้เขาพอมีความเข้าใจบ้าง แต่คำอธิบายของพี่โฟล์คทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ทั้งยังมีเทคนิคการทำโจทย์แทรกให้หลายข้อ



อย่างที่บอก...เขาจำใจเรียนจนชินไปแล้ว ถึงจะไม่ได้ชอบวิชาเคมี แต่ถ้าให้เรียนก็เรียนได้



“ฮ่าๆ ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็ดีใจนะครับ” โฟล์คหัวเราะร่วน



ภูมิเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ  ไม่ได้โต้ตอบอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนจะก้มหน้าทำโจทย์ข้อต่อไป โดยมีพี่โฟล์คทำหน้าที่แนะแนวทางให้ตามความสมควร



เวลาล่วงเลยไปจนเกือบหนึ่งทุ่ม การบ้านของภูมิเสร็จเรียบร้อยหมดทุกข้อ โฟล์คเองก็คิดว่าหมดหน้าที่ของตนในวันนี้แล้วจึงตั้งใจจะเอ่ยลา ทว่าคนตัวเล็กกว่ากำลังชุลมุนกับการจัดชีทให้เป็นระเบียบ จึงเผลอผลักแก้วน้ำส้มที่วางอยู่บนโต๊ะจนล้ม



ซ่า



น้ำส้มที่เหลือประมาณครึ่งแก้วหกรดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของเขาอย่างจัง



“เฮ้ย! ผมขอโทษนะพี่”



ภูมิเบิกตากว้าง รีบละล่ำละลักขอโทษทันใด พร้อมทั้งจัดแจงคว้าทิชชู่เกือบทั้งกล่องมาเช็ดๆ ถูๆ เสื้อของคนที่โดนน้ำหกใส่ จนอีกฝ่ายต้องรีบร้องห้าม



“เรื่องแค่นี้เองครับภูมิ ไม่เป็นไรหรอก”



โฟล์คเห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของคนตรงหน้าก็นึกขำ กระนั้นก็เก็บอาการไว้ไม่กล้าหัวเราะดัง ผิดกับภูมิที่ไม่ได้โดนอะไรเลยแต่กลับดูเดือดร้อนแทนจะเป็นจะตาย



 “ผมขอโทษจริงๆ นะพี่ ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อห้องผมก่อนมั้ย”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ใช้น้ำล้างแป๊บเดียวก็ได้แล้ว ภูมิพาพี่ไปล้างในครัวก็ได้” โฟล์คเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจ



ภูมิเร่งพาร่างสูงไปยังห้องครัวด้วยสีหน้าสำนึกผิด มือเล็กเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำอย่างร้อนรน แต่คงเป็นเพราะรีบร้อนเกินไปจนเผลอดันหัวบิดจนสุด ด้วยความที่ก๊อกน้ำเก่ามากแล้วฝาครอบจึงหลุดออกมา น้ำจึงทะลักออกจากก๊อกเต็มแรง โดนคนตัวเล็กซึ่งเป็นผู้เปิดก๊อกเข้าอย่างจัง



“เฮ้ย!” ภูมิร้องลั่นด้วยความตกใจ เผลอยกสองแขนขึ้นป้องหน้าตนเองแล้วถอยหลังจนชนกับคนตัวสูงกว่า โฟล์ครีบจับร่างเล็กเอาไว้เพราะกลัวจะเดินไปชนอย่างอื่น



“ใจเย็นนะครับภูมิ เดี๋ยวพี่ช่วย”



โฟล์คดันคนที่จับอยู่ให้เบี่ยงหลบไปอีกทาง ก่อนจะเดินเข้าหาก๊อกแล้วดันหัวบิดไปในทิศตรงข้ามจนน้ำหยุดไหล แล้วจึงจัดการกับฝาครอบอย่างใจเย็น จนทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



“ขะ...ขอโทษนะพี่” ภูมิพูดเสียงอ่อย มองร่างสูงตรงหน้าที่เปียกหนักกว่าเดิมเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ตาละห้อยเหมือนลูกหมาที่กลัวเจ้านายดุ



“ไม่เป็นไรครับ” โฟล์คว่าอย่างไม่ถือสา ทั้งยังนึกขำกับท่าทางของน้องชายเพื่อนสนิทที่เหมือนจะหดตัวลีบ ชนิดที่ว่าหากมุดตัวไปหลบใต้โต๊ะได้คงทำไปแล้ว “ภูมิเปียกหนักกว่าพี่อีกนะ ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”



“ฮื่อ”



ว่าง่ายซะยิ่งกว่าเดิม ...ก็มีชนักติดหลังขนาดนี้นี่นา



เมื่อเข้ามาในห้อง ภูมิก็รีบค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อเปลี่ยน ตั้งใจจะหยิบเผื่ออีกคนด้วย แต่ดันนึกขึ้นได้ว่าขนาดตัวต่างกันคนละเรื่องนี่สิ แถมห้องพี่ภาคย์ก็คงล็อกอยู่แน่ๆ  แล้วพี่โฟล์คจะหาเสื้อเปลี่ยนจากไหนล่ะ



“เอ่อ..พี่โฟล์ค คือว่า...” ภูมิหันไปหาพี่โฟล์คด้วยสีหน้าสำนึกผิดเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน จนอีกฝ่ายพอจะเดาได้เลยรีบบอก



“ไม่เป็นไรครับ พี่กะจะไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว ภูมิเปลี่ยนเสื้อไปเถอะ”



“เฮ้ย ไม่ดีหรอกพี่” ทำอย่างนั้นก็โคตรเอาเปรียบน่ะสิ... “เอางี้ๆ ผมจำได้ละว่ามีไซส์ใหญ่ตัวนึง ผมชิงโชคได้มาแต่ใส่ไม่ได้ เดี๋ยวหยิบให้นะพี่ รอแป๊บนึง” พูดรัวเร็วแล้วคว้าเก้าอี้ปีนขึ้นไปบนตู้เสื้อผ้า ความหากล่องใส่เสื้อที่เก็บไว้ด้านบนตู้จนเจอ ทว่าเมื่อจะปีนลงมากลับเสียหลักจนร่างเอน “เฮ้ย...!”



หมับ



เป็นโฟล์คที่เข้ามาประคองไว้ได้ทัน แต่ด้วยความชุลมุนเมื่อครู่ ร่างสองร่างจึงอยู่ในท่าล่อแหลม หลังของภูมิแนบชิดกับอีกฝ่ายแทบจะทั้งตัว ในขณะที่โฟล์คก็กะแรงประคองไม่ทันจึงเผลอรัดแน่น กระนั้นร่างสูงก็ยังเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง



“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”



เสียงที่ดังข้างหูทำให้ภูมิได้สติ รู้สึกเสียววูบในใจแปลกๆ จึงรีบดันตัวออกมา ก่อนหันไปตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้าสบตา “ไม่...ไม่ได้เป็นอะไร เอ่อ ขอบคุณนะพี่ ผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”



ว่าแล้วก็คว้าเสื้อของตัวเองวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำ ทิ้งกล่องเสื้อของอีกฝ่ายไว้กับพื้น จนโฟล์คได้แต่มองตามอย่างงุนงง



...รีบอะไรขนาดนั้น



ร่างสูงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนก้มลงหยิบกล่องขึ้นมา เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อสีเขียวสกรีนลายหนังชื่อดังเรื่องหนึ่งที่บูมมากเมื่อสองสามเดือนก่อน ที่ว่าชิงโชคคงจะชิงโชคจากหนังเรื่องนี้สินะ



โฟล์คถอดเสื้อเชิ้ตออกก่อนจะหยิบเสื้อยืดสกรีนมาสวม แม้จะเกรงใจเจ้าของเล็กน้อย แต่พอเห็นท่าทางกระตือรือร้นและสำนึกผิดของคนตัวเล็กก็ปฏิเสธไม่ลง



เขาอาจจะเพี้ยนไปแล้วที่แวบหนึ่งดันคิดขึ้นมาว่า ท่าทางอย่างนั้น...น่ารัก











 

สงบใจหน่อยสิโว้ย! เป็นบ้าอะไรฮะไอ้ภูมิ



คนที่อยู่ในห้องน้ำสบถกับตัวเองซ้ำๆ  ทั้งเปลี่ยนเสื้อก็แล้ว เปิดน้ำล้างหน้าก็แล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าหัวจะเย็นลง



เป็นไรของกูวะเนี่ย!



ครั้งนี้ภูมิพยายามตั้งสติแล้วหายใจ นับหนึ่งถึงสิบช้าๆ  พิงหลังกับกำแพงแล้วเป่าปาก



“ฮู่ว...”



เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบหน้าตัวเองสามทีเป็นการเรียกสติรอบสุดท้าย แล้วจึงผลักประตูห้องน้ำออกไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าควรทำหน้าอย่างไรดี



แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เจ้าของห้องชะงัก เมื่อร่างสูงในเสื้อยืดสกรีนกำลังนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกีตาร์โปร่งที่เขาจำได้ว่าเป็นของเขา ภูมิเผลอเอ่ยเบาๆ “พี่โฟล์ค...”



ให้ตายเถอะ ทำไมคนจะหล่อนี่มันต้องหล่อแบบบรมโคตรด้วยวะ! ขนาดใส่เสื้อยืดสกรีนธรรมดายังเป็นการเพิ่มราศีให้เสื้อ ภูมิล่ะไม่เข้าใจจริงๆ



โฟล์คเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก “อ้าว เสร็จแล้วเหรอครับภูมิ”



ภูมิไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่สนใจกีตาร์ที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “พี่โฟล์คเล่นเป็นด้วยเหรอ”



“หืม...เปล่าหรอก พี่เห็นมันวางอยู่เลยหยิบขึ้นมาเล่นระหว่างรอภูมิน่ะ” โฟล์คอธิบาย แต่พอเห็นเจ้าของกีตาร์ตัวจริงเงียบไปก็รู้สึกใจไม่ดี จึงเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ “เอ่อ ภูมิโกรธหรือเปล่าที่พี่เอามาเล่นโดยไม่ขออนุญาต...”



“เฮ้ย เปล่านะพี่ ไม่ๆ” ภูมิรีบเอ่ยแก้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจความเงียบของตนผิดไปคนละทาง “ผมแค่ไม่ค่อยเห็นภาพนี้น่ะ คือ...พ่อกับพี่ภาคย์ไม่เคยสนใจดนตรี ผมเลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”



“ไอ้ภาคย์มันก็ดิบเถื่อนของมันอย่างนั้นแหละ ดนตรีศิลปะอะไรไม่เคยสนใจหรอก” โฟล์คว่าพลางหัวเราะ



“ผมก็ว่างั้น... เออ พี่โฟล์คลองเล่นให้ผมฟังหน่อยดิ”



“พี่เล่นไม่เป็นครับ” เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ตั้งท่าจะส่งกีตาร์คืนเจ้าของ แต่ภูมิกลับดันห้ามไว้



“เอาน่า ผมสอนก็ได้”



ภูมิรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แทบจะลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปจนหมด แถมยังกุลีกุจอไปนั่งด้านซ้ายของอีกฝ่ายเพื่อจะได้สอนจับคอร์ดได้ถนัด จนร่างสูงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย



“เอาคอร์ดซีก่อนนะ เป็นคอร์ดโคตรเบสิคเลย พี่เอานิ้วชี้กดสายสองเฟร็ดแรก เออลืมบอก...นับสายจากเส้นล่างสุดนะพี่ หนึ่งสองสามสี่ห้าหกขึ้นมาอย่างนี้” ภูมิว่าแล้วชี้ให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ “ส่วนเฟร็ดก็นับมาตามช่อง เออนั่นแหละๆ  แล้วก็นิ้วกลางกดสายสามเฟร็ดสอง นิ้วนางกดสายห้าเฟร็ดสาม อะ...พี่ลองดีดดู”



แกรก...



“ทำไมเสียงเป็นอย่างนี้ล่ะครับ”



“ก็บอดไงพี่ เล่นครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทุกคน” ภูมิบอกเมื่อเห็นสีหน้าของพี่โฟล์คแสดงความสงสัยกับเสียงแปร่งๆ ที่ออกมา “พี่ลองกดแรงกว่านี้หน่อยนะ แล้วมือขวาอ่ะไม่ต้องยกสูงขนาดนั้น สะบัดแค่ข้อมือก็พอ มือซ้ายที่กดคอร์ดก็ระวังอย่าให้โดนสายอื่น แค่เนี้ยง่ายๆ”



โฟล์คลองดีดอีกเกือบสิบรอบ เสียงที่ออกมาก็ยังเหมือนเดิม ไม่เข้าใจว่ามันง่ายเหมือนที่อีกฝ่ายบอกยังไง ขนาดเขาว่าเขาเป็นผู้ชายมือด้านแล้วนะ ยังรู้สึกเจ็บนิ้วแปลบๆ อย่างบอกไม่ถูก



“พี่เจ็บนิ้วแล้วครับภูมิ ภูมิลองเล่นให้พี่ฟังบ้างสิ”



เขารบเร้าเพราะอยากเห็นฝีมือการเล่นของคนตัวเล็กบ้าง ซึ่งภูมิก็รับกีตาร์มาถือไว้แต่โดยดี ก่อนจะหันไปหยิบหนังสือคอร์ดเพลงแล้วยื่นให้



“พี่เลือกเพลงมาดิ ผมเล่นได้หมดแหละ”



ไม่ได้อวดนะครับแหม...ขอแค่มีคอร์ดภูมิก็มั่นใจเต็มร้อย มือกีตาร์ของวงโรงเรียนซะอย่างนี่นา



โฟล์คสุ่มเปิดเพลงมาเพลงหนึ่งแล้วส่งคืน ภูมิรับมาก่อนจะเริ่มดีดคอร์ดแรกเพื่อหาคีย์ที่จะร้อง



พอหาคีย์ได้แล้ว ภูมิก็ดีดเป็นจังหวะช้าๆ ตามต้นฉบับ แล้วจึงเริ่มร้องออกมาเบาๆ  ถึงแม้ภูมิจะไม่ได้เสียงดีเทียบเท่านักร้องของวง ...แต่น้ำเสียงใสกังวานก็ทำให้โฟล์คเผลอตั้งใจฟังอยู่ชั่วขณะ



...ลูกศิษย์ของเขาคนนี้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีความเป็นธรรมชาติ และกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำจริงๆ



ภูมิดีดกีตาร์ครั้งสุดท้ายเชื่องช้าเพื่อเป็นการจบเพลง



ห้องทั้งห้องเหลือเพียงความเงียบโรยตัว และสายตาของคนสองคนที่มองกันนิ่ง...โดยไม่มีใครพูดอะไร



ภูมิถึงกับทำตัวไม่ถูก ด้วยความใกล้ชิดที่ตอนแรกเจ้าตัวไม่ทันสังเกตเพราะเอาแต่อยากสอนกีตาร์ ทำให้แววตาที่สบกันตอนนี้มันใกล้...ใกล้จนเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาคู่คม จนภูมิต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา แล้วขยับตัวออกมาเล็กน้อย



โฟล์คเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องคนตัวเล็กนานเกินไป จึงขยับตัวแล้วกระแอมเบาๆ



“ภูมิ...เล่นกีตาร์เก่งดีนะ” เป็นประโยคเดียวที่เขาคิดขึ้นมาได้ ซึ่งคนถูกชมก็ทำได้เพียงยิ้มรับแห้งๆ ก่อนจัดการพิงเครื่องดนตรีในมือไว้ข้างเตียงตามเดิม



-------------------------------------- TBC -------------------------------------------



แฮ่ เลยวันอังคารไปนิดหน่อย แต่ก็ถือยังเป็นคืนวันอังคารได้อยู่เนอะ

ตอนหน้าเจอกันวันพฤหัสค่า <3

CT.hamonigar

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
 :pig2: ตามครับ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:
ช่วยน้องหน่อย

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 2 : คนที่เริ่มเข้าใจ



            วันนี้ภูมิมาโรงเรียนสายกว่าปกติด้วยท่าทางสะลึมสะลืออย่างบอกไม่ถูก



            วงดนตรีของภูมินัดซ้อมทุกวันตอน 7.15 จนถึง 8.30 และเป็นโชคดีของวงดนตรีโรงเรียนที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติเหมือนคนอื่นๆ  ภูมิมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าเขาสายไปแล้วห้านาที ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเร่งพาตนเองผ่านสนามฟุตบอลเพื่อไปยังห้องดนตรี



            ทันทีที่ภูมิเปิดประตูเข้าไป เสียงต้อนรับก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากเพื่อนร่วมวง



            “ไอ้ภูมิมาสาย จ่ายมาห้าบาทเลยโว้ย!”



            “เออๆ รู้แล้วน่า”



            มีกฎว่าหากใครในวงมาสายจะถูกปรับนาทีละหนึ่งบาท ซึ่งก็สร้างเงินทุนเข้าวงได้มากโข สำหรับคนที่มาเช้าอยู่แล้วก็สบายไป แต่คนที่มาสายเป็นประจำก็เรียกได้ว่ากระเป๋าแฟบเลยทีเดียว



            ทุกคนในวงเซ็ตเครื่องดนตรีเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงภูมิที่ต้องรีบวางกระเป๋าแล้วเดินไปเสียบปลั๊กแอมป์กีตาร์ ก่อนหยิบเอฟเฟกต์มาต่อเข้ากับเครื่อง เปิดแอมป์แล้วปรับความดังเสียงให้พอเหมาะจนเข้าที่เข้าทาง



เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องเก็บเสียง แต่นักดนตรีทุกคนกลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาและชินกันเสียแล้ว หากเป็นคนนอกเข้ามาได้ยินคงหนวกหูไม่น้อย



            ภูมิดีดกีตาร์ตามจังหวะของเพลงแต่ละเพลงซึ่งมีทั้งร็อคและแนวอื่นๆ สลับกันไป อย่างหนึ่งที่ทำให้เขาชอบการเล่นดนตรีเป็นวงคือการที่ทุกคนเล่นเครื่องดนตรีของตัวเองไปพร้อมๆ กันจนผสมผสานเป็นเพลง โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลย กระนั้นใบหน้าของสมาชิกทุกคนก็ประดับด้วยรอยยิ้ม



            ภูมิรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจทุกครั้งที่ได้ซ้อม และไม่เคยรู้สึกว่าเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นี้ผ่านไปเชื่องช้าหรือน่าเบื่อ



            จนกระทั่งออดเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น ทุกคนจึงทยอยเก็บของและเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน ขณะที่ภูมิกำลังเช็ดสายกีตาร์ พี่เปิ้ล...รุ่นพี่สาวมอหกซึ่งประจำตำแหน่งมือคีย์บอร์ดในวงก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ



            “ภูมิ วันนี้รีบกลับหรือเปล่า”



            “ก็...ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” เขาหันไปตอบ แม้จะลังเลเพราะนึกถึงการเรียนพิเศษที่จะมีในตอนเย็น



            “งั้นภูมิช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม” พี่เปิ้ลทำหน้าอ้อนตามแบบฉบับของตัวเอง ภูมิหัวเราะหน่อยๆ



            “ลองบอกมาสิครับพี่ ถ้าผมช่วยได้ก็จะช่วย อ๊ะ...แต่เรื่องเงินขอปฏิเสธนะครับ”



            “ไม่ใช่สักหน่อย คืองี้...ห้องของพี่มีงานวิชาสุขะ อาจารย์ให้ทำโฆษณาต่อต้านยาเสพติดน่ะ แล้วคือต้องส่งอาทิตย์หน้าแล้ว แต่พวกพี่ลืมทำ โธ่...อย่าเพิ่งมองอย่างนั้นสิ” พี่เปิ้ลรีบทำเสียงอ่อนทันทีเมื่อเขาจ้องเขม็ง “ก็งานมอหกมันเยอะนี่นา ไหนจะเตรียมสอบนู่นนี่ พวกเราเลยลืมกันซะสนิทเลย กลุ่มพี่ก็ไม่มีใครมีหัวด้านนี้เลยสักคน ภูมิชอบถ่ายวีดิโอใช่ไหมล่ะ ช่วยพี่หน่อยนะ เนี่ย วันนี้พี่เอากล้องมาให้ด้วย พล็อตคร่าวๆ ก็คิดกันไว้แล้ว แค่อยากได้ตากล้องที่มีมุมภาพเจ๋งๆ ตัดต่อดีๆ ใส่ซาวด์เทพๆ แค่นั้นเอง”



            “แล้วผมเข้าข่ายตรงไหนไม่ทราบครับ” ภูมิเบ้ปาก “ผมชอบถ่ายวีดิโอก็จริง แต่ไอ้เรื่องมุมภาพเจ๋งซาวด์เทพน่ะผมทำไม่ได้หรอก”



            “พี่เชื่อว่าภูมิทำได้! นะๆๆๆ ภูมิ น้าาา”



            ว่ากันว่าผู้หญิงมีความสามารถในการใช้ลูกอ้อนรบเร้าได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งภูมิเพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้เอง เพราะในที่สุดเขาก็ตอบตกลงไป



            ภูมิโบกมือลาเพื่อนร่วมวงขณะแยกย้ายกันไปเรียน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โนเกียคู่ใจออกมาแล้วกดเข้าไอคอนข้อความ เลือกชื่อของคนที่ต้องการจะส่งแล้วพิมพ์เนื้อหาลงไป



            ‘พี่ภาคย์ ฝากบอกพี่โฟล์คทีสิว่าวันนี้เรียนไม่ได้แล้ว พี่เปิ้ลขอให้ช่วยอัดวีดิโอ’



          ภูมิเช็คข้อความสองสามรอบก่อนกดส่ง แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม



            หากเป็นปกติภูมิมั่นใจว่าทั้งพ่อและพี่ภาคย์คงไม่สนับสนุนให้เขาทำกิจกรรมพวกนี้แน่ แต่ครั้งนี้อ้างชื่อพี่เปิ้ลไปเลยสบายใจได้ว่าพี่ภาคย์คงไม่ว่าอะไรนัก เพราะพี่เปิ้ลกับพี่ภาคย์เป็นสายรหัสกันตอนเรียน และพี่ภาคย์ก็เอ็นดูพี่เปิ้ลพอสมควร



            พอไปถึงห้องเรียนก็พบว่าซันจองที่นั่งไว้ให้แล้ว ภูมิจึงก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตอาจารย์ที่สอนหน้าห้อง ก่อนจะเข้าไปนั่งที่ตามระเบียบ มือก็ควานหาชีทกับกล่องดินสอขึ้นมาเหมือนจะตั้งใจเรียน แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่สร้างภาพไม่ให้เป็นที่เพ่งเล็งของอาจารย์เท่านั้น คนอย่างไอ้ภูมิเคยตั้งใจเรียนที่ไหนล่ะครับ



            เสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้งต่อกัน ภูมิจึงหยิบขึ้นมาแล้วปลดล็อกหน้าจอ พบว่ามีข้อความเข้าสองข้อความจริงๆ  ข้อความแรกมาจากพี่ภาคย์ซึ่งตอบกลับมาว่าอนุญาต ส่วนอีกข้อความมาจากพี่เปิ้ลซึ่งส่งพล็อตเรื่องคร่าวๆ ของโฆษณา รวมทั้งเวลานัดหมายตอนเย็นมาให้



            ภูมิอ่านแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ...แน่ใจหรือว่าเป็นพล็อตเรื่อง เขาพบว่ามันเป็นเพียงไอเดียคร่าวๆ เท่านั้น ยังไม่มีรายละเอียดมาเลยว่าต้องการจะสื่อในรูปแบบไหน หรือเนื้อหาเรื่องที่จะถ่ายเป็นอย่างไร



            ...หมายความว่าเขาต้องเป็นคนคิดทั้งหมดสินะ











 

            “ภูมิ รอนานไหม”



            พี่เปิ้ลร้องทักเสียงใสแจ๋ว เมื่อภูมิหันไปมองก็พบว่านอกจากรุ่นพี่สาวแล้วยังมีก๊วนเพื่อนสนิทมาอีกสี่คน บางคนภูมิก็รู้จักเพราะเคยเห็น แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า



            “นานจนรากงอกแล้วอ่ะพี่” ภูมิว่าติดตลก พี่เปิ้ลถลึงตาใส่ เขาจึงหัวเราะแล้วพูดต่อ “โอเคไม่แกล้งละ เข้าเรื่องกันเลยเนอะ จากคอนเซปต์โฆษณาที่พี่ส่งให้ผมเมื่อเช้า ผมว่านักเรียนเป็นตัวสื่อก็ดีนะ ที่ผมคิดมาคืออย่างนี้...”



            แล้วภูมิก็ใช้เวลาประมาณสิบนาทีอธิบายรูปแบบของคลิปวีดิโอที่เขาตั้งใจจะทำ เมื่อตกลงกันได้แล้วภูมิจึงเริ่มถ่ายแต่ละฉาก ทำหน้าที่เป็นทั้งตากล้องและผู้กำกับ กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนเกือบหกโมงเย็น



            ขณะที่ภูมิกดดูคลิปที่ถ่ายอีกรอบเพื่อเช็คความเรียบร้อย เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ภูมิจึงวางกล้องลงข้างตัวแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ประหลาดที่ภูมิไม่เคยเห็น แต่เขาก็กดรับพร้อมกรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล”



            [ภูมิ นี่พี่เองนะครับ]



            “ครับ?” ภูมิตอบรับอย่างงงๆ  ใช้เวลาประมาณสามวินาทีในการจะนึกถึงเจ้าของเสียง



เฮ้ย...เสียงนี้มัน...



“พี่โฟล์ค!”



[ใช่ครับ ตอนนี้ภูมิยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่า] ปลายสายตอบกลับมา



“อ่า อยู่พี่ เพิ่งถ่ายวีดิโอเสร็จพอดี กำลังจะกลับ”



[ไอ้ภาคย์บอกพี่เรื่องที่ภูมิติดงานแล้วนะ ตอนนี้พี่มาทำธุระแถวโรงเรียนภูมิ ให้พี่รับกลับบ้านไหม]



“อ่า” ภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเพิ่งรู้จักกับพี่โฟล์คได้แค่วันเดียวเลยอดเกรงใจไม่ได้ แต่ยังไงพี่โฟล์คก็เป็นเพื่อนสนิทพี่ภาคย์ ...คงไม่มีปัญหามั้ง “เอางั้นก็ได้ พี่โฟล์คใกล้ถึงยังอะ”



[อีกสักสิบนาทีครับ]



“โอเค งั้นเดี๋ยวผมรอหน้าโรงเรียนนะ”



[โอเคครับ แล้วเจอกัน]



ภูมิกดวางสาย พร้อมกับที่พี่เปิ้ลเดินเข้ามาหา



“เรียบร้อยไหมภูมิ มีอะไรต้องแก้อีกหรือเปล่า”



“ไม่มีแล้วล่ะ เดี๋ยวผมเอากลับไปตัดต่อแล้วก็ใส่ซาวด์ให้ อ้อ พี่เปิ้ลอย่าลืมส่งรายชื่อกลุ่มพี่ให้ผมด้วยนะ ต้องใส่ในวีดิโอด้วยใช่ไหม”



พี่เปิ้ลพยักหน้าให้อย่างกระตือรือร้น ซ้ำยังส่งสายตาหวานฉ่ำจนภูมิขนลุก “ขอบคุณมากเลยนะน้องภูมิสุดหล่อของพี่ เดี๋ยวว่างๆ จะไปพาเลี้ยงบุฟเฟต์ เคปะ”



“ไม่พลาดอยู่แล้ว”



ตอบแบบทีเล่นทีจริงไปงั้นแหละครับ เห็นพี่เปิ้ลบอกจะเลี้ยงทีไรก็ลืมทุกที



หลังจากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกลับบ้าน พ่อของพี่เปิ้ลมารอรับนานแล้ว ส่วนเพื่อนของพี่เปิ้ลบางคนก็อยู่หอใกล้ๆ โรงเรียน บางคนก็รอผู้ปกครองมารับ



ภูมินั่งรออยู่ในโรงเรียนประมาณห้านาทีพี่โฟล์คก็โทรเข้ามาบอกว่าถึงแล้ว พร้อมทั้งบอกยี่ห้อและเลขทะเบียนรถเสร็จสรรพ



เมื่อภูมิเดินออกไปก็ถึงกับตะลึงค้าง เพราะร่างสูงที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากำลังยืนพิงรถเบนซ์คันสีดำด้วยมาดคุณชายสุดฤทธิ์ แบบที่คนรอบข้างยังต้องหันมามอง ขนาดเขาเองยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปหา จนเจ้าของรถหันมาเห็นจึงเอ่ยทัก “อ้าวภูมิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมครับ”



“เอ่อ” ภูมิเกาท้ายทอยแก้เก้อ พร้อมทั้งก้าวเข้าใกล้รถโดยเสมองไปทางอื่น “รถพี่โคตรหรูเลยว่ะ”



โฟล์คหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้อีกฝ่าย “ขึ้นรถได้เลยครับ”



ตลอดทางบนรถมีเพียงเสียงแอร์กับเสียงดีเจจากคลื่นวิทยุ ภูมิอดรู้สึกอึดอัดไม่ได้ ทั้งจากบรรยากาศในรถหรูที่ไม่คุ้นชิน และจากความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนที่มีฐานะเป็นเพื่อนของพี่ชาย อ้อ...และเป็นครูสอนพิเศษด้วย



ทว่าจู่ๆ ร่างสูงที่ขับรถอยู่ก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาโดยไม่ได้หันมามอง “กล้องวีดิโอตัวนั้นของภูมิเหรอครับ”



“หืม” ภูมิก้มลงมองกล้องวีดิโอที่ตนวางไว้บนตัก ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก เป็นของรุ่นพี่ที่ผมช่วยอัดวีดิโอให้น่ะ”



“เป็นวีดิโอเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ เล่าได้หรือเปล่า”



“ฮื่อ เป็นโฆษณารณรงค์เรื่องยาเสพติด นี่ผมก็อัดเสร็จแล้ว เหลือแค่เอากลับไปตัดต่อกับใส่ซาวด์ให้เนียนๆ”



ประโยคที่ฟังดูราวกับสิ่งที่ทำเป็นเรื่องง่ายทำให้โฟล์คต้องหันไปมองร่างเล็กอย่างสงสัย “ภูมิดูถนัดเรื่องแบบนี้จังนะครับ”



“อืม...ไม่รู้สิ มันก็สนุกดีนะ เคยลองทำครั้งแรกแล้วติดใจ เลยศึกษาเองเรื่อยๆ”



“งั้นภูมิก็มีกล้องเป็นของตัวเองด้วยเหรอครับ”



“กล้องวีดิโอไม่มีหรอก มีแต่กล้องถ่ายรูปธรรมดา แต่ก็เก่ามากแล้วล่ะ”



“ภูมิโชคดีจัง เก่งทั้งดนตรีทั้งถ่ายรูป รู้ไหมว่าพี่อยากเรียนกีตาร์ตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” โฟล์คบ่นแบบไม่จริงจังนัก ร่างเล็กจึงรีบหันมาแย้ง



“โธ่พี่ เรื่องแค่นี้เอง กีตาร์น่ะฝึกเองก็ได้”



“ฮ่าๆ นั่นสินะ แต่พี่คงไม่มีความอดทนมากพอล่ะมั้ง เพลงง่ายๆ พี่ยังเล่นไม่จบเลย” พูดไปก็หัวเราะไป นึกถึงหลายครั้งที่ขอยืมกีตาร์ของเพื่อนมาดีดเล่น แต่ก็ไม่เคยออกมาเป็นเพลงสักครั้ง แม้แต่เสียงที่ออกมาตอนจับคอร์ดยังไม่เพราะเลย



“ถ้าพี่อยากเล่นเป็นก็ต้องอดทนมากกว่านี้สิ ถ้าพยายามยังไงก็ต้องสำเร็จ” ภูมิบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนโฟล์คหัวเราะออกมาอีกครั้ง



“ฮ่าๆ  โอเคครับ พี่เชื่อก็ได้”



ภูมิยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะแนะนำต่อ “ผมว่าพี่ลองหาเพลงที่ชอบสักเพลงไหม เอาแบบว่าอยากเล่นสุดๆ  พี่จะได้มีกำลังใจในการฝึกเล่น”



“อืม ก็น่าสนใจนะ” โฟล์คพึมพำขณะคิดตาม “ไว้พี่จะลองคิดดูแล้วกัน”



“มีอะไรก็ถามผมได้นะพี่ เรื่องนี้ผมถนัด” ภูมิฉีกยิ้ม



“โห ไม่ค่อยถ่อมตัวเลยนะครับลูกศิษย์พี่ ดูจะถนัดหลายอย่างเลยนะเนี่ย นอกจากดนตรีแล้วมีอะไรอีกบ้างล่ะ”



“พวกถ่ายภาพกับวีดิโอก็ทำได้นะพี่ แล้วก็...เฮ้ย พี่โฟล์คๆ จอดกินบะหมี่ร้านนี้ได้ปะ ผมโคตรชอบอะ!” ภูมิชี้ไปด้านนอกรถพร้อมทั้งเอ่ยเสียงกระตือรือร้น จนคนขับรถต้องเบี่ยงพวงมาลัยเข้าเลนซ้ายตามคำขอของคนร่วมทาง



รถเบนซ์สีดำจอดเทียบฟุตบาท ดูขัดกับบรรยากาศโดยรอบซึ่งมีร้านบะหมี่รถเข็นเล็กๆ เพียงร้านเดียว กระนั้นภูมิก็แทบจะกระโจนลงจากรถเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ ก่อนนั่งแหมะที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถนักพร้อมทั้งร้องบอกคนขาย “เฮีย เหมือนเดิมที่นึงนะ!” แล้วจึงหันไปถามร่างสูงที่เดินตามมาทีหลัง “พี่โฟล์คเอาไรปะ”



“พี่เอาเหมือนภูมิแล้วกัน” โฟล์คบอกง่ายๆ  ขณะทรุดตัวลงนั่ง



“โอเค เฮียๆ  เปลี่ยนเป็นเอาสองที่นะ”



รอไม่นานนัก เส้นเล็กน้ำใสสองชามก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ภูมิจัดการหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วโซ้ยเหมือนคนอดอยาก แหงล่ะ ตั้งแต่เลิกเรียนเขายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา เมื่อกี้ที่นั่งรถมาก็ท้องร้องตั้งหลายครั้ง แต่ดีที่เสียงเบาพี่โฟล์คเลยไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงอายตาย



โฟล์คมองคนตรงหน้าอย่างอดขำไม่ได้ ก่อนหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วเริ่มจัดการบะหมี่ในชามของตนเองบ้าง



“เนี่ย ร้านนี้ผมโคตรชอบ แต่ก่อนแวะกินประจำเลย แต่พอเปลี่ยนไปนั่งรถเมล์กลับบ้านก็เลยไม่ได้ผ่านแถวนี้ วันนี้โคตรโชคดีที่พี่มารับ” ภูมิว่าอย่างนั้น



ทั้งสองคนคุยกันสัพเพเหระจนกระทั่งบะหมี่ในชามหมด โฟล์คจึงเดินเอาเงินไปให้ลุงคนขายที่ยืนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ ราคาที่ได้ยินทำให้โฟล์คอดแปลกใจไม่ได้ เพราะถูกกว่าก๋วยเตี๋ยวตามปกติที่เขากินมาก จนไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวราคานี้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กข้างกายเขาก็ดูภูมิใจนักภูมิใจหนากับราคาก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ



ราคาแค่ชามละยี่สิบบาทแต่คุณภาพคับชาม เห็นทีเขาคงต้องมาฝากท้องอีกบ่อยๆ



พอขึ้นรถภูมิก็ยังสามารถหาเรื่องคุยต่อได้เป็นต่อยหอย จนโฟล์คอดคิดไม่ได้ว่าคนขายก๋วยเตี๋ยวแอบใส่ยาอะไรลงไปหรือเปล่า ท่าทีของคนกินถึงได้ผิดจากตอนแรกขนาดนี้



...บางครั้งบุคลิกของลูกศิษย์เขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็รู้สึกสบายใจกับบุคลิกร่าเริงของอีกฝ่ายมากกว่าบุคลิกนิ่งๆ เหมือนคนที่แบกโลกไว้ทั้งใบล่ะนะ



“รู้เปล่าว่าผมเคยเขียนบทแล้วก็กำกับละครห้องด้วยนะ ชนะเลิศของระดับชั้นด้วย อ๊ะ...ยังไม่หมดนะพี่ ภาพถ่ายผมก็ส่งประกวดได้รางวัลชนะเลิศมาแล้วเหอะ” ภูมิได้ทีโม้ยาวเป็นหางว่าว รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนโฟล์คอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ



“ฮ่าๆ  ขนาดนั้นเชียว พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ”



กึก



ภูมิรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ  เผลอหันขวับไปมองร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตา



เมื่อกี้พี่โฟล์คพูดว่าอะไรนะ?



เขาน่ะหรือ...เหมาะกับนิเทศมากกว่าหมอ?



ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นในใจ ไม่ใช่ปลื้มปีติกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่อาจจะเรียกได้ว่าเขา...คิดไม่ถึง



...คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใกล้ตัวพูดประโยคนี้ออกมา



...เหมือนว่ากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วจู่ๆ ก็ถูกฉุดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น



ทว่าโฟล์คกลับตีความท่าทางของคนข้างตัวไปอีกอย่าง จึงรีบบอก “ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ถ้าภูมิอยากเป็นหมอจริงๆ ก็เป็นได้นะ เพราะภูมิก็เป็นคนเรียนเก่ง หมอไม่น่าจะยากจนเกินไป...”



“เปล่า” ภูมิเอ่ยขัดขึ้นมาทันที “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก ช่างมันเถอะ”



แล้วจึงหันหน้าไปทางหน้าต่าง ดึงความสนใจของตนเองไปไว้กับทิวทัศน์ด้านนอกผ่านกระจกใส แม้ว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายจะยังวนเวียนอยู่ในใจตลอดก็ตาม



‘พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ’



บางทีถ้าคนพูดประโยคนี้เป็นพ่อหรือพี่ชายของเขา เรื่องทั้งหมดอาจจะดีกว่านี้...



รถเบนซ์คันสีดำเคลื่อนตัวมาจอดหน้าบ้านหลังเดิม ภูมิคว้ากล้องวีดิโอและกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถ



“เดี๋ยวครับภูมิ”



เสียงเรียกจากคนที่นั่งในรถทำให้ภูมิต้องหันกลับไปมอง



“ถ้าวันนี้พี่พูดอะไรไม่ดีหรือทำให้ภูมิไม่สบายใจ พี่ขอโทษนะครับ”



ไม่เลย พี่โฟล์คไม่ได้พูดอะไรไม่ดีหรอก เป็นเขาต่างหากที่เครียดไปเอง และไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเลยเผลอทำให้บรรยากาศอึดอัดไปเสียเฉยๆ



ภูมิไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป ทำเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ แล้วก้มหัวเป็นเชิงลาอีกครั้ง



“แล้วเจอกันนะครับภูมิ” โฟล์คพูดทิ้งท้ายก่อนขับรถออกไป



ภูมิเดินเข้าบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูห้องก่อนทิ้งร่างทั้งร่างบนเตียงนุ่ม นอนพักครู่หนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าตนยังมีงานสำคัญต้องทำจึงเด้งตัวขึ้นมา คว้ากล้องวีดิโอของรุ่นพี่แล้วต่อสายเข้ากับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน



แม้จะรู้ว่างานของพี่เปิ้ลมีกำหนดส่งอาทิตย์หน้า นั่นหมายความว่าเขายังมีเวลาวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์อีกสามวัน แต่เพราะไม่อยากเอาเรื่องหนักหัวมาคิดให้ปวดสมอง ภูมิจึงตัดสินใจจะทำวีดิโอให้เสร็จภายในคืนนี้ อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้เขาจดจ่อกับงานโดยไม่เผลอคิดเรื่องอื่นไปพักหนึ่ง



--------------------------------------- TBC -------------------------------------------



ถึงคนในครอบครัวจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนเข้าใจน้องภูมิเพิ่มอีกคนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะคะ :)

/กอดน้องแรงมาก

CT.hamonigar

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
กอดน้องด้วยค่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เข้ามาให้กำลังภูมิอะ เจอปัญหาแบบนี้เหนื่อยใจสุดๆ

ออฟไลน์ skykick

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

สงสารน้อง

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 3 : เคว้งคว้าง



            “นายไตรภูมิ”



            “…”



            “นายไตรภูมิ”



            “…”



            “นายไตรภูมิ!”



            พลั่ก



            “เฮ้ย...ครับ!”



            ภูมิสะบัดหัวไล่ความงุนงง ยามเมื่อได้รับสายตาพิฆาตจากอาจารย์สุดโหดที่เรียกชื่อเขาสามครั้งเต็มๆ  ไอ้สองครั้งแรกเขาไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ จนต้องตะโกนครั้งที่สามพร้อมกับฝ่ามือหนักๆ ของไอ้ซันที่ฟาดหัวเข้าเต็มแรงนั่นแหละเขาถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา



            “ไตรภูมิ มีเธอคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ส่งการบ้านครู”



            “เอ่อ ครับ”



            “มีเหตุผลอะไรจะอธิบายไหม”



            “ผมลืมครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับ”



            ภูมิกล่าวง่ายๆ ด้วยความเคยชิน แต่เหมือนครั้งนี้คนสูงอายุจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ดังเช่นที่ผ่านมา



            “เธอไม่ได้ส่งการบ้านครูมากี่ครั้งแล้ว และเป็นเธอคนเดียวทุกครั้งด้วย นอกจากเหตุผลงี่เง่าที่เธอบอกว่าลืมเธอมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”



            “เมื่อคืนผมเผลอหลับครับอาจารย์”



            เอาวะ ในเมื่อบอกว่าลืมก็ไม่เอา ดูซิว่าเหตุผลจริงๆ อาจารย์จะรับได้ไหม เพราะเมื่อคืนหลังจากทำวีดิโอของพี่เปิ้ลเสร็จเขาก็น็อคและเผลอหลับหน้าคอมแบบเรียกได้ว่าหมดสภาพ



            ทว่าเจ้าของคำถามกลับหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบ



            “ครูว่ามันฟังดูแย่มากนะนายไตรภูมิ” อ่าฮะ ไม่ต้องพูดไอ้ภูมิก็รู้ตัวครับ คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “เธอเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ อ้อ หรือเพราะกิจกรรมที่สุดจะอลังการร้อยแปดพันอย่างของเธอ ครูบอกแล้วไงว่าถ้ามันทำให้เสียการเรียนก็เลิกซะเถอะ โดยเฉพาะวงดนตรีบ้าบอคอแตกอะไรนั่น ไม่ทำให้เธอสอบติดคณะดีๆ หรอกนะ”



            กึก



            คำพูดไม่ถนอมน้ำใจทำให้คิ้วภูมิกระตุกแบบแปลกๆ



            กลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเหรอวะ



          คงเพราะ ‘อาจารย์เดือนเพ็ญ’ คนนี้ประจำชั้นเขามาตั้งแต่มอสี่ และกิตติศัพท์ด้านการไม่ตั้งใจเรียนกับไม่ส่งการบ้านของเขาก็เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่มอสี่เช่นกัน จนอาจารย์ทราบมาว่าเขามีกิจกรรมหลายชมรมมาก โดยเฉพาะวงดนตรีซึ่งมีการนัดซ้อมทุกเช้า-เย็น เลยจัดการผูกเรื่องให้ลูกศิษย์คนนี้เสร็จสรรพ หาว่ากิจกรรมเยอะไปทำให้เสียการเรียน โดยที่ภูมิได้แต่เถียงในใจว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย



            เขาแค่ขี้เกียจทำ ไม่อยากทำ เลยไม่ทำ ก็เท่านั้น



            “พ่อเธออยากให้เธอเป็นหมอไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอยังทำตัวเหลวแหลกอยู่แบบนี้ ครูคงต้องหาโอกาสบอกพ่อเธอไปตามความจริงว่าให้เลิกหวัง” อาจารย์เดือนเพ็ญยังพูดต่อโดยไม่สังเกตสายตาที่เปลี่ยนไปของนายไตรภูมิ ซึ่งหากใครอยู่ใกล้คงรับรู้ถึงบรรยากาศที่ไม่ดีนัก “เข้าใจที่ครูพูดไหม ที่ครูพูดไปน่ะเพราะครูหวังดี...”



            “ผมว่าอาจารย์หลงประเด็นแล้วนะฮะ”



            ....



            เงียบ



            เงียบกริบทั้งห้อง



โดยเฉพาะหญิงสูงอายุที่ยังยกนิ้วชี้ค้างกลางอากาศ จำต้องยกมือขึ้นดันแว่นสายตาพร้อมเอ่ยตะกุกตะกัก “ไหนพูดใหม่ซินายไตรภูมิ”



“อาจารย์สอนเด็กมาตั้งนาน ดูจากอายุก็น่าจะเจอเด็กไม่ต่ำกว่ายี่สิบรุ่น ทำไมเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ครับ”



เวรแล้วไอ้ภูมิเพื่อนกู เวรตะไลแล้วไง



ซันแทบจะกัดลิ้นตัวเอง อยากกระชากคอเพื่อนรักมาต่อยสักหมัดสองหมัด ความจริงสิบหมัดยังน้อยไปด้วยซ้ำ โทษฐานที่แม่งทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ



รู้ว่าโกรธรู้ว่าเคือง แต่คนที่มันกำลังเถียงอยู่ปาวๆ ก็เป็นอาจารย์นะเว้ย!



“เธอว่าอะไรนะ!” น้ำเสียงของหญิงสูงวัยเริ่มแหลมปรี๊ด ตรงกันข้ามกับคนเป็นลูกศิษย์ที่ยังคงความเรียบเฉยไว้ขณะเอ่ย



“พ่อผมอยากให้ผมเข้าหมอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอครับ ถ้าอาจารย์อยากให้ผมตายผมต้องวิ่งไปตายให้อาจารย์ไหม”



“นี่เธอยังไม่...!”



“ผมไม่สนว่าใครจะมองผมว่ายังไง หรืออยากให้ผมเป็นอะไร ที่ผมสนคือไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่งกับชีวิตผม โดยเฉพาะทางที่ผมเลือก”



น้ำเสียงแข็งประกาศกร้าว ก่อนที่คนพูดลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกนอกห้อง ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจอาจารย์ที่ยืนตัวสั่นแบบคนที่หาเสียงตัวเองไม่เจอ



“ไอ้เหี้ยภูมิ อารมณ์ขึ้นไม่ดูจังหวะเลยนะมึง...” ซันสบถก่อนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งก้มหัวให้หญิงสูงวัย “ขออนุญาตครับอาจารย์”



ไม่รอคำอนุญาต เขาก็รีบวิ่งออกจากห้องตามเพื่อนรักไปอีกคน











 

            “ไอ้เหี้ย! เป็นบ้าอะไรของมึง ครั้งนี้มึงโดนหนักแน่รู้ตัวไหม”



            “เออกูรู้ ก็กูขึ้นนี่หว่า ขอโทษละกัน” ภูมิบ่นอุบอิบ



            “ขอโทษกูทำหอกไร นู่น ไปกราบขอโทษอาจารย์ป้าสุดรักของมึงเหอะ เทอมนี้ติดศูนย์กูไม่รู้ด้วยนะ” ซันโวยวายอย่างหัวเสีย



            เขาวิ่งตามไอ้เพื่อนจอมเลือดร้อนมาจนถึงสนามบาส ก็เห็นมันยืนนิ่งๆ แบบหมาหงอย พอเขาด่ามันก็ยอมขอโทษแบบง่ายๆ  ซ้ำยังทำสีหน้ารู้สึกผิดจนคนที่กำลังจะด่าอีกชุดได้แต่เก็บคำด่าของตัวเองไว้ แล้วระบายด้วยการเตะเสาแป้นบาสแรงๆ ทีหนึ่ง



            แม่งอารมณ์ขึ้นเพราะมีคนมาสะกิดถูกปม พอคิดได้เข้าหน่อยก็มายืนหงอยอยู่คนเดียว จะติสท์จัดไปไหนวะเพื่อนกู



          “แล้วนี่มึงจะทำไงต่อ”



            “กูก็ไปขอโทษอาจารย์ดิ”



            “เหอะ คงจะง่ายหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกนะเว้ยที่มึงทำแบบนี้” ซันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง



            “มีทางเดียวนี่หว่า จะให้กูเลิกเล่นวงอย่างที่อาจารย์บอกก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”



            ภูมิว่าอย่างนั้นแล้วหันหลังกลับไปทางตึกเดิมที่ตนเพิ่งวิ่งมา พอทั้งสองคนขึ้นมาถึงห้อง บรรยากาศภายในก็เงียบกริบ ไร้ซึ่งวี่แววของอาจารย์เดือนเพ็ญ แต่ภูมิไม่จำเป็นต้องถามหา เพราะหญิงสาวที่ชื่อน้ำหวานซึ่งเป็นหัวหน้าห้องเดินมาบอกภูมิทันที



            “อาจารย์บอกให้นายไปพบที่ห้องพักครู”



            “...”



            “อืม ขอบใจนะน้ำหวาน” ซันเป็นฝ่ายตอบรับแทนเมื่อเห็นว่าคนข้างตัวนิ่งไป



            ทั้งสองคนเดินไปจนถึงห้องพักครู แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไป เพื่อนตัวดีที่นิ่งมาตลอดทางก็คว้าแขนของซันไว้ให้หยุดที่หน้าห้อง



            “ไอ้ซัน กูกลัวว่ะ”



            ซันกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ “กลัวอะไรของมึง”



            “ไม่รู้ดิ ครั้งนี้กูว่ากูพูดแรงว่ะ เชี่ยเอ๊ย ทำไงดีวะเนี่ย”



            เขาถอนหายใจ ตบบ่าเพื่อนตัวเองเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจพร้อมทั้งเอ่ย



            “ทำใจว่ะ ยังไงมึงก็ต้องเข้าไปเคลียร์อยู่ดี”



            ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ซันเห็นดังนั้นก็ได้แต่หวังในใจขณะเปิดประตูเข้าไป



            ...คงไม่มีอะไรร้ายแรงมั้ง











           



            “ผู้ปกครอง?”



            ภูมิทวนคำ เผลอหันไปสบตากับเพื่อนซี้ข้างตัวด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก



            “ครูไม่ได้โกรธอะไรเธอหรอกนะนายไตรภูมิ ครูเข้าใจว่าวัยรุ่นน่ะเลือดร้อน และเธอไม่ใช่นักเรียนคนแรกที่ทำแบบนี้กับครู” อาจารย์เดือนเพ็ญเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ประสบการณ์การพบเจอเด็กมากมายหลายรุ่นทำให้การข่มอารมณ์ไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับหญิงสูงอายุ “แต่ผู้ปกครองของเธอควรรับรู้ถึงพฤติกรรมที่เธอแสดงออกในวันนี้”



            “อาจารย์ครับ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ภูมิเอ่ยอย่างร้อนรน กระนั้นน้ำเสียงก็แสดงถึงความรู้สึกผิดจากใจจริง ทั้งยังปนไปด้วยความกลัว “แต่ผมขอร้องอาจารย์ว่าอย่าบอกพ่อผมได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”



            ...จะให้พ่อของเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน



            ทว่าคนที่นั่งบนเก้าอี้กลับส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ครูต้องทำตามกฎและความเหมาะสม ครูหวังดีกับเธอนะนายไตรภูมิ”



            “แต่...”



            “สิ่งที่เธอทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหากเทียบกับเด็กเกเรหลายๆ คน ครูเพียงต้องการให้ผู้ปกครองของรับรู้เรื่องนี้ รวมถึงรับรู้พฤติกรรมทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอ”



            จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้ยังไง...พ่อของเขาเหมือนคนอื่นเสียที่ไหนกัน การทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุดในครอบครัวเกิดขึ้นเพราะอะไรเขารู้ดี



            “ผมขอโทษครับอาจารย์ ผมขอโทษจริงๆ...”



            “อีกหนึ่งชั่วโมงครูจะโทรหาผู้ปกครองของเธอ”



            คำประกาศิตของอาจารย์ประจำชั้นราวกับไม้หน้าสามที่ฟาดแสกเข้ากลางหน้าของภูมิ ซึ่งแม้แต่ซันเพื่อนสนิทข้างกายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้



            การเรียนในภาคเช้าผ่านไปโดยที่ภูมิไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย ใจนึกกังวลไปต่างๆ นานา



...เขาเคยรับปากพ่อว่าจะลดกิจกรรมให้น้อยลงและสนใจการเรียนมากขึ้น โดยต่อหน้าพ่อเขาสามารถทำตามคำพูดได้จนพ่อเริ่มวางใจ แต่ความจริงแล้วภูมิยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมเหมือนเดิม และไม่ได้ตั้งใจเรียนอย่างที่ควรจะเป็น



            เขาไม่รู้ว่าอาจารย์เดือนเพ็ญจะบอกพฤติกรรมของเขาให้พ่อฟังถึงระดับไหน หากบอกแค่ว่าเขาโต้แย้งอาจารย์ด้วยวาจาก้าวร้าว...นั่นอาจมีทางแก้ไข แต่ที่ร้ายที่สุดคือถ้าพ่อของเขารู้ว่าเขาพูดอะไรออกไป...เหตุการณ์นั้นอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง



          ‘พ่ออยากให้ผมเป็นหมอแล้วเกี่ยวอะไรกับผม ความต้องการของพ่อสำคัญอะไรกับผมเหรอครับ ถ้าพ่ออยากให้ผมตายผมต้องไปตายให้พ่อไหม!’



