✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)  (อ่าน 20704 ครั้ง)

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไหนๆ ก็อัลฟ่าทั้งคู่ ..สลับกันไม่ได้หรอคะ :hao7:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
อ่านเม้น ของคนเขียนเรื่องไม่ท้องเพราะเป็นอัลฟ่า เราถึงกับลั่นหัวเราะจนน้ำตาซึมเลย
เฮ้อ...รุกเยอะๆนะคุณแม่บ้าน เดี๋ยวคุณป่าสนเค้าก็บอกเอง เรารู้นะว่าคุณป่าสนก็รู้สึกดีๆกับคุณแม่บ้านแล้วเหมือนกัน

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter seven


                น้ำค้างยิ้มจืดๆ ให้แม่ตัวเองที่มองเขาสลับกับคุณฮิม หญิงวัยสี่สิบกว่าๆ มาพร้อมกับของเต็มสองมือ มือหนึ่งขนมจีน อีกมือหนึ่งถือพวกเนื้อสดมาตุนให้เขา ไม่รู้ว่าแม่ทำหน้างงเพราะเห็นเขาพาคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาห้องหรือว่าตกใจที่เห็นเขากำลังนัวกันอยู่ก็ไม่แน่ใจ หันมองคุณฮิมที่ยกมือไหว้สวัสดียิ้มหวานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็อยากลองแกล้งโคม่าดู เผื่อจะหนีปัญหาได้สักพักนึง

                “แม่ เอ่อ นี่คุณฮิม คณะบัญชี” น้ำค้างพูดแล้วก็ผายมือไปที่คุณฮิมที่ยิ้มค้างนานกว่าปกติ “แล้วไหนแม่บอกจะมาตอนเย็นไงครับ”

                “ก็แม่ส่งแชทมาบอกแล้วไงว่าจะเข้ามาก่อน ทำไมน้องน้ำไม่อ่านครับ”

                แม่พูดแล้วก็พยักเพยิดไปทางโทรศัพท์เขาที่วางอยู่ตรงโต๊ะแถวครัว ได้ยินเสียงคุณฮิมกลั้นขำมาจากหางตากับสรรพนามที่แม่เรียกเขาว่าน้องน้ำ น้ำค้างถึงกับยิ้มเจื่อน ไอ้เวร ไม่เท่เลย

                “แล้วเดี๋ยวนี่ น้องน้ำต้มแกงไว้ทำไมไม่ปิดแก๊สครับ เดี๋ยวก็ไหม้หมด”

                เหมือนแม่จะเห็นแกงเขียวหวานที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ตรงเตาแก๊สถึงได้รีบกุลีกุจอไปที่เตาแก๊ส เอาจริงๆ น้ำค้างก็ลืมเสียสนิทว่าตัวเองต้มแกงไว้ พอแม่หันไปสนใจเตาแก๊สกับตู้เย็นเขาก็เลยรีบหันมาหาคุณฮิมทันที

                “คุณฮิม ขอโทษทีอะ ไม่นึกว่าแม่จะมา”

                “ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ”

                คุณฮิมพูดยิ้มๆ แล้วก็ขำใหญ่ตอนน้ำค้างเอามือสองข้างก่ายหน้าผากเสยขึ้นไปยันหัวอีกครั้ง อยากกลั้นหายใจตายตรงนี้เลย ทำไมทำอะไรก็ดูไม่เท่ไม่หล่อเลยวะ ลูกชายแม่ไม่มีเมียสักทีเพราะเป็นได้แค่น้องน้ำนี่แหละ

                “ถ้าให้เดา แม่คุณน้ำค้างซีเรียสล่ะสิ” คุณฮิมยิ้มเหมือนจะรู้ทัน

                “ก็บ่นๆ แต่ผมไม่เคยมีคนคุยเป็นตัวเป็นตน ก็ไม่รู้แม่จะว่าไง” น้ำค้างตอบแล้วก็มองแผ่นหลังเล็กๆ ของแม่ที่เอาของใส่ตู้เย็นอยู่ “คุณฮิมโกรธรึเปล่า”

                “โกรธอะไรล่ะ ผู้ใหญ่ก็แบบนี้แหละ” คุณฮิมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วก็ทำหน้าเฉยๆ “ทำไมล่ะน้องน้ำ จะเลิกยุ่งกับผมเหรอครับ”

                “เห้ย! ไม่เลิก! คุณฮิม ผมไม่เลิกนะ” น้ำค้างรีบพูดเสียงดังด้วยนิสัยขี้ตกใจของตัวเอง จนแม่เขาหันกลับมามองว่าทำไมเขาเอะอะโวยวาย

                “พูดเหมือนผมขอเลิกเลย ยังไม่ทันคบกันเลยคุณ” คุณฮิมตีไหล่เขาให้ใจเย็นๆ

                “คุณฮิมคือ...” น้ำค้างรู้สึกเหมือนว่าต้องพูดอะไรสักอย่างให้คุณฮิมมั่นใจว่าเขาไม่ได้ถือเลยเรื่องที่เป็นอัลฟ่าด้วยกันเอง แต่แม่ดันเรียกมาจากในครัวเสียก่อน

                “น้องน้ำ! มาช่วยแม่ดูแกงหน่อยครับ!”

                “อ้าว น้องน้ำ ไปเร็ว แม่เรียกแล้วนะครับ” คุณฮิมได้ทีก็แซวต่อ ทำเอาน้ำค้างบีบขมับตัวเองพลางขานรับแล้วเดินไปหาแม่

                “แม่ ไม่เรียกน้องน้ำได้ไหมอะ” น้ำค้างว่าพลางคนแกงในขณะที่แม่เขาหย่อนมะเขือลงเพิ่ม

                “อายแฟนเหรอครับ” หญิงวัยทองพูดหน้าเรียบเฉย แต่น้ำค้างมือชะงักจากทัพพีที่จับอยู่ ทำตาโตหันมองแม่ที่ยังคงปอกมะเขือไม่รู้ไม่ชี้

                “แม่ เดี๋ยว คือ” น้ำค้างเริ่มติดอ่าง คนว่ากันว่าผีเห็นผี แต่แม่ไม่ใช่ผี ทำไมรู้เห็นกันไปหมด

                “ทำเหมือนแม่สายตายาวแล้วจะมองไม่เห็นอย่างงั้นแหละน้องน้ำ” แม่เขาพูดต่อด้วยเสียงไม่ยินดียินร้าย “มีอะไรไม่เล่าให้ฟังเลยครับ”

                “ก็แม่...ยังคุยๆ กันอยู่” น้ำค้างตอบเสียงอ่อย

                “หนูฮิมเขาเป็นเบต้าหรือโอเมก้าล่ะครับ” แม่ถามทั่วๆ ไป แต่น้ำค้างอยากเอาหน้าจุ่มหม้อแกงเขียวหวาน ปกติแม่เรียกใครว่าหนูนำหน้าแสดงว่าเอ็นดู เหมือนตอนเจอกิมเรื่อยๆ ก็เรียกหนูกิมอย่างงู้นอย่างงี้ มีช่วงแรกๆ ที่แม่เข้าใจว่าเขากับกิมดูใจกันอยู่ก็มี ไอ้กิมบอกว่าให้เขาเคลียร์กับแม่ด้วย เพราะมันจะอ้วก

                “เอ่อ แม่จะโกรธไหมอะ” น้ำค้างถามชิมลางดูอารมณ์แม่

                “โกรธอะไร”

                “ก็คุณฮิมเขา...”

                “หนูฮิมทำไม ไม่รักลูกแม่เหรอ หรือน้องน้ำไปทำเขาท้องก่อนคบ”

                “แม่! ไม่ใช่!”

                น้ำค้างเอะอะเสียงดังอีกรอบ เอาซะคุณฮิมโผล่หน้าจากโซฟามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ลุกเดินมาหาเขา

                “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” คุณฮิมถามแล้วก็โค้มตัวนิดๆ ให้แม่เขาก่อนจะใช้รอยยิ้มการค้าแบบที่สตาร์บัคมาแปะไว้บนหน้า

                “หนูฮิม แม่ถามอะไรหน่อย น้องน้ำทำอะไรหนูรึเปล่าเนี่ย” แม่เขาพอได้ตัวต้นเหตุก็หันมาจับหมับที่แขนป่าสนของเขาทันที แถมยังขมวดคิ้วถามเหมือนเขาทำคุณฮิมท้องจริงๆ ทั้งที่อีกฝ่ายท้องไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

                “น้องน้ำกัดเจ็บครับคุณแม่”

                คุณฮิม! เดี๋ยวก่อน! น้ำค้างหันขวับทำตาโตกำลังจะแก้ตัวแต่แม่เขาโดนคุณฮิมลากไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว อยากจะเดินตามไปแต่ก็ต้องเฝ้าแกงเขียวหวานตรงหน้า ถ้าเขาหายไปก็ไม่ต้องสงสัย เอาตัวเองลงหม้อไปแล้ว

                แต่สุดท้ายน้ำค้างก็แอบเงี่ยหูฟังอยู่ดี

                “อย่าไปยอมน้องน้ำมากนะครับ น้องน้ำเขาเบ๊อะบ๊ะ ฝากดูแลด้วย”

                ทำไมแม่ต้องพูดแบบนั้นอะ คือลูกชายแม่ก็ไม่ได้ขนาดนั้นไหม

                “แล้วหนูฮิมนี่ไม่แปลกใจเลยทำไมน้องน้ำชอบ กลิ่นเขียวเหมือนสนามหญ้าหน้าบ้านเลยครับ”

                แม่! คุณฮิมเขากลิ่นป่าสนต่างหาก! แล้วเขาก็ไม่ได้ชอบกลิ่นหญ้าโว้ย น้ำค้างได้แต่ตะโกนโอดครวญในใจ คือถ้าชอบกลิ่นหญ้าเขาน่าจะชอบวัวชอบควายแล้วล่ะ แม่พาน้องน้ำไปปล่อยชนบทได้เลยครับ

                “แล้วสรุปน้องน้ำไม่ได้ทำอะไรหนูฮิมใช่ไหมเนี่ย?”

                น้ำค้างหันไปมอง เห็นคุณฮิมส่ายหน้ายิ้มๆ

                “น้องน้ำโกหกผมตอนเจอกันครั้งแรกว่าเป็นโอเมก้าครับคุณแม่”

                น้ำค้างหูผึ่ง ไม่คิดว่าคุณฮิมจะเป็นคนเริ่มต้นเล่าเอง แอบหันไปมองอีกรอบก็เห็นว่าแม่เขาเริ่มทำหน้างงๆ น้ำค้างกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ คิดถึงเวลาแม่ปรี๊ดแตกใส่ทีไรก็อยากจะไปกอดเข่ามุมห้องทุกรอบ พ่อก็ไม่อยู่ห้ามด้วย จะโดนดุอีกไหมนี่

                “อ้าว หนูฮิมเป็นอัลฟ่าเหรอครับ”

                “ใช่ครับ”

                มื้อเย็นจะได้รับประทานแกงเขียวหวานอย่างสงบสุขหรือไม่นะ น้ำค้างลอบคิดในใจแล้วก็คนแกงต่อเงียบๆ

                “แล้วแบบนี้ทำไงล่ะเนี่ย หนูฮิมจะทิ้งน้องน้ำไหม”

                “แม่” น้ำค้างเรียกพอถึงประโยคนั้น คุณฮิมขำน้อยๆ แต่แม่เขาขมวดคิ้วกลัวคุณฮิมจะทิ้งจริงๆ คือยังไม่ทันได้คบกันเลย ทำไมแม่ถึงขี้กังวลแบบนี้

                “แม่ก็ต้องถามก่อนสิครับ ถ้าเกิดหนูฮิมหรือน้องน้ำเกิดไปติดใจโอเมก้าคนอื่นขึ้นมาทำไง” แม่เขาพูดแล้วน้ำค้างก็อยากจะแทรกแต่แม่พูดต่อ “น้องน้ำยิ่งไม่เคยมีแฟนเลย แม่ก็ต้องห่วงสิ อัลฟ่าทั้งคู่แม่ไม่เคยเห็นคู่ไหนคบกันรอดเลยนะ”

                น้ำค้างเงียบ แม่เขาไม่ได้กังวลที่จะมีลูกให้ไม่ได้ แต่แม่ก็แค่กังวลว่าจะอยู่กันไม่รอด ก็เท่านั้น สำหรับน้ำค้าง เขาเป็นคนค่อนข้างยึดติด เขาไม่เคยคิดถึงคนอื่นเวลามีใครที่ชอบจริงๆ แต่สำหรับคุณฮิม ลึกๆ แล้วน้ำค้างก็กลัว ว่าคุณฮิมจะมาหยอกเล่นกับเขาเฉยๆ 

                “แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังไม่ทันได้คบเลย” น้ำค้างพูดตัดบทให้แม่เลิกซักถามคุณฮิม “ไปชิมแกงให้ผมหน่อย ไหนบอกอยากกินแกงเขียวหวานไง”

                แม่เขาลุกไปที่หม้อ แล้วน้ำค้างก็หันมาหาป่าสนของเขาที่มองหน้าเขายิ้มๆ

                “คุณฮิม เอ่อ อึดอัดรึเปล่า”

                “ไม่หรอกคุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมยิ้มหวานให้ แต่น้ำค้างรู้สึกว่าในแววตาที่อ่านไม่ออกนั้นมีอะไรวูบไหว

                มื้อเย็นวันนั้น ป่าสนของเขาวังเวงกว่าที่เคย และหมอกลงหนาจัดเสียจนมองไม่เห็นทิวทัศน์ที่ชัดเจน






                ฮิมไม่ได้แตะแอลกอฮอล์มานานมากพอๆ กับบุหรี่ คิดถึงบ้างในรสและควันที่เผาไหม้ แต่พอนึกถึงตอนที่กว่าจะเลิกได้อย่างลำบากยากเย็น ก็เลือกที่จะไม่แตะอีก

                ส่วนแอลกอฮอล์ ฮิมเลือกให้มันเป็นเพื่อนแก้เหงาในคืนนี้

                “คิดไงมาดื่มวะ”

                “เบื่อ อยากเหล้าเฉยๆ”

                “ตอแหล มึงกินเหล้าทีไรก็มีสาเหตุทุกที”

                ฮิมยกมุมปากให้ไอ้จิงอย่างเกียจคร้านจะต่อล้อต่อเถียง  มือยกแก้วขึ้นจิบแอลกอฮอล์สีใสล้อกับแสงในบาร์ เพลงแจ๊สเปิดคลอพอให้เป็นเสียงรบกวน

                “แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องทำพาร์ทไทม์เหรอวะ”

                “อือ มีพี่ขอแลกกะ”

                “อย่าแดกเยอะ พรุ่งนี้ยังต้องเรียน”

                “เป็นผัวเหรอมาสั่ง” ฮิมตอบแบบกวนประสาทเพื่อน ในหัวนึกถึงคุณน้ำค้างขึ้นมากลายๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ รายนั้นคงตามใจเขาน่าดู แต่ก็คงดุถ้าเขาจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้

                “ให้กูเรียกผัวมึงมาจริงๆ ไหมล่ะสัดฮิม”

                ฮิมรู้ว่าไอ้จิงหมายถึงคนไหน

                “รู้ดี”

                “มึงเลิกไปป้วนเปี้ยนกับเขาได้แล้ว” ไอ้จิงกระดกเข้าปากตัวเองบ้าง

                “ถ้าสั่งแล้วกูเลิก มึงคงเป็นพ่อกูได้แล้วล่ะ”

                “ทำไมมึงเหล้าเข้าปากแล้วปากดีจังวะ”

                “ไม่ชิน?”

                ไอ้จิงถอนหายใจเสียงดังแบบจงใจให้เขารำคาญ แต่ฮิมมีเรื่องให้คิดในหัวมากกว่าจะมานั่งสนใจเพื่อนสนิทตัวเอง มองแก้วแล้วก็เอานิ้วไล้ไปตามหยาดน้ำที่เกาะพราวอยู่อย่างใจลอย คิดถึงคุณน้ำค้างขึ้นมาอีกรอบแบบไม่ได้ตั้งใจ ด้วยหยดน้ำเม็ดละเมียด ชวนให้คิดถึงชื่ออัลฟ่าตัวโตแต่ทำตัวเป็นแม่บ้านขึ้นมา

                “แล้วคนใหม่เขาไม่หวงแย่เหรอวะ”

                “หวง” ฮิมตอบพลางเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ยังทิ้งรอยช้ำไว้อยู่ “กัดเจ็บ”

                “มึงจริงจังไหม”

                “จริงจังดีไหมล่ะ”

                เพื่อนสนิทเงียบลง ฮิมพูดตอบสิ่งที่อยู่ในหัวไป เขาไม่ได้อยากจะตัดสินใจอะไรตอนนี้ ด้านชาเกินกว่าจะไปต่อ แต่ก็เหงาเกินกว่าจะอยู่คนเดียว จริงจังแล้วจะมีอะไรดีขึ้นไหม หรือจริงจังแล้วจะเป็นการไม่แฟร์ต่อตัวเอง เพราะคนที่เจ็บปวดที่สุดในการเทหมดหน้าตักก็คือตัวเขาเอง ฮิมเรียนรู้จากการเก็บเศษเสี้ยวของตัวเองมาประกอบกันทีละน้อย เรียนรู้จากควันบุหรี่ทั้งหมดที่อัดอยู่ในปอดจนแทบจะเหมือนควันไฟที่เผาไหม้โขมง

                ดื่มไปสักพักเพื่อนก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์ ท่าทางจะเป็นธุระในคณะ เห็นบอกอาจารย์โทรมา ฮิมได้ทีเลยสั่งมากระดกทีเดียวแรงๆ นึกๆ ดูก็น่าจะมาคนเดียวเพราะจะได้ไม่มีคนห้ามเวลาอยากกินเยอะๆ แต่ที่ต้องลากเพื่อนมาก็เพราะจะให้มาเก็บศพเขากลับนั่นแหละ

                  สติค่อยๆ จางลงทีละนิด ฮิมดื่มเหมือนน้ำ และก็เพิกเฉยกับจำนวนที่อยู่ในกระแสเลือด ความร้อนที่จ่อคอและท้องไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องเลิก คนเรานิยามแอลกอฮอล์ว่าสามารถทำให้ลืมเรื่องได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่มันผิดทั้งหมด เพราะเขาเอาแต่จำ จำได้ดี จำได้ทุกประโยค ทุกคำพูด ทุกการกระทำ จำเหมือนมีคนมาเปิดแผ่นและบังคับให้ดูทั้งๆ ที่ไม่อยาก ไม่เคยมีอะไรดีเลยในความสัมพันธ์ ไม่เคยมีอะไรดีเลยในการพยายามจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องและยืนยาว

                “ไอ้เพื่อนเวร กูบอกว่าอย่ากินเยอะ นอนฟุบโต๊ะเลย ไอ้สัดเอ๊ย”

                จิงกลับมาหลังจากหายไปเกือบชั่วโมง แล้วก็ด่าเขาจริงๆ ด้วย ฮิมยิ้มขำน้อยๆ เมื่อเห็นเพื่อนหัวเสีย

                “ไม่ต้องมายิ้มไอ้เหี้ย กูไม่ลากมึงกลับแน่วันนี้ เมียกูนอนอยู่ห้อง”

                ไอ้จิงด่าเสร็จก็มาล้วงหาโทรศัพท์เขาในกระเป๋ากางเกง ทำเอาฮิมต้องจับข้อมือเพื่อนให้หยุด ไอ้จิงมันโทรจริงๆ แน่ และฮิมไม่อยากจะให้โทรหา...

                “กูไม่ได้จะโทรหาเขา จะโทรหาใครก็ได้ที่แบกมึงกลับได้” เพื่อนสนิทเสียงอ่อนลงเมื่อเขาจับมืออีกคนแน่น ก่อนจะเปิดหารายชื่อ “ใครดีวะ เอาคนที่ไว้ใจได้ แล้วนี่...ฮิมมึงจ้างแม่บ้านเหรอ”

                ฮิมขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกถึงคุณน้ำค้างขึ้นมาถึงพยักหน้าไป แม่บ้าน...อือ ก็แม่บ้านจริงๆ นั่นแหละ

                “แม่บ้านญี่ปุ่นด้วยว่ะ มึงจ้างเขามานี่คุยรู้เรื่องเหรอวะ” ไอ้จิงยังคงบ่นให้เขาฟังต่อ โดยที่เขาไม่ได้ตอบอะไรเพราะมึนเกินกว่าจะอ้าปากพูด “เออแล้วกูจะคุยรู้เรื่องไหมวะ ภาษาญี่ปุ่นเวลารับสายเขาต้องพูดอะไรอะ หรือแม่บ้านมึงพูดอังกฤษได้ ไอ้ฮิม มึงตอบกูหน่อยดิ๊”

                เสียงของไอ้จิงตอนนี้กลายเป็นแบคกราวด์ไปแล้วสำหรับฮิม

                “เออ โทรก็โทรวะ” จิงกดโทรออก ก่อนจะรอสาย






                น้ำค้างมองนาฬิกา ตอนนี้เวลาสี่ทุ่ม และคุณฮิมกำลังโทรมาหาเขา

                น้ำค้างวางมือจากเม้าส์ที่กำลังร่างโครงอยู่ในโปรแกรม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์รับสาย อะไรทำให้ป่าสนโทรมายามค่ำคืน สำหรับน้ำค้างมันไม่ดึกดื่น แต่ก็ดึกกว่าที่คุณฮิมจะโทรมา และไม่ใช่วิสัยเลยด้วยซ้ำ

                “ฮัลโหลครับ”

                [ไฮ่ อาร์ยูแม่บ้าน... ไอ้เวร แม่บ้านญี่ปุ่นภาษาอังกฤษคืออะไรวะ ไอ้ฮิม ไอ้สัดฮิม! มึงตื่นมาตอบกูหน่อย กูโง่]

                น้ำค้างถึงกับต้องวางโทรศัพท์ไว้กับโต๊ะแล้วกดเปิดลำโพง ก่อนจะมองหน้าจอเหมือนไม่เคยรู้จักคุณฮิมมาก่อน นี่คือใคร แล้วใช้เบอร์คุณฮิมโทรมาหาเขาได้ยังไง แล้วแม่บ้านญี่ปุ่นนี่มันอะไร อาการแพนิคในตัวน้ำค้างเริ่มจะก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย คุณฮิมเป็นอะไร หรือเขาจะโดนทิ้งแบบที่แม่บอกจริงๆ

                “เอ่อ ขอโทษนะครับ นี่ใคร”

                [แม่บ้าน...ทำไมพูดไทยได้วะ แล้วเสียงแมนมาก แม่บ้านมึงเทคฮอร์โมนเหรอวะฮิม]

                เสียงกุกกัก กับเสียงเพลงแจ๊สที่ดังออกมาจากปลายสายทำเอาน้ำค้างถึงกับต้องโน้มหน้าเอาหูลงไปติดกับลำโพง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วเอาตัวออกมาอีกรอบ ทำไมมีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ อะไรทำให้คนเข้าใจว่าเขาคือแม่บ้านญี่ปุ่นจริงๆ ได้

                “เอ่อ ผมเพื่อนคุณฮิมครับ ชื่อน้ำค้าง” น้ำค้างตอบ แอบเฝื่อนคอกับคำว่าเพื่อนเบาๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าคนคุยเต็มปากเต็มคำ ในใจหนึบๆ อยู่ที่ใครก็ไม่รู้โทรมาแถมเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแม่บ้าน หรือจะเป็นแฟนที่แท้จริงของคุณฮิมกันแน่ เขาจะโดนรุมซ้อมไหม

                [เอ้า ชื่อคุ้นจังวะ นี่คนใหม่มึงเหรอฮิม ละทำไมเมมชื่องี้วะ มึงจะจ้างเขาหรือมึงจะเป็นเมียเขา]

                “เดี๋ยวครับ เดี๋ยว! คือ...ยังไม่ได้คบ!”

                [เออ เดี๋ยวก็ได้เองแหละคุณ มารับซากเพื่อนผมที ทำความดีเยอะๆ ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้ามาเก็บซากเมียก็จะเป็นยอดผัว เฉียบๆ]

                เฉียบตรงไหนวะ คือไม่เก๊ต

                “เดี๋ยว คือคุณฮิมเป็นอะไรเหรอครับ”

                [เมาแอ๋เป็นหมา ผมเอามันกลับไม่ได้เพราะเมียนอนอยู่ห้อง คุณมาเอากลับที]

                น้ำค้างถึงกับกะพริบตาปริบๆ มองหน้าจองานแล้วก็มองโทรศัพท์ ถ้าเอาคุณฮิมมาห้องเขาจะได้งานไหม แต่ประเด็นคือตกใจที่คุณฮิมไปเมาอยู่คาบาร์ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนที่ต้องไปรับ แต่เป็นห่วงว่าอีกคนคิดอะไรอยู่มากกว่า เขาน่ะขี้กังวลและคิดมากเป็นที่หนึ่ง

                “เดี๋ยวผมไปครับ”

                รับคำกับสถานที่มาแล้วก็หยิบ...กระเป๋าเงินเพื่อจะลงไปเรียกแท็กซี่

                คิดเหรอว่าจะเท่มีรถขับ ทำเป็นหยิบกุญแจรถ ความจริงมีบัตรแรบบิทใช้ขึ้นบีทีเอสก็หรูแล้ว

                น้ำค้างนั่งแท็กซี่ไปถึงบาร์ที่ว่าแล้วก็รีบลงเดินเข้าไปหาตัวคุณฮิม กลิ่นหอมปนกันมั่วไปหมดจนกลายเป็นฉุนจมูก น้ำค้างไม่ชอบไปผับไปบาร์ก็แบบนี้ กลิ่นตีปนกันมั่วเสียจนแยกไม่ออก หาเสน่ห์จากการมาที่นี่ไม่ได้เลยในสายตาเขา

                สาวเท้าเดินไปตรงเคาทน์เตอร์แล้วก็เจอกับป่าสนของเขาและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ท่าทางจะเป็นคนเดียวกับที่คุยกับเขา

                “ฝากเพื่อนผมด้วย คลาดสายตาแป๊บเดียวแม่งแดกเหมือนนมแม่ กินเหล้าไม่ได้ทำให้มึงโตขึ้นหรอกไอ้สัด” เพื่อนคนเดียวกับที่โทรมาหาเขาเอานิ้วชี้จิ้มๆ หัวคุณฮิมแรงๆ สองสามที จนน้ำค้างต้องจับข้อมือให้พอ กลัวหัวจะเป็นรูซะก่อน

                “เขาจะอ้วกไหมครับ” น้ำค้างถามด้วยความเตรียมพร้อม ในใจคิดไว้แล้วว่าถ้าจะมารับคนเมาต้องได้เช็ดอ้วกแน่นอน

                “ไม่อ้วก แต่พูดมาก แล้วก็จะกอดหนึบ” เพื่อนคุณฮิมว่าก่อนจะทำท่ากอดตัวเองเหมือนสาธิต “คุณเคยเห็นโคอาล่าเกาะต้นไม้ปะ ท่านั้นอะ เกาะไว้จนกว่าจะหลับ ไม่ยอมนอนถ้าไม่ได้กอดตัวคน”

                น้ำค้างพยักหน้า แล้วก็ลอบถอนหายใจ กอดอย่างเดียวก็ดี เขาจะได้ไม่หัวใจวายคาห้อง

                แต่พอพากลับมาถึงห้องได้ เขาก็จัดการเอาคุณฮิมหย่อนลงเตียงก่อนอันดับแรก พอเห็นอีกคนไม่ตื่นขึ้นมาอีก น้ำค้างก็โล่งใจ โอเค จะได้ทำงานต่อสักที

                แต่...พอนั่งทำไปสักพักน้ำค้างก็รู้สึกคาใจขึ้นมาอีกเหมือนว่าต้องทำอะไรสักอย่าง มือเลื่อนเอาเม้าส์วนไปวนมาอยู่หน้าแบบโครงร่าง ปรับนู่นเปลี่ยนนี่ แต่ก็ไม่หายคาใจ จนหันไปมองคุณฮิมที่นอนอยู่บนเตียงนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่านิสัยแม่บ้านของตัวเองมันติดเป็นสันดานที่แกะไม่ออกจริงๆ ด้วย

                อัลฟ่าตัวโตลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ปลายเตียง มือค่อยๆ ยกเท้าคุณฮิมขึ้นมาถอดถุงเท้าให้ทีละข้าง เดินอ้อมไปข้างเตียง แล้วก็แกะเนคไท กับปลดกระดุมเม็ดบนออกให้ แล้วก็ม้วนทุกอย่างวางไว้โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินกลับมาหย่อนตูดทำงานต่อ

                ซึ่งพอนั่งไปได้อีกสิบนาที น้ำค้างก็รู้สึกตงิดใจว่ายังทำอะไรไม่ครบอีก หันไปมองคุณฮิมอีกรอบ จนขาเจ้ากรรมเดินไปที่ห้องน้ำ หยิบกะละมัง กับผ้าขนหนูผืนเล็ก ก่อนจะชุบน้ำแล้วก็เดินกลับมาที่เตียงแบบย่องๆ เพราะกลัวน้ำจะกระฉอกเต็มพื้นห้อง อย่าคิดว่าเขาโตป่านนี้จะไม่เคยลื่นล้มในพื้นห้องน้ำเปียกๆ น้ำค้างบอกเลยว่าไอ้กิมมันยืนขำอยู่หน้าประตูส้วมแทนที่จะมาช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น เพื่อนตายสุดๆ

                มือจับผ้าขนหนูลงมือเช็ดในส่วนที่พอจะเช็ดได้ ม้วนขากางเกงขึ้นมาถึงเข่า ปลดกระดุมเสื้อแล้วก็เลิกขึ้นเพื่อเช็ด เสยผมหน้าม้าก่อนจะค่อยๆ เช็ดเบาๆ เพราะกลัวอีกคนจะตื่น น้ำค้างคิดว่าตัวเองมือเบามาก จนกระทั่งกำลังจะพลิกตัวเช็ดด้านหลังนั่นแหละ คุณฮิมถึงได้ปรือตาชูแขนสองข้างขึ้นมา

                ไอ้ชิบหาย ตื่นเหรอ

                “คุณน้ำค้าง”

                “ครับ?”

                “กอดหน่อย”

                น้ำค้างกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ยอมวางผ้าขนหนูลง แล้วโน้มลงไปกอดคุณฮิมตามที่อีกคนอ้าแขนมาให้

                “อยู่อย่างงี้จนตื่นเลยนะ” คุณฮิมพูดในคอ ซึ่งน้ำค้างว่ามันไม่ถูกต้องน่ะซี่ มือเอื้อมกลับไปคลำหาผ้าขนหนูเปียกน้ำหมาดๆ ผืนเมื่อกี้ก่อนจะค่อยๆ ใช้แขนที่กอดคุณฮิมอยู่ฉุดให้ลุกขึ้นมาเป็นท่านั่งกอดกันแทน

                “ขอเช็ดหลังก่อนนะคุณฮิม” น้ำค้างบอกอยู่ตรงไหล่แล้วก็ล้วงไปใต้ชายเสื้อด้านหลังเพื่อจะเช็ดให้ แต่จะกอดแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ คุณฮิมยังไม่ได้...

                “คุณฮิม เดี๋ยวปล่อยก่อน ต้องแปรงฟัน” น้ำค้างพูดแล้วก็แปะๆ ที่หลังอีกคนเบาๆ

                “ไม่เอา คุณน้ำค้าง จู้จี้”

                เป็นครั้งแรกที่โดนคุณฮิมว่าเข้าให้ แต่น้ำค้างรู้สึกว่าคุณฮิมต้องได้แปรงฟันก่อน

                “เดี๋ยวผมแปรงให้ คุณฮิมแค่นอนเฉยๆ ไง แต่ขอไปหยิบแปรงสีฟันก่อน” น้ำค้างบอกแล้วก็เสยผมชื้นเหงื่อให้คุณฮิม

                “ใจดีมาก เหมือนผมเป็นง่อยเลย”

                “ครับ?” น้ำค้างฟังไม่ค่อยชัด แต่ก็แกะแขนของคนเมาออกมาได้ เขารีบพุ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อหาแปรงสีฟันสำรองที่ซื้อมาตุนให้ตัวเอง บีบยา หาแก้วน้ำให้อีกคนบ้วนปาก แล้วก็ย่องเหยาะๆ กลับมาท่าเดิมด้วยกลังคุณฮิมจะหงุดหงิดที่เขากลับไปช้า

                “อ้าปากหน่อยคุณฮิม” น้ำค้างบอกแล้วก็แหย่แปรงเข้าปากอีกคนที่หลับตาเผยอปากให้เขาแต่โดยดี น้ำค้างไม่เคยแปรงฟันให้ใคร และไม่ได้เรียนทันตแพทย์ เลยไม่รู้ว่าแปรงสะอาดไหม แต่อย่างน้อยคุณฮิมจะได้ไม่ต้องตื่นมาเหม็นๆ หรือฟันผุ การตื่นมาโดยไม่ได้แปรงฟันและไปดื่มเหล้ามามันออกจะไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยนะ

                พอจัดการความสะอาดเรียบร้อยแล้วน้ำค้างก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทีนี้คุณฮิมจะได้นอนหลับสบายๆ แล้ว

                “คุณน้ำค้าง ไปไหน”

                แต่น้ำค้างลืมคิดไปว่าคนเป็นหมอนข้างมนุษย์คนเดียวในห้องคือตัวเขาเอง

                “เอ่อ ทำงานต่อ...ครับ”

                คุณฮิมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับชูแขนสองข้างค้างอยู่เหนือตัวเองแบบนั้นทั้งๆ ที่น้ำค้างก็จัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้ว คนเป็นเด็กสถาปัตย์ถึงกับจับท้ายทอยอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่สุดท้ายด้วยความใจอ่อน ก็เลยยกแลปท็อปก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงข้างๆ แล้ววางแล็ปท็อปไว้บนตักตัวเอง

                คุณฮิมเหมือนรู้ว่าเขายอมตามใจแบกงานมาทำตรงเตียงแทนโต๊ะ ก็จัดการพลิกตัวนอนตะแคงหันข้างมากอดเอวเขาไว้ หัวเกยขึ้นมาบนตักนิดหน่อย ก่อนจะนอนหลับเหมือนที่เพื่อนคุณฮิมพูดไว้จริงๆ

                ส่วนน้ำค้างไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะไม่ได้นอน เสียงไอ้กิมลอยมาในหัวว่า เป็นเด็กสถาปัตย์ใครเขานอนกัน เพ้อเจ้อ

                แต่ตอนลุกไปแปรงฟันเนี่ยสิ จะลุกยังไง คุณฮิมกอดแน่นขนาดนี้

 







tbc.





คุณน้ำค้างผู้ชายอบอุ่นดั่งเครื่องซักผ้า

ช่วงนี้ตอนแต่งฟังแต่เพลงแปลกๆ วนไปวนมาค่ะ แบบไม่เข้ากับฟีลเรื่องเลย

แบบเพลง the light is coming out - ariana grande กับ apeshit - the carters

ขอบคุณสำหรับทุกฟีทแบคเช่นเคยนะคะ







feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you as always




ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คุณแม่บ้าน อบอุ่นเหมือนมีแม่บ้านอยู่กับตัวจริงๆ เลย 555 ตอนนี้เอ็นดูน้องน้ำ จนอยากมีคุณแม่บ้านเป็นของตัวเองแล้วค่าา

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
น้ำค้างก็สมกับที่ถูกเรียกว่าแม่บ้านจริงๆ
ตอนคุณแม่ของน้ำค้างคุยกับคุณฮิมเราแอบคิดว่าคนเขียนจะพามาม่าเรื่องอัลฟ่าคบกับอัลฟ่าไปกันไม่เคยรอดซะอีก แต่ก็เข้าใจนะ แต่ก็ไม่อยากให้มาม่าอ่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คุณแม่บ้านน้องน้ำ น่ารักจังเลย

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter eight



                 ขึ้นชื่อว่าเป็นอัลฟ่า ย่อมรู้ว่าเป็นประเภทหวงของจัด โดยเฉพาะของที่เคยเป็นของตัวเองแล้วตกไปอยู่ในมือของคนอื่นโดยมิได้ยินยอม

                เปลือกตายังคงปิดสนิท หัวหนักอึ้ง ประสาทสัมผัสคล้ายจะรับรู้แต่ก็ไม่ ฮิมฝังตัวอยู่กับกองผ้าห่มและความอบอุ่น ในหัวสมองยังคงโลดแล่นจมดิ่งอยู่ในภาพฝันยามก่อนรุ่งสาง ความฝันในฤดูร้อนที่มีกลิ่นกาแฟ เมล็ดกาแฟสีเข้ม กลิ่นติดไหม้และความขมขึ้นจมูก ชวนให้คิดถึงยามที่ได้รับกาแฟยามเช้า หวานอมขมกลืน แต่รักที่จะฝังจมูกตลอดไป

                หากแต่ฝันนี้ไม่ใช่ฝันดี ฮิมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับปลายกลิ่นสุดท้ายที่ติดจมูกอยู่ก่อนตื่น...ไม่ใช่กลิ่นกาแฟ แต่เป็นไอกรุ่นฤดูร้อนกับผลไม้ที่หลอกหลอนเขาแม้ในยามหลับตา

                อัลฟ่ากลิ่นป่าสนตื่นเต็มตาทั้งๆ ที่หัวหนักอึ้ง อาการตื้อจากแอลกอฮอล์เล่นงานจนคร้านที่จะลุกขึ้น มองแขนตัวเองที่กอดเอวคุณน้ำค้างอยู่แล้วก็เงยหน้ามองอีกคน หมอนข้างของเขายังคงนั่งทำงานกับแล็ปท็อป ดวงตาจดจ้องโฟกัสกับโปรแกรมตรงหน้าโดยไม่ได้รู้ว่าเขาตื่นแล้ว และไม่ได้ขยับไปไหนเลย จำได้ว่าตัวเองพูดว่าอยู่อย่างงี้จนกว่าจะตื่นเลย แต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่จริงๆ

                กลิ่นผ้าสะอาดลอยอ่อนๆ เข้ามาแทนที่มโนฝันในหัวที่คิดไปเอง ขนาดในฝันยังมีกลิ่น เชื่อเขาเลย ฮิมนึกอย่างตลกตัวเอง

                ตัดสินใจปิดเปลือกตาลงอีกรอบก่อนจะซุกจมูกเข้าหากลิ่นอ่อนๆ ที่แทบไม่รู้เลยว่าเป็นกลิ่นอะไรหากไม่ได้อยู่ใกล้ชิดจริงๆ หายใจเข้าพลางหลับตาเหมือนจะปลอบประโลมตัวเอง กลิ่นคุณน้ำค้างชวนให้นึกถึงผ้าสะอาดในตะกร้าที่พับไว้เรียบร้อย หรือจะเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ที่เพิ่งซักและตากจนแห้ง ชวนให้ทิ้งตัวลงไปซุกหาหรือห่มตัวเอง เป็นกลิ่นที่ปลอดภัย

                มันเพิ่งจะเป็นเวลาสี่นาฬิกา เช้าเกินกว่าจะตื่น แต่ล่วงเลยเวลานอนมานานแล้วสำหรับคุณน้ำค้าง ฮิมรู้สึกเห็นแก่ตัวหน่อยๆ ที่ขอให้อีกคนนั่งอยู่กับเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่ต้องทำงาน และตอนนี้ฮิมอยากให้คุณน้ำค้างลงนอนพักผ่อนบ้าง

                “งานส่งเมื่อไหร่”

                เอ่ยถามออกไปทะลุเสียงเครื่องปรับอากาศที่คลออยู่เป็นเสียงเดียวในห้องนี้ คุณน้ำค้างสะดุ้งอย่างที่คาดไว้ คงจะคิดว่าเขาละเมอ แต่ฮิมส่งยิ้มง่วงๆ ให้เป็นเชิงว่าตื่นแล้ว

                “คุณฮิมตื่นแล้วเหรอ จะใช้ห้องน้ำไหม?” หมอนข้างส่วนตัวถามและทำท่าเหมือนจะหยิบแล็ปท็อปออกลุกให้ แต่ฮิมส่ายหน้าพลางจับข้อมืออีกคนไว้

                “คุณน้ำค้างไม่ง่วงเหรอ”

                “ชินแล้วมั้งคุณฮิม” คุณน้ำค้างตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆ

                “งานส่งเมื่อไหร่” ฮิมถามย้ำอีกรอบ

                “เอ่อ คืนของวันนี้ ก่อนเที่ยงคืน? มั้งครับ น่าจะใช่แหละ” อัลฟ่าตัวโตพูดเหมือนงึมงำกับตัวเอง

                “งั้นนอนเป็นเพื่อนกันหน่อย เก้าโมงค่อยตื่น” เขาพูดแล้วกระตุกข้อมือของคุณผ้าสะอาดให้ลงมานอนด้วยกัน ในตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะดื้อกว่านี้ว่าจะทำงาน แต่คุณน้ำค้างกดเซฟและปิดแล็ปท็อปวางไว้ข้างเตียงทันทีอย่างว่าง่ายจนฮิมแปลกใจ

                “ทำใกล้เสร็จรึยัง” เขาถามเสียงเบา ยังคงกระชับกอดกับเอวอีกคนไม่ปล่อย คุณน้ำค้างน่ะให้ความรู้สึกเหมือนห่มผ้านวมผืนหนามากกว่ากอดหมอนข้างเสียอีก

                “ใกล้แล้วครับ แต่ไม่นอนเพราะอยากทำทีเดียว”

                “แล้วนี่เรียนกี่โมง”

                “บ่ายๆ คุณฮิมล่ะ”

                “เหมือนกัน ปลุกด้วย อยากกินข้าวฝีมือคุณแม่บ้าน”

                ประโยคสุดท้ายฮิมพูดอยู่ในคอ ไม่รู้ว่าคุณน้ำค้างจะได้ยินไหม เขาเอาหน้าซุกกับแอ่งชีพจรอีกฝ่าย เอาจมูกอังความอุ่นของผิวเนื้อสีแทนอีกคน ได้ยินเสียงคุณน้ำค้างกลั้นหายใจแล้วก็ตลกในใจอยู่คนเดียว ดูดปากเขาไปตั้งหลายทียังจะเกร็งอะไรก็ไม่รู้ และด้วยความที่ฮิมเป็นคนขี้แกล้ง ก็ทำเอาอยากจะแกล้งขึ้นไปอีก

                มือที่กอดอยู่ตรงเอวเลื่อนขึ้นไปจับใบหน้าคุณน้ำค้างให้โน้มลงมา กดจูบเบาๆ ประทับริมฝีปากอิ่มของผ้าห่มกองโตทีนึงแทนคำขอบคุณ คุณน้ำค้างกดจูบกลับคล้ายจะสานต่อ แต่ฮิมเลื่อนมือที่จับกรอบหน้าไปกั้นระหว่างริมฝีปากเขาทั้งคู่ก่อน

                “โลภจังนะ”

                “คุณฮิมเริ่มก่อน”

                ฮิมปรือตายิ้มให้กับคำตัดพ้อนั่นแล้วก็ส่ายหน้า

                “อาหารเช้าเขาไว้กินตอนตื่นนะคุณน้ำค้าง อย่าเพิ่งหิวตอนนี้”


                นั่นก็ไม่อร่อย นี่ก็ไม่อร่อย ทำไมแค่เป็นฮีทต้องหงุดหงิดเหมือนผู้หญิงมีประจำเดือนด้วยวะ

                กิมนึกอย่างขัดใจ

                ก็จริงอย่างที่น้ำค้างว่า เวลาเป็นฮีททีไรกิมอึดอัดตลอด เหมือนเป็นการฝืนธรรมชาติที่กินยาดับไว้ตลอดทุกเดือน ผลข้างเคียงที่ตามมาก็อย่างที่เห็น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ไม่ได้มีอาการอยาก แต่กิมจะไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษในช่วงสองสามวันที่มีระยะฮีท พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่สาธารณะแต่ถ้าให้เลือกระหว่างร้านอาหารกับโรงอาหารใต้คณะตอนเที่ยง ความขี้เกียจก็มักจะชนะเสมอ ใครมันจะถ่อเดินไปกินข้างนอกในเมื่อมีโรงอาหารใต้ตึกกัน

                มือขาวจิ้มผัดผักบุ้งเข้าปาก ลิ้นคล้ายจะแปรสภาพเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่รับรู้รสไปเสียงอย่างนั้น ปกติกิมเป็นคนไม่เรื่องมาก และลิ้นหมา คือกินอะไรก็ได้ ต่อให้ไม่อร่อยแต่พอกินได้ก็จะกิน ยกเว้นช่วงฮีทนี่แหละ ที่ทุกอย่างดูกินไม่ได้ไปหมด

                “อ้าว น้องกิม”

                เจออีกละ กิมเงยขึ้นมองรุ่นพี่คณะบัญชีไหล่กว้างเนื้อหอมอย่างงุนงง คณะก็ไม่ได้ใกล้กัน ทำไมถ่อมากินถึงตรงนี้

                “ทำไมทำหน้าหงุดหงิดเหมือนจะฆ่าคนขนาดนั้น” พี่ทรายถามแล้วก็วิสาสะวางจานข้าวลงข้างๆ เขาทันที กิมมองก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟต้มยำในชามอีกคนแล้วก็นึกอยากแย่ง เพราะผัดผักบุ้งกับปลาหมึกทอดกระเทียมในจานที่เขาเคยชอบกินวันนี้มันไม่อร่อยเลย

                “ข้าวไม่อร่อย” ตอบสั้นๆ แล้วก็ตักอีกคำเข้าปากด้วยร่างกายต้องกิน

                “ทำไมไม่ซื้อใหม่ล่ะ”

                “ซื้ออีกกี่จานก็ไม่อร่อยหรอก”

                กิมตอบเลี่ยงๆ แล้วก็เคี้ยวปลาหมึกที่ให้ความรู้สึกเหมือนเคี้ยวถุงมือยางในปาก อยากจะคายทิ้ง แต่ก็ต้องกลืนเข้าไป

                “ช่วงฮีทเหรอ”

                ปลาหมึกเหมือนจะติดกลางหลอดลมเสียอย่างนั้น กิมถึงกับต้องหาขวดน้ำกรอกเข้าปากให้มันไหลลงคอ ทำไมพี่ทรายมันรู้ไปหมดเลยวะ!

                “อือ” ตอบไปสั้นๆ ไม่ให้เสียฟอร์มแล้วก็เขี่ยข้าวคำใหม่ กว่าจะถึงเวลาเรียนก็อีกนาน เขาเลยละเลียดกับข้าวจานนี้เป็นพิเศษ ไอ้น้ำก็ไลน์มาบอกว่านอนกกว่าที่เมียมันอยู่ เมื่อไหร่จะได้ป้าบกันสักทีก็ไม่รู้ ลุ้นจนขี้เกียจจะลุ้น

                “กินอะไรหวานๆ ไหม เห็นเพื่อนพี่มันกินของหวานกัน” พี่ทรายถาม

                “อยากกินน้ำแข็งไส แต่ขี้เกียจเดิน ร้อน” กิมตอบพลางนึกถึงน้ำแข็งไสยี่สิบบาทหน้ามอที่มาพร้อมกับขนมปังปลาราดนมกับน้ำแดง แต่พอนึกว่าต้องฝ่าแดดไปยืนรอก็หงุดหงิดและขี้เกียจ ไอ้น้ำถึงได้เอ็ดเอาทุกเดือนว่าเหมือนคนเมนส์มา ทั้งๆ ที่โอเมก้าคนอื่นก็ไม่ต่างจากเขา (มั้ง)

                “อ๋อ” พี่ทรายตอบสั้นๆ แล้วกิมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ โอเมก้าตัวขาวล้มเลิกที่จะกินปลาหมึกของโปรดไปกินผัดผักบุ้งกับข้าวให้หมดแทน หันไปอีกทีก็เห็นชามก๋วยเตี๋ยวของอัลฟ่าข้างตัวพร่องไปเกือบหมดแล้ว

                พี่ทรายลุกไปเก็บจานไม่บอกไม่กล่าว และกิมก็ไม่ได้อะไรกับการมาๆ ไปๆ ของรุ่นพี่คณะบัญชี ถึงจะงงๆ หน่อยๆ ที่มาเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวนี่ต้องมาโรงคณะเขาเลยเหรอ เพราะโรงอาหารที่ใกล้คณะบัญชีก็มีร้านก๋วยเตี๋ยว

                กิมเขี่ยข้าวไปเกือบอีกยี่สิบนาที สุดท้ายก็ไม่หมดสักอย่างในจาน ถอนใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบไลน์ไอ้น้ำที่ส่งเมนูอาหารเช้ามาอวดว่าทำเบรคฟาสท์สไตล์อังกฤษกิน ซึ่งจริงๆ ก็แค่ไข่ดาว ไส้กรอก เบคอนกรอบ แล้วก็ขนมปังปิ้งทาแยม เรียกให้หรูทำซากอะไร กินกับเพื่อนเรียกข้าวเช้า แต่พอกินกับว่าที่เมียเรียกเบรคฟาสท์ อยากจะถุยใส่หน้าเพื่อน

                โอเมก้าผมบลอนด์พิมพ์ไลน์ตอบเพื่อนจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินกลับมาหา จนกระทั่งมีถ้วยโฟมสีขาวของน้ำแข็งไสราดนมข้นและน้ำแดงมาวางอยู่ตรงหน้า ไอเย็นจากน้ำแข็งและมือคนวางทำเอากิมเงยหน้าทำตาโต

                “พี่ทราย เมื่อกี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

                “ยังไม่ได้บอกเลยว่าไป ไปซื้อน้ำแข็งไสเฉยๆ”

                พี่ทรายหย่อนก้นลงนั่งข้างเขาที่เดิม แล้วยื่นช้อนพลาสติกให้คันนึง กิมรับมาแบบงงๆ

                “นี่ผมพูดให้พี่ลำบากไปซื้อมาปะเนี่ย คือบ่นเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไรเยอะ”

                “เปล่า พี่อยากกินเอง ซื้อมากินคนเดียวไม่หมดหรอก”

                “เชื่อตาย”

                กิมตอบแล้วก็มองหน้ารุ่นพี่พลางหรี่ตาใส่ แต่ก็ไม่ขัดศรัทธาที่ยื่นช้อนมาให้ จัดการตักกินเข้าปากอย่างสบายใจ ก็ไม่ได้สั่งให้ซื้อ แต่มีคนซื้อมาให้เองแบบไม่ต้องลำบากเดินร้อนๆ ก็ดี ถือว่าลาภปากเขาไปละกัน

                “ชอบกินราดน้ำแดงใช่ไหม”

                “อือ ใส่ขนมปังปลามาปะเนี่ย”

                พี่ทรายถามเหมือนกลัวเขาไม่ชอบ แต่กิมบอกเลย ต่อให้ราดน้ำเขียวมาก็กินหมด ตราบใดที่ไม่ต้องเดินร้อนๆ ไปซื้อเอง มือใช้ช้อนขูดเกล็ดน้ำแข็งแล้วยื่นหน้าไปดูว่ามีขนมปังปลาของโปรดรึเปล่า

                “ใส่ๆ ดูเป็นอะไรที่เบสิคดี”

                “ชอบกิน” กิมล้วงตักขนมปังขึ้นมาใส่ปาก อารมณ์ดีขึ้นมานิดนึงเพราะได้กินของเย็นๆ หวานๆ ที่อยากกิน

                “ชื่นใจละ”

                กิมหันไปมองพี่ทรายที่คงสีหน้ายิ้มน้อยๆ ไว้แล้วก็เลิกคิ้วใส่ประมาณว่า เมื่อกี้พูดว่าไงนะ?

                “ก็กินน้ำแข็งไส ชื่นใจไง”

                “อ๋อ เหรอ”

                กิมตอบหน้าตาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พอเห็นว่าคนแก่กว่าไม่ได้แตะขนมปังปลาในถ้วยโฟมเลยก็ย่นจมูกกับตัวเอง

                ตามใจเก่งชะมัด





50%


 น้ำค้างไม่ได้ออกมาวาดรูปกลางแจ้งนานแล้ว เพราะอากาศประเทศไทยก็ไม่ได้เย็น แถมเวลาก็ไม่ค่อยจะตรงใจเท่าไหร่ แต่ด้วยวันนี้งานเสร็จเร็ว (งานที่เขาโต้รุ่งเมื่อคืนนั่นแหละ) เลยตัดสินใจหอบหิ้วเอาสมุดเสก็ชภาพเล่มเขื่องของตัวเองกับพาเลทสีน้ำขนาดพกพาออกมานั่งที่สวนสาธารณะแถวคอนโดสักหน่อย อากาศตอนช่วงผีตากผ้าอ้อมกำลังดีสำหรับเขา ช่วงที่ฟ้าลงสีเรื่อส้มเหลืองปนแดงบ้าง โลกของน้ำค้างจะสงบลง

                สายตาสอดส่องไปเรื่อย ก่อนจะมองขึ้นลงระหว่างทิวทัศน์กับแผ่นกระดาษ มือจุ่มพู่กันลงกับสีน้ำในกรอบพาเลทอันจ้อย น้ำค้างลืมไปแล้วว่าเขาคิดถึงการระบายสีน้ำแค่ไหน ก่อนที่จะไม่มีเวลานอน ก่อนที่จะต้องออกไปทำงาน ก่อนที่จะต้องจดจ้องแต่หน้าจอแล็ปท็อป เขาทิ้งงานอดิเรกไว้เบื้องหลังความวุ่นวายของชีวิต

                แต่ยังไม่ทันวาดได้เต็มรูป เขาก็ได้รับข้อความจากคุณฮิมเสียก่อน

                hymn: ไปดูหนังกันไหมครับคุณแม่บ้าน :-)

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันได้กดตอบก็มีเหตุอันจำเป็นให้วางพู่กันลงก่อน เพราะกลิ่นฉุนกลิ่นเดิมที่กระแทกจมูก น้ำค้างย่นจมูกเหมือนที่ไอ้กิมชอบทำเวลามีอะไรไม่ชอบใจ มือยกขึ้นมาถูจมูกเพื่อไม่ให้ตัวเองจามออกมา เงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุก็เจอกับโอเมก้ากลิ่นซีตรัสคนเดิม ราวกับฤดูร้อนเดินได้อย่างไรอย่างนั้น 

                ก็คงเป็นเรื่องปกติที่บางทีคนเราจะเจอคนคนเดียวกันหลายๆ รอบหากเราอยู่ในละแวกเดียวกัน น้ำค้างไม่ได้นึกแปลกใจอะไร แต่ก็เผลอพินิจจดจ้องอยู่นาน โอเมก้าที่หน้าตาทั่วไปแต่กลิ่นกลับโดดเสียจนคนต้องเหลียวมองหา น้ำค้างไม่ได้มองในเชิงเสน่หา แต่แค่คิดว่าเจ้าตัวมีกลิ่นที่เฉพาะตัว และดึงดูดผู้คนเข้าหาได้อย่างง่ายดาย

                หากแต่มีบางอย่างผิดแผกไปในหางกลิ่นนั้น ฤดูร้อนไม่ควรมีไอหมอก ผลไม้สีสันไม่ควรมีกลิ่นป่าสีเขียวครึ้ม

                พยายามจะปลอบใจตัวเองว่าหลอนไปเอง แต่ประสาทสัมผัสไม่เคยโกหกใคร

                น้ำค้างยังคงจ้องมองโอเมก้าคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกฟาก อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขาเพราะเสียบหูฟังอยู่

                แต่ดูเหมือนจะจ้องนานไปหน่อย เขาถึงได้มีคนมาสะกิดไหล่จนได้

                “ขอโทษนะครับ คุณจ้องคู่ผมนานมาก”

                น้ำค้างหันไปมองคนที่มาอ้างความเป็นเจ้าของแล้วก็ต้องโค้มตัวขอโทษ เข้าใจว่าเป็นอัลฟ่า จะหวงคู่ตัวเองก็ไม่แปลก เพราะนิสัยขี้หวง เป็นเจ้าข้าวเจ้าของนี่เหมือนจะมีในตัวทุกคนเลย ไม่เว้นแม้แต่น้ำค้าง ข่าวทะเลาะวิวาทเลือดตกยางออกเพราะเผลอไปจ้องคู่คนอื่นนานเกินไปก็มีให้เห็นออกถมไป

                “ขอโทษครับ” น้ำค้างเกือบจะพลั้งปากอธิบายไปว่าเห็นที่มหาลัยบ่อยๆ ซะแล้ว ถ้าพูดออกไปมิวายเขานี่แหละจะเป็นคนโดนต่อยเอง

                น้ำค้างมองแผ่นหลังของอัลฟ่าที่มาเตือนเขาดีๆ เดินจากไปพร้อมกับโอเมก้าหน้าร้อน กลิ่นที่ทิ้งทวนไว้จากปลายลมผสมลงตัวคล้ายดาร์กช็อกโกแลตกลิ่นส้ม แต่เมื่อกลิ่นจางลง ถึงได้รับรู้ความขมขึ้นจมูกของเมล็ดกาแฟแทนที่ ช่างเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดีเสียจริง

                เสียงข้อความเตือนดังเข้ามาอีกรอบ ต้นเหตุของกลิ่นป่าครึ้มที่แท้จริงนั่นเอง ทำเอาน้ำค้างถึงกับลน เพราะนึกได้ว่าเปิดอ่านข้อความคุณฮิมค้างไว้อีกแล้ว

                hymn: คุณน้ำค้าง ไม่ว่างเหรอครับ

            น้ำค้าง: ว่างครับว่าง ขอโทษที ผมวาดรูปอยู่ เลยเพลิน (อีโมจิร้องไห้)

                คราวนี้คุณฮิมเลยกดโทรมาหาเขาเลย

                “ฮัลโหลครับ”

                [คุณน้ำค้าง มาเจอกันที่โรงเลยได้ไหม ผมซื้อตั๋วรอไว้แล้ว]

                น้ำค้างขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคุณฮิมทำอะไรกะทันหันอีกแล้ว หรือว่าเขาเองนะที่เป็นคนเชื่องช้า แต่ก็ยอมตกลง และพับการวาดรูปไปก่อน ท่าทางอีกฝ่ายตั้งใจจะเลี้ยงหนังเขา

                แต่คนแบบน้ำค้างขี้เกรงใจอย่างนี้ มีเหรอจะยอม

                บอกเลยว่าจะไม่ยอมให้คุณฮิมออกเงินสักบาทเดียว

                “คุณน้ำค้าง อย่าดื้อ”

                คุณฮิมว่าแล้วก็เอาป๊อปคอร์นยัดเขาปากเขาทันทีที่เขาออกปากพูดเรื่องค่าตั๋วครั้งที่สามในขณะที่กำลังเดินเข้าโรง

                “คุณฮิม ไม่แฟร์นี่” น้ำค้างโอดเสียงยาว

                “ไม่แฟร์ยังไง คุณแปรงฟันให้ผมเลยนะ” คุณฮิมพูดหน้าตาเฉยแล้วก็เคี้ยวป๊อปคอร์น

                “อันนั้นผมเต็มใจไหม”

                “ช่วงจีบก็งี้แหละ”

                “คุณฮิม ผมพูดจริง นี่ไม่เคยทำให้ใครเลยนะ”

                น้ำค้างล่ะอยากจะน้อยอกน้อยใจ เขาไม่ได้มีช่วงโปรโมชั่นสักหน่อย นี่ก็ไม่เคยมีใครมาก่อน พอมีจริงๆ ก็อยากจะดูแลดีๆ เขาน่ะอยากจะให้คุณฮิมดูแลตัวเองมากกว่านี้ด้วยซ้ำ

                “ใจน้อยเหรอคุณแม่บ้าน” คุณฮิมทำเสียงแซวแล้วก็เอื้อมมือมาลูบผมตรงท้ายทอยเขา

                “พอแล้ว ผมยังยืนยันจะคืนค่าตั๋ว”

                “ดื้อ” ป่าสนของเขาออกปากว่าสั้นๆ ระหว่างเดินหาที่นั่งในโรง “เดี๋ยวไม่รักเลย”

                “ครับ?” น้ำค้างเหมือนจะหูฝาด เห็นคุณฮิมยิ้มแวบๆ อยู่ในไฟสลัวของโรงหนัง แต่ก็ไม่ได้ทวนซ้ำ ทำเอาน้ำค้างเกาหัวงงๆ อย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือผิดกันแน่ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งเบาะสีแดงข้างๆ คุณฮิมที่เคี้ยวป๊อปคอร์นสบายใจเฉิบ

                “เมื่อกี้...” น้ำค้างลังเลว่าจะเล่าดีไหม แต่ก็เกริ่นไปแล้ว เลยต้องต่อให้จบประโยค “ผมเจอโอเมก้าคนที่คุณฮิมอยากเป็นเพื่อนด้วย”

                คุณฮิมชะงักไปในไฟสลัว เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เดาอารมณ์ไม่ถูกยังคงสีหน้าเดิม

                “ผมได้กลิ่นคุณฮิม แต่ผมไม่แน่ใจว่าบังเอิญหรือคิดไปเอง”

                ป่าสนของเขาเอนตัวลงกับเก้าอี้ รู้ว่าน้ำค้างหมายถึงอะไรในกลิ่นนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เสียงเทรลเลอร์หนังยังคงดังต่อเนื่อง แต่น้ำค้างไม่ได้สนใจดู เขายังคงหันมองใบหน้าคุณฮิมอยู่อย่างนั้น

                จนกระทั่งคุณฮิมเอนตัวขึ้นมานั่งหลังตรงดั่งเดิม ก่อนจะยื่นหน้ามาดูดน้ำเป๊ปซี่จากมือเขา ก่อนจะดึงข้อมือเขามาชิดใต้จมูกเหมือนจะค้นหาเศษเสี้ยวของอะไรสักอย่าง

                “กลิ่นกาแฟ...”

                คุณฮิมพูดกับตัวเอง น้ำค้างนึกถึงอัลฟ่าคนที่เป็นเจ้าของโอเมก้ากลิ่นผลไม้คนนั้นทันที

                “คุณน้ำค้างรู้รึเปล่า ว่าผมคงเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้”

                “ทำไมล่ะครับ”

                “เพราะเขามีกลิ่นกาแฟเจืออยู่น่ะสิ”

                คุณฮิมยกยิ้มมุมปาก แต่น้ำค้างไม่เข้าใจอะไรเลย


                กิมยกเลิกทฤษฎีเรื่องบังเอิญเวลาเราเจอใครคนนึงหลายๆ รอบเพราะเราอยู่ในละแวกเดียวกัน เพราะพี่ทรายเนี่ย ชักจะเห็นบ่อยเกินไปแล้ว

                เมื่อเที่ยงก็ทีนึง แล้วตอนเย็นนี่ก็ยังจะอีกเหรอ

                “อ้าว น้องกิม เจออีกละ” พี่ทรายทักระหว่างที่กิมยืนเลือกแผงสีอันใหม่อยู่ โอเมก้าตัวขาวย่นจมูกใส่แผงสินค้าอย่างหมั่นไส้ ต้นเหตุที่ยืนตัวสูงอยู่ข้างๆ คงจะไม่รู้เรื่อง

                “อือ พี่ทรายมาทำไร” กิมถามเป็นพิธี แล้วก็หยิบสีออกมาลองเขียนนู่นนี่เรื่อย

                “มา...ซื้อปากกา” อัลฟ่าเนื้อหอมชูปากกาลูกลื่นในมือให้ดูพลางยิ้มแฉ่ง กิมส่งเสียงเหอะในลำคออย่างไม่ได้ตั้งใจ

                “อ๋อ เหรอ” ตอบไปแบบเดิมแล้วก็ลองสีต่อ มีคนบอกว่าเวลาเขามาเลือกซื้อสีเนี่ย ก็คล้ายกับเวลาพวกผู้หญิงเลือกสีลิปสติกนั่นแหละ แต่กิมว่าสีลิปสติกดูยากกว่าเป็นไหนๆ รู้ว่ามีเฉดแดงหลายอย่าง แต่พอทาอยู่บนปากมันก็ดูเหมือนกันไปหมด 

                กิมปรายตามองคนข้างๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไปไหน แถมยังมือซนหยิบปากกามาลองเขียนแบบเขาอีก กิมเลยจงใจเมินแล้วเลือกสีของตัวเองต่อ จนกระทั่งคนข้างๆ สะกิดให้เขาหันไปหา แล้วก็ชี้ไปตรงกระดาษที่ลองเขียน มีหมึกสีชมพูเข้มเขียนเป็นประโยคไว้อยู่ว่า

                น้องกิมกินข้าวเย็นรึยัง?

            กิมหลุดหัวเราะในคอแบบไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็ส่ายหน้า ทั้งเชื่อเขาเลย แล้วก็ยังไม่ได้กิน มือขาวชั่งใจว่าจะเขียนตอบไปตามน้ำดีไหม แต่ก็เปลี่ยนใจ หันไปฉวยข้อมืออัลฟ่าไหล่กว้างข้างตัวมาบรรจงเขียนคำตอบลงไปหลังฝ่ามือด้วยหมึกสีเขียวเข้ม

                ถามทำไม?

            พี่ทรายยกมือขึ้นมาอ่านแล้วก็เขียนลงกระดาษลองหมึกใหม่ คราวนี้เป็นหมึกสีฟ้า

                กินข้าวเย็นด้วยกันไหม :D

                กิมฉวยมืออีกคนมาอีกรอบ แล้วก็ลงหมึกสีเขียวเข้มสีเดิม

                พาไปกินของหวานด้วย

            “ได้” พี่ทรายตอบเต็มคำตอนที่อ่านจบ แต่กิมทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วก็นั่งยองๆ ลงหาสีอื่นที่อยากได้อีก

                “น้องกิม ไม่คุยด้วยอะ”

                กิมแกล้งทำหูทวนลม เพราะกำลังหาสีทองที่ตัวเองอยากได้ไม่เจอ ได้ยินเสียงพี่ทรายเงียบไป แล้วก็โดนสะกิดอีกทีจนต้องยักไหล่ให้เลิก ยืดตัวขึ้นมามองหน้าย่นจมูกใส่คนขี้วอแวข้างๆ แล้วก็มองกระดาษลองหมึกอีกรอบตามที่คนตัวสูงกว่าอยากจะให้อ่าน

                พี่ทรายอยากคุยด้วย

            ถ้าเป็นคนอื่นกิมคงออกปากด่าด้วยความรำคาญ แต่เพราะข้างๆ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นพี่ทราย กิมเลยจัดแจงเขียนลงแขนอัลฟ่าเนื้อหอมที่ยื่นมือมาเหมือนรอให้เขาเขียนอยู่แล้ว

                เดี๋ยวน้องกิมคุยด้วย

            กิมเขียนด้วยความประชดประชัน แล้วก็นั่งยองๆ ลงไปหาสีต่อ แต่พี่ทรายอ่านทวนออกเสียงซะนี่

                “เดี๋ยวน้องกิมคุยด้วย”

                กิมเงยขึ้นไปมองแล้วเลิกคิ้วใส่

                “น่ารักนะเราอะ”

                กิมก้มลงไปหาสีทองในแผงสีต่อ ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ใบหูเจือสีแดงเข้ม

                ถ้าพี่ทรายแซวอีก เขาสาบานเลยว่าจะไม่ไปกินข้าวด้วย


                น้ำค้างเผลอหลับไปเสียอย่างนั้น ตื่นมาอีกทีก็เป็นเอนด์เครดิตเสียแล้ว ไม่รู้คุณฮิมจะโมโหเขาไหมที่ชวนมาดูหนังแต่ดันหลับซะงั้น ก็น้ำค้างไม่ถูกกับหนังแอคชั่นไซไฟนี่นา

                หันไปข้างๆ เป็นที่นั่งว่างเปล่า น้ำค้างขมวดคิ้วขยี้ตา งุนงงว่าคุณฮิมหายไปไหน หรือเห็นเขาหลับแล้วไม่กล้าปลุก หรือจะรีบไปเข้าห้องน้ำ ดูไม่ใช่วิสัยคุณฮิมสักอย่าง แต่น้ำค้างก็ไม่อยากจะคิดมาก มือหยิบแก้วเป๊ปซี่ข้างตัวเดินออกมาจากโรงหนัง ตั้งใจจะหยิบโทรทัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณฮิม แต่ดันเห็นแผ่นหลังของคนที่เขากำลังตามหาอยู่ไกลๆ เสียก่อน

                กำลังจะสาวเท้าเดินเข้าไปหา แต่ก็หยุดขาตัวเองเมื่อเห็นคุณฮิมกำลังคุยอยู่กับใครคนอื่น

                กลิ่นช็อกโกแลตในคราแรก ก่อนจะกลายเป็นกลิ่นไหม้ของกาแฟ และในครานี้ถึงจะไม่มีตัวบุคคลมาให้เห็นแต่เขาก็ได้กลิ่นลมหน้าร้อนพัดมาอ่อนๆ ตรงปลาย

                กลิ่นกาแฟ...

                คุณฮิมพูดกับตัวเอง

                 



tbc.





น้ำค้างเพิ่งตื่น ก็จะงงๆ หน่อย

ตอนนี้ผู้ติดตามครบ 800 คนแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ จะตั้งใจเขียนต่อไปค่ะ <3

ส่วนเรื่องคำผิด คำซ้ำ ใครเจอสามารถคอมเม้นบอกได้เลยนะคะ บางทีเราก็เบลอๆ และไม่ละเอียดเอง เวิร์ดก็ชอบรวบคำให้อีก แง

ขอฝากเพลงไว้อีกกก starving - hailee steinfield, grey, zedd เพลงนี้เหมือนคุณน้ำค้างอีกแล้ว

contact me: @hopeniverse_





feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2018 22:24:25 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
โอ้ยยย หน่วงใจ อัลฟ่ากับอัลฟ่า ฮืออ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คู่ทรายกิมน่ารักดีอ่ะ แต่คู่น้ำฮิมนี่สิ :katai1:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เราเป็นคนติดกาแฟนะ แต่อ่านตอนนี้จบแล้วรู้สึกไม่อยากให้มีกลิ่นกาแฟในเรื่องเลย เหมือนว่าจะเริ่มดราม่า งั้นก็ขออย่าให้เข้มแล้วขมแบบอเมริกาโน่ก็แล้วกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nkl31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค้างงงงงงง
ทำไมน้องกินน่ารักอย่างนี้คะ
ชอบกลิ่นน้องน้ำนะคะ กลิ่นผ้าหอมแบบสะอาดๆ

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter nine


                น้ำค้างไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง ถึงในใจจะสับสนและอยู่ไม่สุขเลย

                เขาได้กลิ่นสามกลิ่น จากคนสามคน

                แต่ ณ ที่นี้มีเพียงสองคนที่ยืนสนทนาอยู่ตรงหน้าเขา

                น้ำค้างเลือกที่จะยืนรอเงียบๆ มากกว่าเข้าไปแทรกกลาง สีหน้าคุณฮิมยังคงยิ้ม แต่อัลฟ่ากลิ่นกาแฟสีหน้าไม่สู้ดีนัก น้ำค้างจำได้ คนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อเย็น กลิ่นของอัลฟ่าและโอเมก้าที่ผสมลงตัวได้ดี ยากจะลืมเลือน มีหลายอย่างที่น้ำค้างเข้าใจและไม่เข้าใจ มีหลายอย่างที่น้ำค้างไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง หรือพยายามที่จะทลายกำแพง แต่เมื่อเป็นคุณฮิมแล้วนั้น เหมือนสมองจะสั่งให้เป็นข้อยกเว้น หัวใจมักจะทำงานควบคู่กับสมอง และในยามที่เราเสียใจ หัวใจจะบีบตัวได้ดีเสมอ

                อยากเป็นเจ้าของ แต่ก็อึดอัด อยากจะขังไม่ให้ไปไหน ห่อหุ้มด้วยกลิ่นเขาเพียงคนเดียว แต่หมอกลงจัดเหลือเกิน คลองสายตาพร่าเบลอ หยาดน้ำค้างอย่างเขาขุ่นมัว ไร้ที่ทางไป

                ป่าสนหันมามองเขา เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่อัลฟ่ากลิ่นกาแฟตรงหน้าขยับตัวไวกว่าที่คิด ชั่วกะพริบตา ที่น้ำค้างกำลังจะเข้าไปดึงตัวคุณฮิม อีกฝ่ายก็ต่อยเข้าที่หน้าคุณฮิมแล้ว

                คนเริ่มหันมามองพวกเขา บางคนเริ่มซุบซิบกัน ก็คงไม่พ้นที่พวกเขาเป็นอัลฟ่าทั้งสามคน เจ้าหน้าที่รักษาควสามปลอดภัยกำลังเดินมา และอัลฟ่ากลิ่นกาแฟก็เดินจากไป ทิ้งเพียงกลิ่นเจือไหม้ อารมณ์คุกรุ่น และรอยแผลบนป่าสนของเขาที่คงจะแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำเขียวในไม่ช้า น้ำค้างเกลียดความรุนแรงพอๆ กับการมีเรื่องวิวาท เขาจึงไม่ได้ตามกลิ่นกาแฟไป

                คุณฮิมยังคงนั่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาสีดำลึกดิ่งมองพื้น ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ในตอนนี้น้ำค้างไม่รู้จักคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

                “คุณฮิม”

                ป่าสนของเขาเงยขึ้นมอง ก่อนจะลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มข้างเดียวอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

                “ดูหนังจบแล้วเหรอ สนุกรึเปล่า”

                “ผม...หลับก่อนน่ะ” น้ำค้างสารภาพ คุณฮิมดูจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ คงจะเห็นเขาอดหลับอดนอนมาเยอะ

                “หลับก็ไม่แปลกหรอก” คุณฮิมว่าแล้วก็เดินนำออกจากโรงหนังไปที่ลิฟต์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนน้ำค้างทนไม่ไหว

                “คุณฮิม”

                “ครับ?”

                “ไปทำแผลเถอะ” น้ำค้างโพล่งออกไป และพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันอีก แต่คุณฮิมก็ไม่ได้เถียงอะไรตอนที่น้ำค้างพากลับมาที่ห้องตัวเอง และหยิบกล่องทำแผลที่ตัวเองหยิบใช้ประจำเพราะซุ่มซ่ามออกมา

                น้ำค้างไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่เริ่มลงมือทำแผลให้คุณฮิม หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือไม่รู้จะพูดอะไร มันแปลกสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด ไม่รู้ว่าควรเริ่มอะไรจากตรงไหน ไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม น้ำค้างไม่รู้เลยว่าสำหรับเขาแล้ว ตอนนี้กำลังเดินอยู่ส่วนไหนของในป่า

                “กาแฟที่คุณฮิมว่า...”

                ปากเอ่ยถ้อยคำอย่างระมัดระวัง ภายในห้องที่มีเพียงความเงียบส่งเสียงดังอยู่ระหว่างตัวพวกเขา คุณฮิมมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่น้ำค้างไม่รู้จักอีกครั้ง

                “คือคนที่แย่งโอเมก้าคนนั้นไปหรือครับ?”

                คุณฮิมฟังจนจบแล้วก็หัวเราะเหมือนน้ำค้างเพิ่งปล่อยมุกออกไป ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่น้ำค้างถามออกไปแล้วก็งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้

                “อย่างผมน่ะ ไม่ปล่อยให้โอเมก้าในปกครองของตัวเองโดนแย่งไปหรอกคุณน้ำค้าง” คุณฮิมเอียงแก้มข้างที่ไม่โดนชกลงไปซบกับเข่า “อะไรที่อัลฟ่าเป็นเจ้าของ ก็ต้องหวงมากๆ อยู่แล้วสิ”

                น้ำค้างรับฟังประโยคนั้นอย่างเงียบงัน ในหัวประมวลผลอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง คุณฮิมเหมือนจะดูออกง่ายในคราแรก ตรงไปตรงมา แต่ก็กลับเก็บซ่อนอะไรไว้มากมาย

                “แล้วทำไมเขาถึง...ได้ทำร้ายคุณฮิมล่ะ” น้ำค้างหย่อนคำถามอ้อมๆ ไปอีก หวังจะคลี่คลายความสงสัยในใจได้บ้าง

                “คุณน้ำค้างล่ะ หวงของรึเปล่า” คุณฮิมถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบเพื่อจะเปลี่ยนเรื่อง แต่น้ำค้างก็ตอบออกไป

                “คุณฮิมไม่ใช่ของนี่”

                “แล้วไม่จำเป็นจะต้องหวงเหรอครับ” คุณฮิมเงยหัวขึ้นมา คางวางบนเข่า ก่อนจะถามเขาเหมือนจะโต้วาที “แล้วถ้าผมไปเป็นของคนอื่นคุณน้ำค้างจะไม่ว่าอะไรเลยเหรอ”

                น้ำค้างหลบสายตาคมกริบนั่น โทนหวานในดวงตานั้นไม่เหลือเค้าเดิมที่เคยมอง มีบางอย่างไม่ถูกต้องในความสัมพันธ์ของพวกเขา มีบางอย่างไม่เรียบร้อย และน้ำค้างรู้สึกว่าต้นสนสูงชะลูดกว่าที่เคยเป็นจนมองไม่เห็นยอดไม้ เงาดำทะมึนทาบทับ ป่าสนของเขาใจร้ายเหลือเกิน

                น้ำค้างลุกขึ้น เขาตั้งใจจะหลีกหนีสถานการณ์ที่หายใจไม่ออกนี้ แต่คุณฮิมกลับว่องไว คนผอมกว่าลุกขึ้นจับข้อมือเขาแน่น น้ำค้างปล่อยให้กล่องยาทำแผลร่วงลงพื้นเสียงดังโดยไม่ได้ใส่ใจจะก้มลงไปเก็บ ยังคงตั้งใจหลบสายตาของคุณฮิมที่จดจ้องเขาราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

                “แล้วคุณฮิมล่ะครับ” แต่แทนที่จะได้คำตอบ น้ำค้างกลับพ่นคำถามกลับไป “ผมขอร้องคุณฮิมไม่ให้ไปหาคนอื่นได้ด้วยเหรอ”

                คุณฮิมไม่ได้ตอบ แต่เดินไล่ต้อนเขาให้ไปจบที่กำแพงห้อง ผนังเย็นเฉียบแนบกับแผ่นหลังของน้ำค้าง น้ำค้างรู้ว่าระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรถูกต้องเลยในตอนนี้ ความจริงแล้ว...

                “มันไม่ถูกตั้งแต่ผมเป็นอัลฟ่าแล้วรึเปล่า”

                ราวกับน้ำค้างได้สำรอกคำต้องห้ามออกไป ลมพัดแรงขึ้นจนยอดไม้โอนเอียง ป่าสนดูเดือดดาลกว่าที่เคยเป็น

                คุณฮิมใช้สองมือจับหน้าเขา ริมฝีปากที่นาบกัน แต่น้ำค้างกลับไม่รู้สึกปั่นป่วน กลับกันกับรู้สึกได้แต่โทสะ เป็นคุณฮิมที่ดึงดันในจูบ อัลฟ่าที่โดนดันชิดกำแพงอย่างน้ำค้างใช้มือจับต้นขาทั้งสองข้างของคุณฮิมขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดเอวตัวเองแทนก่อนจะดันอีกคนชิดผนังแทนตัวเอง ลิ้นเกี่ยวกระหวัดในโพรงปาก น้ำค้างตะโบมจูบอีกคนให้สมกับพายุที่ก่อตัว

                “แล้วคุณจะเข้าหาผมทำไม” คุณฮิมกระซิบถามชิดริมฝีปากเขา “อยากเป็นเจ้าของผม หรือแค่อยากเอาชนะ”

                น้ำค้างกดจูบที่แอ่งชีพจร ที่ที่เขาเคยจะฝังรอยเขี้ยวไว้หลายต่อหลายครา คุณฮิมพูดจายียวน และน้ำค้างอยาก อยากจะกัดให้จมเขี้ยวในตอนนี้ อยากจะบอกให้อีกคนรู้ว่าเขาสามารถตีตราได้ อยากจะกัดแสดงรอยไว้ให้ใครต่อใครรู้ว่าคุณฮิมเป็นของเขา...ของเขาแต่เพียงผู้เดียว

                “อยากกัดเหรอ?” คุณฮิมเงยหัวติดกำแพงราวกับจงใจจะเผยผิวเนื้อตรงส่วนคอมากกว่าเดิม “กัดสิคุณน้ำค้าง เป็นเจ้าของผมสิ”

                ไม่...นี่มันไม่ถูกต้อง

                น้ำค้างผละออก เขาปล่อยคุณฮิมลง ขาก้าวถอยหลังออกมา มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าและเสยขึ้นไปถึงผม น้ำค้างหัวเสียอย่างที่ไม่เคยเป็น หัวใจบีบรัดจนแทบจะระเบิด น้ำค้างไม่เข้าใจอะไรเลย

                “คุณฮิมกลับไปก่อนเถอะ” เป็นครั้งแรกที่เขาออกปากไล่อีกฝ่าย น้ำค้างไม่ได้มองหน้าคุณฮิมและไม่อยากจะมอง เขารู้สึกขุ่นมัวเกินกว่าจะพูดอะไร บางทีคุณฮิมอาจจะเป็นหนังสือที่เขาพยายามจะอ่านให้จบแต่อ่านกี่ครั้งก็กลับมาหยุดอยู่ที่หน้าเดิม และไม่เคยจบสักที

                เสียงปิดประตูคอนโดดังกังวานแข่งกับความเงียบในห้อง น้ำค้างยังคงเอาฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงนั่งกับพื้น พายุที่ก่อตัวแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำฝน ใบไม้ที่หยาดน้ำค้างเกาะสั่นไหวด้วยหยดน้ำฝนเม็ดใหญ่หลอมรวมกันจนแยกไม่ออก

                ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายบีบตัว น้ำค้างได้แต่ภาวนาให้หยุดเจ็บปวดเสียที


                ฮิมขอบคุณตัวเองที่เดินเข้าห้องมานอนบนเตียงได้โดยที่ไม่ไปเมาแอ๋จนไอ้จิงต้องตามด่า ดวงตาเหม่อมองเพดาน สัมผัสของคุณน้ำค้างยังคงทิ้งไว้ชวนหลอกหลอน กลิ่นผ้าสะอาดติดอยู่เจือจางจนแทบไม่ได้กลิ่น กลิ่นไหม้ของเม็ดกาแฟกลับแรงยิ่งกว่า ฮิมเกลียดที่ตัวเองจำกลิ่นได้ดี เกลียดที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่อบอวลด้วยกลิ่นของอีกฝ่าย ในใจไม่หลงเหลือแล้วซึ่งความโหยหา มีแต่ความไม่เข้าใจและความทรงจำที่ยังคงติดไม่จางหาย

                ‘อย่ามายุ่งกับของของกู’

            ‘อย่านึกว่ากูไม่ได้กลิ่นมึงบนตัวเขา เป็นเหี้ยอะไรถึงต้องมายุ่งกับของของกูนักหนา’’

            ‘เป็นอัลฟ่าแต่เสือกเข้าหาแต่อัลฟ่าด้วยกัน ร่าน ทำตัวอย่างกับโอเมก้าไม่มีผิด’

            ฮิมหลับตากรอเทปในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงและกลิ่นของคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโลกทั้งใบ บัดนี้กับเป็นนรกทั้งเป็น

                ทำไมต้องโอเมก้า

                ทำไมต้องเลือกธรรมชาติมากกว่า

                ทำไมต้องเป็นไปตามแบบแผนที่วางมา

                บางทีฮิมก็อยากให้ตัวเองเลิกเรียกร้องคำตอบจากสิ่งที่ไม่ใช่ของเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม อยากจะเลิกทำตัวยียวนกวนโมโหเพื่อจะเรียกร้องความสนใจ กลิ่นเปลือกไม้คงจะแฝงตัวไปกับกลิ่นตัวลมหน้าร้อนให้ชวนคิดถึงไม่มากก็น้อย แต่ฮิมรู้ว่าเขากำลังทำตัวเหมือนเด็กหวงของเล่นที่ไม่ใช่ของตัวเอง

                รอยช้ำตรงแก้มไม่เจ็บเท่ากับข้างในที่โดนย่ำยีศักดิ์ศรีซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่เมื่อลองค้นหาดีๆ แล้ว ฮิมรู้ ว่าตัวเองเจ็บจากอะไร กลิ่นของผ้าห่มซักแล้วที่จางหายอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องนอนคู้ตัว มือเอื้อมหยิบกองผ้าห่มของตัวเองที่ขยำไว้ปลายเตียงมากอดแน่น จมูกโด่งปลายซุกลงกับกองผ้าผืนหนาที่ไม่คิดจะใส่ใจยามลงนอน รู้ว่ากลิ่นอายแทนกันไม่ได้ หน้าอกขยับขึ้นลง หากแต่ไม่ใช่ตามจังหวะชีพจร แต่เป็นการสะอื้นในความเงียบงัน มือกำผ้าห่มแน่น บีบเนื้อผ้าแรงเหมือนจะจิกทึ้งเจ้าหัวใจในอกให้แหลกคามือว่าตัวเองทำทุกอย่างพังอีกแล้ว

                เมื่อไหร่กันที่กลิ่นคุณน้ำค้างเหือดหายจนแทบจะหาไม่เจอแบบนี้

                แต่ฮิมรู้ว่าเขาจะไม่ได้กลิ่นคุณน้ำค้างห่อหุ้มรอบตัวเลยถ้าหากไม่ได้ซุกตัวอีกฝ่ายและเอาจมูกฝังแอ่งชีพจร กลิ่นที่ปลอดภัยและปลอบประโลมในคราวเดียวกัน หากแต่จืดจางไปอย่างรวดเร็ว

                มีคนบอกว่ากลิ่นติดตัวจะชวนให้คิดถึง แต่ฮิมเพิ่งประสบกับตัวเองว่าการที่ไม่ทิ้งกลิ่นอายไว้เลยคือการคิดถึงมากกว่า และมันโหดร้าย เพราะแม้แต่ปลายลมก็จะไม่มีตัวตนของอีกฝ่ายให้ได้รับรู้ ราวกับวิญญาณที่คอยหลอกหลอน หากเพียงแต่จับต้องไม่ได้เลย

                ฮิมนอนคู้ตัวมากกว่าเดิมเพื่อกอดตัวเองพร้อมกับก้อนผ้าห่ม กลิ่นกาแฟที่ทิ้งไว้ และกลิ่นผ้าสะอาดที่เหือดหาย เหมือนจะลงโทษเขากลายๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกคุณน้ำค้าง ได้แต่ภาวนายามเช้าน้ำค้างจะยังหลงเหลือบนหยาดใบสนและยินดีจะทักทายแสงอรุณแรกพร้อมๆ กับป่าสนในวันใหม่





50%


เด็กสถาปัตถ์ที่ไหนเขานอนกัน เพ้อเจ้อ คือคำที่กิมพูดไว้กับน้ำค้าง และเป็นวลีประจำใจมาตลอดตั้งแต่เรียนคณะนี้มา แต่ตอนนี้กลับมีรุ่นพี่ที่ใกล้จบหน้าสลอนมาสั่งให้เข้านอน
   “เป็นพ่อเหรอมาสั่ง”
   กิมเริ่มพูดจาก้าวร้าวขึ้นเมื่อเริ่มสนิท แต่ความจริงแล้วพี่ทรายนั่นแหละที่ขยันเสนอหน้ามา ไม่รู้ว่าเหงาหรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่
   “อยากให้เป็นพ่อก็ไม่บอก”
   พี่ทรายตอบแล้วก็แกล้งเอียงตัวเอาไหล่กว้างๆ นั่นมาชนไหล่เขา ดีนะที่ไม่ได้กำลังต่อโม แต่เป็นทำงานในโปรแกรม ไม่งั้นคงได้มีด่ากันบ้างล่ะ ว่าแต่ไหล่กว้างเป็นสันเขื่อนขนาดนี้ยังจะมาชนใส่อีก จะอวดหรือไงนะ
   “ง่วงก็นอนดิ” กิมตอบและจงใจเมินคำย้อนอีกฝ่าย พี่ทรายน่ะตามใจเขาเก่งเป็นที่หนึ่ง ไอ้น้ำตกอันดับไปเลย ขนาดเพื่อนสนิทว่ายอมแล้ว แต่พี่ทรายเรียกได้เลยว่าไม่เคยจะขัดใจเขาเลย ยกเว้นครั้งนี้เนี่ยแหละ ไล่จังให้ไปนอนเนี่ย
   “ก็น้องกิมไม่นอนอะ”
   “แล้วทำไมต้องรอผมนอน”
   ตอนแรกก็แค่ชวนมาเล่นเกมด้วยที่ห้องเฉยๆ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่พอเล่นจบก็ดันหาเรื่องอยู่จนยาวมาจะสี่ทุ่มนี่แหละ
   “พี่จะได้นอนตาหลับ”
   “จะตายเหรอ” กิมตอบทันทีจนพี่ทรายหัวเราะพรืด
   “ปากร้ายจังเราอะ”
   “ไม่ชอบก็ไม่ต้องอยู่ด้วย” กิมย่นจมูกใส่หน้าจอโดยไม่ได้หันไปมอง ไม่ได้แคร์ว่าพี่ทรายจะไม่พอใจรึเปล่าที่เขาพูดแบบนี้ เพราะกิมก็พูดแบบนี้กับทุกคน รับไม่ได้ก็ไม่ต้องยุ่งกับเขาก็แค่นั้น เขาไม่ใช่คนประเภทที่ต้องมานั่งง้อคนอื่น หรือขอให้คนมารักมาชอบ เขาจะอยู่กับคนที่ตัวเองพอใจเท่านั้น อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่นี่คือความสบายใจของตัวกิม
   “บอกตอนไหนว่าไม่ชอบ” พี่ทรายตอบเจือขำ “เสนอหน้ามาขนาดนี้เนี่ย”
   “รู้ตัว”
   “หน้าด้านด้วย น้องกิมถีบพี่ก็ไม่กลับหรอก” พี่ทรายบอกและกิมก็ยกขาข้างขวาถีบเอวคนด้านข้างจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาตัวเล็กกว่า จะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ พี่ทรายจับข้อเท้าเขาเกือบรอบแล้วมั้งนั่น แถมยังเอาพาดตักตัวเองไว้หน้าตาเฉยอีก กิมจะชักขากลับก็โดนจับไว้ เนี่ย ตามใจก็ตามใจอยู่หรอก แต่พอจะขัดใจก็เอาซะน่าโมโหเลย
   “อยู่ทำไร” กิมถามยียวน เท้าข้างที่พาดตักพี่ทรายยังคงขยับถีบหน้าท้องอีกคนเล่นไม่แรงนัก
   “อยู่พาคนเข้านอน”
   “ไม่นอน จะทำงาน”
   “ทำไมดื้อ”
   กิมเลือกจะเงียบแทนเพราะขี้เกียจเถียง ความจริงงานก็ไม่ได้รีบอะไรหรอก แต่กิมเป็นพวกไม่ชอบดองงาน ชอบจะทำให้เสร็จทีเดียวเลย เพราะงี้ถึงมีเวลาไปช่วยไอ้น้ำได้บ่อยๆ ปกติก็เป็นคนไม่ค่อยทำอะไรเยอะอยู่แล้วถ้าไม่ได้จดจ่อกับงาน เล่นเกม อ่านการ์ตูน แต่ไม่ได้ติดงอมแงม กิน และนอนเป็นส่วนมาก ไอ้น้ำเคยบอกว่าเขาเหมือนแมวที่ขยันทำงานเพื่อจะเอาเวลาที่เหลือไปกินและนอน
   “พี่ทรายจะนอนก็ปิดไฟ เดี๋ยวผมเปิดโคมเอา” กิมบอกโดยที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอ
   “พี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”
   “เออว่ะ” กิมงึมงำตอบในคอก่อนจะลุกขึ้น แต่พี่ทรายไม่ยอมปล่อยข้อเท้า กลายเป็นว่าเขาก้าวอีกข้างเดินแล้วก็สะดุดจนพี่ทรายต้องกอดเอวเขาไม่ให้ล้มหน้าคะมำลงไป
   “แกล้งไมวะ” กิมสบถแบบออกแนวรำคาญแต่ไม่ได้เคืองอะไร คิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะเอาขาข้างที่พี่ทรายจับไว้สะบัดๆ ให้อีกคนปล่อย “พี่ทราย ปล่อย จะไปหาเสื้อผ้าให้”
   “น้องกิมผอมจังอะ” พี่ทรายยอมปล่อยเนียนๆ กิมย่นจมูกแล้วก็ทำตาโตใส่เป็นเชิงว่ารู้หรอกว่าจะหลอกวัดรอบเอวกัน ไอ้พี่ทรายมันหน้าซื่อใจคด
   “จับไม่โดนพุงนู่มก็ไม่ถือว่าเป็นกอดหรอก”
   กิมเลิกชายเสื้อขึ้นมาแล้วบีบพุงนู่มตรงหน้าท้องขาวตัวเองใส่หน้าอีกคนก่อนจะรีบเดินหนีไปหาเสื้อนอน ได้ยินพี่ทรายตะโกนเสียงโห่ดังมาด้านหลังแบบเสียดายแล้วก็ยักไหล่ใส่ทีนึง สมน้ำหน้า
   พี่ทรายเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับเสื้อนอนตัวใหญ่สุดที่เคยให้ไอ้น้ำมันยืม หวังว่าจะใส่ได้ ใส่ไม่ได้ก็ไหล่ทะลุเสื้อไปเลย เปิดไหล่หนาวๆ ไปนั่นแหละ อยากแนวกระดูกกว้างดีนัก น่าจะกัดให้มันเขียวสักที ถึงกิมจะไม่มีเขี้ยวก็เถอะ กัดไปก็คงได้แค่รอยฟันทิ้งไว้เล่นๆ
   กลิ่นที่โชยออกมาพร้อมกับไอร้อนจากห้องน้ำทำให้กิมนึกได้ว่าถ้าอาบน้ำแล้วสเปรย์ดับกลิ่นก็คงโดนชะล้างไปด้วย กลิ่นหอมหวนแบบเดินกำจายออกมากลบกลิ่นแชมพู กิมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าพี่ทรายกลิ่นเหมือนอะไร มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวแบบที่ไม่มีใครเหมือน แต่กลับหอมจนต้องมองตาม ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองค้นหา กิมเสิร์ชหากลิ่น หรือกระทั่งลองไปดมน้ำหอมตามห้าง ดมกลิ่นดอกไม้ ดมหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังไม่เจอ
   โอเมก้าผมบลอนด์นึกไปถึงหนังเรื่อง perfume น้ำหอมมนุษย์ที่ใช้ผิวหนังมนุษย์หรือคนจริงๆ มาสกัดเป็นน้ำหอม บางทีพี่ทรายอาจจะหอมแบบนั้นรึเปล่า หอมแบบที่เอาอย่างอื่นรอบตัวมาเทียบไม่ได้ แต่คงไม่น่ากลัวแบบในหนังหรอก
   กิมพยายามโฟกัสกับงาน แต่กลิ่นที่ลอยเข้าจมูกมาและกำลังอบอวลไปทั่วห้องมันรบกวนเขา...ไม่สิ ไม่ได้เรียกว่ารบกวน เขาเรียกว่าดึงความสนใจให้สมองของเขาหัวหมุนมัวเมา พี่ทรายดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็แหงสิ กิมควบคุมตัวเองได้ดีในระดับนึง แล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยได้ดมตัวเองสักหน่อย
   “น้องกิม” พี่ทรายเรียกแล้วก็ลงนั่งข้างๆ ที่เดิม กลิ่นหอมเดิมพัดเข้าจมูกจากการที่อีกฝ่ายลงนั่ง และกิมถึงกับต้องเอาหน้าผากลงไปแนบกับแล็ปท็อป ก่อนจะสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าปอดและปล่อยพรูออกมาให้ตัวเองใจเย็นๆ
   “อะไร” กิมตอบเสียงขุ่น
   “ไปอาบน้ำบ้างดิ จะได้นั่งทำงานยาวๆ”
   คราวนี้กิมไม่เถียง เพราะอยากให้เวลากับตัวเองบ้าง แต่พอเดินเข้าห้องน้ำไปก็ต้องขนลุกนิดๆ เพราะกลิ่นพี่ทรายทิ้งเจือไอน้ำไว้เต็มพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้หมด กิมย่นจมูกพ่นลมหายใจอย่างหัวเสียน้อยๆ มือหยิบแชมพูเทราดหัวตัวเองเยอะกว่าปกติเพราะหวังจะกลบกลิ่นอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ กลิ่นตัวก็คือกลิ่นตัว กลิ่นอย่างอื่นก็มาแทนไม่ได้
   กิมเดินเอาผ้าขนหนูพันรอบหัวออกมาข้างนอก แล้วก็นั่งจุ้มปุ๊กลงทำงานที่เดิม เห็นพี่ทรายที่นั่งข้างๆ อยุ่สะดุ้งตัวโยนจากหางตาแต่ก็ทำเป็นมองไม่เห็นไป แล้วก็จับเม้าส์เลื่อนๆ ให้หน้าจอติดเพื่อจะทำงานตามเดิม
   “สระผมไม่เป่าเหรอ”
   “เดี๋ยวก็แห้ง เป่าทำไม เมื่อยมือ” กิมตอบสั้นๆ เพราะกลิ่นพี่ทรายที่อยู่ในบรรยากาศทำให้เขาเริ่มจะไม่อยากทำงานต่อขึ้นมาดื้อๆ
   “มาเช็ดให้ ว่าง” พี่ทรายแกะผ้าขนหนูบนหัวเขาแล้วก็เริ่มลงมือยีหัวเขาจากด้านข้าง และมันค่อนข้างบดบังทัศนียภาพในการทำงานของกิมพอสมควร จนสุดท้ายก็ตัดรำคาญโดยการหันตัวเองทั้งตัวไปทางด้านพี่ทรายเลย มือสองข้างยกขึ้นมาเท้าคางมองพี่ทรายที่ยิ้มแล้วเขยิบมาประจันหน้ากับเขาบ้าง
   “ขนฟูเชียวนะเรา สุขภาพดีนี่” พี่ทรายเช็ดหัวเขาแล้วก็พูดไป กิมช้อนตาขึ้นมองหน้าอีกคน ย่นจมูกใส่อย่างคร้านจะต่อปากต่อคำ
   “ไม่ถามหน่อยเหรอว่าขนฟูแบบตัวอะไร”
   “ขี้เกียจ” กิมตอบแบบไม่เล่นด้วย พี่ทรายขี้แหย่ แต่ก็ยังไม่ล้ำเส้น กิมเลยปล่อยเลยตามเลย จะรับมุกด้วยก็ตอนเขามีอารมณ์ แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ก็ขี้เกียจจะอ้าปากตอบ
   “เคยมีคนบอกไหมว่าพี่ทรายกลิ่นเหมือนอะไร”
   กิมถามลอยๆ เริ่มจะง่วงพอมีคนมาเช็ดหัวให้ เพราะตัวเองก็ไม่ใช่คนนอนเร็วอะไร กลับบ้านทีถึงจะโดนแม่บังคับให้เข้านอนเร็วๆ กับเขาบ้าง
   “กลิ่นเหมือนน้ำหอม”
   “น้ำหอมอะไร”
   “ไม่รู้ เขาบอกว่าเหมือนน้ำหอม แต่ระบุไม่ได้” พี่ทรายพูดไปก็หัวเราะไป แต่กิมผงกหัวเห็นด้วย เหมือนน้ำหอม แต่ก็ไม่รู้จะบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ทำไมมันถึงดูเหนือธรรมชาติขนาดนี้ ฟีโรโมนอาจจะกลิ่นแบบนี้รึเปล่า
   “กลิ่นพี่เต็มห้องเลยอะดิ”
   “อือ” กิมตอบแล้วก็ทิ้งหัวไปข้างหน้าลงแนบกับตักอัลฟ่ากลิ่นหอม พี่ทรายคงเป็นอัลฟ่าคนที่สองที่เขาเอาตัวมาคลุกคลีด้วยถัดจากไอ้น้ำ
   “เหม็นเหรอ”
   “เหม็นต้องแบบคุณฮิม”
   “เอ้า ไอ้น้องฮิมร้องไห้ละเนี่ย” พี่ทรายเอาผ้าตีหัวเขาหยอกๆ ที่ปากร้าย “กลิ่นน้องกิมก็เต็มห้องเหมือนกันนั่นแหละ เข้าห้องน้ำไปนี่เต็มหน้าเลย”
   “ก็แหงดิ นี่ห้องผมปะ” กิมส่งเสียงเหอะในลำคอเหมือนพี่ทรายถามอะไรไม่เมคเซ้นส์ ซึ่งก็ไม่เมคเซ้นส์จริงๆ “แล้วหอมไหมล่ะ”
   ไม่รู้เหมือนกันว่าใจกล้ามาจากไหนถึงถามออกไป กิมเหมือนจะได้ยินพี่ทรายยิ้มโดยแทบไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำ โอเมก้าผมบลอนด์สะดุ้งขนตั้งตอนที่อัลฟ่าซึ่งเช็ดผมให้เขาอยู่ดีๆ ดันโน้มจมูกลงมาหอมไรผมตรงท้ายทอย ถ้ามีหูมีหาง กิมคงหูตั้งหางตั้งเป็นแน่ เหมือนแมวที่โดนเจ้านายหอมเป็นครั้งแรกแล้วเผลอเล็บโผล่ออกมาเตรียมข่วน
   “พี่...” พี่ทรายชิงจะถามอะไรสักอย่างแต่คราวนี้กิมเร็วกว่า เจ้าแมวขนฟูที่พี่ทรายชอบแหย่เล่นเงยหัวขึ้นมากะทันหัน ใบหน้ายังคงนิ่งสนิทเป็นโทนเดิมอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ มือยกขึ้นจับกรอบหน้าของอัลฟ่าเจ้าเสน่ห์ที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อตนแล้วเงยหน้าขึ้นไปจรดริมฝีปากตัวเองชิดกับอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงจุ๊บดังลั่นห้อง ตอนผละออกมาก็หยิบผ้าขนหนูบนหัวหย่อนลงคลุมหน้าพี่ทราย ก่อนที่ตัวเองจะรีบชิ่งไปกระโดดลงบนเตียงเอาผ้าห่มคลุมมิดหัว
   “น้องกิม”
   “อะไร”
   กิมตอบอู้อี้มาจากใต้ผ้าห่ม พยายามจะทำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุดทั้งๆ ที่ใจเต้นตุบๆ ไม่เป็นส่ำ จะคีพคูลไปได้ถึงไหนกันเชียวไอ้กิม
   “ไม่ทำงานแล้วเหรอ”
   “จะนอน ง่วงแล้ว” กิมรู้เลยว่าพี่ทรายยิ้มล้อเลียนอยู่ อย่าหวังเลยว่าเขาจะโผล่หน้าออกไป ห้องตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้กันนะ
   “ง่วงเร็วเนอะน้องกิม”
   “อือ ปิดไฟปิดคอมให้ด้วย อย่าลืมกดเซฟงาน”
   กิมสั่งเสร็จสรรพแล้วก็พลิกตัวเอามือออกมาควานหาหมอนข้างนอกผ้าห่ม ก่อนจะจับหมับโดนมือของคนขี้แหย่ที่จงใจไม่ปล่อยมือเขาอีกแล้ว
   “พี่ทราย” กดเสียงต่ำก่อนเพื่อจะขู่ “อย่าแกล้ง”
   “ดุจังเลยคนเนี้ย”
   “จะนอนไหม”
   “นอนจ้า”
   กวนตีน กิมคิดในใจเงียบๆ ก่อนจะหยิบหมอนข้างมากอดรอใต้ผ้าห่ม จนกระทั่งอีกคนทำทุกอย่างตามที่เขาบอกเรียบร้อย และห้องมืดสนิทนั่นและ กิมถึงโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มแล้วยกชายอีกด้านให้เปิดขึ้นเพื่อให้คนตัวโตมุดเข้ามาห่มด้วย
   “กอดเจอพุงนู่มแล้วเนี่ย ถือว่ากอดยัง”
   “อือ”
   กิมตอบเสียงเดิม ห้องมืดแล้วหรอก จะเขินหน้าแดงแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นนี่ 





     
tbc.   


แชปนี้พาร์ทน้ำฮิมเขียนยากมากเลยค่ะ อึดอัดแทนตัวละคร เพราะจะพิมพ์ตรงๆ ก็ดูงี่เง่า

จะพิมพ์อ้อมๆ ก็กลัวไม่เก๊ตกัน เลยเลือกใช้คำใช้ประโยคนานมาก

ที่หายไปคือไปโอ้เอ้อยู่ในยูทูปค่ะ ;__; จะกลับมาตั้งใจพิมพ์แล้ว

ขอบคุณทุกฟีทแบคเช่นเคยนะคะ

feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2018 23:23:55 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เจ็บปวดอ่าาา ขมุกขมัวแบบ ความสัมพันธ์ที่ยังไงก็ไม่คืบหน้าไรงี้ ทำไรไม่ได้ แสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้ ฮือออ

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แอบสงสารน้ำค้าง แต่ก็เข้าใจฮิม ว่ามีความหลัง มีเรื่องต้องให้คิดเยอะ
ลุ้นนนนนน สุดตัว ตอนก่อนหน้านี้หน่วงมากๆเลย แต่ชอบมาก :hao5://ฮาาาาา
ส่วนกิมกับพี่ทรายนี่ก็แบบ อ่านไปละเขินแทนน้องกิมมมม
พี่ทรายนี่ขยันเต๊าะจริงๆ สเปรย์ที่ซื้อมานี่สรุปได้ใช้ยังคะ หรือตอนอยู่กับน้องกิมนี่ไม่ต้องชงไม่ต้องฉีดมันหรอก :hao3:

รอติดตามเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้ เรื่องกำลังเข้มข้น ค่อยๆคลายปม :กอด1:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตอนเดียวสองอารมณ์ หน่วงไปกับน้ำค้าง+ฮิม
แล้วมามุ้งมิ้งกับทราย+กิม เหมือนโดนคนเขียนตบหัวแล้วลูบหลังยังไงพิกล 555
ตอนนี้ไม่มีเพลงประกอบเหรอ ไม่เป็นไรงั้นเราขอแนะนำ
How can I love you ( xia junsu )
ost.Descendant of the sun
 :mew1:

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
***warning: rape & degradation

เนื้อหาของบทนี้การข่มขืนและการใช้วาจาลดคุณค่าแทรกอยู่ โดยที่เราจะทำการขีดเส้นใต้เอาไว้ ใครไม่ประสงค์จะอ่านหรือทริกเกอร์กับคอนเท้นท์ดังกล่าวสามารถเลื่อนข้ามได้เลยค่ะ***

chapter ten



                น้ำค้างจะเรียกว่านอนหลับก็เกรงว่าจะไม่สนิทนัก ปกติเขาไม่ใช่คนบ้างานแบบไอ้กิม แต่เมื่อวานน้ำค้างปั่นงานยันฟ้าเหลือง หลับตาได้เพียงสามสี่ชั่วโมงก็ต้องลืมตาขึ้นมาอาบน้ำไปเรียนแล้ว

                พยายามจะทำตัวให้ปกติแต่ยอมรับว่าค่อนข้างเสียศูนย์ ไม่รู้จะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไร ในมือหิ้วถุงพลาสติกที่มีสำลี น้ำเกลือ และเบดาดีนแกว่งไปมาระหว่างเดินเข้าตึกคณะ ในใจเอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะเอาไปให้ดีรึเปล่า หรือควรจะเอากลับไปเก็บใส่กล่องทำแผลของตัวเองเหมือนเดิมดี การเผชิญหน้าดูไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่ ในอกเอาแต่กระวนกระวายว่าอีกคนจะไม่ยอมทำแผลล้างแผล น้ำค้างก็ยังคงเป็นน้ำค้างที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ

                ขายาวก้าวไปตามทางเดิน ตั้งใจจะแวะเข้าห้องน้ำก่อนเข้าเซคเรียน แต่คนที่ยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำทำเอาขาน้ำค้างหยุดกึก จะหมุนตัวหันกลับก็ไม่ทันเสียล้วเพราะกระจกเงาสะท้อนภาพเขา และคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกก็คือคนที่น้ำค้างกำลังลังเลว่าควรจะเอาถุงในมือไปให้ดีหรือไม่

                อ่า ทำไมคุณฮิมมาอยู่ตรงนี้กันนะ

                ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเยอะว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมาเจอเขา หรือดักรอ แต่เวลากับสถานที่มันพอเหมาะพอเจาะไปหมด ตึกบัญชีไกลจะตาย หรือเขาควรจะคิดให้ร้ายที่สุดไว้ก่อนว่าอีกฝ่ายอาจจะมาหาเพื่อนเฉยๆ รึเปล่า

                น้ำค้างหันตัวจะเดินออก แต่คุณฮิมก็คือคุณฮิมที่เหนือกว่าเขาทุกอย่าง ทั้งความเร็วและความรู้สึก ข้อนิ้วยาวๆ ที่น้ำค้างชมว่าสวยนักสวยหนากำรอบข้อมือเขาแน่น กลิ่นป่าสนยังคงทำให้เขาปั่นป่วนเช่นเดิม น้ำค้างรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่างทั้งที่ทุกอย่างไม่ชัดเจน

                “คุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมดูเหมือนคนที่ไม่ได้นอน ดวงตาอิดโรยเหนื่อยล้าและบวมจากการร้องไห้ แก้มเริ่มขึ้นสีช้ำเลือดอย่างชัดเจน ทันทีที่น้ำค้างมองเห็นแผลเขาก็รีบยื่นถุงพลาสติกในมือให้ทันที

                “อย่าลืมทำแผลนะคุณฮิม”

                ป่าสนของเขาชะงักไป มือรับถุงพลาสติกมา ก่อนจะยอมปล่อยข้อมือเขา น้ำค้างมีคำถามมากมาย คนตรงหน้าราวกับจะเป็นคำตอบแต่ก็ไม่ใช่ คุณฮิมยังคงฉาบไปด้วยม่านหมอก และน้ำค้างมืดแปดด้าน

                “คุณน้ำค้าง” คุณฮิมเรียกเขาอีกรอบคล้ายจะย้ำกับตัวเองว่ากำลังพูดกับเขาอยู่ “คุณน้ำค้าง...”

                น้ำค้างไม่เคยใจร้ายกับใคร แต่ในครั้งนี้เขาเลือกจะระเหยตัวเองไปกับแสงอรุณ บอกลาใบสนที่ทอดตัวเหี่ยวลู่จากแรงพายุโหมเมื่อคืน ขายาวก้าวเดินออกมาจากคุณฮิม เพราะว่าป่าสนใจร้าย ทำให้เขาเจ็บปวด น้ำค้างท่องเอาไว้ คิดว่าจะสบายใจขึ้นถ้าได้ยื่นอุปกรณ์ทำแผลให้ แต่เปล่าเลย เขายังคงเจ็บปวดและสับสน ยังคงเป็นแค่ไอ้น้ำคนขลาดที่เอาแต่หนีปัญหาเช่นเดิม

                น้ำค้างเดินเข้ามานั่งในเซคอย่างคิดไม่ตก ไอ้กิมมาเร็วเหมือนเคย ในปากเคี้ยวขนมโปรดที่ซื้อกินมาประจำอย่างสบายใจ น้ำค้างล่ะหมั่นไส้ ไอ้พวกไม่มีอะไรให้กังวลนี่มันดีจริงๆ

                “มองไร จะแย่งแดกเหรอ”

                กิมถามแล้วก็ย้ายที่เจ้าถุงขนมมาไว้ฝั่งที่เขานั่ง น้ำค้างไม่มีอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้นแหละ ตั้งใจจะหยิบชีทขึ้นมากางบนโต๊ะก็เพิ่งจะจับสังเกตอะไรได้

                “กิม”

                “ไร”

                “ทำไมวันนี้มึงมีกลิ่นวะ”

                 แทนที่จะเห็นท่าทางสีหน้าใหม่ๆ ของเพื่อนสนิทแต่กิมกลับทำเพียงยักไหล่และจิ้มโทรศัพท์เล่นเกมต่อ

                “วันนี้ลืมฉีดสเปรย์”

                “ห้ะ?”

                ถามจริง? น้ำค้างทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม จมูกฟุดฟิดดมกลิ่นเพื่อนที่ไม่ค่อยได้กลิ่นถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มาอาบน้ำนอนค้างห้องเขาจริงๆ แต่แล้วก็ได้อะไรแปลกๆ ติดมาในจมูกอีกรอบ

                “กิม มึงไปคลุกกับใครมาวะ ตัวมึงหอมแปลกๆ แบบมีกลิ่นคนอื่นด้วย”

                คราวนี้เพื่อนถึงกับเล่นเกมแพ้ กิมกดล็อกหน้าจอก่อนจะหยิบขนมใส่ปาก ยักไหล่ใส่ท่าเดิม เกลียดมันจังวะ ไอ้ท่ายักไหล่คูลๆ กับหน้าไม่แยแสโลกเนี่ย

                “เก่งนักเหรอเราอะ” หยิบยืมเอาคำพูดเพื่อนที่ชอบพูดใส่เขาบ่อยๆ มาโยนคืนบ้าง

                “เรื่องของกู” โอเมก้าผมบลอนด์หยิบขนมซองใหม่ออกมาฉีก

                “ขนมเยอะนะวันนี้อะ” น้ำค้างแกล้งแซวเผื่อจะฟลุ๊ค และทันทีที่เพื่อนติดคอจนต้องกรอกน้ำเข้าปาก ก็นั่นแหละ ฮุคเข้าเต็มหมัด

                “เสือกจังวะ จับผิดอะไรกูนักหนา”

                “มึงได้...” น้ำค้างตบมือดังแปะใส่หน้าเพื่อน แต่ดันมือลื่น เลยเสียงไม่ดังแปะ แต่เป็นเสียงดังวืดแทน กิมมองหน้าเขาเหมือนจะพูดเชิงว่า กาก

                “เอ่อ มึงได้ป้าบก่อนกูเหรอวะ”

                “ไม่ป้งไม่ป้าบอะไรทั้งนั้นอะ”

                เพื่อนตอบหน้านิ่ง แต่หน้าจอมือถือเด้งเสียงแจ้งเตือนก็รีบพลิกขึ้นมาดู น้ำค้างแอบเห็นชื่อแวบๆ ว่าพี่ทราย ชื่อคุ้นจังวะ

                “รีบตอบแชทเนอะ”

                “เสือก”

                ด่าเขาแต่มุมปากยกขึ้นตอนพิมพ์ตอบคืออะไร จู่ๆ ไอ้กิมจะมีเจ้าของก็ง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ใครกันที่ทำให้เพื่อนตัวเล็กเขาต้อนรับเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้ขนาดนี้ น้ำค้างขมวดคิ้วแต่ก็ไม่อยากละลาบละล้วงต่อ ก็แค่อยากจะแซวเพื่อนเป็นพิธีให้พอสนุกปากเฉยๆ






                ฮิมตัดสินใจโดดเรียน เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเข้าไปนั่งอยู่ในห้องและหลับกับโต๊ะ มือกำถุงพลาสติกที่เต็มได้วยอุปกรณ์ทำแผลแกว่งไปมา คุณน้ำค้างน่ะใจดี แค่นี้ก็ใจดีมากพอแล้วสำหรับเขา ฮิมไม่ควรได้รับอะไรแบบนี้จากคำพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้นึกเคืองโกรธเลยที่อีกฝ่ายเดินหนีเขาก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยคำขอโทษ จะเรียกว่ามาง้อก็คงไม่ผิดนัก แต่ไม่รู้ว่าคุณน้ำค้างจะอยากฟังรึเปล่า เขาน่ะกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรทำร้ายความรู้สึกเจ้าตัวอีก

                แพลนที่ว่าจะกลับไปนอนที่ห้องโดนพับเก็บไปเมื่อเขาลมพัดกลิ่นไหม้ของกาแฟตีเข้าหน้าเจือผลไม้หน้าร้อนที่ปลายกลิ่น ฮิมเงยหน้า เจ้าของกลิ่นยืนดักรอเขาอยู่หน้าคณะ

                “กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

                ประโยคทักทายจากแฟนเก่าดูไม่เป็นมิตรเช่นเคย ฮิมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มตรงส่วนที่โดนต่อยมา ก่อนจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ความหงุดหงิดของเขาไม่เคยนำเรื่องดีๆ มาเลย เลือดอัลฟ่าในตัวเยอะจริงๆ นั่นแหละ ที่ไปยุ่งป้วนเปี้ยนเทียวไปเทียวมากับโอเมก้ากลิ่นซีตรัสก็เพราะความหงุดหงิดทั้งนั้น

                “ยอมคุยกับกูดีๆ แล้วเหรอเมฆ”

                ฮิมเรียกชื่อคนตรงหน้า เมฆที่เคยลอยต่ำอยู่เหนือป่าสน ปกคลุมไปทั่วอาณาเขตผืนป่า หากแต่เมื่อลมหน้าร้อนพัดผ่านมาเยือน กลับพัดเอากลุ่มเมฆเหล่านั้นลอยหายไปเสียจนหมด เหลือเพียงแต่ม่านหมอกจางๆ ลอยเอื่อยอย่างเงียบเหงาและไม่เข้าใจ

                “ไปคุยในรถ”

                ฮิมรู้ว่าตัวเองโง่ที่เดินตามไป แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วเช่นกัน

                ทันทีที่เข้าไปนั่งที่หน้าคนขับคู่กันและปิดประตูรถฮิมก็ต้องขมวดคิ้วกับกลิ่นผลไม้ที่ฉุนกึกเต็มรถ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงจะหงุดหงิดมากก็ตาม

                “จะคุยอะไร” ฮิมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เมฆออกรถ และฮิมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะขับไปไหน แต่ก็ไม่ได้ถาม

                “มึงมีใหม่แล้วเหรอ?”

                ฮิมแค่นหัวเราะออกมาจากในคอ

                “หนักหัวมึงเหรอ”

                “กูไม่ได้หวงก้างเหมือนมึง”

                ฮิมกัดกระพุ้งแก้มตัวเองระบายความหงุดหงิดเลือดร้อนในตัวเอง จะเรียกว่าหวงก้างก็ไม่ผิด เพราะเขาก็นิสัยเสียแบบที่ว่ามาจริงๆ แต่คนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ก็จะเป็นเพราะใคร หากไม่ใช่กลิ่นเมล็ดกาแฟไหม้เจือกาแฟด้านข้างที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ สร้างโลกทั้งใบให้เขาก่อนจะพังทลายมันตรงหน้าก่อนที่เขาจะได้ทันรู้ตัว ในชั่วเสี้ยวพริบตาที่อีกฝ่ายฉีกทึ้งตัวเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เพียงชั่วลมหายใจที่เขาไร้จุดยึดเหนี่ยวจากความสัมพันธ์ที่ลากยาวมาสองปี

                “มึงทิ้งกูเพราะเผลอไปกัดคนอื่นภายในคืนเดียว” ฮิมพูดเสียงเบาแต่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินแน่นอน “กูหวงก้างหรือใครที่ผิด”

                เมฆไม่ได้ตอบอะไรเขา สีหน้าดูเหมือนคนที่ไม่มีความผิดติดตัว

                “ตอนเขาเข้าหามึงก็บอกกูว่าไม่มีอะไร แล้วจู่ๆ ภายในคืนเดียวที่กูตื่นมาแล้วมึงกลายเป็นของคนอื่น กูต้องทำยังไง” ฮิมพูดเสียงราบเรียบ เขาเล่าเรื่องนี้ในหัวตัวเองมาเป็นร้อยรอบ เหมือนสุนทรพจน์ที่ซ้อมไว้พูดให้ตัวเองฟังคนเดียว แต่ในวันนี้มีผู้ฟังที่สมควรจะได้ฟังเสียที “มึงจะให้กูปล่อยวางทั้งๆ ที่มีโอเมก้าที่ไหนไม่รู้มาอ่อยมึงเหรอวะ”

                “ระวังปากหน่อย เขาไม่ได้อ่อยกู” เมฆตอบกลับแทบจะเรียกได้ว่าทันควัน และฮิมก็นั่งนิ่ง ปล่อยให้หัวใจจมจ่อมลงกับตะกอนด้านล่างช้าๆ

                “ทำไมมึงต้องแก้ตัวแทนมันวะ” ดวงตาฮิมมองตรงไปด้านหน้าแต่ปากยังพูดต่อไปเรื่อยๆ “คำอธิบายของมึงคือแค่นี้เหรอที่ให้กูได้ มึงเอาแต่ปกป้องแม่งแล้วก็รับผิดชอบแม่ง แล้วกูล่ะ”

                ฮิมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปมีความเห็นแก่ตัวปนอยู่ แต่เขาผิดเหรอ เขาผิดตรงไหนเหรอ ฮิมเอาแต่ถามตัวเองประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาว่าในความสัมพันธ์นี้เขาผิดตรงไหน

                ‘มันไม่ถูกตั้งแต่ผมเป็นอัลฟ่าแล้วรึเปล่า’

                เสียงของผ้าสะอาดลอยขึ้นมาในหัวราวกับคำถามตัดพ้อน้อยเนื้อต่ำใจในพันธุกรรมและเลือดในตัว คุณน้ำค้างคงจะรู้สึกเหมือนเขาตอนนี้ว่าตัวเองผิดตรงไหนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

                “กูไม่ได้แก้ตัว”

                เมฆตอบเหมือนเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอ

                “กูตั้งใจมาร์กเขา กูตั้งใจจะจับคู่กับเขาเอง”

                ล้อรถหยุดหมุน ฮิมไม่ได้สนใจว่าเขาโดนพามาที่ไหน ในหัวมีแต่ประโยคเดิมที่โดนพ่นออกมาให้ฟัง ราวกับสมองเขาโดนสาดด้วยระเบิด เสียงตู้มที่ดังอยู่ในหัวก็ไม่เท่ากับเสียงของตกแตกที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีแก้วนับพันใบให้ปาทิ้งลงกับพื้น

                “กูผิดอะไร”

                ฮิมพึมพำคำนี้ออกมาซ้ำไปซ้ำมา

                “กูผิดอะไร กูผิดตรงไหน”

                ศักดิ์ศรีความเป็นอัลฟ่าโดนย่ำยีแหลกคาพื้น เขาไม่เคยคิดจะรักกับอัลฟ่า แต่เขายอม ยอมกระทั่งอยู่ในฐานะโอเมก้าให้บนเตียง ยอมเป็นฝ่ายรับให้ทั้งๆ ที่เขาจะหนีไปหาคนอื่นก็ได้ หลายครั้งหลายคราที่จ้องหาโอเมก้าคนอื่น แต่ก็ไม่เคยคิดจะกระทำการลับหลัง เหมือนความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาโดนขยำเละเทะ

                “กูด่าไปไม่จำเหรอวะ”

                เมฆหันมาถามเขาพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก เร็วกว่าที่ใจคิด ฮิมยกขาขึ้นถีบอีกคนด้วยความโมโห ให้สมกับที่ข้างในปอดเขาที่เหมือนกำลังโดนเผาทั้งเป็นในทุกๆ ครั้งที่หายใจ อัลฟ่ากับอัลฟ่า ฮิมรู้ว่าเขาจะกลับบ้านในสภาพน่าเกลียด แต่เขาหยุดอะไรไม่ได้แล้ว มืออีกฝ่ายทึ้งกลุ่มผมเขาไปด้านหลังจนต้องแหงนคอตาม อัลฟ่ากลิ่นกาแฟข้ามเบาะมาคร่อมทับตัวเขาและปรับเบาะลงนอนจนสุด หมัดถูกปล่อยโดนแผลเดิมอีกครั้งและอีกครั้ง ป่าสนกำลังซับสีเลือดช้าๆ ด้วยร่างกายที่ผอมกว่า ปากถ่มน้ำลายปนเลือดใส่คนที่คร่อมเขาด้วยโทสะที่คะนอง

                “มึงมันเหี้ย”

                มือจิกทึ้งผมของคนที่คร่อมตัวเขาอยู่คืนบ้าง ครั้งหนึ่งเคยรักมากเท่าไหร่ ก็เกลียดได้มากเท่านั้น ปากสำรอกคำหยาบคายมากมายที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถพูดออกมาได้ ป่าสนร้องไห้ ความเจ็บปวดไหลรวมกับความโกรธเกรี้ยวราวกับน้ำป่าไหลหลาก ต้นสนถูกโค่นล้มลงทีละต้นด้วยแรงน้ำเชี่ยวกราก

                มือของคนด้านบนเลื่อนลงไปปลดเข็มขัดเขาและนั่นทำให้ฮิมเบิกตากว้าง ขายกขึ้นหุบเข้าตามสัญชาตญาณ มือยกขึ้นต่อยหน้าอีกฝ่าย กลิ่นคาวเหล็กปะปนกับกลิ่นไหม้ของกาแฟ แล้วก็โดนสวนชกเข้าที่ท้องจนจุกเจ็บไปหมด มือสองข้างโดนรวบจับ ไม่วายฝ่ามือยกขึ้นมาตบหน้าเขาอีกรอบจนชาไปหมด

                “หวงกูนักไม่ใช่เหรอ” เสียงของคนรักเก่าถามเหมือนจะหยัน “หวงกูมาก อยากได้กูคืนมากไม่ใช่เหรอ”

                ฮิมยกขาขึ้นจะถีบอีกรอบแต่กลับกลายเป็นว่าอำนวยให้อีกคนร่นกางเกงเขาออกอย่างง่ายดาย ฮิมหอบหายใจสะอื้น สภาพของตัวเองตอนนี้หน้าสมเพชเสียจนไม่อยากจะลืมตามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นิ้วที่เคยล่วงล้ำเข้ามาหลายต่อหลายครั้งยามรักยังหวานแต่ในครานี้กลับขมดั่งยาพิษ ช่องทางที่ไร้สารหล่อลื่นเพราะผิดธรรมชาติถูกเสียดสี ฮิมกัดปากตัวเองจนห้อเลือด ต่อให้ตายก็จะไม่ส่งเสียงออกไปให้อีกฝ่ายได้ใจ ทัศนียภาพมืดสนิท แต่หูยังคงชัดเจน คำพูดกลายเป็นอาวุธทิ่มแทง คล้ายจะเสียบศักดิ์ศรีของเขาปักประจานโร่ให้ไม่เหลือซึ่งความเป็นคน

                “ร่าน ขนาดกูทิ้งมึงไปแล้วมึงก็ยังไปอ้าขาให้กับอัลฟ่าคนอื่นอีก”

                “มึงถามว่ามึงผิดอะไร แล้วเสือกเกิดมาเป็นอัลฟ่าทำไมล่ะวะ”

                “เป็นอัลฟ่าแล้วก็ยังทำตัวเสียชาติเกิด แม่มึงคงจะภูมิใจหรอกที่ลูกชายอ้าขาให้อัลฟ่าคนอื่น”

                “อัลฟ่ากับอัลฟ่าด้วยกัน กูจะอ้วก ทนเอามึงไปได้ยังไงตั้งสองปี”

                ฮิมอยากจะตายลงตรงนี้ เขาอยากจะหูหนวก อยากจะตาบอด คำพูดทุกอย่างกรีดแทง ไร้ซึ่งความปรานี ช่องทางด้านล่างถูกทำร้ายอย่างฝืดเคือง หากมีใครทำให้เขาสามารถเกลียดตัวเองได้มากกว่านี้ ก็คงจะเป็นตัวเขาเองที่โง่งม ที่ยอมขึ้นรถมาโดยหวังในคำอธิบายที่ดีกว่านี้

                ได้โปรด หยุด...

            ได้โปรดหยุดความเจ็บปวดทรมานนี้เสียที 






                ฝนร่วงหล่นลงมาจากฟ้าสีเทา กรุงเทพฯมีฝนหลงฤดูหลายครั้งหลายคราจนทำนายล่วงหน้าไม่ออกว่าวันไหนฝนจะตกอีก ร่างของฮิมนั่งพิงกำแพงข้างซอยที่โดนทิ้งไว้ สภาพน่าเกลียดจนไม่อยากจะลืมตาขึ้นมองตัวเอง หัวใจสลายเป็นเศษซาก พยายามหลายครั้งที่จะกอบโกยด้วยสองมือของตัวเอง แต่ประคองเท่าไหร่ก็ได้ไม่ครบเสี้ยวที่แตกละเอียดเสียที ฮิมล้มเลิกความพยายาม เขาเหนื่อยเหลือเกิน

                สภาพตัวเองตอนนี้ไม่ต่างจากถุงขยะเปียกที่โดนโยนทิ้งข้างทาง ช่วงล่างเจ็บแสบเสียจนไม่อยากจะลุกเดิน ร่างกายบอบช้ำเลือดช้ำหนอง เต็มไปด้วยรอยแผล ฝนที่ตกลงมาชะล้างคราบเหล็กตามใบหน้าและตัวจนกลายเป็นของเหลวสีแดงจาง ฝนเริ่มจะลงเม็ดแรงขึ้นเรื่อยๆ ฮิมหายใจทางริมฝีปาก มือเอื้อมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า กดโทรออกหาคนที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมาหากันรึเปล่า

                [ฮัลโหลครับ]

                “...”

                คุณน้ำค้างรับสายไวอย่างที่คาด เสียงของอีกฝ่ายปกติดี ฮิมหอบหายใจกลืนก้อนสะอื้น แต่พอจะพูดก็ดันจุกราวกับหาเสียงไม่เจอ

                [คุณฮิม?]

                “...”

                [คุณฮิม เป็นอะไรรึเปล่า?]

                เรียกเขาเหรอ? ถามเขาเหรอ? ยังจะเป็นห่วงเขาอยู่อีกเหรอ? เขายังมีค่าความเป็นคนเหลือให้เป็นห่วงอยู่อีกเหรอ? ฮิมถามกลับอย่างไร้เสียง น้ำตาไหลรวมกับหยาดฝนเย็นเฉียบจนแยกไม่ออก

                [คุณฮิม? อยู่ไหนเนี่ย? คุณฮิม? ตอบผมหน่อย คุณฮิมอย่าเล่นแบบนี้ดิ]

                ฮิมกดวางสาย ก่อนจะส่งโลเคชั่นเข้าไปในไลน์อย่างทุลักทุเลเพราะหน้าจอที่เปียกฝน ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าดังเดิม เปลือกตาปิดลงรออีกคนมา หรืออาจจะไม่มาก็ได้ คุณน้ำค้างน่ะ อาจจะคิดว่าเขาแกล้งเล่นแบบที่ผ่านๆ มา

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่ฝนเริ่มลงเม็ดแรงขึ้นเรื่อยๆ จากความเจ็บปวดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นชินชา เปลือกตาปิดลงเนิ่นนาน เสียงรถผ่านไปผ่านมาจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงปิดประตูรถดังขึ้นเหนือหัว

                “คุณฮิม!”

                คุณน้ำค้างก็ยังเป็นคุณน้ำค้างอยู่ดี ใจดี คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ขนาดคนที่ทำร้ายความรู้สึกก็ยังมาหากัน เขาเกลียดสภาพตัวเองตอนนี้พอๆ กับการที่จะลืมตาขึ้นมองหน้าคุณน้ำค้างตรงๆ ทุกอย่างตอนนี้ของเขาคงดูน่าสมเพช น่าขยะแขยง และไม่น่ามอง

                “คุณฮิม”

                คุณน้ำค้างกอดเขา กอดแน่นเสียจนฮิมเจ็บ กลิ่นผ้าสะอาดฝังอยู่พอดีตรงใต้จมูก และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

                “คุณฮิม ทำไมทำแบบนี้... ทำไมเป็นแบบนี้ ใครทำให้คุณฮิมเจ็บ ทำไมคุณฮิมต้องปล่อยตัวเองแบบนี้”

                นั่นเป็นครั้งแรกที่คุณน้ำค้างร้องไห้ ลมหายใจหอบหนักปนสะอื้นในประโยคที่พรั่งพรูทะลุเสียงฝน และสาเหตุก็คือตัวเขา ฮิมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้องไห้ที่เห็นเขาเจ็บ ทำไมต้องห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำไมคุณน้ำค้างถึงได้ให้ค่าเขามากถึงขนาดนี้

                “คุณฮิม ผมขอโทษ”

                คำขอโทษที่คุณน้ำค้างได้พูดออกมาก่อนทำให้ฮิมยกมือขึ้นมาจิกไหล่อีกฝ่ายแน่น เขาโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่มีโอกาสได้พูดขอโทษก่อน โกรธที่ตัวเองทำร้ายความรู้สึกคุณน้ำค้าง ความจริงแล้วเขาไม่สมควรได้รับความรู้สึกมากมายจากคุณน้ำค้างเลยต่างหาก

                ทำไม...ทำไมคุณน้ำค้างต้องเป็นอัลฟ่า ทำไมตัวเขาต้องเป็นอัลฟ่า

                “คุณฮิม ผม...ผมสัญญา จะไม่ถามคุณฮิมอีก” คุณน้ำค้างยังคงเอาแต่พร่ำบอกเขาแบบนั้น “ผมสัญญา...จะไม่เดินหนี จะไม่ทิ้งคุณฮิมอีก”

                หัวใจของป่าสนถูกขุดขึ้นมาอย่างหยาบโลน และตอนนี้คุณน้ำค้างกำลังค่อยๆ กลบลงดินทีละน้อย เดินหาเศษเสี้ยวที่กระจัดกระจายมาประกอบเข้าด้วยกันทีละชิ้นอย่างอดทน และฮิมไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมต้องใจดี ทำไมต้องให้ค่า ทำไมต้องให้ความหวังเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “คุณน้ำค้างอย่าโกหกผมเลยนะ” เขากระซิบบอกข้างหู ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง กลิ่นผ้าห่มสะอาดห่อหุ้มราวกับจะบอกให้เขาร้องไห้เท่าไหร่ก็ได้ตามใจ จะงี่เง่าโวยวายแค่ไหนก็ได้ “ทำไม...ทำไมต้องเป็นอัลฟ่า”

                “คุณฮิม...”

                “ผมน่าเกลียดไหม?”

                “ไม่ คุณฮิม...”

                “ผมน่าสมเพชไหม? ที่ผมเป็นอัลฟ่า”

                ฮิมตะโกนถาม สองแขนกอดคุณน้ำค้างแน่น เล็บจิกเสื้ออีกฝ่ายจนยับยู่ยี่ ความเจ็บปวดที่ช่วงล่างยังคงย้ำเตือนถึงคนที่เคยยอมจำนนให้มากที่สุดบัดนี้กลับด่าทอเขา เหยียดศักดิ์ศรีเขาเหมือนสัตว์

                “คุณฮิม ไม่ คุณฮิมไม่น่าเกลียด คุณฮิมมีค่าสำหรับผม...มากๆ”

                คุณน้ำค้างตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ใจแตกสลาย ฮิมสะอื้นจนตัวโยน ชั่ววินาทีที่คิดว่าไม่มีใครต้องการ แต่ผ้าสะอาดตรงหน้ากลับโอบอุ้มเขาเพื่อบอกว่าเขาคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด

                “คุณฮิม ผมขอร้อง...”

                “...”

                “อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ”

                ป่าสนหอบหายใจเข้าและออกช้าๆ ตามจังหวะของฝ่ามือที่ลูบปลอบประโลมแผ่นหลังเขา ฝนเริ่มซาลงมาสักพักแล้ว

                “กลับไปทำแผลกับผมนะ”

                ฮิมพยักหน้าก่อนจะหลับตาเมื่อผ้าห่มโอบอุ้มตัวเขาให้ลอยขึ้น สติที่พร่าเลือนไปพร้อมๆ กับกลิ่นเนื้อผ้าสีขาวในมโนสำนึก กลิ่นที่ปลอดภัย กลิ่นคุณน้ำค้าง

                ถ้าเป็นคุณน้ำค้าง...ก็ไม่เป็นไรแล้ว

 

 

 

           
   tbc.









เขียนแชปนี้ยากมากๆ เลยค่ะ ยากกว่าแชปเก้าหลายเท่าเลย เราไม่คิดว่าจะมีวันที่เขียนนิยายแล้วจะร้องไห้จริงๆ

ตอนเขียนตอนนี้จบคือจุกในอกมาก เกือบร้องไห้จริงๆ แต่ยังไม่ร้อง ;__;

เราไม่ขอให้เข้าใจตัวละคร เพราะคนเราผิดพลาดกันทุกคน มีดีไม่ดีปนกันไป เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไปค่ะ แต่แค่หวังว่าจะเก๊ทพ้อยท์ที่เราพยายามจะสื่อเรื่องการเหยียดในเรื่อง มันคือ big deal ของโอเมก้าเวิร์สที่ถ้าเทียบกับโลกความจริงก็คงเป็นการเหยียดเพศแหละค่ะ เราเขียนแนวนี้ครั้งแรก นี่ก็เป็นมุมมองที่อยากจะลองนำเสนอดู ใครสงสัยอะไรสามารถถามได้ตลอดนะคะ เราจะตอบตามความเข้าใจเราที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา

เพราะโอเมก้าเวิร์สไม่มีกฏที่ตายตัว บางอย่างเราก็ยืดหยุ่นเอาให้เข้ากับพล็อตค่ะ

สำหรับเพลงแชปนี้ เอาเพลงนี้ไปเลยค่ะ outro: tear - bts ต้องฟังแบบดูความหมายด้วยนะ บังคับ! 55555555

ขอบคุณทุกฟีทแบคเช่นเคยค่ะ เจอคำผิดสามารถบอกกันได้นะคะ เราพิมพ์แบบเบลอๆ อาจจะไม่เจอ

เราสมัคร ask ไว้ด้วย ใครมีอะไรอยากคุยอยากถาม โผล่เข้ามาหย่อนจดหมายให้กันได้นะคะ รบกวนติดอีโมจิคุณพระอาทิตย์ให้เราที เราจะได้แยกออกว่าไม่ใช่คำถามแรนด้อมมาค่ะ แหะ >> https://ask.fm/hopeniverse_







feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน






 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2020 21:13:53 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
แฟนเก่าฮิมแย่มากกๆๆๆๆๆ แบบทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ฮิมให้น้ำค้างฮีลเถอะนะ

ออฟไลน์ oily06

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เจ็บปวดใจจริงๆค่ะ  :katai1:
แต่พออ่านแล้วกลับรู้สึกว่าดีแล้วที่ฮิมเปนอัลฟ่า ถ้าเป็นโอเมก้าแล้วโดนคนแบบเมฆกัดคงแย่กว่านี้ ขนาดตอนคบกับฮิมก็ยังนอกใจไปมาร์กคนอื่น นี่ก็มีคู่แล้วยังมาทำแบบนี้กับฮิมอีก ช่างเป็นคนที่ทั้งเห็นแก่ตัวและไม่รู้จักพอจริงๆ หลังจากนี้หวังว่าคุณฮิมจะหลุดพ้นจากบ่วงต่างๆ พักใจนอนซุกอยู่กับกองผ้าห่มให้สบายนะคะ  :กอด1: คุณน้ำค้างจะทำให้เห็นเองว่าตัวคุณฮิมมีค่าขนาดไหน อย่าไปแคร์อีคนนิสัยเลวๆแบบเมฆเลย  :z6: :z6: :z6:
ชอบคู่พี่ทรายกิม แต่ตอนนี้อยากรู้ความเป็นไปของคู่หลักมากๆ เป็นกำลังใจให้คุณฮิมกับคุณน้ำค้าง  :mew2: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter eleven



                น้ำค้างไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้ แต่ในตอนที่เขาลงจากแท็กซี่แล้วเจอคุณฮิมนั่งอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยสีแดงช้ำและรอยบาดแผล ป่าสนของเขากำลังเจ็บปวด และทันทีที่ภาพตรงหน้ากระแทกเข้ามา น้ำค้างไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกอะไรก่อน ระหว่างเจ็บปวด โกรธ เสียใจ หรือรู้สึกผิด

                เจ็บปวดที่เห็นคุณฮิมเจ็บ

                โกรธว่าใคร...ใครกันที่กล้าเอาขวานโค่นต้นสนของเขาเสียสิ้นซาก

                เสียใจที่ไม่สามารถมาอยู่ตรงนี้ได้เร็วกว่านี้

                และรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกร้อง เอาแต่ใจ และพูดจาไล่คุณฮิม น้ำค้างไม่ควรเลย ไม่ควรเลยที่จะโกรธเคืองคุณฮิม อีกฝ่ายเจ็บปวดมามากพอแล้ว ถึงเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม

                เขาพาคุณฮิมขึ้นแท็กซี่มาที่โรงพยาบาล เข้าไปทำแผลที่ห้องฉุกเฉิน แต่หลังจากตรวจร่างกาย และฟังคำจากหมอ ว่าต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือดูอาการสักพัก ถึงจะไม่มีอะไรหัก แต่ร่างกายบอบช้ำมาก และช่องทวารโดนล่วงล้ำอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้มีบาดแผล ยังดีที่ตรวจไม่พบคราบน้ำอสุจิ แต่ก็มีเรื่องสุขภาพจิตที่ต้องตรวจเช็คอีก

                น้ำค้างนั่งเงียบ มือบีบเข้าหากันอย่างตึงเครียด คำที่ฟังจากหมอทำให้เขาเอามือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง โกรธที่ทำไมไม่สามารถทำอะไรได้เลย โกรธที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ทำไมกันนะ ทำไมคุณฮิมต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยเหรอ เขาไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นเลยเหรอ น้ำค้างตัดพ้อต่อว่าตนเอง สูดลมหายใจเข้าเพื่อกลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมา น้ำค้างไม่รู้ว่าคุณฮิมจะเห็นว่าเขาสำคัญไหม แต่ก็ยังสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณฮิมอีก จะไม่ให้คุณฮิมต้องบาดเจ็บ จะไม่ให้คุณฮิมต้องหมองใจ

                น้ำค้างนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว โชคดีที่คุณฮิมมีประวัติอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว ทำให้สามารถดึงข้อมูลและติดต่อคนอื่นในครอบครัวได้โดยง่าย ไม่รู้ว่าควรจะอยู่รอคุณฮิมรึเปล่า หรือเขาควรจะออกไปดี...

                น้ำค้างถอนหายใจ เขาลูบหน้าด้วยความสับสน ลุกขึ้นก้าวขาเดินวนไปวนมาในห้องเหมือนหนูติดจั่นเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี สุดท้ายก็เปิดประตูออกมาข้างนอก โรงพยาบาลมีระเบียงให้สูดอากาศพร้อมม้านั่งและต้นไม้หรอมแหรม มีหลายเรื่องไหลวนเข้ามาในหัว ถามว่าโกรธคุณฮิมไหม ก็โกรธ แต่ความเจ็บปวดจากการเห็นอีกฝ่ายเจ็บนั้นมีมากกว่า อยากจะให้คุณฮิมเห็นเขาเป็นที่พึ่งพิงมากกว่าน้ำค้างเพียงหยดเดียว ลำต้นของป่าสนที่ตั้งตระหง่าน แบกรับภาระจากลมและฝนพายุมากมาย อยากจะขอมีสิทธิ์ดูแลคุณฮิมมากกว่านี้ ต้องทำอย่างไรให้สามารถดูแลและปกป้องอีกฝ่ายได้

                อึดอัดเหลือเกิน หัวใจของน้ำค้างถูกขยำอยู่ในก้อนเดียวโดยมือที่มองไม่เห็น แค่จะสู้หน้าคุณฮิมยังทำไม่ได้เลย อยากจะกอดไว้ กอดจนกว่าคุณฮิมจะรู้สึกดีขึ้น หรือจนกว่าความเศร้าในใบหน้านั้นจะมลายหายไป

                แรงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้น้ำค้างต้องควักออกมาดู พอเห็นชื่อคนที่โทรมาก็ถึงกับชะงัก มือ น้ำค้างนวดขมับตัวเองด้วยความเครียด มือไม่ได้กดตัดสาย แต่ขาออกเดินจากริมระเบียงเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องเดิมกับที่เดิมออกมาเมื่อครู่

                มือหมุนลูกบิดประตูก่อนจะผลักเข้าไป คุณฮิมยังคงนอนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่อย่างที่คิด และทันทีที่เห็นเขา นิ้วโป้งก็กดตัดสายทันที

                “คุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมเรียกเขาก่อนจะยิ้มให้ ยิ้มแบบที่เจอกันครั้งแรก ยิ้มแบบที่ทำให้น้ำค้างอยากร้องไห้ ทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงไม่สามารถดูแลคุณฮิมได้มากกว่านี้ ทำไมกันนะ? น้ำค้างเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาระหว่างที่มือยกขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

                “คุณน้ำค้าง หายไปไหนมาล่ะ” คุณฮิมถามโดยที่มุมปากยกขึ้นเหมือนเคย แต่มันช่างดูอิดโรย เหนื่อยล้า และสั่นระริก “คุณน้ำค้าง...รังเกียจผมเหรอที่ผมเป็นแบบนี้”

                น้ำค้างส่ายหน้า ถ้าเขาออกปากตอบ เขาจะต้องร้องไห้อีกเป็นแน่ อัลฟ่าตัวโตเดินเข้าไปหาคุณฮิมข้างเตียงอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อป่าสนชูแขนสองข้างขึ้นเหมือนที่เคยทำเพื่อขอกอด น้ำค้างกลับไม่ลังเลเลยที่จะโน้มตัวโอบแขนตัวเองทั้งสองข้างเพื่อจะกอดอีกฝ่าย กลิ่นป่าสนที่ชื้นฝน คาวเหล็ก และรอยไหม้ของกาแฟทำให้น้ำค้างถอนหายใจหนัก ก่อนจะร้องไห้เงียบๆ ที่ไหล่คุณฮิมอีกครั้ง

                “คุณน้ำค้าง ร้องไห้ทำไม ผมเจ็บกว่าตั้งเยอะ” คุณฮิมถามเขาเสียงเบา น้ำค้างกอดคนตัวผอมแน่น คุณฮิมก็ตัวแค่นี้เอง ทำไมถึงได้อดทนขนาดนี้กันนะ

                “คุณฮิม อย่าทำแบบนี้เลย...” น้ำค้างพูดเคล้าเสียงหายใจหนัก “อย่าทำให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้เลย ผมขอร้อง”

                “คุณน้ำค้างก็อย่าหนีผมไปสิ” คุณฮิมกอดเขาแน่นแล้วพูดเสียงสั่น “ผมตื่นมา ไม่เจอคุณ มัน...แย่มาก”

                “ผมขอโทษ... ผมขอโทษ” น้ำค้างพูดซ้ำไปซ้ำมา คุณฮิมในวันนี้ช่างเปราะบาง น้ำค้างโอบกอดอีกคน หวังว่าคุณฮิมจะรู้ว่าเขาอยากจะถนอมอีกคนมากแค่ไหน อยากจะประกอบชิ้นส่วนที่แตกสลายนั่นให้เข้าด้วยกันดั่งเดิม

                น้ำค้างไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะรักคุณฮิมได้มากขนาดนี้ มากเสียจนไม่คาดคิดว่าแค่อีกฝ่ายเจ็บ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดแทนในตัวเอง

                “เหนื่อยไหม โกรธผมไหม” คุณฮิมถามเสียงเบาและอ่อนแรง แต่ก็ยังกอดเขาแน่น ยึดจับเขาราวกับจะพึ่งพิง และน้ำค้างเต็มใจที่จะให้อีกคนเอนตัวลงมาหาเขาเสมอ “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ”

                “ไม่เป็นไรคุณฮิม ไม่เป็นไรเลยจริงๆ” น้ำค้างตอบแล้วกดจมูกลงกับต้นคออีกฝ่าย คล้ายว่าจะพูดให้ตัวเองสบายใจในคราเดียวไปพร้อมๆ กับที่ปลอบใจป่าสน

                “คุณน้ำค้าง อย่าทิ้งผมเลยนะ อย่าเกลียดผมเลย”

                เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างเห็นคุณฮิมร้องไห้และต้องการเขา มันเป็นความรู้สึกดีใจผสมกับความหมองใจที่ต้องเห็นคุณฮิมร้องไห้ให้กับเขา น้ำค้างมีความรักเต็มถ้วยที่พร้อมจะเทรดรินคุณฮิม เขาสามารถให้ได้อย่างล้นเหลือ ไม่ต้องออกปาก เขาก็พร้อมจะให้ด้วยความหวังดีมากมาย

                “คุณฮิม ขอบคุณที่ต้องการผม ขอบคุณที่อดทนมาตลอดนะครับ” น้ำค้างตอบแล้วก็ยิ้มออกมาครั้งแรกของวันนี้ “ผมไม่เคยรังเกียจคุณฮิมเลย คุณฮิมอย่าคิดว่าตัวเองน่าเกลียดเลยนะ ยกโทษให้ตัวเองเถอะนะ...นะครับ”

                ป่าสนพยักหน้าช้าๆ พลางตอบรับอย่างว่าง่ายอยู่กับไหล่เขา และน้ำค้างก็สบายใจขึ้นอีกนิดนึง

                “คุณน้ำค้าง ผมขอโทษ ที่ไม่เคยบอกอะไรคุณเลย” คุณฮิมพูดด้วยน้ำเสียงต่างจากที่เขาเคยได้ยิน มันไม่ใช่โทนขี้เล่นหรือซับซ้อนอย่างที่เคย มีบางอย่างในน้ำเสียงนั่นที่บ่งบอกตัวตนลึกๆ ของคุณฮิมออกมา ตัวตนที่ไม่อยากให้ใครเห็น “แต่ถ้าเป็นคุณน้ำค้าง...ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยที่จะบอก ขอโทษที่ผมไม่บอกให้เร็วกว่านี้”

                คุณฮิมเริ่มพูดไม่เป็นศัพท์ เพราะยังคงเรียบเรียงทุกอย่างไม่ถูก น้ำค้างได้แต่กอดคนตัวผอมที่บอบช้ำไว้อย่างนั้น คุณฮิมในตอนนี้ราวกับว่าไร้ชนชั้นใดๆ ไม่ใช่อัล่า เบต้าหรือโอเมก้า เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่อ่อนแอและต้องการการซ่อมแซม

                กลิ่นเปลือกไม้และใบสนหลังฝนตกดูไม่สดชื่นอย่างที่ควรเป็น แต่ถึงกระนั้นคุณฮิมก็ยังกลิ่นหอมสำหรับเขาเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่คุณฮิมก็จะยังดูดีที่สุดในสายตาเขา ว่ากันว่าความรักทำให้เราตาบอด น้ำค้างเห็นด้วยในครั้งนี้ เพราะอย่างที่เคยพูดไป ว่าต่อให้เขามองไม่เห็น เขาก็จะยังหลงรักกลิ่นป่าสนเจือไอหมอกนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ

                “ผมจะบอก ผมสัญญา คุณน้ำค้างต้องห้ามหายไปนะ ห้ามหายไปไหน”

                น้ำค้างไม่อยากจะหัวเราะแต่เขาก็เผลอหัวเราะออกมา เขาไม่เคยเจอคุณฮิมโหมดนี้เลย โหมดที่ต้องการให้เขาอยู่ตรงนี้ เรียกร้องหาเขา ทั้งๆ ที่ปกติแล้วคนที่จมดิ่งลงไปแบบหน้ามืดตามัวก็คือน้ำค้างฝ่ายเดียวทั้งนั้น ไม่มีเลยสักครั้งที่คุณฮิมจะกอดเขาไว้แล้วออกคำสั่งเอาแต่ใจแบบนี้ แต่น้ำค้างชอบ เขาชอบให้อีกคนต้องการตัวเขา เหมือนกับที่เขาต้องการอีกฝ่ายเช่นกัน

                “หัวเราะทำไม ผมพูดอะไรตลกเหรอ” คุณฮิมดูจะงุนงง มือยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะรีบชักออกด้วยความเจ็บจากแผลและรอยช้ำ “หรือว่าตอนนี้ผมหน้าตาตลก”

                “ผมไม่เคยขำหน้าตาคุณฮิมเลยเถอะ ใครจะขำออก คุณฮิมเจ็บขนาดนี้” น้ำค้างยิ้มด้วยความเอ็นดู

                “แล้วคุณขำอะไร คุณน้ำค้าง บอกผมมาก่อน” คุณฮิมจับตามหน้าตัวเองแล้วก็ร้องโอ๊ยเพราะตัวเองเจ็บอยู่จนน้ำค้างต้องรีบรวบข้อมือทั้งสองนั่นออกให้เลิกยุ่งกับใบหน้า

                “ผมขำที่คุณฮิมบอกว่าห้ามผมไปไหน ผมจะไปไหนได้ คุณฮิมสั่งเหมือนให้ผมเฝ้ายามตลอดเวลายังไงยังงั้น”

                “ก็...ตื่นมาผมไม่เจอคุณนี่”

                น้ำค้างอยากจะบันทึกโมเม้นต์เหล่านี้ไว้ คุณฮิมที่หน้าแดง ร้องไห้ และบอกว่าไม่อยากให้เขาไปไหน มันน่ารักมากๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องอะไรแบบนี้กับป่าสนของเขาอีก เขาอยากได้คุณฮิมที่ขี้เล่น ขี้แหย่ และชอบปั่นหัวเขาคนเดิมกลับมามากกว่า

                “ถ้าผมจะหนี ผมคงไม่ไปหาคุณฮิมหรอก”

                “คุณน้ำค้างอาจจะสงสารเฉยๆ ก็ได้”

                “ค่าแท็กซี่มันแพงนะคุณฮิม” น้ำค้างพูดติดตลก เขาไม่อยากให้คุณฮิมต้องลดค่าตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา เขาแค่หวังว่าในขั้นตอนเหล่านั้นที่คุณฮิมกำลังซ่อมแซมตนเอง จะมีเขาช่วยประกอบชิ้นส่วนอยู่ข้างๆ

                “เจ็บมากไหม” น้ำค้างถามก่อนจะมองรอยบนตัวอย่างละเอียด “แล้วคุณฮิมหิวรึเปล่า อยากกินอะไรไหม ผมก็ไม่รู้ว่าหมอจะยอมให้คุณกินอะไรได้บ้างรึเปล่า”

                “หิว หิวมาก” คุณฮิมพูดแล้วก็จับท้องตัวเอง ก่อนจะทำหน้านิ่งและรีบชักมือออก ไม่เจ็บก็แย่ รอยช้ำปื้นใหญ่เลยมั้งนั่น

                “คุณฮิม ผมขออีกอย่าง เลิกจับตัวเองสักพักได้ไหม คนมองแบบผมหัวใจจะวาย” น้ำค้างบอกแล้วจับข้อมือสองข้างคุณฮิมรวบมาวางไว้บนตักเบาๆ เขาเป็นคนขี้ตกใจ จะดีมากถ้าคุณฮิมไม่ทำอะไรให้เขารู้สึกเป็นห่วงไปมากกว่านี้ แบบนั้นน้ำค้างอาจจะทำตามจริงๆ ก็ได้ ไอ้คำว่าห้ามหายไปไหนอีกนะ คือเขาสามารถเฝ้ายามยี่สิบสี่ชั่วโมงได้เลยจริงๆ

                “อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผมลงไปถามหมอ กับไปซื้อมาให้”

                “ผมรู้ว่าคงไม่ได้กินแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมหิวในระดับที่อยากกินบุฟเฟ่ต์เลย” คุณฮิมพูดแล้วก็หัวเราะ น้ำค้างมองภาพนั้นอย่างสบายใจ โล่งอกเหลือเกินที่คุณฮิมเข้มแข็ง

                “คงไม่น่าจะได้หรอก” น้ำค้างพึมพำตอบแล้วก็ยิ้มตาม พอทุกอย่างดีขึ้นร่างกายน้ำค้างก็ประท้วงทันทีว่าเขาเหนื่อยมากแค่ไหน กับการอดนอนและร้องไห้ น้ำค้างปิดปากหาวแล้วก็ขยี้ตา เขารู้สึกเหมือนตาจะปิดทันทีที่คุณฮิมเอามือที่รวบอยู่บนตักขึ้นมาจับแก้มเขา

                “ง่วงเหรอคุณแม่บ้าน” คุณฮิมถามด้วยน้ำเสียงเดิมที่น้ำค้างไม่ได้ยินมาสักพัก อัลฟ่าตัวโตยิ้มทั้งที่ตาปิดไปแล้ว เขาควรนอนจริงๆ นั่นแหละ

                “เป็นครั้งแรกที่เด็กสถาปัตย์แบบผมจะนอนกลางวัน ไอ้กิมรู้มันคงไม่เชื่อ” น้ำค้างพูดแต่ก็ลุกขึ้นเดินไปตรงโซฟาที่มีหมอนให้อยู่แล้ว ไอ้กิมมันนอนเก่งก็จริงแต่น้ำค้างไม่เรียกว่าเป็นการนอน เรียกว่างีบจะดีกว่า คนอะไรนอนได้ทุกที่ ทุกเวลา

                “คุณน้ำค้างมานี่ก่อน อย่าเพิ่งนอน”

                คุณฮิมชูแขนสองข้างเรียกเขา ดูเหมือนป่าสนจะเอาแต่ใจมากกว่าที่เคยเป็น น้ำค้างเดินกลับเข้าไปหา แล้วกอดคุณฮิมเต็มรัก ใบสนลู่เข้าหาอย่างเต็มใจ ใบหน้าคมหวานเงยขึ้นเพื่อจูบมุมปากเขาอย่างต้องการจะออดอ้อนเป็นครั้งแรก น้ำค้างเผลอรวบเอวอีกคนให้ชิดตัวเองและเอียงหน้าดื่มด่ำริมฝีปากของคนตรงหน้ามากขึ้น และผละออกอย่างตกใจเมื่อคุณฮิมตบแก้มเขาเบาๆ คล้ายจะเรียกสติพลางกลั้วหัวเราะ

                “เบาๆ หน่อย ผมเจ็บ”

                “ขอโทษครับ”

                น้ำค้างตอบอย่างเงอะงะ แล้วก็ตั้งใจจะถอยออกแต่คุณฮิมดันดึงแขนเขากลับเข้าไปใหม่

                “ก็เบาๆ สิ เร็ว จูบผมหน่อย”

                คุณฮิมเอาคางวางไว้ตรงหน้าท้องเขาพลางเงยขึ้นมอง มุมปากยกขึ้นพร้อมกับลักยิ้มสองข้างแก้มนั่น...อีกแล้ว

                น้ำค้างน่ะแพ้ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าไปซื้อสตาร์บัคครั้งแรกแล้วล่ะ


                ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขายอมให้พี่ทรายมามีอิทธิพลกับตัวเองขนาดนี้

                กิมคิดในขณะที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกไม่ชิน กิมไม่เคยจูบกับใครมานานมากเสียจนลืมสัมผัสนั้นไปแล้ว ตอนนี้พี่ทรายเป็นคนแรกที่เรียกมวลความปั่นป่วนในตัวเขาให้กลับมา ริมฝีปากบดชิด กิมได้ยินเสียงหายใจตัวเองที่ติดขัดและไม่เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างมันลงล็อกพอดีในสมอง แต่ร่างกายเขากลับเกร็งจากการแลกเปลี่ยนที่ใกล้ชิดถึงขนาดนี้

                พี่ทรายโอบเอวเขาจนชิดกัน ฝ่ามือไล่ไปตามผมด้านหลังเขาระเรื่อยมาถึงต้นคอและลูบไรผมตรงปลายวนอยู่แบบนั้น คล้ายจะบอกให้เขาผ่อนคลาย แต่กิมรู้สึกแตกต่างออกไป ยามเช้าบนผ้าห่มและเตียงของตัวเองควรจะสงบสุขและเงียบงันเหมือนทุกวัน แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่พี่ทรายเอาคืนเขาในตอนเช้า ฉวยโอกาสจากตอนที่กิมยังงอแงงัวเงียตื่นไม่เต็มตา

                กลิ่นฟีโรโมนของพี่ทรายฝังอยู่ทุกอณูของเนื้อผ้าบนเตียงเขา หอมอบอวลจนเหมือนมีพี่ทรายอยู่ด้วยตลอดเวลา กิมมัวเมาในกลิ่นเสียจนยินยอม ยอมให้อัลฟ่าเนื้อหอมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ยอมที่จะเผยอปากรับจูบจากอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ในลำคอส่งเสียงไม่แน่ใจในตอนแรก แต่พี่ทรายก็คือพี่ทราย หน้าเนื้อใจเสือ หลอกล่อให้เขาโอนอ่อนผ่อนผัน รู้ว่าลูบตรงไหนจะไม่โดนเขาข่วนกลับด้วยความตกใจ ตามใจกระทั่งยอมให้กิมพักหายใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดลง

                “อือ...” กิมเบี่ยงคอหลบหน้าอีกคนอย่างรำคาญ แก้มเขาโดนแต้มด้วยรอยจูบชื้นๆ ที่ทิ้งลงมาจากความหมั่นเขี้ยว พี่ทรายกดจูบหนักที่แก้มเหมือนกะเล่นให้ช้ำ กิมเอามือตัวเองดันหน้าอีกคนออก และพี่ทรายก็ยอมถอยออกมา

                ...ก่อนจะโน้มลงมาจูบปากใหม่ เพราะเมื่อกี้ให้พักหายใจไปแล้วยกนึง

                ขาของโอเมก้าผมบลอนด์ยกขึ้นถีบสีข้างอีกคนเบาๆ เพราะมือโดนรวบจับไว้ทั้งคู่เหมือนจะห้ามไม่ให้ข่วน ช่วงเวลาหาเศษหาเลยหาไม่ได้ง่ายๆ ราวกับพี่ทรายจะพูดแบบนั้น

                ดังนั้นพออัลฟ่าไหล่กว้างพอใจแล้วกิมถึงได้ขมวดคิ้วหนัก ใบหน้าแสดงออกถึงความรำคาญเต็มที่ มือเอื้อมไปดึงเสื้ออีกคนให้เผยผิวเห็นไหล่กว้างๆ นั่นแล้วก็กัดเข้าให้เต็มฟัน พี่ทรายร้องโอ๊ยพอให้เขาสะใจแล้วนั่นแหละถึงได้หยุด ลุกจากเตียงขึ้นไปแปรงฟัน

                “ลงไปซื้อเองแปรงเอง” กิมพูดกลั้วยาสีฟัน แล้วก็โยนแบงค์ร้อยให้อีกคน “ซื้อขนมมาด้วย”

                “เหมือนโดนเอาแล้วทิ้งแปลกๆ” พี่ทรายทำหน้าเสียใจ “ค่าตัวพี่ร้อยเดียวเองเหรอ”

                “เพิ่งรู้เหรอ” กิมตอบหน้าตายแล้วก็แปรงฟันต่อไม่รู้ไม่ชี้

                “ยังไม่ได้เอาเลย ยังไม่รับเงินได้เปล่า”

                กิมปาหลอดยาสีฟันออกมาจากห้องน้ำใส่คนที่นั่งหัวเราะใหญ่อยู่บนเตียง อยากจะปาแชมพูด้วยแต่เลอะเทอะ เพราะนี่ก็คือห้องตัวเอง คนเก็บกวาดก็คือตัวเอง

                “ถ้าพูดว่าขอเอาหน่อยนี่จะไม่ยุ่งด้วยแล้วนะ” กิมพูดแล้วก็บ้วนปาก

                “จะไม่ให้เหรอจ๊ะ”

                “จ๊ะพ่อจ๊ะแม่พี่มึง”   

                กิมเริ่มด่าหยาบๆ พี่ทรายเลยเลิกแหย่ต่อ หัวเราะท่าทางที่เหมือนแมวขนฟูขู่ฟ่อๆ แล้วก็เปิดประตูลงไปซื้อแปรงสีฟันกับขนม

                กิมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ตอนเดินออกมาก็หยิบขวดสเปรย์ดับกลิ่นจะฉีด แต่ยังไม่ทันเขย่าเปิดฝา พี่ทรายก็พุ่งเข้าชาร์จจากด้านหลังอีก

                “อะไรเนี่ยพี่ทราย” กิมโวยวายตอนโดนยึดขวดสเปรย์จากมือไป ทำไมขัดใจ ทำไมไม่ตามใจกันแล้ว กิมย่นจมูก

                “ตัวหอมอยู่แล้ว”

                “ก็จะออกไปข้างนอก” กิมจะออกไปซื้อขนม วันนี้คือวันเสาร์ เขาจะต้องได้นอนตีพุงดูเน็ทฟลิกซ์กินเค้กกินขนมหวานให้สมกับที่ปั่นงานล่วงหน้าไว้

                “ก็ค่อยฉีดตอนจะออกดิ” พี่ทรายเริ่มเอาใหญ่ จมูกซุกตรงแอ่งชีพจรเขา ก่อนจะเผยอปากลงฟันไว้หยอกๆ แต่กิมกลับขนลุก เขาย่นคอหนีด้วยความระแวง แล้วก็ยอมวางสเปรย์ไว้ที่เดิมเพราะไอ้ไบโอเคมีในร่างกายที่ตอบสนองกับเขี้ยวอัลฟ่าตรงแอ่งชีพจรนั้นสปาร์กเร็วเสียจนกิมสะดุ้ง ถ้าโดนกัดจริงๆ...ล่ะ

                “น้องกิมจะออกไปไหน”

                “ซื้อขนม” กิมตอบแล้วก็ยัดขนมปังปิ้งเซเว่นเข้าปาก รู้ดีอีกว่าเขาไม่ชอบกินข้าวเช้า บอกให้ซื้อขนมก็ซื้อขนมปังมาให้แทน

                “กินแต่ขนมนะเราอะ”

                “ทำไม ไม่ชอบเหรอ”

                “เดี๋ยวป่วยหรอก”

                “นึกว่าจะชอบให้ตัวหวานๆ”

                กิมยัดขนมปังเข้าปากตัวเองหลังจากตอกคำพูดกลับไป พี่ทรายยิ้มใจดีให้เหมือนเดิม แต่กิมรู้ว่าเขาปั่นหัวอีกคนสำเร็จ กิมล่ะชอบจังไอ้การยั่วให้อยากแล้วไม่ให้เนี่ย

                หลังจากกินเสร็จก็เตรียมจะออกไปข้างนอก กิมโยนเสื้อแจ๊กเก๊ตยีนส์ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วก็ถุงเท้าปั้นเป็นก้อนๆ ยังไม่ทันจะได้หาผ้าเช็ดหน้า มือพี่ทรายก็จับสะโพกเขาสองข้างแล้วดึงออกมาจากตรงตู้เสื้อผ้า ลอยหวือมาอยู่บนตักแล้ว

                “ไรอีก” กิมถามเสียงเดิม มือเอื้อมไปหยิบถุงเท้าแต่พี่ทรายก็แย่งอีกแล้ว ขัดใจ ขัดใจ ขัดใจกันเข้าไป

                “จะใส่ถุงเท้าให้ไง”

                กิมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เขางอเข่าขึ้นมาชิดทั้งสองข้าง พี่ทรายเอื้อมใส่ถุงเท้าสีดำข้อสั้นให้ทีละข้าง นอกจากแม่กับพ่อก็ไม่มีใครใส่ถุงเท้าให้เขาแล้ว

                “ไม่อยากให้ฉีดสเปรย์เลยเนี่ย”

                “ก็จะออกไปข้างนอก”

                “ใครใช้ให้ตัวหอมขนาดนี้”

                กิมหน้าขึ้นสีจากประโยคนั้น พี่ทรายไม่เคยพูดตรงๆ กับเขาเลยเรื่องกลิ่น และบางทีกิมก็ไม่แน่ใจว่ากลิ่นเขาหอมรึเปล่า หรือพี่ทรายอาจจะไม่ได้ชอบกลิ่นเขาขนาดนั้นก็ได้

                “ก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งด้วย”

                “แล้วพี่ล่ะ”

                พี่ทรายถามพลางเอาคางวางบนไหล่ มือกอดส่วนกลางลำตัวเขาหลวมๆ รอคำตอบอย่างไม่ใจร้อน แต่กิมรู้สึกร้อนไปหมด คนเราเวลาจะน้ำท่วมปากก็เป็นกันซะง่ายๆ แบบนี้นี่เอง

                “คิดเอาเอง”

                สุดท้ายก็ตอบออกไปแค่นั้น กิมไม่ชอบพูดอะไรหวานๆ เป็นคนพูดตรงๆ แต่พอเอาเข้าจริงวนมาเรื่องแบบนี้ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันนั่นแหละ

                “ไม่ต้องฉีดแล้ว เดี๋ยวไปด้วย”

                กิมเลิกคิ้วมองหน้านิ่ง นี่คือตัวอย่างของคนไม่กลับบ้านกลับช่องที่แท้ทรู

                “ช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟเลยไหม”

                “เท่าไหร่ล่ะ”

                “ตลกละ”

                กิมส่งเสียงเหอะในคอ เชื่อเขาเลยจริงๆ ยักไหล่ให้อีกคนเอาคางออกไป ก่อนจะลุกขึ้นใส่แจ๊กเก๊ตยีนส์ มือฉวยขวดสเปรย์โยนให้พี่ทรายที่นั่งอยู่กับพื้น และมองมาที่เขา หน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม

                “ไม่ใช่คนชอบตามดูตามเฝ้าเหมือนคนแถวนี้”

                กิมตอบสั้นๆ แล้วก็เดินไปกดปิดแอร์ เสียงฉีดสเปรย์ฟืดๆ ดังเคล้ามาพร้อมกับเสียงพี่ทรายขำ

                น่าหมั่นไส้ รู้งี้กัดให้ไหล่ช้ำไปเลย

               









tbc.


หลังจากที่เผชิญกับพายุอารมณ์ เราก็หนีไปพักใจสักพักเหมือนกันค่ะ

เอาความน่ารักมาคืนให้แล้วนะคะ ;__;

ส่วนแชปนี้ก็มีเพลงให้ทรายกิมค่ะ เอาไปเรย

kisses for breakfast - melissa steel feat. popcaan 

your body is a wonderland - john mayer

             ขอบคุณสำหรับฟีทแบคเช่นเคยนะคะ ขอบคุณมากๆ จริงๆ เลย เปิดเรื่องมาเดือนเดียวแต่รู้สึกอบอุ่นมากๆ ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณนะคะ ทุกคนทำให้เรารักงานตัวเองมากขึ้นและมีแรงเขียนต่อมากๆ เลยค่ะ



feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน
 

               

                 

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารฮิม :o12:
โกรธแฟนเก่าฮิมมากๆ ขอให้โอเมก้ากลิ่นส้มคนนั้นคิดบัญชีด้วยเถ๊อะะะ เพี้ยงงงง! :m31: :call:
ส่วนกิมกับพี่ทรายก็น่ารัก  :katai2-1:

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter twelve



                ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลมา น้ำค้างก็ยังไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องตัวเองเลย มีแต่ฝากไอ้กิมให้หยิบพวกเสื้อผ้ามาให้ เพราะคุณฮิมติดเขาหนึบหนับชนิดที่ว่าไอ้กิมพูดลอยๆ ว่าเหมือนตังเม

                “พี่ทรายก็รุงรังกับมึงพอกันปะวะกิม”

                กิมยักไหล่ใส่ ทำไม่ได้ยิน เอาหูเอาไปนา เอาตาไปไร่ น้ำค้างล่ะอยากจะหยิกแขนเพื่อนสักทีสองที แต่พอนึกได้ว่าไอ้เพื่อนตัวเล็กนี่มันมีอัลฟ่าตามติดแล้วก็ต้องหยุดความคิดที่จะทำเพื่อนเป็นรอย น้ำค้างไม่อยากมีปัญหาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

                คุณฮิมนอนไม่ค่อยหลับและสะดุ้งกลางดึกบ่อยๆ จนหมอต้องให้ยานอนหลับชั่วคราวมา ก็หวังว่าจะไม่ใช่ระยะยาวที่คุณฮิมจะต้องพึ่งยา น้ำค้างไม่กล้าถามถึงเหตุการณ์ฝนตกวันนั้น เขาไม่เคยนึกถือโทษโกรธเคืองคุณฮิมที่ไม่พร้อมจะเล่าให้เขาฟัง ทุกเรื่องต้องใช้เวลาเสมอ น้ำค้างรู้ดี และเขาไม่เคยรีบจะเอาคำตอบ

                “คุณน้ำค้าง อยากกินไข่เจียวหมูสับ”

                แต่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีเลย คุณฮิมกินเก่งขึ้น และน้ำค้างไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องรบกวนที่จะต้องทำอาหาร เขาเข้าครัวเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว เขาออกจะดีใจด้วยซ้ำที่คุณฮิมอ้อนให้เขานอนด้วย (แน่นอนว่าเขากลายเป็นหมอนข้างไปแล้ว)

                ตอนที่น้ำค้างย่ำเข้ามาในห้องคุณฮิมครั้งแรก ก็เหมือนกับเขากำลังย่ำเข้าป่าทึบจริงๆ ถ้ามีกวางมูสออกมาเดินอยู่ในห้อง น้ำค้างก็จะไม่ตกใจเลย เขาเคยคิดว่าอะไรกันที่ทำให้ตัวเองหลงรักกลิ่นนี้ กลิ่นที่ธรรมชาติจนบางคนขยาด แต่น้ำค้างยินดีจะรับรู้กลิ่นนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาชอบความเงียบงันของโลกสีเขียวมากกว่าการที่ต้องเจอคนหมู่มาก หรือกลิ่นที่ดูปรุงแต่ง

                “คุณฮิมกินอย่างอื่นด้วยไหม ไข่เจียวอย่างเดียวอิ่มเหรอ”

                “ไข่สองฟอง เอาหมูสับกับแครอทด้วย”

                น้ำค้างถามแล้วก็มองคุณฮิมที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาพลางตอบเขา เสื้อสีเหลืองโอเวอร์ไซส์ตัวหลวมที่เจ้าตัวใส่นอนเลิกขึ้นมาจนเห็นหน้าท้องรำไร มือจับมือถือนอนไถอ่านเว็บตูนสบายใจ เป็นภาพที่น้ำค้างไม่ชินตานัก คุณฮิมสำหรับเขาคือคนที่มีชั้นเชิงในการพูดและการกระทำ แต่ผู้ชายที่นอนอ่านการ์ตูนตรงหน้าเขาดูห่างไกลจากคำนั้นเยอะ คุณฮิมเตะขาเขี่ยผ้าห่มไปเรื่อย ตาจดจ้องกับหน้าจอ ปากยกยิ้มบ้างเป็นระยะจากเนื้อหาที่อ่านอยู่ ป่าสนดูนุ่มนิ่มและผ่อนคลายกว่าที่เคย

                น้ำค้างมองจนรู้สึกถึงไอร้อนได้ว่ากระทะกับน้ำมันเริ่มร้อนแล้ว ถึงได้หันไปเทไข่ที่เจียวไว้ใส่ลงไป ความคิดตีวนกันระหว่างที่หยิบจับตะหลิวในมือ คุณฮิมดูมีความสุขเสียจนน้ำค้างไม่อยากจะให้อีกฝ่ายต้องเล่าเรื่องในวันนั้นเลย เขายอมไม่รู้อะไรดีกว่าเห็นใบหน้าอีกคนเศร้าเสียใจไม่เป็นสุข

                “คุณน้ำค้าง ผมดูอ้วนขึ้นไหม”

                “ทำไมคุณฮิมถามเหมือนผู้หญิงเลย”

                “ก็ผมเอาแต่กินๆ นอนๆ นี่”

                “คุณฮิมออกไปเรียนด้วยต่างหาก”

                “ปกติผมทำอะไรมากกว่านี้นี่”

                คุณฮิมเถียงไม่จริงจัง มือเลิกชายเสื้อขึ้นไปมากกว่าเดิมเพื่อจับหาส่วนเกินของหน้าท้อง น้ำค้างส่ายหน้าให้กับท่าทางแบบนั้น คุณฮิมเป็นคนขี้ร้อน ในขณะที่น้ำค้างเป็นคนขี้หนาว ดังนั้นแอร์ในห้องจึงเย็นมาก และน้ำค้างก็ไม่ได้ปริปากบ่นกับการตื่นมาแล้วคันจมูกอยากจะจามทุกเช้า ห่วงคนที่บ่นร้อนบ่อยๆ เสียมากกว่าว่าจะไม่สบายเข้าสักวัน เขาน่ะหนังหนามาแต่เด็กแล้ว เลยไม่ค่อยป่วยบ่อย

                “คุณฮิม เดี๋ยวไม่สบายหรอก”

                น้ำค้างพูดแล้วปิดเตาแก๊ส ไข่เสร็จแล้ว เหลือแค่เอาใส่จาน แต่แม่บ้านญี่ปุ่นอย่างเขาเลือกที่จะเดินมาหาคุณฮิมที่นอนกางพุงอยู่ก่อน มือดึงชายเสื้อสีเหลืองตัวโคร่งลงมาปิดท้องให้เหมือนเดิม คุณฮิมเหลือบตามามองแวบนึงก่อนจะจุดยิ้ม น้ำค้างไม่ได้ระวังตัวอะไร จนกระทั่งป่าสนโน้มกิ่งมาโฉบแขนเขาให้ลงมานอนทับกัน

                “คุณฮิม! ยังไม่หายช้ำเลย”

                น้ำค้างโวยวายเหมือนเป็นคนเจ็บเอง แต่ความจริงแล้วก็คือคนใต้ร่างนี่แหละที่ช้ำเยอะ เขารีบลุกออกแต่ก็โดนจับให้ลงมานอนราบกับเตียงใหม่ ซึ่งคราวนี้คุณฮิมปีนขึ้นมานอนทับเขาแทน

                “เนี่ย ชอบคุณน้ำค้างตรงนี้” คุณฮิมตอบแล้วก็จิ้มแก้มเขาจึกๆ แค่คำว่าชอบคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายก็ทำให้น้ำค้างหยุดกึก เขามองหน้าคุณฮิม

                “ชอบแก้มผมเหรอ”

                “ไม่ใช่ดิ ทำไมซื่อจังอะ” คุณฮิมขำพรืดแล้วก็หอมแก้มเขาเหมือนหอมเด็กตัวเล็กๆ “ชอบที่คุณน้ำค้างห่วงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น ไม่เคยมีใครหยุมหยิมกับผมขนาดนี้เลย”

                “สรุปมันดีหรือไม่ดีอะคุณฮิม” น้ำค้างถามแล้วขมวดคิ้วกังวล เขาห่วงคนอื่นนี่น่าจะติดอยู่ในนิสัยไปแล้ว ไอ้กิมบางทีก็เลยทำอะไรไม่บอกเขาเป็นส่วนใหญ่เพราะเขาเหมือนแม่คนที่สองของมันนี่แหละ มันทำแล้วถึงมาบอกเขาทีหลัง

                “เห้ย นี่ชมอยู่นะเนี่ย” คุณฮิมเอามือมาแปะแก้มเขาเบาๆ “วันนั้นร้องไห้แทนซะผมกลัวเลย”

                “ก็ผมตกใจนี่ ผมนึกว่าคุณฮิมจะเป็นอะไรไปแล้ว” น้ำค้างตอบ เป็นครั้งแรกที่คุณฮิมยอมพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น มานั่งคิดดีๆ เขาก็อายอยู่ที่ร้องไห้ แต่พอนึกถึงสภาพของคุณฮิมวันนั้นแล้วก็อดหดหู่ไม่ได้ เขาเห็นจากข่าวมาเยอะ แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะมาเกิดกับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เป็นรักในชีวิตของเขาแล้วนั้นยิ่งแล้วใหญ่

                “ความจริงผมก็นิสัยไม่ดีด้วย” คุณฮิมตอบแล้วก็ยิ้มบางๆ “มีอะไรก็ไม่ชอบบอกคนอื่น แต่กับคุณน้ำค้าง ผมคงจะระแวงเกินไป”

                “ตอนแรกยอมรับนะว่าผมโกรธเรื่องคุณฮิมไม่บอก แต่ผมโกรธคนทำกับโกรธที่ทำอะไรไม่ได้เลยมากกว่า” น้ำค้างพูดแล้วก็เงยหัวลงไปนอนกับหมอนพลางพรูผมหายใจ คุณฮิมเอาคางเกยอกเขาแล้วมอง

                “คุณน้ำค้างดีจนบางทีผมก็คิดว่าผมควรได้รับอะไรแบบนี้เหรอ”

                คุณฮิมหัวเราะแต่น้ำค้างไม่คิดแบบนั้น เขารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะของอีกฝ่ายเพราะตัวเราแนบชิดกัน

                “ผมไม่ได้ทำเพราะอยากทำคะแนนซะหน่อย อันนี้ผมเป็นห่วงจริงๆ แบบจริงๆ”

                “อันนี้ผมหลับตายังรู้เลยคุณแม่บ้าน” คุณฮิมเอียงหน้าเอาแก้มซบอกเขาแทน “คุณน้ำค้างจำคนที่ต่อยผมที่โรงหนังได้หรือเปล่า”

                น้ำค้างพยักหน้าแทบจะทันที ก่อนจะพึมพำต่อให้กับเพดาน “อัลฟ่าคนนั้น...ที่กลิ่นกาแฟออกไหม้ๆ หน่อย”

                “อืม” คุณฮิมตอบรับในคอ มือควานหามือเขาที่วางไว้ข้างตัวก่อนจะจับสอดนิ้วประสานไว้เหมือนจะหาที่ยึดเหนี่ยวให้กับตัวเอง “แฟนเก่าผม”

                น้ำค้างเงยหัวขึ้นมามองคุณฮิมเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ แต่พอคิดอีกทีที่คุณฮิมดูไม่มีทีท่าจะขัดข้องเรื่องที่คบกับอัลฟ่าแบบเขา ทุกอย่างก็ดูเข้าเค้าไปหมด จากมุมนี้ก็เห็นแค่กลุ่มผมสีดำทุยๆ นั่น เดาสีหน้าไม่ถูกเลย แต่น้ำค้างไม่อยากจะเร่งเร้าหรือบังคับให้มองหน้ากัน เขาถึงได้เอาหัวกลับลงไปกับหมอนอีกครั้ง

                “ตอนผมเลิกกับเขาใหม่ๆ ผมก็สมัครเข้าฝึกงานสตาร์บัคเลย ดูน่าสมเพชไหม” คุณฮิมพูดเชิงเสียดสี น้ำค้างส่ายหน้าเงียบๆ “ผมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่มีแต่เขา พยายามหาเหตุผลว่าอะไรทำให้เราเลิกกัน”

                “...เพราะเรื่องสายพันธุ์เหรอ”

                “ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย” คุณฮิมตอบเสียงเรียบเหมือนพยายามนึกเรื่องเก่าๆ แล้วเล่า “ผมคบกับเขามาสองปี ก็ไม่คิดเรื่องนั้นเลย”

                “สองปีก็นานอยู่นะ...”

                “นานจนผมแทบไม่คิดมากเลยล่ะ” คุณฮิมบอกแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แล้ววันนึงผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไปจับคู่กับโอเมก้าแล้ว”

                น้ำค้างไม่ได้ถามว่าโอเมก้าคนไหน เพราะก็พอจะเดาได้จากการปะติดปะต่อเรื่องเอง แทบจะได้กลิ่นผลไม้หน้าร้อนลอยมาแตะจมูกทั้งๆ ที่ป่าสนแห่งนี้มีเพียงแค่ไอหมอกเย็นๆ ลงจัด

                “ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความผิดพลาด คิดว่าแค่คืนเดียวที่เขาพลาดจนไปกัดคนอื่น” คุณฮิมหยุดเล่า น้ำค้างบีบมืออีกฝ่ายที่เริ่มจะชื้นเหงื่อ แต่ก็ไม่มีใครคิดปล่อยมือออกจากกัน “ผมเป็นคนยึดติดน่ะคุณน้ำค้าง อะไรที่ผมเคยเป็นเจ้าของมานาน คน สิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่ผมเคยชิน จู่ๆ วันนึงมันไม่ใช่ของผมอีกแล้ว”

                น้ำค้างไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามจินตนาการดูว่าคงจะรู้สึกเจ็บปวดมาก

                “ผมนิสัยไม่ดีก่อน ผมพยายามไปยุ่งกับโอเมก้าของเขา ให้กลิ่นผมติดไปบ้าง เขาน่าจะหัวเสียน่าดู เพราะเขาแจ้นมาหาผมทันทีตั้งแต่แรกๆ” คุณฮิมพูดกลั้วหัวเราะขืนๆ “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก ก็อย่างที่เห็น เขาไม่พอใจที่ผมไปยุ่งกับของของเขา รู้ไหมตอนนั้นผมยังคิดว่าเขาเป็นของผมอยู่เลยทั้งๆ ที่เขาจับคู่กับคนอื่นไปแล้ว”

                “คุณฮิมท่าทางจะรักเขามาก” น้ำค้างพูดเจือความอิจฉาเล็กน้อย แต่มากกว่านั้นคือความโกรธ โกรธที่ต้นเหตุของความเจ็บช้ำทั้งหมดในใจและร่างกายของคุณฮิมคือคนที่คุณฮิมรักที่สุดคราหนึ่ง

                “รักมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเขานี่คุณน้ำค้าง” คุณฮิมละมือออกจากเขา เลื่อนมาจิ้มๆ ตรงตำแหน่งหัวใจ “ตรงนี้น่ะ กัดไม่ได้หรอกนะ”

                “ถ้ากัดได้จริงๆ ผมยอมให้ควักเลยนะ” น้ำค้างพูดเสียงจริงจัง แต่คุณฮิมหัวเราะ

                “เอาใส่กลับเข้าไปก็ไม่มีใครเห็นอยู่ดีไหม ติงต๊องจริงคุณแม่บ้าน”

                “อย่างน้อยก็ได้ทำรอยไว้นี่ครับ ไม่มีใครเห็นก็ได้ รู้กันสองคน”

                “คุณน้ำค้างพูดเหมือนมันทำได้จริงๆ อย่างงั้นแหละ”

                “แล้วถ้าทำได้จริงคุณฮิมจะยอมควักออกมาให้ผมเหมือนที่ผมทำไหม”

                น้ำค้างลองเสี่ยงถามดู เขามองเพดานโดยไม่ได้ยกหัวขึ้นมามองอีกฝ่าย คุณฮิมยังคงวางมือไว้บนตำแหน่งหัวใจเขา น้ำค้างนับจังหวะชีพจรรอคำตอบ

                “ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณน้ำค้างจะรับความน่าเกลียดทั้งหมดของผมได้ไหม”

                “คุณฮิมไม่น่าเกลียด”

                “คนเรามีส่วนน่าเกลียดทั้งนั้นแหละคุณน้ำค้าง หัวใจของผมอาจจะหน้าตาน่าเกลียดก็ได้ตอนควักออกมา”

                น้ำค้างไม่ได้ตอบอะไรเพิ่ม อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเร่งรัดใคร รู้สึกอึดอัดก็จริงแต่ที่คุณฮิมพูดก็ถูก พวกเขาอาจจะต้องรู้จักด้านที่น่ารังเกียจของกันและกันให้มากกว่านี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปราะบาง ไร้การผูกมัด มีเพียงแค่ความเชื่อใจของกันและกัน ก็เหมือนการมาร์กรอยไว้ที่หัวใจอย่างที่เขาเพิ่งจะล้อเล่นไป แต่พอมาเจอคุณฮิม น้ำค้างก็ครุ่นคิด ว่าถ้าทำได้จริงๆ เหมือนการสักลงไป เขาก็คงทำเพื่อความพอใจของตัวเอง

                “แล้วผมก็เพิ่งจะเห็นด้านน่าเกลียดของเขาตอนวันนั้นนั่นแหละ” คุณฮิมเล่าต่อ เสียงสั่นระริกและเบาลงราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม หากพูดออกไปเสียงดังมากนัก ป่าสนจะตายลงได้ “เขาน่าเกลียดน่ากลัวจนผมไม่คิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นแบบนี้กับผมได้”

                “เขาทำอะไรคุณฮิม”

                “คุณน้ำค้างคงไม่ใช่ประเภทไปตามต่อยเขาใช่ไหม” คุณฮิมถามเชิงล้อเลียนที่เห็นเขาเป็นคนประเภทหัวอ่อน

                “ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหานี่” น้ำค้างถอนหายใจเสียงดังแม้จะขัดใจ แต่พูดตรงๆ ว่าเขาเกลียดการใช้ความรุนแรง ใครจะด่าว่าเขาหัวอ่อน ยอมคนหรืออะไรก็ตามเถอะ ไม่ใช่เรื่องเลยที่เราจะไปทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะเขาทำร้ายเราก่อน นั่นก็เท่ากับว่าเราเองก็ไม่ต่างจากเขาเลย

                “ผมไม่คิดว่าเขาจะใช้ความรุนแรงด้วยคุณน้ำค้าง” คุณฮิมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะหันหน้าไปอีกทาง “ผมกับเขาทะเลาะกันแรงก็จริง แต่ไม่มีครั้งไหนแรงเท่านี้ และผมหมายถึงคำพูด ไม่ใช่การต่อยตี”

                ในส่วนนี้น้ำค้างเข้าใจดี เขาเป็นประเภทจำคำพูดคน ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามันได้บาดลึกลงไปแล้วก็ง่ายที่จะนึกถึง

                “ผมก็แค่อยากได้คำอธิบาย แต่ไม่คิดว่าการคุยกับเขาวันนั้นจะทำให้ผมต้องกลับมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม ทำไมผมต้องเกิดเป็นอัลฟ่า”

                ถึงตรงนี้น้ำค้างเอื้อมแขนมากอดคนที่นอนอยู่บนตัวไว้แน่น ไม่ว่าคุณฮิมจะร้องไห้หรือไม่ร้องไห้ สิ่งที่น้ำค้างทำได้คือรับฟัง ปลอบโยน และโอบกอดไว้ไม่ให้แตกสลาย

                “คุณน้ำค้างรู้รึเปล่า” คุณฮิมเอื้อมแขนมาจับมือเขา ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมาจับนิ้วชึ้และนิ้วกลางเขาไว้ “ตอนที่เขาทำให้ผมเจ็บตรงนี้...” นิ้วมือของน้ำค้างถูกนำไปยังบั้นท้ายของอีกคน และเพียงเท่านั้นเขาก็รีบชักมือออกกลับมาโอบกอดรอบตัวคุณฮิมเหมือนเดิม

                “ตอนนั้นผมแยกไม่ออกเลยว่าผมเจ็บตรงไหนมากกว่า แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้วผมว่าน่าจะเป็นคำพูด” คุณฮิมพรั่งพรูสิ่งที่เก็บไว้ในวันนั้น เหตุการณ์ที่น้ำค้างไม่อยากจะจินตนาการถึง แต่สำหรับคุณฮิมมันคือฝันร้ายที่ต่อให้อีกห้าปีสิบปี คุณฮิมก็จะฝันถึงมันในยามค่ำคืนที่สมองหยิบสุ่มขึ้นมาเล่นให้ในภาพนิทรา

                “ความน่าเกลียดในตัวผมก็คือสิ่งที่เขายัดเยียดให้ผมเป็นนี่แหละคุณน้ำค้าง”

                “คุณฮิม”

                “อัลฟ่าที่นอนอ้าขาให้อัลฟ่าด้วยกัน ถ้ามันเป็นแค่คำด่าก็ใช่ แต่นี่คือความจริง” 




         
  (มีต่อค่ะ)


ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
               
                (ต่อ)

                คุณฮิมต้องเข้มแข้งแค่ไหนถึงจะไม่ร้องไห้ตอนพูดเรื่องแบบนั้นออกมา

                น้ำค้างเฝ้าแต่คิดแบบนั้นระหว่างที่ดูอีกฝ่ายนั่งกินข้าวไข่เจียวหมูสับสองฟองเย็นชืดอย่างสบายใจเฉิบ แก้มเคี้ยวข้าวไว้ทั้งสองข้างก่อนจะหยุดเคี้ยวแล้วอมข้าวไว้อย่างนั้นเพราะตั้งใจอ่านอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ตัวเอง น้ำค้างแบกแลปท็อปมานั่งทำงานเหมือนเคย


               คุณฮิมดูสบายดี แต่น้ำค้างรู้ว่าลึกๆ แล้วแผลไม่เคยหายไปไหน การเป็นอัลฟ่าจะยังคงแล่นอยู่ในสายเลือดต่อให้จนหมดลมหายใจ ป่าสนกำลังผลัดใบครั้งแรกและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยการโอบกอดและให้อภัยตัวเอง

                “คุณน้ำค้างหิวไหม”

                “ไม่ล่ะ ผมกินแล้วง่วง เดี๋ยวขอทำงานก่อนดีกว่า”

                “เป็นแม่บ้านเข้าครัวแต่กินอาหารไม่ตรงเวลาเองได้ไง”

                “ก็ต้องมีบ้าง”

                น้ำค้างตอบแล้วก็เพ่งหน้าจอต่อ จนมีช้อนตักข้าวกับไข่เจียวชืดๆ ยื่นมาจ่อถึงปากคำพูนๆ นั่นแหละ น้ำค้างถึงได้ยอมอ้าปากเคี้ยวอะไรสักอย่างลงท้อง

                “นี่ผมหั่นแครอทชิ้นใหญ่ไปรึเปล่าเนี่ย”

                “ถึงผมจะหั่นผักไม่เป็น แต่วันหลังจะช่วยเอาไม้บรรทัดมาวัดนะ”

                “อย่าประชดผมดิ” น้ำค้างพูดแบบร้อนตัว และคุณฮิมก็ยิ้มกวนใส่

                “ก็เห็นเป็นเด็กถาปัตถ์ แต่ไม่นึกว่าจะละเอียดอ่อนขนาดนี้”

                “แล้วชอบไหมล่ะครับ”

                “ไม่ต้องมาครับใส่เลยคุณน้ำค้าง” คุณฮิมตักข้าวแล้วเอามาจ่อปากเขาเหมือนจะให้หยุดพูดอย่างไรอย่างนั้น “ถ้าสบายใจนี่ถือว่าชอบไหม”

                “ไม่ใจเต้นให้ผมหน่อยเหรอ”

                “ต้องลุกขึ้นมาเต้นไหมอะ”

                “คุณฮิมอะ ไม่เอางี้ดิ”

                คุณฮิมขำเสียงดังตอนน้ำค้างทำหน้าท้อใจ

                “แอบบอกกันบ้างดิ ว่าใจเต้นให้บ้างไหม ผมท้อเป็นนะ”

                “คุณน้ำค้างขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่” คุณฮิมเอามือมาแปะๆ แก้มเขาอีกแล้ว “ผมบอกก็ได้ ความจริงก็หลายครั้ง แต่รู้ไหมรอบไหนเสียงดังที่สุด”

                น้ำค้างเลิกคิ้วและรอคำตอบ

                “ตอนที่ผมเมา ตอนคุณน้ำค้างมาถอดถุงเท้าให้นี่ใจผมเหมือนจะระเบิดออกมาจริงๆ” คุณฮิมพูดแล้วก็หัวเราะคนเดียว

                “จริงๆ เลยนะคุณฮิม ผมไม่ได้คาดหวังว่าเป็นตอนนั้นเลยอะ”

                “แล้วคิดว่าเป็นตอนไหน”

                “ตอน เอ่อ...” น้ำค้างเริ่มกลับมาติดอ่างอีกครั้ง จะพูดตรงหน้าก็ดูกระดากปากไปหน่อย

                “ตอนดูดปากผมอะนะ”

                “คุณฮิม! เขาเรียกว่าจูบ!”

                “เหมือนกันนั่นแหละ”

                น้ำค้างเอามือก่ายหน้าผากแล้วเสยยันผมอีกครั้ง เขากระดากกับคำว่าดูดปากจริงๆ ให้ตายเถอะ คุณฮิมตีไหล่เขาให้เลิกปิดหน้าแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูทำเอาเขาเงยหน้าขึ้นมาจริงๆ คุณฮิมวางจานข้าว แล้วลุกขึ้นไปดู พึมพำอยู่ในลำคอคนเดียวว่าใครมากันนะ

                น้ำค้างไม่ได้สนใจจนเสียงฝีเท้าย่ำตึงตังเข้ามาในห้อง พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงวัยกลางคนที่ยังดูกระฉับกระเฉงมากๆ น้ำค้างได้กลิ่นแอปเปิ้ลอ่อนๆ ก่อนจะตามมาโดยแรงตบบนซีกแก้มซ้าย

                เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้นนะ

                “แม่ใหญ่!”

                เสียงคุณฮิมตะโกนเรียกศักดิ์คนตรงหน้ายิ่งเอาน้ำค้างมึนงงเข้าไปใหญ่ ทำไมคนรอบตัวคุณฮิมถึงได้ชอบใช้ความรุนแรงกันจังเลยนะ หรือว่าเขาจะเป็นพวกหัวอ่อนในทางไม่ดีกันแน่ หรือคุณฮิมจะชอบคนรุนแรง เขาควรฝึกรึเปล่า

                “มึงทำอะไรลูกกู!”

                “เอ่อ...”

                การประมวลผลของน้ำค้างหยุดทำงานไปแล้ว เขางงจริงๆ หรือแม่คุณฮิมจะเป็นพวกประเภทหวงลูกจัด เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ หรือทำวะ ดูดปากกับกัดข้อมือนี่นับไหม มันไม่รุนแรงนะ มันคือการแสดงความรัก ถ้าเทียบกับการตบหน้าแล้ว ดูดปากไม่เจ็บเลย

                “แม่ใหญ่! นี่ไม่ใช่เมฆ!”

                “นี่แกปกป้องมันอีกคนปะเนี่ย”

                “ปกป้องอะไร โว้ย! แม่ใหญ่! นี่คุณน้ำค้าง! ไอ้เมฆมันไปตายที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

                แม่คุณฮิมกอดอก ดูยังสาวมากถ้าเทียบกับแม่เขา ใบหน้านิ่งๆ นั่นดูดุดันและเด็ดขาด เค้าของคุณฮิมส่อออกมาจากบรรยากาศบนใบหน้าและการพูด น้ำค้างรับรู้ในใจน้อยๆ ว่าอีกฝ่ายคืออัลฟ่าผู้หญิง หญิงวัยกลางคนตรงหน้าพิจารณาหน้าเขาก่อนจะเลิกกอดอก แล้วค้อมหัว

                “ขอโทษด้วยค่ะ เห็นเป็นอัลฟ่า ก็เลยไม่ทันได้ดูดีๆ”

                “แม่ใหญ่ คือแค่กลิ่นก็ไม่เหมือนแล้ว” คุณฮิมพูดเหมือนเหนื่อยใจ ก่อนจะลงมาขอโทษเขาอีกรอบ “คุณน้ำค้าง ผมขอโทษจริงๆ เจ็บมากไหมเนี่ย แม่ใหญ่ยิ่งมือหนักอยู่”

                “แหงสิ ไม่งั้นแกจะตูดเล็กแบบนี้เหรอ ตอนเด็กฉันตีตูดแกกี่ที”

                น้ำค้างเริ่มเห็นเค้าลางว่าทำไมคุณฮิมชอบความรุนแรงมาน้อยๆ

                “แม่ใหญ่ ก็นี่ลูกคนอื่นไหม แล้วแม่เล็กไปไหนอะ”

                “บินไปญี่ปุ่นนู่น ทำงาน แล้วนี่แกเจียวไข่เองเหรอ” แม่ใหญ่ที่คุณฮิมเรียกเดินมาดูจานไข่เจียวที่น้ำค้างเป็นคนทำก่อนจะตักชิม “ไปหัดเจียวไข่เองตอนไหน ฉันหัดตั้งนานกว่าไข่เจียวมันจะไม่มีเปลือก แล้วนี่หั่นแครอทกับหมูสับด้วยเหรอ เก่งจังวะ กลับมาบ้านเจียวให้กินบ้างดิไอ้ลูกชาย”

                น้ำค้างยิ้มเจื่อน ในขณะที่คุณฮิมถอนหายใจ

                “นั่นคุณน้ำค้างทำ แม่ใหญ่ดูหน้าลูกชายดิว่ามีปัญญาไหม”

                “อ้าวเหรอ” แม่ใหญ่ทำตาโตแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “ฉันก็เหมือนแกไหมตอนแต่งใหม่ๆ ทำอะไรไม่เป็นเลย ต้องมาหัดเองหมด งานบ้านบางอย่างแม่เล็กยังทำดีกว่าอีก”

                “ก็นี่ฮิมไม่ต้องหัดไหมอะ คุณน้ำค้างทำเป็นทุกอย่างเลย”

                น้ำค้างกัดกระพุ้งแก้มไว้เงียบๆ เพื่อกลั้นยิ้ม คนเราเวลาใจฟูแต่แสดงออกไม่ได้นี่มันอึดอัดแบบแปลกๆ จังนะ

                “งั้นก็แสดงว่าชาติที่แล้วแกทำบุญมาดี” แม่ใหญ่พูดแล้วก็ตักไข่เจียวเข้าปากอีกคำ “ไว้พามาเจอแม่เล็กด้วยนะ จะให้แม่เล็กแสกน ตอนนั้นแม่เล็กให้ไอ้เมฆผ่านมาได้ยังไงวะ”

                “โห่แม่ใหญ่ เลิกพูดถึงแม่งได้แล้ว”

                “ก็มันน่าโมโหไหม ฉันเลี้ยงของฉันมาดีๆ จู่ๆ ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาด่า พ่อก็ไม่ใช่ ผัวก็ไม่ใกล้เคียง-“

                แม่ใหญ่เงียบไปเพราะคุณฮิมเอามือปิดปากแล้วลากไปที่แถบครัว

                “แม่ใหญ่บอกจะเอาผลไม้มาเติมให้ มานี่เลย” คุณฮิมพูดแล้วก็หิ้วปีกแม่ใหญ่ไป ถึงจะเป็นอัลฟ่าผู้หญิง แต่ก็ยังโครงสร้างเล็กกว่าอัลฟ่าผู้ชายอยู่ดี เพิ่งรู้ว่าบ้านคุณฮิมเป็นแบบนี้ ก็น่ารักดี แต่พอคิดสภาพแม่ตัวเองมาเจอแม่ใหญ่แล้วน้ำค้างก็ขำ แม่เขาน่าจะกลัวมาก

                สุดท้ายคุณฮิมก็โดนแม่ใหญ่ใช้ให้เรียงผลไม้เองอยู่ดี และแน่นอนว่าเป้านิ่งอย่างน้ำค้างก็ไม่รอดอีกตามเคย

                “รู้จักไอ้เมฆปะ”

                “เอ่อ ไม่ครับ”

                ถึงคุณฮิมจะไม่เคยพูดชื่อให้ฟังตรงๆ แต่น้ำค้างก็เดาได้เลยว่าเป็นอัลฟ่ากลิ่นกาแฟคนนั้นแน่ๆ

                “ถ้าเจอมันก็ฝากกระทืบแทนฉันด้วยนะ เนี่ย ปล่อยให้มันเดินเข้าออกบ้านมา ต้อนรับขับสู้อย่างดี รู้งี้น่าจะปล่อยไอ้โบโบ้ออกจากกรงให้กัดหัวขาดไปเลย”

                “ขอ...ถามได้ไหมครับว่าโบโบ้นี่พันธุ์อะไร”

                “ร็อตไวเล่อร์”

                น้ำค้างลอบกลืนน้ำลายแล้วยิ้มจืด ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยทำลูกแม่ใหญ่เจ็บ ดูแลอย่างดี ลิ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม

                “แล้วนี่ชื่ออะไรนะ น้ำหวาน?”

                “เอ่อ น้ำค้างครับ”

                “อ๋อ ลูกฉันไปจีบเหรอ”

                “แม่ใหญ่!” เสียงคุณฮิมตะโกนมาจากในครัวเหมือนจะปราม แต่แม่ใหญ่ทำหูทวนลม

                “ผมจีบก่อน...ครับ”

                “ชอบอะไรลูกฉัน ไหนบอก”

                “เอ่อ...” น้ำค้างเอานิ้วขึ้นมานับอย่างจริงจังเป็นข้อๆ จนแม่ใหญ่เหนื่อยจะรอ

                “พอ ขี้เกียจฟัง แต่ฉันแสกนเองแล้วก็ผ่านอยู่ หน้าตาดูไม่ใช่คนเลว ไอ้เมฆมันหน้าเหมือนตัวพระรองที่แอบร้ายเงียบๆ ข้างในตามซีรี่ย์เกาหลีอะ เคยดูปะ”

                “เอ่อ ไม่เคยดูครับ...”

                “แม่ใหญ่! บอกให้เลิกพูดถึงไอ้เมฆได้แล้ว!”

                แม่คุณฮิมกลอกตาเซ็งๆ ก่อนจะหันมาจับบ่าเขาทั้งสองข้าง น้ำค้างถึงกับสะดุ้งเพราะจับแน่นมาก

                “นี่ รู้ไหมว่าแม่เล็กคลอดลูกฮิมออกมาตอนอายุยี่สิบ”

                น้ำค้างรับฟังเงียบๆ

                “ฉันเป็นแม่ที่เรียนไม่จบ เพราะลาออกมาเลี้ยงลูกแทนแม่เล็ก แม่เล็กฉลาด ยังไงก็เรียนแล้วทำได้ดีกว่าคนกลางๆ แบบฉันอยู่แล้ว” แม่ใหญ่พูดสีหน้าเรียบๆ แต่น้ำค้างสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ “ฉันไม่รู้ว่าคนเรามันหน้าซื่อใจเสือทุกคนไหม แต่ฉันไว้ใจทุกคนที่ฮิมมันยุ่งด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ผิดหวัง โอเคไหม”

                “ครับ” น้ำค้างพยักหน้ารับคำ

                “เออจะบอกแค่นี้แหละ ส่วนเรื่องที่ตบหน้า ขอโทษอีกรอบ แต่ถ้าไม่ให้อภัยกันก็ไปตบต่อที่ไอ้เมฆมัน บอกว่าแม่ใหญ่ฝากมา”

                น้ำค้างตอบครับไม่เต็มเสียง แล้วยกฝ่ามือขึ้นมามอง ชีวิตนี้แม่บอกว่าน้องน้ำอย่าไปทำร้ายคนอื่นเขานะลูก งานนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถ้าเจอเมฆอีกรอบเขาจะเผลอทำตามที่แม่ใหญ่ฝากไว้ไหม

                “แม่ใหญ่! แม่เล็กโทรมาตามให้ไปรับที่สนามบิน!” คุณฮิมตะโกนมาอีกรอบ

                “เอ้า ไหนแม่เล็กบอกกลับพรุ่งนี้”

                “แม่ใหญ่จำวันผิดอีกอะดิ แม่เล็กรออยู่สนามบินแล้วเนี่ย”

                “เอ้า อะไรวะ เนี่ยเห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น”

                ประโยคหลังแม่ใหญ่หันมาพูดกับน้ำค้าง อัลฟ่าตัวโตได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ ไม่รู้จะตอบยังไงดี จะบอกว่าจริงครับ ดูไม่ฉลาดขนาดนั้นเลย ก็น่าจะโดนตบซีกขวามา

                “งั้นไปละ แกก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมไปหาหมอตามนัดล่ะ ส่วนน้ำหวาน ฉันบอกอะไรไว้ก็จำและปฏิบัติด้วยนะ”

                “ครับ...”

                ประตูปิดลงแล้ว แม่คุณฮิมมาเร็วไปเร็วเหมือนพายุไม่มีผิด กลิ่นแอปเปิ้ลยังไม่ทันติดห้องเลย ก็หายไปแล้ว คุณฮิมถึงกับยีหัวตัวเอง

                “ขอโทษนะคุณน้ำค้าง วุ่นวายมากเลย”

                “ไม่เป็นไรคุณฮิม แม่ใหญ่น่ารักดี แม่ผมสิน่าอึดอัดกว่าเยอะ อันนี้ดูจริงใจดี” น้ำค้างตอบแล้วก็ถูแก้มซีกซ้ายเบาๆ ชาหน่อยๆ แต่ไม่เป็นไร เขาไม่ตบเลือดกบปากก็บุญหัวแล้ว

                “แม่ใหญ่จะเป็นแบบนี้อะ พูดถึงไอ้เมฆบ่อยด้วย คุณน้ำค้างจะทนได้ไหม”

                “คบกันมาตั้งสองปี ไม่พูดถึงสิแปลกคุณฮิม ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เขาไม่ได้ว่าผมเสียๆ หาย สักหน่อย”

                คุณฮิมดูกังวลแต่น้ำค้างไม่กังวลใจอะไรเลย แม่ใหญ่เองก็ดูรักและเป็นห่วงคุณฮิมดี แถมยังออกปากว่าไว้ใจเขาแล้ว ก็แค่อย่าทำให้ผิดหวังก็พอ น้ำค้างเชื่อแบบนั้นตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

                “ผมไม่ชอบให้พูดถึงคนเก่าๆ อะดิ กลัวคุณน้ำค้างจะรู้สึกแย่”

                “ไม่เลยคุณฮิม ขนาดจะไปต่อยเขาผมยังไม่ทำเลย ผมจะไปโกรธอะไรกับอิแค่นี้” น้ำค้างหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังจริงๆ

                “แม่ใหญ่นี่เก่งนะครับเนี่ย เลี้ยงคุณฮิมตั้งแต่อายุยี่สิบเอง”

                “อือ ความจริงแม่ใหญ่เครียดนะ แต่ก็เลี้ยงจนรอด จนแม่เล็กเรียนจบได้งานดีๆ ทำ”

                “เป็นผม ผมก็เครียด แต่แม่ใหญ่กับคุณฮิมนี่คงเหมือนกัน เข้มแข็งมาก”

                “ผมน่ะเหรอ” คุณฮิมชี้มาที่ตัวเองแล้วก็เดินไปหยิบจานข้าวไข่เจียวที่ตอนนี้ไข่หมดจานแล้ว เหลือแต่ข้าวเปล่า มุมปากทั้งสองคว่ำลงเล็กน้อยด้วยความที่อดกินไข่เจียวของโปรดต่อ บทสนทนาถูกปัดตกทันทีเพราะคุณฮิมเงยหน้าขึ้นมาพูดประโยคเดิม “คุณน้ำค้าง อยากกินไข่เจียวหมูสับ”

                “ไข่หมดแล้วอะคุณฮิม”

                “งั้นนั่งรออยู่นี่ เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้เอง”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ เพราะแวบเดียวคุณฮิมก็หยิบคีย์การ์ดห้องแล้วเปิดประตูหายไปอีกคน ความหิวนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ด้วย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ มาเร็วไปเร็ว

                ชักอยากเห็นแม่เล็กแล้วว่าจะเหมือนคุณฮิมตรงไหน

 

 

tbc.









แม่ใหญ่ ตัวแทนสมาคมนักตบไอ้เมฆแห่งชาติ

ตอนแรกว่าจะไม่เขียนถึงเมฆแล้ว แต่พอดีหาพล็อตแทรกได้ให้คุณเมฆเขาเจ็บช้ำน้ำใจหน่อยๆ เดี๋ยวเจอกันแน่ๆ ค่ะ

หายไปหลายวันเพราะออกไปเที่ยวค่ะ จะเปิดเทอมแล้ว T_T

ขอบคุณสำหรับฟีทแบคนะคะ

สำหรับเพลงแชปนี้ เราฟัง my boy - billie elish ค่ะ





feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

 

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบแม้ใหญ่อ่ะ มาไวไปไวจริงๆ 5555

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter thirteen



                “ฮัลโหลครับแม่”

                [น้องน้ำ ทำไมห้องฝุ่นเยอะแบบนี้ หายไปนอนไหนครับเนี่ย แม่มาถึงห้องก็ไม่เจอน้องน้ำ]

                “เอ่อ พอดีคุณฮิมป่วย เลยมานอนค้างเป็นเพื่อนครับ แต่ตอนนี้พาคุณฮิมมาหาหมอ อยู่โรงพยาบาลครับ”

                น้ำค้างตอบแม่ตัวเองโดยลืมสนิทไปเลยว่าแม่จะมาหาที่ห้องประจำทุกอาทิตย์ ตอนนี้เขานั่งรอหมอเรียกคุณฮิมไปตรวจอยู่ ป่าสนเอนตัวพิงไหล่เขาแบบที่ไม่เคยทำและเล่นเกมในโทรศัพท์สบายใจเฉิบ ต้นสนส่งกลิ่นสดชื่นกว่าที่เคย ใบไม้สะบัดตามลมหยอกล้อกับหยดน้ำค้างที่เกาะพราวตามกิ่งอย่างอารมณ์ดี

                [อ้าว หนูฮิมป่วยเหรอ ตัวเองอย่าไปติดหวัดเขามาล่ะน้องน้ำ]

                “ครับแม่ เดี๋ยวผมคงได้กลับไปนอนห้องแล้วล่ะ คุณฮิมดีขึ้นเยอะเลย” น้ำค้างตอบ

                [แม่เอาพวกของสดกับผักไว้ในตู้เย็นนะครับน้องน้ำ แล้วก็เดี๋ยวแม่ลงไปซื้อพวกผลไม้กับวิตามินซีมาให้หนูฮิมแป๊บนึง น้องน้ำกลับมาถึงห้องก็อย่าลืมเอาไปฝากหนูฮิมล่ะ]

                “ได้ครับแม่ ขอบคุณมากเลย” น้ำค้างยิ้มเมื่อแม่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงคุณฮิม ก็ไม่ต่างจากเขาเลยที่ขี้ห่วงคนอื่นไปทั่ว จะว่าไปก็ใกล้ไฟนอลแล้ว ถ้าจบไฟนอลเขาคงได้กลับไปนอนบ้านยาวๆ สักที

                [งั้นเดี๋ยวแม่วางก่อนนะ น้องน้ำดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะครับ]

                “ครับแม่ สวัสดีครับ”

                น้ำค้างเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า คุณฮิมยังคงติดเกมอยู่และน้ำค้างไม่อยากจะกวนที่อีกฝ่ายพิงไหล่เขา แต่ว่าเขาอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำ

                “คุณฮิม เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

                “อ่าฮะ” คุณฮิมตอบรับเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่งหลังตรงให้น้ำค้างลุกไปเข้าห้องน้ำ อัลฟ่าตัวสูงเดินวนตามหาสัญลักษณ์ห้องน้ำอย่างงงๆ เขาเองก็ไม่ได้มาโรงพยาบาลนานมากแล้วเพราะแทบจะไม่ป่วยเลย และเขาไม่ค่อยชอบกลิ่นโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก กลิ่นปนกันมั่วยังไม่เท่าพลังด้านลบที่ปนมากับตัวกลิ่น มันทำให้น้ำค้างคลื่นไส้ทุกครั้ง

                น้ำค้างเดินวนอ้อมหาห้องน้ำจนผ่านไปตรงแผนกฉุกเฉิน ป้ายห้องน้ำอยู่ตรงด้านข้างเพียงเท่านั้น แต่ขาเขากลับหยุดนิ่ง สมองตื้อเหมือนโดนทุบ กลิ่นกาแฟไหม้กลิ่นเดิมลอยปะทะเข้าจมูกพร้อมกับพลังลบชวนน่าเวียนหัว ความเศร้าเสียใจที่ลอยปนมากับความเข้าในสีกาแฟทำให้น้ำค้างชวนนึกถึงคุณฮิมในวันนั้น วันที่ป่าสนถูกทำลายและโค่นเสียสิ้นซาก ความโมโหแล่นเข้ามาในสมองอย่างที่ไม่เคยเป็น น้ำค้างเคยคิดว่าเขาคงไม่โมโหใครเท่านี้ แต่สำหรับอัลฟ่าคนนี้ คงจะเป็นข้อยกเว้น

                ขาหันก้าวเดินไปตามกลิ่น พยายามจะหยุดตัวเองให้ใจเย็นๆ แต่ก็ไม่ เขายังคงเดินเข้าไปในแผนกฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยกลิ่นชวนน่าคลื่นไส้เต็มไปหมด เสียงร้องไห้ เสียงเจ็บปวด เสียงทำแผล และอื่นๆ ที่ทำให้น้ำค้างปิดปากและค้อมตัวครู่หนึ่ง จนกระทั่งเข้ามาถึงต้นตอของกลิ่นอันชวนน่าโมโห

                อัลฟ่ากลิ่นกาแฟนั่งอยู่ข้างเตียง ก้มตัวลงเกือบชิดเข่า ฝ่ามือทั้งสองอังปิดใบหน้า ร้องไห้เสียงดังอย่างหดหู่เหมือนน้ำค้างในวันนั้นไม่มีผิด สายตาน้ำค้างไล่มาที่เตียง โอเมก้ากลิ่นผลไม้หน้าร้อนที่บัดนี้ราวกับหน้าแล้ง ที่คอเต็มไปด้วย้าพันแผลที่เลือดซึมเต็มไปหมด กลิ่นฮอร์โมนแปรปรวนเสียจนเวียนหัว มีกลิ่นอื่นปนมาในกลิ่นอายของซีตรัส แน่นอนว่ากาแฟ และกลิ่นอื่นอีกหลายกลิ่นที่น้ำค้างไม่คุ้นเคย โอเมก้าซีตรัสบนเตียงกลิ่นไม่เหมือนเดิมเสียจนน้ำค้างจำไม่ได้ กลิ่นอายในบรรยากาศที่ปนกันหลายกลิ่นจนแกไม่ออกว่ามีหัวน้ำหอมจากกี่กลิ่นกันแน่ชวนให้คลื่นเหียนมากกว่าดึงดูด

                หลากกลิ่นยำรวมกันในตัวโอเมก้าคนเดียว...ก็คงเป็นอะไรไม่ได้ไปมากกว่าโดนข่มขืน

                และเมื่อน้ำค้างตระหนักได้ว่าหลากกลิ่นจากหลากคน หลากคนที่กระทำการย่ำยีโอเมก้าตรงหน้า น้ำค้างก็ยืนนิ่ง เขาเห็นจากข่าวมาเยอะ ใช่ เขารู้ว่าอัลฟ่าตามมุมหลืบมืดของสังคมที่ป่าเถื่อนนั้นยังมีเยอะ แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัวเองตรงหน้า

                โอเมก้ามีเจ้าของเป็นอัลฟ่าได้เพียงคนเดียว ฮอร์โมนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงร่างกายให้ปรับตัวเข้ากับอัลฟ่าที่เป็นคู่ของตัวเองทั้งชีวิต การโดนข่มขืนแล้วโดนกัดที่คอจากอัลฟ่าหรือแม้แต่เบต้าอีกหลายคนนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ฮอร์โมนรวมถึงไบโอเคมีในร่างกายจะตีรวนกัน เหมือนกับการป้อนข้อมูลที่ผิดพลาด เครื่องก็จะขัดข้อง ร่างกายคนก็เช่นกัน

                โทสะมลายหายไปหมดกับความหดหู่ตรงหน้า ถ้าหากคุณฮิมโดนรุมข่มขืนแบบคนตรงหน้า น้ำค้างคงใจสลาย ไม่ต่างจากอัลฟ่ากลิ่นกาแฟในตอนนี้ น้ำค้างมองคนที่ได้ชื่อว่าเมฆที่ร้องไห้ปานจะขาดใจ อัลฟ่าที่จับคู่แล้วย่อมรักและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของคู่ตัวเองดีกว่าใคร

                น้ำค้างก้าวถอยหลัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้าวเร็วๆ ออกจากแผนกฉุกเฉิน เขาสับขาเข้าไปในห้องน้ำ เปิดประตูห้องที่ว่างและใกล้ที่สุดก่อนจะอาเจียนออกมา

                หดหู่... หดหู่เสียจนต้องสำรอกออกมาทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรในท้องเลย

                น้ำค้างไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี  กับการที่มองคนที่น่ารังเกียจได้รับสิ่งที่โหดร้ายเกินการกระทำของตัวเองย้อนกลับมา มันซับซ้อน เหมือนกับผลสะท้อนกลับ

                และน้ำค้างรู้ ว่าการที่คนที่เรารักที่สุดในดวงใจเจ็บปวด สร้างแผลได้ลึกกว่าการที่ตัวเองโดนทำร้ายยิ่งนัก

                หอบหายใจกับตัวเอง หน่วงในท้องและลำคอ น้ำค้างไม่มีอะไรให้อาเจียน ดังนั้นการที่ท้องพยายามเค้นสิ่งแปลกปลอมออกมาจึงทำให้อัลฟ่าตัวโตต้องทรุดตัวลงนั่งบนชักโครก

                และวันนี้น้ำค้างเกลียดโรงพยาบาลกว่าที่เคยเป็น

 

                น้ำค้างตัดสินใจกลับมานอนห้องวันนี้เพราะร่างที่เขาออกแบบในแล็ปท็อปวันนี้ต้องเริ่มทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวเอาไปเลเซอร์ไม่ทันการจะแย่เอา คุณฮิมไม่วายออกอาการเหมือนเด็กที่โดนเอาตุ๊กตาเน่าตัวโปรดไปซักและจะไม่มีกอดคืนนี้

                “คุณน้ำค้าง” คุณฮิมเรียกเสียงแพรวพราวแล้วก็กอดคอเขาจากด้านหลัง “จะทิ้งผมนอนคนเดียวได้ลงคอเหรอ”

                “คุณฮิม อย่าทำงี้ดิ” น้ำค้างโอดครวญเสียงอ่อน เขาน่ะใจอ่อนอยู่แล้ว พอเป็นคุณฮิมเขายิ่งใจอ่อนเข้าไปใหญ่

                “หืม น้องน้ำ ปล่อยพี่ฮิมเหงาเหรอ” คุณฮิมเรียกเขาแบบที่แม่เรียก น้ำค้างหน้าเห่อร้อนไปหมดตอนจมูกโด่งๆ นั่นหอมลงมาหลังใบหูเขา “เป็นหมอนข้างให้ผมแล้วจู่ๆ จะทิ้งให้ผมไปแบบนี้เหรอ”

                “คุณฮิม...” น้ำค้างเรียกอีกฝ่ายเสียงต่ำเป็นการเตือนกลายๆ แต่คุณฮิมหาได้สนใจไหม ยังคงซุกจมูกไปตามต้นคอและลาดไหล่เขาเหมือนจะเก็บกลิ่นอายบนตัวเขาไว้ในประสาทสัมผัสให้มากที่สุด ไม่วายงับเนื้อตรงแอ่งชีพจรเขาหยอกๆ แต่น้ำค้างดันตื่นตัวจริง เขาค่อนข้างจะไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ ดูเหมือนคุณฮิมจะจี้จุดอ่อนเขาตรงจุดไปหมด

                น้ำค้างได้ยินเสียงฮัมในลำคอด้วยความพอใจของคุณฮิมตอนที่เขาหันไปดันอีกคนลงบนเตียงเพื่อประกบจูบ ริมฝีปากของป่าสนยิ้มในจูบเหมือนกับพอใจนักหนาที่น้ำค้างหัวหมุนกับการกระทำของเจ้าตัวไปเสียหมด น้ำค้างเลื่อนมือเข้าไปใต้สาบเสื้อของคุณฮิม เลื่อนไปถึงกลางหลัง ชายเสื้อเลิกขึ้นไปจนสูงเผยหน้าท้องและแผ่นอก อัลฟ่ากลิ่นผ้าสะอาดจูบไปที่ต้นคอคุณฮิม คลอเคลียอยู่อย่างนั้นกับกลิ่นเดิมๆ ที่ทำให้เขาปั่นป่วนในใจทุกครั้งราวกับร่างกายเขาไม่รู้จักเบื่อ คุณฮิมจะรู้บ้างไหม ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้เจอและได้กลิ่นอีกฝ่าย

                คุณฮิมเงยคอให้ผิวเนื้อโชว์เด่นมากกว่าเดิม เปลือกตาหลายชั้นหลุบลงมองเขา นัยน์ตาหวานคมสบกับน้ำค้าง สื่อเป็นนัยหรือคำอนุญาตกลายๆ ว่าให้น้ำค้างทำตามใจอยาก ริมฝีปากคุณฮิมยกยิ้มขี้เล่น แต่แววตาหยาดเยิ้มนั่นจริงจังและเชิญชวน น้ำค้างพรมจูบที่ต้นคอซ้ำๆ เหมือนคนที่มัวเมา ก่อนเลื่อนกลีบปากมาที่แอ่งชีพจร ตรงที่กลิ่นป่าสนชัดเจนที่สุด ปากเผยอออกฝังเขี้ยวลงไปครั้งแรกในชีวิตอย่างไม่ออมแรง คุณฮิมกลั้นหายใจ มือเอื้อมมาขยุ้มเรือนผมเขาแน่น

                น้ำค้างผละออกอย่างเสียดาย รอยฟันที่มาร์กเด่นหราอยู่บนแอ่งชีพจรของคุณฮิมทำให้น้ำค้างพอใจ ในอกเกิดความรู้สึกในการเป็นเจ้าของขึ้นมาทันตา ไม่เคยรู้เลยว่าจะรู้สึกดีขนาดนี้ที่ได้แสดงความเป็นเจ้าของของใครสักคนที่รัก

                คุณฮิมรั้งคอเขาลงมาจนน้ำค้างลงไปนอนทับ ก่อนที่ตรงซอกคอเขาจะโดนเขี้ยวของคุณฮิมฝังลงมาบ้างเหมือนจะเอาคืนที่เขากัดเสียเต็มเหนี่ยว น้ำค้างเอียงคอให้พื้นที่กับอีกคน คุณฮิมจิกแผ่นหลังเขาแล้วออกแรงข่วนจนน้ำค้างต้องซี้ดปากสะดุ้ง ท่าทางตัวเขาจะมีแต่รอยข่วนต่อจากนี้

                “ไม่อยากให้กลับเลย” คุณฮิมบอกเสียงเบาแล้วกลิ้งตัวให้น้ำค้างเป็นฝ่ายที่แผ่นหลังนอนราบกับเตียงแทน ดวงตามีหยาดน้ำซึมอยู่ตามแพขนตาพอให้รู้ว่าเจ็บจากที่โดนกัดจนน้ำตาซึมออกมานิดหน่อย คุณฮิมลูบรอยฟันบนคอเขา “จะไม่หนีผมไปหาคนอื่นใช่ไหม”

                “ไม่หนีหรอกคุณฮิม” น้ำค้างตอบเต็มเสียง

                “อยู่กับผมนะ อย่าหนีผมไปไหนนะ”

                คุณฮิมพูดเสียงสั่นเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง ฝ่ามือยกขึ้นขยี้ตาตัวเอง จนน้ำค้างต้องลุกขึ้นมากอดร่างผอมไว้แน่น คุณฮิมร้องไห้อย่างเงียบงันอยู่ที่ไหล่เขา น้ำค้างขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจที่คุณฮิมกลัวว่าเขาจะหนีหายไป เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้นเลย

                น้ำค้างเองก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น รู้แต่ในตอนนี้ก้อนเนื้ออกด้านซ้ายของเขาถูกควักออกมาด้วยมือตัวเอง ก่อนจะฝังลงในใจกลางป่าสน เคียงคู่กับหัวใจของผืนป่า พร้อมจะดูแล โอบอุ้ม ปกป้อง และไม่ทำให้เจ็บปวดอีก

               

 

50%



                ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้า กิมก็ทำทุกอย่างไม่ให้ตัวเองดูอ่อนแอหรือตกเป็นเหยื่อ ถึงร่างกายจะเอื้อต่อการสืบพันธุ์ และโดนปกครองแค่ไหนก็ตาม

                เขาเคยคิดว่าตัวเองใจแข็งพอสมควร สร้างกำแพงล้อมไว้รอบตัว อัญชันพันเกี่ยวเลี้ยวลดรอบรั้วบ้าน หากแต่มีหนามคอยทิ่มแทง ยากจะรับคนเข้าไป ในชีวิตกิมนั้น แทบจะนับคนได้ว่าภายในรั้วบ้านนั้นมีใครบ้าง ในระยะเวลาที่เติบโตมากิมหวาดกลัวการโกหกและโดนหลอก อยากจะมั่นใจว่าในโซนปลอดภัยของตัวเองมีแต่คนที่จะไม่หักหลังเขา

                พี่ทรายคือข้อยกเว้นของทุกอย่าง ปกติแล้วกิมจะระแวดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ในคราแรกที่เจอ จนกระทั่งถึงตอนนี้ พี่ทรายก็ยังคงลอยตัวเหนือทุกกฎในรั้วบ้านกิม พี่ทรายเพียงแค่ก้าวเดินเข้ามาทักทายตรงหน้ารั้วบ้าน รอเพียงไม่นาน ประตูรั้วก็เปิดต้อนรับกลิ่นหอมหวนของอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน

                กิมเคยคิดว่ากลิ่นไม่มีผลกับตัวเอง ต่อให้หอมหรือถูกใจแค่ไหนก็จะไม่ยอมสยบใต้อัลฟ่าคนใด กิมกลัวการผิดหวังหรือเสียใจเกินกว่าจะโหยหาความรัก รักตัวเองมากเกินกว่าที่จะต้องการให้คนอื่นมารักมาดูแล แต่เขากับไม่เป็นตัวของตัวเองเพียงแค่พี่ทรายเข้ามา เพียงแค่กลิ่นหอมเหนือมนุษย์นั่นลอยเข้าแตะจมูก พี่ทรายก็เป็นคนที่ได้เข้ามาใกล้ตัวเขาที่สุด

                ราวกับพระเจ้าเล่นตลกกับคนหยิ่งผยองสันโดษแบบเขา พี่ทรายแทบไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย แค่มาอยู่ในชีวิตกิม อยู่ในสายตา แค่นั้นเอง สมองของกิมก็มีแต่คำว่าชอบ ชอบจนน่ากลัว ชอบจนยอมลดเกราะกำบังตัวเองทั้งหมดลง ชอบจนยอมให้มีอีกคนมายืนข้างๆ เวลาไปไหนมาไหนทั้งๆ ที่ปกติแล้วการอยู่ตัวคนเดียวคือสิ่งที่โปรดปราน ชอบจนไม่เข้าใจตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น บทที่หัวใจจะเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ก็เต้นเสียจนเผลอไผล

                กิมไม่เคยอยากโดนจับจอง หรือโดนมาร์กเป็นเจ้าของ เหมือนโดนจับใส่ปลอกคอ ใส่กรง แล้วเที่ยวโดนหิ้วไปโชว์คนอื่นว่าใครเป็นเจ้าของคนคนนี้ แต่พักหลังร่างกายชักจะกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่ระงับอาการฮีทเริ่มไม่ค่อยจะได้ผล

                เมื่อก่อนก็แค่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่สบายตัว แต่ตอนนี้ตั้งแต่มีพี่ทรายเทียวไปเทียวมาอยู่ข้างตัว กิมก็เริ่มมีความต้องการที่นานๆ จะมีสักครั้ง ปกติก็แค่ตัวคนเดียวที่ช่วยตัวเอง แต่ครั้งนี้เขาเริ่มมองไปที่อัลฟ่ากลิ่นหอมข้างตัว ยามกลีบปากบดเบียดเมื่อโดนหาเศษหาเลยก็เริ่มจะไม่พยศใส่ ใบหน้าเอียงโชว์ผิวเนื้อตรงลำคอให้มีพื้นที่มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ราวกับรอและเชิญชวนให้ก้มลงมากัดจนจมเขี้ยว พี่ทรายจะรู้ไหมว่ากิมเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในชีวิต

                “ฮีทเหรอ”

                “ทำไมรู้”

                กิมถามและสะดุ้งเบาๆ ตอนที่พี่ทรายก้มลงมาหอมตรงท้ายทอยตัวเอง พี่ทรายนัดเขามากินขนมที่ร้านบิงซูเนื่องด้วยกิมบ่นอยากกินตามอาการฮีทที่มีติดตัว แต่ที่แปลกใจก็คือปกติพี่ทรายจะรู้ว่าเขามีช่วงระยะฮีทก็ต่อเมื่อเขาออกอาการหงุดหงิดให้เห็น ซึ่งอัลฟ่าไหล่กว้างเพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่ด้วยซ้ำ จะไปรู้ได้อย่างไร

                “กลิ่นหอม”

                “นี่ฉีดสเปรย์แล้ว”

                “ไม่รู้ ได้กลิ่น ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาเลย”

                กิมกัดปากอย่างรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ใช่ว่ากับพี่ทราย แต่เป็นเพราะว่ารู้สึกได้ว่าพนักงานมองแปลกๆ ตั้งแต่เดินเข้าร้าน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะสีผมที่เด่นกว่าใครเขา ตอนนี้พอจะรู้สาเหตุแล้วว่าทำไม

                ไม่เคยมีเลยที่กลิ่นเขาจะออกแรงจนสเปรย์เอาไม่อยู่ กิมมั่นใจว่านอกจากเป็นช่วงฮีทแล้วน่าจะเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกายเขาเริ่มจะตอบสนองกับพี่ทรายมากขึ้น

                “น้องกิมรอนานปะเนี่ย”

                กิมส่ายหน้าให้แล้วก็เริ่มตักบิงซูตรงหน้าเข้าปาก ความหวานไม่ได้ทำให้ใจสงบลงเท่าไหร่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จิตใจพะวักพะวงและยุ่งยาก เคยคิดว่ากลับไปอยู่คนเดียวคงจะดีซะกว่า แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่ทรายหรือโดนอีกฝ่ายสัมผัสอีกก็เฉาใจขึ้นมาเอง

                ขนาดเป็นแค่ความคิดยังทำเขาห่อเหี่ยวได้เลย ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมากิมคงเฉาน่าดู

                “น้องกิม”

                “หือ?” กิมอมช้อนคาไว้ที่ปากแล้วส่งเสียงในลำคอตอบ เขารู้สึกไม่สบายตัวขนาดว่ามีของหวานอยู่ในปากแล้วก็ยังไม่พอใจ ท่าทางจะออกทางสีหน้าเสียจนคนมองอย่างพี่ทรายรู้สึกได้

                “ไหวไหมเนี่ยเรา” พี่ทรายถามด้วยความเป็นห่วงแล้วก็เอามือข้ามจากอีกฝั่งโต๊ะจับตามแก้มกับหน้าผากเขา สัมผัสอุ่นๆ จากมืออีกคนเป็นเหมือนยาชั้นดีที่ทำให้กิมอยากจะยื่นหน้าอังไว้ตลอด ทำไมกันนะทำไม ร่างกายถึงได้โหยหาอีกคนไปหมดเลย

                “อยากกลับไปนอน แต่ขอกินก่อน” กิมตอบแล้วตักอีกคำเข้าปาก ความจริงเขาจะกลับเลยก็ได้ ถ้าเป็นปกติน่ะนะ แต่ตอนนี้ที่กิมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและไม่ปกติเอาเสียเลย

                “กินยาถูกเวลารึเปล่า” พี่ทรายถามอีกรอบ

                “ก็กินเหมือนที่เคยกินทุกเดือน” กิมตอบ และเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากขึ้น “กลิ่นออกขนาดนั้นเลยเหรอ”

                “อือ หอม ไปยืนตรงหน้าร้านยังรู้เลยว่าน้องกิมอยู่โต๊ะไหน” พี่ทรายพูดแล้วก็ยิ้มแบบเป็นห่วงเขาอย่างชัดเจน เอาซะกิมรู้สึกผิดที่ออกอาการมากเสียขนาดนี้

                “อยากให้กลับเลยใช่ไหม”

                กิมถามทั้งๆ ที่ยังตักน้ำแข็งไสข้างหน้าเข้าปาก เขารู้ว่าพี่ทรายไม่ชอบเวลาเขาดื้อจะกินของหวานของเย็นตอนที่กำลังฮีทอยู่ พี่ทรายกลัวเขาจะไม่สบายด้วยร่างกายกำลังอยู่ในช่วงฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าเป้นเมื่อก่อนกิมคงจะรำคาญน่าดู เป็นพ่อก็ไม่ใช่ สั่งอยู่ได้ แต่รอบนี้กิมเห็นด้วยกับอีกฝ่ายว่าจะยอมกลับก่อนโดยที่กินของตรงหน้าไม่หมด

                “โกรธพี่ปะเนี่ย” พี่ทรายขมวดคิ้วที่เห็นโอเมก้าผมบลอนด์สะพายกระเป๋าทำทีท่าว่าจะลุกและกลับจริงๆ

                “ไม่ได้โกรธ” กิมตอบสั้นๆ ตามนิสัยตัวเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ทรายก็รีบเสริมว่า “รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เลยอยากกลับเอง”

                “อ๋อ งั้นดีเลย” พี่ทรายพึมพำ คิ้วที่ขมวดคลายออก โล่งใจที่กิมไม่ได้เคืองหรือขุ่นใจ “เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่ง”

                นี่ก็เป็นอีกอย่างที่กิมไม่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนเพื่อใคร เขาไม่ใช่คนชอบพูดมาก ไม่ชอบเวลามีคนมาพะวักพะวงหน้าหลังแทนเขา หรือถามอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ซึ่งพี่ทรายเป็นคนประเภทนั้น ขี้เป็นห่วงเหมือนไอ้น้ำไม่มีผิด แต่กับเพื่อนสนิทกิมตัดบทไม่มีเยื่อใยจนไอ้น้ำมันชินไปเองว่าถ้ามีอะไรเคืองใจจริงๆ เขาจะพูดออกไปตรงๆ

                แต่กับพี่ทรายเหมือนจะยังไม่ชิน หรือว่ากิมไม่ยอมพูดออกไปเหมือนที่พูดกับเพื่อนตรงๆ ก็ไม่แน่ใจ เขาปากหนักขึ้นหลายเท่าเวลาอยู่กับพี่ทราย   

                “วันนี้กลับบ้านหรือกลับหอ”

                “หอ” กิมตอบแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งรถที่ข้างคนขับ ข้างในรถเต็มไปด้วยกลิ่นพี่ทรายห่อหุ้มจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศปกคลุม เมื่อก่อนร่างกายกิมจะตื่นตัวและไม่ชิน แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตัวและชอบที่โดนโอบกอดด้วยกลิ่นนี้ “จะส่งไฟนอลโปรเจคแล้ว ใกล้ได้กลับบ้านยาวๆ”

                “งี้จะยอมออกมาหาพี่ไหมเนี่ย” พี่ทรายถาม รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก

                “อยากเจอก็มาหาเองดิ” กิมตอบแล้วก็กดเล่นเกมในมือถือ “ขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องแต่งตัว ต้องเตรียมของ ทำนู่นนี่”

                “ถ้าคนมันอยากเจอมันก็ไม่ขี้เกียจหรอกน้องกิม” พี่ทรายทำเสียงตัดพ้อจนกิมจิ๊ปากใส่ หมั่นไส้คนขยันเรียกคะแนนความสงสารจริงๆ

                “อยากเจอแต่ขี้เกียจก็มีไหม” กิมตอบแล้วย่นจมูก “ถ้าอยากเจอแต่ขี้เกียจพี่ทรายก็ต้องมาหา ก็แค่นั้นเอง”

                “ครับๆ น้องกิม ทราบแล้วครับ” พี่ทรายหัวเราะกับหน้ายุ่งๆ ของเขา

                “เดี๋ยวแวะเซเว่นให้ผมหน่อย จะซื้อขนม”

                “ตรงก่อนถึงหอใช่รึเปล่า”

                “อือ”

                กิมตอบแล้วหลังจากนั้นตลอดทางก็เป็นความเงียบ ถ้าหากรถติดพี่ทรายก็จะหันมาลูบเรือนผมเขาอย่างเพลินมือ ฝ่ามือใหญ่ๆ นั่นสอดเข้ามาตามกลุ่มผมสีสว่างของเขาอย่างไม่รู้จักเบื่อ ถ้ากิมไม่เล่นเกมอยู่ ก็คงจะโดนหาเศษหาเลยไปตามเรื่องตามราว แต่พี่ทรายรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ยุ่งเวลาเล่นเกม ไม่งั้นจะหัวเสียไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลย

                ล้อรถหมุนและหยุดลงตรงริมฟุตบาท กิมโดนพี่ทรายสะกิดเรียกให้หยุดเล่นเกมแล้วลงไปซื้อของในเซเว่น โอเมก้าผมบลอนด์ล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะเปิดประตูรถเดินลงไปที่ร้านสะดวกซื้อ กิมหยิบขนมตามชั้นอย่างที่ชอบทำจนกระทั่งได้ยินเสียงฝนเทลงมากระทบหลังคา ดวงตาเรียวเหลือบจากแผงขนมมองทะลุออกไปนอกกระจกร้าน ฝนเทลงมาห่าใหญ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกิมนึกเซ็ง ฝนในกรุงเทพฯนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างที่เขาว่าจริงๆ เจอเหตุการณ์แบบนี้จนขี้คร้านจะหงุดหงิดให้เสียอารมณ์แล้ว

                กิมล้วงในกระเป๋า ตอนแรกนึกว่าตัวเองไม่ได้พกเสื้อกันฝนมา แต่พอล้วงเจอดีๆ ก็เจออยู่ก้นกระเป๋า กิมจ่ายเงินที่แคชเชียร์แล้วเตรียมจะกางเสื้อกันฝนที่สภาพยู่ยี่เหมือนถุงพลาสติกขนาดใหญ่

                ตอนแรกกิมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรมากสำหรับระยะฮีทช่วงนี้ แต่พอฝนตกลงมา ไอ้เจ้าอาการฮีทที่ครั่นเนื้อครั่นตัวมาเกือบทั้งวันก็ดันออกอาการซะงั้น เหมือนฮอร์โมนจะเกิดอาการแล่นพล่านกะทันกัน สมองของกิมเบลอเหมือนโดนม่านราคะบัง เป็นอาการที่ไม่ได้เกิดมานานแล้วตั้งแต่เขาเริ่มกินยาระงับช่วงฮีท

                แล้วทำไมวันนี้ถึงได้...อยากทั้งๆ ที่กินยาตามปกติล่ะ

                กิมยัดเสื้อกันฝนลงในกระเป๋าสะพายลวกๆ มือรับเงินทอนและถุงขนมกลับมาอย่างลุกลี้ลุกลน เขากำเงินทอนกับใบเสร็จไว้ในมือแน่นอย่างไม่ใช่วิสัย ถุงขนมที่ปกติจะถือถุงหิ้วก็กลับกำแน่นไว้ในมือรวมกับเงินทอน กิมหายใจทิ้งหนัก สัมผัสได้ว่าช่องทางหลังมีน้ำหล่อลื่นออกมาจนชื้นกางเกงชั้นใน ฟันบนขบริมฝีปากล่างแน่นจนเจ็บ

                กิมพุ่งตัวออกตากฝนที่กำลังเทหนัก เขาย่ำเดินเหยียบฟุตบาทอย่างอ่อนแรง ในหัวมึนตึ้บไปหมด ในอกสุมไปด้วยความปรารถนาที่กิมไม่เคยอยากมีและเลือกจะกดมันเอาไว้ให้นานที่สุด โอเมก้าผมบลอนด์ตัวเย็นเฉียบตรงข้ามกับร่างกายด้านในที่ร้อนรุ่มไปหมด ฝนตกหนักกระทบตามผิวเนื้อจนเจ็บแสบ ในหูได้ยินแต่เสียงฝน

                พี่ทรายเปิดประตูรถออกมาทันทีที่เห็นเขาเดินตากฝน กลิ่นพี่ทรายกระทบจมูกกิมจนแทบจะล้มทั้งยืน กิมแฉะไปหมดทั้งตัว นั่นรวมถึงกางเกงชั้นในตอนนี้ที่น้ำหล่อลื่นยังคงออกมาไม่หยุด พี่ทรายยังมีสติพอที่จะกางร่มวิ่งออกมาหาเขาที่ยืนนิ่งเข่าอ่อนอยู่กลางฝน

                อัลฟ่าไหล่กว้างเข้าประชิดตัวและโอบรัดเอวเขา กิมตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป้นมาก่อนในชีวิต หายใจเข้าออกทางริมฝีปาก เขากอดพี่ทรายก่อนจะเอาหน้าซุกลงตรงแอ่งชีพจรอีกฝ่าย กลิ่นพี่ทรายที่เคยหอมและทำให้เขารู้สึกดีตอนนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม กลิ่นหอมหวนเกินมนุษย์ธรรมดากำลังฉุดดึงความปรารถนาลึกล้ำในตัวให้ออกมามากกว่าเดิม เหมือนจะดึงให้สติกิมจมดิ่งอย่างไม่มีวันหวนคืน

                “น้องกิม” พี่ทรายเรียกเขาสู้กับเสียงฝน กิมส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาเอื้อมฝ่ามือทั้งสองข้างไปจับหน้าพี่ทรายให้โน้มลงมาก่อนจะประกบจูบสะเปะสะปะลงไป ในตอนแรกสมองก็แค่คิดว่าขอแค่จูบเอง ถ้าจูบกันก็คงดีขึ้น ถ้าจูบกันความทรมานในตัวก็คงจะหายไปบ้าง...

                กิมคิดแค่นั้น แต่หารู้ไม่ว่ายามที่ริมฝีปากประกบกัน ก็เหมือนจุดไม้ขีดแล้วโยนลงน้ำมัน





cut scene

ลิ้งบนไบโอทวิตเตอร์ @hopeniverse_ ค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2018 01:21:04 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สวัสดีค่ะ เพิ่งมาตามอ่าน อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกและอบอุ่นเลยค่ะ ชอบเคมีของคุณป่าสนและคุณแม่บ้านญี่ปุ่นจัง ฟุ้งๆเหมือนน้ำค้างในป่าสนจริงๆ นึกภาพตามออกเลย รอตอนใหม่นะคะ ขอบคุณมากเลย  :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หูยยยย พี่ทรายทนน้องกิมไหวได้ไงเนี่ยยยย :hao7:

ออฟไลน์ 小苹果

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตามมาอ่านค่ะ ชอบมากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter fourteen



                ฮิมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย มองซ้ายมองขวา แขนเผลอเอื้อมไปที่ด้านข้างเพื่อหาคนที่เคยอยู่ข้างกายมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่เมื่อควานไปก็กลับเจอแต่เนื้อผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่และผ้าห่มที่หลุดลงมากองด้านข้างเพียงเท่านั้น

                อ่า นั่นสินะ คุณน้ำค้างกลับไปแล้วนี่

                ฮิมลุกขึ้นมาก่อนจะพบว่าเขาเหงื่อออกจนผมตรงกระหม่อมเปียก ทั้งๆ ที่เปิดแอร์แท้ๆ และยิ่งแปลกใจตัวเองมากกว่าเดิมเมื่อกะพริบตาแล้วมีหยดน้ำหยาดลงมาตามแก้ม ฮิมขมวดคิ้วก่อนจะขยี้ตา ฝันก็คือฝัน โล่งอกกว่าก็คือมันไม่ใช่เรื่องจริง บ้างก็บอกว่าฝันร้ายดีกว่าฝันดีตรงที่ตื่นมาแล้วไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฝันดีนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากจะเก็บไว้ หากแต่เขากลับไม่เห็นด้วยอย่างนั้น

                ฝันดีมักวนมาหาเรารอบเดียวในรูปแบบที่แตกต่างกันไป กลับกันนั้นฝันร้ายมักจะวนมากับคนเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา หลอกหลอนเราไปนานแสนนานต่อให้จะลืมเลือนไปแล้วก็ตาม

                อัลฟ่ากลิ่นป่าสนลุกขึ้นไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน หวังว่าน้ำอุ่นๆ จะช่วยให้จิตใจสงบลงบ้าง จะว่าไปคุณน้ำค้างก็ตัวอุ่น...

                คิดถึงคุณน้ำค้างจัง

                ฮิมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแชทโดยไม่รู้ตัว เลื่อนดูข้อความสุดท้ายที่ส่งหากันว่าฝันดี และคุณน้ำค้างก็บอกว่าคงไม่ได้นอนเร็วเท่าไหร่นักหรอก

                ตอนนี้เวลาตีหนึ่ง จะนอนรึยังนะ...

            คุณฮิมคิดพลางลังเลว่าจะกดโทรหาดีไหม อยากจะได้ยินเสียง แค่คุยแป๊บเดียวก็ยังดี คุณน้ำค้างน่ะเก่งเรื่องปลอบใจคนจนฮิมกลัวว่าในวันข้างหน้าเขาจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้ยามที่กำลังล้มลง อีกฝ่ายให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนฮิมรู้สึกว่าจะกอดแล้วร้องไห้เสียงดังให้ฟังเท่าไหร่ก็ได้ จะโวยวาย โมโห หรือพาลเท่าไหร่ก็ได้ เพราะว่าคุณน้ำค้างจะเข้าใจและปลอบโยนในแบบฉบับของคุณเขา

                สุดท้ายนิ้วโป้งก็กดโทรออกจนได้ ฟังเสียงรอสายอย่างลุ้นระทึก แต่ก็เผื่อใจไว้ว่าอีกฝ่ายอาจจะนอนไปแล้วก็ได้ ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณน้ำค้างไม่รับสาย พรุ่งนี้ก็ไปหาก็ได้นี่นา แค่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เจอกันแล้ว

                [ฮัลโหลครับคุณฮิม]

                ขอบคุณนะ ขอบคุณที่รับสายกัน

                “ยังไม่นอนอีกเหรอ” ฮิมถาม มุมปากยกยิ้มอย่างไร้สาเหตุ เขากำลังทำตัวงี่เง่าและเรียกร้อง ปกติในสมองจะระแวงนู่นนี่เต็มไปหมด มีเส้นให้ตัวเองว่าเท่านี้ แต่พอเป็นคุณน้ำค้าง...อะไรก็ดูเป็นไปได้เสียหมดเลย

                [อ่า กำลังจะแปรงฟันเลยคุณฮิม]

                “อือ แสดงว่าจะนอนแล้วใช่เปล่า” ฮิมถามแล้วก็กดน้ำอุ่นใส่แก้ว ยกจรดริมฝีปาก รออีกฝ่ายตอบ

                [ใช่ครับ แล้วคุณฮิมล่ะ ไหนบอกฝันดีกัน ทำไมยังไม่นอน]

                กำลังจะคิดข้อแก้ตัวตอบกลับให้ตัวเอง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ไม่อยากให้คุณน้ำค้างเป็นห่วงแล้ว แต่จู่ๆ อัลฟ่าจากปลายสายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                [ฝันร้ายอีกเหรอคุณฮิม]

                “อืม” ฮิมตอบกลับในลำคอแต่โดยดี คุณน้ำค้างก็คือคุณน้ำค้าง ดันทุรังไปก็แค่นั้น แต่มากกว่าฝันร้าย ฮิมอยากจะบอกประโยคนี้ให้ฟังมากกว่า “แล้วก็...คิดถึง”

                คุณน้ำค้างเงียบไป แต่ฮิมยังคงพูดต่อ

                “คิดถึงคุณน้ำค้าง อยากได้ยินเสียง ก็เลยโทรไป”

                [คุณฮิม...นี่คือทำผมนอนไม่หลับนะเนี่ย]

                เสียงคุณน้ำค้างที่โอดมาตามสายทำเอาฮิมหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างผ่อนคลาย ก็คิดถึงจริงๆ นี่นา นอนก่ายเป็นหมอนข้างอยู่ตั้งหลายวัน จู่ๆ ทั้งกลิ่นทั้งตัวอุ่นๆ ก็หายไปหมดเลย กลิ่นคุณน้ำค้างน่ะจางเร็วจะตาย อยากจะได้กลิ่นชัดๆ ก็ต้องกอดแน่นๆ

                อยากจะให้มานอนด้วยกันทุกคืนเลย

                [คิดถึงคุณฮิมเหมือนกัน กลิ่นยังติดตัวผมอยู่เลย]

                “มาหากันสิ” ฮิมพูดทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตีหนึ่งคงไม่มีใครบ้าจะออกมาหรอก แค่คำว่าคิดถึงคุณน้ำค้างก็ทำเอาฮิมลงไปนอนกับหมอน เอาโทรศัพท์แนบหูและหลับตา “พูดว่าคิดถึงอีกได้ไหม”

                [ครับ?]

                “อยากฟังเสียง นอนไม่หลับ”

                [คิดถึง คิดถึงคุณฮิม...มากๆ เลย]

                ฮิมหลับตานอนฟังเสียงทุ้มต่ำข้างหู รู้ว่ากำลังเรียกร้องและเอาแต่ใจ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ที่จะทำตามใจตัวเองโดยไม่ต้องคิดในหัวตลอดเวลาว่าสมควรรึเปล่า เหมาะสมรึเปล่า น่าเกลียดรึเปล่า

                สำหรับคุณน้ำค้าง ไม่มีอะไรที่น่าเกลียดเลย มีแต่ที่ที่ปลอดภัย ผ้าห่มผืนใหญ่ จะกอดแล้วฝังหน้าหรือหลบอยู่ใต้นั้นทั้งวันก็ยังได้

                [อยากให้ไปหาไหม คุณฮิม]

                “ไม่ต้องหรอก พักเถอะ มันเหนื่อย ถ้ามาสิผมจะโกรธ”

                ฮิมตอบเสียงเบา เขาไม่อยากให้คุณน้ำค้างถ่อมาหาเขาดึกดื่นทั้งๆ ที่ตัวเองเหนื่อยแทบตายหรอก อีกแง่นึงก็ดี จะมีสักกี่คนที่ยอมมาหาเราไม่ว่าจะกี่โมง จะมีสักกี่คนที่จะยอมรับสายแล้วอยู่ฟังเราพูดตอนตีหนึ่งว่าคิดถึง ก็แค่นั้น

                ไม่อยากจะเสียคุณน้ำค้างไปเลย

                 [อยากให้ผมเอ่อ...อ่านอะไรให้ฟังไหม] คุณน้ำค้างถามและฮิมได้ยินเสียงคลิกเม้าส์

                “รู้นะว่าเสิร์ชวิธีกล่อมนอนในกูเกิ้ล”

                [เอ่อ...ก็ ผมไม่ได้อยู่ให้กอดนี่ เลยพอจะทำอะไรได้ก็หาไปก่อน]

                ฮิมนึกหน้าคุณแม่บ้านออกเลยว่าต้องทำหน้าเหมือนเด็กโดนจับได้ว่ากำลังวาดการ์ดวันเกิดมาเซอร์ไพร์ส

                “อ่านเหรอ ร้องเพลงให้ผมฟังไหมล่ะ” ฮิมพูดเองแล้วก็หัวเราะเอง “โรแมนติคไหม ผมเคยจีบคนด้วยวิธีนี้ด้วยนะ”

                [คุณฮิม ผมร้องเพลงไม่เพราะ]

                “ไม่เห็นต้องเพราะเลย แค่เป็นเสียงคุณมันก็ดีหมดแหละ”

                [แน่ใจเหรอคุณฮิม]

                “คุณน้ำค้างก็อย่าร้องแบบคริสติน่าสิ อันนั้นก็เกินไป”

                [คุณฮิมเห็นผมชอบร้องเพลงแนวนั้นเหรอ...]

                “เปล่า ผมเปรียบเทียบ”

                [ผม...คิดเพลงแป๊บนะ]

                ฮิมขานรับในลำคอแล้วก็หลับตารอฟังอีกคนในสายที่ทำเสียงกุกกัก เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด เสียงหายใจ เสียงกระแอมในคอ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำเนิบช้าแต่มีเสน่ห์นั่นจะเริ่มร้องเพลงขึ้นมา

Said, you just don't know how beautiful you are
And baby that's my favorite part
You walk around so clueless to it all
Like nobody gonna break your heart
It'll be alright babe, see, me, I got you covered
I'm gon' be your lover, you might be the one
If it's only tonight, ayy, we don't need to worry
We ain't in a hurry, rushin' into love

 Said, you know I know who you really are, ain't need to lie

Said, the universe couldn't keep us apart
Why would it even try?
Yeah, said, don't let them hurt you ever
I know you far too smart
Before things come together, they have to fall apart
It's been a while since I've been sober
This life can be so hard, I'd rather talk about you

                ความหมายของเพลงทำให้ฮิมยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ใกล้จะหลับเต็มที ถึงจะไม่รู้ว่าเป้นเพลงอะไร แต่ถ้าเจอกันพรุ่งนี้ก็คงจะต้องถามและหามาฟังซะบ้างแล้ว คุณน้ำค้างไม่ใช่คนร้องเพลงดีเด่อะไร เพลงที่เลือกก็ไม่ได้หวือหวา ออกจะเรียบๆ เรื่อยๆ เหมือนกับตัว ไม่ได้มีโทนสูงต่ำที่ต้องตั้งใจแตะโน้ต

                แต่มันสามารถกล่อมให้ฮิมนอนหลับได้อย่างไร้กังวล

 










                กิมรู้สึกเหมือนว่าความร้อนที่เล่นงานเขาก่อนหลับจะกลับมาอีกครั้งในตอนตื่น

                คลื่นฮีทที่มาเป็นช่วงๆ ยังคงซัดเป็นระลอก ถึงจะมีสติขึ้นแต่ในหัวก็มีแต่ความอยากเต็มไปหมด พี่ทรายกอดเอวเขาขยับตัวเหมือนจะรู้ว่ากิมอยู่ไม่สุข โอเมก้าผมบลอนด์ส่งเสียงในคอว่าไม่สบายตัวที่อีกคนกอดตัวเขาแน่นเกินไป แต่ก็ไม่อยากจะให้ปล่อย มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเพราะสมองส่วนหนึ่งของกิมก็ยังคงแล่นคำถามเดิมๆ แม้ในยามตื่น

                ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่กัดเขาล่ะ

                กิมขยับตัวพยายามจะแกะมืออัลฟ่าออก แต่พี่ทรายก้มลงชิดกระซิบข้างหู

                “น้องกิม เป็นอะไร”

                กิมไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้า แล้วก็พยายามจะแกะมือพี่ทรายออก หากแต่ฝ่ามืออีกฝ่ายเลื่อนลงต่ำ เหมือนพี่ทรายจะเข้าใจว่าเขาฮีทอีกรอบ ถึงได้เลื่อนลงปรนเปรอความต้องการส่วนล่างให้โดยที่สมองกิมไม่ได้อยากจะให้ทำต่อ แต่สารเคมีในร่างกายตอบสนองให้กิมแหงนคอปากกว่าเดิม เปลือกตาปิดสนิทกับสัมผัสในมือ

                ไม่ชอบเลย ทำไมต้องเป็นโอเมก้า ทำไมต้องฮีท ทำไมต้องแพ้ตลอด

                “น้องกิม เจ็บเหรอ” พี่ทรายถามเมื่อเขาพยายามจะดิ้นหนีอีกรอบ ขาถีบเปะปะ เล็บจิกแขนที่กอดกลางลำตัวเขาไว้ แต่สุดท้ายก็หลั่งความเปียกชื้นรดมืออีกคนอย่างน่าอายอยู่ดี

                โกรธ โกรธตัวเองที่อ่อนแอกว่า โกรธตัวเองที่เสียเปรียบกว่า

                กิมนอนนิ่งเงียบ ขอบคุณร่างกายที่ไม่เกิดอาการร้อนขึ้นมาอีกหลังจากรอบเมื่อครู่ พี่ทรายเหมือนจะเข้าว่าเขาหลับไปแล้วถึงได้ห่มผ้าให้เขา กิมหลับตา ได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันยามอีกฝ่ายขยับตัว เสียงฝีเท้าย่ำไปนู่นมานี่ เสียงหายใจ ก่อนที่กลิ่นหอมเกินมนุษย์ทั่วไปจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป

                กิมลืมตาอีกครั้ง หงายตัวนอนมองเพดานหลังจากที่อัลฟ่าออกไป มือหยิบผ้าห่มสะบัดออก ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย แต่ความเหนียวเหนอะบนตัว และคราบต่างๆ บนร่างกายยังคงยืนยันว่าเขาร่วมรักกับอัลฟ่าคนแรกในชีวิตไป กิมควรจะไม่ใส่ใจ ควรจะเอาเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ออกจากสมอง

                แต่เพราะพี่ทรายเป็นอัลฟ่าคนแรกที่เขายอมให้ขัดใจ ยอมให้มาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ยอมที่จะปรับตัวเองเข้าหา

                ก็เพราะว่าเป็นพี่ทราย กิมเลยเอาออกจากหัวไม่ได้

                ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัว และหนึ่งในนั้นคือความหวาดกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ถูกหลอกลวง

                กิมนอนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป ความคิดแย่ๆ เริ่มกัดกร่อนเข้ามาในจิตใจ ทั้งตัวเปียกชื้นจากหยาดน้ำฝนและเหงื่อ ในหัวเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาและปลายประโยคก็จะจบลงที่ว่า...ทำยังไงดี

                กลัวเหลือเกิน กลัวว่าทั้งหมดที่เป็นมาจะไม่ใช่อย่างที่คิด

                ทำยังไงดี

                 มือเอื้อมขึ้นจับต้นคอไม่รู้ตัว ก่อนที่เล็บจะจิกลงข่วนตัวเอง หลายครั้งหลายคราจนแทบจะถลอก ก็ไม่เหมือนกับตอนที่ริมฝีปากพี่ทรายแนบชิดอยู่ดี ไม่เหมือน ไม่มีอะไรมาแทนกันได้เลย หรือว่าเขาน่าเกลียดเกินกว่าจะตีตราจอง หรือว่าพี่ทรายจะเบื่อแล้วที่จะต้องมานั่งตามใจกำแพงเดินได้อย่างเขาตลอดเวลา

                เมื่อคิดได้ดังนั้น กิมก็เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น ความคิดแย่ๆ ต่างๆ ตามมุมมืดเริ่มออกมาแสดงตัวชัดเจนหลังจากที่มีหนึ่งความคิดเริ่มเป็นผู้นำชักจูง ความเจ็บปวดไหลแล่นลงไปที่หัวใจ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ชั่วชีวิตที่กิมเจ็บมากที่สุดก็แค่ตอนที่ตกจากจักรยานจนกระดูกร้าวและต้องเข้าเฝือก

                แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ไม่ได้เจ็บจนต้องร้องไห้คร่ำครวญเพื่อฉีดยาชา มันเจ็บอยู่ด้านในความรู้สึกนึกคิด จับต้องไม่ได้ ไม่มียาชา ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมที่จะเยียวยาได้เลย และสุดท้ายหัวก็ได้แต่แล่นมาที่ประโยคเดิมอีกครั้ง

                ทำยังไงดี



                เสียงเคาะประตูแต่เช้าทำเอาน้ำค้างที่เพิ่งนอนได้ไม่เต็มอิ่มนักลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ไม่ได้นึกหงุดหงิดใครแต่อย่างใด ถ้าเป็นไอ้กิมสิอาละวาดสามบ้านแปดบ้านถ้าปลุกมันก่อนที่นาฬิกาปลุกดัง

                เดินหัวฟูไปเปิดประตูก็พบกับคนคุ้นเคย แม่โผล่มาหอบข้าวของพะรุงพะรังเหมือนเคย แม่เคยบอกว่าเกินดีกว่าขาด ยิ่งเขาออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ยิ่งต้องมีเกินเยอะๆ เลย น้ำค้างเลยมีของใช้นู่นนี่ไม่ขาด ดีหน่อยก็ได้เนื้อดีๆ มาไว้ในตู้เย็น ไม่ต้องลงไปหาเลือกซื้อเองตามซุปเปอร์

                “น้องน้ำ ทำไมหน้าโทรมแบบนี้ล่ะครับ”

                “ก็ผมเพิ่งตื่น” น้ำค้างพูดแบบไม่เต็มเสียง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่มือก็รับเอาถุงพลาสติกที่แม่ถือเยอะแยะมาไว้ในมือเพื่อถือเข้าไปวางที่โต๊ะในครัว

                “งั้นไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวแม่จัดของเอง” แม่พูดอย่างใจดีเหมือนเคยและน้ำค้างก็ไม่เกี่ยง เดินไปนอนต่อที่เตียงตามเดิมพักใหญ่ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเคาะประตูอีกรอบ แต่พอแม่บอกมาว่าเดี๋ยวไปเปิดให้เองเขาก็นอนต่ออย่างวางใจ...

                จนกระทั่งแม่เรียกมาอีกรอบนั่นแหละ

                “น้องน้ำ!”

                “แม่...จะนอน” น้ำค้างงึมงำตอบกลับแค่นั้นแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมโปงใส่หัวไป เสียงแม่เงียบไปแต่มีเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาแทน กลิ่นป่าสนกำจายไปทั่วจนน้ำค้างต้องลืมตาตื่นพลางเด้งตัวขึ้นมาจากผ้าห่ม คุณฮิมยืนส่งยิ้มกว้างพันล้านวัตต์มาให้จากปลายเตียง

                “คุณฮิม! มาได้ไงเนี่ย” น้ำค้างเบิกตาแล้วก็ลูบหน้าตัวเอง รู้สึกขมคอขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้แปรงฟัน

                “เอ้า ก็ต้องนั่งรถมาสิครับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมตอบแล้วก็ยิ้มหวาน ปีนขึ้นมาบนเตียง กอดเขาเข้าเต็มเปาแล้วก็ยื่นหน้ามาจูบตรงคอ น้ำค้างถึงกับต้องยื่นหน้าหนีก่อนเพราะยังไม่ได้แปรงฟัน ยังไม่ทันจะอ้าปากห้ามก็ต้องใจยวบกะทันหันกับคำพูดทักทายยามเช้าของคุณฮิม

                “คิดถึงคุณน้ำค้างมากๆ เลย”

                น้ำค้างตอบไม่ถูกเพราะคุณฮิมเอาแต่ซุกจมูกอยู่ตรงแอ่งชีพจรเขาแถมยังหลับตาพริ้มเหมือนเวลาเอาหน้าซุกหมอนอีกต่างหาก ท่าทางคุณฮิมจะคิดถึงกลิ่นเขามาก

                “คุณฮิม เอ่อ ผมขอไปแปรงฟันก่อน”

                คุณฮิมยอมปล่อยเขาให้ไปแปรงฟัน แต่ทันทีที่น้ำค้างเริ่มต้นแปรง คุณฮิมก็เดินมากอดหลังเขาแล้วเอาหน้าซุกลงที่เดิมอีก เอาซะอัลฟ่าอย่างเขามองผ่านกระจกแล้วเขินนิดๆ คุณฮิมพักหลังติดเขาแจเหมือนพวกหมีโคอาล่าไม่มีผิด

                “คุณฮิม แล้วแม่ล่ะ”

                “กลับไปแล้ว คุณแม่บอกว่าอยากให้คุณน้ำค้างนอนเยอะๆ” คุณฮิมพูดงึมงำอยู่ตรงผิวเนื้อที่คอเขา

                “แล้วคุณฮิมไม่มีเรียนเหรอ”

                “ไม่มี” ป่าสนตอบแล้วยิ้มส่งให้เขาน้อยๆ ผ่านกระจก “จะมานอนกอดคุณน้ำค้างเป็นเพื่อน”

                “โห เบื่อแย่เลยคุณฮิม” น้ำค้างพูดแบบเกรงใจแต่ก็เดินมานอนลงที่เตียงอยู่ดี เขาง่วงเกินกว่าจะทำอะไรแล้ว

                “ไม่เบื่อ ก็คิดถึงคุณน้ำค้าง ก็ต้องมานอนกอดแบบนี้แหละ” คุณฮิมตอบก่อนจะปีนขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ กัน ปลายจมูกจรดลงมาที่ต้นคอสูดกลิ่นผ้าสะอาดบนตัวเขาเหมือนตอนที่เขาเป็นหมอนข้างจำเป็นให้ไม่มีผิด “นี่ผมนับชั่วโมงรอเลยนะ ว่าจะได้มาเจอคุณตอนไหน”

                “เว่อร์ไปคุณฮิม” น้ำค้างหัวเราะในลมหายใจเพราะเขาใกล้จะหลับต่อเต็มที

                “ไม่เว่อร์สิ พูดจริง ผมเคยโกหกที่ไหน”

                “ชอบเลี่ยงไม่ตอบ”

                “ก็ไม่ได้โกหกนี่ ก็ไม่ตอบแทน” คุณฮิมเถียงกลับทันควันจนน้ำค้างขำ อยากจะดุเวลาเจอคนชอบเก็บอะไรไว้คนเดียวแบบนี้ แต่พอเห็นหน้าคุณฮิมก็ดุไม่ลง ก็อย่างว่า น้ำค้างเคยโกรธอะไรใครนานที่ไหน ยิ่งเป็นคุณฮิมยิ่งแล้วใหญ่

                “เรียนบ่ายนี่คุณแม่บ้าน นอนไปเลย”

                น้ำค้างอ้าปากจะตอบแต่โดนฝ่ามืออีกคนมาปิดปาดเขาไว้ก่อนเป็นเชิงว่าให้หยุดพูดและนอนจริงๆ น้ำค้างไม่คิดเลยว่าคุณฮิมจะถ่อมาหาเขาเพื่อมานอนด้วยจริงๆ แค่นอนกอดเขาก็ทำให้ต้องมาหากันถึงนี่เลยเหรอ

                จะเรียกว่าดีใจได้ไหมที่คุณฮิมอยากเจอเขา

                น้ำค้างคิดนู่นนี่เรื่อยเปื่อย และก็ยังรู้สึกตัวว่าคุณฮิมงับผิวเนื้อตรงต้นคอเขาเล่น ทำแบบนี้จะให้น้ำค้างหลับลงได้ยังไงล่ะ แต่ทำไปทำมาเขาก็หลับลงจริงๆ เพราะว่าเพลียมาก พอตื่นขึ้นมาอีกทีคุณฮิมก็นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เขาเหมือนเดิม

                “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”

                “คุณฮิมได้หลับบ้างไหมเนี่ย”

                “ไม่อะ มานอนกอดเฉยๆ”

                “นี่คือมาเฝ้าผมนอนเหรอ”

                “ก็บอกว่ามากอดเฉยๆ”

                น้ำค้างขยี้ตาเกาหัวงงๆ ที่คุณฮิมมาขลุกตัวอยู่กับเขาและไม่ทำอะไรเลยแบบนี้ ก็ดีใจที่อีกฝ่ายอยากมาเจอ อยากมาหา แต่ใจนึงก็กลัวว่าจะน่าเบื่อรึเปล่า จะเป็นการรบกวนรึเปล่า

                “คุณฮิมเบื่อไหม จะกลับก่อนก็ได้นะ ผมต้องไปเรียนอีก”

                “คุณน้ำค้างไล่กันทำไมเนี่ย” คุณฮิมหัวเราะเจื่อนๆ แต่น้ำค้างทำตาโตรีบส่ายหน้า

                “ผมก็แค่กลัวคุณฮิมจะเบื่อ”

                “ถ้าเบื่อผมก็ไม่มาหาหรอก” ป่าสนตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที “แต่ถ้าคุณน้ำค้างกลัวมาก ผมกลับก็ได้”

                “คุณฮิม”

                คราวนี้น้ำค้างตื่นของจริง เขาลุกจากเตียงเพื่อเดินไปจับแขนคุณฮิมไว้ ไม่ได้นึกโกรธที่โดนเคือง ก็อย่างว่า บางทีความเกรงใจที่ล้นเกินไปในตัวเขามันก็ผลักไสและทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

                “ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณฮิมเบื่อ กลัวว่ามันจะรบกวนเวลาคุณฮิมรึเปล่า”

                “ผมอยากมาเองนี่ ผมคิดถึงคุณน้ำค้าง ผมก็มาหา มันเป็นการตัดสินใจผมทั้งนั้น” คุณฮิมตอบเสียงเรียบ น้ำค้างเอามือลูบหน้าตัวเอง เขานอนน้อย หัวก็จะค่อนข้างคิดอะไรช้า ไม่อยากจะทะเลาะกันเลย ไม่อยากเห็นคุณฮิมโมโหหรือว่าทำตัวยียวนใส่เขา

                “ผมขอโทษ” น้ำค้างพูดเต็มเสียงว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ก่อนจะถอนหายใจกับความบื้อของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปกอดคุณฮิมด้วยซ้ำ “ผมก็คิดถึงคุณฮิมเหมือนกัน...แต่เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าคุณฮิมจะไม่โอเค ไม่มีความสุขเวลามาขลุกอยู่กับผม”

                “อือ” คุณฮิมตอบแล้วก็หันมากอดเขาไว้ “อยู่กับคุณน้ำค้างทำไมผมต้องเบื่อด้วย อยากเจอ อยากนอนกอด อยากอยู่ด้วย”

                น้ำค้างถึงกับไปไม่ถูกอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบที่คุณฮิมติดเขาแจขนาดนี้ แต่ปกติแล้วมีแต่ตัวเองที่เป็นฝ่ายไล่ตาม น้อยครั้งที่คุณฮิมจะต้องการเขาจริงๆ ก็คงจะไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะดีใจ ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถพึ่งพาได้ เป็นที่พักพิงให้กับอีกฝ่ายได้

                “ขอบคุณนะคุณฮิม ขอบคุณที่คิดถึงผม”

                “อือ ขอบคุณที่รับสายกันเมื่อคืนเหมือนกัน”

               

               



tbc.









มาอัพช้ามากเลย ปกติดองเป็นเดือน แต่พอขยันเขียน ดองไปสักห้าวันก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ แง

เปิดเทอมแล้ว งานโถมมากค่ะ การบ้านเอย อ่านล่วงหน้าเอย งานกลุ่มเอย มรสุมชีวิตมากค่ะ

ขอโทษล่วงหน้าเลยนะคะถ้าจะมาอัพเป็นเวลาไม่ได้ แต่จะพยายามขยันพิมพ์ค่า

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ



 ปล. เพลง my favorite part - mac miller feat. ariana grande ค่ะ


feel free to comment and tag
#น้ำค้างกลางป่าสน
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด