Chapter 22 : ความจริง
"ขอโทษนะ เราขอโทษจริงๆ"
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม บริเวณโดยรอบโถงคณะครุศาสตร์แทบไม่มีนักศึกษาหลงเหลืออยู่ มีเพียงแค่เด็กหนุ่มสองคนกำลังนั่งระบายสีลงฉากท่ามกลางแสงไฟที่เหลือเพียงไม่กี่ดวง โดยคนหนึ่งเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนที่พูดมาตลอดหลายชั่วโมง ส่วนอีกคนก็ยิ้มรับเล็กน้อยแล้วบอกอย่างไม่ถือสา
"ไม่เป็นไร เราก็ถือไม่ดี"
"ไม่ๆ เราผิดเอง เราไม่ดูทางก็เลยชนนาย" ภูมิบอกอย่างรู้สึกผิด แล้วก้มมองพื้น "ฉากที่นายกับเพื่อนๆ ช่วยกันทำเลยพังหมด"
"อย่าคิดมากเลย นี่ก็แก้จะเสร็จแล้ว"
ยิ่งเพื่อนใหม่ข้างตัวบอกอย่างไม่คิดอะไรมาก อีกทั้งสีหน้ายังแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ยิ่งทำให้ภูมิรู้สึกผิดเป็นทวีคูณ เพราะเขารู้ว่าฉากแต่ละฉากที่ทุกคนช่วยกันวาดและลงสีใช้เวลาในการทำนานขนาดไหน
"วันนี้พอแค่นี้แหละ" หลังจากผ่านไปอีกสักครู่ ไอซ์ เพื่อนใหม่จากครุฯ ก็หยุดมือที่ใช้ลงสี แล้วเงยหน้าขึ้นบอกภูมิ "เดี๋ยวที่เหลือเรากับเพื่อนจะช่วยกันทำต่อพรุ่งนี้"
"เดี๋ยวคืนนี้เราช่วยทำต่อให้เสร็จก็ได้นะ" ภูมิบอกด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
"มันดึกแล้ว กลับกันเถอะ"
เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเพื่อนใหม่ ภูมิก็พยักหน้าอย่างจำยอม แต่ยังไม่วายบอกเสียงอ่อยอีกรอบ "ยังไงก็ฝากขอโทษทุกคนด้วยนะ"
"อืม" ไอซ์รับคำ
ภูมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ไอ้เรื่องกลับดึกน่ะไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญคือรถเมล์สายที่เขานั่งประจำเที่ยวหมดตอนสี่ทุ่มครึ่งน่ะสิ
"ซวยแล้วไอ้ภูมิ" เขาได้แต่พึมพำกับตัวเอง แล้วเงยหน้าถามเพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋า "เอ่อ แล้วไอซ์จะกลับยังไงเหรอ"
"แท็กซี่" ไอซ์ว่าอย่างนั้น "ภูมิล่ะ"
"เอ่อ เรา..."
"ภูมิครับ!"
ยังไม่ทันจะได้ตอบ เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูติดจะร้อนรนหน่อยๆ ก็ดังมาจากอีกทาง ภูมิตัวแข็งขึ้นทันที ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง เขาก็รู้ว่าเป็นใคร
โฟล์คเดินเข้าใกล้เด็กหนุ่มทั้งสองคน เมื่อตอนเย็นเขายังไม่มีเวลาได้พูดอะไรกับภูมิเพราะต้องรีบไปทำงานต่อ และเมื่อสักครู่ก่อนจะกลับคอนโด เขาก็เอะใจ เลยเดินย้อนกลับมาดูที่โถงทางเดิน ก่อนจะพบว่าคนที่เขานึกเป็นห่วงยังไม่ได้กลับบ้านจริงๆ
"สวัสดีครับ" ไอซ์ทักทายรุ่นพี่คณะ โฟล์คพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
"ทั้งสองคนจะกลับกันยังไงครับ"
"แท็กซี่ครับ" ไอซ์ตอบ "ห้องสโมปิดรึยังครับ ผมขอเอาสีไปเก็บได้มั้ย"
"ได้สิ" โฟล์คยิ้มให้อย่างใจดี แล้วผละไปมองรุ่นน้องอีกคนที่กำลังก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าโดยไม่สนใจผู้มาใหม่อย่างเขาสักนิด จนต้องเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก "แล้วภูมิล่ะครับ"
"...รถเมล์น่ะ"
โฟล์คขมวดคิ้วทันใด "แต่ตอนนี้รถเมล์แทบไม่เหลือแล้วนะ"
ภูมิเม้มปาก ไม่กล้าเถียง โฟล์คเห็นดังนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง ชั่งใจเพียงครู่ ก่อนตัดสินใจถามออกไปด้วยความหวัง
"งั้น...ให้พี่ไปส่งได้มั้ย"
ภูมิเกือบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาขอร้องที่เจ้าของคงไม่รู้ตัว จนรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างที่รู้ว่าไม่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ ภูมิยอมรับว่าเรื่องที่ได้ยินจากรุ่นพี่ทั้งสองคนเมื่อตอนเย็นทำให้เขารู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าไม่น้อย จนไม่กล้าเอ่ยปัดความหวังดี ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลงต่ำ ก่อนจะผงกหัวเบาๆ เป็นคำตอบ
ภายในรถยนต์เบาะกว้าง เสียงเครื่องยนต์ที่ปกติเบาจนแทบไม่ได้ยินกลับดังชัดแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ เคล้าคลอกับเสียงเพลงจากวิทยุที่ถูกเปิดขึ้นเบาๆ โดยชายหนุ่มเจ้าของรถก็พยายามเพ่งสมาธิกับการบังคับพวงมาลัย แม้จะแอบเหลือบมองคนข้างตัวบ่อยครั้งก็ตาม
คนตัวเล็กของเขานิ่งเงียบมาตลอดทาง บางทีก็หันไปมองทางข้างนอก บางทีก็ก้มมองมือตัวเอง แต่ไม่เคยหันมามองทางเขาแม้สักครั้งเดียว
ดังนั้นโฟล์คจึงเริ่มประโยคสนทนาด้วยคำถามที่เรียบง่ายที่สุด
"วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างครับ"
ภูมิเหมือนจะชะงักไป แล้วพึมพำตอบ "ก็ดีครับ"
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง จนภูมิต้องหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติกับตัวเอง
...เมื่อวันก่อนเขาก็พูดคุยกับพี่โฟล์คได้ปกติแล้วนี่ ทำไมวันนี้ถึงเกร็งขึ้นมาอีกแล้ว...
"หนาวไปเหรอ"
"อ๊ะ"
ภูมิไม่รู้ว่าเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ จนร่างสูงที่นั่งข้างๆ ตีความไปว่าเขาหนาว และเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศโดยที่ภูมิร้องท้วงไม่ทัน
"ถ้ายังหนาวอีกบอกนะครับ พี่มีเสื้อคลุมอยู่ด้านหลัง"
"...ขอบคุณครับ"
ภูมิจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย บอกขอบคุณตามมารยาท ทั้งที่พยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวกับความเป็นห่วงของอีกฝ่าย
ตอนนั้นพี่โฟล์คก็ทำแบบนี้ แต่สุดท้าย...มันก็แค่นั้น
บรรยากาศในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง จนในที่สุดภูมิก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา "นี่...พี่โฟล์ค"
"ครับ"
"เรื่องพี่มิ้นท์...ผมเสียใจด้วยนะ"
ภูมิพูดออกไปตามความรู้สึก เพราะตั้งแต่รู้เรื่องนี้เมื่อตอนเย็น ความรู้สึกแย่ที่เคยมีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็หายไปไหนไม่รู้ แม้จะยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเขาเห็นใจอดีตครูสอนพิเศษคนนี้ และเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
ภูมิสังเกตเห็นว่าร่างสูงนิ่งไป สองมือเหมือนจะกระชับพวงมาลัยแน่นขึ้น ซึ่งภูมิก็หลอกตัวเองไม่ได้ว่า...ท่าทางอาลัยอาวรณ์แบบนี้ทำให้เขาเจ็บไม่น้อย
"ชัยกับน้ำบอกแล้วเหรอครับ" โฟล์คถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มดุจเดิม
"อืม" ภูมิพยักหน้ารับ ก้มลงมองมือตัวเองที่กุมกันไว้ "ผมเสียใจด้วยจริงๆ นะ ...พี่คงรักพี่มิ้นท์มาก"
"มันไม่ใช่แบบที่ภูมิคิด"
ภูมิกุมมือตัวเองแน่นขึ้น ส่ายหน้ากับคำปฏิเสธนั้น "พี่ไม่ต้องพยายามพูดอะไรหรอก ผมเข้าใจ"
ไม่ ภูมิไม่เข้าใจ
โฟล์คร้องท้วงกับตัวเอง แต่สภาพตอนนี้ที่เขาต้องควบคุมรถทำให้เขายังไม่มีสมาธิเรียบเรียงคำพูดให้ดี ประกอบกับท่าทางของคนข้างตัวที่แม้จะกุมมือตัวเองไว้ตามปกติ แม้จะพยายามมองออกไปนอกรถ แต่ทำไมเขาจะไม่เห็น...มือเล็กๆ ที่กำลังสั่น
ร่างสูงตบไฟเลี้ยวเข้าด้านซ้าย ภูมิหันมามองการกระทำนั้นอย่างตกใจ แม้จะพยายามส่งสายตาถาม แต่เจ้าของรถก็ไม่มีคำตอบให้
จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบฟุตบาธ โฟล์คก็จัดการปลดเข็มขัดนิรภัยที่รั้งตัวไว้ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับร่างเล็กที่มองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมหลุดปากถามอะไรออกมา
โฟล์คถอนหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติและเรียบเรียงสิ่งที่จะพูด ...ความจริงที่เขาอยากบอกให้คนตรงหน้ารู้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
"ที่ภูมิเข้าใจน่ะ...ถูกแล้วครับ"
คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าตนเข้าใจถูกเรื่องอะไร โฟล์คจึงขยายความ
"ภูมิเข้าใจถูกว่าพี่รักมิ้นท์มาก"
โฟล์คคิดว่าเขาเห็นนะ...เขาเห็นว่าแววตาของภูมิสั่น แม้จะเป็นเพียงวูบเดียวก็ตาม แต่นั่นทำให้เขามีกำลังใจที่จะพูดต่อไป
"แต่...พี่รักมิ้นท์แบบเพื่อน"
ครั้งนี้คนตัวเล็กของเขาเบิกตากว้าง นัยน์ตาสั่นไหวทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ท่าทางเหมือนจะร้องท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบลงและหลุบสายตาลงต่ำ พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กๆ "พี่พูดอย่างนั้นได้ไงวะ นั่นแฟนพี่นะ"
"พี่รู้ครับว่ามิ้นท์เป็นแฟนพี่ มันอาจจะดูไม่ดี...แต่ความจริงก็คือพี่รักมิ้นท์แบบเพื่อนสนิท และไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น" โฟล์คบอกอย่างหนักแน่น จนภูมิต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง เพื่อพบกับสายตาอ่อนโยนที่บัดนี้เปี่ยมไปด้วยกระแสเว้าวอน และน้ำเสียงขอร้องที่ยากจะปฏิเสธ "พี่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่พี่อยากขอร้อง...ภูมิช่วยฟังคำอธิบายจากผู้ชายที่ภูมิเกลียดคนนี้ได้มั้ยครับ"
"...ผมไม่ได้เกลียดพี่สักหน่อย"
โฟล์คยิ้มให้กับเสียงพึมพำตอบรับที่น่าฟังที่สุดสำหรับเขา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรก
"พี่กับมิ้นท์รู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าเพื่อนสมัยเด็กนั่นแหละ เราเลยสนิทกันมากจนเพื่อนหลายคนแซวบ่อยๆ แต่พี่รู้ตัวตลอดว่าไม่เคยคิดกับมิ้นท์เกินเพื่อน หรือถ้าพูดให้ถูก...พี่ไม่เคยมีความรู้สึกชอบหรือรักใครแบบนั้นเลย"
ท้ายประโยค โฟล์คสบตากับร่างเล็กอย่างตั้งใจสื่อความหมาย ทว่าภูมิกลับเบนสายตาหลบ ซึ่งโฟล์คก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วพูดต่อ
"แต่จู่ๆ มิ้นท์ก็รู้ตัวว่าป่วย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"
ภูมิชะงัก หันกลับมาสบตาร่างสูงทันควัน
"สิ่งที่มิ้นท์ขอมีสองอย่าง คือหนึ่ง...ขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียวแบบที่เคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ...ความจริงก็เพื่อไปรักษาตัวด้วย และสอง...ขอให้พี่ยอมเป็นแฟนกับเธอในช่วงเวลาที่เหลือ" โฟล์คยิ้มให้ตัวเองอย่างเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น "พี่เพิ่งรู้เมื่อตอนนั้นว่ามิ้นท์คิดกับพี่แบบไหน พี่ไม่เคยรักใคร และไม่คิดว่าจะรักใคร ดังนั้นพี่จึงเต็มใจทำตามที่เพื่อนสนิทที่สุดของพี่ขอ คือการทำให้มิ้นท์ความสุขที่สุดในช่วงที่ยังมีโอกาส"
ภูมิพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่ถูกปิดเป็นความลับมาตลอดอย่างเงียบๆ
"และช่วงที่มิ้นท์ไปอเมริกา...พี่ก็ได้เจอภูมิ" โฟล์คเล่าต่อพร้อมรอยยิ้ม "ตอนแรกพี่เอ็นดูภูมิเพราะเป็นน้องชายไอ้ภาคย์ พี่ชอบความหัวไว ชอบสีหน้าของภูมิตอนที่เล่นกีตาร์ให้พี่ฟัง แต่ถึงภูมิจะดูเป็นเด็กร่าเริง พี่กลับรู้สึกว่าภูมิเหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างในใจ"
โฟล์คนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกๆ ...ตอนที่เขายังไม่รู้ว่าภูมิมีปัญหาอะไรกันแน่
ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงทำหน้าเศร้าได้ขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ยิ้มให้เขาได้อย่างจริงใจ ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่โฟล์คสนใจคนอื่นมากขนาดนี้
"และพอกำแพงนั้นพังลง...วันที่ภูมิร้องไห้ใส่พี่ พี่สงสารและเห็นใจเด็กคนนั้นมาก จนพี่เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกที่มันมากกว่าความเอ็นดูน้องชายของเพื่อน พี่อยากดูแล อยากปกป้อง อยากเป็นคนที่อยู่ข้างภูมิตลอดเวลา ...พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใคร"
ภูมิแทบลืมหายใจ แววตาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะที่โฟล์คสบสายตากลับอย่างจริงจัง...ทว่าก็สะท้อนความรู้สึกผิด
"แต่ตอนนั้นพี่ยังมีมิ้นท์ ภูมิเชื่อมั้ย...นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พี่ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ...พี่ทำร้ายมิ้นท์ไม่ได้ แต่พี่ก็ออกห่างจากภูมิไม่ได้ สุดท้ายพี่ก็เลือกทางที่ขี้ขลาดที่สุดคือพยายามดันปัญหาให้ออกห่างจากตัว หลอกตัวเองว่าจะค่อยๆ หาทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด"
โฟล์คพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ก่อนจะกล้ำกลืนพูดสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดออกมา
"แต่สุดท้าย...พี่ก็ทำให้ภูมิเสียใจ"
ภูมิหันหน้าหนี ไม่สามารถทนสบตาร่างสูงที่แสดงสีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบไว้แบบนี้ได้
เพราะแค่เห็น...เขาก็เจ็บไม่แพ้กัน
"พี่ไม่กล้าพอที่จะรั้งภูมิไว้ เพราะที่ผ่านมาพี่เห็นแก่ตัวมาก และหลังจากมิ้นท์กลับมาเมืองไทย พี่ก็ทุ่มเททุกอย่างให้มิ้นท์เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่จะทำให้เพื่อนที่พี่รักที่สุดได้"
ภูมิยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งโฟล์คก็ไม่ว่าอะไรกับท่าทางนั้น เพราะรู้ว่าภูมิยังตั้งใจฟังที่เขาพูดทุกคำ
"แต่ไม่ว่ายังไง...พี่ก็ไม่เคยลืมภูมิ"
โฟล์คพูดอย่างหนักแน่น...จริงใจ จนคนฟังเหมือนจะนิ่งค้างไป และอะไรบางอย่างก็เป็นตัวผลักดันให้เขาเอ่ยประโยคสุดท้าย...ความรู้สึกที่มีให้เด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และเพิ่งแน่ใจวันนี้ว่า...มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง
"พี่รักภูมิครับ"ครั้งนี้ ไหล่ของคนตัวเล็กสั่นไหวเบาๆ ทว่าโฟล์คไม่ได้เร่งเร้าอะไรอีกต่อไป เขาพูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของรถทำจึงมีเพียงแค่นั่งรอคำตอบท่ามกลางความเงียบ...และเสียงสะอื้นที่ค่อยๆ ดังขึ้นจากคนข้างตัว
สุดท้ายภูมิก็ยอมหันกลับมาหา แต่ยังคงเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ "...พี่โฟล์คแม่งขี้โกง"
"หืม..."
เป็นคำตอบที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ยังไม่ทันจะได้ตีความต่อ เจ้าของคำกล่าวหาก็สวนขึ้นมาอีกระลอก
"ก็ดูพี่สิ...พี่พูดแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ แล้วยังทำหน้าแบบนี้ แล้วผม...ฮึก ผมจะทำยังไงต่อล่ะ..." เสียงพูดสลับกับเสียงร้องไห้จนจับใจความแทบไม่ถูก "พี่โฟล์คแม่ง...ไม่ให้ผมตั้งตัวเลย"
น่าแปลก...โฟล์คห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างขึ้นทีละนิดไม่ได้
ทั้งหมดทั้งมวลนั่น เขาตีความว่าภูมิไม่ได้เกลียดเขา
โฟล์คขยับเข้าใกล้คนที่ปิดหน้าปิดตาร้องไห้เหมือนเด็กๆ แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้พร้อมเอ่ยอย่างหวังปลอบประโลม "พี่ขอโทษนะครับ..."
"ยังจะมานะครับอีก ฮึก..."
โฟล์คหลุดหัวเราะกับท่าทางดื้อดึงที่เขามองว่าน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด มีที่ไหนกัน...ปากก็บ่น แต่สองมือกลับเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ จนหน้าแดงจมูกแดงไปหมด
โฟล์คเกลี่ยนิ้วโป้งบนแก้มขาวใสเบาๆ ปาดหยดน้ำตาที่ยังคงทะลักออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนนึกเป็นห่วงว่าคนตัวเล็กของเขาจะตาบวมแดงหลังจากนี้
หรือความเป็นห่วงนั้นอาจเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้เขาเคลื่อนหน้าเข้าใกล้คนที่ยังเช็ดน้ำตาโดยไม่รู้สึกตัว แล้วกดจูบที่หยดน้ำใสบนแก้มเนียนนุ่มของคนตรงหน้าแผ่วเบา
สัมผัสที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้คนได้รับสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ผละหนี ซ้ำยังสะอื้นแรงขึ้นจนโฟล์คได้แต่ซับน้ำตาด้วยวิธีเดิมให้หลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเลื่อนริมฝีปากไปขบเม้มตรงปลายจมูกรั้นที่แดงขึ้นจากการร้องไห้
เขาพยายามห้ามใจให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะสองมือที่ใช้ปาดน้ำตากลับเลื่อนขึ้นมาจับคอเสื้อของเขาแล้วกำแน่นอย่างสั่นไหว ทั้งยังพึมพำซ้ำไปซ้ำมา "คิดถึง...ผมคิดถึงพี่นะพี่โฟล์ค...ผมแม่งโคตรคิดถึงพี่เลย...ฮึก"
"ภูมิครับ..."
โฟล์คคำรามในลำคอ คาดไม่ถึงว่าร่างเล็กตรงหน้าจะพูดประโยคที่ทำให้เขาใจสั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าจะหยุด...ก็คงห้ามไม่ได้อีกต่อไป
โฟล์คลากริมฝีปากลงมาคลอเคลียอยู่เหนือเรียวปากสีสดที่ยิ่งแดงชัดจากการร้องไห้ แล้วประทับลงไปอย่างแนบแน่นราวกับถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บมาตลอดหลายปี
ภูมิไม่ได้ขัดขืน หรือถ้าพูดให้ถูกคือไม่มีความคิดที่จะไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ เขาทำได้แค่เพียงกระชับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยว ปล่อยให้คนตัวสูงกว่าเชยคางเขาขึ้นแล้วเบี่ยงองศาเพื่อกดจูบลงมาอีกครั้ง ทั้งเคล้นคลึงอย่างอ่อนโยนจนภูมิรู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจ
ถึงจะผ่านมาแล้วตั้งสองปี แต่เขาจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนพี่โฟล์คยังจูบไม่เก่งเท่านี้เลย
"อือ...พี่โฟล์ค..."
ภูมิกระตุกคอเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นสัญญาณว่าลมหายใจเขาใกล้จะหมด โฟล์คอดไม่ได้ที่จะขยับไปกดจูบที่มุมปากอีกครั้งก่อนผละออกมา
ทั้งสองคนหอบหายใจ หัวใจยังเต้นรัวแรงกับสัมผัสที่ห่างหายไปนาน ภูมิเริ่มหน้าขึ้นสีมากขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าเผลอโอนอ่อนผ่อนตามสัมผัสจากร่างสูงมากแค่ไหน
โฟล์คมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย แล้วจึงเอ่ยคำถามที่จะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนนับแต่นี้ไป
"...เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยครับภูมิ"
-------------------------- TBC ------------------------
คำรักคำแรกของพี่โฟล์คที่ไม่มีพันธะอะไรแล้ว กับกำแพงของน้องภูมิที่ถล่มลงมาทีเดียว
เรียกว่าใกล้ลงเอยกันแล้วก็ได้ค่ะ
วันพฤหัสนี้ลงตอนสุดท้ายนะคะ แล้วก็จะมีบทส่งท้ายสั้นๆ มาในวันเสาร์ด้วย
ประเด็นครอบครัวของน้องภูมิขอยกไปเป็นตอนพิเศษนะคะ เพราะเรื่องของไทม์ไลน์ที่กว่าครอบครัวของภูมิจะรู้เรื่องก็อีกสักพัก และที่เราวางไว้คือครอบครัวจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ค่ะ การต้องแยกกันสองปีแต่ยังรักกันอยู่ขนาดนี้ เราว่าเป็นบทพิสูจน์สำคัญของคู่นี้แล้วค่ะ จะเจออะไรอีกก็ไม่น่ากลัวแล้ว ผ่านไปได้ด้วยกันแน่นอน^^
อีกอย่างคือ น้องซันจะมีส่วนช่วยเยอะมากในการเปลี่ยนทัศนคติพี่ภาคย์ค่ะ ซึ่งหลักๆ จะอยู่ในเรื่องแยกของคู่ซันภาคย์เลย ดังนั้นเลยขอยกประเด็นครอบครัวไปไว้ในตอนพิเศษแทนค่า แต่ยังรับปากไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่ แต่จะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงห่างจากนี้มากนะคะ
เวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียวก็จะจบแล้ว ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมานะคะ รัก<3
CT.hamonigar
อ้อ ลืมบอกเลย ตอนนี้เปิดตัวน้องไอซ์ นายเอกจากเรื่อง
【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 แล้วนะคะ จะลงบทนำวันเสาร์นี้ วันเดียวกับบทส่งท้ายของพี่โฟล์คกับน้องภูมิค่ะ ฝากตัวอีกครั้งนะคะ