          เพียะ!



          ภูมิเผลอยกมือขึ้นแตะแก้มข้างซ้ายเบาๆ  นึกย้อนไปถึงคราวที่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าตบด้วยแรงทั้งหมดที่มี



          ประโยคที่เขาพูดกับอาจารย์เดือนเพ็ญ เป็นประโยคที่เขาเคยหลุดระหว่างที่ทะเลาะกับพ่อ และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย



            “โธ่เว้ย!” ภูมิลอบสบถเบาๆ  มือกำปากกาไว้แน่นจนเส้นเลือดปูด แบบที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าอารมณ์ของคนตรงหน้ากำลังเดือดจนแทบระเบิด



            เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น ฉุดคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตนเองให้ได้สติขึ้นมา มือควานหาโทรศัพท์ด้วยอารามที่ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น



ทว่าชื่อเจ้าของข้อความกลับทำให้ภูมิชะงัก



            ...พ่อ...



            ภูมิรีบกดเข้าอ่านทันใด ลมหายใจแทบกระตุกกับข้อความที่แสดง รู้สึกชาวาบทั่วทั้งกาย



            ‘ฉันจะไม่ยอมแกอีกเป็นครั้งที่สอง’











         

ภูมิเร่งโทรหาพี่เปิ้ลเพื่อนำวีดิโอที่ตัดต่อเสร็จแล้วให้ ทั้งยังของดซ้อมดนตรีตอนเย็น พี่เปิ้ลดูจะเข้าใจถึงความจำเป็นจึงรับปากโดยไม่ว่าอะไร เมื่อโรงเรียนเลิกภูมิจึงรีบวิ่งไปขึ้นรถเมล์เพื่อกลับบ้านทันที



วันนี้ภูมิถึงบ้านเร็วกว่าปกติสักสองชั่วโมงได้ กระนั้นลางสังหรณ์กลับร้องเตือนว่าเขาอาจมาช้าเกินไป



            ประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้และภาพของชายวัยกลางคนที่กำลังยกกีตาร์ขึ้นเหนือหัวทำให้ภูมิต้องร้องออกมาสุดเสียง



            “อย่านะพ่อ!!!”



            พลั่ก!



            ...กีตาร์โปร่งที่เขาหยิบออกมาเล่นทุกวัน เครื่องดนตรีเครื่องโปรดที่สร้างความผ่อนคลายให้เขาเสมอ



            ...บัดนี้กลายเป็นเพียงเศษไม้ซึ่งมีสายลวดห้อยโตงเตง



            ราวกับแขนขาหมดแรงกะทันหัน ร่างทั้งร่างแทบล้มทั้งยืน มือพยายามยันประตูห้องไว้ มองผ่านภาพพร่ามัวที่เกิดจากน้ำตาซึ่งไม่รู้ว่ารื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก้าวเข้าห้องอย่างเชื่องช้า และยิ่งพบสภาพห้องที่เละเทะราวกับถูกรื้อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ทั้งหนังสือ...แผ่นซีดี...ของสะสมทุกๆ อย่างของเขา...



            ภูมิไม่มีเวลาได้พักหายใจ เมื่อร่างของชายวัยกลางคนเดินตรงไปยังหัวเตียง ...เขาเบิกตากว้างกว่าเดิมหลายเท่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “อย่านะพ่อ...แค่อันนั้นอันเดียวที่ผมขอ...”



            ตึง!



            กล้องถ่ายรูปสีดำถูกเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรงจนเศษกล้องกระจายออก เพียงเท่านั้นภูมิก็รู้สึกราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย รีบเข้าไปคว้ากล้องขึ้นมากอดไว้อย่างหวงแหน เงยหน้าขึ้นสบตากับบิดาผู้ซึ่งมองเขาอยู่ด้วยแววตาที่แสดงออกถึงอารมณ์โกรธจนล้นทะลัก



            “แกไม่เคยทำตามที่สัญญาสักนิด...คิดว่าฉันโง่ใช่ไหม”



            “พ่อ...” ภูมิรู้สึกจุกในลำคอ อารมณ์มากมายตีกันในหัวจนหาเสียงตัวเองไม่เจอ



            “...ไสหัวไป”



          คำกล่าวของชายวัยกลางคนทำให้ภูมิไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นยืนและวิ่งออกนอกห้อง เร่งสาวเท้าผ่านบันไดจนออกนอกรั้วบ้าน



            ...ที่ไหนก็ได้...ไปที่ไหนก็ได้...



            สองเท้าเปลือยเปล่าวิ่งผ่านซอยที่ทั้งลึกทั้งเปลี่ยว แต่เจ้าของฝีเท้าไม่สนใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เพราะมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเพิ่งเจอ ...จนในที่สุดจึงชะลอฝีเท้าลงตามแรงที่เริ่มหมด พิงแผ่นหลังเข้ากับกำแพง ยกหลังมือขึ้นปิดดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้



ร่างเล็กสะอื้นจนตัวสั่นระริก มือควานหามือถือในกระเป๋ากางเกง ใจนึกไปถึงคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจ และเป็นที่พึ่งพิงให้เขามาตลอด



ภูมิไล่หาชื่อเพื่อนสนิทแล้วกดโทรออก ทว่าเสียงสัญญาณกลับดังต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าเจ้าของเครื่องจะรับ



...ทำไมถึงไม่รับสาย...



...โดยเฉพาะเวลานี้ที่เขาต้องการใครสักคนมากที่สุด...



...ใครสักคนที่เข้าใจ...



พลันน้ำเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว



‘พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ’



...พี่โฟล์ค...



ภูมิกดตัดสายที่โทรค้างไว้ เลื่อนดูประวัติการโทรเข้าโดยอัตโนมัติ พบเบอร์หนึ่งที่ยังไม่ได้บันทึกชื่อไว้ในเครื่อง...แต่กลับจำได้ขึ้นใจว่าเป็นเบอร์ของใคร



เขากดโทรออกก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง ฟังเสียงสัญญาณรอสายด้วยความหวังที่ริบหรี่



ไม่นานนักปลายสายก็กดรับ พร้อมด้วยน้ำเสียงคุ้นหูที่เอ่ยมาตามสาย



[ครับภูมิ]



“พี่โฟล์ค...พี่อยู่ไหน”



[พี่อยู่แถวมหา’ลัยครับ ภูมิมีอะไรหรือเปล่า]



“ฮึก...พี่โฟล์ค...วันนี้พี่จะมาหาผมไหม” ภูมิเริ่มสติล่องลอยขึ้นทุกที ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปบ้าง



[วันนี้มีนัดสอนตอนเย็นนี่ครับ...เดี๋ยวนะ นี่ภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงแปลกๆ] ปลายสายเริ่มจับสังเกตได้ ภูมิจึงสะอื้นหนักกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่



“พี่...ฮึก...วันนี้ไม่สอนได้ไหม แต่พี่มาหาผมนะ...”



[...]



ความเงียบที่เกิดขึ้นทำเอาภูมิเริ่มใจไม่ดี เริ่มรู้ตัวว่าชักพูดอะไรไร้สาระเสียแล้ว นั่นสิ...นี่เขาทำบ้าอะไรอยู่...



“เอ่อ..คือ...”



ไม่ทันที่ภูมิจะเอ่ยแก้ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา



[ตอนนี้ภูมิอยู่ไหน เดี๋ยวพี่ไปหา]




-------------------------------------- TBC -------------------------------------


น้องภูมิก็ไม่ได้ทำถูกทุกอย่างเนอะ ต้องให้น้องโตขึ้นกว่านี้อีกนิดค่ะ
พี่โฟล์คจะมาแล้ว แฮ่ <3

ปล.ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมากๆนะคะ ดีใจจจจ> <
ขอบคุณที่เอ็นดูน้อง สงสารน้องนะคะ ไปต่อด้วยกันน้า

CT.hamonigar

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 4 : ปลอบ



            ขับรถเข้าซอยมาได้ไม่นานโฟล์คก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน เมื่อสายตาสังเกตเห็นร่างเล็กที่กำลังนั่งพิงกำแพงในสภาพเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ย ทั้งยังนั่งนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการมาของเขา กระนั้นดวงตาแดงก่ำก็บอกได้ดีว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาหนักขนาดไหน



            โฟล์คจอดรถค้างไว้อย่างนั้นแล้วเปิดประตูลงมา ก้าวเข้าหาร่างเล็กอย่างรวดเร็ว



            “ภูมิครับ...”



            เขาเอ่ยเสียงแผ่ว วางมือลงบนบ่าอีกฝ่ายเบาๆ  แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่มีอาการตอบสนองแม้แต่น้อย



            “ภูมิ...”



            โฟล์คเอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม ...แค่เสียงที่คุยกันในโทรศัพท์ก็ทำให้เขากังวลใจจะแย่ รีบขอตัวจากเพื่อนคนอื่นเพื่อบึ่งรถมาที่นี่โดยเฉพาะ แต่พอมาเห็นสภาพของคนตรงหน้าในยามนี้เขาก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก



            ปริ๊น



            เสียงบีบแตรจากรถอีกคันที่ตามหลังมาทำให้โฟล์คต้องรีบตัดสินใจ



            “ภูมิ ขึ้นรถก่อนนะครับ” ร่างสูงเอื้อมมือไปประคองร่างของอีกฝ่ายพร้อมทั้งออกแรงพยุงขึ้น เมื่อพาเข้ามานั่งในรถได้แล้วจึงเดินอ้อมเพื่อไปขึ้นอีกฝั่งแล้วออกรถ หาช่องทางในการกลับลำอยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนพวงมาลัยพารถขับออกถนนใหญ่ ระหว่างทางก็หันมามองร่างเล็กที่นั่งข้างกายด้วยความเป็นห่วง



            เมื่อขับออกมาได้พักหนึ่ง บรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นก็ทำให้โฟล์คตัดสินใจเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนขยับตัวหันเข้าหาอีกฝ่าย เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ อีกครั้ง



            “ภูมิครับ”



            “ฮึก...” ภูมิหลุดสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา หากแต่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร



            หยดน้ำตาบนใบหน้าของคนตัวเล็กที่ไหลออกจากดวงตาแดงก่ำ ทำให้โฟล์คอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสข้างแก้มของคนตรงหน้าเบาๆ  ทั้งยังใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้อย่างเบามือ



...การกระทำที่ทำเอาร่างเล็กถึงกับสะดุ้งน้อยๆ  หันมามองคนที่เช็ดน้ำตาให้ตนด้วยความหวาดหวั่น



“มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหมครับ” โฟล์คไม่ดึงมือออก ซ้ำยังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นวาบในอก จนในที่สุดภูมิก็หลุดสะอื้นออกมาอีกครั้ง



“ฮึก...พี่โฟล์ค...ภูมิเหนื่อย...ฮึก” ร่างเล็กสั่นสะท้าน ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ทำเอาประโยคฟังไม่ได้ศัพท์ “พ่อไม่เข้าใจภูมิ...พี่ภาคย์ไม่เข้าใจ...ฮึก...ภูมิไม่รู้จะ...ฮึก...จะทำยังไงดี...”



“ทำไมครับ...เกิดอะไรขึ้น” โฟล์คเลื่อนมือขึ้นวางบนศีรษะทุยๆ อย่างต้องการปลอบประโลม



“พ่อทุบกีตาร์ภูมิ...ฮึก...พัง...หมดเลย...ฮึก...แล้ว...แล้วก็กล้องตัวนี้...”



ร่างเล็กกอดกล้องถ่ายรูปสีดำในอ้อมแขนแน่นขึ้น โฟล์คจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตลอดทางที่ผ่านมาภูมิถือกล้องตัวนี้ไว้ตลอด ทั้งยังกอดไว้ราวกับหวงแหนมาก



แม้เขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่จากเสียงสั่นๆ ที่เล่ามาคงไม่ใช่เรื่องดีเลย

“กล้อง...ของแม่...ฮึก”



ประโยคต่อมาที่หลุดจากปากภูมิทำให้โฟล์คชะงัก



แม่ งั้นเหรอ...



เขารู้มาว่าแม่ของภาคย์เสียไปเมื่อปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง ไอ้ภาคย์จึงเหลือแค่พ่อกับน้องชาย แต่เพราะเพื่อนเขาไม่ได้เล่าเรื่องในครอบครัวให้ฟังมากนัก ทั้งยังเป็นคนเก็บอาการจนแม้แต่เพื่อนฝูงยังไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร จึงปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากที่ไปร่วมงานศพครั้งหนึ่งแล้วเขาก็เกือบลืมเหตุการณ์นี้ไปเสียสนิท



โฟล์คหันมามองเด็กข้างกายอีกครั้ง เห็นได้ว่าร่างเล็กตัวสั่นยามเมื่อกอดกล้องในอ้อมแขนไว้ราวกับเด็กที่ตื่นกลัว ปากยังพยายามส่งเสียงพูดแข่งกับเสียงสะอื้น



“ฮึก...แม่ซื้อให้...ภูมิ...แม่...ฮึก...ชอบถ่ายรูป...ภูมิก็ชอบ...ฮึก” หยดน้ำตาไหลลงมาไม่ขาด โฟล์คจึงเอื้อมมือไปปาดให้อีกครั้งอย่างแผ่วเบา รู้สึกปวดหนึบในใจแปลกๆ ด้วยความสงสาร



เขารู้ว่าการสูญเสียคนที่รักและผูกพันมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะภูมิที่เป็นเด็กอ่อนไหวแตกต่างจากไอ้ภาคย์เพื่อนเขา ...เดาไม่ถูกจริงๆ ว่าความเจ็บปวดที่เด็กคนนี้ได้รับมันมากมายมหาศาลขนาดไหน



คงราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย...เป็นความสูญเสียที่หากใครไม่เจอกับตัวคงไม่มีทางเข้าใจ



“แต่พ่อ...ฮึก...พ่อไม่ชอบถ่ายรูป...พ่อไม่ชอบดนตรี...ฮึก...แล้วพ่อก็ห้ามภูมิ...พังทุกอย่างของภูมิ...ฮึก”



ฟึ่บ



ไม่ทันรู้ตัว ร่างเล็กก็ถูกดึงเข้าไปในวงแขนแกร่งของคนที่นั่งฟังนิ่งๆ มานาน หัวทุยๆ ถูกดันให้ซบลงกับอกกว้าง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ลูบศีรษะของตนอยู่อย่างเบามือ ...แต่กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก



“...พี่โฟล์ค...” ภูมิเผลอร้องออกมาด้วยความตั้งตัวไม่ถูก ถึงอย่างนั้นก็ยอมอยู่นิ่งๆ โดยไม่ขยับหนี



โฟล์คกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ...ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรลงไป รู้แต่เขาอยากกอด...อยากปลอบ...อยากให้กำลังใจเด็กคนนี้



อยากบอกว่า...คนในอ้อมกอดของเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว



ถึงแม้จะเพิ่งเจอ...เพิ่งคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่โฟล์คกลับรู้สึกเอ็นดูลูกศิษย์ของเขาคนนี้ไม่ต่างจากน้องชายแท้ๆ  โดยเฉพาะยามที่ร่างเล็กยกสองมือขึ้นปาดคราบน้ำตาและส่งเสียงสะอื้น เขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้คนที่ร้องไห้อยู่ได้



“ฮึก...พี่โฟล์ครู้ไหม...ภูมิไม่ได้อยากเรียนหมอ...ฮึก...ไม่ได้อยากเรียนเลย...” ภูมิพูดในขณะที่ใบหน้ายังซบอยู่กับอกกว้าง พรั่งพรูทุกอย่างในใจออกมาราวเด็กที่เพิ่งเจอสิ่งยึดเหนี่ยว ซึ่งโฟล์คก็เต็มใจจะทำหน้าที่นี้



...รู้มานานแล้วว่าภูมิมีเรื่องบางอย่างเก็บไว้ในใจ หลายต่อหลายครั้งที่เขาสังเกตเห็นเด็กคนนี้ทำหน้าอมทุกข์ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะคิดว่าตนอาจยังไม่สนิทกับอีกฝ่ายถึงขั้นที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้ แต่พอมาวันนี้ราวกับกำแพงทั้งหมดพังทลายลง และเขา...ก็ได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมากขึ้น



“ไม่เป็นไรนะครับภูมิ พี่รู้แล้ว...พี่รู้แล้วนะครับ”



“ฮึก..”



จากนั้น โฟล์คจึงปล่อยให้คนในอ้อมแขนปล่อยน้ำตาและเสียงสะอื้นออกมามากเท่าที่ต้องการ ให้สมกับความรู้สึกทั้งหมดที่เก็บสะสมในใจตลอดมา











 

“พี่โฟล์ค พี่พาผมมาที่นี่ทำไม”



ภูมิร้องถามด้วยความสงสัย ยามเมื่อร่างสูงเลี้ยวรถเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ นอกจากรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ ภูมิจึงไม่ซักไซ้อะไรต่อ แล้วหันหน้าหนีไปนอกรถ



...ก็จะให้วางตัวยังไงเล่า พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ถูกปลอบท่าไหนหน้าก็ร้อนวูบไปหมด แถมเขายังร้องไห้ได้เสียเชิงชายชะมัด



ช่วงนี้เป็นเวลาที่คนส่วนมากเลิกงานพอดี ที่จอดรถจึงหาค่อนข้างลำบาก แต่พอจอดได้แล้วพี่โฟล์คก็หยิบรองเท้าแตะที่อยู่ในรถให้เขาคู่หนึ่ง ภูมิถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองวิ่งออกจากบ้านมาทั้งเท้าเปล่า จากนั้นพี่โฟล์คก็ลากเขาเข้าไปในตัวห้างโดยบอกให้เอากล้องถ่ายรูปในมือไปด้วย ...ยิ่งเห็นรอยร้าวบนกล้องไอ้ภูมิก็ยิ่งเจ็บ แต่ก็จำต้องทำตามคำบอกของร่างสูงเพราะไม่อยากเรื่องมาก



แต่พอพี่โฟล์คพาเขามาถึงร้านที่เป็นจุดหมาย คนถูกลากมาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เอ่ยทวนสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างฉงน “ร้านกล้อง?”



“ใช่ เข้าไปกันเถอะ”



ภูมิยังไม่ทันได้ร้องค้าน คนตรงหน้าก็จับมือลากเขาตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งยืนให้บริการอยู่



“ขอโทษนะครับ คือผมอยากให้ช่วยดูกล้องตัวนี้หน่อย” ประโยคที่ทำให้ภูมิต้องหันขวับมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู ...เมื่อกี้พี่โฟล์คพูดว่าอะไรนะ แล้วยังสายตาที่พยักเพยิดมาทางกล้องในมือเขาอีก



“ได้ค่ะ รบกวนวางให้ดูนิดนึงนะคะ” พนักงานสาวเอ่ยอย่างใจดี ภูมิจึงวางกล้องลงบนตู้กระจกตามคำบอก หญิงสาวพลิกกล้องในมือไปมาเพื่อตรวจสอบสภาพภายนอก แล้วจึงลองเปิดกล้อง ก่อนจะหันมาบอกภูมิ “ตัวเลนส์ตกกระแทกแรงนะคะ แต่ตัวกล้องไม่เป็นอะไรมาก เมื่อกี้พี่ดูคร่าวๆ เห็นว่ากระจก OVF เคลื่อน ส่วนนี้ยังซ่อมได้ค่ะ เลนส์อาจจะต้องทำใจ แต่ยังไงพี่จะเช็คอย่างละเอียดให้อีกทีนะคะ”



 “รบกวนด้วยนะครับ” โฟล์คยิ้มกว้างก่อนจะคุยรายละเอียดกับพนักงานอีกเล็กน้อย แต่ไอ้ภูมินี่สินิ่งค้างไปแล้ว



ภูมิรีบกระตุกแขนเสื้อนักศึกษาของโฟล์คที่กำลังจะพาเขาออกนอกร้าน



“พี่...ผมไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อม”



“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ” โฟล์คหันมาตอบง่ายๆ “เอ้า อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยกลับมา ไปกินอะไรกันก่อนไหม”



“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิพี่โฟล์ค พี่จ่ายให้ผมไม่ได้นะ ค่าสอนพิเศษพี่ยังไม่เอาจากผมเลยไม่ใช่เหรอ”



“งั้นภูมิก็สอนกีตาร์ให้พี่สิ”



“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะพี่ ผมไม่ยอมจริงๆ นะ”



โฟล์คหัวเราะออกมาหน่อยๆ ...บทจะดื้อ เด็กตรงหน้าก็ดื้อได้ใจจริงๆ  เรื่องเงินแค่นี้เขาถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่เห็นภูมิมีสีหน้าสดชื่นขึ้นยามที่รู้ว่ากล้องสามารถซ่อมได้ แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว



“เลี้ยงข้าวพี่สักมื้อแล้วกัน” พอทนคำรบเร้าจากร่างเล็กไม่ไหวโฟล์คจึงบอกปัดไปอย่างนั้น แต่ก็ทำเอาภูมิถึงกับหน้ามุ่ยลงกว่าเดิม บ่นงึมงำกับตัวเอง



“ต้องเลี้ยงกี่มื้อล่ะถึงจะครบ” บวกลบคูณหารในใจ ถ้าเกิดเป็นก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำแถวบ้านไม่รู้ต้องเลี้ยงถึงร้อยชามหรือเปล่า



“อืม งั้นไปร้านนี้แล้วกัน มื้อเดียวอยู่แน่นอน”



ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงที่เอ่ยสรุปให้เสร็จสรรพก็จัดการลากคนที่ไม่ยอมเป็นหนี้ให้เดินตามตัวเองเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น แบบที่พอภูมิเห็นชื่อร้านก็เกิดขาแข็งขึ้นมากะทันหัน พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเพื่อจะไม่เข้าร้าน แต่ก็สู้แรงคนตัวสูงกว่าไม่ได้ สุดท้ายทั้งสองคนจึงลงเอยด้วยการมานั่งที่โต๊ะในสุดพร้อมด้วยเมนูหรูเลิศอลังการตรงหน้า



คิดได้ไงวะให้เขาเลี้ยงร้านนี้ มีหวังได้นั่งล้างจานทั้งอาทิตย์น่ะสิ!



“นั่งนิ่งทำไมล่ะภูมิ สั่งสิครับ”



ภูมิอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ มองคนพูดที่กำลังพลิกเมนูในมืออย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่ร่างเล็กจะกลืนน้ำลายลงคอทีหนึ่ง



“ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นเว้ยพี่โฟล์ค”



“งั้นพี่ออกให้ก่อน แล้วภูมิค่อยคืนพี่แล้วกัน”



แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหนวะ



คำตอบที่ส่งกลับมาทันควันทำเอาภูมิถึงกับไปต่อไม่ถูก ก้มหน้าบ่นขมุบขมิบด้วยรู้ตัวว่าคงเถียงสู้ไม่ได้ ก่อนจัดการเปิดเมนูอาหารแล้วสั่งไปสองสามอย่าง ไม่สงไม่สนแล้วความเกรงใจ ก็ไอ้พี่ตรงหน้าดันกวนประสาทเขาเองนี่หว่า



ตกลงคือพี่แกจะเลี้ยงใช่มะ ดี! จะได้ฟาดให้หนักไปเลย



          คิดแล้วก็ลอบยิ้มในใจ เรียกให้ร่างสูงที่นั่งตรงข้ามซึ่งหันมาเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของคนตัวเล็กพอดีต้องขยับยิ้มตาม โล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อชั่วโมงก่อนกลับมาร่าเริงได้



            ...ไม่รู้เหมือนกันว่ายอมทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร แต่ผลที่ได้มาก็คุ้มล่ะนะ...



            โฟล์คไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอทำสีหน้าแบบไหนยามที่จ้องมองคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้าม จนคนถูกมองซึ่งหันมาสบตาพอดีต้องชะงักกึก เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในใจกับสายตาที่...จะเรียกว่ายังไงภูมิก็ไม่แน่ใจ



            อ่อนโยน...ล่ะมั้ง



            ...รู้แต่ว่าเขาไม่เคยได้รับสายตาแบบนี้จากใครแน่ๆ



            ความคิดนั้นทำให้ภูมิต้องหลบสายตาอย่างวางตัวไม่ถูก หันมองทิวทัศน์นอกร้านผ่านกระจกใส จงใจเลี่ยงความสนใจจากร่างสูงตรงหน้า



...เผื่อจะช่วยลดความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจได้บ้าง











 

            “แล้วคืนนี้ภูมิจะกลับบ้านไหมครับ”



            โฟล์คเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งสองขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ภูมิชะงักไปเหมือนเพิ่งคิดได้ ดวงตาสะท้อนความลังเลใจขณะเอ่ย “ผม...”



            ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับเพราะยังฝังใจกับภาพที่เห็นก่อนออกจากบ้าน หนำซ้ำอารมณ์ของพ่อตอนนี้คงไม่ต้อนรับเขาเท่าไหร่ หากไม่กลับก็มีแต่ต้องไปนอนค้างหอไอ้ซันอย่างที่ชอบทำประจำ ทว่าวันนี้เขายังติดต่อเพื่อนซี้เพียงคนเดียวไม่ได้เลยนี่สิ



            โฟล์คมองร่างเล็กที่หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกก่อนแนบหูสองสามครั้ง แต่ดูจากคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้ว ปลายสายที่ภูมิต้องการติดต่อคงไม่ได้รับสาย



            “แล้วนี่ไอ้ภาคย์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า” เขาถามต่อ



            “อืม...คงรู้จากพ่อแล้ว” ภูมิเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ถอดใจกับการติดต่อเพื่อนสนิทที่ไม่รู้หายหัวไปไหนทั้งเย็น แล้วจึงหันไปบอกพี่โฟล์คเสียงอ่อน “ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ ผมอาจจะต้องกลับ...”



“งั้นไปคอนโดพี่ไหม”



กึก



เป็นอีกครั้งที่โฟล์คไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไป แต่คนฟังกลับชะงักโดยพลัน เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง



โฟล์คเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจึงถอนหายใจ ก่อนอธิบายอย่างใจเย็น



            “บอกตามตรง พี่เองก็ไม่อยากให้ภูมิกลับบ้านตอนนี้ พี่กลัวสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม แล้วถ้าภูมิไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ ก็ไปอยู่กับพี่ก่อน ไม่ต้องเกรงใจครับ”



            “แต่...”



            ภูมิยังเอ่ยค้าน แต่แล้วก็เงียบเสียงลงเพราะไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรขึ้นมา เขาเห็นด้วยกับทุกอย่างที่พี่โฟล์คพูด ติดแค่ว่าเขากับคนตรงหน้ายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น



          “หรือถ้าภูมิไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ”



            “เฮ้ยเปล่าๆ  ผมไม่ได้ไม่สะดวกใจนะ ผมแค่เกรงใจพี่อะ แค่นี้ก็รบกวนจะแย่”



          ภูมิรีบแก้เมื่ออีกฝ่ายดูท่าจะเข้าใจผิด



            “ภูมิโอเคจริงนะ?” โฟล์คถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจ จนภูมิต้องพยักหน้ารัวๆ



            “อืม จริงสิ”



            “งั้นก็โอเคครับ”



            โฟล์คจัดการสตาร์ทรถก่อนขับออกมาโดยมีร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่ข้างกาย ซึ่งหากคนขับรถหันไปสังเกตปฏิกิริยาของผู้ร่วมทางสักนิด จะพบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเกร็งตัว ทั้งยังมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับต้องการสะกดความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร...











 

            “วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะ เลิกงานได้”



เสียงประกาศของหัวหน้างานทำให้ทุกคนเฮลั่น พากันทยอยถอดผ้ากันเปื้อนสีแดงออกและเก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมกลับบ้าน ซันมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาสองทุ่มตรงก่อนถอนหายใจยาว



เหนื่อยแฮะ ขนาดเพิ่งลองทำวันแรกแท้ๆ



“เฮ้ยซัน วันแรกทำงานดีนี่ ทำอย่างนี้ให้ได้ตลอดนะ ฮ่าๆ” เสียงแซวจากรุ่นพี่ร่วมงานทำให้ซันหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบอย่างสุภาพ



“จะพยายามครับ”



ใช่ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารตามสั่งแถวโรงเรียน เป็นร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ด้วยราคาอาหารที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณก็ทำให้มีลูกค้าหนาแน่นพอสมควร โดยเฉพาะช่วงเย็นจนถึงเวลาหัวค่ำเช่นนี้



ไม่ใช่ว่าที่บ้านมีปัญหาด้านการเงินหรืออะไร แต่เป็นเพราะเขารู้สึกอยากลองทำอะไรใหม่ๆ  อยากลองทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนที่รุ่นพี่หลายๆ คนทำ และอีกอย่างร้านอาหารนี้ก็อยู่ใกล้โรงเรียน อีกทั้งยังใกล้หอพักของเขา ยิ่งมีรุ่นพี่ที่รู้จักช่วยฝากฝังงานให้เลยคิดว่าโอกาสแบบนี้ควรคว้าไว้ซะดีกว่า



            ซันพับผ้ากันเปื้อนคืนล็อคเกอร์รวมของพนักงานเรียบร้อย ก่อนหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพาย เมื่อนั้นถึงได้มีโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีสายของเพื่อนสนิทโทรมาเกือบสิบสายตอนที่เขาทำงานอยู่



            ซันตั้งใจจะกดโทรกลับหาภูมิ แต่จู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาพอดี และสายนั้นก็ทำให้เจ้าของเครื่องชะงักไปชั่วครู่



            ...พี่ภาคย์...



          ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงขึ้นทันที ...นานแล้วที่เขาได้เบอร์พี่ภาคย์มาจากไอ้ภูมิ แต่ก็เก็บไว้โดยไม่กล้าโทรหา ไม่นึกว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะโทรมาเองแบบนี้



            ทำตัวไม่ถูกเลยว่ะ



          ได้แต่สูดหายใจลึกเข้าสองสามที กดรับสายก่อนควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติขณะเอ่ย “ครับพี่ภาคย์”



            [ซัน ภูมิอยู่ด้วยหรือเปล่า]



            “หืม ไม่นี่ครับ” น้ำเสียงเคร่งเครียดของปลายสายทำเอาซันขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือเปล่าครับ”



            [อืม มีปัญหานิดหน่อย คิดว่าคืนนี้ภูมิคงไม่กลับบ้าน เลยนึกว่าจะอยู่กับซัน]



            “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ภูมิโทรหาผมหลายสายเหมือนกันแต่ผมไม่ได้รับ ว่าจะโทรกลับอยู่พอดี” ซันบอกขณะเดินออกจากร้าน ในใจนึกเป็นห่วงเพื่อนซี้ไม่น้อย



            [งั้นลองโทรดูก็ได้ ถ้ารู้ว่าภูมิอยู่ไหนก็บอกพี่หน่อยนะ]



            “ได้ครับ”



            [อืม แค่นี้แหละ ขอบคุณมาก]



            พูดจบก็วางสายไป ซันยกโทรศัพท์ออกจากหู ก่อนเร่งกดโทรออกหาภูมิซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง



ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าภูมิอาจเจอปัญหาหนัก...หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาเองแหละที่ไม่ดูแลเพื่อนให้ดี...



ซะที่ไหนล่ะวะ! คนผิดคือไอ้ภูมิต่างหาก เขาเห็นตอนมันอ่านข้อความในโทรศัพท์แล้วหน้าซีด ก็อุตส่าห์ถามย้ำตั้งหลายรอบว่ามีปัญหาอะไรไหม มันก็บอกปฏิเสธอยู่ได้ว่าไม่มีๆ  พอเลิกเรียนเขาก็ต้องรีบมาทำงานพิเศษเลยไม่มีเวลาคาดคั้นอีก แล้วมันก็ดันโทรมาหลายรอบตอนเขาทำงานอยู่ซะงั้น



ไอ้นี่แม่งชอบเก็บปัญหาไว้กับตัว โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวเนี่ยเก็บได้เก็บดี เห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง!



เสียงสัญญาณรอสายดังต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าปลายสายจะรับ ซันสบถพรืด กดวางสายแล้วโทรหาใหม่อีกครั้ง



ไม่ใช่แค่เป็นห่วงเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เขายังห่วงความรู้สึกของคู่สนทนาที่คุยกันเมื่อครู่ด้วย แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะห้วนไปนิดจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แม้ความคิดเห็นหลายๆ อย่างจะไม่ลงรอยกับคนเป็นน้องชาย แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าพี่ภาคย์ยังเป็นห่วงไอ้ภูมิตลอดเวลา



พอคิดแล้วก็อดขยับรอยยิ้มไม่ได้ นึกถึงใบหน้าเฉยชาติดจะแข็งกระด้างของคนที่มีฐานะเป็นพี่ชายของเพื่อน ซึ่งแสดงออกทุกความคิดอย่างตรงไปตรงมา จนเป็นสาเหตุให้เขาประทับในใจตัวตนของคนที่นานๆ ทีจะได้คุยสักครั้งมาตลอด



...เป็นความประทับใจที่เกินเลยจากที่ควรจะเป็นตั้งไม่รู้เท่าไหร่...



...และไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน ที่เขาเริ่มรู้สึก ‘แอบชอบ’ พี่ชายของเพื่อนสนิทตัวเอง...





----------------------------------------- TBC ---------------------------------------



แอบแง้มคู่ซันภาคย์เบาๆ  แต่เลิฟไลน์ของคู่นี้จะยังไม่เดินในเรื่องนี้นะคะ นู่น ได้เดินจริงก็ตอนซันขึ้นมหา'ลัยเลยแหละ

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ ตอนต่อไปเจอกันวันพฤหัสเนอะ

ระหว่างนี้ก็ฝากดูแลน้องภูมิด้วยนะพี่โฟล์ค พาเขาเข้าคอนโดแล้วนี่ > <

CT.hamonigar

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เอาใจช่วยน้อง

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0


Chapter 5 : ยามค่ำคืน

 

           ตอนนี้ภูมิสามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยล่ะว่า พี่โฟล์คน่ะคือ ‘โคตรรวย’ ของจริง



            ตั้งแต่รถเบนซ์สีดำเงาวับที่ดูจะหรูเกินอายุเด็กมหาวิทยาลัย จนมาถึงคอนโดสุดไฮโซใจกลางเมืองที่เจ้าของเพิ่งแล่นรถเข้ามาจอด ทำให้ภูมิถึงกับอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ  รู้สึกราวกับเข้ามาในโลกอีกโลกหนึ่งที่ทั้งชีวิตไม่เคยพบไม่เคยเจอ ยิ่งพอเดินตามอีกฝ่ายมาขึ้นลิฟต์ก็ยิ่งพบความอลังการของคอนโดราคาแพงหูฉี่ กว่าจะเดินมาถึงห้องก็เผลอเอี้ยวคอมองนู่นมองนี่จนเมื่อยไปหมด



            โฟล์คเดินนำร่างเล็กผ่านห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งแบบเรียบหรู โซฟากำมะหยี่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง โดยริมห้องมีทีวีจอแบนขนาดใหญ่และนาฬิกาติดผนังแขวนอยู่ เมื่อเลี้ยวซ้ายก็พบกับประตูบานเล็ก ซึ่งพอเปิดไปก็พบเตียงนอนขนาดคิงไซส์โดยมีห้องน้ำในตัว ร่างสูงวางสัมภาระบนฝั่งขวาของเตียงก่อนหันหน้ามาหาภูมิ



            “นอนที่นี่ไปก่อนได้ไหม”



            “โห ยิ่งกว่าได้ซะอีกพี่ เอ่อ...ผมหมายถึงมันโคตรหรูอะ หรูแบบสุดยอด ไม่เคยเจอมาก่อนเลย” ภูมิบอกไปตามจริง ทิ้งตัวลงบนฝั่งซ้ายของเตียงพลางมองไปรอบๆ



เจ้าของห้องเห็นดังนั้นก็ยิ้มขำ แล้วเอ่ยถาม “ภูมิจะอาบน้ำก่อนไหมครับ”



“ไม่เป็นไร พี่โฟล์คอาบก่อนก็ได้”



ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดที่จะเปลี่ยนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ร่างเล็กทิ้งแผ่นหลังลงกับเตียงนุ่ม แหงนหน้ามองเพดานด้วยแววตาที่แสดงออกชัดถึงความปั่นป่วนในใจ...ที่เจ้าตัวพยายามกักเก็บมาตลอดทาง



พี่โฟล์คเป็นคนดี...เป็นคนดีมากๆ



ทั้งที่ยังรู้จักกันไม่นาน แต่พี่โฟล์คกลับทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร อาจเป็นเพราะนิสัยที่ไม่ค่อยเปิดใจให้ใครเต็มร้อย นอกจากไอ้ซันแล้วเลยไม่ค่อยมีใครได้ใกล้ชิดจนรู้ปัญหาส่วนตัวของเขาสักเท่าไหร่ แต่ไอ้ซันก็ซี้แบบเพื่อนไง ตบหัวเล่นหางกันบ้างตามประสา ไม่มีหรอกที่จะทำซึ้งหรือช่วยปลอบแบบอ่อนโยนเหมือนที่พี่โฟล์คทำ ...คิดแล้วก็อดหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ ไม่ได้



เออ...ว่าแต่ปกติผู้ชายเขาปลอบใจกันแบบนี้เหรอ ภูมิชักไม่แน่ใจ



ครืด...ครืด



เสียงสั่นจากไอโฟนเครื่องสีดำดังขึ้นที่หัวเตียง เรียกความสนใจจากคนที่อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองให้หันไปมอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกระเด้งตัวไปอีกฝั่งของเตียงก่อนชะโงกหน้าดูชื่อคนโทรเข้า



‘ภาคย์’



ชื่อของพี่ชายตัวเองที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาคนมีชนักติดหลังถึงกับชะงัก ถอยกรูดกลับมานั่งที่เดิมตามสัญชาตญาณ ปล่อยให้ไอโฟนของคนที่กำลังอาบน้ำสั่นครืดอยู่อย่างนั้นโดยไม่กล้ารับสาย











 

หยดน้ำมากมายร่วงลงมากระทบร่างสูงจนไอจากความร้อนลอยฟุ้งทั่วห้องอาบน้ำ เจ้าของร่างเปลือยเปล่าก้มหน้ามองพื้นขณะปล่อยให้น้ำและฟองสบู่ไหลออกจากตัว สองมือยกขึ้นลูบหน้าตัวเองที่มีหยดน้ำพราว ก่อนขยับมือไปหมุนปิดฝักบัว



โฟล์คคว้าผ้าขนหนูที่พาดขอบประตูไว้มาพันปกปิดส่วนล่าง กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำตามความเคยชิน แต่ดันนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่ห้องคนเดียว ออกไปทั้งอย่างนี้คงจะไม่เหมาะ



พอคิดถึงภูมิร่างสูงก็คลี่ยิ้ม นึกภาพว่าคนตัวเล็กคงกำลังนั่งเล่นบนเตียงเหมือนเด็กๆ หรืออาจจะเผลอหลับไปแล้วก็ได้ ...ก็เจอเรื่องหนักขนาดนั้นมานี่นา



พอแต่งตัวเป็นชุดใส่นอนเรียบร้อยโฟล์คก็ออกมาจากห้องน้ำ แต่เมื่อเห็นร่างเล็กที่นั่งนิ่งเหมือนเหม่อลอยบนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้



“ภูมิครับ” เขาลองเรียกดู ส่งผลให้คนถูกเรียกสะดุ้งหน่อยๆ ก่อนหันมายิ้มแหย



“อ้าวพี่โฟล์ค เสร็จแล้วเหรอ”



“อืม ภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเหม่อๆ นะ”



ภูมิเผลอเลื่อนสายตาไปมองไอโฟนเครื่องสีดำที่อยู่บนหัวเตียงแต่ไม่กล้าพูดอะไร โฟล์คขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปใกล้แล้วหยิบไอโฟนของตัวเองขึ้นมาดู พอเห็นสายที่ไม่ได้รับจากเพื่อนสนิทก็เริ่มเข้าใจสาเหตุที่คนตัวเล็กหน้าเจื่อน เอื้อมมือไปขยี้หัวคนที่นั่งหน้าเครียดด้วยความเอ็นดู



“เครียดอะไรครับ เดี๋ยวพี่คุยกับไอ้ภาคย์เอง ภูมิไปอาบน้ำเถอะ”



ภูมิพยักหน้าตอบรับ คว้าผ้าขนหนูที่พับไว้จากชั้นวางเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป



โฟล์คหันกลับมาสนใจไอโฟนในมือ สไลด์ปลดล็อกหน้าจอแล้วกดโทรออก รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสายพร้อมกับเสียงที่ดังแทรกมา



[เฮ้ยโฟล์ค มึงรู้ปะว่าไอ้ภูมิอยู่ไหน]



“รู้ น้องมึงอยู่กับกู” เขาตอบไปง่ายๆ  ได้ยินเสียงสบถพรืดแว่วมาจากปลายสาย



[กูว่าละ เห็นมึงไม่ได้มาบ้านกูก็สงสัยอยู่ เมื่อกี้กูเพิ่งโทรไปหาเพื่อนมัน เพื่อนมันก็ไม่รู้เรื่อง เออ...แล้วทำไมมึงไปอยู่กับมันได้วะ]



“ภูมิเขาโทรหากูตอนร้องไห้ กูไม่รู้จะทำยังไงเลยขับรถไปหา ให้กลับบ้านตอนนี้ก็คงไม่เหมาะเลยพามาคอนโด”



[ขี้แยฉิบหาย ...เออ ให้กลับบ้านคืนนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ะ พ่อกูโคตรเดือดเลย ฝากดูมันคืนนึงแล้วกัน]



ไม่ต้องบอกโฟล์คก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เขามีบางอย่างที่อยากปรึกษาเพื่อนสนิทคนนี้ด้วย



“ไอ้ภาคย์ พรุ่งนี้กูขอยืมตัวภูมิอีกวันได้ไหม”



[ทำไมวะ] น้ำเสียงอีกฝ่ายดูฉงนไม่น้อย



“กูอยากลองคุยกับน้องเขา เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาได้ คืนนี้กูไม่กล้าคุยอะไรเพราะเห็นว่าภูมิยังเครียดอยู่ เลยจะให้พักไปก่อน  แต่ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคนที่จะรู้สึกแย่ที่สุดก็คือตัวภูมินะเว้ย” โฟล์คพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าให้ภูมิกลับไปแบบนี้ มึงคิดว่าปัญหาพวกนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า”



[…]



คู่สนทนาของเขาเงียบไปทันที โฟล์คเองก็หวั่นใจไม่น้อยที่พูดกับเพื่อนไปตรงๆ แบบนั้น แต่เขารู้ว่าไอ้ภาคย์น่าจะรู้จักนิสัยเขาดี และเขาก็หวังดีอยากช่วยน้องชายมันแก้ปัญหาจริงๆ ...รวมทั้งปัญหาครอบครัวของมันด้วย



เพราะจากที่ภูมิเล่ามาวันนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเพื่อนสนิทเขาดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก



มีไม่กี่ครอบครัวนักหรอกที่เจอปัญหาอย่างนี้ แต่โชคร้ายที่ครอบครัวของภูมิเจอ ...แถมเจอหนักยิ่งกว่าใครๆ ที่เขาเคยรู้จัก



[เอาก็เอา ฝากมึงด้วยละกัน แค่นี้นะ]



ไอ้ภาคย์ตอบกลับมาในที่สุดแล้ววางสายไป โฟล์คจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกไปได้ลูกหนึ่ง



เขาเช็คมือถือไปเรื่อยๆ รอเวลาที่แขกอีกคนของห้องจะอาบน้ำเสร็จ



“พี่โฟล์ค...”



เสียงเล็กๆ ดังมาจากทางประตูห้องน้ำ พอโฟล์คเงยหน้ามองก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าของเสียงเมื่อครู่ดันอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนโดยมีผ้าขนหนูพันท่อนล่างอย่างเดียว



แล้วทำไม...เขาต้องรู้สึกแปลกๆ ด้วยวะ



ร่างเล็กเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมาก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เผลอยกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางบอกเสียงอ้อมแอ้มอย่างเกรงใจ “คือ...ผมยืมชุดนอนพี่หน่อยดิ ลืมหยิบเข้าห้องน้ำ”



“อ้อ เอาสิ” โฟล์คว่าด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติ ก่อนเดินไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นให้ ภูมิพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่ภาพเมื่อครู่ยังอยู่ในหัว



ก็รู้อยู่หรอกว่าไอ้ภาคย์กับภูมิมีเชื้อสายจีน แต่ไม่นึกว่าจะ...ขาวขนาดนี้



ดูน่ามองจนเขาอดไม่ได้ที่จะ...จ้องอยู่แวบหนึ่ง



ทว่าโฟล์คกลับส่ายหัวโดยพลัน ตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อย ...ผู้ชายที่ไหนวะชมผู้ชายด้วยกันเองว่าขาว...น่ามอง...



เขานี่ท่าจะบ้าจริงๆ











 

พอออกจากห้องน้ำด้วยชุดของพี่โฟล์ค ภูมิก็เพิ่งระลึกได้ว่าโนเกียคู่ใจไม่ได้อยู่กับตัว ให้พี่โฟล์คช่วยหาทั้งห้องก็ยังไม่เจอ จนเจ้าของห้องคอนโดต้องลงไปดูในรถให้เผื่อว่าจะทำตกไว้



รอไม่นานร่างสูงก็กลับขึ้นห้องโดยมีมือถือของเขาติดมือมาด้วยจริงๆ  พอเอามาดูก็พบมิสคอลจากไอ้ซันเกือบสิบสาย



เออ...ดีเนอะไอ้เพื่อนเวร ทีตอนโทรไปล่ะไม่รับ



ภูมิขอตัวออกไปโทรศัพท์หาเพื่อนที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งพี่โฟล์คก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากกำชับว่าอย่าคุยนาน



พอทิ้งตัวนั่งบนโซฟากำมะหยี่กลางห้องนั่งเล่น ภูมิก็กดโทรออกหาไอ้ซัน รอเสียงสัญญาณดังประมาณสองครั้ง ปลายสายก็กดรับพร้อมด้วยคำถามตามมาเป็นพรวน



[ไอ้ภูมิโว้ยยย! มึงเป็นไรวะ โทรหากูมีอะไร แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำไมไม่รับสายกูตั้งเกือบสิบสาย พี่ภาคย์เขาห่วงมึงจะตายแล้วรู้เปล่า!]



“กูไม่เป็นไร มึงอะใจเย็น” ภูมิกลายเป็นฝ่ายที่ต้องพูดให้คนในสายสงบสติอารมณ์แทน เออ ก็ซึ้งอยู่หรอกที่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นห่วงกัน แต่ตอนนี้ขอด่าหน่อยว่ะ “มึงนั่นแหละไม่รับสายกู กูโคตรรู้สึกแย่เลยนะเว้ย นอกจากมึงกูก็ไม่รู้จะคุยกับใครปะวะ”



[เออๆ กูผิดก็ได้ ยอมให้ครั้งเดียวนะเว้ย ตกลงมึงอยู่ไหน]



“กูอยู่...เอ่อ คอนโดรุ่นพี่ที่รู้จักกันว่ะ”



[หืม? คนไหนวะ แล้วมึงไปเจอเขาได้ไง]



“กูก็โทรหาเขาหลังจากที่มึงไม่ยอมรับสายกูไงไอ้ซัน” ไม่ลืมย้ำความผิดของปลายสายไปอีกรอบ จนอีกฝ่ายหัวเราะแหะๆ ก่อนจะถามต่อ



[แล้วตกลงวันนี้มึงมีเรื่องอะไรวะ]

         

  ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนตัวพิงโซฟาจนไหล่แทบจมไปกับเบาะแล้วเริ่มเล่าเรื่อง ตั้งแต่ที่พ่อเขาส่งข้อความมาหาตอนเรียนอยู่(ซึ่งก็โดนไอ้ซันด่าอีกรอบว่าทำไมไม่ยอมบอกมัน) จนถึงตอนที่เขาเข้าไปเห็นพ่อกำลังพังข้าวของอยู่พอดี เลยวิ่งออกจากบ้านมาแล้วพยายามติดต่อหามัน พอติดต่อไม่ได้เลยโทรหาพี่โฟล์ค ซึ่งก็พาเขามาพักที่คอนโดชั่วคราว



            สำหรับเรื่องของพี่โฟล์ค ภูมิเล่าเพียงว่าเป็นครูสอนพิเศษที่เป็นเพื่อนของพี่ภาคย์เท่านั้น ซึ่งไอ้ซันก็ไม่ได้สงสัยอะไร



            [โห...หนักเลยดิ มึงโอเคนะ] ไอ้ซันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงนิดๆ



            “เออ ก็ดีขึ้นเยอะ”



            [ดี แล้วมึงจะนอนกี่โมง]



            “ไม่รู้ดิ แต่พี่โฟล์คบอกให้รีบเข้าไปนอนว่ะ”



            [งั้นมึงรีบนอนเหอะ พักให้เยอะๆ นะอย่าเพิ่งตาย มีอะไรก็โทรหากูได้ สัญญาว่าจะรับทุกสายเลยเอ้า]



            “ให้มันจริง” บอกตามตรงว่าเขาไม่เชื่อประโยคสุดท้ายเลยสักนิด



            [ฮ่าๆ งั้นกูไปละ บายมึง]



            “เออ บาย”



            ภูมิกดวางสายแล้วถอนหายใจออกมา การได้คุยกับเพื่อนสนิทอย่างไอ้ซันทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ



            ภูมิเปิดประตูเข้าห้องนอนอย่างเบามือ ชะโงกหน้าเข้าไปเห็นไฟห้องเปิดสลัว และเจ้าของห้องที่กำลังนอนนิ่งบนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมไว้ครึ่งตัว เขาค่อยๆ ปิดประตูเพราะกลัวจะรบกวนคนที่นอนอยู่ แล้วจึงเดินไปวางโทรศัพท์บนหัวเตียงก่อนขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม ดึงผ้าห่มที่อีกฝ่ายเหลือไว้ให้ครึ่งผืนมาคลุมตัว



            ภูมิจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงที่นอนตะแคงไปอีกทาง เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก



            “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



            ร่างเล็กพึมพำเบาๆ แม้ว่าคนที่ตนอยากพูดด้วยจะหลับไปแล้วก็ตาม แต่เพราะอย่างนั้นแหละเขาถึงกล้าพูด



            ภูมิพลิกตัวไปอีกด้าน หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนกับเรื่องที่เจอมาตลอดทั้งวัน











 

            โฟล์คไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอให้ภูมิคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วค่อยนอน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตีสองกว่าๆ  โดยที่มีร่างเล็กนอนอยู่ข้างกายเรียบร้อยแล้ว



            บรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนร่างสูงตั้งท่าจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ทว่าเมื่อหันไปเห็นคนข้างๆ กำลังนอนตัวสั่นก็ชะงัก เข้าใจว่าคงหนาวเลยเลื่อนมือไปกระชับผ้าห่มให้อีกฝ่าย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดขึ้นมา



            ...ภูมิกำลังร้องไห้...



            ใช่จริงๆ ...เด็กข้างตัวเขากำลังนอนร้องไห้



โฟล์คเอื้อมมือไปแตะแขนของอีกฝ่ายแผ่วเบา แต่ไม่มีท่าทีว่าคนที่นอนอยู่จะรู้สึกตัว



            คงจะละเมอ...ไม่ก็ฝันร้าย



            สีหน้าของเขาเริ่มตึงเครียด รู้สึกสงสารภูมิขึ้นมาจับใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอย่างภูมิต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งถูกขัดขวางอนาคต ซ้ำยังถูกพ่อไล่ออกจากบ้านจนต้องมานอนค้างคอนโดของเขาซึ่งเพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วัน



            ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความคิดของพ่อภูมิ แต่เขาคิดว่าผู้ชายคนนั้นทำเกินไป ถึงแม้ภูมิจะมีส่วนผิดในเรื่องที่โกหกหรือปิดบังด้วยก็เถอะ



            เอาแต่ตึงกันทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์อาจจะขาดผึงได้สักวัน ...พบกันครึ่งทางนั่นแหละดีที่สุด



            โฟล์คปัดเส้นผมที่ปรกหน้าคนตัวเล็กออกอย่างเบามือ ทั้งยังเผลอจ้องใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระทำนี้หรือเปล่าที่ทำให้ภูมิเริ่มรู้สึกตัว จนร่างเล็กครางอือในลำคอแล้วขยับพลิกตัวมาทางเขา ก่อนจะนอนนิ่งต่อเหมือนเดิม



            ยามเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าไร้เดียงสา โฟล์คก็เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในใจ และเกิดความคิดที่...ไม่น่าจะเข้าท่าเท่าไหร่



            แต่เขาก็ทำมันลงไปแล้ว...



            โฟล์คโน้มตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า แนบริมฝีปากตัวเองลงกับหน้าผากของคนที่นอนหลับอยู่ ...ค้างไว้อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบ



            การกระทำที่เขาไม่เคยคิดจะทำให้ใคร...โดยเฉพาะผู้ชาย แต่เขาก็ทำมันลงไปแล้วกับเด็กตรงหน้า



            “อือ...”



            จนเมื่อคนใต้ร่างส่งเสียงร้องครางเบาๆ กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น โฟล์คจึงเริ่มรู้สึกตัว ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งโดยที่ยังจ้องคนตัวเล็กไม่วางตา ...ไม่อยากนึกหาคำตอบกับการกระทำที่แปลกประหลาดของตัวเองอีกแล้ว ในเมื่อยิ่งค้นหาเท่าไหร่ คำตอบก็ยิ่งดูอยู่ห่างไกลเท่านั้น



            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา คนตัวเล็กซึ่งควรจะมีศักดิ์เป็นเพียง ‘ลูกศิษย์’ หรือ ‘น้องชายของเพื่อน’ กลับมีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่ควรเป็นหลายเท่านัก...





----------------------------------------------------- TBC --------------------------------------------------------



น้องภูมิน่ะเชื้อสายจีนแต๊ๆเลยจ้า ทั้งตาตี่ ทั้งขาว อ้อ น่ามองด้วยนะ /พี่โฟล์คได้กล่าวไว้

อย่างที่บอกค่ะ น้องภูมิต้องโตขึ้นอีกหน่อย พี่โฟล์คก็คิดเหมือนกัน เรื่องเรียนพิเศษน่ะพักไว้ก่อน มาเจอคอร์สชีวิตจริงดีกว่า :)

อยากบอกว่า ยังจำตอนที่เขียนฉากจุ๊บหน้าผากเมื่อสี่ปีก่อนได้อยู่เลยค่ะ ตอนนั้นคือเขินมากๆๆๆ แบบเขินเองมากๆ คือฉากมันธรรมดามากๆนะ ไม่ได้น่าเขินเลย แต่คนเขียนอะเขินเอง ฮืออออ /ปิดหน้า

อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความน่ารักอบอุ่นของคู่นี้ไปพร้อมๆกันนะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ <3

CT.hamonigar

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ทุกข์แล้วไม่มีใครอยู่ด้วยนี่ แย่เลย

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0


Chapter 6 : อีกหนึ่งมุมมอง



            แม้คืนที่ผ่านมาโฟล์คจะหลับได้ไม่เต็มอิ่ม แต่เขาก็ยังตื่นเช้าเหมือนทุกวันราวกับมีนาฬิกาปลุกส่วนตัว



            สิ่งแรกที่เขาเผลอมองหาคือร่างเล็กของคนที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย เมื่อเห็นใบหน้าไร้เดียงสากำลังหลับตาพริ้มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้



ร่างสูงพยายามลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน แต่พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาเองก็ไม่ต้องการปลุกจึงปล่อยให้คนตัวเล็กนอนต่อไป ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์กับคีย์การ์ดแล้วเดินออกจากห้อง



โฟล์คลงมาซื้อข้าวกล่องที่ร้านอาหารตามสั่งข้างคอนโด หญิงเจ้าของร้านวัยกลางคนเห็นก็จำได้ มองร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ด้วยสายตาเอ็นดูพลางเอ่ยทักเสียงใส



“มาแต่เช้าเชียว วันนี้เอาอะไรล่ะพ่อหนุ่ม”



“อืม...เอาเป็นข้าวไข่เจียวกับข้าวผัดกะเพราแล้วกันครับป้านิด” โฟล์คบอกแบบไม่คิดมาก เพราะรู้ว่าร้านประจำร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่าง แถมเขาไม่รู้ว่าภูมิชอบอะไรเป็นพิเศษเลยเลือกสั่งเมนูง่ายๆ ไปก่อน



แต่แล้วเสียงหวานจ๋อยของลูกสาวเจ้าของร้านก็ดังแว่วมาจากในครัว “แหม ซื้อตั้งสองกล่องเชียว เอาไปฝากใครจ๊ะเนี่ย”



“เดี๋ยวเถอะยัยหน่อย สอดรู้จริงๆ” ป้านิดหันไปเอ็ดลูกสาวเสียงเข้มจนคนถูกดุหน้าจ๋อย แต่โฟล์คกลับหัวเราะอย่างไม่ถือสา



“ไม่เป็นไรหรอกครับป้านิด คือพี่ซื้อไปฝากรุ่นน้องที่มาพักด้วยกันน่ะหน่อย”



“ตายแล้ว แฟนเหรอคะพี่โฟล์ค”



เสียงหวานที่ถามต่อทำเอาคนเป็นแม่ต้องหันไปถลึงตาใส่อีกรอบ ครั้งนี้ร่างสูงชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามเดิม



“ไม่ใช่หรอกครับ รุ่นน้องพี่เป็นผู้ชายน่ะ”



“อะไรนะคะ แฟนพี่โฟล์คเป็นผู้ชายเหรอ” ไม่รู้ว่าสาวเจ้าหูไม่ดีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ดวงตาดูแพรวพราวพิกลเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้ชาย’ ออกจากปากของลูกค้าสุดหล่อ เรียกให้โฟล์คต้องส่ายหน้าอีกครั้ง



“เป็นแค่รุ่นน้องจริงๆ ครับ อืม...ป้านิดครับ ผมขอน้ำส้มแก้วนึงด้วยนะ” ว่าแล้วก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น แต่มีหรือที่ลูกสาวป้านิดจะยอมง่ายๆ  ร่างบางแสร้งหรี่ตาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว



“เอ...ปกติพี่โฟล์คไม่กินน้ำส้มนี่นา อย่าบอกนะว่าซื้อไปฝากรุ่นน้องของพี่อะ ฮั่นแน่ ดูแลกันดีจังเลยน้า”



โฟล์คหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ปฏิเสธไม่ลงเพราะเขาตั้งใจจะซื้อไปฝากภูมิจริงๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายชอบกินน้ำอะไร จะซื้อน้ำอัดลมไปให้ก็คงไม่ดีต่อกระเพราะตอนเช้า เลยนึกถึงน้ำส้มที่ร่างเล็กเคยทำหกใส่เสื้อเขาตอนที่เจอกันวันแรก



น้องหน่อยเห็นร่างสูงเงียบไปโดยมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าก็หัวเราะคิก



“โหยพี่โฟล์ค ทำสายตาซะเคลิ้มเชียว คิดถึงเค้าอยู่อะดิ ปิดไม่มิดแล้วมั้งแบบนี้ เฮ้อ! อย่างนี้หน่อยก็อกหักซะแล้วสิ”



“เดี๋ยวเถอะยัยหน่อย พอได้แล้ว” ป้านิดที่เพิ่งตักกับข้าวใส่ถุงเสร็จรีบหันมาปรามลูกสาวของตัวเองทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มแบบรู้สึกผิดให้โฟล์คที่กำลังยืนทำหน้าไม่ถูก “ขอโทษแทนยัยหน่อยด้วยนะ มันก็ดื้อๆ ซนๆ ตามประสานั่นแหละ อย่าใส่ใจเลย”



“ไม่เป็นไรครับ” โฟล์คส่ายหน้าเบาๆ ขณะยื่นมือไปรับข้าวกับน้ำส้มก่อนจะจ่ายเงินให้ครบตามจำนวน



“ฮี่ๆ ไม่ปฏิเสธแล้วเหรอพี่โฟล์ค”



น้องหน่อยยังแอบส่งเสียงแซวตอนที่ป้านิดหันไปทำกับข้าวให้ลูกค้าคนอื่น ครั้งนี้โฟล์คชะงักเพียงนิด หมุนตัวกลับมาแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนเอ่ยตอบเสียงเบาจนคล้ายจะกระซิบกับตัวเอง



“คงงั้นมั้งครับ...”











 

พอเปิดประตูเข้าห้องมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างเล็กในชุดนอนตัวหลวมโคร่งของเขาเดินออกจากห้องนอนด้วยท่าทางสะลึมสะลือ เหมือนว่าตื่นมาแล้วไม่เห็นเขาเลยออกมาดูที่ห้องนั่งเล่น แต่พอสบตากันเท่านั้นแหละ คนที่งัวเงียอยู่ก็แทบจะตื่นเต็มตา



“เอ้อ...พี่โฟล์ค...”



“พี่ซื้อข้าวมาให้แล้ว ภูมิไปอาบน้ำเถอะ” โฟล์คว่าเสียงนุ่ม ทำให้คนฟังรีบพยักหน้ารับแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องนอน จนเจ้าของห้องอดขำไม่ได้กับท่าทางของคนตัวเล็กที่ดูราวกับทำตัวไม่ถูกยามอยู่ต่อหน้าเขา



โฟล์คนั่งเล่นรอเวลาอยู่พักหนึ่ง กะเวลาพอสมควรแล้วจึงหยิบถุงอาหารที่เพิ่งซื้อมาจัดลงจาน รอไม่นานคนที่เข้าไปอาบน้ำก็ออกมาพร้อมกับชุดไปรเวทซึ่งคงจะหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าของเขา แม้ขนาดจะใหญ่เกินตัวไปหน่อยแต่ก็ดูไม่แปลกนัก แถมยังเพิ่มบุคลิกสบายๆ ให้คนใส่อีก



ภูมิเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหารก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ขอยืมชุดอีกวันนะพี่โฟล์ค เดี๋ยวผมซักคืนให้”



            “ไม่เป็นไรหรอก นั่งก่อนสิ” โฟล์คเลื่อนอาหารทั้งสองจานให้อีกฝ่ายดู “ภูมิอยากกินอะไรเลือกได้เลย”



            ภูมิมองสลับไปมาระหว่างจานสองจาน ก่อนเลือกไปโดยไม่คิดมาก



            “ข้าวไข่เจียวแล้วกัน”



            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่านไปอย่างเรียบง่าย แต่ละคนต่างจัดการกับอาหารในจานของตัวเองโดยไม่พูดคุยกัน อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอน ยังงัวเงียเลยไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาอย่างไร แม้แต่โฟล์คที่มักเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก็เงียบไปเสียเฉยๆ  ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กที่นั่งกินข้าวไข่เจียวอยู่เงียบๆ สลับกับดูดน้ำส้มที่เขาซื้อมาให้ ผ่านไปครู่ใหญ่นั่นแหละโฟล์คถึงเริ่มพูด



            “วันนี้ไปเที่ยวกันนะครับ”



            “ฮะ”



            อีกฝ่ายแทบสำลักน้ำส้ม เงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันควัน แต่คนถูกมองยังคงพูดต่อราวกับไม่เห็นกิริยาที่ฉายชัดถึงความประหลาดใจของร่างเล็ก



            “วันเสาร์ทั้งทีนี่ครับ พี่มีแพลนจะเที่ยวอยู่แล้วแต่ไม่อยากไปคนเดียว เลยว่าจะชวนภูมิไปด้วย ภูมิสะดวกไหม”



            “แต่...คือ...” ภูมิอ้ำอึ้ง ไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ โฟล์คก็พูดแทรกขึ้นมาเหมือนอ่านใจออก



            “ภูมิกังวลเรื่องที่บ้านเหรอครับ”



            ท่าทีที่ชะงักไปของคนตัวเล็กทำให้เขาสรุปได้ไม่ยากว่าตนคาดการณ์ถูก จึงพูดต่อ



            “เมื่อคืนพี่คุยกับไอ้ภาคย์แล้ว มันไม่ว่าอะไรหรอก”



            “จริงเหรอ” ภูมิเบิกตากว้าง ความกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นแบบที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวนัก “เที่ยวที่ไหนอะ”



            แม้จะประหลาดใจไม่น้อยกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของคนที่ตนชวน แต่โฟล์คก็ยังเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “สวนสนุกครับ”



            “เฮ้ย! จริงดิ” คราวนี้ไม่ใช่แค่เบิกตากว้าง แต่ภูมิยังแทบตะโกนลั่นห้องพร้อมกับดวงตาที่พราวระยับเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ทำให้โฟล์คต้องมองอย่างแปลกใจ



            ...อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้ไม่เคยไปสวนสนุก...



            แล้วคำตอบก็เป็นที่กระจ่างชัดเมื่อร่างเล็กตะโกนออกมาอีกครั้ง



            “พี่จะพาผมไปจริงดิ โอ๊ย! ดีใจว่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปเลยนะเนี่ย แล้วนี่จะไปกี่โมงอะพี่โฟล์ค”



            “ก็รอภูมิกินข้าวเสร็จนั่นแหละครับ” โฟล์คว่าง่ายๆ พลางเหลือบมองจานข้าวของอีกฝ่ายที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่ง แตกต่างจากข้าวผัดกระเพราของเขาที่หมดเกลี้ยงไปตั้งนานแล้ว เรียกให้ภูมิหัวเราะแหะๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวไข่เจียวตรงหน้าด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด











           

            “เจ๋งเป้งเลยอะพี่โฟล์ค!”



            ภูมิยืนอยู่หน้าทางเข้าสวนสนุก ทำตาโตใส่ประตูทางเข้าที่ตกแต่งเป็นรูปปราสาทหลากสีสัน มีพุ่มดอกไม้และตัวการ์ตูนอยู่ด้านหน้าสำหรับถ่ายรูปเล่น น่าเสียดายที่เขาไม่มีกล้องอยู่กับตัว ไม่อย่างนั้นคงได้เก็บภาพกลับไปชุดใหญ่



            โฟล์คยิ้มขำ มองร่างเล็กที่เผลอทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างเพลินตา ก่อนจะพาไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรแล้วเลือกซื้อบัตรรวมเครื่องเล่นสองใบ



            “ง่า...พี่โฟล์ค...” คนที่ร่าเริงเมื่อครู่หน้าจ๋อยลงทันที เมื่อเห็นคนตัวสูงกว่าควักธนบัตรสีเทาจ่ายค่าบัตรแทนเขาอีกแล้ว



            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือซะว่าพี่ขอให้ภูมิมาเป็นเพื่อนแล้วกัน” พูดพร้อมโยกหัวคนข้างตัวเบาๆ ...ถ้าเขาไม่คิดไปเอง เขาเห็นพนักงานผู้หญิงที่ขายบัตรแอบมองเขาสองคนด้วยสายตากรุ้มกริ่มแปลกๆ ซะด้วย



            เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์จึงไม่แปลกที่คนจะเยอะ ทั้งสองพากันเบียดผู้คนฝ่าประตูทางเข้าจนมาถึงด้านใน โฟล์คกางแผนที่ของสวนสนุกให้ภูมิดู ก่อนชี้อธิบายเครื่องเล่นเป็นจุดๆ จนคนฟังถึงกับตาวาววับ



            “เอ้า อยากลองเล่นอะไรก่อนครับ”



            “ไวกิ้ง!”



            ดูท่าว่าเรือแกว่งลำยักษ์จะถูกใจภูมิมากที่สุด เพราะเจ้าตัวถึงกับยิ้มร่าแล้วตอบเสียงดังฟังชัด เรียกให้คนถามหัวเราะขำ ก่อนพาคนตัวเล็กไปต่อแถวเครื่องเล่น พอถึงคิวโฟล์คก็เป็นฝ่ายเดินนำไปที่ท้ายสุดของเรือซึ่งเป็นส่วนที่น่าหวาดเสียวที่สุด หลังจากเช็คความเรียบร้อยของเซฟตี้แล้ว พนักงานคุมเครื่องก็ส่งสัญญาณให้เรือไวกิ้งขยับ



            การแกว่งสองสามครั้งแรกไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่พอเริ่มเล่นไปได้สักพัก เรือไวกิ้งก็เริ่มไต่ระดับความชันจนส่วนที่ทั้งสองคนนั่งแทบจะตั้งฉากกับพื้น แต่เสียงร้องของภูมิไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าตัวหวาดเสียวเลยสักนิด มีแต่ความตื่นเต้นและความสนุกล้วนๆ  แถมยังบ้าจี้ปล่อยมือจากเซฟตี้แล้วชูขึ้นกลางอากาศตามคำยุของผู้คุม แบบที่คนเพิ่งเล่นครั้งแรกหลายๆ คนยังไม่กล้าทำ



            ต่อจากไวกิ้ง ภูมิก็เปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้นำ จัดการลากคนตัวสูงกว่าไปเครื่องนู้นเครื่องนี้ตามอารมณ์คึก จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว



            จนเมื่อเดินผ่านร้านขายเครปที่ตั้งอยู่ข้างเครื่องเล่นชิ้นล่าสุดนั่นแหละ ภูมิก็ท้องร้อง หันมาหาโฟล์คพร้อมยิ้มแห้งๆ “พี่โฟล์ค...ผมหิวแล้วอะ”



            โฟล์คอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาขยี้หัวคนตัวเล็กกว่า ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยด้วยความเอ็นดู “เล่นซะเพลินเลยนะเรา อยากกินอะไรล่ะ”



            “อะไรก็ได้ เอาร้านที่คนไม่เยอะ” ภูมิว่าอย่างนั้นแม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากเต็มทน เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนยืนต่อแถวซื้ออาหาร หรือแม้แต่รถเข็นที่ขายของกินเล่นก็ยังมีคิวยาวเป็นพรวน จนในที่สุดทั้งสองคนก็ตัดสินใจกินข้าวเที่ยงที่ศูนย์อาหารส่วนกลางของสวนสนุก



            โฟล์คอาสาไปซื้ออาหารโดยให้ภูมินั่งรอที่โต๊ะ สักพักจึงกลับมาพร้อมข้าวผัดอเมริกันสองจาน อีกหนึ่งเมนูสิ้นคิดที่เขาเห็นว่าแถวไม่ยาวมากเหมือนร้านอื่นๆ  พอได้อาหารมาภูมิก็จัดการตักคำแรกเข้าปาก เพิ่งรู้ตัวว่าหิวขนาดไหนก็ตอนนี้แหละ



            “หืม อร่อยดีว่ะพี่ อร่อยกว่าข้าวโรงเรียนผมเยอะเลย” หลังจากกลืนคำแรกลงคอ ภูมิก็เงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่นั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดว่าพอใจกับอาหารมื้อนี้แบบสุดๆ  จนคนฟังหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ



            “ถ้าไม่อร่อยก็โดนลูกค้าเล่นงานสิครับ ที่นี่คนมาเที่ยวเยอะจะตาย”



            ได้ยินดังนั้นภูมิก็เงยหน้าขึ้นมองรอบข้าง  ภาพฝูงชนที่แน่นขนัดเต็มศูนย์อาหารกับแถวคิวที่คนรอขึ้นเครื่องเล่นเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของคนตัวสูงกว่า แล้วเหมือนเขาจะเพิ่งนึกอะไรได้ จึงหันกลับไปหาพี่โฟล์คพร้อมขมวดคิ้วน้อยๆ



            “ว่าแต่ทำไมพี่ดูว่างจัง ไม่เห็นเหมือนพี่ภาคย์เลย ปกติวันเสาร์พี่ภาคย์ก็มีเรียนตลอดอะ”



            “ไอ้ภาคย์มันเรียนแพทย์ มันก็เรียนหนักเป็นธรรมดานั่นแหละ”



            “ฮะ” ภูมิถึงกับปล่อยช้อน กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง “หมายความว่าไง พี่โฟล์คไม่ได้เรียนเหมือนพี่ภาคย์เหรอ”



            “ใครบอกภูมิล่ะว่าพี่เรียนเหมือนไอ้ภาคย์มัน”



            อึก



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย อยากเขกหัวตัวเองกับความคิดที่เข้าใจผิดมานานสองนาน



            ...ไม่ได้มีใครบอกไอ้ภูมิทั้งนั้นแหละครับ มโนเองล้วนๆ เลย ก็มาดพี่โฟล์คมันให้นี่หว่า แถมบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทพี่ภาคย์อีก



          “ผมคงเข้าใจผิด แล้วพี่โฟล์คเรียนไรเหรอ”



            “พี่เรียนครุศาสตร์ครับ”



            คำตอบของคำถามที่ภูมิถามไปอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความอาย กลับทำให้คนถามนิ่งอึ้งไปอีกรอบ สายตาเผลอจ้องพี่โฟล์คตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากก็พึมพำเบาๆ กับตัวเอง “ครุศาสตร์...พูดจริงดิ”



            ก็พี่โฟล์คแกดูฉลาดมากเลยนี่หว่า...นึกว่าถ้าไม่ใช่หมอก็คงเป็นแนวทันตะฯ อะไรแบบนี้



            ดูท่าโฟล์คจะเดาความคิดของคนตัวเล็กออก จึงอธิบายเพิ่มเติม



            “ความจริงพี่ติดแพทย์มหา’ลัยเดียวกับไอ้ภาคย์ครับ แต่พี่ไม่อยากเรียน พี่คิดไว้ตั้งนานแล้วว่าพี่อยากเป็นครู พอสอบติดพี่ก็ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์”



            “แล้วคนที่บ้านพี่ไม่ว่าเหรอ อุตส่าห์สอบติดทั้งที” ภูมิถามอย่างนั้นเพราะรู้ว่าสนามสอบแพทย์มีการแข่งขันสูงมาก คนบางคนดิ้นรนแทบตายก็ยังสอบไม่ได้ตามที่หวัง ดังนั้นคนที่สละสิทธิ์จึงมีเพียงส่วนน้อย บางคนแม้ไม่อยากเรียนก็มักถูกกระแสสังคมกดดันจนต้องเข้าเรียนจนได้

         

            “ไม่หรอกครับ” โฟล์คส่ายหน้ายิ้มๆ “พี่คุยกับทางบ้านเรียบร้อยแล้ว ยกเอาเหตุผลและข้อมูลที่พี่หามาได้ไปคุยกันแบบเปิดใจ ว่าพี่อยากเป็นครูจริงๆ  ถึงการเรียนแพทย์จะสามารถไปเป็นอาจารย์แพทย์ได้ แต่พี่คิดว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องการ แล้วอีกอย่างคือพี่เชื่อว่าคณะครุศาสตร์จะสอนให้เรามีจิตวิญญาณของความเป็นครูด้วย”



            ภูมิรู้สึกว่าเสียงเซ็งแซ่จากผู้คนรอบกายไม่ได้เข้าหูของเขาแม้แต่น้อย เพราะบัดนี้เขาได้ยินแต่คำพูดของร่างสูงตรงหน้าที่กระแทกใจเขาเข้าเต็มๆ  ทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงเอคโค่ของประโยคยาวๆ ดังก้องหัวอีกหลายรอบ ...ประโยคที่บอกถึงเรื่องราวก่อนเรียนมหาวิทยาลัยของพี่โฟล์คซึ่งเขาคาดไม่ถึง



            ...เรื่องราวที่คล้ายกับปัญหาที่เขาเจออยู่ตอนนี้...



            “แล้วพี่โฟล์ค...ทำยังไงต่อ”



            เสียงที่เปล่งออกมาสั่นแค่ไหมภูมิก็ตอบไม่ได้ รู้แต่เขาเห็นรอยยิ้มบางๆ จากคนตรงหน้า ซึ่งราวกับกำลังรอให้เขาถามคำถามนี้



            “พี่ก็แค่ทำสิ่งที่พี่ควรทำ คือพิสูจน์ให้คนที่บ้านเห็นว่าที่พี่อยากเรียนครูแทนที่จะเรียนแพทย์ มันเป็นเพราะพี่รักการเป็นครู ไม่ใช่เพราะพี่ต้องการจะหนีการอ่านหนังสือหนักๆ” โฟล์คเว้นวรรคเล็กน้อยให้อีกฝ่ายมีเวลาได้คิดตาม ก่อนเอ่ยต่อเสียงนุ่ม “พี่เลยตั้งใจว่าจะสอบแพทย์ให้ติด เพราะเพื่อนพี่ส่วนมากก็ตั้งเป้าอยากเรียนแพทย์กัน พี่เลยคิดว่าสนามสอบนี้เป็นเรื่องท้าทาย”



            “แล้วมันจะไม่กลายเป็นว่าพี่ต้องอ่านหนังสือเกินความจำเป็นเหรอ”



            “ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด”



            ภูมิชะงักไปทันใดเมื่อได้รับคำตอบกลับมาอย่างชัดเจนและรวดเร็ว แต่ไม่ทันจะถามต่อ ร่างสูงก็พูดขยายความ



            “เพราะพี่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสูญเปล่า ต่อให้พี่จะเป็นชาวไร่หรือชาวนา วิชาทั้งหมดที่พี่เรียนตอนมัธยมก็ยังติดตัวพี่ และหล่อหลอมให้พี่กลายเป็นพี่อย่างทุกวันนี้ ดังนั้นยิ่งอ่านหนังสือเยอะเท่าไหร่ มีวิชาความรู้ติดตัวมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นกำไรชีวิตของพี่”



            “...”



            ยิ่งพี่โฟล์คพูดอธิบาย ภูมิก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงทุกที ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตา



            เพราะเขาเริ่มคิดได้...ว่าตัวเองมองโลกแคบแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนตรงหน้า



            ระหว่างเขาที่ดื้อดึงจะทำตามใจตัวเองมาตลอด กับพี่โฟล์คที่มองทุกสิ่งรอบกายอย่างใจเย็น แล้วค่อยๆ หาบทสรุปของการตัดสินใจซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ผลลัพธ์ก็เห็นๆ กันอยู่...



            “แล้วอีกอย่าง...พี่เข้าใจเหตุผลที่ผู้ใหญ่พยายามจะบังคับให้เราอยู่ในกรอบนะ”



            ภูมิหลุดจากภวังค์ของตนเองเมื่อเสียงทุ้มนุ่มแทรกขึ้นมา พอเขาเงยหน้ามองก็พบรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งราวกับจะทำให้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลหายไป...ด้วยประโยคที่พูดตามมา



            “เพราะขนาดเรื่องในกรอบเรายังทำได้ไม่ดี ใครจะไว้ใจให้เราออกนอกกรอบล่ะ...จริงไหม”





--------------------------------------- TBC ----------------------------------------



พี่โฟล์คกำลังพยายามให้ทั้งภูมิกับพ่อปรับตัวเข้าหากันนะคะ พี่โฟล์คอาจจะเข้าไปคุยกับพ่อภูมิตรงๆ ไม่ได้ เลยอยากให้ภูมิเข้าใจความคิดและมุมมองของพ่อก่อน อืม...พ่อของภูมิก็หวังดีเนอะ เห็นว่าตัวเองรับงานราชการธรรมดา รายได้ไม่เยอะ อยากให้ภูมิเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่ลำบาก แต่อาจจะแสดงออกในรูปแบบที่ตึงไปนิด ถ้าน้องภูมิเปิดใจกับพ่อแล้วพิสูจน์ให้พ่อวางใจได้ เรื่องราวน่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ :)



เจอกันวันอังคารนะคะ เรื่องนี้อัพทุกอังคาร-พฤหัส-เสาร์น้า



CT.hamonigar

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

เหมาะจะเป็นครูมากเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0


Chapter 7 : เคลียร์



            กว่าพี่โฟล์คจะพาภูมิมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น แต่ก็นับว่าเป็นเวลาที่ไม่ดึกเกินไป เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยง พี่โฟล์คก็พาเขาเล่นเครื่องเล่นอีกเพียงสองสามเครื่อง แล้วจึงขับรถพากลับบ้าน



ภูมิชะเง้อคอมองหลังคาบ้านตัวเองอย่างหวาดๆ  จนร่างสูงข้างกายต้องเอื้อมมือมาบีบไหล่



            “ไม่เป็นไรหรอก แค่มั่นใจในจุดยืนของเรา และเข้าใจในความต้องการของเขาก็พอ”



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับน้อยๆ  ปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ก่อนจะก้าวลงจากรถ ค่อยๆ เดินเข้าตัวบ้านด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ  ถึงแม้ระหว่างทางจะเตรียมใจมาพอสมควร แต่พอถึงเวลาจริงๆ ความกดดันกลับเพิ่มขึ้นเป็นคนละเรื่อง



            แต่เพราะรับรู้ได้ว่าพี่โฟล์คยังเดินตามอยู่ไม่ห่าง...เขาจึงกล้าเสี่ยง



            และเป็นดังคาด เมื่อภูมิก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็พบคนสองคนกำลังนั่งนิ่งบนโซฟา คนหนึ่งมองเขาด้วยแววตาตำหนิ ก่อนเบนหน้าไปทางอื่นแล้วถอนหายใจพรืด ส่วนอีกคน...ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตาลูกชายตัวเอง



            ทว่าสิ่งที่ภูมิทำกลับเรียกความสนใจจากคนเป็นพ่อได้ชะงัด เมื่อร่างเล็กตัดสินใจคลานเข่าเข้าไปใกล้ แล้วก้มศีรษะลงพร้อมทั้งเอ่ยเสียงเบา “ผมขอโทษครับพ่อ”



            คำขอโทษที่ ‘ดนัย’ เคยได้ยินมาตลอดจากลูกชายที่ออกนอกลู่นอกทางเป็นประจำ แต่ครั้งนี้กลับสัมผัสได้ว่าจริงใจกว่าครั้งไหนๆ  จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมดูถูก



            “หึ...ขอโทษเรื่องอะไร”



            “เรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจความหวังดีของพ่อ และทำตามใจตัวเองมาตลอด”



            ...ไม่ชิน...ภูมิไม่ชินเลยกับการพูดแบบนี้ ไม่คาดคิดว่าในชีวิตจะมีวันที่เขาต้องมานั่งพูดกับพ่อตัวเองแบบนี้



            เพราะเขาไม่เคยคิดจะยอมรับพ่อ...จนกระทั่งได้ยินสิ่งที่พี่โฟล์คพูด



            ดนัยก็ดูจะชะงักไปเช่นกัน  ปากพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเอง “อะไรนะ...”



            ภูมิก้มหน้าลงเพียงนิด ยังลังเลใจกับสิ่งที่ตนกำลังจะทำ แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นพี่โฟล์คยืนข้างๆ เขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา ในที่สุดจึงเงยหน้าสบตาชายวัยกลางคนตรงๆ



            “ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ผมเป็นหมอ มันไม่ได้ผิดที่พ่อ แต่มันผิดที่ผมเอง ผมทำตัวไม่น่าไว้ใจพอ แถมยังเอาแต่โทษว่าพ่อไม่เคยเข้าใจ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยเข้าใจพ่อเลย”



            คำพูดที่ดนัยไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าจะได้ยินพรั่งพรูออกมาจากปากของภูมิราวกับเขื่อนแตก แม้แต่ภาคย์ซึ่งหันหน้าหนีไปทางอื่นก็ต้องหันกลับมามองน้องชายตัวเองด้วยแววตาตื่นตะลึง และเหนือสิ่งอื่นใด...คือสายตาของภูมิที่บัดนี้ไม่เหลือเค้าของความลังเล ซ้ำยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



            “ผมสัญญาว่าผมจะพิสูจน์ให้พ่อเห็น ผมจะทำให้พ่อเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อ และผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เอาแต่ใจ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง ผมจะพิสูจน์ให้พ่อดูให้ได้ ผมสัญญาครับ”



            สิ้นเสียงนั้น ทั้งห้องเงียบสงัด



            ภูมิหอบหายใจเล็กน้อย กระนั้นก็ยังสบตากับชายวัยกลางคนนิ่งๆ  แม้ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก แต่ก็เป็นความเงียบที่รู้กันดีว่าดนัยกำลังพยายามค้นหาความจริงจากแววตาของคนเป็นลูกชาย



            ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ในที่สุดคนที่นั่งนิ่งบนโซฟาก็เริ่มขยับตัว เอ่ยด้วยเสียงแหบห้าว



“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู แต่ถ้าทำไม่ได้...แกก็ไม่เหลือข้ออ้างอะไรแล้วล่ะ”



จากนั้นคนเป็นพ่อก็ลุกพรวดจากโซฟา หันหลังเดินขึ้นบันไดทันที



ภูมิที่นิ่งค้างไปแล้วได้แต่ทรุดฮวบลงตรงนั้น เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไป แต่ก็รู้สึกโล่ง...เหมือนยกภูเขาที่หนักอึ้งออกจากอก



...ทำได้แล้ว...ทำได้แล้วใช่ไหมไอ้ภูมิ...



ภูมิก้มหน้ามองพื้นก่อนหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นของใครคนหนึ่งที่วางลงบนศีรษะของเขาเบาๆ  พร้อมด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาจากใคร



“ทำดีมากครับภูมิ”



            ภูมิขยับรอยยิ้มบางเบาโดยไม่มีใครเห็น แล้วจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อสบตากับร่างสูง



            “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



            โฟล์คยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความยินดีและความชื่นชมจากใจจริง ภูมิอาจคิดขอบคุณเขา...แต่เขารู้ว่าที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ก็เพราะตัวของภูมิเอง เขาเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ หากภูมิไม่พูดด้วยความจริงใจและความตั้งใจจริง ให้ตายอย่างไรพ่อของภูมิก็คงไม่เชื่อ



            แต่ศึกหนักจริงๆ คงเป็นหลังจากนี้ ที่ภูมิจะต้องทำให้ได้อย่างที่พูด โดยพิสูจน์ผ่านการกระทำของตัวเอง



            และเขาเชื่อมั่นในตัวภูมิ



            “งั้นพี่กลับแล้วนะครับ” โฟล์คลูบศีรษะทุยๆ อีกครั้ง แต่ไม่ทันจะได้ทำอย่างที่พูด เสียงจากคนอีกคนที่ยังอยู่ในห้องก็ตะโกนรั้งไว้



            “ไอ้โฟล์ค!” ภาคย์ที่เงียบมาตลอดตัดสินใจตะโกนขึ้น พอเห็นร่างสูงของเพื่อนหันมามอง เขาก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม แต่ดังพอที่คนอีกสองคนในห้องจะได้ยิน “ขอบใจว่ะ”



            “เออ”



โฟล์คตอบง่ายๆ  หันไปสบตากับภูมิอีกครั้งแล้วยิ้มให้ ก่อนเดินออกจากบ้านไป



“พี่ภาคย์ เดี๋ยวผมมานะ!” ภูมิที่มองตามอีกฝ่ายนิ่งๆ  จู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก หันไปบอกพี่ภาคย์รัวเร็ว แล้วแทบจะติดจรวดวิ่งออกไปด้วยความกลัวว่าร่างสูงจะขับรถไปเสียก่อน แต่โชคดีที่พอออกไปแล้วก็พบว่าคนที่ตนอยากคุยด้วยยังไม่ได้ขึ้นรถ



โฟล์คได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมาจึงหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทก็อดแปลกใจไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับภูมิ”



“คือ...คือว่า...แฮ่ก” ภูมิต้องหยุดเพื่อสูดหายใจเข้า เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจจนไม่กล้าสบตา ได้แต่มองข้างทางขณะพูด “ผมขอบคุณพี่มากเลยนะ ขอบคุณโคตรๆ  พี่ช่วยผมไว้เยอะมาก ถ้าไม่ได้พี่ผมคง...”



“ไม่เอาน่า พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย” โฟล์คพูดแทรกขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นแตะบ่าของร่างเล็ก บีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ที่สำคัญคือต่อจากนี้ ภูมิต้องทำตามที่พูดให้ได้นะครับ”



“อื้อ ผมทำได้แน่”



ครั้งนี้ภูมิพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย เป็นสายตาที่ไม่ได้แสดงถึงความอวดเก่ง แต่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเจ้าตัวที่ทำเอาโฟล์คชะงักไปเล็กน้อย



ภาพของเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนย้อนกลับมาในความทรงจำ เหตุการณ์ที่ร่างเล็กกำลังนอนหลับสนิทบนเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา กับเขาซึ่งเผลอตัวทำสิ่งไม่สมควรกับคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเพื่อน



แม้จะเป็นเพียงการจูบหน้าผาก แต่มันก็คือจูบ...คือการกระทำที่ผู้ชายไม่ควรทำต่อกัน



ภูมิขมวดคิ้ว มองร่างสูงที่นิ่งไปเหมือนจมอยู่ในภวังค์ ยิ่งอีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ภูมิก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแบบหาสาเหตุไม่ได้



“พี่โฟล์ค...อ๊ะ” ไม่ทันจะร้องท้วง ลมหายใจก็ขาดห้วงลงกะทันหันเมื่อพบว่าร่างสูงโน้มหน้าลงมาจนแทบจะชิดติดกัน ก่อนจะรู้สึกถึงลมร้อนๆ ที่รวยรินอยู่บริเวณหน้าผากจนคนตัวเล็กต้องหลับตาปี๋ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก



...พี่โฟล์คจะทำอะไร...



คำถามที่ได้รับคำตอบในทันที เมื่อคนตั้งคำถามรู้สึกถึงแรงกดเบาๆ ตรงหน้าผาก สัมผัสอุ่นวาบที่ทำเอาแข็งทื่อไปทั้งตัว ใจยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่าเมื่อได้ยินคำตอบของคำถามดังซ้ำๆ ในหัว



...พี่โฟล์คจูบหน้าผาก...พี่โฟล์คจูบหน้าผากเขา...



“พี่...”



เสียงร้องเบาๆ จากร่างเล็กทำให้โฟล์คชะงัก ผละกายออกห่างทันที ยกมือขึ้นกุมริมฝีปากตัวเองอย่างคนเพิ่งรู้สึกตัว



ไอ้เชี่ยโฟล์ค มึงทำห่าอะไรลงไป



“...พี่ขอโทษ”



พูดได้แค่นั้น ร่างสูงก็หมุนตัวไปอีกทางก่อนก้าวขึ้นรถ ขับออกไปโดยทิ้งให้อีกคนยืนแข็งค้างอยู่อย่างนั้น



ภูมิมองตามรถเบนซ์ที่ตนเคยนั่งจนลับสายตา เผลอยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง รู้สึกร้อนบนใบหน้าเหมือนคนเป็นไข้เมื่อพบว่าสัมผัสอุ่นๆ ยังติดอยู่ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ



“ทำไมกูรู้สึกดีจังวะ...”











 

ไอ้เชี่ยโฟล์ค มึงทำอะไรของมึง!



อีกทางด้านหนึ่ง โฟล์คไม่ได้ขับรถออกไปไหนไกล เพียงแค่ขับออกมาจนแน่ใจว่าพ้นระยะที่คนจากบ้านนั้นจะเห็นแล้วจึงเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนทุบพวงมาลัยพร้อมทั้งสบถด่าตัวเองในใจ



แล้วต่อไปจะมองหน้าภูมิติดได้ยังไง ทำไมก่อนทำไม่คิดวะ!



เขาควรทำยังไงต่อ ...ส่งข้อความไปขอโทษ...หรือโทรหาเลย... แล้วจะบอกว่ายังไง... หรือเขาควรทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วภูมิล่ะจะทำตัวยังไง...



พอคิดถึงตรงนี้โฟล์คก็ชะงัก รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีก



...ถ้าเกิดภูมิรังเกียจเขาล่ะ...



มันแน่นอนอยู่แล้ว...ผู้ชายที่ไหนจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ป่านนี้ภูมิคงคิดว่าเขาเป็นไอ้บ้าที่ไหนแล้วมั้ง



“โธ่เว้ย...”



ร่างสูงได้แต่คำรามกับตัวเองท่ามกลางความเงียบในรถ











 

[ภูมิ...ไอ้ภูมิ!]



“ฮะ...ตะโกนทำไมวะ”



[แล้วจู่ๆ มึงเงียบทำไมวะ คุยกันอยู่ดีๆ]



ภูมิขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินปลายสายพูดแบบนั้น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เขาเผลอคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพี่โฟล์ค เลยเผลอเงียบไปทั้งที่ยังคุยสายกับไอ้ซันอยู่บนเตียง



“เออ โทษที เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ”



[ถึงตอนที่พ่อมึงเดินขึ้นห้องไปไง แล้วมึงก็เงียบไปเลย]



ภูมิที่ซุกหน้าลงกับหมอนต้องชะงักไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เดิมอีกจนได้ ก่อนบอกแบบปัดๆ “เออ ก็จบแค่นั้นแหละ”



[อ้าวไอ้นี่ เห็นเงียบไปนึกว่ามีช็อตเด็ด เซ็งเลยว่ะ]



...มีสิ เด็ดโคตรๆ เลยด้วย...



“ไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้แหละ”



เรื่องอะไรเขาจะต้องเล่าให้ไอ้ซันฟังด้วย มีหวังโดนล้อยันชาติหน้า



[เออๆ  เป็นงี้ก็ดีแล้ว แล้วพี่ภาคย์ว่าไงบ้างวะ]



“ไม่รู้ดิ ไม่เห็นพูดอะไร” ภูมิว่าพลางนึกถึงสีหน้าของพี่ชายตนเอง ซึ่งหลังจากเขากลับเข้าบ้านแล้วก็เพียงแค่มองมานิ่งๆ  ก่อนจะไล่ให้เขาขึ้นห้องนอนโดยไม่คุยอะไรกันอีก



ก็หวังว่าพี่ภาคย์คงไม่เกลียดเขามากไปกว่าเดิมหรอก...มั้ง



[เหรอ...อือๆ ว่าแต่อาทิตย์หน้ามึงว่างปะ] จู่ๆ ปลายสายก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทำเอาภูมิต้องนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ากับตัวเองขณะตอบ



“ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ”



[ว่าจะชวนไปเที่ยวว่ะ แต่เดี๋ยวค่อยคุยกันที่โรงเรียนก็ได้]



“หืม...มึงเนี่ยนะจะชวนไปเที่ยว” คำตอบที่ได้รับทำให้ภูมิถึงกับเลิกคิ้ว ย้อนถามกลับทันใด “อะไรเข้าสิงวะ ปกติไม่เคยชวน”



[เออ กูได้ตั๋วฟรีมา จะไปหรือไม่ไป]



“อืม...ขอกูคิดดูก่อนแล้วกัน” ภูมิจงใจลากเสียงยียวนแล้วหัวเราะขำในใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเลยตอบกลับมาทันที



[ลีลานักก็ไม่ต้อง กูชวนคนอื่นก็ได้ เพื่อนฝูงกูมีเยอะแยะ]



“เฮ้ย! ง้อกูก่อนดิ เออๆ กูไปก็ได้”



คนที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียงแทบจะเด้งตัวขึ้นมา กลับคำพูดเป็นพัลวัน พอได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากปลายสายก็ได้แต่ก่นด่าในใจ



ขอกูเล่นตัวนิดหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหมไอ้เพื่อนเวร



“เออ งั้นเดี๋ยวกูวางแล้วนะ”



[เค กูก็จะไปนอนแล้ว บาย]



ภูมิยกโนเกียคู่ใจออกจากหูแล้วกดวางสาย ก่อนโยนทิ้งไว้ที่หัวเตียง ตั้งใจจะลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แต่จู่ๆ ก็ชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้



...มันใช่เวลาที่เขาควรจะนอนอย่างสบายใจงั้นหรือ...



คำตอบที่ภูมิได้รับในเวลาอันรวดเร็วคือ...ไม่



เพราะเขาทำตัวตามสบายมาตลอด ผลลัพธ์ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น เป็นเพียงเด็กไม่รักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ



...เขาอาจจะต้องจริงจังกับความฝันตัวเองให้มากกว่านี้...



เมื่อคิดได้ดังนั้น ภูมิจึงใช้เวลาในการอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะซักชุดให้เจ้าของตัวจริงที่เขาไปอาศัยนอนคอนโดหนึ่งคืนเต็มๆ  ก่อนเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบสมุดเปล่าขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วเปิดออก มืออีกข้างก็ถือปากกาค้างไว้เตรียมจะเขียนอะไรบางอย่าง



แต่ก็ต้องชะงักมือไว้ เมื่อสมองกลับไม่แล่นเอาเสียเลย



...เขาจะเขียนอะไรดีวะ...



“ฮึ่ย! คิดไม่ออก”



ตอนแรกตั้งใจเสียดิบดีว่าจะมาร่างแผนการพิสูจน์ตัวเอง แต่ก็ตันขึ้นมาเสียอย่างนั้น แผนการเหรอ...ร่างยังไงวะ!



ภูมินึกอยากกุมขมับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะเจอเรื่องหนักมาทั้งวัน ทั้งร่างกายและหัวสมองเลยรู้สึกล้าไปหมด แม้จะมีข้อมูลมหาศาลในหัวแต่กลับเรียบเรียงไม่ได้ แถมยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี



พอเป็นอย่างนี้ ตัวช่วยแรกที่แวบเข้ามาในหัวก็คือ..พี่โฟล์ค



ภูมิปิดสมุดลง หันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางบนหัวเตียงมามองอย่างชั่งใจ



...ควรโทร...หรือไม่ควร...



ถ้าเป็นเวลาปกติภูมิคงกดโทรออกหาคนที่นึกถึงโดยไม่ลังเล เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคือคนที่สามารถพึ่งพาได้ แต่พอนึกไปถึงเมื่อตอนเย็นที่พี่โฟล์ค...เอ่อ จูบหน้าผากเขา เลยเกิดความลังเลขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ



ก็ทำตัวไม่ถูกนี่หว่า...ถึงจะบอกว่าไม่น่ามีอะไรก็เถอะ แต่ผู้ชายที่ไหนเขาทำกันอย่างนั้นเล่า



กึก



ว่าแล้วภูมิก็ชะงัก นึกทบทวนประโยคเมื่อครู่ทันที



นั่นสิ...ผู้ชายที่ไหนเขาทำอย่างนั้นกัน...



บางทีอาจจะมีอะไรติดหน้าผากเขาอยู่ พี่โฟล์คเลยหยิบออกให้ อาจจะแค่นั้นก็ได้ แล้วเขาก็ดันคิดไกลเสียเอง



ภูมิยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง อืม...อุ่นๆ แฮะ งั้นสัมผัสอุ่นๆ ที่เขารู้สึกตอนนั้นก็แปลว่ามาจากมือพี่โฟล์คน่ะสิ โอ๊ย...ไอ้ภูมินะไอ้ภูมิ แล้วก็ดันคิดไปเป็นตุเป็นตะว่าโดนจูบหน้าผาก น่าอายว่ะ!



“ฮู่ว...ไม่ได้ๆ  เรื่องนี้จะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด” ภูมิถอนหายใจโล่งอก พึมพำกับตัวเองเบาๆ  ก่อนยกมือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ที่ต้องการแล้วโทรออก



เสียงสัญญาณรอสายดังนานกว่าปกติ แต่เมื่ออีกฝ่ายรับสายภูมิก็กรอกเสียงลงไปทันที



“ฮัลโหลพี่โฟล์ค คือ...โทรมาตอนนี้รบกวนหรือเปล่า”



[ไม่ครับ ภูมิมีอะไรเหรอ] เสียงพี่โฟล์คดังตอบกลับมา แม้จะฟังดูสั่นแปลกๆ แต่ภูมิก็ไม่ได้สงสัยอะไร พูดต่อด้วยน้ำเสียงดูลังเล



“คือผมเริ่มไม่ถูกอะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพิสูจน์ตัวเองยังไง แบบ...มันไปไม่ถูกอะพี่โฟล์ค”



ภูมิพูดเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งยังร่ายยาวถึงปัญหาที่ตนคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากปลายสาย ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงทุ้มนุ่มตามปกติของพี่โฟล์ค



[งั้นภูมิลองบอกพี่ก่อน ว่าภูมิอยากพิสูจน์ ‘อะไร’ ]



คนถูกถามนิ่งคิดไปชั่วครู่ เอ่ยตอบช้าๆ ราวกับไม่มั่นใจ “ผมอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมอยากทำมันไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน...”

[แล้วคำว่าเพ้อฝันที่ภูมิบอก หมายถึงอะไรครับ]



“หมายถึงความหลักลอย...รู้สึกสนุกไปวันๆ แต่ไม่สามารถดำรงชีวิตได้” ภูมิยกคำพูดของพ่อตอนที่ทะเลาะกันมาล้วนๆ  จำได้ว่าตอนนั้นเขาโกรธแทบบ้า แต่พอมาคิดดูอีกทีก็อยากเขกหัวตัวเอง เพราะพ่อไม่ได้พูดผิดเลย...เขาทำตัวแบบนั้นจริงๆ



[งั้นถ้าไม่ให้ดูหลักลอยล่ะ ต้องทำยังไง]



“ถ้าไม่ให้ดูหลักลอยงั้นหรือ...ก็ต้องจริงจัง ตั้งใจจะทำเป็นอาชีพให้ได้” ภูมิพยายามสรรหาคำตอบที่ดูดีและเหมาะสมที่สุด กระนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี



[งั้นแสดงว่าเมื่อก่อนภูมิยังไม่ได้จริงจังกับมันเหรอครับ]



“อือ” คนตัวเล็กฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยยอมรับตามตรง



[ทำไมถึงคิดว่าไม่ได้จริงจังล่ะ] ปลายสายยังถามต่อ



“ไม่รู้สิ...ก็ผมน่ะแค่เล่นดนตรีไปวันๆ มีแสดงคอนเสิร์ตในโรงเรียนบ้าง แต่เรื่องจะยึดเป็นอาชีพ...ทั้งผมทั้งเพื่อนในวงก็ไม่มีใครคิดถึงขั้นนั้น ส่วนเรื่องถ่ายภาพผมก็มีแค่กล้องตัวเดียว ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก หรืออย่างมากก็ทำประกอบรายงาน แล้วมีอะไรอีกวะ...อ้อ ที่ผมชอบถ่ายวีดิโอ ผมก็ไม่เคยทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้งนอกจากทำงานส่งอาจารย์ ไหนจะเรื่องงานเขียนอีก ผมก็แค่สนุกกับการเขียนเรียงความหรือเรื่องสั้นในวิชาภาษาไทย เฮ้อ...ยิ่งพูดยิ่งดูแย่ว่ะพี่โฟล์ค”



[ใจเย็นๆ ครับภูมิ]



อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแบบที่ภูมิต้องขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องน่าขำตรงไหน ยิ่งพูดยิ่งบรรยายความไม่เอาไหนของตัวเองนี่หว่า



[หมายความว่าที่ผ่านมา...ขอบเขตของสิ่งที่ภูมิทำคือในโรงเรียนใช่ไหม ภูมิถึงเรียกว่ายังไม่จริงจัง]



“อืม...อ๊ะ!”



ภูมิเด้งพรวดจากโต๊ะ เบิกตากว้างทันใด



[งั้นภูมิก็แค่ทำเหมือนเดิมนั่นแหละครับ แต่ลองขยายขอบเขตนั้นดู อย่าให้คำว่ารั้วโรงเรียนมาจำกัดเรา]



เพียงเท่านั้นก็เหมือนเป็นแสงสว่างเล็กๆ จากปลายอุโมงค์ ซึ่งคนได้รับถึงกับเผลอยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น



“อื้ม! ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะพี่โฟล์ค” ภูมิว่ารัวเร็ว แทบจะปัดสมุดทิ้งแล้วเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแทน ก่อนที่ปลายนิ้วจะจรดลงบนแป้นพิมพ์โดยที่ยังเอียงคอแนบโทรศัพท์ไว้กับหู “งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่โฟล์ค”



[เอ้อ...เดี๋ยวครับ...]



คนที่กำลังจะกดวางสายชะงักมือไว้เมื่อได้ยินเสียงอ้ำอึ้งจากอีกฝ่าย ภูมิขมวดคิ้วก่อนถามกลับ “อะไรเหรอพี่”



[คือ...เรื่องเมื่อตอนเย็นน่ะ...คือพี่...]



“อ๋อ เรื่องนั้นใช่ปะ” เขาพูดเสียงร่าเริงแบบที่ปลายสายชะงักไปนิด แต่คนพูดก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกตินอกจากยกมือขึ้นเกาแก้มเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ที่หน้าผากผมเลอะแล้วพี่เอามือมาเช็ดให้อะ ขอบคุณนะพี่โฟล์ค แหะๆ”



[…]



“พี่โฟล์ค...ยังอยู่หรือเปล่า ฮัลโหลๆ”



พอคู่สนทนาเงียบไปก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดี ภูมิแอบเหงื่อตกในใจ ...หรือว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดวะ โอ๊ย! ยังไงกันเนี่ย



[อ่า...เปล่าหรอก ตามนั้นแหละ]



เมื่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้นภูมิก็ถอนหายใจโล่ง หันมาสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิมขณะเอ่ย “โอเคพี่มีอะไรอีกหรือเปล่า”



[ไม่มีแล้วครับ รีบนอนเถอะ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้] โฟล์คตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ



“โอเคเลย ขอบคุณนะพี่”



ภูมิว่าอย่างนั้นแล้วกดวางสาย วางมือถือลงบนโต๊ะแล้วหันมาตั้งสมาธิกับการพิมพ์ข้อความลงในช่องค้นหาของเว็บกูเกิลเต็มที่



 ‘งานประกวดภาพถ่าย หนังสั้น งานเขียน’



เจาะจงคีย์เวิร์ดที่เขาคิดว่าสำคัญก่อนจะกดเอนเทอร์ แล้วผลการค้นหาก็ขึ้นมาเป็นพรืด



“โห...เยอะว่ะ”



ภูมิพึมพำกับตัวเอง เลื่อนเม้าส์ดูเรื่อยๆ  ก่อนจะจดงานประกวดที่เขาคิดว่าน่าสนใจลงสมุด แต่รายละเอียดบางอย่างกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น ถึงขนาดเปิดหน้าเว็บอีกหน้าแล้วพิมพ์เรื่องที่สงสัยลงไป



“เฮ้ย...มีงี้ด้วยเหรอ”



แม้แต่คำบางคำที่ดูเหมือนจะเป็นคำง่ายๆ และใช้แพร่หลายในวงการ แต่เขากลับไม่เคยรู้มาก่อน ยิ่งลองค้นคว้าแบบจริงจังก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาเขาปิดโลกของตัวเองไว้มากนัก...ในขณะที่คนอื่นๆ ก้าวไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว



ภูมิยิ้มให้กับตัวเอง จ้องมองข้อมูลมหาศาลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่วางตา



...นอกรั้วโรงเรียนมีอะไรน่าสนใจกว่าที่คิดจริงๆ...



----------------------------------------- TBC -----------------------------------------



น้องภูมินั้น...คิดอย่างนั้นจริงๆค่ะ ฮา

ก็แบบ พี่โฟล์คอะเนอะ ก็ผู้ชายอะ จะจูบหน้าผากทำไมวะ มือจับก็อุ่นๆเหมือนกัน เออ สงสัยคิดไปเองแหละ แค่หน้าผากเลอะพี่เขาเลยเช็ดให้ เออ คิดมากๆ บวกกับน้องกลุ้มใจเรื่องร่างแผนการอยู่ เลยตัดเรื่องนี้ออกจากใจแบบปิ๊วววเลยค่า

ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายสำหรับพี่โฟล์คเนอะ แฮ่

เจอกันวันพฤหัสค่า ^^



CT.hamonigar


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุกมากกกกก  ชอบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

โฟล์ค  ภูมิ       :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :serius2:
คุณพี่ลุ้นแทบตาย
น้องภูมิ :ling1:

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0


Chapter 8 : คำชวนของเพื่อน



            ทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้อง ภูมิก็ฟุบหน้าลงกับหนังสือเรียน ถอนหายใจเหนื่อยอ่อนจนคนข้างๆ หันมามองด้วยความสงสัย



ความจริงไอ้ท่าทางตั้งใจเรียนจนผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้ทำให้ซันประหลาดใจมาตั้งแต่ต้นคาบ ปกติหนังสือเรียนมันยังไม่เคยพกมาเลย จู่ๆ วันนี้กลับหยิบหนังสือมาเปิดกางไว้ตั้งแต่อาจารย์ยังไม่เดินเข้าห้อง แถมพออาจารย์เริ่มสอนก็นั่งฟังนิ่งแบบไม่สัปหงก



            นี่มันเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์โคตรๆ!



“กินยาลืมเขย่าขวดมาเหรอไอ้ภูมิ เห็นแล้วขนลุกว่ะ” ซันพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เรียกให้คนข้างตัวค่อยๆ หมุนคอมามองทั้งที่ยังใช้หนังสือเป็นหมอนรองศีรษะ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ



“อือ...ก็อยากลองตั้งใจเรียนสักครั้ง เหนื่อยกว่าที่คิด”



คำพูดแปลกๆ ที่ทำเอาคนฟังนึกสงสัย “ทำไมอยากลองวะ”



“ก็...” ภูมิเบือนหน้ากลับไปฟุบหนังสือตามเดิม พูดเสียงอู้อี้ “กูสัญญากับพ่อไว้แล้วใช่ปะว่ากูจะสอบให้ได้เกรดดีๆ  แต่กูไม่อยากอ่านหนังสือหนักๆ ที่บ้าน กูอยากได้เวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า กูเลยคิดว่าไหนๆ ก็ต้องเสียเวลาในห้องเรียนทุกวันอยู่แล้ว ก็ตั้งใจเรียนไปเลยดีกว่า กลับบ้านจะได้ไม่ต้องอ่าน มีเวลาไปทำอย่างอื่นเยอะๆ ไงมึง”



“หูย...สาธุครับสาธุ ความคิดล้ำโคตร”



ซันจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนเห็นตัวประหลาดอยู่ตรงหน้า สองมือก็ตบเปาะแปะแบบที่คนนอนฟุบหน้าอยู่คิดว่าไอ้นี่กำลังกวนส้นเท้ามากกว่าชื่นชม แต่เพราะเหนื่อยอ่อนกับการเพ่งสมาธิในการเรียนมาเกือบชั่วโมง จึงไม่มีอารมณ์อยากต่อล้อต่อเถียงนัก นอกจากถอนหายใจหนักๆ อีกรอบแล้วหลับตาลง



หลังจากคืนวันเสาร์ที่เขานั่งหาข้อมูลการประกวดจากเว็บไซต์ วันอาทิตย์ทั้งวันเขาก็ยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน สมองคิดไปเรื่อยๆ มือก็กระดิกหาข้อมูลนู่นนี่ จนรู้ว่าต่อให้เป็นเวทีการประกวดนอกโรงเรียนก็ยังไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต เพราะปีหนึ่งมีคนได้รางวัลเหล่านี้เป็นร้อยเป็นพัน แต่อยู่ในวงการจริงๆ แค่หยิบมือ



แต่สำหรับเขาที่เพิ่งเริ่ม การประกวดเหล่านี้ก็เป็นก้าวแรกที่ไม่เลว



“เออไอ้ภูมิ จำที่กูชวนไปเที่ยวได้ปะ”



จู่ๆ ซันก็ถามขึ้น คนฟังพยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่ยังปิดตา “เออ...ทำไม”



“เอ้านี่”



ซันไม่ตอบ แต่หยิบบัตรสีชมพูคล้ายบัตรกำนัลขึ้นมาสี่ใบ โบกไปโบกมาจนคนที่นอนอยู่ต้องหยีตาขึ้นมาข้างหนึ่ง ปากก็พึมพำแบบจับใจความไม่ได้ “อะไรของมึง...”



ป้าบ!



“แหกตาดูสิครับคุณเพื่อน ลุกๆๆ ลุกขึ้นมาดูเลย เอ้า!”



นอกจากจะเอาบัตรสีชมพูทั้งสี่ใบฟาดหัวเพื่อนซี้อย่างจัง คนออกคำสั่งก็ยังส่งเสียงเร่งจนภูมิต้องเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมผงกหัวขึ้นมาเพ่งข้อความบนบัตรชัดๆ ก่อนอ่านออกเสียงตาม



“อะไรวะ...ลมอัปสรารีสอร์ท”



“เออ” ซันยักคิ้วให้ ฉีกยิ้มกว้างขณะเอ่ย “เพื่อนพ่อกูเพิ่งเปิดรีสอร์ทใหม่เลยส่งบัตรมาให้ บอกให้ชวนเพื่อนไปลองพัก เป็นบังกะโลเดี่ยวๆ เลยนะเว้ย”



“เฮ้ย จริงดิ” คนฟังตาวาวทันทีที่ได้ยินคำว่าบังกะโล เด้งตัวขึ้นมาแล้วคว้าของที่อยู่ในมือเพื่อนมาดูทันควัน “โห...รีสอร์ทติดทะเล มีอาหารให้ด้วย บังกะโลเดี่ยวๆ ท่ามกลางธรรมชาติ เจ๋งว่ะ!”



“กูว่าแล้วว่าต้องถูกใจมึง”



“แต่มีตั้งสี่ใบนี่หว่า จะชวนใครไปอีกล่ะ”



ถ้าภูมิหันไปมองเพื่อนข้างตัวสักหน่อย จะเห็นว่าเจ้าของบัตรเริ่มหน้าแดงขึ้น ซ้ำยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนอาการ เอ่ยตอบแบบตะกุกตะกัก “ก็...ลองชวนพี่ภาคย์ไปสิ ให้พี่ภาคย์ชวนใครไปอีกคนก็ได้จะได้มีเพื่อน”



“เออ มึงไม่ได้เจอพี่ภาคย์นานแล้วนี่หว่า” ภูมิไม่ได้สนใจความผิดปกติของคนข้างตัวแม้แต่น้อย ทั้งยังนึกไปถึงเมื่อปลายปีก่อนที่ไอ้ซันไปติวหนังสือให้เขาที่บ้าน รู้สึกจะเจอพี่ภาคย์แค่แป๊บเดียวแล้วพี่ภาคย์ก็ออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก “เดี๋ยวกูลองชวนดูแล้วกัน แต่ไม่รู้พี่ภาคย์จะว่างหรือเปล่า น่าจะเรียนหนักว่ะ”



“ถ้าไม่ว่างก็ชวนไอ้กั้งกับไอ้แชมป์ไปก็ได้”



ซันบอกด้วยน้ำเสียงปกติ เอ่ยถึงเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนซึ่งตอนนี้อยู่คนละห้อง ภูมิก็พยักหน้ารับ คิดในใจว่าหวยน่าจะไปตกที่เพื่อนสองคนนั้นมากกว่า เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมาเขายังไม่เคยเห็นพี่ภาคย์หยุดเรียนวันเสาร์เลย



แตกต่างจากซันที่ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาแอบเช็คตารางเรียนของพี่ภาคย์จากเพื่อนในคณะมาแล้ว ถึงได้เจาะจงชวนวันที่พี่ภาคย์จะว่างพอดี ส่วนอีกฝ่ายจะตอบตกลงหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับดวง



ว่าแล้วคนวางแผนก็ลอบถอนหายใจ นึกขอโทษขอโพยเพื่อนสนิทอีกสองคน



โทษทีนะเว้ยไอ้กั้งไอ้แชมป์ กูไปเที่ยวกับพวกมึงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โอกาสแบบนี้ต้องรีบคว้าว่ะ



หลังจากพลิกหน้าพลิกหลัง อ่านรายละเอียดบนบัตรจนพอใจ ภูมิก็ยื่นบัตรรีสอร์ทคืนเจ้าของ



“อ้ะ เอาคืนไป เดี๋ยวกูบอกอีกทีนึงว่าพี่ภาคย์จะไปได้หรือเปล่า”



“เออๆ  ให้พี่ภาคย์ชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้ ไปกันแค่สามคนเดี๋ยวกร่อย” ซันบอกไปแบบนั้น เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเขากับพี่ชายไม่ค่อยราบรื่นเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ  แถมพี่ภาคย์กับเขาก็คุยกันนับครั้งได้ ถ้าไปกันสามคนจะกลายเป็นว่ามีเขากับไอ้ภูมิสนุกกันแค่นั้นน่ะสิ



ซันหันมาสนใจกับการเก็บบัตรสีชมพูสี่ใบใส่กระเป๋า ไม่ทันเห็นอาการของเพื่อนข้างตัวซึ่งชะงักไปเล็กน้อย สมองพลันนึกไปถึงเพื่อนเพียงคนเดียวของพี่ภาคย์ที่ตนรู้จัก



...พี่โฟล์คจะไปได้ไหมนะ...



คิดแล้วก็อดรู้สึกแปลกในใจไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวันเสาร์ แถมพี่โฟล์คก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขามากมาย นอกจากเป็นเพื่อนของพี่ชายและเป็นครูสอนพิเศษ แต่ทำไมพอชื่อของพี่โฟล์คแวบเข้ามาในหัว เขากลับรู้สึกอยากเจออย่างบอกไม่ถูก



...บ้าแล้วเรา



ภูมิส่ายหัวให้กับความคิดประหลาดๆ ของตนเอง ก่อนหันไปเตรียมหนังสือสำหรับวิชาถัดไป

 











“และสำหรับเรื่องงบประมาณของแต่ละชมรม ทางสภานักเรียนมีเงินที่ได้รับบริจาคจากผู้ปกครองส่วนหนึ่ง และมีงบสภาฯ ที่ยังเหลือจากปีที่แล้ว แต่ก็ไม่มากพอจะให้ทุกชมรมเบิกใช้กันพร่ำเพรื่อ ทางสภาฯ จึงได้จัดข้อกำหนดการของบของแต่ละชมรมไว้ดังนี้...”



เสียงร่ายยาวจากเด็กสาวประธานนักเรียนดังต่อเนื่องมาแล้วกว่าสิบนาทีในห้องประชุม ซึ่งเป็นการเรียกประชุมหัวหน้าและรองหัวหน้าชมรมทั้งโรงเรียนเป็นครั้งแรกของปี เพื่อแจกแจงรายละเอียดและกฎใหม่ๆ สำหรับกิจกรรมชมรมที่จะเกิดขึ้น



สำหรับปีนี้ ภูมิได้รับตำแหน่งรองประธานชมรมดนตรีแทนพี่เก่ง รุ่นพี่มือเบสประจำวง ส่วนพี่เก่งก็เลื่อนขึ้นเป็นประธานชมรมแทนรุ่นพี่อีกคนซึ่งจบจากโรงเรียนไปแล้ว การซ้อมดนตรีวันนี้จึงงดไปโดยปริยาย เพราะสมาชิกวงทั้งสองคนต้องเข้าร่วมการประชุมสภาฯ



ภูมิปล่อยให้ข้อมูลไหลผ่านหูไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าประธานนักเรียนแค่พูดเกริ่นตามหน้าที่ ถึงอย่างไรก็จะมีรายละเอียดที่จำเป็นแจกให้แต่ละชมรมอยู่แล้ว ความสำคัญของการประชุมจึงอยู่ในช่วงอภิปรายแผนการเสียมากกว่า



“คร่าวๆ ก็เท่านี้นะคะ มีใครสงสัยอะไรไหม”



ในที่สุดเด็กสาวผมเปียก็วางกระดาษในมือลง  พลางกวาดสายตาผ่านเลนส์แว่นทรงรีไปทั่วทั้งห้องประชุม แล้วผู้ชายคนหนึ่งซึ่งภูมิจำได้ว่าอยู่ชั้นปีเดียวกันก็ยกมือขึ้นมาพร้อมพูด “ผมครับ”



“ชื่ออะไร จากชมรมอะไรคะ”



“ผมชื่อปิงปอง ประธานชมรมฟิล์มครับ คือผมอยากถามว่า...พี่หมวยมีแฟนยังคร้าบ!”



“ฮิ้ววว!”



บรรยากาศของห้องประชุมแลดูเป็นสีชมพูขึ้นมาทันตา เมื่อจู่ๆ มีไอ้เด็กที่ไหนไม่รู้หยอดคำถามใส่ประธานนักเรียนสาวสวยจอมโหดซึ่งกำลังชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ตามด้วยเสียงโห่รับของกรรมการนักเรียนชายแสบๆ หลายคนซึ่งดูไม่เข้าข้างพวกตัวเองเท่าไหร่



ภูมิผงะไปนิด ส่วนพี่เก่งโน้มตัวมากระซิบข้างๆ หู “ไอ้เด็กนี่มันรู้จักกาละเทศะบ้างไหมวะ”



คำตอบที่พี่เก่งได้รับคือ...ไม่ เพราะนอกจากนายปิงปองจะทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาแล้ว เจ้าตัวยังยิ้มระรื่นแบบโคตรภูมิใจ จนพี่หมวยประธานนักเรียนผู้คุมสภาฯ จำต้องเอ่ยเสียงเรียบเพื่อยุติความชุลมุน



“พี่ไม่ขอตอบนะคะ ไม่ทราบว่าน้องมีคำถามที่มีสาระกว่านี้ไหม ถ้าไม่ก็ขอเชิญคนต่อไปค่ะ”



“เดี๋ยวดิพี่ โธ่...ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง อ้ะๆ เข้าเรื่องก็ได้ กริ้บกริ้ว”



“...”



เกือบครึ่งของสายตาผู้เข้าร่วมประชุมได้แต่ฉายแววเอือมระอา แต่คนได้รับยังคงยกยิ้มต่อไปขณะพูดเสียงเจื้อยแจ้ว



“คืองี้ครับ ชมรมของผมเป็นชมรมเปิดใหม่เลยมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์นิดหน่อย จากที่ประชุมกันภายในชมรม ผมกับคณะกรรมการคนอื่นๆ เห็นว่าอุปกรณ์เรายังมีไม่พอสำหรับการทำกิจกรรมครับ ซึ่งจากที่ได้ฟังพี่หมวยพูดถึงเป้าหมายของกิจกรรมชมรมในปีนี้ เห็นว่าต้องการยกระดับผลงานชมรมโรงเรียนให้มีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากเครือข่ายภายนอกโรงเรียนมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ หลายเท่าเลยด้วย”



ห้องประชุมเริ่มเข้าสู่ภาวะเดิม เมื่อประธานชมรมฟิล์มจอมแสบเมื่อครู่เปลี่ยนโหมดตัวเองให้เป็นการเป็นงาน อธิบายถึงปัญหาที่เจอโดยละเอียด ซึ่งเด็กสาวประธานนักเรียนก็ตอบไปตามจริง



“ใช่ค่ะ เพราะผลการทำกิจกรรมชมรมของปีที่แล้วไม่น่าพอใจเท่าที่ควร เหมือนเป็นกิจกรรมที่เด็กทำกันเล่นๆ ในโรงเรียน  ในขณะที่โรงเรียนอื่นสามารถทำชมรมให้มีคุณภาพและเผยแพร่ผลงานสู่สายตาคนนอกได้ ปีนี้ทางคณะกรรมการนักเรียนจึงตั้งใจจะเน้นเรื่องนี้ค่ะ”



เพียงเท่านั้นปิงปองก็ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนพูดสนับสนุน



“ผมเห็นด้วยครับ รู้สึกว่าโรงเรียนอื่นในละแวกใกล้เคียงกันเริ่มมีการร่วมกันทำกิจกรรมระหว่างโรงเรียน คุณภาพของงานเลยสูงขึ้นเยอะ ผมเองก็มีโปรเจกต์หลายตัว แต่ถ้าไม่มีทุนอุปกรณ์ก็คงเป็นไปได้ยากครับ”



“ต้องการอุปกรณ์อะไรบ้างคะ” พี่หมวยถามต่อ



“กล้องสำหรับถ่ายวีดิโอ แล้วก็อุปกรณ์เสริมต่างๆ ถ้าได้คอมพิวเตอร์สักเครื่องสำหรับโปรแกรมตัดต่อก็จะดีมากครับ”



“เท่านี้ใช่ไหมคะ”



“ครับ พื้นฐานคือเท่านี้ครับ”



หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนพูดต่อ “พี่คิดว่าทางฝ่ายโสตฯ ของโรงเรียนน่าจะมีอุปกรณ์พวกนี้ค่ะ พี่จะลองประสานงานให้ก่อน ถ้าทางนั้นให้ยืมได้ ก็ให้ทางชมรมของน้องเขียนหนังสือขออย่างเป็นทางการ ตกลงไหมคะ”



“อ้อ โอเคครับ ขอบคุณนะพี่หมวยคนสวย”



ไม่วายหยอดปิดท้ายพร้อมขยิบตาหนึ่งที แต่เด็กสาวประธานนักเรียนไม่คิดจะชายตามอง เธอมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง



“ชมรมอื่นๆ มีปัญหาไหมคะ ถ้าไม่มีจะเริ่มการอภิปรายแผนงานของแต่ละชมรม เริ่มด้วยชมรมดนตรีสากลค่ะ”



“ครับผม” พี่เก่งลุกขึ้นยืนเหมือนเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โค้งตัวเล็กน้อยให้ผู้ร่วมประชุมพอเป็นพิธี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ “ผมประธานชมรมดนตรีสากลครับ สำหรับแผนงานของเราจะแบ่งคร่าวๆ ได้สามรูปแบบ คือ...”



แผนงานของชมรมดนตรีสากลได้รับการอภิปรายโดยละเอียด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ภูมิและเพื่อนร่วมวงทุกคนช่วยกันคิด ให้กิจกรรมชมรมออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด โชคดีที่พอมีแนวทางจากปีก่อนๆ อยู่แล้วจึงไม่ต้องเพิ่มอะไรมาก



พอพี่เก่งพูดจบก็ละสายตาจากกระดาษในมือ เงยหน้าขึ้นมองประธานนักเรียนซึ่งกำลังทำท่าไตร่ตรอง



“ค่ะ น่าสนใจดี แต่เราว่าน่าจะให้สมาชิกใหม่มีส่วนร่วมมากกว่านี้ และน่าจะมีผลงานที่เผยแพร่ออกนอกโรงเรียนมากกว่านี้ค่ะ คิดว่าได้ไหมคะ” พี่หมวยพูดแนะนำพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งภูมิก็รีบจดลงสมุดทันที ในขณะที่พี่เก่งก็เอ่ยตอบ



“ได้ครับ จะลองคุยกันในชมรมดูครับ”



ระหว่างที่กำลังจด ภูมิก็เผลอเงยหน้าสบตากับประธานชมรมฟิล์มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดี พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาเขม็ง จนเขาต้องขมวดคิ้วหน่อยๆ ถามผ่ายสายตาว่า ...มีปัญหาอะไรหรือ



คนได้รับคำถามส่ายหน้าก่อนขยับยิ้มแพรวพราว ภูมิไม่อยากใส่ใจมากจึงละความสนใจ หันไปตั้งใจฟังชมรมอื่นอภิปรายแทน ซึ่งขณะนี้เป็นคิวของเด็กสาวอีกคนที่ภูมิจำได้ว่ามาจากชมรมการแสดง



“ชื่อแซนดี้นะคะ ประธานชมรมการแสดงค่ะ แผนงานของชมรมเรามีดังนี้ ข้อหนึ่ง...”



ฟังเพื่อนชมรมอื่นพูดได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เผลอเบนสายตากลับมาที่ประธานชมรมฟิล์มอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายยังจ้องเขาอยู่อย่างนั้น



...เดี๋ยวนะ...



...ชมรมฟิล์ม...ชมรมการแสดง...ชมรมดนตรี...



จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัวภูมิ รวดเร็วเสียจนเขาต้องหยิบปากกามาเขียนใส่สมุด



...น่าลองแฮะ...



หลังจากร่างสิ่งที่คิดขึ้นได้กะทันหันนี้แบบคร่าวๆ ให้พอเข้าใจ ภูมิก็หันกลับมาสนใจการอภิปรายต่อ พอทุกชมรมเสนอแผนงานจนครบ เขาก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตต่อประธานนักเรียน “ขอโทษครับ ชมรมดนตรีมีโปรเจกต์อยากเสนอเพิ่ม รบกวนอีกครั้งนะครับ”



“เชิญค่ะ”



เพราะเห็นว่าเวลาของการประชุมยังเหลืออยู่ เด็กสาวจึงเอ่ยอนุญาต



ภูมิลุกขึ้นยืน สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ โดยที่สายตาเหลือบมองกระดาษสมุดเป็นระยะ



“ผมเพิ่งคิดโปรเจกต์ออกเมื่อครู่ตอนที่กำลังเสนอแผนงาน และอยากขอความร่วมมือจากอีกสองชมรม คือชมรมฟิล์มและชมรมการแสดงครับ”



ภูมิเห็นปิงปอง ประธานชมรมฟิล์มเลิกคิ้วมองเขาด้วยความประหลาดใจ กับผู้หญิงอีกคนซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อแซนดี้ก็ดูงงงวยไม่แพ้กัน



“ผมอยากทำหนังสั้นเรื่องหนึ่ง โดยมีผู้รับผิดชอบหลักคือชมรมดนตรีสากลและอีกสองชมรมที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น โดยเราจะเปิดรับบทหนังจากนักเรียนในโรงเรียนเพื่อนำมาคัดเลือก แล้วชมรมการแสดงจะเป็นเฮดเรื่องการเรียบเรียงบทและจัดหานักแสดง ชมรมฟิล์มจะเป็นเฮดเรื่องการถ่ายทำ ส่วนผม...ชมรมดนตรีสากล จะเป็นเฮดเรื่องเพลงประกอบหนัง นั่นคือเราจะแต่งเนื้อร้องและทำดนตรีเองทั้งหมด จากนั้นอาจจะเปิดฉายหนังในงานสัปดาห์วิชาการตอนต้นปีหน้า ขายตั๋วให้บุคคลทั่วไปเข้ามาดู รายได้ทั้งหมดส่งให้ชมรมมิตรไมตรีเพื่อนำไปบริจาคเป็นการกุศล นอกจากนี้ยังทำแผ่นหนังขายได้ด้วย คิดว่ายังไงกันครับ”



ฟังเผินๆ อาจเป็นเพียงโปรเจกต์หนังเล็กๆ  แต่สำหรับโรงเรียนของภูมิซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้เน้นเรื่องกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมชมรมซึ่งมีผลงานออกมาน้อยมาก การที่สามชมรมจะร่วมมือกันทำงานสักอย่างหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะแม้แต่กิจกรรมของแต่ละชมรมเองก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า



แต่ครั้งนี้ เป้าหมายของสภานักเรียนคือการยกระดับคุณภาพของกิจกรรมชมรม ข้อเสนอของภูมิจึงได้รับความสนใจอย่างมาก



“พี่ว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และน่าลองสำหรับโรงเรียนเรานะ แต่ถ้าจะทำจริงๆ คงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะทั้งสามชมรมไม่เคยทำโปรเจกต์แบบนี้มาก่อนใช่ไหมคะ” พี่หมวยถามพลางไล่สบตาประธานชมรมทั้งสามคน ก่อนจะวกกลับมาที่ภูมิซึ่งเป็นคนเสนอความคิด “พี่ว่าเราต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และต้องมีความรับผิดชอบมากๆ  แต่ถ้าเรามีใจที่จะทำ สภานักเรียนก็จะสนับสนุนเต็มที่ค่ะ”



“ขอบคุณครับพี่หมวย แล้ว...นายล่ะ เธอด้วย” ภูมิหันไปถามเพื่อนอีกสองคนซึ่งกำลังมองเขาด้วยแววตาแตกต่างกัน คนหนึ่งแทบจะผิวปากด้วยความชอบใจ อีกคนยังมองเขาด้วยสายตางงๆ อยู่



“เอาสิ น่าสนุกดี” ประธานชมรมฟิล์มฉีกยิ้มกว้าง



“อะ...อืม ลองดูก็ได้” เด็กสาวประธานชมรมการแสดงพยักหน้าบ้าง แต่สีหน้ายังฉายชัดถึงความไม่มั่นใจ



“งั้นพวกผมจะคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง ถ้าได้แผนงานที่แน่นอนแล้วจะทำเรื่องขอเบิกงบและขอประสานงานกับโรงเรียนอื่นจากสภาฯ นะครับ”



ภูมิพูดแล้วโค้งตัวให้พี่หมวยเล็กน้อย ก่อนนั่งลงตามเดิม



การประชุมดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่ กว่าภูมิและคนอื่นๆ จะได้ออกจากห้องก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น แต่เพราะโปรเจกต์ที่เพิ่งเสนอไปเมื่อครู่ เขาจึงมีนัดคุยงานต่อกับเพื่อนใหม่อีกสองคน โดยคนที่ชื่อปิงปองเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักเขาก่อน



“ไง...นาย เอ่อ ไม่ชินว่ะ ใช้มึงกูได้ปะ”



“เอาดิ ไม่ถือ”



“เออ มึงชื่อไร กูชื่อปิงปอง เรียกปิงก็ได้”



“กูชื่อภูมิ”



“เมื่อกี้มึงโคตรเท่อะ” ไอ้ปิงปองพูดแล้วยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง “แล้วนี่จะคุยอะไรกันต่อ”



“ก็แค่จะทำความเข้าใจคร่าวๆ  มึงอยู่ได้นานปะ เธอด้วย...แซนดี้ใช่ไหม ต้องกลับบ้านกี่โมง”



พอได้รับคำตอบจากทั้งสองคนว่าอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ภูมิก็เริ่มหาที่นั่งคุยงาน อย่างแรกที่เขาทำคือถามความคิดเห็นของทั้งสองคนที่มีต่อโปรเจกต์นี้อีกครั้ง ได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจว่า ไอ้ปิงปองสนใจการถ่ายหนังและคิดจะทำอยู่แล้ว แต่เพราะยังเป็นมือใหม่เลยกังวลอยู่ พอได้อีกสองชมรมมาช่วยก็คิดว่าเป็นเรื่องดี ส่วนแซนดี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะปีก่อนๆ ชมรมของเธอไม่เคยมีโปรเจกต์แบบนี้



ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีภูมิก็พูดสรุป “งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยววันพุธมาคุยกันอีกรอบ เราจะร่างตารางงานให้เสร็จวันนั้นรวมทั้งธีมของหนังด้วย ให้ทุกคนกลับไปคิดธีมมาคร่าวๆ แล้วกัน”



“โอเค แลกเบอร์กันไหมเผื่อจะติดต่องาน” ปิงปองเสนอขึ้นในตอนท้าย



ดังนั้นการประชุมของวันนี้จึงจบลง ด้วยการเริ่มต้นโปรเจกต์ที่ทั้งสามชมรมเข้าร่วมเป็นสมาชิก



------------------------------- TBC ------------------------------



เปิดตัวปิงปองค่า กระซิบว่าจะเป็นอีกคนที่เข้ามาซี้กับภูมิเพราะสนใจในเรื่องเดียวกัน ส่วนน้องซันเดี๋ยวก็หนีไปเข้าหมอแล้ว ขอหาเพื่อนใหม่ให้น้องภูมิหน่อย แฮ่

จริงๆ ปิงปองก็มีคู่ของเขานา จะโผล่มาแว๊บนึงตอนท้ายๆ เรื่อง แต่เลิฟไลน์จะยังไม่เดินค่า จะคล้ายกับเรื่องของซันกับพี่ภาคย์ที่เลิฟไลน์จะเริ่มเดินในเรื่องของตัวเองเนอะ

ไปแล้วว เจอกันวันเสาร์ค่ะ ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามนะคะ ซึ้งงงใจ<3



CT.hamonigar

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภูมิ เริ่มทำตัวเองแบบทู อิน วัน
สนใจเรื่องเรียนมากขึ้นในเวลาเรียน
แล้วเวลาอื่นก็เป็นเรื่องที่ชื่นชอบ  สุดยอดมากกกกก  :mew1: :mew1: :mew1:

ให้สงสัยทำไมปิงปองมองภูมินานมากๆ  :hao3:

ลุ้นซัน ภาคย์  :กอด1:
โฟล์ค คงได้ไปเที่ยวกับภูมินะ  :impress2:

โฟล์ค ภูมิ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2018 05:12:20 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 9 : เรื่องที่ปกปิด



            ‘พี่ออกจากมหา’ลัยแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะครับ’



          บนเตียงนอนในห้อง ภูมินั่งจ้องข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่สดๆ ร้อนๆ ด้วยความตื่นเต้น ใจนึกไปถึงเจ้าของข้อความที่ไม่ได้เจอกันเกือบสามวัน เมื่อวานพี่โฟล์คไม่ว่างเพราะติดทำรายงานกับเพื่อน รวมทั้งเขาเองก็ติดประชุมสภานักเรียน เลยตกลงนัดกันวันอังคารซึ่งก็คือวันนี้



            “แล้วทำไมกูต้องดีใจด้วยวะ”



           ภูมิได้แต่พูดเบาๆ กับตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจความรู้สึก ถ้าจะให้อธิบายเขาก็อธิบายไม่ถูกอยู่ดี คือมันแปลก...แปลกมากๆ  เป็นอะไรที่ภูมิไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต แล้วไอ้ความรู้สึกร้อนๆ บนใบหน้ามันคืออะไรวะ



            ...ทำไมอาการเขาถึงเหมือนสาวน้อยในนิยายที่กำลังตกหลุมรักใครสักเลยวะเนี่ย



            “ใจเย็นเว้ยไอ้ภูมิ พี่โฟล์คเป็นเพื่อนของพี่ภาคย์ เป็นพี่ชายคนที่สองของมึงแค่นั้นแหละ”



            พูดจบก็ถอนหายใจยาว สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดได้แบบนั้น



            จะว่าไป...เขายังไม่ได้คุยกับพี่ภาคย์เรื่องที่ไอ้ซันชวนไปเที่ยวทะเลเลย



            ภูมิชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจกระโดดลงจากเตียง เดินไปยังห้องนอนอีกห้องซึ่งอยู่ริมขวา เดาว่าตอนนี้พี่ภาคย์คงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรีบให้คำตอบไอ้ซัน เขาคงไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลานี้



            ก๊อก ก๊อก ก๊อก



            ภูมิเคาะประตูแล้วจึงค่อยหมุนลูกบิดเข้าไป ก่อนชะโงกหน้าผ่านบานประตูเล็กน้อย



“พี่ภาคย์...ผมมีเรื่องจะถาม”



            “อะไร”



            อีกฝ่ายถามกลับมาทันควัน ภูมิจึงก้าวเข้ามาในห้อง ผลักประตูให้ปิดเบาๆ ก่อนหันไปมองแผ่นหลังของพี่ชายตนเองที่กำลังนั่งหน้าโต๊ะเรียน แล้วจึงเอ่ยแบบกล้าๆ กลัวๆ “คือว่าไอ้ซันได้บัตรที่พักฟรีสี่ใบ เป็นรีสอร์ทแบบบังกะโลติดทะเล มันเลยจะชวนผมกับพี่ภาคย์ไปวันเสาร์อาทิตย์นี้ พี่ภาคย์ว่างไหม”



            “หืม ชวนพี่ด้วยเหรอ” ภาคย์หันไปถามคนเป็นน้องด้วยความแปลกใจ ความจริงซันจะชวนภูมิก็ไม่แปลกเพราะมันสนิทกัน แต่ชวนเขาไปด้วยเนี่ยนะ...



            แล้วภูมิก็พยักหน้ารัวๆ เป็นการยืนยัน “ใช่ ชวนพี่ภาคย์ด้วย แล้วก็ให้พี่ภาคย์ชวนเพื่อนไปอีกหนึ่งคน”



            “อืม...เสาร์อาทิตย์นี้งั้นเหรอ พี่น่าจะว่างพอดี” ภาคย์ทำท่าครุ่นคิด ก่อนถามกลับ “แล้วแกล่ะอยากไปไหม”



            “เอ่อ...” เป็นคำถามที่ภูมิไม่กล้าสบตาพี่ชายตรงๆ  ...ไอ้อยากไปก็อยากไปอยู่หรอก แต่ก็กลัวทั้งพ่อทั้งพี่ภาคย์นั่นแหละ คดีล่าสุดของเขาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย จู่ๆ จะขอไปเที่ยวก็แอบหวั่นอยู่เหมือนกัน



            “เออ เดี๋ยวพี่คุยกับพ่อเอง”



            ทว่าคำตอบที่ไม่คาดคิดก็ทำให้ภูมิเบิกตากว้าง มองเจ้าของประโยคที่ราวกับอ่านใจเขาออกทันใด



            “นานๆ ได้ไปเที่ยวก็ดี อยู่บ้านเซ็งๆ ...ฟรีด้วยใช่ไหม” ภาคย์บอกง่ายๆ แล้วถามกลับ ทำให้คนเป็นน้องชายเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมา



...เพราะเป็นของฟรีนี่เองพี่ภาคย์ถึงตกลงง่ายดายแบบนั้น



“ฟรีตลอดงาน”



พอภูมิยืนยันอย่างนั้น ภาคย์ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ก็ดี มีธุระแค่นี้ใช่ไหม”

“แล้ว...พี่ภาคย์จะชวนใครไปอีกคนล่ะ” ภูมิเลียบเคียงถาม  ไม่กล้าพูดตรงๆ ว่าแอบนึกถึงใคร แต่คนถูกถามก็ตอบกลับทันทีเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ



“ชวนไอ้โฟล์คแล้วกัน วันนี้มันจะมาบ้านใช่ไหม แกจัดการเองเลย”



พอเจ้าของห้องประกาศิตมาแบบนั้น ภูมิก็ได้แต่รับคำก่อนเดินกลับไปห้องตนเอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่า...มีรอยยิ้มกว้างแค่ไหนบนใบหน้า













 

“ว่างสิครับ”



“จะ...จริงดิ”



ทันทีที่ภูมิเอ่ยถามครูสอนพิเศษที่เพิ่งมาถึงบ้าน คนถูกถามก็เลิกคิ้วพร้อมตอบรับอย่างง่ายดาย จนภูมิถึงกับเหวอ เผลอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง เรียกให้ร่างสูงหัวเราะก่อนเสียงทุ้มจะถามกลับ



“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยครับ”



ภูมิได้ยินดังนั้นก็เบนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ...ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่ขาดหายไปสามวันคืออะไร แต่พอได้เห็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอีกครั้ง เขาก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า...คิดถึงรอยยิ้มนี้อย่างบอกไม่ถูก



...สงสัยจะบ้าจริงๆ ด้วยว่ะ



“ไม่ได้ตกใจ ก็แค่...” ภูมิเกาท้ายทอยแก้เก้อ ไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงตัดบท “นั่นแหละๆ  ตกลงไปได้ใช่ปะ ผมจะได้บอกเพื่อน”



โฟล์คพยักหน้า มองท่าทางของคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู แม้จะนึกสงสัยกับปฏิกิริยาแปลกๆ อยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร



ก็น่ารักดี...ล่ะมั้ง



คิดในใจเพียงเท่านั้น เขาก็ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป



เอาอีกแล้ว...เผลอคิดอกุศลกับเด็กคนนี้อีกจนได้



ตั้งแต่วันที่เขาเผลอจูบหน้าผากภูมิอีกครั้ง เขาก็ใช้เวลาสามวันเต็มๆ ในการห้ามใจ คิดว่าพอเจอหน้ากันวันนี้จะทำตัวเป็นปกติได้บ้าง ...แต่หัวใจกลับไม่รักดีเอาเสียเลย



โชคดีที่ภูมิเข้าใจการกระทำของเขาในคืนนั้นเป็นอีกอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะสู้หน้าลูกศิษย์ของตัวเองได้หรือเปล่า



“มาเริ่มเรียนกันดีกว่า วันนี้จะให้พี่สอนอะไรดีล่ะ”



โฟล์คตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เดินนำไปนั่งที่พื้นข้างโซฟา ภูมิจึงเดินตามไปนั่งข้างๆ กัน ก่อนยกแขนขึ้นวางบนโต๊ะกระจกแล้วพูดเนือยๆ “ไม่รู้สิ การบ้านวันนี้ก็ทำเสร็จหมดแล้ว”



ความจริงภูมิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อจากนี้จะให้พี่โฟล์คสอนอะไรดี การบ้านเขาก็พยายามทำให้เสร็จที่โรงเรียนจะได้ไม่เป็นภาระที่บ้าน ส่วนบทเรียนอื่นๆ พอลองตั้งใจเรียนก็เข้าใจกว่าที่คิด บางเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ให้ไอ้ซันช่วยอธิบายตอนจบคาบ เลยไม่มีปัญหาอะไรนัก



“งั้นลองทำโจทย์ดูแล้วกัน พี่รวบรวมแนวแปลกๆ ไว้ให้” โฟล์คหยิบชีทที่เตรียมไว้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ภูมิเห็นดังนั้นจึงจัดแจงท่านั่งของตัวเองให้สะดวกมากขึ้น ก่อนรับชีทมาแล้วเริ่มลงมือทำ แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นหัวข้อของโจทย์



...พี่โฟล์คโคตรให้ความสำคัญกับการสอนจริงๆ ด้วย รู้อีกว่าตอนนี้เขาเรียนถึงเรื่องไหน โจทย์ก็เรื่องนั้นแบบเป๊ะๆ เลย



“ง่า...”



แต่พอทำไปได้สักพัก คนตัวเล็กก็ส่งเสียงครางออกมาพร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่น เมื่อพบว่าเขา...โคตรงง



ทั้งๆ ที่เนื้อหาก็ไม่น่าจะเกินระดับมอห้า แต่โจทย์ดันแปลกประหลาดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมไม่รู้ด้วยว่าควรเริ่มคิดยังไง ...แล้วคำนี้มันแปลว่าอะไรไม่ทราบ ทำไมเขาไม่เคยเจอเลยมาก่อนเลยวะ!



จู่ๆ ภูมิก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนข้างตัว ก่อนร่างสูงจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “ไหนครับ ไม่เข้าใจตรงไหน”



“ตั้งแต่ข้อสองอะพี่โฟล์ค”



แล้วจะยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไมวะ!



ภูมิเกือบผงะไปแล้วเชียว ดีที่ตั้งสติได้ก่อนเลยเอ่ยตอบไปตามปกติ แล้วขยับตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ดูโจทย์ใกล้ๆ



“ข้อสอบแนวนี้จะเล่นเทคนิคย้อนกลับน่ะ” โฟล์คอธิบายง่ายๆ ก่อนจะใช้ดินสอชี้ทีละประโยคเพื่ออธิบาย ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก พยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด “...แล้วก็คำนี้เป็นคำสมัยเก่า ตอนนี้คงไม่เจอในหนังสือกระทรวง แต่บางทีข้อสอบก็ชอบเอามาใช้ รู้ไว้บ้างจะได้เปรียบ”



“ฮื่อ”



คนตัวเล็กพยักหน้ารัวเร็ว แล้วยื่นนิ้วไปจิ้มๆ บนกระดาษอีกครั้ง “...ข้อนี้ด้วย”



“อืม...ข้อนี้ใช่ไหม”



เรียกได้ว่าเป็นการเรียนพิเศษที่ภูมิรู้สึกเข้าใจที่สุดตั้งแต่เคยเรียนมาเลย เป็นครั้งแรกที่มีคนมาให้ถามแบบใกล้ชิดขนาดนี้ แถมยังไม่รู้สึกเบื่อเหมือนตอนเรียนกับสถาบันกวดวิชาดังๆ ทั้งหลายแหล่ การเรียนกับดีวีดีนอกจากจะทำให้เขาง่วงเหงาหาวนอนไปหลายรอบ เวลาสงสัยตรงไหนภูมิก็จำต้องปล่อยให้ผ่านไป แต่พอมาเรียนกับพี่โฟล์คคือเป็นคนละอย่างกันเลย



แต่บางครั้ง...คนเราก็ต้องมีขีดจำกัดล่ะนะ



ไม่รู้เพราะความเหนื่อยที่สะสมมาหลายวันหรือเปล่า จู่ๆ ภูมิก็รู้สึกหน้ามืด แถมหัวยังหมุนติ้วๆ เหมือนอยากจะฟุบลงนอนทับชีททั้งปึกจนต้องใช้ข้อศอกยันตัวไว้กับโต๊ะ



“เป็นอะไรครับภูมิ”



เหมือนโฟล์คจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยถามพร้อมยื่นมือมาประคองไหล่ ภูมิได้แต่ส่ายหน้าให้ก่อนบอกเสียงเบา “ผมแค่ง่วงละมั้ง...รู้สึกเหนื่อยชะมัด”



“งั้นพักก่อนไหม เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”



ภูมิพยักหน้ารับ ร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายเข้าไปในครัว ใช้เวลาไม่นานในการรินน้ำใส่แก้ว แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น



ทว่าภาพที่เห็นก็ทำให้โฟล์คหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เมื่อตอนนี้ลูกศิษย์ของเขากำลังนอนคอพับ ฟุบหน้าลงกับชีทจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน เสียงถอนหายใจที่ดังสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับลึกแค่ไหน



โฟล์คเดินเข้าไปใกล้ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบาๆ  ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยคล้ายกระซิบ “เหนื่อยมาจากไหนเนี่ย...”



พอเห็นคนตัวเล็กหลับอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะปลุก ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโซฟามาพลิกดูเล่นๆ  แต่อ่านไปได้แค่สองสามหน้า เขาก็เผลอเบนสายตากลับมามองคนที่นอนนิ่งอีกครั้ง นึกเป็นห่วงในใจว่าคนนอนคงหลับไม่สบายนัก พื้นก็แข็ง แอร์ก็หนาว แถมนอนคอพับแบบนั้นตื่นมาคงได้ปวดคอกันพอดี



โฟล์ควางนิตยสารในมือลง ลังเลใจอยู่นานว่าควรทำอย่างไร สุดท้ายก็ตัดสินใจได้



...เอาก็เอา เขาทำด้วยความหวังดี ไม่ได้คิดเกินเลยเสียหน่อย



คิดได้ดังนั้นจึงขยับตัวเข้าใกล้คนที่นอนหลับมากขึ้น ก่อนจัดการช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แปลกใจกับน้ำหนักตัวที่เบากว่าที่คิด เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้จ้องใบหน้าของคนในอ้อมแขนนานเกินไป ...รู้ตัวเลยว่ากำลังอดกลั้นต่อบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทะลักอยู่ในใจ



ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนโซฟา จัดท่าให้คนนอนสบายกว่าเดิม



โฟล์คขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนยกแขนขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากจึงตัดสินใจนั่งลงกับพื้นตามเดิม แล้วหยิบนิตยสารมาอ่านฆ่าเวลาต่อ



ความจริงเขาจะกลับคอนโดเลยก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งกลับท้วงว่า...ยังอยากอยู่ต่ออีกหน่อย



“อ้าว ไอ้ภูมิเป็นไรวะ”



เสียงทักดังขึ้นจากชั้นสองข้างบ้าน โฟล์คเห็นเพื่อนสนิทชะโงกหน้ามาทางบันได เขาจึงเอ่ยตอบโดยระวังไม่ให้เสียงดังเกินไป



“คงง่วงน่ะเลยหลับไป”



“เหอะ...มีงี้ด้วย” ภาคย์ยักไหล่ก่อนก้าวลงจากบันไดทีละขั้น เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดา มีผ้าขนหนูผืนหนึ่งพาดอยู่บนบ่า เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จไปหมาดๆ  พอภาคย์เดินมาใกล้น้องชายตัวเองก็ไม่วายพูดเหน็บขึ้นมาอีกรอบ “แล้วนี่มันกล้านอนโซฟาโดยให้มึงนั่งพื้นเนี่ยนะ”



“เปล่า ภูมิเผลอหลับตอนนั่งทำโจทย์ กูเลยอุ้มให้ไปนอนดีๆ บนโซฟา”



ได้ยินเท่านั้นภาคย์ก็เบ้ปาก บ่นขมุบขมิบกับตัวเองเล็กน้อย แต่ก็ดังพอที่อีกคนในห้องจะได้ยิน “มึงก็ห่วงน้องกูจังเนอะ อย่างกับคู่เกย์”



โฟล์คชะงักไป เผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนสนิท พบว่าอีกฝ่ายมีประกายหยอกล้อในแววตาบ่งบอกว่าไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูด เขาจึงเบนหน้าไปทางอื่นก่อนตอบด้วยน้ำเสียงลังเล “...กูเปล่า”



“ฮ่าๆ  กูล้อเล่นไปงั้นแหละ” ภาคย์เดินมาตบไหล่คนที่นั่งอยู่ดังป้าบแล้วฉีกยิ้มให้ “มึงไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย กูรู้อยู่แล้วน่า”



น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้โฟล์ครู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก มันคือความสับสนที่เขาไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร ทว่าลึกๆ เขาก็รู้ตัว...ว่ามันคือความจริงที่ตัวเขาเองพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด



ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าทั้งเขาและภูมิเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่มันคือปัญหาหนักใจอีกเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึง



โฟล์คหลับตาลงเพื่อปกปิดบางอย่างในใจ ก่อนจะฝืนส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทแล้วเอ่ยตอบแผ่วเบา



“เออ มึงก็รู้นี่”



...แม้จะรู้ดีว่ามันคือการกระทำที่ผิดมหันต์ แต่ตัวเขากลับอ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับ













 

ภูมิตื่นขึ้นมาในห้องนั่งเล่นที่ปิดไฟมืดสนิท แม้จะงงเล็กน้อยในตอนแรก แต่พอเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มก็สะดุ้งโหยง เริ่มลำดับเหตุการณ์ในหัวได้



เขากำลังนั่งทำโจทย์ จู่ๆ ก็ง่วง พี่โฟล์คไปเอาน้ำมาให้ แล้วเขาก็เผลอหลับไป



...ไอ้ภูมินะไอ้ภูมิ นี่มึงโคตรเสียมารยาทเลยนี่หว่า



“บ้าฉิบ...” ไม่รู้จะพูดอะไรเลยสบถด่าตัวเองไปอย่างนั้น แล้วจึงยันตัวขึ้นจากโซฟา ใช้มือคลำๆ กวาดๆ ของที่อยู่บนโต๊ะแบบลวกๆ  ก่อนเดินโงนเงนด้วยความมึนหัวไม่หายจนขึ้นมาถึงบนห้อง



“อือ...”



พอเห็นเตียงนอนอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณก็บอกให้เดินเข้าไปใกล้แล้วล้มตัวลงนอนทันที ยิ่งพอได้สัมผัสฟูกกับหมอนนุ่มๆ ก็ยิ่งเคลิ้ม ภูมิใช้เวลาไม่นานในการซุกๆ ขดๆ ตัวในผ้าห่มก่อนจะผล็อยหลับไปอีกรอบ

 













อีกทางด้านหนึ่ง โฟล์คกลับถึงคอนโดของตัวเองได้สองชั่วโมงแล้ว ร่างสูงอยู่ในชุดนอนโดยมือข้างหนึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็คศีรษะที่เปียก พอเหลือบเห็นเวลาบนนาฬิกาข้างเตียงก็ชะงัก เผลอนึกถึงคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตื่นหรือยัง เพราะไอ้ภาคย์บอกว่ามันจะช่วยดูให้แล้วไล่เขากลับมาก่อน แต่เดาได้ไม่ยากว่านิสัยอย่างมันคงปล่อยให้น้องชายตัวเองนอนอยู่อย่างนั้นแหละ



เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพ่งมองอย่างพินิจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวแล้วสรุปกับตัวเอง “โทรไปตอนนี้คงไม่ดีมั้ง”



โฟล์คล้มตัวลงนอนบนเตียง เงยหน้ามองเพดานสีขาวอยู่พักใหญ่ พอไม่รู้จะทำอะไรเลยคว้าโทรศัพท์มาถือไว้ สไลด์ปลดล็อกหน้าจอแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์



...แต่ถ้าโฟล์ครู้มาก่อนว่าใครจะทักมา เขาคงเลือกที่จะไม่เข้าแอพฯ นี้อย่างเด็ดขาด



โฟล์คไม่ได้ตั้งแจ้งเตือนไว้เพราะไม่อยากให้โทรศัพท์สั่นตอนเรียน ดังนั้นเขาจะได้เข้ามาเช็คแค่วันละสองสามครั้งตามแต่เวลาที่ว่าง ส่วนมากก็มักเป็นไลน์กลุ่มที่เพื่อนๆ ของเขาคุยเล่นกัน เพราะเขาไม่ชอบแชทนักจึงไม่ค่อยมีคนทักมาแบบส่วนตัว



แต่ครั้งนี้เมื่อเปิดไลน์ขึ้นมา แชทที่เด้งเตือนเป็นอันดับแรกกลับเป็นคนคนหนึ่งซึ่งทำให้เขาชะงัก



~MINTTO~ (3)



โฟล์คขมวดคิ้วโดยพลัน ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่รู้ว่าจะทำเมินก็คงไม่ได้จึงเลือกที่จะกดเข้าไปอ่าน



~MINTTO~

>miss u so much ka

>xoxoxoxoxo

>(sticker)



ข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาไม่ต่างจากที่ชายหนุ่มคาดไว้นัก และนั่นทำให้คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งชิดกันมากกว่าเดิม หากเป็นปกติเขาคงพิมพ์ตอบไปอย่างไม่คิดมาก ทว่าครั้งนี้เขากลับลังเล นิ้วที่จะกดพิมพ์ชะงักค้างกลางอากาศ



แต่ทางนู้นคงขึ้นสถานะว่า read เรียบร้อย จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพิมพ์ตอบไป



Folk

ครับมิ้นท์<       

เป็นยังไงบ้างครับ<   
                 



รอไม่นานข้อความของเขาก็ขึ้นสถานะ read บ่งบอกว่าอีกฝ่ายอ่านได้รวดเร็วทันใจ หลังจากนั้นสามวินาทีก็มีข้อความตอบกลับมา



~MINTTO~

            >so lonely ka

                        >here’s very cold

                        >and u ? r u ok ?


         
  Folk

            ครับ<   

            ก็เรื่อยๆ ครับ<   

            ~MINTTO~

                        >I’m really looking 4ward 2 seeing u na

                        >take care ka

                        >see u soon

                        >xoxoxoxoxo

                        >(sticker)


       
    Folk

            ครับ<   

            แล้วเจอกันครับ<           

ดูแลตัวเองด้วยนะ<



พอพิมพ์เสร็จโฟล์คก็ปิดแอพฯ นี้ลงทันที โยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ราวกับไม่อยากหยิบมันขึ้นมาอีก ร่างสูงทำหน้าตึงเครียด ดวงตาฉายชัดถึงความหนักใจที่เกิดขึ้นกับบทสนทนาเมื่อครู่



และเหนือสิ่งอื่นใด...คือความรู้สึกผิดที่โถมเข้าใส่เต็มแรง





------------------------------ TBC -----------------------------





เขียนตอนนี้แล้วอึดอัดใจแทนพี่โฟล์คมากเลย อยากดึงทั้งพี่แกกับน้องภูมิมากอดแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ สู้ๆ

แต่ก็ทำได้แค่มองดูทั้งสองคนจากที่ไกลๆ  ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ นี่แหละค่ะ

เจอกันวันอังคารนะ <3



CT.hamonigar
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2018 20:08:01 โดย CT.hamonigar »

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1522
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่โฟล์คมีแฟนแล้วเหรอ แบบนี้ก็แย่ซิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
อ๋าาาาาาา รักซ้อน

 :เฮ้อ: :mew2:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด