Chapter Seventeen.
“ฝุ่นไม่สบายหรือเปล่าลูก หน้าตาดูไม่สดใสเลย” ประโยคคำถามถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อประภาเห็นว่าสีหน้าของฝุ่นดูร่วงโรย แม้แววตาท่าทางจะแสดงออกถึงความสดใสแต่ร่างกายภายนอกกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ใต้ตาดำคล้ำ ใบหน้าซีดขาว อีกทั้งยังใช้รองพื้นกลบเอาไว้ทั้งที่ปกติไม่มีความจำเป็น
คนแก่วิเคราะห์กับตัวเองเงียบๆ
“นอนไม่หลับน่ะครับ” ฝุ่นตอบเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม ขณะมือยังคงวาดรูปไปเรื่อยๆ
“แต่แม่ว่าเหมือนจะไม่ใช่แค่นอนไม่หลับนะ ฝุ่นทานข้าวน้อยด้วย” สามวันที่ผ่านมาคนรุ่นลูกกินข้าวในแต่ละมื้อไม่เกินสิบคำ ต่อให้คะยั้นคะยอเพียงใดก็เอาแต่ส่ายหน้าบอกว่าไม่ไหว
“มัน...ไม่ค่อยหิว”
“ไปหาหมอดีไหม”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็ดีขึ้น วาดรูปกันต่อดีกว่า”
คนแก่ลอบถอนหายใจหากแต่ก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อให้ฝุ่นต้องอึดอัดใจ
“แม่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าถ้าฝุ่นอยู่คนเดียวสามวันนี้จะไหวไหม” ประภาคุยกับคนเป็นลูกอย่างเป็นกังวลเนื่องจากตัวเองต้องกลับไปดูบ้านราวๆ สามวัน
(ผมไม่รู้เลยว่าฝุ่นเครียดอะไรเพราะเรื่องข่าวมันก็ทรงตัว ท่าทางภายนอกเขาก็แสดงออกปกติ แต่ร่างกายที่อ่อนแอมันปิดเราไม่มิด)
ความไม่สบายทางกายใช่ว่าปินจะไม่เห็น เวลาวิดีโอคุยกันเขาสังเกตได้ว่าฝุ่นซูบผอมลง อีกทั้งใบหน้ายังดูซีดเซียว ทว่าพอถามอีกคนก็บอกแค่เพียงว่าไม่เป็นไรแล้วก็ยิ้มหวานให้เสียทุกครั้ง
“นั่นสิ แม่อยากให้ไปหาหมอเจ้าตัวก็ปฏิเสธ”
(อาทิตย์หน้าผมมีวันว่างหนึ่งวัน ไว้จะลองคุยดูครับ)
“ยังไงช่วงที่แม่ไม่อยู่ถ้าระหว่างวันปินมีเวลาบ้างก็หมั่นโทรหาฝุ่นบ่อยๆ นะ”
(ครับแม่)
แล้วปารินทร์ก็ขอตัวไปทำงานต่อจากนั้นจึงวางสายไป ทิ้งให้ประภาครุ่นคิดถึงท่าทีของฝุ่นอยู่อย่างนั้น
พรุ่งนี้เธอต้องกลับบ้าน ฝุ่นจะอยู่ได้หรือเปล่า...
--
“ฝุ่นอยู่ได้นะลูก”
“ได้สิครับ สามวันเอง” เป็นอีกครั้งที่ฝุ่นตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่ได้นะ”
“ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ” ฝุ่นกล่าวขอบคุณแม่ปินด้วยความซาบซึ้ง ด้านประภาก็ยิ้มรับพลางกล่าวคำบอกลา
“จ้ะ งั้นแม่ไปนะ”
“สวัสดีครับ”
คนถูกไหว้พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้วเดินตรงไปทางลิฟต์
ขณะที่คนในห้องค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นราวกับพลังกายที่ทำเป็นว่ามีหมดลงในทันใด
ฮึก
เสียงสะอื้นไห้ถูกเปล่งออกมาโดยไม่มีปิดบังเมื่อทั้งห้องเหลือเพียงตัวเองคนเดียว
‘มันยากจังเลยครับกับการต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อทุกๆ คน’ร่างเล็กทิ้งตัวซบลงกับประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับที่ประโยคของปินไหลวนเข้ามาในหัว
จะไม่ทำให้ปินต้องเหนื่อยอีกแล้ว...
--
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าปิน” ภาวิดาถามขึ้นเมื่อหลังจากคุยงานแล้วขึ้นรถมาปินก็เอาแต่ง่วนอยู่กับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมติดต่อฝุ่นไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ปิดเครื่องตลอดเลย” ปินตอบกลับขณะที่มือก็ยังกดโทรออกไม่หยุด ในอกเกิดความร้อนรนขึ้นมาครามครันเพราะถึงเวลานี้มันเริ่มชัดเจนว่าเป็นความผิดปกติ
“อาจจะแบตหมดหรือเปล่า”
“แบตหมดก็ต้องชาร์จสิครับ...ก่อนแม่จะกลับแม่บอกฝุ่นท่าทางไม่ค่อยดี”
ได้ยินดังนั้นภาวิดาก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย ทว่าต้องพยายามเก็บอาการเพื่อไม่ให้ปินยิ่งเครียดไปกว่าเดิม
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเสร็จงานตอนเย็นแล้วเราไปหาฝุ่นที่ห้องกัน”
“ครับ” ปารินทร์ได้แต่รับคำเพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจไปหาอีกคนในตอนนี้ได้
ยิ่งเร่งรีบร้อนรนทุกอย่างยิ่งดูช้าในความรู้สึก กว่างานจะเสร็จ กว่ารถจะขับไปถึง กว่าจะเดินขึ้นห้อง...ปินรู้สึกว่ามันช้ากว่าที่ใจต้องการไปมาก หากแต่สุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าห้อง คีย์การ์ดถูกทาบตามด้วยการสแกนนิ้วมือ เมื่อความปลอดภัยถูกตรวจสอบจนเสร็จสิ้นลูกบิดประตูก็คลายการล็อกให้คนด้านนอกเปิดเข้าไปได้
ปินขมวดคิ้วเมื่อในห้องมีเพียงความมืดมิด พอเอื้อมมือไปเปิดไฟก็หันไปมองหน้าผู้จัดการที่มีสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน
“ฝุ่นอาจจะอยู่ในห้องนอนก็ได้” ภาวิดาเอ่ยปลอบทั้งที่ใจเริ่มรู้สึกแปลก กระทั่งปินก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูห้องนอนแล้วเดินตามหาอีกคนจนทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า
“ปิน...ปิน!”
คนถูกเรียกรีบวิ่งกลับออกมา ก่อนจะจับจ้องกระดาษในมือพี่หวานเป็นการถามว่ามันคืออะไร
“จดหมายของฝุ่น”
ดั่งความกลัวที่พยายามพร่ำบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรถูกทลายลงด้วยประโยคนั้น
ปินเอื้อมไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยมือที่สั่นระริก ในอกเหมือนถูกกระชากหัวใจออกไปให้เหลือเพียงความวูบโหวงว่างเปล่า ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันแน่น หลายวินาทีกว่าดวงตาเรียวรีจะเลื่อนไปกวาดอ่านข้อความบนนั้น
‘ถึง...ปิน
ถ้าปินเห็นจดหมายก็หมายความว่าคงไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ฝุ่นไม่ได้เป็นอะไร สบายดี และทุกอย่างคือสิ่งที่ฝุ่นตัดสินใจเอง
คิดดีแล้วว่าเวลานี้ กับ ตรงนี้ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับเรา
ต่อให้เรื่องมันจะซาลงแต่หลังจากนี้ก็ต้องระวังเรื่องของเราไม่จบสิ้น
สุดท้ายมันก็อาจจะมิสิ่งที่ทำให้ปินต้องเสียหายอีก
ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นแล้ว...
คงถึงเวลาที่ฝุ่นจะได้ใช้ชีวิตแบบคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ชีวิตแบบคนทั่วไป
ขณะที่ปินก็จะได้ใช้ชีวิตของ ปิน ปารินทร์ อย่างเต็มที่
ฝุ่นไม่ได้ทิ้งปิน แต่แค่รอจนกว่าจะถึงวันนั้น...วันที่เวลาและอะไรมันเหมาะสมกับเรา
จะติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอ
รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ารักมาก?
จะรอ
...ฝุ่น’เมื่ออ่านจบร่างสูงก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เหมือนสมองมืดแปดด้าน ราวกับมึนงงแต่ก็ราวกับจะเข้าใจสิ่งที่ฝุ่นทำ
“ปิน” ภาวิดาวางมือลงบนไหล่กว้างแผ่วเบา
“...ฝุ่นไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ปินเปล่งเสียงออกมาแทบจะมีเพียงลม
“แล้วปินจะเอายังไง ให้พี่ตามหาฝุ่นให้ไหม”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับใด ก่อนปินจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอย่างเชื่องช้า แล้วมือที่วางอยู่บนไหล่ก็ทำให้ภาวิดารู้ว่าคนตรงหน้ากำลังร่ำไห้
คนเป็นผู้จัดการได้แต่ลูบแผ่นหลังกว้างไปมาเพื่อปลอบประโลม
ไม่มีคำใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมานอกจากท่าทางแตกสลายแบบที่เธอไม่เคยได้เห็นจากคนที่ตัวเองดูแลมากว่าสี่ปี
“ปินจะเอายังไงเรื่องฝุ่น”
ภาวิดาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามหลังจากที่วางแก้วน้ำส้มลงตรงหน้าปินซึ่งยังมีท่าทีเหม่อลอย
สามชั่วโมงมันมากพอจะให้ปินมีสติมากขึ้นแต่ไม่มากพอจะให้ทำใจได้
“บางที...ผมอาจจะให้เวลาฝุ่นได้ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป” ประโยคแรกถูกเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าโดยที่ดวงตาเรียวรีนั้นมองไปทางอื่นดั่งคุยกับความคิดตัวเองไปด้วย
“มันก็จริง หลังจากนี้เราก็ต้องระวังเรื่องนี้ไม่จบสิ้น ผมกับฝุ่นอาจจะต้องรอเวลาที่เหมาะสม”
“หมายความว่าปินจะปล่อยฝุ่นไปอย่างนี้เหรอ”
“ความจริงผมมีวิธีที่จะจัดการเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อฝุ่นอยากทำแบบนี้ผมก็จะเคารพการตัดสินใจของเขา” ริมฝีปากได้รูปถูกขบกัดจนความเจ็บเปลี่ยนเป็นชาหนึบ
“ปิน...”
คนถูกเรียกดึงสายตากลับมามองคนตรงหน้า
“ผมรู้ว่าการตามหาตัวฝุ่นมันไม่ยาก...แต่ผมจะให้เวลาเขาและให้เวลาเราสองคน”
“...”
“และเมื่อเวลานั้นมาถึง ผมจะไปหาเขาเอง”--
“ฝุ่นตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม”
บลูถามคนเป็นเพื่อนด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ฝุ่นโทรมาบอกเบอร์ใหม่และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้ฟัง
(อื้อ)
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำใจให้สบาย ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวถ้าว่างเราจะไปหานะ”
(อืม...บ๊ายบาย)
“บาย” วางสายแล้วบลูก็ถอนหายใจออกมาจนคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเอ่ยถามขึ้น
“เป็นอะไร ทำไมถอนหายใจแบบนั้น” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงนอนก้าวขึ้นเตียง ก่อนเด็กน้อยซึ่งมีสีหน้ากังวลใจจะขยับมานั่งอยู่ข้างตัว
“เรื่องเพื่อนน่ะครับ”
“ทำไม?”
“มีปัญหาชีวิตนิดหน่อย แต่เดี๋ยวเวลาคงทำให้ดีขึ้น”
กัญจน์พยักหน้ารับจากนั้นจึงเอี้ยวตัวไปหยิบไอแพดมาเช็กข่าวสารต่างๆ ด้านบลูก็เอนตัวลงนอนแล้วจับจ้องคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งคนถูกมองหันมาถาม
“มองฉันทำไม”
“แค่อยากมองครับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นแล้วก็ขมวดเข้าหากันเพราะคำตอบ
“เพราะฉันหล่อใช่ไหม” กัญจน์ถามอย่างเย้าหยอกหากแต่สิ่งที่บลูตอบกลับทำให้รู้สึกเหมือนคิ้วกระตุก
“บลูจะดูว่ามีตีนกาเพิ่มขึ้นกี่เส้นต่างหาก” พูดไปพร้อมยิ้มแฉ่งทั้งยังหลุดหัวเราะอย่างขบขัน พาให้คนถูกว่าว่าแก่ต้องวางไอแพดลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วหันไปตรึงแขนเล็กไว้กับเตียง
“เหมือนเด็กแถวนี้จะไม่อยากนอน” คนที่คร่อมอยู่ด้านบนพูดด้วยสีหน้าที่บลูมองแล้วถึงกับขนลุกซู่
“คะ คุณกัญจน์ บลูแค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง”
“ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าถึงจะแก่ แต่ก็ยังแข็งแล้วก็แรง”
“อื้อ!”
แล้วคืนนั้นบลูก็ได้รู้อย่างถ่องแท้ว่าคุณกัญจน์ยังคงแข็งแรง พร้อมทั้งได้เรียนรู้ว่าไม่ควรจะแหย่คนอายุมากกว่าว่าแก่อีกต่อไป
--
“นายครับ คุณแก้มมารอแต่เช้าเลย”
กัญจน์พยักหน้ารับเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนสนิทรายงานขณะเดินตรงไปยังห้องทำงานด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างจากเดิมทั้งที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“คุณคิดจะทำอะไร!”
เสียงหวานแหลมดังขึ้นทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้องจนฐากูรที่เป็นคนเปิดประตูให้นายจากด้านนอกต้องรีบปิดลง
“หมายถึงเรื่องอะไร”
ร่างสูงใหญ่เดินผ่านหน้ามทิราไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ต่างจากคนซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตภรรยาที่มีสีหน้าราวกับระเบิดลง
“คุณยื่นเรื่องลาออกจากตำแหน่งงั้นเหรอ”
ร่างบอบบางในชุดเดรสราคาแพงยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงหน้า อีกทั้งมือเล็กยังกำเข้าหากันแน่น บ่งบอกอารมณ์เจ้าตัวว่ากำลังไม่พอใจเพียงใด
“ข่าวไวดีหนิ”
“ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องฉัน คุณคิดที่จะทำอะไรกันแน่”
“คุณเคยพูดว่าระหว่างผมกับคุณใครจะเสียมากกว่า...ตอนนี้ผมไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว” ริมฝีปากได้รูปบิดยิ้มให้คนมองยิ่งรู้สึกเดือดดาน
“หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงนั้นดังรอดไรฟัน
“ปกติคุณไม่ใช่คนโง่นี่”
“คุณกัญจน์!”
“ผมไม่จำเป็นต้องใช้หน้าตาทางสังคมอีกต่อไป เพราะฉะนั้นคงรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้ถ้าผมจะฟ้องหย่าคุณมันก็ง่ายมาก” นิ้วแกร่งเคาะลงบนโต๊ะทำงานช้าๆ ขณะเอียงคอถาม
ด้านมทิราก็ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับท่าทางของตัวเองยามนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกสิ่งที่กัญจน์ต้องรักษา
“คุณไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก ถึงคุณจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วแต่คุณก็ต้องรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลอยู่ดี”
“การหย่ากับคุณมันทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลผมพังตรงไหน? มันก็แค่ชีวิตส่วนตัวที่ไปด้วยกันไม่รอด”
“...” คนที่คิดว่ายังมีอีกทางออกชะงักกึก คำพูดที่บอกชัดว่าไม่สนใจทำให้มทิรารู้สึกเหมือนกำลังจะจนตรอก
เธอไม่เคยคาดคิดว่ากัญจน์จะกล้าลาออกจากตำแหน่ง
“หรือต่อให้จะพังผมก็ไม่สน”
“นี่คุณ...”
“ผมเตรียมเอกสารและทนายเอาไว้แล้ว ถ้าคุณยังไม่ยอมหย่าก็ไปเจอกันที่ศาล อ้อ...แล้วบางทีหลักฐานการฟ้องหย่าก็อาจจะทำให้ชื่อเสียงของเซเลปคนดังอย่างคุณพังไม่เป็นท่า ถึงตอนนั้นพ่อคุณจะว่ายังไงบ้างนะ”
คนมีชนักติดหลังหน้าซีดเผือด ดวงตาคมสื่อความหมายชัดว่ามีหลักฐานอยู่มากเพียงใด
“นี่คุณขู่ฉันเหรอ” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว แตกต่างจากตอนแรกลิบลับ
“คนอย่าง กัญจน์ ศิวะเกียรติ ไม่เคยขู่ใคร”
ดวงตาคู่สวยที่กรีดอายไลน์เนอร์มาคมกริบไหวสั่นระริก ความพ่ายแพ้ที่กำลังจะพานพบส่งผลให้ร่างกายเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ในอกวูบโหวงเพราะสิ่งที่จะหลุดลอยไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
มทิราไม่ได้เสียดายกัญจน์ แต่เสียดายความสุขสบายที่มี
“...ห้าร้อยล้านพร้อมบ้านของคุณ ไม่เกี่ยวกับสินสมรส” มทิราเอ่ยต่อรอง
“ผมให้คุณหกร้อยล้านแต่ไม่ให้บ้านหลังนั้น”
“แต่ฉัน...”
“ผมมีเงื่อนไขให้คุณเท่านี้”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น
ถึงแม้อยากจะต่อรองมากแค่ไหนแต่มทิราก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้มากกว่านี้
“ตกลง!”
กัญจน์ยกยิ้มแล้วหยัดกายขึ้นไปเปิดประตูเพื่อเอ่ยสั่งงานคนสนิท
“เชิญนายทะเบียนแล้วก็เรียกทนายมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ครับคุณกัญจน์” ฐากูรค้อมหัวลงก่อนจะเดินออกไปจัดการตามคำสั่ง
“ถ้าเซ็นใบหย่าตอนนี้แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าจะได้หกร้อยล้าน”
ร่างสูงหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับคนพูด แล้วใบหน้าคมก็ดันขึ้นด้วยท่าทีมีอำนาจ
“อย่ามาดึงเกมทั้งที่คุณก็รู้จักคนอย่างผมดี”
สองมือเล็กกำแน่นเข้าหากันขณะฟันขบเข้าหากันจนเกิดเสียง
เธอไม่มีอะไรมาต่อรองผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว...ไม่มีแล้วจริงๆ
--
“กลับกันดีๆ นะครับ ถึงบ้านแล้วรายงานตัวกันด้วย” ปารินทร์เอ่ยบอกเหล่าแฟนคลับมากมายตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง
“ค่าาาาา” กลุ่มคนตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรอกระทั่งนักร้องในดวงใจก้าวขึ้นรถจึงค่อยๆ พากันสลายตัว
ด้านคนบนรถก็ทิ้งตัวพิงกับเบาะอย่างอ่อนแรง รอยยิ้มเมื่อครู่เลือนหายจากใบหน้า เปลือกตาหนาปิดลงให้ภาพของใครบางคนฉายวาบเข้ามาในหัว
“ไหวไหมปิน” ภาวิดาถามคนข้างตัวขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนปินยังคงเป็นปินคนเดิม หากแต่คนซึ่งมีหน้าที่ดูแลอีกคนรู้ดีว่าใจปินกำลังบอบช้ำเพียงใด
“ครับ” คนถูกถามรับคำโดยที่ดวงตายังคงปิดอยู่เช่นเดิม
“พี่หมายถึงใจน่ะไหวไหม”
คำถามนั้นทำให้ปารินทร์ลืมตาขึ้นมอง สายตาของคนสองวัยมองสบกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ก่อนคนอายุน้อยกว่าจะเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ
“ต่อให้ไม่ไหวก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”ภาวิดากลืนน้ำลายก้อนเหนียวหนืดลงคอเพราะไม่มีคำใดจะตอบกลับ ขณะที่ปินก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อจึงเลือกจะปิดเปลือกตาลงตามเดิม
จะมีประโยชน์อะไร คิดถึงแทบตายก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะไขว่คว้าฝุ่นกลับมา
--
1 เดือนผ่านไป“แม่ พี่ปินมาแล้ว”
เสียงตะโกนเรียกคนที่ง่วนอยู่กับสวนดอกไม้เล็กๆ ข้างบ้านดังเข้ามาในหูของคนที่ก้าวขาลงจากรถ ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปโดยรอบ แล้วความทรงจำเมื่อครั้งก่อนก็ไหลย้อนเข้ามาในหัว
ครั้งที่กลับมากับใครอีกคน
“ปิน”
คนถูกเรียกหันหน้าไปหาผู้ให้กำเนิด เพราะมัวแต่คิดอะไรกับตัวเองปารินทร์จึงไม่รู้ว่าแม่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่
พรึบ
“เป็นยังไงบ้างหืม”
อ้อมกอดและคำถามนั้นทำให้คนที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นจากเดือนที่แล้วรู้ว่ามันไม่ใช่
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่แก้มเปียกชื้นด้วยหยดน้ำตา หากไม่มีอ้อมแขนของคนเป็นแม่ร่างคงทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไม่เป็นไรปินไม่เป็นไร เจ็บก็แค่ร้องไห้ออกมา” ถ้อยคำปลอบประโลมมาพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนบนแผ่นหลังกว้าง ความอ่อนแอครั้งนี้มากเกินกว่าครั้งไหนในชีวิตปิน แม้กระทั่งคนเป็นน้องยังต้องเดินมากอดพี่ชายจากทางด้านหลัง
“ผม...คิดถึงฝุ่น” มีเพียงประโยคเดียวที่ดังออกมาจากริมปากได้รูปอย่างสั่นไหว และนั่นก็ทำให้ประภากอดลูกแน่นยิ่งกว่าเดิม
ลูกชายเธอยังขนาดนี้ แล้วคนที่ไม่มีใครเคียงข้างจะขนาดไหนกัน
--
อึก
ร่างบางทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นห้องน้ำอย่างหมดแรงเมื่ออาหารที่กินเข้าไปเพียงน้อยนิดถูกขย้อนออกมาจนหมดสิ้น พาให้เรี่ยวแรงซึ่งไม่ค่อยมีตั้งแต่แรกปลิวหาย สภาพของฝุ่นในตอนนี้จึงเหมือนดั่งผักเปื่อยเน่า นอนกองอยู่อย่างนั้นจวบจนความอ่อนแรงพรากสติไป
ภาพความดำมืดที่ไร้ซึ่งความคิดและความรู้สึกทำให้คนที่ตกอยู่ในห้วงนั้นอยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป ทว่าสุดท้ายแสงสีขาวก็ค่อยๆ แทรกเข้ามาแทนที่ ดึงให้ต้องกลับมาพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริง
“ฝุ่น...ฝุ่น ได้ยินบลูไหม”
เสียงเรียกนั้นดังเข้ามาในโสตประสาท เปลือกตาสีอ่อนขยับปรือเปิดด้วยความยาก ก่อนความพร่าเลือนตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นแจ่มชัดขึ้น
“บะ บลู”
“เป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า”
ฝุ่นไม่ได้ตอบคำถามเนื่องจากกำลังกวาดสายตามองไปโดยรอบ แล้วก็ยิ่งมึนงงหนักเมื่อที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนในตึกอย่างเคย
“ที่นี่ที่ไหน”
“โรงพยาบาล...รู้ไหมว่าเราตกใจมากที่เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปเจอฝุ่นสลบอยู่ ถ้าวันนี้เราไม่บังเอิญมาหาพอดีจะเป็นยังไง”
น้ำเสียงของเพื่อนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนที่อยู่ในอาการสับสนมึนงงยังคงประมวลผลทุกอย่างอย่างเชื่องช้า
โรงพยาบาล...
“มา...ที่นี่ได้ยังไง”
“คนขับรถของเราพามา”
ใบหน้าเล็กกดลงรับ ใจอยากจะลุกขึ้นนั่งหากแต่เรี่ยวแรงมีพอแค่ให้กระดิกนิ้วได้
“ฝุ่นพักเถอะ ดีขึ้นแล้วค่อยตื่นนะ”
ฝุ่นอยากจะลุกมาคุยกับเพื่อน ถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ให้รู้เรื่องกว่านี้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนความอ่อนแอทางกายได้
“คนไข้มีภาวะความเครียดสูง ร่างกายอ่อนแรง...แล้วก็ยังเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า” แพทย์หญิงดูผลจากการประเมินแล้วเอ่ยรายงาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า
“โรคซึมเศร้า?!” บลูถามย้ำด้วยเสียงที่ดังไม่น้อย
“ตอนนี้ยังเป็นภาวะเสี่ยงเท่านั้นค่ะ จากแบบสำรวจแล้วมันยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่จะเป็นโรคซึมเศร้าเลย ฉะนั้นเราจึงต้องสร้างกำลังใจให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น โดยขั้นแรกหมอจะแนะนำให้คนรอบข้างช่วยกันค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนไข้ก่อน”
“แล้วมันต้องทำยังไงบ้างครับ”
จากนั้นคนเป็นหมอก็ค่อยๆ อธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้บลูพยักหน้ารับอย่างตั้งใจฟัง
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูดังเข้ามาในห้วงความคิดให้คนที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างดึงสายตากลับมา จากนั้นฝุ่นจึงเอ่ยถามบลูออกไปเสียงเบา
“หมอว่ายังไงบ้าง”
คนถูกถามทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพลางระบายยิ้มสดใสให้คนบนเตียง
“ร่างกายฝุ่นอ่อนแรง ต้องทานอะไรบ้างแล้วนะ”
“...” คนไม่รู้สึกถึงความหิวได้แต่นิ่งเงียบ
“ระหว่างนี้บลูจะอยู่กับฝุ่นไม่ไปไหนเลย “
“เราเกรง...”
“ไม่ต้องเกรงใจ พอดีคุณกัญจน์ไปต่างประเทศ บลูเหงาก็เลยหนีมาเที่ยวระยองสักหน่อย”
“คุณกัญจน์?” คิ้วคู่สวยเลิกขึ้นกับชื่อที่ออกมาจากปากเพื่อน
“คนที่เราดูแลน่ะ” บลูบอกโดยไม่มีปิดบัง เมื่อเผลอนึกถึงคนแก่แล้วแววตาก็แปรเปลี่ยนไปจนฝุ่นสังเกตได้ “ไว้ฝุ่นออกจากโรงบาลแล้วเราไปเที่ยวกัน”
คนที่เผลอแสดงความรู้สึกอ่อนหวานรีบดึงสติกลับมาแล้วเปลี่ยนไปคุยอีกเรื่อง
“อือ” ฝุ่นรับคำก่อนจะยิ้มบางๆ ยามคิดได้ว่าไปผ่อนคลายสักหน่อยคงดีเหมือนกัน
“แต่ว่าจะออกจากโรงบาลได้ต้องร่างกายแข็งแรงก่อน อยากกินอะไรเดี๋ยวเราลงไปซื้อให้”
“ไม่...”
“ห้ามพูดว่าไม่เป็นไร เนี้ย บลูหิวมากๆ เลย ถ้ามีเพื่อนกินข้าวด้วยคงดี” ประโยคของฝุ่นถูกเอ่ยขัดทันใดทั้งยังคล้ายกับเป็นการเว้าวอนให้เจ้าตัวต้องทานข้าวเป็นเพื่อนบลูไปในตัว
“...เอาข้าวผัดก็ได้” สุดท้ายคนบนเตียงก็บอกเมนูที่คิดออกเพียงอย่างเดียวแก่เพื่อนไป
“โอเค บลูชอบกินนมหรือขนมอะไรไหม” ร่างเพรียวหยัดกายลุกขึ้นขณะถามต่ออีกเล็กน้อย
“นม...จืด ขนม...ทาโร่อบกรอบ” สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวถูกพูดออกไปอย่างเชื่องช้า ทว่าความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่คนป่วยชอบ หากแต่เป็นสิ่งที่ใครอีกคนโปรดปราน
คนที่อยู่ในความคิดถึงของฝุ่นทุกลมหายใจ
“ได้เลย งั้นรอแป๊บ”
--
ก๊อก ก๊อก
“เช้าก็ไม่ทานข้าว เที่ยงก็ทานไปนิดเดียว...แม่เลยเอานมร้อนกับขนมปังปิ้งมาให้”
คนที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงหันกลับไปมองแม่ที่เดินเข้ามาพร้อมถาดขนมและนมน่าทานในมือ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำคนไม่อยากทานอะไรรู้สึกหิว ปินจึงทำเพียงยิ้มรับ
“แม่วางไว้เลยครับ”
“แม่ไม่แค่วาง แต่จะนั่งดูปินทานด้วย”
“ผม...”
“ปินกำลังบกพร่องในหน้าที่นะ...อย่าลืมสิว่านอกจากผลงานแล้วร่างกายก็เป็นของ ปิน ปารินทร์ ด้วยเหมือนกัน”
ประภาเลิกคิ้วขึ้นขณะมองหน้าคนเป็นลูก กระทั่งปินต้องค่อยๆ วางกีตาร์ในมือลงแล้วหยิบนมขึ้นมาดื่ม
เห็นดังนั้นคนเป็นแม่ถึงได้ยิ้มออกมา
“หวานบอกแม่ว่าปินได้หยุดตั้งสามวัน ไม่อยากไปเที่ยวต่างประเทศบ้างเหรอหืม ไปใกล้ๆ บ้านเรานี่ก็ได้ ค้างสักคืนสองคืนแล้วค่อยกลับ”
“อยากอยู่กับแม่มากกว่า” ปารินทร์เอ่ยเอาใจคนที่นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวให้คนฟังโคลงหัวไปมาเบาๆ
“ปากหวานจริงเชียว...แต่แม่ว่าปินไปพักผ่อนบ้างก็ดีนะ ทำงานเหมือนหุ่นยนต์แบบนี้เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”
“แค่นี้ผมไหวอยู่แล้ว” แก้วนมที่พร่องลงไปกว่าครึ่งถูกวางลงบนโต๊ะโดยที่รอยยิ้มบางบนใบหน้าหล่อเหลาซูบเซียวยังคงอยู่อย่างนั้น
“ขนาดไม่มีหัวใจยังอยู่ได้เลย”ปินยังคงยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ฝืนเต็มทนในสายคนเป็นแม่
“อดทนนะปิน ฝุ่นเองก็ต้องอดทนมากเพื่อปินเหมือนกัน” มือเหี่ยวย่นวางลงบนฝ่ามือใหญ่ยามที่ประภาเอ่ยปลอบคนเป็นลูกด้วยความเห็นใจ
“บางทีผมก็คิด หรือผมดูจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีพอฝุ่นเลยทำแบบนี้”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มสั่นไหวเล็กๆ จนประภาต้องบีบกระชับมือให้แน่นขึ้น
“มันไม่ใช่ว่าไม่ดีพอ ก็อย่างที่ฝุ่นว่า ให้เวลามันถึงจุดที่เหมาะสมกว่านี้คงดีกว่า”
“...”
“ก็ถือซะว่าปล่อยให้ฝุ่นได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝุ่นควรจะได้ใช้ ไว้ปินกับฝุ่นพร้อมเมื่อไหร่ค่อยว่ากันใหม่...อะไรที่คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันหรอกนะลูก”
ปารินทร์ลอบสูดลมหายใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อระงับความเจ็บปวดวูบโหวงในอก
ขอให้เป็นดั่งที่แม่ว่า
TBC.
มาพร้อมชามมาม่า อิอิ
จริงๆก็ไม่ถนัดและไม่อยากเขียนเลย
แต่มันควรจะมีด้วยเหตุและผล ด้วยความเป็นฝุ่น
เพราะงั้นขอกำลังใจให้พี่ฝุ่นกับหมาปินกันเยอะๆน้า
ให้กำลังใจเราด้วยยย
แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา
#secrecyลับรัก