พิมพ์หน้านี้ - ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: hopeniverse ที่ 25-06-2018 21:54:37

หัวข้อ: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 25-06-2018 21:54:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


pine trees and clean laundry ☁ omegaverse
#น้ำค้างกลางป่าสน
written by: hopeniverse

(http://img.in.th/images/8e8d3a460ebecca894e4c174095eb0fc.jpg)


กลิ่นลอยเตะจมูก หอมดึงดูดใจเสียจนต้องสาวเท้าเข้าตามหา
กลิ่นป่าสนดิบชื้น ไอหมอกลอยเอื่อย
เป็นครั้งแรกที่อัลฟ่าอย่าง น้ำค้าง กระวนกระวายใจด้วยกลิ่น
หากแต่ต้นเหตุของป่าสนในจินตนาการคือ อัลฟ่า หาใช่โอเมก้าแบบที่คาดไว้
ฮิม อัลฟ่ากลิ่นป่าสน เจ้าของรอยยิ้มพันล้านวัตต์และลักยิ้มสองข้างแก้ม


---


note:
อัลฟ่า คือสายพันธุ์ที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร จะได้กลิ่นโอเมก้า และจับคู่โดยการมาร์กรอยไว้ที่คอ
เบต้า คือ คล้ายบุคคลทั่วไปเลยค่ะ จับคู่กับเบต้าด้วยกันเอง
โอเมก้า มีช่วงฮีท (เรียกอีกอย่างว่า ติดสัด) จะมีน้ำหล่อลื่นออกมา และสามารถท้องได้ มีกลิ่นแรง เพราะเอาไว้ดึงดูดอัลฟ่า



หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ PROLOGUE
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 25-06-2018 22:13:04
prologue

   เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างได้กลิ่นแรงขนาดนี้ แรงฉุนกึกในจมูกเสียจนตัวเขาที่เป็นอัลฟ่าเองก็ยังแปลกใจว่าเหตุใดกลิ่นถึงได้แรงขนาดนี้ และที่แปลกใจมากกว่านั้นคือกลิ่นที่ฉุนกึกนั้นดันหอมติดจมูกเขาจนไม่รู้สึกอยากจะจามหรือเดินหนี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตัวเขา เคมีในกลิ่นที่ทำให้ตัวเขาปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยทำให้น้ำค้างถึงกับวางแครอทที่เลือกไว้แล้วในมือลงกับกองที่เดิม ปกติแล้วกลิ่นไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับตัวน้ำค้างเลย ทั้งชีวิตตั้งแต่เจริญพันธุ์และรู้ว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า เขาก็ไม่ได้มีความสนใจในตัวโอเมก้าหรือเบต้าคนอื่นเป็นพิเศษ กลิ่นที่ผ่านเข้ามาสำหรับคนอื่นบางคนถึงกับน้ำลายสอ แต่สำหรับน้ำค้างนั้น ก็เหมือนกับโฆษณาอาหารตามรายการทีวี ใช่ เขารู้ว่ามันจะอร่อย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะแสดงออกว่าต้องการหรือโหย
   ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เขายืนอยู่ถึงจะเล็ก แต่ก็มีผู้คนหลากหลาย และน้ำค้างไม่รู้เลยว่ากลิ่นนั้นมันจากไหน นั่นเป็นครั้งแรกที่การเลือกผักและเนื้อสดเพื่อทำอาหารของเขานั้นหยุดลงเพียงเพราะกลิ่น ท่าทางเย็นนี้จะต้องเอาของค้างในตู้เย็นมาทำอาหารจริงๆ ขายาวๆ จากร่าง 184 เซนติเมตรของเขาเริ่มออกก้าวเดินหาต้นตอของกลิ่นอายหอมหวนนั้น ด้วยสัญชาตญาณจากเคมีร่างกายที่เดินไล่ตามกลิ่นไปเรื่อยๆ น้ำค้างเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรอบตัวตอนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเจอกลิ่นที่ถูกใจก็ตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ไบโอเคมีในร่างกายที่สั่งการรุนแรง แต่เป็นสมองที่เอาแต่วนคิดว่าจะต้องหาให้เจอ จะต้องได้ครอบครอง เป็นสัญชาตญาณดิบโดยแท้แบบที่คนอย่างน้ำค้างไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาไม่ใช่คนรุนแรง ไม่ชอบวิธีป่าเถื่อน ข่าวข่มขืนในจอทีวีส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่องกลิ่นเป็นเหตุเสียส่วนใหญ่ และน้ำค้างมองว่ามันไร้อารยธรรม ซึ่งตอนนี้เขากำลังทำตัวไร้อารยธรรมขัดกับตรรกะกับการเพ่งสมาธิไปยังกลิ่นที่กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแปลว่าเขากำลังใกล้ต้นตอกลิ่นเข้าไปอีกแล้ว
   ขาของเขาพาเข้าไปที่ร้านกาแฟ และตรงนั้นน้ำค้างหยุดกึก ต้นตอของกลิ่นของเขายืนอยู่ที่หลังเคาทน์เตอร์ และทันทีที่น้ำค้างพาตัวเองเข้าไปยืนต่อแถวเพื่อสั่งกาแฟตามที่คนอื่นกำลังยืนอยู่แล้วนั้น กลิ่นใบไม้ต้นสนนั่นก็สาดเข้ามาใส่หน้าเขาเสียระลอกใหญ่ กลิ่นป่าสน ไอเย็น และใบไม้แห้ง น้ำค้างเกือบจะบอกได้ว่าใบไม้แห้งนั่นเกือบจะดังเป็นเสียงกรอบแกรบในหัวเขา กลิ่นดิน กลิ่นน้ำค้าง และทุกอย่างที่อยู่ในป่าสนคือคำอธิบายของกลิ่นทั้งหมด และน้ำค้างไม่เคยรักกลิ่นไหนเท่านี้มาก่อน ในชั่วแวบหนึ่งที่เขาอยากจะสูดดมนั้น มีไอของความปรารถนาดำดิ่งซ่อนอยู่ในแมกไม้ของป่าสนเหล่านั้น มันเป็นกลิ่นที่เซ็กซี่แบบเย็นๆ แต่ไม่ยะเยือก และนั่นคือทั้งหมดที่เขาต้องการ
   ต้นตอที่กลิ่นยืนอยู่หลังเคาทน์เตอร์เป็นผู้ชาย กะจากระยะสายตาแล้วคงจะสูงประมาณหน้าผากเขาได้ เขาเป็นบาริสต้าอย่างแน่แท้ และน้ำค้างก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเดินเข้ามาในส่วนร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่างสตาร์บัคด้านข้างซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยที่ในมือยังคงถือตะกร้าของทางซุปเปอร์ไว้ในมือ การที่ผู้ชายตัวโย่งอย่างเขามาเลือกของสดคนเดียวมันก็ดูแปลกพอแล้ว แต่นี่เขาดันถือตะกร้าเข้ามาในร้านกาแฟอีก พอได้สติแล้วก็พอจะรู้ตัวว่าตนเองเป็นเป้าสายตามากแค่ไหน เวรกรรมจริงๆ ถ้าวันไหนที่เขาไม่ทำของพัง ก็ต้องเป็นวันที่เขาประจานตัวเอง เลือกเอาสักอย่างนั่นแหละ
   น้ำค้างหาได้ใส่ใจไม่ เขายังคงลอบสังเกตตัวบาริสต้าเจ้าของกลิ่นป่าสนสุดเซ็กซี่นั่นหลังเคาทน์เตอร์ น่าเสียดายที่แถวค่อนข้างยาวและน้ำค้างเองก็ไม่ได้วิวที่ดีเอาเสียเลย สิ่งแรกก่อนที่น้ำค้างอยากจะเห็นมากกว่าหน้าตาก็คือป้ายชื่อแท็กเนมบนอกนั่น ว่าเจ้าตัวเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือว่าโอเมก้ากันแน่ และแน่นอนว่าน้ำค้างภาวนาขอให้เป็นโอเมก้าในใจ สำหรับเขาไม่ว่าเพศไหนก็ไม่เป็นปัญหา แต่การที่เจอคนที่ถูกใจแล้วดันไม่ใช่เคมีที่เข้ากับสิ่งที่เป็นอยู่นี่สิปัญหาใหญ่ยิ่งกว่ารักร่วมเพศ นึกถึงพวกญาติๆ ที่เอาแต่บ่นข่าวหรือคนรู้จักรอบตัวว่าเป็นอัลฟ่ากับอัลฟ่าแต่งงานด้วยกันแล้วก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา สังคมส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมอะไรแบบนี้นักหรอก เหตุผลหลักเลยก็คืออัลฟ่ามีลูกไม่ได้ ซึ่งโอเมก้าทำได้ ก็พอจะเข้าใจว่าคนเราก็มักจะชอบอะไรที่ทำตามกฏธรรมชาติและสืบพันธุ์ได้ แต่ถ้าถามว่าผิดไหมถ้าเขาจะชอบอัลฟ่าด้วยกันเอง? ก็ไม่ผิดหรอก คนจำพวกไม่สนอะไรเลยนอกจากเป็นกลิ่นที่ถูกใจ หรือตัวบุคคลที่ถูกใจก็จะฉีกกรอบและไม่แคร์คำวิพากษ์วิจารณ์ไปเลย
   ส่วนตัวน้ำค้าง บอกตามตรงว่าเขาเป็นพวกรักสงบ และอยู่ในกรอบของพ่อแม่มาตลอด แถมเรื่องจะจับคู่ผูกตัวเองกับใครก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อน ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นอะไรที่ใหม่กับตัวเขามากเลยทีเดียว
   และทันทีที่แถวรันมาถึงตัวเขาเองนั้น น้ำค้างสาบานว่าเขาไม่เคยพยายามกลั้นหายใจและตั้งสติกับตัวเองขนาดนี้มาก่อน สาเหตุหลักก็คงเป็นเพราะอาการระแวงนู่นนี่ในตัวเขาที่มันดังเตือนเหมือนสัญญาณไซเรนในหัวว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะไอ้น้ำ
   “รับอะไรดีครับ?”
   น้ำค้างไล่สายตาลงไปบนป้ายเนมแท็กบนอกบาริสต้าตรงหน้า
   ฮิม // อัลฟ่า
   สมองของน้ำค้างเหมือนมีคนกำลังมาตัดต้นไม้ในป่าสนของเขาลงทีละต้น
   “อเมริกาโน แก้วกลางครับ” เขาตอบเมนูออกไปจนได้หลังจากที่สมองเหมือนโดนทุบด้วยกลิ่นผสมปนเปกับคำว่าอัลฟ่าบนป้ายชื่อนั่น ไอ้เวรเอ๊ย ใครสั่งให้คนให้ความสำคัญกับสายพันธุ์ขนาดนี้กัน
   “ขอทราบชื่อด้วยครับ”
   บาริสต้าตรงหน้าเขายิ้มหวาน และน้ำค้างรู้เลยว่าไม่มีอะไรแย่ไปกว่าอัลฟ่ากลิ่นป่าสนที่มีลักยิ้มอีกแล้ว เขาจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ อัลฟ่าที่ชื่อฮิมตรงหน้าเขามีกลิ่นรุนแรงเตะจมูกเขาทั้งที่ไม่ควรตามธรรมชาติ และยังโครงหน้าที่คมกริบไปหมดนั่นอีก สันกรามแหลม จมูกโด่งไล่โค้งทอดมาจรดปลาย โหนกแก้ม ลักยิ้ม และดวงตาโตที่มีชั้นตาลึก น้ำค้างโดนขวานในจินตนาการสับสมองของเขาเละไปหมด อัลฟ่าตรงหน้ามีทุกอย่างที่หมดจด
   แล้วน้ำค้างก็ตัดสินใจทำเรื่องที่โง่ยิ่งกว่าการถือตะกร้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้ามาในสตาร์บัค
   “น้ำค้างครับ...”
   “ครับ แล้ว...?”
   “โอเมก้าครับ”
   เขาต้องหลุดโลกไปแล้วแน่ๆ 



tbc.



ในเรื่องทั้งน้ำค้างและฮิมเป็นอัลฟ่านะคะ ที่น้ำค้างออกตัวว่าเป็นโอเมก้าก็เพราะในสังคมโอเมก้าเวิร์สตามที่เราจินตนาการคือเพศชายกับหญิงต่างสืบพันธุ์ได้หมด ดังนั้นสังคมเลยเลือกที่จะแบ่งชนชั้นกับสายพันธุ์มากกว่า คนจะสเตอริโอไทป์ว่าอัลฟ่าต้องคู่กับโอเมก้า เบต้าคู่กับเบต้า อะไรประมาณนี้ค่ะ น้ำค้างเป็นคนหัวอ่อนเลยค่อนข้างจะกังวลเรื่องที่ถูกใจอัลฟ่าด้วยกันเอง และถ้ามองเป็นสังคมปกติ การจะแหกกฏธรรมชาติก็มีกันทั่วไป เราพยายามมองภาพให้เป็นโอเมก้าเวิร์สมากกว่าปกติค่ะ

feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CHAPTER 1
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 26-06-2018 21:21:22
chapter one

   น้ำค้างจิบอเมริกาโนด้วยความรู้สึกขมคอ หน้าอัลฟ่ากลิ่นป่าสนคนนั้นดูจะช็อกไปนิดหน่อย ใช่ว่าโอเมก้ารูปร่างแบบเขาจะไม่มี แต่ก็หายาก การที่คนซึ่งมีลักษณะทางกายภาพทุกอย่างเป็นอัลฟ่าโดยตรงแล้วบอกให้พนักงานเขียนชื่อแก้วสตาร์บัคว่าเป็นโอเมก้านี่ก็ค่อนข้างจะแปร่งพอๆ กับการที่เขาเดินออกมาเลือกของสดคนเดียว แต่น้ำค้างไม่มีทางเลือก หรือก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ในหัวตอนนั้น รู้แต่ว่ากลิ่นใบไม้นั่นทำเขาเสียสติไปและตอนนั้นคือให้เป็นอะไรก็เป็นได้หมด
   และพอได้สติว่าทำอะไรลงไป ก็มานั่งสำนึกผิดคนเดียวอยู่ที่มุมอับสุดของร้าน มองอเมริกาโนแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้บ่ายแก่ๆ แล้ว กินกาแฟแรงขนาดนี้ก็น่าจะตาค้างต่อ เออ เอาเข้าไป ไปให้สุดไปเลยไอ้น้ำ
   ลอบมองบาริสต้าที่ชื่อฮิมคนนั้นแล้วน้ำค้างก็สารภาพเลยว่าอยากจะตรงเข้าไปมาร์กรอยเลย ณ เดี๋ยวนั้น กลิ่นของป่าสนยังคงลอยวนอยู่ใต้จมูก ถึงกลิ่นกาแฟจะกลบได้บ้าง แต่ไม่เยอะเลย ไบโอเคมีในร่างกายของเขายังคงทำงานอย่างดี ถ้าเป็นโอเมก้าตามที่พูดจริงๆ ตอนนี้เขาก็คงจะเปียกมาก แต่ด้วยความที่เป็นอัลฟ่าแท้ๆ จึงได้แต่กระวนกระวายต่อต้านสัญชาตญาณดิบตัวเองอยู่กับที่ ปกติเพื่อนๆ คนรอบตัวน้ำค้างก็คงเข้าไปทำความรู้จักเลย มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วกับการพุ่งเข้าไปทำความรู้จักกะทันหันในที่สาธารณะเพราะเรื่องกลิ่นที่แมทช์กัน แต่สำหรับน้ำค้าง ผู้โสดสนิทเพราะไม่สันทัดเรื่องพวกนี้ บวกกับไม่มีประสบการณ์เลย ขอบอกเลยว่า ยากว่ะ ให้เขาตาค้างอดนอนปั่นโปรเจคสามคืนยังง่ายกว่าเดินเข้าไปทำความรู้จักกับอัลฟ่าที่ไหนก็ไม่รู้
   ในหัวสองจิตสองใจ เพราะอัลฟ่ากลิ่นเย้ายวนใจยังคงอยู่ให้เห็นในสายตา น้ำค้างจ้องมองไม่หยุดมาตั้งแต่นั่งตรงนี้แล้ว และท่าทางฝั่งนั้นก็คงรู้ตัว เพราะก็เงยขึ้นมาสบตาเขาเป็นระยะๆ เช่นกัน แต่ดูท่าทางจะชินกับการเป็นเป้าสายตาน่าดู ถึงได้ส่งยิ้มให้เขาแบบที่คนเป็นมิตรพึงมี แต่สำหรับน้ำค้างแล้ว เขาต้องกลั้นหายใจแล้วหลบสายตาไปพักใหญ่
   นั่นมันรอยยิ้มพันล้านวัตต์ชัดๆ เหมือนโดนช็อตไปพักนึง
   สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปต่อแถวเพื่อสั่งขนมเพิ่มอีกอย่าง น้ำค้างไม่อยากจะออกจากร้านเลย ไม่อยากจะพลาดโอกาส ถ้าเกิดว่าฮิมไม่ได้ทำงานที่นี่ถาวรล่ะ น้ำค้างจะมีโอกาสได้เจออีกไหม? หรือว่าถ้าเกิดฮิมกำลังจะลาออกแล้วล่ะ? แค่คิดความแพนิคในตัวน้ำค้างก็พุ่งสูงติดเพดานสมอง เขาควรจะชวนคุยหรือว่าทำยังไงดีล่ะ? หรือเขาควรจะพูดไปตรงๆ เลยว่าสนใจ ว่าแต่ปกติเขาเริ่มบทสนทนากันยังไงนะ? น้ำค้างรู้สึกเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็เข้าสังคมไม่เป็นเสียอย่างงั้น
   “อ้าว คุณลูกค้า รับอะไรเพิ่มดีครับ?”
   ว่าแต่ ถึงคิวเขาแล้วเหรอ ไอ้เวร
   “เอ่อ เอาแซนวิชสลัดไข่แล้วกันครับ”
   “อ๋า โอเคครับ รับอะไรเพิ่มอีกไหมครับ?”
   “ไม่แล้วครับ”
   “กลับบ้านหรือทานนี่ดีครับ?”
   “ทานนี่ครับ”
   “โอเคครับ เอ่อ จะเสียมารยาทไปไหม แต่ผมต้องบอกว่าคุณเป็นโอเมก้าที่ผมไม่เคยเจอเลย”
   น้ำค้างรู้สึกเหมือนมีเสียงจุดพลุฉลองในหัว ขอบคุณที่เขาไม่ต้องเป็นคนเริ่มชวนคุย และด้วยนิสัยขี้กังวล เขาถึงหันไปด้านหลังและพบว่าไม่มีคนต่อคิวเลย โอเค เอิ่ม ดี? โอกาสที่ดีสิ ก็แน่ล่ะสิไอ้น้ำ
   “อ๋อ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละครับ ผมคงเอ่อ...ดูไม่เหมือนโอเมก้าเลยใช่ไหม?” น้ำค้างหัวเราะเจื่อนๆ เสียงในสมองส่วนลึกกระซิบมาว่า ไม่เนียนเลยไอ้น้ำเอ๊ย
   “ไม่เหมือนเลยครับ ทุกอย่างเลย” บาริสต้ากลิ่นป่าสนหัวเราะ ดูเป็นคนที่เป็นมิตร บรรยากาศรอบตัวของอีกฝ่ายเย็นสบาย เป็นไอหมอกเอื่อยๆ บนยอดไม้ในแบบที่น้ำค้างชอบ ไม่ได้เย็นชา แต่ก็ไม่ได้ดูเข้าถึงง่ายขนาดนั้น
   “อ้อ อีกอย่างที่ผมแปลกใจคือคุณไม่มีกลิ่นเลย” ฮิมว่าต่อ แขนสองข้างเท้าลงกับเคาทน์เตอร์ ดวงตาเป็นประกายขี้เล่น “ปกติต่อให้ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นยังไงก็ต้องมีให้ได้กลิ่นออกมาอ่อนๆ แต่ของคุณ ผมไม่ได้กลิ่นเลย”
   “เอ่อ คงต้อง...ดมใกล้ๆ มั้งครับ?”
   “หือ? ใกล้แค่ไหนล่ะครับ” คนเป็นบาริสต้าหัวเราะเหมือนตลก “ผมกับคุณห่างกันแค่เคาทน์เตอร์กั้นยังไม่ใกล้พออีกเหรอครับ?”
   น้ำค้างรู้สึกเหมือนจะขาดออกซิเจน ในร้านกาแฟที่นี่มีที่วัดออกซิเจนติดไว้ มันยังคงอยู่ในระดับปกติ แต่ทำไมเขารู้สึกว่าระดับความร้อนมันมากกว่าปกติกันล่ะ
   “ความจริง...ผมได้กลิ่นคุณ ชัดมากเลยครับ”
   น้ำค้างพูดออกไปแล้ว เขาพูดมันออกไปแล้ว
   “หือ? กลิ่นผม? พูดจริงเหรอครับ? ปกติกลิ่นผมอ่อนมากเลยนะ แล้วอีกอย่างผมเองก็เป็นอัลฟ่า กลิ่นมันไม่ได้ชัดอยู่แล้ว” ฮิมขมวดคิ้ว และดูสงสัยอย่างจริงจัง
   น้ำค้างอยากจะจับไหล่คนตรงหน้าแล้วบอกตรงนั้นเลยว่า ผมน่ะ อยากจะจับคู่และมาร์กรอยที่คอเพราะไอ้กลิ่นป่าสนนั้นของคุณจะบ้าตายอยู่แล้ว
   “ครับ กลิ่นคุณ ชัดมากเลย”
   “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณเอาแต่จ้องผมด้วยรึเปล่านะ?”
   ฮิมหัวเราะอีก และน้ำค้างก็ต้องเอามือไปวางไว้ที่ท้ายทอยอย่างรู้สึกเกะกะ ในฐานะโอเมก้าปลอมๆ ขอบอกเลยว่า อายว่ะ ไอ้น้ำ ทำอะไรลงไปเนี่ย
   “ก็...เอ่อ ส่วนหนึ่งครับ”
   “โอเคๆ ผมจะเชื่อแล้วก็ได้ว่าคุณเป็นโอเมก้าจริงๆ ขี้อายจังเลยนะครับ” ฮิมยิ้มหวานให้เขาอีก น้ำค้างอยากจะบอกให้หยุดทำ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดตรงๆ อีกเช่นกัน ความผิดเขาทั้งนั้น
   “คือ ถ้าคุณมีคู่แล้วหรืออะไรแบบนั้น ก็ไม่ต้องคุยกับผมก็ได้ครับ เดี๋ยว เอ่อ มีปัญหา” น้ำค้างรีบละล่ำละลักบอก เขาเริ่มรู้สึกว่าที่ตัวเองไม่มีคู่จนทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นเพราะคาแรกเตอร์ตัวเองที่ขัดกับกายภาพกับสายพันธุ์ที่เป็นอยู่ เขาค่อนข้างขี้อาย และชอบทำอะไรอยู่แต่ในบ้าน ในคอนโด เป็นคนตัวสูงชะลูด ผิวเข้มแต่กลับทำตัวเงอะงะ พูดจาถ่อมตน ซึ่งถ้าเทียบกับสายพันธุ์อัลฟ่าจริงๆ แล้ว เขาห่างไกลจากคำนั้นเยอะ คนมักจะคิดว่าเขาเป็นเบต้าเสียมากกว่า
   “ผมไม่มีเจ้าของหรอกครับ” ฮิมยิ้มบางๆ แล้วก็เอานิ้วชี้และนิ้วกลางไปแปะๆ ตรงจุดชีพจรตรงคอ “ยังไม่เคยไปกัดใครเขาหรอกครับคุณน้ำค้าง”
   น้ำค้างมองตามแล้วลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ในคอ เขานี่แหละอยากจะเป็นคนกัด ไม่ใช่คุณฮิมหรอก แต่กับบทโอเมก้าที่ค้ำคออยู่เนี่ย ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไปเท่านั้นแหละ หรือเขาต้องทำท่าทีว่าอยากจะเป็นคนที่โดนกัดกันล่ะ? หรือยังไงดี? ทำไมจะจับคู่ทีมันยากจังนะ
   “ว่าแต่กลิ่นผมเนี่ย มันยังไงล่ะครับ?”
   ฮิมเลิกคิ้วข้างนึง และน้ำค้างอยากจะหยิบปากกามาเขียนสักครึ่งหน้ากระดาษบรรยายว่ากลิ่นของเจ้าตัวน่ะเป็นยังไง
   “เอ่อ...” น้ำค้างติดอ่างกะทันหัน แล้วก็ดูเหมือนจะมีลูกค้ามาต่อแถวด้านหลังแล้ว เขาถึงได้ค้อมหัวแบบอายๆ เป็นเชิงว่าขอตัวก่อน ก็ยังคงเป็นไอ้น้ำที่ไม่สู้คนวันยันค่ำ
   คุณฮิมยิ้มขำท่าทางเขา เหมือนจะรู้ว่าเขาอายถึงได้หัวเราะให้ได้ยินไล่หลังมาแบบนั้น น้ำค้างล่ะอยากจะเอาอเมริกาโนราดหน้าตัวเอง เผื่อจะละอายใจเรื่องนี้มากกว่าเรื่องที่เขาเที่ยวดมกลิ่นจนอีกฝ่ายจับได้ ดูก็รู้ว่าคุณฮิมชินกับอะไรแบบนี้มากกว่าเขา ใช่ มันคือเรื่องธรรมชาติ แต่น้ำค้างไม่ชอบเอาเสียเลย ทำไมคนเราไม่สามารถจับคู่กันด้วยการมองตากันแล้วก็ปิ๊งปั๊งทีเดียวแบบไม่ต้องคุยก่อนบ้างนะ หรือไม่ก็ยื่นโปรไฟล์เอาก็ได้ จะเอาไม่เอาก็ว่ากันอีกทีหลังอ่าน โปรไฟล์น้ำค้าง อายุยี่สิบเอ็ดปี สูง 184 เซนติเมตร กลิ่น เอ่อ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยมีใครบอกเขาเลย เพราะเขาก็ไม่เคยลองดูใจกับใครด้วย งานอดิเรก ทำอาหาร เลือกของสด ซักผ้า พับผ้า วาดรูปกลางแจ้ง ฟังเพลง แบบนี้มันพอจะเรียกว่างานอดิเรกได้ไหมนะ...
   ข้อแรกๆ ออกจะดูเป็นงานบ้านที่คนเกลียด แต่น้ำค้างกลับชอบ เขาค่อนข้างมั่นใจนะว่าเขาทำอาหารอร่อย แต่ก็ทำเอาไว้กินคนเดียวอีกเหมือนกัน แต่มันก็อร่อยดี เขาก็มีความสุขดีทุกมื้อ ยกเว้นมื้อที่ลืมปิดแก๊สกับใส่เกลือแทนน้ำตาลอะไรแบบนั้น ส่วนซักผ้าพับผ้า น้ำค้างชอบกลิ่นผ้าสะอาด และน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรด เวลาเอาผ้าออกจากเครื่องเนี่ย ไอน้ำอุ่นๆ กับความชื้นหอมๆ ที่โชยออกมาเนี่ย ออกจะดีสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ คนเราควรจะมีความสุขได้กับเรื่องเล็กๆ ที่เป็นชีวิตประจำวันพวกนี้สิ
   น้ำค้างนั่งรอออเดอร์ตัวเอง หลังจากที่นั่งอยู่สักพักกับอเมริกาโนในมือและกลิ่นป่าสนที่กวนใจ น้ำค้างก็ถึงกับต้องนั่งหลังตรงแหน่วเพราะเจ้าต้นกลิ่นป่าสนเดินเอาแซนวิชสลัดไข่มาเสิร์ฟให้เขาถึงโต๊ะ น้ำค้างสารภาพว่าเขาเกือบจะตกเก้าอี้
   “ตกใจอะไรขนาดนั้นครับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมขำออกเสียง ก่อนจะลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขา วางจานแซนวิชสลัดไข่แล้วก็เท้าคาง “กลิ่นผมมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   “เอ่อ...ก็นิดนึงครับ”
   “ก็ไม่นิดนะคุณ สะดุ้งแรงอยู่”
   น้ำค้างอยากจะบอกอีกอย่างว่านอกจากกลิ่นแล้วช่วยหยุดยิ้มสักที ปกติเขาก็ค่อนข้างจะตั้งรับและประมวลผลได้เร็ว แต่พออัลฟ่าตรงหน้ายิ้มทีไร น้ำค้างรู้สึกว่าสมองเขาโดนทุบจนตื้อทีเดียว
   “นอกจากจะไม่ยอมบอกว่ากลิ่นผมเป็นยังไงแล้ว...” ฮิมพูดพลางมองไปที่ตะกร้าซุปเปอร์ที่เขาวางไว้กับพื้นแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองหน้าเขาตรงๆ “ผมยังไม่ได้กลิ่นคุณสักนิดเลยล่ะคุณน้ำค้าง”
   ชิบหายของจริง น้ำค้างยิ้มเจื่อน แต่ในหัวส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือรัวมาก ก็แน่ล่ะสิ เขาไม่ใช่โอเมก้า จะไปมีกลิ่นแรงๆ ได้ยังไงล่ะวะ เขายังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมเขาได้กลิ่นอีกฝ่ายแรงขนาดนี้ทั้งที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันแท้ๆ  คิดสิไอ้น้ำ ตอบเขาเร็ว
   “ผมใช้สเปรย์ดับกลิ่นน่ะครับ” น้ำค้างเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอ พร้อมกับคำตอบที่โง่มากๆ
   “อ๋า แบบนี้นี่เอง” ฮิมพยักหน้า “แต่คุณน้ำค้างก็เป็นคนแรกเลยล่ะมั้งครับที่ได้กลิ่นผม แล้วมีปฏิกิริยาขนาดนี้”
   “เอ่อ ไม่ต้องสนใจผมมากก็ได้ครับ ผมว่าปกติก็คุณก็น่าจะโดนโอเมก้าเข้าหาเยอะอยู่” น้ำค้างอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย ไอ้โรคถ่อมตนขี้เกรงใจขี้กังวลเนี่ยมันทำให้คนรอบข้างเขาโดนผลักออกแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันบางที แต่เขาไม่รู้ว่าคนเราต้องเริ่มจากตรงไหน น้ำค้างไม่เคยมีความสัมพันธ์ เขาไม่รู้ว่าการจะเริ่มต้นเปิดใจให้กันเนี่ย มันจะยากขนาดนี้
   แต่ยอมรับเลยว่าอยากจะพยายามในรอบนี้ เขาไม่อยากปล่อยคุณฮิมหลุดมือไปจริงๆ
   “ใครบอกล่ะคุณน้ำค้าง ผมน่ะเข้าหาคนอื่นทั้งนั้น” คุณฮิมปัดมือเหมือนที่น้ำค้างพูดไม่ใช่ความจริงเลย “มีคุณที่เป็นโอเมก้าคนแรกเลยล่ะ ที่ได้กลิ่นผมน่ะ”
   “ผมก็แปลกใจเหมือนกันครับ แต่กลิ่นคุณ แรงมากจริงๆ”
   “แสดงว่าคุณต้องชอบผมมากน่ะสิ?” คุณฮิมยิ้มมุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขำร่วนแทนเพราะน้ำค้างทำตัวไม่ถูก “ผมหมายถึงชอบกลิ่นผมน่ะ”
   “กลิ่นคุณฮิม เหมือนป่าสนครับ”
   คุณฮิมทำหน้าประหลาดใจเป็นครั้งแรก แล้วก็ยกแขนตัวเองขึ้นมาดม ซึ่งคงจะไม่ได้กลิ่นอะไร ขนาดน้ำค้างยังไม่ได้กลิ่นตัวเองเลย
   “คนคุยเก่าผมยังไม่เคยบอกเลยว่าผมกลิ่นเหมือนป่าสน คุณน้ำค้างนี่ทำผมแปลกใจได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” คุณฮิมยิ้มให้น้ำค้างบางๆ ก่อนจะหยิบใบเสร็จที่น้ำค้างทิ้งไว้บนโต๊ะมา แล้วใช้ชาร์ปปี้ที่เสียบไว้กับผ้ากันเปื้อนลงมือเขียนเลขสิบหลักลงไปหลังใบเสร็จ
   “เหมือนผมจะสนใจคุณมากกว่าแล้วล่ะมั้งเนี่ย คุณยังไม่ทันขอเบอร์ผมด้วยซ้ำ” คุณฮิมพูดไปขำไป แต่น้ำค้างอยู่ไม่สุขเลย เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำทุกอย่างให้มันง่ายขนาดนี้
   “ผมก็...ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่อยากได้นะครับ” น้ำค้างกลั้นใจพูดออกไปจากความกล้าอันน้อยนิด คิดว่าโควต้าวันนี้คงหมดแล้ว
   “แน่นอนล่ะคุณน้ำค้าง อย่าลืมเอาตะกร้าไปคืนเขาล่ะครับ” คุณฮิมว่า แล้วน้ำค้างก็ต้องเอาศอกเท้ากับโต๊ะเพื่อซ่อนใบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง ไอ้น้ำเอ๊ย เขารู้หมดแล้วเนี่ยว่าหมดท่าขนาดไหน
   “ผมคงต้องกลับแคชเชียร์แล้ว” คุณฮิมว่าก่อนจะหันไปมองเพื่อนร่วมงานที่กลอกตาใส่ให้มาจากเคาทน์เตอร์ “ความจริงผมก็อยากได้กลิ่นคุณนะ ไม่แฟร์เลยที่คุณรู้กลิ่นผมก่อน เจอกันคราวหน้าก็...” คุณฮิมลากเสียงแล้วเอื้อมมือมาจับไหล่เขาพลางยิ้มส่งท้ายก่อนจะเดินหนีไป
   “ไม่ต้องฉีดสเปรย์ดับกลิ่นนะครับ”
   น้ำค้างสาบานเลยว่าคุณฮิมดูดอากาศรอบๆ ตัวเขาไปหมดแล้ว และตอนนี้เขาอยากจะไปนั่งหลบอยู่สักที่ในมุมห้องของคอนโดเพื่อสำนึกผิดกับตัวเองเรื่องวันนี้ แต่พอมองไปที่ใบเสร็จกับเลขสิบหลักที่เป็นลายมือเลขกลมๆ ของเจ้าตัวแล้วน้ำค้างก็อยากจะกระโดดแล้วร้องเยสให้ตัวเองเหมือนกัน
   มือเอื้อมไปหยิบเจ้าใบเสร็จแซนวิชสลัดไข่มาพับใส่กระเป๋าตังค์แล้วเสียบซ่อนไว้หลังบัตรประชาชนอย่างดี อยากจะเอาไปเคลือบแล้วแปะลงไดอารี่เหลือเกินว่าเป็นครั้งแรกที่จีบใครเขาเป็น ถึงน้ำค้างจะแทบไม่ได้รุกคืบเลยก็ตามทีเถอะ คนทำให้ทุกอย่างก้าวหน้าก็คือคุณฮิมทั้งนั้น
   น้ำค้างยกโทรศัพท์ขึ้นมามองนาฬิกา เวลาซื้อของสำหรับวันนี้หมดลงแล้ว คงต้องกินของเหลือค้างในตู้เย็นที่ไม่ได้เยอะมากจริงๆ แถมเขายังเหลือผ้ากองโตที่ยังไม่ได้พับ และงานที่ยังไม่ได้ทำอีกต่างหาก พับผ้าก็ดี แต่พอคิดว่าต้องมานั่งเขียนแปลนต่อแล้วน้ำค้างก็อยากจะโอดครวญ ภาวนาอยากให้เทอมนี้จบไวๆ เสียเหลือเกิน
   

   น้ำค้างนั่งจดจ้องเบอร์ในใบเสร็จมาสักพักแล้ว ครั้นจะบันทึกลงในโทรศัพท์มือถือก็ไม่รู้จะป๊อดอะไรนักหนา แค่เมมเบอร์โทรศัพท์ ไม่มีใครมองเขาด้วยซ้ำ แต่น้ำค้างก็ยังนั่งเม้มปากถือโทรศัพท์ไว้อย่างนั้น รู้สึกว่าเจ้าเครื่องมือสื่อสารในมือเนี่ย มันจะหนักขึ้นมาถนัดตาเลยนะ
   “เอาวะไอ้น้ำ กล้าๆ หน่อย” พูดกับตัวเองคนเดียวแบบที่ชอบทำเวลาใช้ความคิดอย่างหนักแล้วก็ตัดสินใจเมมเบอร์โทรศัพท์เลขสิบหลักลงไปอย่างใจเย็น ก่อนจะติดแหง็กอีกรอบกับชื่อที่จะใช้บันทึก...น้ำค้างกะพริบตาแล้วก็ปล่อยโทรศัพท์ลงกับเตียง พร้อมเอาหน้าแนบกับที่นอนด้วยความเซ็ง ทำไมเขาป๊อดขนาดนี้นะ แค่เมมเบอร์ยังลำบากเลยเนี่ย ถ้าคุณฮิมมาเห็นคงขำเขาตาย
   ข้อนิ้วงอลงจิ้มหน้าจอมือถืออย่างไม่ใคร่แน่ใจ ก่อนจะทอดถอนใจ แล้วพิมพ์ชื่ออัลฟ่ากลิ่นป่าสนลงไปตามที่ใจคิด
   คุณฮิม
   แต่นิ้วเจ้ากรรมก็ยังกดเลื่อนไปยังอีโมจิแล้วเติมอีโมจิรูปต้นสนสีเขียวเข้าไปตามหลัง น้ำค้างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาชอบกลิ่นนั้นขนาดนั้น วันนี้เขายังไม่ยอมไปอาบน้ำทั้งๆ ที่ปกติจะอาบทันทีที่กลับถึงห้อง กลิ่นที่ติดมาตามเนื้อผ้าโดยเฉพาะจุดที่คุณฮิมวางมือบนไหล่เขาไว้ยังคงทิ้งอวลความรู้สึกของเปลือกไม้และใบสนสีเขียวเอาไว้เจือจาง แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
   ชายหนุ่มทอดตัวยาวไปกับเตียง กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกับผ้าสะอาดไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบขึ้นเลยในวันนี้ ปกติแล้วน้ำค้างชอบพับผ้ารองจากการเอาผ้าออกจากเครื่อง แต่ตอนนี้น้ำค้างไม่ได้รู้สึกอยากพับผ้า ไม่ได้รู้สึกอยากอาบน้ำ ชีวิตประจำวันอันแสนเรียบง่ายของเขาโดนรบกวนด้วยกลิ่นของคุณฮิม น้ำค้างหลับตา ภาพป่าสนและไอหมอกลอยเอื่อยยังคงแจ่มชัดในจินตมโน ถ้าถามว่าตอนนี้เขาอยากจะทำอะไรมากที่สุด น้ำค้างก็คงตอบอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่ากอดคุณฮิมเอาไว้เต็มรักเพื่อที่เขาจะได้กลิ่นนั้นอย่างชัดเจนมากที่สุดในประสาทสัมผัส และหวังว่าเมื่อเขาเดินกลับถึงห้อง กลิ่นนั้นจะยังคงติดอยู่กับเนื้อผ้าเขามากกว่าในตอนนี้ที่เป็นเพียงแค่ความเจือจางที่ชวนให้นึกถึงตลอดเวลา
   ติ๊ง!
   เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือทำให้น้ำค้างลืมตาโพลงและสะดุ้ง โชคดีที่ไม่มีใครลอบมองเขาในห้อง เพราะท่าทางของน้ำค้างตอนนี้คงตลกน่าดู กับการพยายามกระเถิบตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งบนเตียงโดยที่ไม่กล้าจับโทรศัพท์ น้ำค้างปล่อยให้โทรศัพท์นอนนิ่งบนเตียงโดยที่ตายังคงจับจ้องบนหน้าจอและตัวที่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเรียบร้อยแล้ว บางทีน้ำค้างก็เกลียดตัวเองเหมือนกันนะที่เป็นคนแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ทำตัวแบบนี้ก็ไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน
   hymn ได้เพิ่มคุณเป็นเพื่อนผ่านเบอร์โทรศัพท์
   เดี๋ยว ไลน์มันเชื่อมกับเบอร์มือถือได้ด้วยเหรอ โอ้ ให้ตายเถอะ น้ำค้างรู้สึกเหมือนเขาเป็นคุณยายวัยเกษียณที่ไม่ทันเทคโนโลยี ด้วยความที่ไม่ได้แจกไลน์ให้ใครพร่ำเพรื่อและเข้าสังคมเท่าที่จำเป็น น้ำค้างเลยไม่ได้ยุ่งอะไรกับเจ้าแอปพลิเคชั่นไลน์มากนัก... จนวันนี้นี่แหละ
   hymn: คุณน้ำค้าง เมมเบอร์ผมแต่ไม่ทักผมมาเนี่ยนะครับ
   คุณฮิมส่งข้อความมา
   น้ำค้างกดล็อกหน้าจอ ก่อนจะกดเปิดหน้าจอ แล้วก็กดล็อกหน้าจออีกรอบ
   ไอ้น้ำ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ ทำตัวเหมือนนางเอกในนิยายมีรักแรกอยู่ได้ ตัวโตป่านนี้แล้วแท้ๆ น้ำค้างคิดพลางลูบหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง ทำไมจีบอัลฟ่ามันยากขนาดนี้นะ 
   แต่จะว่าไป นี่ก็ครั้งแรกที่เขาพยายามจะจีบใครนี่นา เฮ้อ
   น้ำค้างกดพิมพ์ตอบโดยที่ทวนประโยคในหัวประมาณสิบรอบได้ เขาทำตัวเหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำมากทีเดียวตอนนี้
   น้ำค้าง: ผมไม่รู้ด้วยซ้ำครับว่าเบอร์มือถือเชื่อมกับไลน์ได้
   คุณฮิมอ่านเร็วมาก และตอบเร็วมาก
   hymn: 55555 ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่เชื่อ แต่พอเป็นคุณน้ำค้างผมก็เชื่อสนิทใจเลยครับ
   ป่านนี้คุณฮิมคงมองว่าเขาเป็นคนเด๋อด๋าคนนึงแล้วแน่นอน ซึ่งสำหรับน้ำค้างมันไม่เท่เลย ถึงจะโกหกว่าเป็นโอเมก้าก็เถอะ
   hymn: พรุ่งนี้แวะมาสตาร์บัคอีกสิครับ ผมเข้ากะเกือบเย็นๆ
   น้ำค้าง: อ่า ได้ครับ เดี๋ยวผมแวะเข้าไปอุดหนุน
   hymn: ผมเลี้ยงก็ได้นะคุณน้ำค้าง ความจริงก็แค่ชวนเฉยๆ แหละครับ ผมอยากเจอ
   น้ำค้างอ่านข้อความล่าสุดนั้นประมาณห้ารอบถ้วน โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายที่เขียนว่า ผมอยากเจอ จู่ๆ กลิ่นใบสนก็แรงขึ้นถนัดตา และอะไรดลใจให้น้ำค้างพิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้นก็ไม่รู้
   น้ำค้าง: กลิ่นคุณ ยังติดตัวผมอยู่เลยคุณฮิม
   hymn: ท่าทางคุณจะติดใจมากจริงๆ นะครับ 55555
   น้ำค้างอยากตีมือตัวเอง
   น้ำค้าง: ผมคงดูหมกมุ่นมากสินะครับ...
   hymn: ไม่หรอกครับ เรื่องปกติ ตอนผมเจอกลิ่นที่ถูกใจผมรุกหนักกว่านี้อีกครับ 5555
   ประเด็นคือน้ำค้างไม่เคยเจอน่ะสิ แล้วคุณฮิมดันเป็นคนแรกที่เขาเจอเสียด้วย
   hymn: แต่เอาตรงๆ ไหมคุณน้ำค้าง ผมไม่ได้กลิ่นคุณด้วยซ้ำ
   น้ำค้างรู้สึกผิดมากกว่าเดิมนิดนึง แต่ก็ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าตัวเองไม่ใช่โอเมก้า มันเหมือนกับการตัดโอกาสตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
   hymn: คุณน้ำค้าง คุณทำผมนึกถึงแต่คุณนะเนี่ย ผมเอาแต่นึกว่าคุณจะเป็นคนที่กลิ่นแบบไหน พอจะเจ๊ากันไหมล่ะครับ
   ไม่เลย ไม่เจ๊ากันเลยสักนิดเดียว เพราะตอนนี้น้ำค้างใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว แค่ข้อความประโยคเดียว ทำไมคุณฮิมถึงได้มีอิทธิพลขนาดนี้
   hymn: พรุ่งนี้ผมหวังว่าจะบอกได้นะครับ ว่าคุณกลิ่นอะไร ผมคาดหวังให้เป็นกลิ่นโปรดของผมนะ :-)
   แล้วคุณฮิมก็ทำน้ำค้างนอนหลับไม่สนิทเพราะความตื่นเต้นจนได้

tbc.

หวังว่าทุกคนจะรักคุณน้ำค้างนะคะ เพราะเราเอ็นดูคุณเขามากเลย
feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 26-06-2018 21:49:44
ทำไมไปบอกเค้าว่าเป็นโอเมก้าล่ะลูกกก อยากให้ฮิมได้กลิ่นน้ำค้างบ้างง :-[
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: patompong888 ที่ 26-06-2018 22:10:28

 ชอบๆๆๆ   :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: benceii ที่ 26-06-2018 23:34:20
หูยอัลฟ่าxอัลฟ่า ต้องดุเด็ดขนาดไหนกันคะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 26-06-2018 23:50:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 26-06-2018 23:59:38
อย่าเผลอไปกัดคอฮิมนะลูก 55555
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-06-2018 09:52:29
ทีนี้จะทำยังไงเนี่ยยยย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 27-06-2018 17:05:46
:กอด1: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.1
เริ่มหัวข้อโดย: Byeolismes ที่ 28-06-2018 13:14:12
น้ำค้างน่าร้ากก เป็นกำลังใจให้น้าา :mew1
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.2
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 28-06-2018 17:28:53
chapter two

   ปกติแล้วน้ำค้างจะใช้เวลาอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างนาน ในหัวจะประมวลผลเมนูอาหารตอนเย็น คูปองส่วนลดที่มีในมือ รวมถึงคำนวณราคาผัก และเนื้อว่าซื้อในซุปเปอร์หรือฝากแม่ซื้อจากตลาดมาจะคุ้มกว่ากัน แต่วันนี้น้ำค้างเลือกที่จะตัดเวลาโปรดของตัวเองเป็นการหยิบของอย่างกระป๋องซอสและเส้นสปาเกตตี้ใส่ตะกร้าแทน ผักที่บ้านยังพอมีเหลือให้ใส่ต้มกับซอส อ้อ เขาเตือนตัวเองในหัวด้วยว่าอย่าเผลอถือตะกร้าเข้าไปในสตาร์บัคอีกเชียว
   น้ำค้างเพิ่งจะวางช็อกโกแลตลงตะกร้าสำหรับกินเล่นช่วงปั่นงาน แต่ยังไม่ทันจะเดินไปจ่ายเงิน สัญชาตญาณทุกอย่างก็ตื่นตัวจากกลิ่นที่ลอยเตะจมูก กลิ่นเดิมในครั้งแรกที่ทำเอาน้ำค้างอยู่ไม่เป็นสุข และครั้งนี้ก็เหมือนกัน
   คุณฮิมอยู่แถวนี้เหรอ?
   น้ำค้างเงยหน้าหันมองซ้ายขวาแล้วก็ไม่ได้พบบุคคลที่มักจะส่งยิ้มหวานให้เขาทุกครั้งที่เจอ แต่กลิ่นป่าสนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหันหลังเพื่อจะตามหา แล้วก็คล้ายๆ เดจาวูแบบเดิมที่เจอคุณฮิมยืนยิ้มให้เขาเหมือนฉากจั๊มสแกร์ในหนังสยองขวัญ
   และคงจะลืมบอกไปว่า ...น้ำค้างเกลียดหนังสยองขวัญยิ่งกว่าอะไรดี
   น้ำค้างตกใจจนถอยไปชนแผงช็อกโกแลตด้านหลัง โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหายตอนหันกลับไปเช็ค แต่คุณฮิมยืนขำเขาอีกแล้ว ว่าแต่ป่าสนของเขามายืนทำอะไรอยู่กลางซุปเปอร์แบบนี้กัน ได้ข่าวว่านี่เวลาเข้ากะไม่ใช่หรือไง
   “คุณฮิม มาทำอะไรตรงนี้ครับเนี่ย?”
   “ยืนดูแม่บ้านญี่ปุ่นเลือกของครับ” คุณฮิมตอบก่อนจะหยิบเส้นสปาเกตตี้ในตะกร้าขึ้นมา น้ำค้างขมวดคิ้วให้กับชื่อใหม่ที่แปร่งหู “คุณน้ำค้างเลือกอันนี้นานมากเลย”
   “คนอย่างผมเลือกของแบบนี้ออกจะตลกใช่ไหมล่ะครับ” น้ำค้างก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะกลิ่นก่อนจะยิ้มเจื่อน เขาเลือกนานเพราะนึกไม่ออกน่ะสิว่าคราวที่แล้วใช้เส้นแบบไหนทำ แล้วก็ลังเลด้วยว่าจะกินเส้นแบบไหนดี
   “ไม่เห็นตลกเลยครับ น่ารักดี ผมเป็นบาริสต้าก็ใช่ว่าจะทำอาหารเป็น” ฮิมว่า
   “แล้วนี่...คุณฮิมไม่เข้ากะเหรอครับ”
   “อ๋า พอดีวันนี้ผมขอลากะทันหันเพราะงานที่มหาลัยน่ะครับ แล้วงานก็ดันเสร็จไวกว่าที่คิด ผมเลยแวะมา เพราะจำได้ว่านัดคุณน้ำค้างเอาไว้”
   “ไม่เห็นต้องลำบากเลยคุณฮิม โทรมาก็ได้นิครับ” น้ำค้างรีบออกตัว ก่อนจะหยุดตัวเองเมื่อนึกได้ว่า...
   “ผมมีเบอร์คุณที่ไหนล่ะครับคุณแม่บ้าน” คุณฮิมมีชื่อใหม่ให้เขาแล้วแถมยังแบมือกลายๆ เป็นเชิงว่าไหนๆ ก็พูดถึงแล้วก็เอาเบอร์มาซะดีๆ
   น้ำค้างกำลังจะหยิบโทรศัพท์ตัวเอง แล้วก็ต้องชะงักอีกรอบเพราะตัวเองต้องเป็นคนให้เบอร์ แสดงว่าเขาต้องขอโทรศัพท์คุณฮิมมาเมมเบอร์สิ คุณฮิมดูท่าจะเห็นท่าทางเด๋อด๋าของเขาอีกครั้งถึงได้ขำร่วน
   “คุณน้ำค้างเนี่ย ตัวโตซะเปล่านะครับ”
   “ปกติผมควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้นะ” น้ำค้างรับมือถือของอัลฟ่าตรงข้ามมาก่อนจะเริ่มบันทึกเบอร์ตัวเอง “แต่เพราะกลิ่นคุณฮิมแท้ๆ ผมเลยไปไม่เป็นเลย”
   “พูดถึงกลิ่น” คุณฮิมรับมือถือคืนก่อนจะเมมชื่อเขาว่า คุณแม่บ้านญี่ปุ่น จนน้ำค้างต้องเอามือเสยผมเพราะละอายใจกับความเงอะงะของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อคุณฮิมก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวเขาเสียแล้ว ต่อให้น้ำค้างสูงและโครงร่างใหญ่กว่ายังไง คุณฮิมก็ยังดูน่ากลัวกว่าเขาอยู่ดีเวลารุกคืบเข้ามาแบบนี้ 
   “วันนี้ได้ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นรึเปล่าครับ?” คุณฮิมยิ้มหวาน โหนกแก้มดันขึ้นจนเห็นแก้มขึ้นชัด น่ารักเสียจนน้ำค้างอยากจะก้มลงไปหอม แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าซวยแล้ว ต่อให้เขาฉีดหรือไม่ฉีดสเปรย์ดับกลิ่น ก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี เพราะน้ำค้างไม่เคยได้กลิ่นตัวเองเลย
   “เอ่อ ไม่ได้ฉีดครับ” น้ำค้างถึงกับต้องย่อตัววางตะกร้าลงกับพื้น เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองต้องทำตะกร้าหล่นจากมือแน่ๆ เนื่องจากคุณฮิมเริ่มประชิดตัวเขาในระดับที่ว่าโน้มหน้ามาก็เป็นแอ่งชีพจรเขาแล้ว ขอบคุณที่วันนี้ไข่ที่คอนโดยังเหลือ ถ้าวันนี้เขาต้องมาหิ้วแผงไข่ในซุปเปอร์ก็คือน่าจะทำแตกตั้งแต่คุณฮิมโผล่มาด้านหลังเขาแล้ว
   “แปลกจังนะครับคุณน้ำค้าง ผมไม่ได้กลิ่นคุณเลยนะ” คุณฮิมขมวดคิ้วและน้ำค้างกลืนน้ำลาย ชิบหายของจริง
   “คือความจริงแล้ว...” น้ำค้างกำลังจะพ่นคำสารภาพออกไป แต่คุณฮิมดันโน้มลงมาชิดกับแอ่งชีพจรเขาเสียก่อนเพื่อจะสูดดมกลิ่น ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดอยู่ตรงซอกคอเขานั่นไม่เท่ากลิ่นป่าสน เปลือกไม้ ใบไม้แห้ง ดินชื้น และไอหมอกเย็นๆ ที่สาดเข้ามาหาน้ำค้างทีเดียวด้วยความที่ใกล้กันมาก เคมีในร่างกายของเขาวิ่งทำงานปั่นป่วนจนน้ำค้างแทบจะรับรู้ได้ว่ามันวิ่งอยู่ในกระแสเลือด โอเมก้าในคราบอัลฟ่ายกมือขึ้นมาจับไหล่อัลฟ่ากลิ่นป่าสนหมับ น้ำค้างโน้มหน้าลงไปที่ต้นคอของคุณฮิม ผิวเนื้อซึ่งเผยออกมาจากปกเสื้อเชิ้ตส่งกลิ่นชวนให้มึนเมาและดื่มด่ำ น้ำค้างไม่เคยรู้เลยว่าสัญชาตญานจะผลักดันให้เขาอยากจะมาร์กรอยฝ่ายตรงข้ามขนาดนี้ ในสมองแค่สั่งการมาว่าให้กัด ให้มาร์กรอย ณ ตอนนั้นเลย ห่างกันเพียงแค่ชั่วลมหายใจระหว่างริมฝีปากและผิวเนื้อของคนตรงหน้า น้ำค้างประทับริมฝีปากลงไปและเผยออ้าออกเตรียมจะลงฟัน...
   หากแต่โชคดีที่คุณฮิมเอามือขึ้นมาปิดต้นคอตัวเองไว้ได้ทันท่วงที น้ำค้างถึงได้รู้ว่าตัวเองเผยอปากออกเตรียมจะแสดงความเป็นเจ้าของแล้ว
   “คุณน้ำค้าง”
   “ขอโทษครับ”
   น้ำค้างถอยออกห่าง ก้าวหนีเสียสองสามช่วง แต่คุณฮิมยังคงยิ้มบางและจับข้อมือเขาไว้ไม่ให้ถอยไปมากกว่านี้
   “ดูท่าผมจะเจออัลฟ่าตัวโตแต่ขี้อายนะครับเนี่ย”
   และน้ำค้างอยากจะหาที่หลบสักที่ ถ้ามุดเข้าแผงขนมได้เขาก็คงทำไปแล้ว
   “เราคงต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะครับคุณแม่บ้าน”
   

   น้ำค้างนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ในสตาร์บัคที่เดิม และเป็นมุมอับของร้าน ชาเขียวปั่นวางไว้จนเหมือนจะละลายอยู่บนโต๊ะที่กั้นระหว่างเขาและอัลฟ่ากลิ่นป่าสนตรงข้ามที่ดูจะสร้างแรงกดดันที่ดีให้น้ำค้าง คุณฮิมไม่ได้ดูหงุดหงิด หัวเสีย หรือโมโห อีกฝ่ายยิ้มสบายๆ และมันเพิ่มความรู้สึกผิดในตัวน้ำค้างขึ้นมาอีกนิดทีเดียว
   “คุณฮิมรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ?” น้ำค้างตัดสินใจเริ่มถามก่อน
   “ไม่ครับ ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้” คุณฮิมตอบแล้วก็เอามือจับต้นคอตรงฝั่งที่น้ำค้างจู่โจมไปเมื่อครู่ “ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดว่าคุณน้ำค้างจะตั้งใจ”
   “เมื่อกี้ อุบัติเหตุจริงๆ ครับ” น้ำค้างพยายามอธิบาย
   “ผมเชื่อครับ ผมเชื่อ ดูจากนิสัยคุณแล้ว ก็ไม่น่าเที่ยวไปกัดใครเขาได้หรอก” คุณฮิมหัวเราะ “ตอนแรกผมเชื่อว่าคุณเป็นโอเมก้าจริงๆ นะเนี่ย ถ้ากลิ่นคุณไม่อ่อนขนาดนี้ผมคงเชื่อสนิทใจไปแล้ว”
   “ขอโทษที่โกหกจริงๆ ครับ” น้ำค้างหลบตาแล้วก็ตัดสินใจหยิบชาเขียวปั่นมาดูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือ” คุณฮิมตอบ “อันที่จริงต้องบอกว่าเพราะเป็นคุณน้ำค้าง ผมเลยโกรธไม่ลงมากกว่า”
   “ผมไม่อยากโกหกเลยครับตอนแรก แต่พอถึงตอนนั้น...เอ่อ ผมก็เผลอพูดไปเลย” น้ำค้างลูบหน้าตัวเองแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขาน่ะไม่ชอบคนโกหก ดังนั้นเขาก็เลยไม่ชอบที่ตัวเองโกหกคุณฮิมตั้งแต่แรกเจอแบบนี้
   “ไม่ต้องเครียดหรอกครับคุณน้ำค้าง ผมไม่โกรธจริงๆ” คุณฮิมโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วก็ยิ้ม “ผมเข้าใจว่าคุณน้ำค้างคงคิดว่าผมจะถือเรื่องที่คุณเป็นอัลฟ่าเหมือนกัน”
   “ผมกังวลเลยล่ะครับ” น้ำค้างสารภาพ ต่อให้อัลฟ่าและอัลฟ่าที่จับคู่ด้วยกันจะมีอยู่ส่วนหนึ่งก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาสามารถเที่ยวออกสาธารณะและคิดเองเออเองได้ว่าคนนี้โอเคกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะคนที่ค่าประสบการณ์เป็นศูนย์แบบน้ำค้างแล้วนั้น เขาดูใครไม่ออกเลยด้วยซ้ำมั้ง
   “จะว่าไงดีล่ะครับคุณน้ำค้าง ผมค่อนข้างไม่ซีเรียสน่ะ” คุณฮิมขมวดคิ้วตอบทีเล่นทีจริง “แล้วการที่คุณชอบกลิ่นผมมากขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าค่อนข้างประทับใจอยู่”
   “ผมนึกว่าคุณจะหาว่าผมโรคจิตซะอีก”
   “ไม่มีใครโรคจิตทั้งนั้นแหละครับคุณน้ำค้าง คุณไม่ได้พุ่งตัวเข้ามากัดคอผมทันทีสักหน่อย” อัลฟ่ากลิ่นป่าสนเอนตัวลงไปนั่งไขวห้างอีกครั้ง “เมื่อกี้ผมขอไม่นับละกัน ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ”
   “ผมยังรู้สึกผิดอยู่เลยครับคุณฮิม” น้ำค้างรู้สึกว่าชาเขียวปั่นนี่มันกลืนลำบากจริงๆ
   “ผมอาจจะเข้าใกล้คุณเกินไปก็ได้ครับ” คุณฮิมว่าก่อนจะยิ้ม “เพราะคุณทำหน้าเหมือนอยากจะกินผมทั้งตัวเลย”
   “คุณฮิม ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นจริงๆ นะครับ” น้ำค้างทำเสียงโอดครวญ น่าเห็นใจอยู่ในสายตาอัลฟ่ากลิ่นป่าสนอย่างฮิม
   “ไม่เป็นไรหรอกคุณน้ำค้าง ผมโอเคดี” คุณฮิมเอามือมาตบบนเข่าเขาเหมือนจะปลอบกลายๆ “แต่ผมคาใจสุดก็เรื่องกลิ่นนี่แหละครับ ผมคุยกับโอเมก้ามาหลายคน ยังไม่เคยมีใครบอกว่ากลิ่นผมเหมือนป่าสนสักคน แล้วก็ไม่เคยมีใครได้กลิ่นผมไกลขนาดคุณน้ำค้างด้วย”
   น้ำค้างจินตนาการต่อไปแล้วว่าคำว่าคุยของคุณฮิมคงไม่ใช่แค่คุยเฉยๆ อย่างที่เจ้าตัวพูดแน่นอน 
   “แล้วโอเมก้าคนก่อนๆ เขาบอกว่าคุณฮิมกลิ่นเหมือนอะไรเหรอครับ?”
   “สนามหญ้าครับ บางคนบอกว่ากลิ่นผมเขียวเหมือนสมุนไพรก็มี” คุณฮิมกึ่งพูดกึ่งขำ “บางคนถึงกับย่นจมูกใส่ผมเลยถ้าผมเข้าใกล้”
   “สารภาพก่อนว่าผมไม่เคยถูกใจกลิ่นคนอื่นเลยครับ คือผมยังไม่เคยมีคนคุย หรืออะไรแบบนั้นมาก่อนเลย” น้ำค้างพูดแล้วก็มองโต๊ะ มือประสานกันตรงเข่า ก่อนจะเริ่มบีบมือตัวเองแก้ความกังวล
   “พูดจริงเหรอครับเนี่ย? เอาตรงๆ ผมว่าคนอย่างคุณน้ำค้างหายากนะครับ ดูเป็นอัลฟ่าที่ใจดี พึ่งพาได้ อะไรแบบนั้น” คุณฮิมดูประหลาดใจแบบจริงจัง
   “พึ่งพาได้นี่ไม่น่าใช่แล้วล่ะครับ” เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างหัวเราะแบบเขินๆ คนที่ทำนู่นทำนี่พังเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันแบบเขาเนี่ยนะพึ่งพาได้
   “กลิ่นคุณน้ำค้าง...” คุณฮิมสบตาเขา เป็นครั้งที่สองที่น้ำค้างได้พินิจเครื่องหน้าของอีกคนชัดๆ ชั้นตาลึกหลายชั้น ดวงตาสีดำโต และริมฝีปากที่กลายเป็นรูปทรงหัวใจยามที่ยิ้มหรือหัวเราะ เรือนผมสีดำเหลือบน้ำตาลเข้มที่ปรกหน้าผาก คุณฮิมจัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีระดับหนึ่ง ใบหน้าที่คมแต่ยามยิ้มกลับหวาน ไม่ได้หล่อโดดจัดท่ามกลางฝูงชน แต่น้ำค้างก็สามารถระบุตัวได้โดยไม่ต้องมองเห็น ต่อให้น้ำค้างตาบอด หรือไม่รู้จักป่าสนมาก่อน เขาก็รู้ว่ากลิ่นนี้คือคุณฮิม
   “กลิ่นคุณน้ำค้างเหมือนผ้าสะอาดเลยครับ”
   น้ำค้างถึงกับอดยกแขนตัวเองขึ้นมาดมไม่ได้ ต่อให้เขาจะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็ตาม
   “กลิ่นคุณอ่อนมาก และผมใช้เวลานึกอยู่สักพักเลยกว่าจะนึกออกว่ากลิ่นคุณคือกลิ่นอะไร” คุณฮิมค่อยๆ พูดพลางเอานิ้วเคาะกับโต๊ะ “เหมือนผ้าที่ซักแล้วพับแล้วน่ะครับ แล้วผมก็ได้กลิ่นออกมะพร้าวนิดๆ ด้วย มันอยู่ที่ปลายจมูกเหมือนเวลาคุณดมผ้าแล้วได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ”
   น้ำค้างนั่งนิ่ง เขาไม่เคยโดนใครพูดถึงกลิ่นตัวเองมาก่อน จนเขาคิดไปแล้วว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าจำพวกไม่ส่งกลิ่น แต่คุณฮิมอธิบายได้ละเอียดจนน้ำค้างนึกภาพออกเลยว่าตัวเขาเป็นยังไง...น่าจะเป็นเพราะตัวเองชอบพับผ้าด้วยล่ะมั้ง บังเอิญรึเปล่า หรือว่าเขาอาจจะอยู่กับการซักผ้ามากเกินไป
   “คุณฮิม อย่าเพิ่งขำผมนะครับ แต่ว่างานอดิเรกผม คือซักผ้า... แล้วก็พับผ้า” ความจริงน้ำค้างอยากจะเสริมอีกว่าตากผ้าก็ดี แต่พยากรณ์อากาศทุกวันนี้ห่วยแตกจนเขาเบื่อเวลากลับมาเห็นผ้าชื้นๆ เลยทีเดียว มันใจสลายนะรู้ไหม
   พูดไปก็เท่านั้น เพราะคุณฮิมขำใหญ่ไปแล้ว ถึงกับต้องเอนหลังพิงกับเก้าอี้แล้วหัวเราะ น้ำค้างจิบชาเขียวปั่นที่เริ่มละลายอย่างกระอักกระอ่วน คุณฮิมจะอยากจ้างเขาเป็นแม่บ้านมากกว่าอยากจับคู่รึเปล่าอันนี้น้ำค้างก็เริ่มไม่แน่ใจ
   “คุณน้ำค้าง คุณนี่...แม่บ้านญี่ปุ่นจริงๆ ด้วยอะ” คุณฮิมปาดน้ำตาออกจากหางตาเพราะหัวเราะมากเกินไป
   “จะว่าไป คุณฮิมเรียนมหาลัยนี้รึเปล่าครับ?” น้ำค้างพูดชื่อมหาลัยของตัวเองที่อยู่แถวนี้ คุณฮิมพยักหน้าแทนคำตอบ
   “ผมเรียนจิตวิทยาครับ ปีสาม คุณน้ำค้างล่ะ”
   “สถาปัตย์ครับ ปีสามเหมือนคุณฮิม” น้ำค้างโล่งอกที่อีกคนอายุเท่าเขา ถ้าแก่กว่าคงจะทำตัวไม่ถูกมากกว่านี้
   “โห เรียนสถาปัตย์ยังมีเวลาทำอาหารเองกับซักผ้าเองอีกเหรอครับ”
   “ผมชอบปั่นงานดึกๆ ไม่ก็โต้รุ่งไปเลยน่ะครับ นิสัยแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมติดไปแล้ว” น้ำค้างว่า โชคดีกว่าคนอื่นหน่อยก็ตรงใต้ตาไม่ดำเหมือนชาวบ้านเขา แต่หน้าก็ยังโทรมจนเห็นได้ชัดอยู่ดี
   “ผมเคยไปช่วยเพื่อนตัดโม งานละเอียดน่าดูเลยนะครับนั่น”
   “เพื่อนคงไว้ใจคุณฮิมน่าดูเหมือนกันแหละครับ เพราะผมไม่ไว้ใจให้ใครช่วยเลย ต่อให้จะทำแทบไม่ทันแล้วก็เถอะ” น้ำค้างพูดขำๆ นึกถึงตอนตัวเองหอบข้าวของจากร้านเครื่องเขียนกลับมาคอนโดเพื่อรีบตัดให้ทันงานแทบตาย แต่พอไปส่งอาจารย์พรุ่งนี้ อาจารย์ดันถามว่าทำโมเดลมาทำไม ขอแค่แปลนแบบร่าง น้ำค้างบอกเลยว่างานเอาคืนได้ แต่เวลานอนเอาคืนไม่ได้ “คุณฮิมเรียกน้ำค้างหรือน้ำเฉยๆ ก็ได้นะครับ ไหนๆ ก็อายุเท่ากันแล้ว”
   “ผมขอเรียกคุณน้ำค้างแบบนี้ต่อได้ไหมอะ มันชินแล้ว” คุณฮิมยิ้มให้เขา น้ำค้างเห็นแววความขี้เล่นในนั้น “ปกติผมก็เข้ากับคนได้เร็วอยู่ แต่กับคุณน้ำค้าง ผมว่าค่อยๆ ก็ดีเหมือนกันครับ”
   “แบบนี้คุณฮิมยังจะเอ่อ...” น้ำค้างพยายามใช้คำที่อ้อมที่สุดในโลก “...ให้โอกาสผมอยู่รึเปล่าครับ?”
   “โอกาสอะไรล่ะครับคุณแม่บ้าน?”
   ดูเหมือนคุณฮิมจะรู้ทันกันไปหมด ถึงได้ใช้สรรพนามแบบนั้น และยังถามเขากลับทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
   “เอ่อ...”
   คุณฮิมยังคงยิ้มและนั่งรอคำตอบเขาอย่างใจเย็น น้ำค้างรู้แล้วล่ะว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเป็นอัลฟ่า คุณฮิมควบคุมทุกอย่างได้ดี ทั้งท่าทาง อารมณ์ และการโต้กลับ คุณฮิมรู้ว่าตอนไหนควรรุก ตอนไหนควรถอยมาตั้งรับ
   “...โอกาสที่จะจีบคุณฮิมครับ”
   พูดออกไปแล้ว ไอ้น้ำคนขลาดพูดออกไปแล้วจนได้
   “ขนาดนี้แล้ว ผมปฏิเสธดีไหมนะ” ฮิมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง และต่อให้เป็นการล้อเล่นน้ำค้างก็บอกเลยว่าใจแป้ว “ล้อเล่นน่ะคุณน้ำค้าง อย่าทำหน้าเหมือนผมหักอกสิครับ”
   “คะแนนผมติดลบอยู่แล้วเถอะครับ” น้ำค้างทบทวนตั้งแต่ต้นแล้วก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่เรียกว่าทำคะแนนเลยสักนิดเดียว
   “ก็ไม่ทีเดียวนา ผมว่าคุณน้ำค้างตลกดี”
   “แบบนี้เหมือนจะเป็นได้แค่เพื่อนเลยครับ” น้ำค้างขำแห้ง ยอมรับว่าใจร้อน คุณฮิมเหมือนเป็นอะไรใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเขา และน้ำค้างก็รู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง แต่กลับรับมือไม่ถูก
   “อ้าวผมยังไม่ได้บอกเหรอครับ”
   คุณฮิมเอื้อมมาหยิบข้อมือเขา น้ำค้างลอบสังเกตอีกฝ่ายอีกครั้ง ข้อมือของคุณฮิมเล็กจนเห็นกระดูกชัดเจน แต่ข้อนิ้วและฝ่ามือกลับดูยาวจนเห็นโครงชัดเจน หากให้ตัวเขาวาดรูปโดยมีมือคุณฮิมเป็นแบบ น้ำค้างบอกเลยว่าเขาคงจะสนุกกับการวาดรายละเอียดน่าดู มือของคุณฮิมเหมือนมือผู้หญิง ในทางที่ไม่ใช่รูปร่างหรือลักษณะ แต่เป็นท่วงท่าในการหยิบจับสิ่งของนู่นนี่
   ยังไม่ทันที่จะได้สังเกตต่อ คุณฮิมก็เอาจมูกโด่งปลายนั่นมาฝังเอาไว้ตรงข้อมือเขาเสียแล้ว น้ำค้างเกือบจะชักมือกลับเหมือนถูกของร้อน แต่คุณฮิมจับไว้แน่นพอสมควร พร้อมกับหอมข้อมือเขา และน้ำค้างรู้ว่าวันนี้เขาจะได้กลิ่นของป่าสนที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกกลับไปเป็นของฝากที่ระลึกแทนความคิดถึงตอนกลับถึงห้อง
   “คุณน้ำค้าง ผมสบายใจกับกลิ่นคุณอยู่นะ”
   น้ำค้างไม่รู้ว่านั่นควรเป็นสิ่งที่คนเป็นคู่กันพึงมีไหม แต่ประโยคต่อไปของคุณฮิมทำให้เขามีความหวังอีกนิด
   “รอหน่อยนะครับ ผมยังไม่ชิน แต่อีกหน่อยผมคิดว่าผมน่าจะชอบกลิ่นคุณ”


tbc.


เราไม่ชอบซักผ้าและพับผ้าเลยค่ะ แต่เราชอบผู้ชายแบบคุณน้ำค้างมากๆ เลย
ฝากส่งกำลังใจให้คุณน้ำค้างกันด้วยนะคะ โดนคุณฮิมต้อนหมดท่าหมดแล้ว 555555

เราขอฝากเพลง foldin' clothes - j.cole ไว้หน่อยนะคะ ฟังแล้วคิดถึงคุณน้ำค้างมากเลย ผู้ชายพับผ้า  :กอด1:


ใครอยากพูดคุยกับเรา หรือดูอัพเดทนิยาย เราสมัครแอคทวิต @hopeniverse_ ไว้นะคะ ตามไปฟอลกันได้ <3


feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you








หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.2
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 28-06-2018 20:58:06
อ่านไปฟุดฟิดไปมากๆเลยค่ะ รู้สึกมีกลิ่นหอมๆอบอวนอยู่รอบตัวเบาๆ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.2
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 28-06-2018 23:10:34
ตามมาอ่านนน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 29-06-2018 07:24:34
ตามมาอ่านน ชอบกลิ่นผ้าตอนซักเสร็จเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ใช่คนชอบซักผ้านะ บ้านเราใช้ น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นหวานๆน่ะค่ะ เหมือนกินลูกกวาดเวลาใส่เสื้อผ้า
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-06-2018 09:01:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ; omegaverse ☁ CH.3
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 01-07-2018 21:12:04

chapter three

 

                น้ำค้างไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของสตาร์บัค

                แต่ในมือเขาตอนนี้มีบัตรสมาชิกของสตาร์บัคใหม่เอี่ยม และน้ำค้างก็เติมเงินลงไปในนั้นถึงสองพันบาทเพื่อจะเอาสมุดแพลนเนอร์ของปีนี้อีกด้วย

                อืม ถ้าถามว่าสาเหตุของการสมัครสมาชิกสตาร์บัคคือใครก็เดาง่ายมาก ออกจะเฟลๆ นิดหน่อยที่วันนี้คุณฮิมไม่ได้เข้ากะ น้ำค้างอุตส่าห์เตรียมตัวมาสมัครสมาชิกกับคุณฮิมเต็มที่ แต่ก็ผิดเองแหละที่ไม่ได้ทักไปถามก่อน รู้ตัวอีกทีก็มายืนงงๆ อยู่หน้าเคาทน์เตอร์แล้วพร้อมกับบัตรสมาชิกในมือ แค่กลิ่นยังมีอิทธิพลขนาดนี้ ถ้าน้ำค้างเริ่มชอบคุณฮิมมากกว่านี้อีกนิดจะทำยังไงละเนี่ย

                “ไงพ่อหนุ่มเลือดร้อน ไหนป่าสนของมึง”

                น้ำค้างหันไปยกนิ้วชี้แตะปากตัวเองกับเพื่อนสนิทตัวดีอย่างกิม แน่นอนว่าเพื่อนเขาเป็นโอเมก้า ชีวิตกิมเรียบง่ายเป็นเส้นตรงจนน้ำค้างนึกอิจฉา กิมจบมัธยมปลาย เข้าคณะสถาปัตย์ที่ใฝ่ฝันได้ อีกฝ่ายมีช่วงฮีทแล้ว แต่ด้วยความที่ยังไม่มีเจ้าของเลยกินยากดเอา น้ำค้างเลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงดูดโดยไอ้เพื่อนตัวเล็กข้างๆ สักเท่าไหร่ แถมอีกฝ่ายยังดูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องหาคู่ด้วย มีอัลฟ่าเข้าหาบ้างเป้นครั้งคราวแต่กิมก็ปัดตกทุกราย ออกมาข้างนอกก็ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นตลอด เลยได้อยู่คนเดียวสมใจ น้ำค้างล่ะอยากจะมีชีวิตแสนสงบสุขแบบนั้นบ้าง อะไรที่ทำให้รู้สึกสงบที่สุดในช่วงนี้ก็คงเป็นกลับห้องแล้วผ้าที่ตากไว้แห้งสนิทและไม่ปลิวหายจากระเบียงไปก่อน

                “ไม่ได้พูดชื่อสักหน่อย ไหนอะ”

                “กิม มึงอย่าเสียงดังดิวะ” น้ำค้างพูดลอดไรฟันเสียงกระซิบ แต่กลับได้รับสีหน้าเอือมระอาของเพื่อนสนิทกลับมา

                “กูพูดโทนปกติเลยไอ้น้ำ มึงอะประสาท เขาก็ไม่อยู่”

                น้ำค้างรีบลากไอ้กิมออกมาจากแถบเคาทน์เตอร์ เห็นบาริสต้าผู้หญิงที่รับออเดอร์เขาเหมือนจะยิ้มกับตัวเองแล้วก็ใจไม่ดี ว่ากันว่าไม่มีใครในโลกนี้ไม่นินทา เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าคุณฮิมจะไม่แอบเม้าท์เขากับเพื่อนร่วมงาน

                “ก็เพื่อนร่วมงานเขาอยู่ไหมล่ะกิม” น้ำค้างว่าแล้วก็เอามือลูบหน้าเสยผมขึ้นไปแบบที่ชอบทำ ไอ้กิมชอบแซวบ่อยๆ ว่าทำแบบนี้ระวังหัวล้านก่อนวัยอันควร แต่น้ำค้างบอกเลยว่าถ้าเสยผมหน้าม้าไอ้กิมขึ้น ก็วัดได้แล้วว่าใครจะต้องซื้อน้ำยาปลูกผมก่อนตอนแก่ (ซึ่งไม่ใช่น้ำค้างแน่นอน)

                “มึงต้องทำอะไรเด๋อๆ แล้วไม่บอกกูแน่นอน” กิมหรี่ตา และน้ำค้างยิ้มจืดให้เพื่อน เขาไม่ได้บอกโอเมก้าเพื่อนรักว่าตัวเองไปโกหกว่าเป็นโอเมก้าแถมยังจะเผลอไปกัดคอเขากลางซุปเปอร์อีก

                “แค่กูยืนเฉยๆ ต่อหน้าเขาก็เด๋อแล้วกิม”

                “ไม่เถียง เพราะเรื่องจริง” กิมหันไปหยิบแก้วลาเต้เย็นของตัวเองที่เพิ่งได้มาดูด “แล้วเป็นไง ริจะจีบอัลฟ่าด้วยกันเอง เก่งนักหรือเราอะ”

                “ดูถูกกูเหรอ” น้ำค้างอยากจะเอาขาเตะเพื่อนตัวเองตอนมันยักไหล่ใส่

                “โถ่ไอ้น้ำ แค่โอเมก้าช่วงฮีทอยู่แถบๆ มึงหน่อยก็เดินหนีเขาแล้ว” กิมย่นจมูกแล้วก็เลิกคิ้วใส่ “ไก่อ่อนชิบหาย อัลฟ่าภาษาอะไร”

                “แล้วทำไมกูต้องดุ คนเราคุยกันดีๆ ก็ได้ปะกิม” น้ำค้างโต้กลับบ้าง เขาล่ะไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นอัลฟ่าจะต้องทำตัวเกรี้ยวกราดวางมาดด้วย ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก แต่ภาพลักษณ์ความเป็นอัลฟ่าไม่ใช่แค่ที่ทุกคนเหมารวม แต่มันอยู่ในสายเลือดที่จะมีความเป็นผู้นำ ความเป็นใหญ่ การแสดงความเป็นเจ้าของและเจ้าอำนาจ อัลฟ่าบางคนก็มีส่วนนี้เสียเยอะแยะ อย่างคุณฮิมก็พอจะเดาได้ แต่สำหรับน้ำค้าง เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าตัวเองมีเลือดความเป็นอัลฟ่าตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เขาอยากจะมาร์กรอยคุณฮิมก็เป็นได้ พอนึกถึงทีไรก็อยากจะ...ขอโทษทุกที ให้ตายสิ

                “คุยกันดีๆ จะได้แดกไหมล่ะครับคุณน้ำค้าง”

                “เห้ย เพิ่งเจอกันเองกิม มึงใจเย็นๆ ดิ”

                “น้ำ กูถามจริง ตั้งแต่กูรู้จักอัลฟ่ามาเนี่ย อย่างช้าสุดก็อาทิตย์นึงอะ แล้วก็...” กิมเอามือตบเข้ามากันเสียงดังป้าบแทนความนัยจนคนรอบๆ หันมามองก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงฮีทเขาก็เคลมอีกฝ่ายหมดแล้ว”

                “มึง คุณฮิมเขาเป็นอัลฟ่า” น้ำค้างอยากจะเดินออกจากสตาร์บัคเต็มทน ทำไมเขาต้องพาไอ้กิมมาด้วยวะ แต่ถ้าเลิกคบมันก็ไม่มีใครคบแล้วเหมือนกันไอ้น้ำ

                “อัลฟ่าแล้วไง ถ้ามึงจะเคลมก็เคลมได้เลย” กิมพูดเรียบๆ เหมือนพูดว่าวันนี้อยากกินข้าวผัด ต้องได้กินเลย ก่อนจะทำตาโตเหมือนนึกอะไรได้ “เดี๋ยว หรือมึงรอเขาเคลมมึงวะไอ้น้ำ”

                “ไอ้กิม! มึงพูดเหี้ยไรเนี่ย!”

                 คราวนี้เป็นน้ำค้างเองที่เสียงดัง เรียกสายตาจากฝูงชนได้กลุ่มหนึ่ง กิมทำหน้านิ่งเฉย เหมือนจะบอกทางสีหน้ากลายๆ ว่าใครกันแน่ที่เสียงดัง มึงทำตัวเองทั้งนั้นเลยเพื่อนรัก

                “มึง กูยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นไหมวะ” น้ำค้างมองซ้ายขวาแล้วก็หาที่นั่งจนได้ เดือดร้อนกิมต้องเดินไปเอาอเมริกาโนที่เพื่อนยังไม่ยอมหยิบจากเคาทน์เตอร์มาให้แล้วตามไปนั่งมุมอับที่ประจำที่เดิมของน้ำค้าง

                “ยังไงเดี๋ยวก็ต้องคิด มึงคิดว่าคุณฮิมเขาจะปล่อยให้มึงแอ๊ะแอ๋ไปเรื่อยๆ เหรอไอ้หนุ่ม เลือดอัลฟ่าเขาแรงกว่ามึงอีก ระวังโดนเคลมก่อน” กิมพูดแล้วก็ยิ้มให้เพื่อนทีนึง ไม่ใช่ยิ้มให้กำลังใจ แต่เป็นยิ้มที่มีเสียงออกมาจากหน้าโดยไม่ต้องพูดว่า อ่อนว่ะ

                “มึง เขาบอกจะค่อยๆ กับกูนะ” น้ำค้างนึกถึงคำพูดป่าสนของเขาแล้วก็เริ่มไม่แน่ใจแทน บอกจะค่อยๆ แต่ทั้งสายตาทั้งการสกินชิพสำหรับน้ำค้างคือบอกเลยว่า ไม่ค่อยจะค่อยๆ เท่าไหร่อะครับคุณ

                “ค่อยๆ ก็คือ...” กิมแกะฝาเพื่อจะตักวิปครีมที่สั่งเพิ่มพิเศษมา “รู้ตัวอีกทีโดนเขาแดกไม่รู้ตัวแล้วแน่นอน”

                “ทำไมมึงขี้ขู่จังวะ”

                “ตัวโตกว่าเขาก็หัดทำตัวให้มันโตขึ้นหน่อยไอ้หนุ่มนักรัก”

                “เอาตรงๆ ปะกิม ห่างกันแค่โต๊ะกั้นกลิ่นเขายังทำกูเอาตัวเองไม่ค่อยจะอยู่เลย กูอยากจะกัดเขาอย่างเดียวเนี่ย” น้ำค้างสารภาพบาปไปนิดนึง แต่เหตุการณ์ที่แผงขนม ขอไม่พูดถึงแล้วกัน

                “เพิ่งเคยเห็นมึงพูดจาแบบนี้” กิมทำหน้าประหลาดใจแบบเสแสร้งสุดๆ “แต่พอเป็นมึงพูดประโยคนี้นะคุณน้ำค้าง ความฮอตลดระดับลงไปครึ่งนึง”

                “ก็กูไม่ฮอตไหม” น้ำค้างทำหน้าละเหี่ยใจ เป็นอัลฟ่าดุๆ แล้วยังต้องเป็นหนุ่มฮอตอีกเหรอเนี่ย เหนื่อยแล้วนะ

                “ความจริงมึงฮอต แต่มึงแค่ไม่ใส่ใจ” กิมว่าต่อ “ตัวก็สูง กระดูกก็ยาว แขนขาก็พอดี ผิวออกแทนๆ ค่อนเข้มอีก ตอนเจอมึงครั้งแรกกูยังคิดเลยว่ามึงต้องฮอตมาก”

                “แล้วตอนนี้อะ?” น้ำค้างถามแบบมีความหวัง (ว่าตัวเองจะฮอตอยู่)

                “กูเห็นแฟชั่นเสื้อคลุมกิโมโนมึงกับรองเท้าแตะกับการมาช็อปปิ้งในซุปเปอร์แล้วบอกเลยว่าพ่อ”

                “พ่อของลูก?”

                “พ่อมึงสิไอ้สัด ใครสั่งให้แต่งตัวแบบนี้”

                น้ำค้างถึงกับยิ้มค้างกับคำตอกกลับของเพื่อน ลุคสบายๆ แสนจะคอมฟี่แบบนี้มันดีกว่ากางเกงนักศึกษาตั้งแยะ รองเท้าแตะสิดี สนีกเกอร์เนี่ยซื้อมาใหม่ทีไรก็กัดเท้าเขาตลอด เป็นแค่รองเท้าทำตัวเป็นอัลฟ่าดุๆ อยู่ได้ กัดได้กัดดี

                “คุณฮิมก็น้า ชอบอะไรในตัวมึง” กิมส่ายหน้า “แต่ก็ดี ยังมีคนที่ชอบมึงคนนึงในโลก”

                “ยังไม่ทันได้จีบเลยกิม”

                “เขาจีบมึงจนได้ติ่มซำหลายเข่งแล้วไอ้น้ำ มีแต่มึงอะประดักประเดิดอยู่คนเดียว”

                “แล้วต้องทำไง”

                “มึงอยากกัดเขานี่ ก็แสดงออกหน่อยซี่ว่าอยากจะเป็นฝ่ายเคลม อยากกินอยู่คนเดียวในใจเขาไม่รู้เรื่องกับมึงหรอกคุณน้ำค้าง”

                  น้ำค้างบอกเลยว่า งานหิน แต่ถึงหินจะหนักแค่ไหน ปากเขาก็หนักกว่า เพราะถ้าเอาหินทุบปากน้ำค้าง หินน่าจะแตกก่อน

 


 

                น้ำค้างถ่ายรูปส่งแชทหาคุณฮิม เป็นรูปบัตรสตาร์บัคที่เขาเพิ่งสมัครมาใหม่ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็หวังว่าคุณฮิมจะมองว่าเขาพยายามจะหาทางเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นบ้าง

                hymn: แย่จังครับ ไม่ได้เป็นคนสมัครให้คุณน้ำค้างเลย

                น้ำค้างยิ้มกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าดีใจที่เขาอยากมาเจอ แต่แอบโล่งอกมากกว่า เขายินดีที่จะเจอคุณฮิมแบบที่นอกเวลางานและไม่มีคนเยอะแยะมากกว่า แต่พอจะชวนทีไรก็กล้าๆ กลัวๆ ทุกที พอแอบไปหาเวลาเขาทำงานก็ดันไม่เจออีก ก็ได้แต่ร้อนรนอยู่คนเดียว สมกับเป็นไอ้น้ำค้างคนขลาดดี

                น้ำค้าง: อยากเจอคุณฮิมเหมือนกัน

            hymn: สุดสัปดาห์นี้ว่างไหมล่ะครับคุณน้ำค้าง?

                น้ำค้างกะพริบตากับข้อความล่าสุด

                hymn: สนใจทำอาหารเลี้ยงผมสักมื้อไหมคุณแม่บ้าน :-)

                น้ำค้างมองหน้าจออ่านคำชวนของคุณฮิม แต่มืออีกข้างเปิดแล็ปท็อปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้ว ยังไม่ทันได้กดตอบตกลงก็เผลอหันตัวมาเสิร์ชหาเมนูอาหารซะแล้ว จนผ่านไปสิบนาทีนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเปิดข้อความทิ้งไว้โดยยังไม่ได้ตอบ

                น้ำค้าง: ได้ครับได้ ขอโทษที่อ่านไม่ตอบนะครับ พอดีผมเสิร์ชหาเมนูอาหารเลยตอนคุณฮิมส่งมา

            hymn: คุณน้ำค้างนี่มันแม่บ้านญี่ปุ่นจริงๆ ด้วย 55555 น่ารักจังครับ 55555

                น้ำค้างถึงกับยิ้มแหยๆ ให้ตัวเอง ไม่คิดว่าคุณฮิมจะชวนให้เขาทำอาหารให้นี่นา นึกว่าจะชวนออกไปดูหนังหรืออะไรแนวๆ เดตธรรมดาเทือกนั้นซะอีก

                น้ำค้าง: ขอบคุณที่ชวนให้ผมทำอาหารนะครับ

            hymn: คุณน้ำค้างดูจะไม่ชอบคนเยอะๆ ผมว่าทำอะไรที่ตัวเองสบายใจจะได้รู้จักตัวตนคุณจริงๆ ดีกว่า

                คราวนี้น้ำค้างยิ้มกว้างจริงๆ เขาไม่ใช่คนประเภทปาร์ตี้สุดเหวี่ยงคืนวันศุกร์ หรือกินเหล้าเมาเป็นหมา น้ำค้างคิดว่าคนประเภทเขาค่อนข้างน่าเบื่อและจืดชืด แต่ถ้าคุณฮิมยินดีจะเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่เขาชอบ น้ำค้างก็ยินดีจะให้พื้นที่เป็นพิเศษ

                หวังว่าคุณฮิมจะให้พื้นที่พิเศษกับเขาบ้าง

               



 

                เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างพาคนอื่นมาที่ห้องนอกจากไอ้กิม ที่ส่วนมากจะมาปั่นงาน ยืมของ โต้รุ่งอะไรแบบนั้น น้ำค้างไม่ได้รู้สึกอึดอัดถ้าคนจะมาห้องเขา ก็ยังดีกว่าจะต้องออกไปข้างนอกที่คนเบียดเสียด

                “ห้องคุณน้ำค้างเนี่ย ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่เลยอะ” คุณฮิมพูดขำๆ น้ำค้างเตรียมใจไว้เลยว่าห้องเขาจะมีแต่กลิ่นโปรดของป่าสนดิบชื้น คุณฮิมคงจะทิ้งกลิ่นอายให้เขานึกถึงอยู่สักพัก

                “ห้องผมไม่ค่อยมีอะไรหรอกคุณฮิม” น้ำค้างว่าแล้วก็เดินเข้าครัวทันที

                “ผมหมายถึงมันเรียบร้อยครับ ห้องผมรกมาก แล้วก็ไม่ได้กลิ่นสะอาดขนาดนี้”

                “กลิ่นผมรึเปล่า คุณฮิมบอกผมกลิ่นเหมือนผ้าสะอาดนิ” น้ำค้างพูดเจือขำมาจากตรงเตาแก๊ส คุณฮิมยังคงยืนพิงโซฟามองแผ่นหลังของน้ำค้างที่ยืนตั้งหม้อนู่นนี่นั่นอยู่ วันนี้คุณฮิมใส่เสื้อยืดสีขาวโอเวอร์ไซส์ยัดใส่กางเกงขาสามส่วนเหนือเข่า ก็ดูเป็นอะไรที่สบายๆ ดี

                “กลิ่นคุณอ่อนจะตาย” คุณฮิมพูดและน้ำค้างก็ต้องสะดุ้งโหยงตอนคุณฮิมสืบเท้าเข้ามาประชิดด้านหลังเขาไม่ทันบอกอีกแล้ว “ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีล่ะคุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมขำใหญ่อีกแล้ว แกล้งเขาน่าจะสนุกมากทีเดียว

                “คุณฮิม ผมขอเว้นระยะหนึ่งช่วงแขนก็ยังดีเถอะ”

                “อะไรขนาดนั้นคุณน้ำค้าง กลัวผิดวินัยสงฆ์เหรอครับ”

                คุณฮิมแซว แต่ก็ยอมถอยให้ พอมานั่งพิจารณาดีๆ ท่าทางเขาสองคนมันก็พระกับสีกาจริงๆ นั่นแหละ โดนตัวอะไรกันไม่ได้ขนาดนั้น

                “ไหนคุณฮิมบอกจะค่อยๆ ไง”

                “ผมก็ค่อยๆ นะ คุณน้ำค้างต่างหากใจร้อน คราวที่แล้วก็จะกัดผมละ”

                น้ำค้างหันไปมองก็เห็นคุณฮิมเลิกคิ้วยิ้มๆ แล้วเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางตบๆ ตรงแอ่งชีพจรตัวเองที่เดิม ความอายแล่นขึ้นมาจุกอกน้ำค้าง เลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เถียงตั้งหม้อต่อไป

                “ว่าแต่วันนี้ทำอะไรให้ผมกินอะคุณแม่บ้าน”

                “สปาเกตตี้นี่แหละคุณฮิม วันนั้นผมไปซื้อแล้วเส้นยังเหลือเลยเอามาทำต่อครับ”

                คุณฮิมพยักหน้าเออออในลำคอ แล้วก็มาเดินวนๆ ดูรอบๆ เขาตอนเขาหั่นหัวหอม ปรุงนู่นนี่ กลิ่นป่าสนแว้บไปมาห่อหุ้มเป็นบรรยากาศรอบตัว เขาว่ากันว่าอัลฟ่ากับโอเมก้าที่กลิ่นเข้ากันได้ดีจะเป็นการจับคู่ที่เหนียวแน่น น้ำค้างเลยอดคิดไม่ได้ว่ากลิ่นเขากับคุณฮิมน่ะ ผสมกันออกมาดีรึเปล่า

                “คุณน้ำค้าง มีเน็ทฟลิกซ์รึเปล่าครับ”

                “อ๋อ มีครับมี เปิดดูได้เลยคุณฮิม รอผมทำน่าจะเบื่อแย่”

                “ไม่เบื่อหรอกคุณ คราวหน้าไว้ผมเลี้ยงกาแฟคืนนะ”

                คุณฮิมนั่งเอนตัวลงบนโซฟา ก่อนจะไล่กดรีโมทไปเรื่อย ยกยิ้มเมื่อเห็นน้ำค้างมีแต่ลิสท์รายการทำอาหารแนะนำขึ้นมา

                น้ำค้างเดินตามไปนั่งข้างๆ คุณฮิมตรงโซฟาบ้าง ด้วยความที่โซฟาไม่ได้ยาวขนาดนั้น พวกเขาเลยนั่งห่างกันไม่เท่าไหร่ และดูเหมือนคุณฮิมจะกระเถิบเข้ามาติดตัวเขาอีกแล้ว น้ำค้างถึงกับนั่งตัวแข็งตรงแหน่วอีกรอบ

                “จีบผมจริงปะเนี่ย”

                คุณฮิมยิ้มหวานให้ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะทดสอบความอดทนน้ำค้างที่กำลังหมดลงเรื่อยๆ เน็ทฟลิกซ์ในจอทีวีเล่นแต่ตัวเทรลเลอร์หนังค้างไว้กลายเป็นเพียงเสียงรบกวน มีเพียงกลิ่นของอัลฟ่าตรงหน้าเขาที่ลอยตลบอยู่ในประสาทสัมผัส

                “ก็จริงน่ะสิคุณฮิม”

                “ไม่เห็นเหมือนจะจีบเลยคุณน้ำค้าง”

                น้ำค้างตอบไม่ถูก เขาอ่านคุณฮิมไม่ออกอีกแล้ว ในรอยยิ้มนั้นน้ำค้างรู้สึกว่าเขากำลังจะตกหลุมให้กับป่าสนลึกลงไปอีกนิดนึงแล้ว

                “คุณน้ำค้างทำหน้าเหมือนอยากจะกินผมอีกแล้ว”

                คุณฮิมขยับเข้าไปใกล้อีก ใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงชั่วลมหายใจที่รินรดใส่หน้ากันและกัน น้ำค้างเห็นรายละเอียดใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน กลิ่นใบไม้ต้นสนและไอเย็นของหมอกลงจัดอยู่ใกล้เพียงใต้จมูกเท่านั้น คุณฮิมจะรู้ไหม ว่าน้ำค้างอยากจะกอดเจ้าตัวกลิ่นนี้เอาไว้ทุกวันตั้งแต่เจอ

                เส้นความอดทนในหัวเหมือนขาดดังผึง สมองของน้ำค้างหลุดไปกับกลิ่นระยะประชิดตรงหน้า มือโอบเอาเอวป่าสนของเขาตรงหน้าเข้ามา ใบหน้าโน้มไปจูบกลีบปากรูปหัวใจนั่นดั่งใจคิด น้ำค้างไม่เคยจูบใครมาก่อน ทุกอย่างทำไปตามสัญชาตญาณในร่างกาย อัลฟ่าตัวโตบดกลีบปากอัลฟ่าในอ้อมกอด มือดันคุณฮิมลงไปนอนราบกับโซฟาเพื่อจะจูบให้ถนัดขึ้นเหมือนร่างกายจะสั่งมาว่ายังไม่พอใจ คุณฮิมกัดปากเขาก่อนจะใช้ฟันดึงกลีบปากล่างออกคล้ายจะหยอกที่น้ำค้างโดนปั่นหัวจนไปไม่เป็นแบบนี้ มือยาวที่เต็มไปด้วยกระดูกของคุณฮิมไล่ไปตามต้นคอเขา

                “ชักอยากจะกัดคุณน้ำค้างบ้างแล้ว” 

                คุณฮิมพูดเป็นเสียงกระซิบชิดริมฝีปากเขา น้ำค้างหาได้สนใจไม่ อัลฟ่าตัวโตแต่ไม่ประสายังคงก้มสูดดมและทิ้งจูบชื้นตามสันกรามอีกคน ไล่ระเรื่อยลงไปที่ตรงลำคอ แอ่งชีพจรล่อตาล่อใจให้ก้มลงไปฝังให้จมเขี้ยว

                คุณฮิมเหมือนจะรู้ถึงได้ยิ้มแล้วดันหน้าน้ำค้างออกก่อนที่จะได้ทำตามดั่งใจคิด

                “กินตรงนั้นไม่ได้นะครับคุณแม่บ้าน”

                อัลฟ่าที่ยอมอยู่ใต้อาณัติมาสักพักผลักให้น้ำค้างลุกออกไป และอัลฟ่าตัวโตอย่างน้ำค้างก็ได้แต่ลูบหน้าตัวเอง เอาศอกเท้ากับเข่าแล้วก็สูดหายใจเรียกสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับที่ แต่รอบตัวน้ำค้างมีแต่กลิ่นคุณฮิมเต็มไปหมด

                น้ำค้างไม่รู้เลยว่าคุณฮิมจะมีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้

                “จูบเก่งนะครับเนี่ย แน่ใจเหรอว่าไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อนผม” คุณฮิมใช้นิ้วโป้งปาดคราบวาวบนริมฝีปากตัวเองแล้วก็ถามยิ้มๆ

                “ผมจะโกหกคุณฮิมทำไมล่ะครับ” น้ำค้างตอบแล้วเดินไปเทน้ำใส่แก้วให้ตัวเอง

                “โกหกว่าเป็นโอเมก้ายังทำมาแล้วเลยคุณ”

                “ผมเสียใจกับเรื่องนั้นเป็นพิเศษเลยล่ะคุณฮิม”

                “เสียใจที่ผมเป็นอัลฟ่าเหรอคุณน้ำค้าง”

                น้ำค้างถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ไอเสียโขลกใหญ่ ก่อนจะหันมาหาคุณฮิมที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

                “ไม่ใช่นะคุณฮิม คือ...”

                “ไม่ต้องซีเรียสหรอกคุณน้ำค้าง ผมก็พูดไปงั้น” คุณฮิมหัวเราะเหมือนไม่คิดมาก แต่คนที่คิดมากก็คือน้ำค้างเลยเต็มๆ

                “คุณฮิม ผมจริงจังนะ ผมไม่ได้เสียดายหรือเสียใจที่คุณฮิมเป็นอัลฟ่าหรืออะไรแบบนั้นเลย ที่ผมโกหกว่าเป็นโอเมก้าเพราะกลัวว่าคุณจะไม่ชอบที่อัลฟ่าด้วยกันอย่างผมเข้าหาตั้งแต่แรกเลยต่างหาก”

                คุณฮิมเหมือนกำลังจะตอบอะไรบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มขำแทน

                “น้ำเดือดจนจะล้นหม้อแล้วครับคุณแม่บ้าน”

                เท่านั้นน้ำค้างก็รีบวิ่งกลับไปที่เตาแก๊สทันที

                “คุณฮิมเอ่อ...เรื่องผมเป็นอัลฟ่า”

                “ไม่ต้องคิดมากแล้วคุณน้ำค้าง ผมพูดไปงั้นจริงๆ จะแหย่คุณเฉยๆ” คุณฮิมส่งยิ้มแบบที่เห็นรอยบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม น้ำค้างอยากจะอธิบายต่อ แต่ก็โดนคุณฮิมเดินเอามือมาแปะๆ ที่แก้มเขาเบาๆ แทน

                “ไหนสปาเกตตี้คุณล่ะ กินผมอิ่มแล้วจะไม่ให้ผมกินอะไรหน่อยเหรอ”

                เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างอยู่ในห้องตัวเองแล้วอยากจะกลั้นหายใจตรงนั้น

 


 

                “มึงปลูกหญ้าในห้องเหรอไอ้น้ำ”

                “ห้ะ?”

                น้ำค้างที่กำลังจะทาน้ำยาประสานอะครีลิคลงกับชิ้นส่วนหลังคาถึงกับเกือบจะทำร่วงลงโมเดล แต่ดีที่ไอ้กิมมือไวจับมือเขาไว้ก่อน น้ำค้างถึงได้พรูลมหายใจทัน อะไรทำให้เขามาเรียนสถาปัตถ์ทั้งที่เด๋อด๋าขนาดนี้กันนะ

                “ห้องมึงเหม็นเขียวมาก กูหลับตาคือเห็นแต่อะไรเขียวๆ แบบหญ้า”

                “กูรู้ว่ามึงจมูกดี แต่ไม่นึกว่าจะดีขนาดนี้”

                “ป่าสน?”

                “อือ เหม็นเขียวก็เหี้ย หอมจะตาย กลิ่นน่าจะติดไปอีกวันนึงเลย” น้ำค้างพูดพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย มือวางส่วนหลังคาลงกับโมเดล

                “หอมกับมึงคนเดียวอะดิไอ้น้ำ แล้วงี้กูจะมาตากแอร์ห้องมึงไงเนี่ย เหม็นชิบหาย”

                “ก็ไม่ต้องมา”

                “คนที่วิ่งเอาแฟลชไดร์ฟไปร้านเลเซอร์อะครีลิคตอนไฟนอลโปรเจคเทอมที่แล้วที่มึงตื่นสายคือใคร ใครน้า ไหนกูหาไม่เจอเลย ใครวะเนี่ย”

                น้ำค้างกอดอก มองไอ้กิมที่เล่นใหญ่มากในการหันไปเปิดเบาะโซฟา มองซ้ายมองขวาว่าใครกันที่ทำให้ ถ้าจะให้พูดตรงๆ คือพวกเขาคบกันอยู่สองคนในคณะ ถ้าไม่ใช่ไอ้กิมก็น่าจะเป็นไอ้โบโบ้ น้องหมาหน้าคณะแล้วล่ะ

                “พอเถอะกิม เสียเวลาทำงาน มึงเอาเวลาเล่นใหญ่ไปหาคู่เถอะ เวลามึงฮีทแล้วแดกยากดทีไรสภาพเหมือนผู้หญิงหงุดหงิดเป็นเมนส์ชิบหาย”

                “กูอยากอยู่คนเดียว รำคาญ ทำไมต้องมีคนมาวอแวตลอดเวลาด้วย” กิมย่นจมูกตอบ “เหม็นว่ะ”

                “อยากไล่มึงออกจากห้อง แต่ลืมไปว่าเรียกมึงมาช่วยต่อโม”

                “รองจากป่าสนของมึงก็ต้องรักกูแล้วล่ะไอ้น้ำ อีกนิดก็เหมือนจะเป็นเมียมึงแล้ว”

                “กิม กูขนลุก”

                กิมยักไหล่ใส่เขา และน้ำค้างก็รู้ว่าเพื่อนปากจัดคนนี้รักสันโดษแค่ไหน คนรอบตัวชอบคิดว่าเขาสองคนเป็นคู่กัน และบางทีกิมก็หาประโยชน์จากน้ำค้างให้เป็นไม้กันหมาอยู่ร่ำไปจนน้ำค้างนึกภาพไม่ออกว่าภาพที่กิมมีอัลฟ่าเป็นของตัวเองเป็นอย่างไร

                “แล้ววันนี้พาเขามาห้องนี่คือ...”

                น้ำค้างทำโมเดลบันไดหล่นจากมือของจริงเพราะกิมตบมือดังป้าบเสียงดังอีกแล้ว

                “ไอ้เหี้ย ตบมือทำไมวะกิม กูตกใจ”

                “ก็ถามว่าได้เคลมยัง”

                “เคลมอะไร กูทำสปาเกตตี้ให้เขากินแค่นั้นอะ”

                กิมทำหน้าเรียบเฉยเป็นเตารีด

                “กูว่ามึงเป็นแม่บ้านให้เขาก็น่าจะเหมาะนะ ไม่ต้องจีบแล้ว ให้เขาจ้างเลย”

                 น้ำค้างถอนหายใจทิ้งอย่างเซ็งๆ ก็คุณฮิมบอกค่อยๆ ก็ค่อยๆ ไง แต่ยังไม่ทันจะได้บ่นอะไรกิมก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

                “ทำให้เขามั่นใจหน่อยว่ามึงจริงจัง อัลฟ่ากับอัลฟ่า ไม่มีอะไรที่แสดงความเป็นเจ้าของได้ถาวรหรอก”

                น้ำค้างเก็บเอาคำพูดของเพื่อนไปคิด

                “มึงมาร์กเขา แต่เขาจะไปมาร์กคนอื่นก็ได้ เพราะสุดท้ายรอยมาร์กที่คอเขาก็หายอยู่ดี คุณฮิมเขาไม่ใช่โอเมก้า ที่รอยมันจะอยู่จับคู่ไปตลอด มึงอย่าลืม”

                แล้วน้ำค้างก็เริ่มเข้าใจ ว่าที่คุณฮิมถามเขาว่าจีบจริงๆ รึเปล่าคืออะไร

                “มึงว่าคุณฮิมเขาจะชอบกูบ้างไหมวะ”

                “เขาไม่ถือเรื่องที่มึงเป็นอัลฟ่าก็ถือว่าโอเคระดับนึง สำหรับกู” กิมกำลังจะวางโมเดลชิ้นต่อไปลงไป แต่ก็ย่นจมูกก่อนจะจามเสียลูกใหญ่ จนน้ำค้างต้องลุกไปหยิบทิชชู่

                “แต่ขอนอกเรื่องหน่อยนะไอ้น้ำ กูไม่ปลื้มกลิ่นเขามากๆ”

                “แล้วกูควรทำไง กูไม่ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นให้มึงหรอกนะ กูรักกลิ่นเขา”

                “อยากออกค่าโรงแรมให้ว่ะ ไปป้าบกันที่อื่นได้ไหม”

                “กูบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น!”

                “แล้วมึงเป็นเหี้ยไรต้องเสียงดังตลอดเวลากูพูดเรื่องแบบนี้เนี่ย” 

                น้ำค้างกำลังจะด่ากลับแต่เสียงแจ้งเตือนไลน์ขึ้นเป็นรูปอีโมจิทำเอาเขาพุ่งตัวไปที่มือถือทันที ล่าสุดน้ำค้างก็แค่คุยเรื่อยเปื่อยกับอีกคน ตอนนี้มันก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว เลยพิมพ์บ่นหิวไปตามประสาคนทำงานดึกๆ แล้วปากว่าง

                hymn: หิวเหรอคุณน้ำค้าง กินผมเมื่อบ่ายไม่อิ่มเหรอ

                น้ำค้างถึงกับเอามือปัดไปโดนส่วนหลังคาที่น้ำยาประสานยังไม่แห้ง และแน่นอนว่า เบี้ยวไปตามระเบียบ

                “ไอ้เหี้ยน้ำ มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย”

                เสียงกิมโวยวายไม่ได้เข้าหูน้ำค้างเท่าไหร่เพราะคุณฮิมส่งรูปตัวเองยิ้มหวานมาให้ น้ำค้างอยากจะพลีชีพลงตรงนั้น สัมผัสของริมฝีปากอีกคนเมื่อบ่ายกับกลิ่นป่าสนในห้องตอนนี้ทำเอาสติเขาแทบจะเตลิด

                น้ำค้างควรจะทำยังไงกับห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ดี

 

 

tbc.




คุณเชื่อในเรือไหนกันคะ? 55555555555

ขอบคุณสำหรับฟีทแบคมากๆ เลยนะคะ มีความหมายสำหรับเรามากๆ เลยค่ะ

สำหรับใครที่อยากดูอัพเดทนิยาย หรือพูดคุยกับเรา เราสมัครทวิตไว้นะคะ @hopeniverse_ มาฟอลกันได้ค่า

แล้วก็ฝากเพลงไว้ให้ฟังกันอีกเพลงค่ะ hymn for the weekend  - coldplay



feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you

 


 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.3 (1/7/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 02-07-2018 11:44:54
เดินเรือน้ำฮิมเต็มกำลังงงงงงง
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.3 (1/7/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-07-2018 16:51:36
น้ำค้างหลงฮิมมากเลยนะ 555555
ตอนนี้ยังเลือกไม่ได้เลยว่าจะลงเรืองน้ำฮิม หรือฮิมน้ำดี  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁CH.4 (2/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 02-07-2018 23:57:49
chapter four



                กิมบอกเลยว่าชาตินี้เดินผ่านคณะบัญชีแทบนับครั้งได้ เพราะคณะสถาปัตถ์กับบัญชีเหมือนอยู่คนละโลกกันเลยก็ว่าได้ แต่ที่ต้องถ่อมาคณะบัญชีตอนเช้าตรู่แปดโมงก็เพราะเมื่อคืนไอ้น้ำค้างมันเอาแต่เมากลิ่นเขียวในห้อง สรุปคือถ่างตาทำงานยันใกล้สว่าง (เขาหนีเข้านอนก่อน เพราะไม่ใช่งานตัวเอง)

                ตื่นมาก็เห็นโน้ตแปะอยู่ตรงมือถือตัวเองว่าฝากซื้อกาแฟเข้าไปให้คุณฮิมของมันที่คณะบัญชีหน่อย

                กิมหน้าตึง ช่วยมันทำงานแล้วยังต้องเอาน้ำเอาท่าหอบไปให้ยอดอัลฟ่าว่าที่คู่ของมันถึงคณะอีก แต่ก็รู้ว่าถ้าไม่ทำตามที่ขอน่าจะเจอเสียงบ่นงึมงำต่ำๆ ไปสักพัก ไอ้น้ำมันเจ้าแค้นจะตายห่า เลยต้องแหกตาแวะเซเว่นเข้าไปหยิบกาแฟกระป๋องมากับเอมร้อยอีกสองขวดแล้วมายืนอยู่หน้าคณะบัญชีนี่แหละ

                คิดเหรอว่าคนอย่างกิมจะซื้อกาแฟดีๆ ให้ ฝันเอา กากๆ อย่างมึงนะไอ้น้ำ ให้กาแฟกระป๋องกับเอมร้อยเขาไปเถอะ

                พยายามมองหาคนหน้าคณะสถาปัตถ์แต่ตอนนี้มีแต่คนเสียบหูฟังหลีกเลี่ยงกิมทั้งนั้น บางคนก็มองแปลกๆ เพราะไม่เคยเห็นหน้ากิมอยู่แถวนี้ ก็แหงสิ แค่ทำโปรเจคก็ตาแหกอยู่แล้ว ทำไมต้องหาเวลามาเดินแถวหน้าคณะคนอื่นด้วย อีกส่วนน่าจะเป็นเพราะสีผมบลอนด์สว่างขั้นสุดที่เพิ่งไปกัดมาสัปดาห์ก่อน และกิมเป็นคนที่ขาวอยู่แล้ว เลยดูขาวจัดเข้าไปใหญ่ ดีนะที่ฉีดสเปรย์ดับกลิ่น ยังเข็ดไม่หายตอนที่เข้ามหาลัยใหม่ๆ แล้วโดนอัลฟ่าที่ไหนไม่รู้จะพุ่งมากัดเพราะกลิ่นของกิมดันถูกใจอีกฝ่าย

                น้ำค้างก็เคยได้กลิ่นตัวกิม เพื่อนสนิทอัลฟ่าตัวโย่งยังออกปากบอกว่าหอม และวิจารณ์ว่ากลิ่นเหมือนอัญชันกับอะไรหวานๆ ซึ่งกิมไม่ได้ใส่ใจ เพราะคร้านจะนั่งนิยาม แล้วก็ไม่ได้อยากจะให้ใครมาดม

                ตาเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งมานั่งใหม่ตรงใต้คณะ อีกฝ่ายไม่เสียบหูฟัง ไม่ได้ดูยุ่ง แค่เหมือนจะตั้งท่านั่งรอใคร เท่านั้นกิมก็พุ่งตัวไป หวังว่าอีกฝ่ายจะรู้จักคุณฮิมซะบ้าง เพราะไม่งั้นกิมจะฝากป้ายามแล้วนะ

                “ขอโทษนะครับ คุณคณะบัญชีรึเปล่า?” กิมรีบสะกิดรีบถามไหล่กว้างๆ ของคนที่นั่งอยู่ ท่าทางจะเป็นอัลฟ่าที่ไม่มีพิษภัย เพราะกิมไม่ได้กลิ่นอีกฝ่าย แถมหน้าตาก็ดูสุภาพดี

                “ใช่ครับ”

                “รู้จักคนชื่อฮิมไหมครับ ปีสาม คณะบัญชี พอดีเพื่อนผมจะฝากของให้เขาหน่อย”

                กิมชูถุงกาแฟ ความจริงแอบยัดโน้ตที่น้ำค้างแปะไว้บนโทรศัพท์ตัวเองเข้าไปในถุงแล้วด้วย ให้มันรู้ซะบ้างว่าใช้งานเพื่อน ทำให้เพื่อนลำบากลำบน

                “อ๋อ ฮิม มีอยู่สองฮิม ของคุณฮิมไหนอะครับ”

                ฮิมไหนไฟแร่งเฟร่อ กิมอยากจะตอบแบบนั้นแต่น่าจะโดนตั๊นหน้ากลับมา กูจะรู้ไหมล่ะว่าฮิมไหน เพราะรู้จักอยู่ฮิมเดียว ต้องอธิบายยังไงดี

                “ฮิม เอ่อ ที่เป็นอัลฟ่า กลิ่นเขียวๆ หน่อย?”

                น้ำค้างน่าจะด่าที่เขาทำแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ไม่ตื่นมาเรียนคาบเช้าเอง

                “อ๋อ งั้นก็ฮิมเพื่อนผมแล้วล่ะ”

                คนตรงหน้าเขาหัวเราะร่วนตอนที่กิมบอกแบบนั้นไป กิมยักไหล่แล้วส่งถุงกาแฟให้

                “ดีเลยครับ ฝากไปให้เพื่อนคุณหน่อย เพื่อนผมชื่อน้ำค้างฝากมาให้” กิมรีบยื่นถุงให้ ก่อนที่จะออกปากขอบคุณพอเป็นพิธี

                “โอเคครับ ได้เลย” อัลฟ่าหนุ่มเพื่อนคุณฮิมยิ้ม แล้วก็ชวนเขาคุยต่อ “ว่าแต่คุณเป็นโอเมก้าเหรอครับ?”

                “ใช่ครับ” กิมตอบตัดบท สัญชาตญาณระแวงเริ่มตะหงิดๆ ไม่ชอบเข้าใกล้อัลฟ่าก็เพราะแบบนี้ ขนาดฉีดสเปรย์ดับกลิ่นแล้วก็ยังจะจุ้นจ้านหูตาไว

                “ผมไม่ได้กลิ่นคุณเลย ใช้สเปรย์ยี่ห้ออะไรเนี่ย ผมซื้อมาใช้แล้วมันกลบกลิ่นตัวเองไม่หมดเลย”

                กิมกะพริบตาปริบๆ

                ใบหน้านิ่งแต่ในใจประมวลผลประโยคของอัลฟ่าตรงหน้าสักพัก ชีวิตนี้เพิ่งจะเคยเจออัลฟ่าให้สเปรย์ดับกลิ่น ขนาดน้ำค้างผู้รักสงบเจ้าตัวยังไม่ใช้เลย เหมือนไอ้เพื่อนเด๋อด๋านั่นบอกว่าฝืนธรรมชาติ ขี้เกียจ เปลืองเงิน อะไรก็ไม่รู้ กิมขี้เกียจจะฟัง

                “ยี่ห้อนี้ครับ” กิมล้วงจากในกระเป๋าสะพายตัวเองให้ดู เขาพกเผื่อฉุกเฉินไว้ฉีดระหว่างวัน แต่สเปรย์อันนี้เขาสั่งพรีออเดอร์มาจากที่อื่น ไม่ได้ซื้อตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป “แต่อันนี้ผมสั่งพรีออเดอร์ทางเน็ตเอานะ”

                “เห้ย ผมขอร้านบ้าง” อัลฟ่าไหล่กว้างตรงหน้าดูตื่นเต้นมาก กิมถึงกับประหลาดใจรอบที่สอง หรือจะเป็นคนแบบเดียวกับเขา

                “แป๊บนะ” กิมว่าแล้วก็กดโทรศัพท์หาร้านประจำยิกๆ พลางพูดไปด้วย “ไม่เคยเจออัลฟ่าที่ไหนใช้สเปรย์ดับกลิ่นเลย ขนาดเพื่อนผมยังไม่ใช้”

                “กลิ่นผมค่อนข้างจะเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันน่ะครับ” อัลฟ่าจอมประหลาดในสายตากิมยิ้มเจื่อนๆ เหมือนจะเห็นภาพน้ำค้างขึ้นมาตะหงิดๆ แต่พอมองอีกทีแล้วคนตรงหน้าดูดีกว่าน้ำค้างอีกขุมหนึ่ง

                “อันนี้ๆ” กิมยื่นหน้าจอให้ “แต่ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นได้กลิ่นคุณนะ”

                “ช่วงบ่ายเนี่ยตัวดีเลย สเปรย์ผมมันไม่ทนเลยอะ” อีกฝ่ายควักโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชหาบ้างทันที “ว่าแต่คุณโอเมก้าชื่ออะไรครับ เผื่อเจออีกจะได้ทักถูก”

                “กิม”

                ตอนแรกว่าจะตัดบท แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผูกมิตรต่อ

                “แล้วคุณล่ะ?”

                “ทรายครับ”

                กิมจดจำไว้ ทรายคณะบัญชีปีสาม เพื่อนคุณฮิม แต่ดูท่าเจ้าตัวจะหาไม่ยาก ตัวสูงไหล่กว้างแบบนี้ก็เด่นน่าดู

                “โอเค ไว้เจอจะทักแล้วกันคุณทราย” กิมว่าก่อนจะขอตัว

                “เช่นกันครับคุณกิม”

                กิมพยักหน้าให้ทีนึงแล้วก็เดินออกมา มือฉวยมือถือมาพิมพ์แชทหาไอ้เพื่อนที่ตัวโย่งที่ยังคงนอนอยู่ว่าทำภารกิจให้สำเร็จแล้ว






                น้ำค้างตื่นมาพร้อมกับแจ้งเตือนไลน์จากคนสองคน หนึ่งคือไอ้กิม และสองคือคุณฮิม

                ก็คงไม่ต้องบอกว่าจะกดตอบใครก่อน

                แอบขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคุณป่าสนส่งรูปภาพมา น้ำค้างกดเข้าไปแล้วก็แทบจะตื่นเต็มตา

                hymn: ซื้อมาขนาดนี้กะให้ผมไม่ได้นอนเลยใช่ไหมครับคุณแม่บ้าน ว่าแต่คุณเรียกผมว่าป่าสนของกูแบบนี้กับเพื่อนเหรอ? 55555 ปล. ลายมือสวยนะ

                รูปเอมร้อยสองขวดกับกาแฟกระป๋องทำเอาน้ำค้างลมแทบจับ แถมไอ้โน้ตที่เป็นลายมือเขาที่ฝากฝังไอ้กิมเพื่อนรักไว้ก่อนลงนอนอีกว่า

                อย่าลืมซื้อกาแฟไปให้ป่าสนของกูตอนเช้าหน้าคณะบัญชีทีนะเพื่อน

            ไอ้กิม ไอ้...มีคำไหนหยาบกว่าเหี้ยอีกไหม ยกให้ไอ้กิมหมดเลย แม่งเอ๊ย น้ำค้างเอามือดึงผมตัวเอง เคยมีอะไรที่ไอ้กิมมันเต็มใจทำให้แล้วครบคำสั่งบ้าง โอ๊ย น้ำค้างล่ะอยากจะเอาเท้ายีหน้าโอเมก้าเพื่อนรัก แต่ด้วยความเป็นคนมีอารยธรรมค้ำคอ เลยได้แต่ส่งคำด่าไปให้เพื่อนทางไลน์สั้นๆ

                น้ำค้าง: ไอ้กิม ค*ยเถอะ

                ปกติไม่ใช่คนหยาบคาย แต่รอบนี้อาการแพนิคพุ่งสูงจัดติดเพดานจนต้องรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาอาบน้ำเพื่อแจ้นไปมหาลัย น้ำค้างมองนาฬิกา ก็เกือบบ่ายแล้ว เขาโดดเซคเช้า แต่เซคบ่ายนี่คือต้องแบกงานไปส่ง แต่พอกำลังจะเข้าห้องน้ำก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ตอบไลน์คุณฮิมเลย เลยต้องพุ่งตัวจากตู้เสื้อผ้ากลับมาที่โซฟาอีกรอบ

                น้ำค้าง: คุณฮิม เพื่อนมันแกล้งผม เดี๋ยวผมเลี้ยงกาแฟโอกาสอื่นนะครับ (อีโมจิร้องไห้)

            hymn: 555555 ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คุณน้ำค้างเรียนที่ตึกคณะห้องไหนเหรอ ผมซื้อขนมจากสตาร์บัคมาเผื่อ

            น้ำค้าง: เอ้ย ไม่เห็นต้องซื้อให้เลยคุณฮิม

            hymn: ไม่อยากเจอกันเหรอ จะไปหาถึงหน้าเซคเลยนะเนี่ย :-(

            น้ำค้าง: คุณฮิม ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แต่ผมเกรงใจเรื่องขนมต่างหาก

            hymn: คุณแม่บ้านญี่ปุ่นของผมเนี่ยคิดมากจัง บอกห้องมาเร็ว

                น้ำค้างเป็นคนตาตี่โดยกำเนิด แต่ตอนนี้เขากำลังทำตาโตมากที่สุดในชีวิตกับคำที่คุณฮิมส่งมาให้ ใครมันจะเขินให้คนที่เรียกตัวเองว่าคุณแม่บ้านกัน

                น้ำค้างเองนี่แหละ ให้ตายเถอะ ถึงกับต้องเอามือปิดหน้า เหมือนจะแซวที่เขาเผลอแสดงความเป็นเจ้าของป่าสนนั่นโดยพลการเลย สุดท้ายก็พิมพ์บอกหมายเลขห้องให้ไปอยู่ดี คุณฮิมจะได้เลิกทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองสักที






                น้ำค้างเดินเข้ามานั่งในเซคข้างๆ ไอ้กิม หันไปทำมือจะผลักหัวเพื่อนด้วยความหัวปั่นแต่ก็โดนไอ้กิมยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ

                “อยากไม่ตื่นมาเอง แล้วก็ค่ากาแฟอะ จ่ายด้วย”

                น้ำค้างรำคาญไอ้หน้านิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านของมันมาก เหมือนจะไม่ใส่ใจใครบนโลกนี้เลย แต่กิมก็ไม่ได้เลวร้ายถ้าทำความเข้าใจตัวตนของเจ้าตัวดีๆ กิมมีพื้นที่สันโดษของตัวเอง ต้อนรับคนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เสมอไปสำหรับทุกคน ไอ้กิมไม่ชอบอะไรวุ่นวาย ดังนั้นการที่เพื่อนยอมถ่อไปถึงคณะบัญชีให้เขาแต่เช้าก็ถือว่าเกินลิมิตเจ้าตัวแล้ว

                แต่ไอ้ที่ทำแสบไว้น้ำค้างขอไม่นับ จะพยายามเมินๆ ไปแล้วกัน

                “เขาเรียกงานมึงไปตรวจยัง?” น้ำค้างถามก่อนจะเอาหยิบเอาไมโลที่แวะซื้อก่อนออกมาถึงห้องเจาะดูด

                “ยัง น่าจะท้ายๆ เขารันตามรหัส”

                พอเพื่อนว่าแบบนั้นน้ำค้างก็ทำใจได้เลยว่าตัวเองก็อยู่คิวท้ายๆ แน่นอน นั่งดูดไมโลรอเซ็งๆ แล้วจมูกเจ้ากรรมก็ดันทำหน้าที่ดี กลิ่นเปลือกไม้กับไอเย็นจางๆ ลอยมาเตะพอเป็นกระสัย อัลฟ่าตัวโตลุกขึ้นนั่งตัวตรงมองซ้ายมองขวาก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าป่าสนของเขาน่าจะอยู่แถวๆ หน้าห้อง

                “กิม เดี๋ยวกูมา ถ้าเขาเรียกฝากโทรตามที”

                “เค”

                กิมตอบรับแล้วก็นั่งกดโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้น้ำค้างทะเล่อทะล่าออกจากห้องไป

                อัลฟ่าหนุ่มตัวสูงชะลูดเปิดประตูออกมาก็มองซ้ายมองขวา จมูกรับกลิ่นอื่นได้นอกจากป่าสน เป็นกลิ่นผลไม้แนวๆ หน้าร้อน ออกโทนเปรี้ยวซีตรัสเสียจนน้ำค้างถึงกับขมวดคิ้ว คุณฮิมไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกหรือไง?

                น้ำค้างเดินตามกลิ่นเหมือนในตอนครั้งแรก เจอคุณฮิมอยู่แถวๆ หน้าห้องน้ำดังคาด หากเพียงแต่ป่าสนของเขาไม่ได้อยู่คนเดียว กลิ่นเปลือกไม้กลิ่นดินปนกับกลิ่นผลไม้หน้าร้อนจนน่าปวดหัว ดูเหมือนกลิ่นคุณฮิมจะโดนกลบเสียหมด และน้ำค้างคาดเดาได้ง่ายว่าคนที่ยืนคุยกับคุณฮิมอยู่นั้น ดูจากรูปร่างและกลิ่นแล้ว โอเมก้าแน่นอน

                ไม่ใช่ว่ากลิ่นผลไม้หน้าร้อนไม่ดี แต่แค่ไม่ใช่สำหรับน้ำค้างก็เท่านั้น

                คุณฮิมมีรอยยิ้มประดับบนหน้าอย่างเคยตามประสาคนเป็นมิตร น้ำค้างไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน แอบนิสัยเสียโดยการลอบมองดูไปที่ตรงแอ่งชีพจรของโอเมก้าคนนั้นเพื่อจะดูว่ามีเจ้าของรึยัง ก่อนความขุ่นมัวในใจจะมลายหายไปเมื่อเห็นรอยมาร์กจมเขี้ยวทิ้งไว้

                นิสัยเสียจริงๆ ด้วยไอ้น้ำ

                น้ำค้างก่นด่าตัวเองในใจ แล้วก็สืบเท้าเข้าไปหาคุณฮิมที่ตอนนี้ยืนอยู่คนเดียวเนื่องจากโอเมก้าคนนั้นเดินออกไปแล้ว กลิ่นผลไม้ซีตรัสที่โอเมก้าดังกล่าวทิ้งไว้ทำเอาน้ำค้างขมวดคิ้วแน่น

                เขาไม่ได้กลิ่นป่าสนของเขา

                และน้ำค้างไม่ชอบใจมากๆ ไม่ชอบใจเลยที่กลิ่นป่าสนที่เขาโปรดปรานโดนกลบด้วยกลิ่นอื่น โดยเฉพาะเมื่อกลิ่นนั้นติดอยู่บนตัวคุณฮิมซ้อนทับกับกลิ่นเดิมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

                “อ้าวคุณน้ำค้าง มาตอนไหนครับ...”

                คุณฮิมพูดไม่ทันจบ น้ำค้างก็จัดการจูงคุณฮิมเข้าไปในห้องน้ำ ยังดีที่ยั้งตัวเองไว้ทันไม่ให้กระชาก คุณฮิมเหมือนจะเดินตามเขามาแบบงงๆ ห้องน้ำว่างเปล่าไร้ผู้คนเนื่องจากอยู่ชั้นบนและเป็นเวลาเรียน ไม่ใช่เวลาพัก น้ำค้างไม่รู้ว่าตัวเองจะนิสัยเสียได้แค่ไหน แต่เขาก็ดันตัวเขากับคุณฮิมเข้าไปในห้องน้ำเบียดกัน ก่อนจะกดล็อกประตูแล้วดันแผ่นหลังคุณฮิมติดประตูเสียงดัง

                “ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ยคุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมถามเขาด้วยใบหน้างุนงง ยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาดันคิ้วที่ขมวดของเขาให้ออกจากกัน แต่น้ำค้างดูจะสงบจิตสงบใจไม่ได้เลย พอได้อยู่ในที่แคบก็ยิ่งได้แต่กลิ่นของคนอื่น สมองของอัลฟ่าตัวใหญ่กว่าที่ดันตัวคุณฮิมเข้ามาได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่ชอบที่คุณฮิมมีกลิ่นโอเมก้าคนอื่นอยู่บนตัว

                “ไม่ชอบใจเลยคุณฮิม”

                น้ำค้างพูดเสียงเบาในคอแล้วก็ผ่อนลมหายใจออก เอาหน้าลงแนบไปกับไหล่ของคุณฮิม มือจับแขนของอัลฟ่าตัวผอมแน่น คุณฮิมดูเหมือนจะงงมากกว่าเดิมที่เขาพูดแบบนั้น

                “ไม่ชอบอะไรคุณน้ำค้าง เป็นอะไรครับ”

                คุณฮิมเอามือมาวางบนท้ายทอยเขา น้ำเสียงสงบก้องกังวานอยู่ในที่แคบแห่งนี้ คุณฮิมเหมือนต้นสนที่มั่นคงดั่งกลิ่นของเจ้าตัว ไม่แสดงอาการ ไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริง ในหลืบของป่าสน ท่ามกลางดงของไม้สูงตระหง่านและม่านหมอก คุณฮิมฝังหัวใจไว้ในส่วนหนึ่งของผืนป่า ใต้ใบไม้แห้ง ลึกลงไปในดินชื้นที่รากห่อหุ้ม และน้ำค้างอยู่กลางป่าสน หวังว่าเขาจะได้เจอสักครั้ง

                “กลิ่นคนอื่น...บนตัวคุณฮิม”

                น้ำค้างบอกเสียงเบา คิ้วขมวดแน่นไม่ยอมปล่อย คุณฮิมดูเหมือนจะเพิ่งเข้าใจ ถึงได้ยกข้อมือตัวเองขึ้นมาอังใต้จมูกแล้วก็พึมพำกับตัวเอง

                “อ่า กลิ่นโอเมก้าเมื่อกี้...”

                “มันกลบกลิ่นคุณหมดเลย” น้ำค้างสารภาพจนได้ “ผมไม่ได้กลิ่นคุณเลย”

                คุณฮิมมองเขาด้วยสายตาที่น้ำค้างอ่านไม่ออกอีกครั้ง

                “ไม่ชอบ...ไม่ชอบเลยคุณฮิม”

                น้ำค้างพูดพึมพำเสียงขุ่น ริมฝีปากเริ่มอยู่ไม่สุข อัลฟ่าตัวสูงทำตามที่สมองสั่งการอีกครั้ง น้ำค้างรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของคุณฮิม แต่ก็หวง รู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดี แต่ก็อยากจะทำอะไรก็ได้ที่แสดงความเป็นเจ้าของบ้าง

                ริมฝีปากของน้ำค้างทาบลงไปกับริมฝีปากอัลฟ่ากลิ่นป่าสนที่ตอนนี้โดนกลบไปด้วยกลิ่นอื่นอย่างไม่พอใจ คุณฮิมดูจะรับมือกับน้ำค้างที่หัวเสียได้อย่างดี ถึงได้เอียงหน้ารับจูบอย่างไม่ขัดขืน น้ำค้างดันตัวเองเบียดกับอีกคนกับประตูแน่น คุณฮิมโอบคอเขา ไม่วายข่วนท้ายทอยเขาเหมือนจะเย้าแหย่ ยิ่งทำให้น้ำค้างเตลิดเข้าไปใหญ่ ถึงได้กัดปากคนขี้แกล้งจนได้รสเหล็กติดลิ้นมา

                คุณฮิมเหมือนจะรู้ว่าเสียเปรียบ ถึงได้กัดปากเขาคืนบ้าง แล้วยังริอาจสอดลิ้นเข้ามาหาน้ำค้างก่อนด้วยความที่เที่ยวบินเยอะกว่า มือลงมือข่วนท้ายทอยอัลฟ่าผิวแทนเสียจนน้ำค้างต้องขมวดคิ้วเพราะรู้ว่าน่าจะได้แผล แต่ก็ไม่ได้นึกเคืองโกรธ ดีซะอีกที่คุณฮิมทำรอยทิ้งไว้บนตัวเขา

                ความจริงน้ำค้างอยากจะจูบอีกคนทั้งตัว ตามหากลิ่นป่าสนกลิ่นโปรดกลิ่นเดิมของเขาที่ทำให้ใจสงบและเตลิดในเวลาเดียวกัน ผละจากริมฝีปากถึงได้เที่ยวจูบไปตามใต้กกหูระเรื่อยไปทั่วคอและลาดไหล่ ก่อนจะฝังหน้าลงไปตรงแอ่งชีพจรและสูดกลิ่น

                ...กลิ่นหน้าร้อนออกโทนเปรี้ยวเริ่มจางลง หมอกลงปกคลุมแทนที่ ใบสนเริ่มผลิออก น้ำค้างกำลังได้ป่าสนของเขาคืนมาทีละน้อย

                คุณฮิมไม่ได้ผลักเขาออกเหมือนคราวอื่นๆ น้ำค้างถึงได้ซุกหน้าอยู่แบบนั้นเหมือนคนเอาแต่ใจ เมื่อพอใจถึงได้จูบเบาๆ ทิ้งท้ายก่อนผละออกมา

                “ดีขึ้นไหมครับ?” คุณฮิมยิ้มเหมือนจะปลอบโยน น้ำค้างลูบหน้าตัวเอง เขายังคงค้างคาใจ อยากจะทำอะไรบางอย่าง

                “คุณฮิม โกรธผมรึเปล่า ผมนิสัยไม่ดีเลย”

                น้ำค้างทำเสียงเหมือนคนทำผิด แต่ก็ไม่ได้ปล่อยตัวคุณฮิมจากที่กำลังกักไว้ สัญชาตญาณสั่งการมายิกๆ ให้ลงมือทำอะไรสักอย่าง

                “ไม่นะคุณน้ำค้าง ผมตกใจมากกว่าที่คุณหัวเสียขนาดนี้” คุณฮิมหัวเราะเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วก็เอานิ้วเกลี่ยผมที่ปรกตาเขาออก “หวงขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณน้ำค้าง”

                “ถ้าจะตอบว่าไม่ขนาดนั้นก็ไม่ทันแล้วล่ะครับ” น้ำค้างหลบตาแล้วก็ยิ้มเจื่อน ปากหนักตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

                “ทำไมงอแงล่ะคุณแม่บ้านของผม” คุณฮิมว่าแล้วก็เงยมาจูบคางเขาเบาๆ “คนได้จูบก็มีแต่คุณทั้งนั้น”

                 “ทำไมคุณฮิมขยันทำให้ผมหัวหมุนขนาดนี้”

                น้ำค้างบ่นกับตัวเองจนแทบจะกลืนไปกับเสียงหายใจ เขาหวงคุณฮิมมากจนตัวเองก็ยังตกใจ เหมือนคนที่หวงอาหารจานโปรดจากเชฟคนเดิมแล้วมีคนมาปรุงให้รสมันเปลี่ยนไป คุณฮิมจะรู้รึเปล่าว่าเขาถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

                “ตอนนี้กลิ่นคุณก็น่าจะเต็มตัวผมแล้วล่ะ” คุณฮิมทำจมูกฟุดฟิดแล้วก็ยิ้ม “ผมเหมือนผ้าห่มเพิ่งซักออกจากเครื่องเลย”

                น้ำค้างรู้ว่ามันไม่พอ ถ้าเขาไม่ได้ทำรอยแสดงความเป็นเจ้าของบนตัวคุณฮิมสักที่วันนี้ น้ำค้างน่าจะไม่ยอมปล่อยตัวอีกฝ่ายไป

                “คุณฮิม... คือ”

                น้ำค้างเปล่งเสียงถามเหมือนไม่แน่ใจ

                “ครับ?”

                คุณฮิมเลิกคิ้วกลับมาให้ ทำเอาเขาต้องกลืนน้ำลายนิดนึง

                “ผมขอกัดได้ไหม?”

                คุณฮิมเอียงคอเลิกคิ้วตกใจหน่อยๆ แต่น้ำค้างรีบจับข้อมือที่เล็กกว่าเขาแน่นก่อนจะยกขึ้นมาระดับสายตา

                “ผมหมายถึงตรงนี้” น้ำค้างใช้มืออีกข้างที่ว่างชี้ไปที่จุดชีพจรตรงข้อมือซึ่งขึ้นรอยเส้นเลือดไว้ เงยสบตาป่าสนของเขาที่ดูลังเลเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา “ได้ไหมครับ?”

                คุณฮิมไม่ได้ชักมือกลับแต่ก็ไม่ได้ตกลงในทันที เป็นครั้งแรกที่อัลฟ่าตรงหน้าเขาตัดสินใจนาน ถึงจะไม่มีการสร้างพันธะจับคู่ในการกัดครั้งนี้ และเดี๋ยวรอยก็จะจางไปเอง แต่คุณฮิมดูจะคิดหลายๆ อย่างที่น้ำค้างยังเข้าไม่ถึง

                “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเอง...ก็เห็นแก่ตัวที่อยากแสดงความเป็นเจ้าของ”

                น้ำค้างรีบพูดด้วยกลัวอีกคนไม่สบายใจก่อนจะปล่อยข้อมือคุณฮิม แต่เป็นคุณฮิมที่จับข้อมือเขาขึ้นมาแทน ประกายตาในดวงตาของป่าสนของเขาเป็นแววที่น้ำค้างไม่เคยเห็น แต่ก็ยังคงมีม่านหมอกบังกั้นไว้ คุณฮิมยกข้อมือเขาขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากตัวเองตรงตำแหน่งชีพจร ก่อนจะเผยอปากกัดเองจนขึ้นรอยฟันลึก

                “เดี๋ยว.. คุณฮิม...”

                “ตาคุณแล้ว”

                คุณฮิมยื่นข้อมือตัวเองมาจ่อปากน้ำค้าง มือข้างที่ว่างปาดปากตัวเอง น้ำค้างเหมือนจะยังไม่แน่ใจจนคุณฮิมต้องยิ้มให้

                “ไม่กัดเหรอคุณน้ำค้าง?” คุณฮิมเลิกคิ้วยิ้ม “ตอนนี้ผมเป็นของคุณนะ จะไม่จองไว้หน่อยเหรอ?”

                น้ำค้างแทบจะไม่ต้องรอคุณฮิมพูดต่อ มือจับข้อมือผอมของอัลฟ่าตรงหน้าก่อนจะอ้าปากกัดตรงจุดชีพจรที่ข้อมือ แทบจะสัมผัสถึงจังหวะชีพจรของเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ อยู่ได้ น้ำค้างฝังฟันลงไปแรงจนรู้สึกได้ว่าคุณฮิมเกร็งมือ เขาถึงได้ผละออกมาแบบตกใจ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบรอยฟันที่ตัวเองทิ้งไว้

                “คุณฮิม ผมขอโทษ เจ็บไหมครับ?”

                “คุณน้ำค้างนี่เวลาโดนปั่นหัวทีนี่ก็สมกับเป็นอัลฟ่าขึ้นมาเลยนะ”

                คุณฮิมหันหน้าหนีเขาแล้วก็พูดขำๆ ใบหูขึ้นสีแดงเหมือนจะเขินรึเปล่าน้ำค้างก็ดูไม่ออก เพราะไฟในห้องน้ำสลัวเหลือเกิน

                “...เป็นเฉพาะกับคุณฮิมนี่แหละครับ”

                 น้ำค้างตอบไปตามจริง ถึงได้มั่นใจว่าใบหูที่ขึ้นสีแดงของคุณฮิมไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดไปเอง เพราะอีกฝ่ายหลบตาหันหน้าหนีเขา ถึงจะยังมีรอยยิ้มแก้เขินประดับหน้าก็ตาม

                “ชักไม่อยากให้ขนมแล้ว คุณกินผมอิ่มแล้วนี่”

                น้ำค้างเอามือจับท้ายทอยแก้เก้อ ก่อนจะสะดุ้งเพราะจับไปโดนแผลที่คุณฮิมข่วนเอาไว้ซิบๆ มองหน้าคนมือซนที่ทำร้ายเขาแล้วก็ต้องหลบตา เพราะคุณฮิมยกมุมปากให้ข้างนึงเหมือนจะบอกว่าเจ๊ากัน

                “ทิ้งรอยไว้ให้คิดถึงครับคุณน้ำค้าง”

                น้ำค้างชักไม่อยากจะออกจากห้องน้ำแล้ว แต่โทรศัพท์ที่สั่นในกระเป๋ากางเกงทำให้เขาต้องรีบแจ้นกลับออกไปส่งงานจนได้






                “ปากแตก กลิ่นเหม็นเขียว”

                ไอ้กิมไล่มองเขาหัวจรดเท้าเหมือนจะประเมินสภาพ

                “ถ้าตอบกูว่าไปต่อยกันมากูจะเลิกคบ”

                “ไม่ได้ป้าบ จูบเฉยๆ” น้ำค้างตอบสั้นๆ เสียงเบา พอใจกับกลิ่นบนตัวเองและรอยแผลที่ได้มา ท่าทางเขาจะเริ่มโรคจิตขึ้นทุกวัน แต่พอนึกถึงคุณฮิมทีไรก็ปัดตกทุกสามัญสำนึกในหัวทุกที

                “จูบหรือกัดกัน” ไอ้กิมมองจากหางตา “อย่านึกว่ากูไม่เห็นแผลตรงท้ายทอยกับข้อมือ”

                “ยังไม่ได้กัดเขาที่คอ” น้ำค้างเถียงกลับ พูดเองก็เสียดายเอง แต่ก็รู้ว่าคุณฮิมคงไม่ให้อะไรเขาง่ายๆ ขนาดนั้น

                “ลีลา กัดกันขนาดนี้ก็รีบๆ ป้าบกันสักที”

                “เสือก”

                “ด่ากูได้เหรอไอ้หนุ่มนักรัก ใครเป็นคนช่วยเอากาแฟไปให้ที่คณะบัญชีเมื่อเช้ากันน้า ใครน้า แม่ง หาไม่เจอเลยว่ะ”

                น้ำค้างกลอกตาใส่ไอ้กิมทีใช้มุกเดิมเล่นรีรัน เขาทำเป็นเมินแต่ก็ต้องโวยวายเสียงดังอีกครั้งตอนเพื่อนพูดขึ้นมาสะกิดอีกรอบ

                “มาขอค่าโรงแรมได้นะ เต็มใจจ่ายให้เพื่อน”

                “ไอ้สัดกิม! ก็บอกว่ายังไม่ได้ทำ!”

                ไอ้น้ำก็ยังคงเป็นไอ้น้ำที่เด๋อด๋าอยู่วันยังค่ำ อาจารย์เรียกชื่อจริงเขาออกไมโครโฟนเรียบร้อย และไอ้กิมก็ยังหน้านิ่งตามเคย









tbc.



มาทวงตำแหน่งอัลฟ่าคืนให้คุณน้ำค้างค่ะ เห็นแจวฮิมน้ำกันสนุกสนาน

ขอบคุณสำหรับฟีทแบคมากๆ เลยนะคะ ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเพิ่มเยอะขนาดนี้ ใครที่แนะนำต่อให้ก็ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ



feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.4 (2/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 04-07-2018 10:53:00
หนูน้ำาาาาาาส อยากจะกัดแต่คอคุณฮิมนี่แหละ
ทำไมถึงไม่ให้กัดอ่ะ กัดไปรอยเดี๋ยวก็หายอยู่ดี
โอเมก้าที่อยู่กับคุณฮิมนี่ใครอะ เราเข้าใจว่าทราย แต่ทรายเป็นอัลฟ่านี่ ใช่มะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.4 (2/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-07-2018 13:11:41
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.4 (2/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: karayme68 ที่ 04-07-2018 22:32:28
มาให้กำลังใจ จุ๊บุ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.4 (2/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 04-07-2018 23:40:41
ชอบมากๆเลยค่ะ ทั้งคุณแม่บ้าน ทั้งคุณป่าสน สำนวนคุณอ่านเพลินดีจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re:✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.5 (6/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 06-07-2018 15:26:44
chapter five

                กิมไม่เคยสนใจที่ไอ้น้ำบ่นว่าพยากรณ์อากาศมันห่วยแตก ตากผ้าไม่เคยจะแห้ง ด้วยความที่กิมติดจะอยู่คนเดียวเป็นนิจ เลยพึ่งพยากรณ์อากาศเอา แล้วก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไรมากมาย

                จนกระทั่งวันนี้

                วันที่กิมอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะที่ร้านสะดวกซื้อจะนำเข้าขนมที่เขาอยากกินมานานและต้องเอาแต่พรีออเดอร์อยู่ตลอดเวลา ไม่ก็ฝากเพื่อนหิ้วเอา วันนี้มันอยู่ใกล้แค่ร้านสะดวกซื้อซึ่งไม่ไกลจากคณะเท่านั้น กิมเพียงแค่ต้องหยิบกระเป๋าเงินและเดินไปซื้อระหว่างช่วงพักก็เท่านั้น

                ก็คงจะเป็นแค่นั้นถ้าหากว่ากิมเดินมากลางทางแล้วฝนดันเทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งๆ ที่แดดยังสว่างออกจ้า และทำเอาคนเกลียดการเปียกชื้นตามเนื้อตัวเสื้อผ้าแบบกิมต้องสบถหัวเสียและวิ่งเข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อให้เร็วที่สุด เสื้อนักศึกษาสีขาวแนบกับเนื้อ ผมสีบลอนด์สว่างลู่ลงแนบตามใบหน้า และสิ่งแรกที่กิมคิดได้หลังจากยืนหอบหลบฝนก็คือพยากรณ์อากาศเมื่อเช้าที่บอกว่าวันนี้จะมีแดดแรงจัดทั้งวัน

                พ่อมึงสิ

                สบถก่นด่าในหัวแล้วก็ต้องขนลุกชันเพราะประตูบานเลื่อนอัตโนมัติที่เลื่อนออกเป็นลมแอร์จากด้านในที่มาโดนผิวให้หนาวยะเยือกเล่นๆ กิมเป็นคนขี้หนาว และไม่ชอบให้เสื้อเปียก หรือแค่ชื้นก็จะหงุดหงิดแล้ว ยิ่งต้องกลับไปเรียนต่อยิ่งไม่ชอบใจ มิวายจะเป็นหวัดตามมาเพราะหัวก็เปียก ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

                มีผู้ชายเดินหุบร่มสวนเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะหยุดกึกและหันมองกิม กิมทำแค่ปรายตามอง คิดว่าคงจะมองที่เขาเปียกเฉยๆ ก่อนสัญชาตญาณในตัวจะส่งเสียงดังแบบที่ไม่ได้เป็นมานานเมื่อผู้ชายด้านข้างเขายังคงจ้องไม่หยุด ก่อนที่กิมจะทันฉุกคิด เขาก็โดนจับแขน

                “ขอโทษนะครับ แต่กลิ่นคุณ...ค่อนข้างถูกใจผมมากเลย”

                ชิบหาย

                ฝนที่ตกเทลงมากะทันหันชะล้างเอาสเปรย์ฉีดดับกลิ่นของกิมทิ้งไป และแน่นอนว่าโอเมก้าตัวขาวอย่างเขาตั้งใจมาซื้อแค่ขนม เลยพกมาเพียงกระเป๋าเงิน ส่วนสเปรย์นั้นอยู่ในกระเป่าสะพายที่ฝากไว้กับไอ้น้ำในเซค ไม่ทันได้คิดว่าตัวเองจะเปียกจนต้องมาเจอเหตุการณ์แบบตอนปีหนึ่ง

                กิมเกลียดการโดนอัลฟ่ามายุ่มย่ามกับตัวเขา และตอนนี้น้ำค้างก็ไม่ได้อยู่เป็นไม้กันหมาให้ด้วย

                “ผมมีคนคุยอยู่แล้วครับ”

                กิมเลือกจะปฏิเสธแบบนี้แทนเพราะรู้ว่าถ้าเขาพูดอะไรแนวๆ เทือกๆ ขอตัวนะครับ เขาจะโดนไล่ตื๊อมากกว่าเดิมอย่างน่ารำคาญ

                “ก็แค่คนคุยนี่คุณ ไม่ได้จับคู่กันแล้วซะหน่อย ผมเองก็มีคนคุย ยังไม่ถูกใจเท่ากลิ่นคุณเลย”

                แต่ไม่คิดว่าจะมาเจออัลฟ่าประเภทนี้จนได้ กิมกลอกตาอย่างไม่คิดจะปิดบัง อยากจะบ้าตาย ทำไมหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้ ตัดสินใจเดินหนีเข้าไปในซุปเปอร์แทนก่อนจะโดนกระชากแขนจากอัลฟ่าคนเดิมที่วอแวเขาไม่เลิก

                “เอ้าคุณ ยังคุยกันไม่จบเลย จะหนีไปไหนเนี่ย”

                หนีมึงนี่แหละไอ้เวร กิมตอบประโยคนี้ทางสายตาแทน ไม่อยากจะมานั่งเสวนากับคนประเภทนี้เลยจริงๆ เลยตั้งใจจะสะบัดมือหนี แต่ก็ลืมไปว่าร่างกายตัวเองไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ต่อกรกับสายพันธุ์ที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างอัลฟ่า

                “ปล่อยเถอะ ผมไม่อยากยุ่งกับอัลฟ่าคนอื่นแล้ว”

                กิมตัดสินใจบอกดีๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล

                “จะอะไรนักหนา อัลฟ่าที่คุณคุยน่ะ คุยกันมานานรึยัง ถ้าคุยกันมาแค่สักพักก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

                มึงนี่แหละจะอะไรนักหนา กิมตะโกนอยู่ในใจ อยากจะพูดออกไปตรงๆ ทื่อๆ แบบที่พูดกับไอ้น้ำได้ตลอดเวลา แต่ก็รู้ว่าการวางตัวเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเขาพูดอะไรที่หาเรื่องใส่ตัว แกว่งเท้าหาเสี้ยนเมื่อไหร่ คนที่จะตัดสินเขาคือศาลเตี้ยแบบอัลฟ่า ต่อให้จะมีกฎหมาย แต่ฮอร์โมนและร่างกายด้านในที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่อะไรที่จะเรียกกลับมาได้ นี่เป็นเหตุผลที่กิมเลือกจะสันโดษมากกว่าสังคม ยิ่งคนเยอะยิ่งมากความอิรุงตุงนัง และตอนนี้กิมก็กำลังสอดส่ายหาความช่วยเหลือจากพนักงานซึ่ง...หลบตาเขาเหมือนจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายไปแล้ว

                ดี ให้มันได้อย่างงี้สิ แม่งเอ๊ย แค่อยากกินขนมทำไมเรื่องมันถึงลามใหญ่โตขนาดนี้วะ

                “อ้าวคุณกิม บังเอิญจังเลย”

                เสียงกับคนหน้าตาคุ้นเคยเอ่ยทักมาจากด้านในร้าน กิมสาบานว่าไม่เคยดีใจที่ได้เจออัลฟ่าคนไหนนอกจากน้ำค้างมาก่อน หันไปเจอคุณทรายแล้วแทบอยากจะพุ่งตัวไปขอความช่วยเหลือถ้าไม่ติดว่าโดนจับแขนไว้แน่น ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ไว้ใจคนที่เพิ่งถามชื่อแค่ครั้งเดียว อาจจะเป็นบรรยากาศโทนสุภาพที่ไอ้น้ำเองยังไม่มีในตอนเจอกันครั้งแรก และพอหาเหตุผลสนับสนุนได้ว่าเป็นเพื่อนคุณฮิม ป่าสนของไอ้น้ำ ก็ยิ่งเพิ่มความไว้ใจอีกระดับนึง (มั้ง)

                “อ้าวคุณทราย อยากเจออยู่พอดีเลยครับ”

                กิมตอบแล้วก็ส่งยิ้มจืดตามมารยาท ก่อนจะมองเห็นสภาพคุณทรายที่เปียกมะล่อกมะแล่กไม่แพ้กันแล้วก็เริ่มจะเห็นเค้าลางการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพราะคนในร้านสะดวกซื้อตอนนี้มองทั้งเขาและคุณทรายในลักษณะที่ไม่ค่อยจะดีนัก

                “อยากเจอเหมือนกันครับ คุณกิม เอ่อ คุณทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่ห้องผมเมื่อวาน กระจายเต็มเตียงเลย ผมเอาไปส่งซักรีดให้แล้วนะ”

                ถ้าเป็นเวลาปกติที่ตัวแห้งดี กิมคงจะตะโกน ห้ะ? ออกไปแล้ว แต่ด้วยตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ และกิมเองก็ฉลาดพอจะเดาเค้าลางได้โดยไม่ต้องมีการขยิบตาส่งซิกให้กัน

                “อ้อ เสื้อผ้า กลิ่นผมติดเตียงคุณแย่เลยสิเนี่ย” กิมยิ้มหวานปลอมเปลือก ในใจขนลุกกับคำพูดตัวเองจนอยากจะเอามือมาลูบแขน แต่ก็ต้องยิ้มค้างไว้ถ้าไม่อยากให้ความแตกตอนนี้

                “กลิ่นติดสิดี ผมคิดถึงคุณกิมจะตาย แล้วนี่ตัวเปียกมากเลย ผมซื้อร่มแล้ว ยังไงติดร่มไปด้วยกันไหมครับ?”

                คุณทรายยิ้มสุภาพกว่าปกติที่กิมสัมผัสได้ ร้ายน่าดู กิมเพิ่งสังเกตเห็นร่มในมือเจ้าตัวที่จ่ายเงินแล้วรวมถึงกระดุมเสื้อหลุดลุ่ย ก่อนที่กิมจะเริ่มได้กลิ่น กลิ่นหอมแบบที่ไม่สามารถเทียบได้กับกลิ่นไหนในธรรมชาติหรือสิ่งของ กิมไม่รู้ว่าตัวเองเปรียบเทียบไม่เก่งพอหรือว่ามันไม่มีอะไรมาเทียบได้จริงๆ กันแน่ ไม่ใช่กลิ่นสังเคราะห์ ไม่ใช่กลิ่นที่สามารถจะผลิตขึ้นมาเลียนแบบได้ หอมจนกิมเริ่มตื่นตัวขึ้นมานิดนึงหลังจากที่เฉยชาและไม่เคยสนใจในกลิ่นอะไรเลย และพอมองหน้าคุณทรายกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ยตรงหน้า รวมถึงรอยยิ้มแห้งกับคนในร้านสะดวกซื้อที่มองเหมือนจะเข้ามารุมคุณทรายแล้วก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

                หน้าตาก็ดี แถมยังกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ ก็ไม่แปลกใจที่จะโดนโอเมก้ารุม ขนาดตัวเขาที่เพิกเฉยกับทุกอย่างยังตื่นตัวนิดๆ นับประสาอะไรกับโอเมก้าทั่วไปที่อยากโดนมาร์กจะแย่

                “คุณอัลฟ่าตรงนั้น ยังไงรบกวนปล่อยแขนโอเมก้าของผม...ทีนะครับ?”

                คุณทรายรีบเดินเข้ามาเกี่ยวเอวเขาชิดแล้วก็จับแขนอัลฟ่าจอมตื๊อคนนั้นให้ปล่อยพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพที่กดดันกว่าปกติ โชคดีที่อีกฝ่ายยอมปล่อย กิมถึงได้พรูลมหายใจโล่งอกออกมาได้หน่อยนึง ร่มก็มีแล้ว แถมยังอยู่กับคนที่ไม่น่าจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ใส่เขาได้แล้วด้วย

                “ขอบคุณคุณทรายมาก ผมเกือบตายแล้ว”

                “ขอบคุณคุณกิมเหมือนกัน ผมน่าจะตายแล้ว แต่ก็รอด”

                ทั้งสองคนขอบคุณกันและกันอย่างเก้ๆ กังๆ ตอนที่ออกมาใต้ร่มคันเดียวกัน สุดท้ายกิมก็ไม่ได้ขนมตามที่ตั้งใจ แต่จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาสดๆ ร้อนๆ บอกเลยว่าหมดอารมณ์จะกินขนมแล้วเหมือนกัน

                “ว่าแต่คุณกิมคงได้กลิ่นผมแล้วใช่ไหมครับ?”

                คุณทรายถามแล้วยิ้มเกร็งๆ ใส่เขา อยู่ใกล้กันขนาดนี้กลิ่นหอมยิ่งอบอวลจนกิมเริ่มละอายใจในตัวเองที่ด้านในกำลังปั่นป่วนช้าๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากวนอยู่ในท้องเขาให้หวิวใจเล่นๆ ล่าสุดที่รู้สึกแบบนี้ก็นานมากแล้วจนแทบจำไม่ได้

                “ครับ ไม่แปลกใจที่คุณอยากได้สเปรย์ดับกลิ่นดีๆ” กิมตอบแล้วก็หัวเราะกลับในคอ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจกลิ่นที่ก่อกวนเขาอยู่ในจมูก หอมจนน่ารำคาญ เพราะแบบนี้ไงเลยไม่อยากเข้าใกล้อัลฟ่า

                “คุณคงไม่เป็นแบบคนในร้านใช่ไหม ผมขอโทษนะที่ต้องถาม แต่เจออะไรๆ มาเยอะน่ะครับ” คุณทรายถามแล้วก็หัวเราะแบบอึดอัด เอาซะกิมเห็นใจ

                “ไม่หรอก ไม่งั้นผมจะดับกลิ่นตัวเองทำไม” กิมตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยแบบเดิม ทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

                “นั่นสินะ ก็จริงของคุณ จะว่าไปคุณกิมอยู่ปีสามเท่าฮิมรึเปล่า” คุณทรายเปลี่ยนเรื่องแก้บรรยากาศแทน

                “ใช่ คุณทรายก็เพื่อนคุณฮิมนิครับ?”

                “เปล่าๆ ผมเป็นพี่รหัสเขาน่ะ ผมปีสี่แล้ว”

                “อ้าว” กิมตอบแค่นั้นแล้วก็เงยมองอีกคนที่ถือร่ม งี้ก็แก่กว่าเขาอะดิ เรียกคุณๆ มาตั้งนาน “งี้ผมก็ต้องเรียกพี่ทรายอะดิ”

                “เรียกทรายก็ได้ผมไม่ถือ อันที่จริงผมแค่ไม่ชอบให้เรียกคุณๆ มันดูห่างเหินน่ะ” พี่ทรายที่กิมเรียกไปแล้วเรียบร้อยในใจสารภาพ

                “พี่ทรายแล้วกัน ผมไม่ชอบเรียกเฉยๆ ถ้ารู้อายุแล้ว” กิมว่าตามจริง

                “โอเคน้องกิม แล้วนี่กลับคณะใช่เปล่า เดี๋ยวเดินไปส่งก่อน” พี่ทรายเรียกเขาแบบใหม่ทำเอากิมหันเงยมองขวับ แต่พอเห็นใบหน้าที่ไม่ได้มีเค้าจะออกแนวกลั่นแกล้งหรือจงใจจีบก็หันกลับมาแบบเดิมพร้อมบอกกับตัวเองว่าขี้ระแวงเกินไป

                “ขอบคุณครับ”

                “จะว่าอะไรพี่เปล่าถ้าพูดแบบนี้ แต่กลิ่นน้องกิมก็ใช่ย่อย ดูท่าเราจะชอบอยู่คนเดียว” พี่ทรายว่าแล้วก็ยิ้มโทนเดิมแบบไม่มีเจตนาอื่นนอกจากชวนคุย

                “ใช่ ผมชอบอยู่คนเดียว” กิมย้ำ ก่อนจะถามออกไปโดยไม่ได้นึกว่าตัวเองจะถามเช่นกัน “แล้วกลิ่นผมเหมือนอะไรล่ะพี่ทราย”

                “กลิ่นน้องกิมอะนะ?” พี่ทรายทวนคำถามเขาแล้วก็เลิกคิ้วนิดๆ “อืม...ก็เหมือนดอกไม้สีม่วงๆ อันนั้นอะ ที่เขาไว้สระผมกัน เขาเรียกว่าอะไรนะ”

                “อัญชัน” กิมตอบแทน

                “เอ้อ ดอกนั้นแหละ หอมเหมือนแชมพูสระผมเลยกลิ่นน้องกิมอะ แบบหลังอาบน้ำอะไรงี้”

                กิมพยักหน้าอืออออยู่ในคอแล้วก็มองเท้าตัวเอง ในใจคิดไปถึงตอนตัวเองสระผมเสร็จแล้วรู้สึกหอมๆ กับตัวเอง จะใช่แบบที่คุณทรายได้กลิ่นเขารึเปล่านะ

                “อะถึงแล้ว ขอบคุณอีกรอบที่ช่วยเล่นตามน้ำไปกับพี่วันนี้ ขอไลน์ไว้ได้เปล่า ไว้จะพาไปเลี้ยงขนมตอบแทน” พี่ทรายมาส่งเขาถึงใต้คณะเรียบร้อยแล้วถึงเอ่ยถาม และกิมก็ให้ไปแบบไม่คิดอะไร เพราะอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดูจะทำตัวละลาบละล้วงกับเขา

                “ขอบคุณเหมือนกันพี่ทรายที่มาส่ง” กิมยิ้มน้อยๆ ตอบ

                “เจอกันๆ” พี่ทรายยิ้มรับแล้วก็เดินออกไปกลางสายฝนอีกครั้ง ทิ้งเพียงกลิ่นชวนพิศวงไว้ให้กิมนึกถึง


                สตาร์บัคดูดเงินไปได้จากน้ำค้างมากโขเลยทีเดียว แค่บาริสต้าเป็นคุณฮิมก็เพียงพอแล้ว เครื่องดื่มอะไรขนมอะไรก็ไม่สู้เท่ามานั่งดมกลิ่นคุณฮิมในร้านเคล้ากับกลิ่นเม็ดกาแฟหรอก

                ว่าแต่ฟังดูโรคจิตเบาๆ นะว่าไหม

                น้ำค้างเองก็มีงานมีการต้องทำ เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่จากในคอนโดตัวเองมานั่งในร้านกาแฟก็เท่านั้น มือน่ะขยับวาดรูปแปลนในกระดาษแต่ตาก็ลอบขึ้นไปมองคุณบาริสต้ากลิ่นป่าสนของเขาที่ขยันทำงานอยู่เป็นระยะ แถมยังขยันแจกยิ้มให้ลูกค้าอีกต่างหาก เห็นรอยยิ้มที่ขึ้นลักยิ้มนั่นแล้วก็อยากจะลองขอจิ้มรอยบุ๋มตรงแก้มนั่นดูสักครั้ง แต่นี่คือไอ้น้ำคนขลาดที่ได้แต่ฝันถึง ถ้าคุณฮิมไม่เสนอมาให้ เขาก็คงจะกล้าขอหรอก

                วาดไปวาดมาที่ว่างข้างแปลนวิหารเขาก็ดันเป็นรูปใบหน้าด้านข้างคุณฮิมเป็นโครงขึ้นมาเฉยๆ น้ำค้างเพิ่งจะหยุดมือตัวเองก็ตอนกำลังจะแรเงาลักยิ้มข้างแก้ม

                “เชี่ย”

                เผลอสบถกับตัวเองเบาๆ ให้ได้ยินคนเดียวก็ตอนก้มหน้ามองกระดาษแล้ววิหารที่เพิ่งขึ้นมาสามเสาของเขาดันมีหน้าคุณฮิมเป็นโครงหน้าผาก จมูก คางไล่มาเป็นกรอบแล้วเรียบร้อย ไอ้น้ำเอ๊ย งานมันจะเดินหน้าไหมวะ ถ้าคุณฮิมรู้นี่มีหวังแกล้งแซวเขาตายแน่ๆ

                ทอดถอนใจกับตัวเองแล้วก็พลิกหน้ากระดาษเปลี่ยนพรึ่บอย่างรวดเร็วพลางเงยหน้าไปมองทางคุณฮิมที่มองมาทางเขาแล้วก็ยิ้มหวานให้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าน้ำค้างน่ะมีชนักติดหลังอยู่ในตอนนี้ เอาซะอัลฟ่าจอมเด๋อแบบเขาต้องก้มลงทำเป็นวาดรูปต่อแทบไม่ทัน คุณฮิมจะรู้ไหมว่าวิหารเขาโดนลักยิ้มของอีกฝ่ายพังลงไปแล้วเมื่อกี้

                ตาเหลือบมองแก้วสตาร์บัคตัวเองที่คุณฮิมเป็นคนเขียนชื่อให้แล้วก็ต้องเม้มปากกลั้นยิ้ม

                คุณแม่บ้านญี่ปุ่น :-)

                น่ารัก คุณฮิมชอบทำตัวแบบนี้ น่ารักจนน้ำค้างอยากจะให้ตัวเองมีความกล้ามากกว่านี้ จะได้บอกไปตรงๆ เลยว่าไม่อยากให้ไปเที่ยวยิ้มหวานๆ หรือพูดจาแบบนี้ใส่ใครอีก

                มีลูกค้าเดินเข้ามาใหม่ น้ำค้างไม่ได้ใส่ใจจนกระทั่งกลิ่นที่คุ้นเคยลอยเข้าเตะจมูก กลิ่นผลไม้หน้าร้อนซีตรัส เขารีบเงยหน้าขึ้นมองตรงเคาทน์เตอร์ โอเมก้าคนเดิมที่น้ำค้างพอจะจำเค้าร่างกับกลิ่นได้ ตัวเล็ก ผิวขาวแต่ไม่ขาวจัดเท่าไอ้กิม ใบหน้าไม่ได้โดดเด่นแต่ออกเค้าไปทางฝั่งเชื้อจีน น้ำค้างพยายามจะคิดว่าเป็นความบังเอิญถ้าไม่ใช่ว่าคุณฮิมจะยิ้มหวานและทำเหมือนรู้จักกัน

                ก็แค่กลิ่น ก็แค่คนรู้จัก ก็แค่โอเมก้า

                น้ำค้างพยายามจะคิดแบบนั้น แต่กลิ่นผลไม้ที่ลอยมาปกคลุมกลิ่นป่าสนของเขาหายวับไปกับตามันค่อนข้างน่าหงุดหงิด คนอื่นในร้านกาแฟยังไม่กลิ่นแรงเท่าโอเมก้าคนนี้ และน้ำค้างก็คงจะไม่อะไรต่อถ้าหากว่าคุณฮิมไม่ได้ฝากแคชเชียร์ไว้กับเพื่อพนักงานแล้วไปนั่งคุยกับโอเมก้าคนนั้นที่โต๊ะขนาดนั้น

                น้ำค้างเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ชอบตัวเองเหมือนกันที่ความมั่นใจน้อยขนาดนี้ แต่เขาไม่เคยจีบใคร โอเมก้ายังไม่เคยคิด แล้วนี่คืออัลฟ่าอย่างคุณฮิม คนที่มีความมั่นใจ และเสน่ห์เหลือล้น น้ำค้างไม่มีความกล้าเลย

                เขามองไปที่โต๊ะอย่างพยายามที่จะไม่ออกนอกหน้ามาก คุณฮิมดูจะสกินชิพมากกว่าปกติ หรือไม่รู้น้ำค้างคิดไปเองรึเปล่าที่ป่าสนของเขาจับนู่นนี่บนตัวโอเมก้ากลิ่นผลไม้หน้าร้อนอย่างไม่คิดอะไร และเป็นธรรมชาติ แล้วอีกอย่างโอเมก้าคนนั้นก็มีคู่ที่ผูกพันธะไว้แล้วด้วย ทำไมน้ำค้างจะต้องกลัวมากขนาดนี้

                หรืออาจจะเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ใช่โอเมก้า และน้ำค้างก็อ่านใจคุณฮิมไม่เคยออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

                เขาวาดวิหารไปในขณะที่คิดเรื่องอื่นไป มันออกมาตามองศาในหัว แต่ไม่สวยดั่งใจเท่าที่น้ำค้างคิดไว้ และแน่นอนว่าการทำงานโดยมีเรื่องกังวลใจนั้นน่าหงุดหงิด น้ำค้างตัดสินใจส่งข้อความหาคุณฮิมว่าขอตัวกลับก่อน แล้วก็เริ่มเก็บของ ไม่รู้ว่ากลับคอนโดจะดีกว่าหรือจะแย่ลง เพราะเขาเป็นคนคิดมาก แต่ไม่ชอบที่จะบอกคนอื่น ขนาดไอ้กิมยังรู้ว่าต้องเว้นพื้นที่ให้เขาคิดคนเดียวเงียบๆ

                น้ำค้างเดินออกมาถึงข้างนอกริมฟุตบาทแล้วถึงได้นึกได้ว่าลืมซื้อของกลับไปทำอาหาร เพราะในตู้เย็นเขาตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย คิดแล้วก็ต้องเดินกลับเข้าไปเซ็งๆ ในซุปเปอร์แล้วหยิบรถเข็น เพราะไข่ที่คอนโดหมดแล้ว เอาใส่ตะกร้าคงจะเสี่ยงไป

                อัลฟ่าตัวโตยืนหยุดที่แผนกผักอยู่นานเช่นเคย นานจนกว่าจะสังเกตได้ว่าตัวเองหมกมุ่นกับความคิดจนได้กลิ่นผลไม้หน้าร้อนมายืนอยู่ด้านหลังแล้วถึงได้หันมา

                “ไหนบอกจะกลับก่อนไงล่ะครับ”

                คุณฮิมยิ้มบางๆ ให้เขาอย่างเคยในชุดบาริสต้า น้ำค้างทำตาโตตกใจ ตอนแรกเขาก็นึกว่าโอเมก้าคนนั้นอยู่แถวนี้ไม่คิดว่าจะเป็นคุณฮิมที่โดนกลิ่นกลบตลบอบอวลมาตามหาเขาถึงตรงนี้

                “คุณฮิม เลิกกะแล้วเหรอ”

                “อ๋อ ยังครับ แต่เห็นคุณน้ำค้างออกมาก่อน”

                คุณฮิมตอบสบายๆ เหมือนเคย ท่าทางจะสนิทกับคนในร้านมากน่าดู ถึงได้ออกแว้บไปแว้บมาได้ตามใจแบบนี้ น้ำค้างเริ่มรู้สึกว่าตัวเองก่อความเดือดร้อนให้อีกคนต้องออกมาตามหาเขา

                “คุณฮิม ออกมาหาผมทำไมเนี่ย กลับไปเข้ากะเถอะ เดี๋ยวโดนดุ” น้ำค้างรีบบอก มือวางหัวหอมลงกับแผง

                “คุณแม่บ้านญี่ปุ่นมีอะไรชอบไม่บอกผม ผมเลยต้องออกมาตามหาเอง” คุณฮิมตอบยิ้มๆ และน้ำค้างรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าโกหกเบาๆ

                “คุณฮิมต่างหาก” น้ำค้างพูดพร้อมกับปล่อยลมหายใจยาว “ผมอ่านอะไรคุณไม่ออกเลย”

                “คุณน้ำค้างไม่เชื่อใจผมเหรอ”

                คุณฮิมบอกแล้วก็ยิ้มหวานให้เขา เอาซะน้ำค้างรู้สึกผิดอีกระลอก แต่ในใจก็อึดอัดที่คุณฮิมไม่ยอมบอกอะไรเขา และก็ขลาดเกินกว่าที่จะถามออกเสียง

                “ผม...นิสัยไม่ดีเองแหละครับ”

                น้ำค้างพูดแล้วก็ลูบมือเขาด้วยกันอย่างอึดอัดใจ คุณฮิมถึงได้หยิบข้อมือเขาออกมาพลิก รอยฟันยังคงอยู่ให้เห็นเป็นรอยช้ำ แต่น้ำค้างเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ รู้สึกว่าคุณฮิมยังมีอะไรที่เขาต้องพังกำแพงอีกเยอะ หรือว่าป่าสนของเขายังมีมนตร์สะกดให้เห็นเพียงเท่านี้ ถ้าหากจะสลายมนตร์ ก็ต้องรอเวลามากกว่านี้

                “คุณน้ำค้างใจร้อนจัง ขัดกับนิสัยมากเลย” คุณฮิมว่าแล้วก็ลูบรอยตรงข้อมือเขาเหมือนจะย้ำเตือน

                “โอเมก้าคนนั้น คุณฮิมสนิทเหรอครับ” น้ำค้างถามออกไปโพล่งเดียว คุณฮิมดูไม่ได้ตกใจที่น้ำค้างถามคำถามนี้

                “สนิทมั้งครับ ความสัมพันธ์แปลกๆ อยู่” คุณฮิมว่าด้วยใบหน้าที่ฉาบไปด้วยอารมณ์ที่อ่านไม่ออก “ผมเองก็อยากจะเป็นเพื่อนกับเขา ก็เลยเข้าหาแบบนั้น”

                “งั้นผมก็คงคิดมากไปเองคนเดียว” น้ำค้างว่าแล้วก็ค่อยๆ เอาข้อมือออกมา แต่คุณฮิมจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

                “คุณแม่บ้าน อย่าอารมณ์เสียสิครับ” คุณฮิมพูดแล้วก็ยิ้ม แต่น้ำค้างไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ตอนนี้เขาคงดูเงอะงะมาก

                “ไม่ ผมไม่ได้...คุณฮิม” น้ำค้างพยายามค้นหาสาเหตุในหัว “ผมก็แค่ไม่ชอบเวลากลิ่นอื่นอยู่บนตัวคุณฮิม”

                สุดท้ายก็ยังไม่กล้าบอกออกไปเรื่องที่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ใช่โอเมก้าตามธรรมชาติ น้ำค้างรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ที่จะบอกทุกอย่างหมดหน้าตักในเมื่อคุณฮิมยังไม่บอกเขาหมดทุกอย่างเช่นกัน แต่คนอย่างน้ำค้างอ่านง่าย ไม่รู้ว่าป่าสนของเขาจะรู้แต่ไม่พูดรึเปล่า

                “อ๋า แบบนี้นี่เอง” คุณฮิมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะสบตาเขา น้ำค้างเหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนหน้า

                “ห้องน้ำไหมครับคุณน้ำค้าง”

                ไม่คิดว่าคุณฮิมจะมาไม้นี้ ไอ้การปรับความเข้าใจในห้องน้ำนี่คุ้นๆ อยู่ แต่คราวนี้น้ำค้างโดนผลักนั่งลงบนโถส้วมที่ปิดฝาแล้ว และคุณฮิมนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหากันแทน สถานการณ์ค่อนข้างล่อแหลม (น้ำค้างคิดเอาเอง) คุณฮิมดูจะไม่อะไรกับการที่เขาทำตาโต แล้วก็ยิ่งโตเข้าไปใหญ่เมื่อนิ้วที่เต็มไปด้วยกระดูกของคุณฮิมเริ่มแกะกระดุมตัวเองลงมา

                “เดี๋ยวคุณฮิม...เดี๋ยว” น้ำค้างพูดแล้วกำลังจะจับข้อมือให้หยุดแต่คุณฮิมเงยหน้าขึ้นมาชิงพูดตัดก่อน

                “คุณน้ำค้างไม่ชอบนี่”

                “ครับ?”

                “ไม่ชอบกลิ่นโอเมก้าคนนั้นนี่” คุณฮิมว่าแล้วก็แกะกระดุมต่อจนเผยให้เห็นแผ่นอกกับหน้าท้องขึ้นกล้ามรำไร คุณฮิมหุ่นผอมแบบที่เขาคิดไว้ แต่ไม่ถึงกับแห้ง เพราะยังคงมีกล้ามเนื้อแบบที่คนสุขภาพดีพึงมี “จะให้คุณน้ำค้างล้างกลิ่นให้ไง”

                “ครับ?” น้ำค้างตอบเหมือนคนฟังศัพท์ไม่แตก

                “อยากทำอะไรล่ะครับ” คุณฮิมถามกลับแล้วก็เลิกคิ้วเหมือนท้าทาย มือโอบคอน้ำค้างไว้หลวมๆ ก่อนที่จะข่วนท้ายทอยเขาเบาๆ ซ้ำแผลเดิมคล้ายจะปลุกสัญชาตญาณดิบเขาให้ตื่นขึ้นมาเล็กน้อย

                น้ำค้างรั้งเอวผอมของคุณฮิมให้เข้ามาจนชิดตัวเขา แขนออกแรงกอดรัดแน่น ใบหน้าจูบลงตรงแอ่งชีพจรที่เดิมที่น้ำค้างอยากจะกัดมาตลอดแต่ก็รู้ว่าคุณฮิมคงจะไม่ให้ในตอนนี้ ดังนั้นถึงได้ลากลิ้นเลียแล้วออกแรงดูดผิวจนขึ้นรอยจ้ำแดงๆ กลิ่นผลไม้เริ่มจางลงหรือเพราะน้ำค้างมัวเมาอยู่ประชิดผิวกายของคุณฮิมฤาก็ไม่แน่ใจ มือของน้ำค้างเลื่อนขึ้นไปรั้งผมตรงท้ายทอยคุณฮิมให้เงยขึ้นเพื่อที่เขาจะได้จูบอดัมแอปเปิ้ลตรงกลางต้นคอของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่ ได้ยินเสียงคุณฮิมกลั้นหายใจและผ่อนลมออกมา น้ำค้างยิ่งได้ใจ ริมฝีปากระดมจูบมาตรงกลางแผ่นอก ก่อนจะจูบเน้นตรงตำแหน่งหัวใจด้านซ้ายและเงยหน้ามองคุณฮิม คำถามถูกถามผ่านสายตา คล้ายอยากจะขอจับจองพื้นที่ของก้อนเนื้อใต้แผ่นอกนี้

                “พยายามหน่อยสิคุณน้ำค้าง” คุณฮิมพูดเจือหัวเราะเป็นเสียงกระซิบ “อยากจะจองตัวผมก็พยายามมากกว่านี้หน่อยสิ”

                น้ำค้างกัดแผ่นหน้าท้องนั่นเหมือนจะน้อยใจว่าทำไมคุณฮิมให้การบ้านยาก กลิ่นไอหมอกเริ่มฟุ้งขึ้นมาปลอบประโลมใจในทุกๆ ครั้งที่เขาประทับริมฝีปากลงบนผิวเนื้อของป่าสน คุณฮิมจับเรือนผมของเขาแน่นก่อนจะเลื่อนมาจับแก้มเขาทั้งสองข้างและดึงขึ้นมาให้รับจูบ เสียงของกลีบปากบดกันเริ่มดังจนคุณฮิมต้องผละออกแล้วเอามือปิดปากเขาไว้ให้หยุด

                “กัดเจ็บนะคุณน้ำค้าง” คุณฮิมพูดเบาๆ แล้วก็เอามือที่ปิดปากเลื่อนมาตบแก้มเขาเบาๆ แทน “ยังจะกลับห้องอยู่รึเปล่า ไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนเหรอ”

                “คุณฮิมเนี่ย...” น้ำค้างหลับตาเหมือนจะรู้คำตอบตัวเองดีอยู่แล้ว รู้เลยว่าป่าสนของเขาจะต้องยิ้มอยู่ “ผมเคยปฏิเสธอะไรคุณบ้างล่ะ”

                “เป็นแม่บ้านที่ดีไงคุณน้ำค้าง” คุณฮิมหอมกระหม่อมเขาอย่างเอ็นดู ในขณะที่น้ำค้างเริ่มติดกระดุมเสื้อให้อีกคนแทน เห็นรอยจ้ำแดงๆ ที่น่าจะขึ้นสีอื่นในไม่ช้าตรงหน้าท้องคุณฮิมแล้วก็รีบๆ กลัดกระดุมขึ้นจนแทบจะเม็ดที่ติดคอหอย

                “พอๆ พอแล้วคุณแม่บ้าน เม็ดนี้ใครเขาติดกัน”

                “ขอโทษครับ” น้ำค้างเอามือออกอย่างเงอะงะ จนคุณฮิมต้องหัวเราะออกมากับความเด๋อของเขาอีกครั้ง

                “ไปเร็ว เดี๋ยวผมเลี้ยงกาแฟ” คุณฮิมว่า

                แล้วน้ำค้างก็ได้กาแฟอีกแก้วที่เขียนว่า คุณแม่บ้านญี่ปุ่นกัดเจ็บ :-(











tbc.







คุณโอเมก้ากลิ่นผลไม้จะคัมแบคอีกในตอนอื่น (พูดเหมือนตอนจบหนังมาร์เวล555555)

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นและแท็กเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ เราดีใจมากๆ

ฝากเพลงไว้อีกเพลงค่ะ nervous - shawn mendes



feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you as always

 

 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.5 (06/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Byeolismes ที่ 06-07-2018 18:11:51
คุงแม่บ้านญี่ปุ่นน่าร้ากๆๆๆๆเหมือนเดิม ตอนนี้รู้สึกตกหลุมพรางเลยค่ะ ภายใต้ความน่าร้ากมันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆเลย ฮือ :hao5:  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.5 (06/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-07-2018 22:34:12
คุณฮิมร้ายยยยยยยย ทำคุณแม่บ้านญี่ปุ่นหลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว แอบลุ้นคู่ทรายกิมด้วย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re:✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.6 (8/7/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 08-07-2018 21:07:48
chapter six



                ปกติแล้วฮิมไม่ชอบให้มีคนมาแสดงความเป็นเจ้าของเท่าไหร่หากยังรู้จักกันไม่มากพอ แต่สำหรับคุณน้ำค้างแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้ไม่นึกเคืองโกรธและยอมให้อีกคนทิ้งรอยไว้

                คุณน้ำค้าง อัลฟ่าตัวโต ผิวออกโทนเข้ม และตัวสูงกว่าเขา แต่กลับซื่อจนน่าแกล้ง ดูเป็นคนคิดอย่างไรก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างนั้น แถมยังชอบกลิ่นเขาเสียจนเรียกได้ว่าไม่เคยมีใครหลงกลิ่นกายเขาขนาดนี้มาก่อน ฮิมสารภาพว่าในตอนเจอกันครั้งแรกเขาเกือบจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าจริงๆ ด้วยท่าทางเด๋อด๋าเงอะงะแบบนั้น น่าเอ็นดูไม่หยอก จนอดใจแกล้งเองไม่ไหว แล้วก็นั่นแหละ สุดท้ายพอความแตก เขาก็ยังตกใจตัวเองที่ไม่โกรธ

                ถ้าหากเป็นฮิมคนปกติที่ตัวเองรู้จัก เขาจะไม่เอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวหรือมีความสัมพันธ์กับอัลฟ่าด้วยกัน แต่กับคุณน้ำค้าง ฮิมกลับรู้สึกว่าไม่เป็นไรถ้าจะลองดู

                “ฮิม นั่นใช่เพื่อนมึงปะ”

                ไอ้จิง เพื่อนในคณะซึ่งเป็นเบต้าเอ่ยทักระหว่างที่ฮิมกำลังเก็บของเพื่อจะออกไปกินข้าวเที่ยง ฮิมเงยจากกระเป๋าขึ้นมาตรงประตูซึ่งเว้นกระจกไว้ มองเห็นไหล่คุณน้ำค้างอยู่ลิบๆ ก็ยิ้มกับตัวเอง

                “อือ” ตอบรับเพื่อนสั้นๆ ในลำคอก่อนจะโดนไอ้จิงถองศอกใส่สีข้าง

                “ใช่อัลฟ่าที่ทำรอยมึงปะ?”

                “อือฮึ” ตอบไปตามเนื้อผ้า เพราะโดนเพื่อนเค้นเรื่องรอยที่คอมือจนต้องยอมบอกไป ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะบอก เพราะความจริงก็รู้ว่าไอ้จิงมันขี้กังวลแค่ไหน

                “คนคุยเหรอวะ” จิงถามเสียงซีเรียส และฮิมก็หยุดเก็บของ

                “น่าจะ” ตอบแบบทีเล่นทีจริง แต่ความจริงในใจก็นับเป็นคนคุยไปแล้วนั่นแหละ แค่ไม่อยากให้เพื่อนซักไซ้

                “ฮิม มึงไม่เข็ดเหรอวะ”

                “มึงเคยเห็นกูเข็ดอะไรบ้างล่ะ”

                ฮิมตอบยิ้มๆ เขาเป็นคนแบบที่ไอ้จิงเกลียด อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ปรึกษาใคร อยากได้อะไรก็ต้องได้ เก็บอารมณ์ไว้กับตัวเอง ถ้าก้าวข้ามกำแพงเขามาได้ก็ต้องรองรับกับความรู้สึกเขาให้ได้ว่าเป็นคนรักแรงเกลียดแรง แต่ฮิมนิสัยเสียอย่างนึงคือเป็นคนแค้นฝังหุ่น ถ้าได้เกลียดและจำแล้ว ก็ต้องให้อีกฝ่ายได้จำแบบที่เขาจำบ้าง ท่าทางเลือดอัลฟ่าในตัวเขาจะเยอะไปหน่อย

                 “กูรู้นะมึงยังไปยุ่งกับเขาอยู่” ไอ้จิงพูดดักคอ “ระวังซ้ำรอยเดิม”

                “มึงไม่ได้กลิ่นแต่ทำไมรู้ดีจัง” ฮิมขำแล้วก็ตบไหล่เพื่อนเหมือนไม่จริงจัง “คุณน้ำค้างเขาไม่ยุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัวกูหรอก”

                “กูว่าเขาควรจะได้รู้ไหม”

                “รู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกมึง”

                ไอ้จิงเงียบ เพราะรู้ว่าฮิมคิดอะไรอยู่ในหัวไว้แล้ว และจะไม่ฟังคนอื่น

                “ไว้ถึงเวลา กูค่อยบอกตอนกูเคลียร์เรื่องจบละกัน”

                ฮิมสะพายกระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปหาคุณน้ำค้างหน้าประตู






                พอออกมาแล้วไม่เจอคุณแม่บ้านญี่ปุ่น ฮิมก็ขมวดคิ้ว เขาว่าเขาเห็นนะ ไอ้จิงก็เห็นนี่ ไม่ใช่หรือไง? ตอนแรกก็ว่าจะหาต่ออยู่หรอก แต่ดันเจอพี่รหัสตัวเองยืนตัวสูงอยู่ตรงใต้คณะซะก่อน

                “อ้าว พี่ทราย” เอ่ยทักแล้วก็เดินไปหา แล้วก็ต้องหยุดก่อนเพราะเหมือนพี่ทรายกำลังทักโอเมก้าคนอื่นอยู่ ฮิมเหมือนจะเคยเจอที่ไหนแต่ก็นึกไม่ออก ตัวขาวๆ ผมบลอนด์แบบนี้ คุ้นจังวะ

                “พี่ทราย” ตัดสินใจเดินเข้าไปทักแล้วก็ตีไหล่ไอ้พี่รหัสตัวเอง ก่อนจะโดนโอเมก้าตัวขาวที่คุยกับพี่ทรายหันมาหา แถมโดนย่นจมูกใส่อีกต่างหาก อ่า ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ นะ ทำเป็นเดินออกห่างเขายังดีกว่าย่นจมูกใส่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้อีก

                “อ้าวฮิม เพิ่งเรียนเสร็จเหรอ? จะไปไหนต่ออะ” พี่ทรายหันมายิ้มโทนสุภาพเช่นเคย และฮิมก็คิดว่าเขาควรจะได้กินข้าวฟรีจากไอ้พี่รหัสนี่บ้าง

                “กินข้าว พี่ไม่เลี้ยงเหรอ คราวที่แล้วผมเลี้ยงอะ แล้วพี่ก็หายหัวไปเลย”

                “เออพอดีเลย น้องกิม ไปกินข้าวด้วยกันไหม จะได้เลี้ยงคืนที่ช่วยวันนั้น”

                น้องกิมที่พี่ทรายเรียกหันมามองพี่ทรายก่อน แล้วค่อยหันมามองเขา พลางขมวดคิ้วย่นจมูก เอามือขึ้นมาบีบจมูกเหมือนจะกลั้นจาม ฮิมถึงกับยิ้มค้าง นี่เขาเหม็นขนาดนั้นเลยหรือไงนะ

                “คนที่อยากจะไปด้วยน่าจะเป็นเพื่อนผมมากกว่า” โอเมก้าผมบลอนด์พูดเสียงอู้อี้เพราะบีบจมูกไว้

                “เพื่อนตัวสูงๆ เมื่อกี้อะนะ” พี่ทรายถาม และฮิมเหมือนจะคุ้นๆ ขึ้นมาอีก

                “ใช่ ไม่รู้มันหายหัวไปไหนแล้ว” กิมตอบแล้วก็หันมาพูดกับฮิม “คุณฮิม คุณไปเดินล่อเพื่อนผมออกมาที มันไปหาคุณอยู่ในตึกน่ะ”

                ฮิมกำลังจะตกใจก่อนจะประมวลผลใหม่

                อ๋า ที่แท้ก็เพื่อนคุณน้ำค้างนี่เอง ก็ว่าคุ้นๆ

                “ผมเห็นคุณน้ำค้างอยู่หน้าห้องเมื่อกี้ แล้วก็หายไปไหนแล้วไม่รู้เหมือนกัน” ฮิมตอบแล้วก็ยิ้มแห้งๆ

                “คุณไปเดินๆ เดี๋ยวมันก็ออกมาเองอะ” กิมพูดแบบที่ยังบีบจมูกไม่เลิก พอรู้ว่าเป็นเพื่อนคุณน้ำค้างก็เริ่มจะสงสาร คงได้กลิ่นเขาบ่อยน่าดู ถึงได้รู้

                “ก็จริงครับ งั้นเดี๋ยวมา” ฮิมว่าแล้วก็แยกตัวไปอีกทาง ทิ้งให้กิมได้หายใจหายคอโล่งขึ้น






                “ไม่ชอบกลิ่นอัลฟ่าทุกคนเลยเหรอเราน่ะ”

                พี่ทรายเอ่ยทักขึ้นมาระหว่างที่กิมกำลังง่วนกดเกมในโทรศัพท์นั่งรอไอ้คู่อัลฟ่าเด๋อด๋าวิ่งไล่จับหากันในตึกคณะ

                “เปล่า ทำไมจู่ๆ พี่ถามแบบนั้น” กิมตอบแล้วก็จิ๊ปากหงุดหงิดคนเดียวเมื่อเกมที่เล่นแพ้ และต้องกดเริ่มใหม่

                “ก็เห็นดูไม่ชอบกลิ่นฮิม”

                “ไม่ชอบกลิ่นคุณฮิม เหม็นเขียว”

                คำตอบของกิมทำเอาพี่ทรายที่นั่งข้างๆ หัวเราะออกมา

                “ปากร้ายจังน้องกิม ไอ้ฮิมมันเสียเซล์ฟแย่”

                “ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่เห็นต้องโกหก”

                “แล้วกลิ่นพี่อะ”

                กิมถึงกับกดหยุดเกม หันไปมองพี่ทรายอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ระแวงนัก ในคราแรกก็คิดว่าระแวงพี่ทรายว่าจะละล้าบละล้วงใส่เขา แต่ตอนนี้กิมกลับระแวงตัวเองมากกว่าว่าจะแสดงออกอะไรที่ไม่เป็นตัวเองออกไป

                “ไม่ได้ไม่ชอบ”

                ตอบคำถามแบบอ้อมโลกไม่สมกับเป็นกิมเอาซะเลย แต่พี่ทรายคงไม่รู้ ถึงได้พยักหน้าให้เฉยๆ

                “อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” พี่ทรายชวนคุยไปเรื่อย กิมเองก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้างเพราะนั่งกดเกม ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรำคาญเขา แต่พี่ทรายดูจะไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเขาไม่ตอบก็แค่ถามซ้ำ ไม่ก็เปลี่ยนคำถามไปอีก

                “อยากกินอาหารญี่ปุ่น แบบพวกชุบแป้งทอด ไอ้น้ำไม่ยอมทำให้กินซะที” กิมพูดแล้วก็บ่นไอ้เพื่อนอัลฟ่าที่ทำอาหารเป็นแต่ไม่ยอมทำพวกชุบแป้งทอดให้เขากินซะที อ้างบอกว่ามันแป้งเยอะ กินยาก ทำยาก คืออยากจะถามมันมากว่ายากตรงไหน ดูในรายการทีวีก็แค่เอาเนื้อโปะแป้งโปะเกล็ดขนมปังแล้วก็โยนลงน้ำมันเนี่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเพื่อนตัวเอง

                “เพื่อนน้องกิมทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”

                “เป็น ซักผ้าพับผ้าตากผ้าก็เป็น อย่างกับแม่บ้าน ไปห้องมันทีไรคือสะอาดมาก” กิมพูดโดยไม่ได้คิดอะไร แต่คำถามต่อไปของพี่ทรายทำเอากิมถึงกับกดล็อกหน้าจอเกมและสำลักน้ำลายตัวเอง

                “เป็นแฟนกันปะเนี่ย”

                กิมไอและวางโทรศัพท์ไว้บนตักตัวเองทันที ไม่คิดว่าคำถามนี้จะออกมาจากปากพี่ทราย รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาเหมือนใครเอาไฟมาจี้คอ พี่ทรายดูจะงงๆ ที่จู่ๆ เขาก็ไอกะทันหันแต่ก็เอามือมาลูบๆ หลังให้แถมยังหาน้ำขวดมาจ่อถึงปากอีกต่างหาก

                “ไม่ ไม่ใช่ กับไอ้น้ำไม่ใช่แฟน เป็นเพื่อนกัน ทำไมพี่คิดงั้น”

                กิมรีบตอบหลังจากกระดกน้ำเข้าไปเกือบครึ่งขวด แก้ตัวเป็นพัลวันทั้งที่ปกติถ้าอัลฟ่าหน้าไหนจะเข้าใจผิดว่าเขากับไอ้น้ำเป้นแฟนกันก็ช่างหัวมัน แต่กับพี่ทราย กิมรู้สึกว่าต้องแก้ให้มันถูกต้อง

                “เอ๋า พี่ก็เดาเฉยๆ เห็นน้องกิมบอกอัลฟ่าคนนั้นในร้านสะดวกซื้อว่ามีคนคุยแล้ว”

                “อ๋อ...” กิมพยายามจะนึกแล้วก็นึกออกว่าตัวเองบอกปัดอัลฟ่าจอมน่ารำคาญคนนั้นไปยังไง “พูดปัดไปงั้นอะพี่ทราย ถ้าบอกว่ายังไม่มี เขาก็วอแวไม่เลิกอะดิ”

                “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” พี่ทรายทำหน้าเก๊ต “แล้วนี่ถ้าไม่เจอพี่ตอนนั้นจะทำไงเนี่ย”

                “ไม่รู้อะพี่ ตอนนั้นก็หงุดหงิดอยู่” กิมลองมานึกๆ ดูตามที่พี่ทรายบอกก็จริง ถ้าพี่ทรายไม่มาช่วยตอนนั้นเขาก็คงจะแย่อยู่ “แต่พี่อยู่ตรงนั้นนิ ช่างมันเถอะ”

                “แล้วน้องกิมไม่คิดจะจับคู่เลยเหรอ” พี่ทรายถาม กิมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนแก่กว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดเกมต่อ รู้ว่ามันเป็นคำถามเรื่อยเปื่อยที่ไม่คิดอะไร แต่ก็ยังอดตอบไปแบบนี้ไม่ได้ คล้ายจะพูดย้ำออกเสียงให้ตัวเองฟังด้วยในอีกนัยหนึ่ง

                “เมื่อก่อนก็ไม่ ตอนนี้อาจจะลองคิดๆ ดู”






                น้ำค้างเดินร่อนไปร่อนมาอยู่ในตึกหลายรอบแล้ว เพราะตอนแรกอยากจะเซอร์ไพร์สคุณฮิมหน้าห้องเรียน แต่พอคุณฮิมหันมาเห็นตามที่เพื่อนเจ้าตัวชี้ก็เลยรีบหลบออกมาก่อน แล้วพอกลับมาอีกทีป่าสนของเขาก็หายไปแล้ว

                น้ำค้างทำจมูกฟุดฟิดด้วยความเคยชิน แต่ก็ไมได้กลิ่นที่เขาโปรดปรานเลย สุดท้ายรู้อีกทีก็เดินร่อนตามหาทั่วตึก จนมาโผล่หัวอยู่ที่ห้องน้ำในตึกนี่แหละ แต่ก็ไม่เจอ

                “คุณน้ำค้าง”

                มีมือมาจับไหล่เขาจากด้านหลัง กับกลิ่นป่าสนที่แวบมาแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาน้ำค้างสะดุ้งโหยง แล้วหันไปผลักคุณฮิมที่มาแตะไหล่เขาจากด้านหลังติดกำแพงหน้าห้องน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว

                “อะไรกันคุณน้ำค้าง เราจะต้องคุยกันในห้องน้ำอีกแล้วเหรอ” คุณฮิมทำหน้างงๆ แล้วก็ยกยิ้ม “ผมยังไม่ได้ไปยุ่งกับใครเลยนา”

                “เปล่า คุณฮิม ผม...ตกใจเฉยๆ” น้ำค้างรีบปล่อยมือจากไหล่อีกฝ่ายแล้วก็พรูลมหายใจออกมา “ว่าจะชวนคุณไปกินข้าวสักหน่อย แต่หันมาอีกทีคุณหายไปแล้ว”

                “คุณนั่นแหละหายไป คุณแม่บ้าน ผมเก็บของแป๊บเดียวเอง” คุณฮิมหัวเราะแล้วก็เอามือมาแปะแก้มเขาเบาๆ เหมือนคราวที่แล้ว

                “ก็อยากจะเซอร์ไพร์สคุณฮิม แต่หันมาดูอีกทีคุณหายไปแล้ว”

                “ตลกอะ ทำไมต้องมานั่งหากันแบบนี้ด้วย”

                คุณฮิมหัวเราะแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีคนโทรมา น้ำค้างลอบมองว่าเป็นชื่อที่เมมว่า พี่ทราย พี่รหัส

                “ฮัลโหลพี่ทราย อ้าว ไปแล้วเหรอ...อะไรอะ ไม่รอเลย ไปเพราะคุณกิมอะดิ เหม็นผมน่าดู...เออโอเค อย่าลืมนะพี่ คราวหน้า ต้องเลี้ยงน้องเลี้ยงนุ่งบ้าง...โอเคๆ แค่นี้แหละ”

                 น้ำค้างฟังบทสนทนาแล้วก็งงๆ ทำไมชื่อเพื่อนเขาถึงไปอยู่ในนั้นด้วยวะ?

                “คุณกิมนี่เพื่อนคุณน้ำค้างใช่เปล่า” เหมือนคุณฮิมจะอ่านสีหน้างงงวยของเขาออก

                “อ่าใช่ แล้วทำไม ถึงไปกับ เอ่อ ใครนะ พี่ทราย?”

                “อ๋อ พี่รหัสผมอะนะ เห็นว่ารู้จักกันอะ พี่ทรายบอกว่าคุณกิมเขาหิวแล้ว เลยพาไปกินข้าวก่อน อีกอย่างคุณกิมไม่ชอบกลิ่นผมอะ เขาย่นจมูกใส่”

                คุณฮิมอธิบายเป็นฉากๆ แล้วก็เลียนแบบท่าทางกิม ไอ้เพื่อนจอมเถรตรง ที่เอามือบีบจมูก ขมวดคิ้ว แล้วก็ย่นจมูกใส่ป่าสนของเขาอีก ถ้าอยู่ตรงหน้าจะเอาขาถีบมันสักที ทำตัวขวานผ่าซากไม่เลิก

                “ว่าแต่พี่ทรายเขา...?” น้ำค้างถามค้างไว้ให้รู้กันเอง และคุณฮิมก็เข้าใจที่เขาจะสื่อ

                “อัลฟ่าครับ เนื้อหอมมาก คนอยากได้ทั้งมอ พี่แกเลยฉีดสเปรย์ดับกลิ่นตลอดเวลา ก็ไม่วายโดนรุมเพราะหน้าตาดีอยู่ดี” คุณฮิมพูดไปก็ขำไป แต่น้ำค้างค่อนข้างตกใจมาก ไอ้กิมไปกับอัลฟ่า? แถมยังเป็นอัลฟ่าที่น้ำค้างไม่คุ้นชื่อ? แล้วก็ยอมไปด้วยกันสองคน?

                ท่าทางจะต้องเก็บไปเค้นคอเพื่อนรักทีหลัง

                 “ว่าแต่เห็นบอกจะพาผมไปกินข้าวนี่คุณแม่บ้าน” คุณฮิมกอดอกพิงกำแพงแล้วก็เงยมองเขา

                “พอดีว่า...” น้ำค้างเอามือจับท้ายทอยแก้เก้อแต่ก็สะดุ้งเองเพราะคุณฮิมทิ้งแผลไว้ให้ ถึงกับต้องหยุดพูดแล้วขมวดคิ้วมองตัวคนข่วนที่ยืนยิ้มหวานอยู่หน้าเขา

                “เจ็บเหรอ ผมโดนกัดจนช้ำยังไม่บ่นเลย” คุณฮิมทำท่าจะปลดกระดุมให้ดูรอยที่เขาทิ้งไว้จริงๆ น้ำค้างเลยต้องจับข้อมือไว้ให้หยุดก่อน จะบ้าตาย ไอ้น้ำเอ๊ย ไปกัดเขาไว้ซะขนาดนั้น

                “คือ..พอดีผมอยากลองทำเมนูใหม่ เพราะเพิ่งเจอสูตรจากเน็ตมา” น้ำค้างพูดช้าๆ “เลยอยากชวนคุณฮิมไปเป็นคนลองชิมที่ห้อง...ครับ”

                “อ้อ แบบนี้นี่เอง” คุณฮิมพยักหน้า “ก็เอาสิคุณน้ำค้าง”






                กิมล่ะอยากจะรัวรูปภาพใส่ไลน์ไอ้น้ำสักสิบรูป โทษฐานไม่ยอมทำชุบแป้งทอดให้เขากินจนเขาต้องมาเสียเงินกินเองที่ร้านอาหารญี่ปุ่น คิดได้แล้วก็ยกมือถือขึ้นมารัวรูปแล้วก็กดแชร์ส่งเข้าไลน์เพื่อนรักทันที พร้อมกับกดรัวสติ๊กเกอร์อีกชุดใหญ่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                ไอ้น้ำมันขี้ตกใจ ถ้าเปิดเน็ตทีน่าจะช็อกไปเลยเพราะแจ้งเตือนเด้งรัวๆ แค่นี้กิมก็สาแก่ใจแล้ว ถึงได้หยิบตะเกียบมาแกะเพื่อจะลงมือกินหมูชุบแป้งทอดที่อยากกินมานาน

                “น้องกิมนี่ แสบน่าดู”

                กิมเงยมองพี่ทรายที่นั่งตรงข้ามหลังจากตักหมูคำแรกเข้าปากแล้วก็ยักไหล่ด้วยใบหน้าเดิม อีกฝั่งคงจะเห็นว่าเขาทำอะไรถึงได้พูดยิ้มๆ แบบนั้น

                “ไอ้น้ำสมควรจะต้องโดนแบบนี้”

                “เป็นพี่ พี่ไม่กล้าขัดใจเลยเนี่ย”

                “พี่ทรายก็พูดไปงั้นแหละ”

                กิมตอบ แล้วก็เริ่มหั่นหมู แต่ยังไม่ทันหั่นเสร็จก็มีหมูชุบแป้งทอดอีกชิ้นหย่อนลงมาใส่จานเขาเสียก่อน กิมเงยหน้ามองคนคีบให้ซึ่งมีอยู่คนเดียวที่นั่งตรงข้ามเขา แล้วก็เลิกคิ้ว

                “เห็นดูอยากกินมาก เลยแบ่งให้” พี่ทรายว่ามางั้น

                “ผมดูเห็นแก่กินไปเลย”

                “นี่เต็มใจให้นะเนี่ย พี่ชอบกินตรงกลางสุด ยกชิ้นโปรดให้เลยนะ” อัลฟ่าไร้กลิ่นตรงหน้าเขายกตะเกียบขึ้นมาคีบตรงกลางตามมาให้อีกชิ้น กิมคร้านจะเถียง ถึงได้คีบชิ้นที่พี่ทรายคีบให้เข้าปาก หมูมันหวานๆ ผิดปกติ ชิ้นที่เขาทอดให้พี่ทรายนี่เอาไปเชื่อมมาหรือไงนะ

                “แล้วนี่ได้สั่งสเปรย์ดับกลิ่นรึยัง” กิมถามเพราะเพิ่งนึกได้ว่าเขาแนะนำร้านไป

                “อ๋อๆ สั่งแล้ว ก็ดีกว่าอันเก่าเยอะ” พี่ทรายตอบพลางหั่นเกี๊ยวซ่าที่อยู่ในจานเสริมแล้วคีบมาให้เขาอีก เอาซะกิมต้องมองตามมือที่ถือตะเกียบอีกคนด้วยใบหน้านิ่งๆ

                “โทษที ติดนิสัยหั่นให้คนอื่น ปกติหั่นให้น้องสาวตัวเอง” พี่ทรายรีบพูดด้วยกลัวจะเข้าใจผิด “แล้วนี่ทำหน้านิ่งแบบนี้คือไม่ชอบรึเปล่าเนี่ย”

                “เปล่า หน้าผมเป็นงี้แหละ” กิมตอบสั้นๆ ด้วยชินแล้วที่คนจะคิดว่ากำลังไม่พอใจอะไรอยู่ หน้าเขาค่อนข้างออกไปทางเหวี่ยงกับหยิ่ง คนพูดกันอยู่สองคำนี้

                “โอเค นึกว่าโกรธอะไร”

                “จะโกรธทำไม พี่พามากินหมูชุบแป้งทอด” กิมคีบเกี๊ยวซ่าเข้าปาก ทำไมเกี๊ยวซ่าก็หวานวะ งง งงมาก พี่ทรายมันแอบหยอดน้ำเชื่อมใส่เปล่าเนี่ย หวานทุกอันที่คีบให้

                “ชอบหมูชุบแป้งทอดขนาดนั้นเลย?”

                “อ่าฮะ”

                “แล้วมีอะไรชอบมากกว่านี้ปะ?” พี่ทรายถามขำๆ แต่กิมหั่นหมูตอบหน้าตายว่า

                “พี่ทราย”

                อัลฟ่าไหล่กว้างถึงกับเงียบ กิมเลยเงยหน้าขึ้นมามองด้วยใบหน้าเดิม เห็นใบหน้าดูดีทำตาโตวางตะเกียบลงเหมือนช็อกแล้วกิมก็ขำออกมาครั้งแรก

                “ล้อเล่น พี่ทราย ตลกว่ะ” โอเมก้าตัวขาวที่ปกติพูดจาตรงไปหมดทุกอย่างเอามือปิดปากขำตาหยี โดยทิ้งให้พี่ทรายคีบหมูเข้าปากเงียบๆ “พี่เชื่อจริงดิ?”

                “ก็ปกติเราพูดตรงอะ พี่ก็กลัวสิ” พี่ทรายตอบด้วยใบหน้าปูเลี่ยน

                “คิดมาก” กิมยักไหล่ใส่แล้วก็คีบหมูที่หั่นแล้วคืนใส่จานอีกคนบ้าง “ให้ ชิ้นนี้ชอบสุด”






                น้ำค้างยืนมองคุณฮิมชิมแกงเขียวหวานจากทัพพีลุ้นๆ วันนี้น้ำค้างลงมือทำแกงทั้งหม้อเองเพราะแม่จะแวะมาหาเย็นนี้ คุณฮิมเม้มปากขมวดคิ้วจนลักยิ้มบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม

                “มันยังจืดอยู่อะ เหมือนได้แต่รสกะทิ”

                “อ๋อ โอเค” น้ำค้างขมวดคิ้วแล้วก็หันไปใส่น้ำปลาเพิ่ม แล้วก็ขมวดคิ้วอยู่คนเดียวมองหม้อด้วยนิสัยทำอาหารอยู่คนเดียวแล้วก็จะยืนคิดอยู่คนเดียว จนเพิ่งหันไปเห็นคุณฮิมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาพอดี ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองจมจ่อมกับความคิดอีกแล้ว

                “คุณฮิม เบื่อไหมเนี่ย ผมเองก็มัวแต่มองหม้อ”

                “ไม่อะ ตลกดี คุณน้ำค้างรู้ตัวไหมว่าตัวเองน่าแกล้ง” คุณฮิมตอบแล้วก็ยิ้มอีก น้ำค้างจ้องลักยิ้มสองข้างนั่นอีก สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวยกนิ้วชี้ขึ้นไปจิ้มรอยบุ๋มนั่นทีนึง

                “จิ้มแก้มผมทำไมเนี่ย” คุณฮิมจับข้อมือเขาไว้ก่อนที่จะได้ทันชักกลับ

                “ลักยิ้มคุณ อยากทำแบบนี้นานแล้ว” น้ำค้างพูดแล้วก็ยิ้มเหมือนเด็กโดนจับได้ แล้วก็ต้องทำตาโตอีกรอบตอนคุณฮิมเดินเข้ามาประชิดเหมือนไล่ต้อนอีกรอบ

                “คุณฮิม เอ่อ”

                “เนี่ย ก็น่าแกล้งแบบเนี้ยคุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมทำหน้าเหมือนเป็นความผิดที่เขาทำตัวแบบนี้ น้ำค้างถึงกับพูดกลับไม่ถูก เขาไม่ได้อยากเกิดมามีบุคลิกที่เหมือนเหยื่อโดนล่าทั้งๆ ที่เป็นอัลฟ่าหรอกนะ ว่าแต่คุณฮิมก็เป็นอัลฟ่านี่ แล้วทำไมมันไม่สูสีกันเลยอะ ไอ้น้ำ สู้เขาหน่อยดิ

                “ไหน ชอบลักยิ้มผมเหรอ”

                คุณฮิมไล่ต้อนเขาจนลงไปนั่งกับโซฟาที่เดิมจนได้ แถมยังยื่นหน้าเข้ามาอย่างกับเดจาวู แล้วก็ส่งรอยยิ้มพันล้านวัตต์นั่นมาให้ ถึงจะบอกให้สู้เขาหน่อยแต่เอาจริงๆ น้ำค้างก็เป็นได้แค่คนป๊อดอยู่ดี

                “คุณฮิม เดี๋ยวแกงไหม้”

                “อยากกินแกงในหม้อมากกว่าผมอีกเหรอ”

                คุณฮิมถามแล้วก็หอมแก้มเขาเล่นเบาๆ เหมือนจะหยอก น้ำค้างที่บอกตัวเองให้หลับหูหลับตาสู้ก็ตัดสินใจหอมรอยบุ๋มตรงแก้มนั่นบ้าง แต่พอถอนริมฝีปากออกมา ก็ไม่ได้รู้สึกอันตรายน้อยลงเลย คุณฮิมเนี่ย ตัวอันตรายชัดๆ ก็แค่ลักยิ้ม ทำไมเขาต้องรู้สึกชอบขนาดนั้นนะ

                น้ำค้างไม่ได้จบแค่ที่ลักยิ้มข้างแก้มอยู่แล้ว

                “คุณฮิม ขอ...” น้ำค้างพูดประชิดริมฝีปาก คุณฮิมยิ้มเหมือนจะรู้อยู่แล้วถึงได้เป็นฝ่ายลดระยะห่างก่อน จูบกันกี่ครั้ง น้ำค้างไม่ได้รู้สึกว่าปั่นป่วนน้อยลงเลย แต่คราวนี้อะไรทำให้ใจกล้าดึงคุณฮิมขึ้นมาบนตักตัวเองก็ไม่รู้ กลีบปากขยับละเมียดไปตามใจตัวเอง ป่าสนของเขายังกลิ่นหอมเหมือนเดิม เหมือนครั้งแรก เหมือนทุกครั้งที่เจอ น้ำค้างคิดว่าอากาศและกลิ่นธรรมชาติด้านนอกคือสิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุดแล้ว แต่พอเจอคุณฮิม มันก็กลายเป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง เขาไม่นึกว่าคนๆ นึงจะมอมเมาเขาด้วยกลิ่นกายได้ขนาดนี้

                “คุณฮิม ชอบผมบ้างรึยัง”

                น้ำค้างถามเหมือนตัดพ้ออยู่ชิดริมฝีปาก เขากลัวอยู่ตลอดว่าตัวเองจะน่าเบื่อ จะเป็นแค่อัลฟ่าทื่อๆ ไม่ได้มีกลิ่นยั่วยวนเหมือนโอเมก้า ไม่รู้ว่าคุณฮิมจะรำคาญหรือเบื่อกันบ้างไหม

                “คุณน้ำค้างคิดว่าไง” คุณฮิมตอบทีเล่นทีจริงพร้อมรอยยิ้มที่ประดับมุมปากเสมอ

                “ผมไม่เคยอ่านคุณออกเลย”

                “แล้วคุณน้ำค้างล่ะ ชอบผมมากแค่ไหน” คุณฮิมไม่สนใจที่เขาตัดพ้อ แต่กลับจับกรอบหน้าเขาก่อนจะถาม

                “ก็ต้องชอบมากสิคุณฮิม ชอบจนจะบ้าตายอยู่แล้ว” น้ำค้างตอบเหมือนโดนสั่งให้ท่องมา “ผมกลัวคุณจะไม่ชอบเพราะผมเป็นอัลฟ่านี่แหละ”

                คุณฮิมนิ่งไปกับคำพูดประโยคสุดท้ายของเขา แล้วก็จูบย้ำที่ริมฝีปากเหมือนจะบอกว่าที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่มันผิด

                “ผมต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น” ป่าสนกระซิบด้วยใบหน้านิ่งสนิทเหมือนมีอะไรที่น้ำค้างยังเข้าไม่ถึงอยู่ คุณฮิมในบางทีก็ดูเหมือนใส่หน้ากากตลอดเวลา แต่เมื่อมองอีกทีก็รู้สึกเสมือนจริงจนน้ำค้าชักไม่แน่ใจว่าเขารู้จักทั้งหมดเท่าไหร่ของอัลฟ่าบนตักเขานี้

                “คุณฮิมมีอะไรที่...” น้ำค้างลังเลแต่ก็ถามออกไป “อยู่ในหัวรึเปล่า?”

                “ผมดูเหมือนเหรอ” ป่าสนของเขากลับมายิ้มใหม่อีกรอบเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น และน้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมยังคงฝังหัวใจไว้ใต้ผืนป่าไม่ให้เขาเห็น ท่าทางน้ำค้างจะต้องพยายามหรือไม่ก็ใช้เวลามากกว่านี้ กว่าจะได้รู้และสำรวจทุกตารางนิ้วของป่าสนผืนนี้

                “คุณฮิมอาจจะ...ยังไม่อยากบอกผมก็ได้” น้ำค้างพูดช้าๆ เขาไม่ถือสาหากจะไม่บอก เขาใช้เวลาหนึ่งปีกว่าไอ้กิมจะต้อนรับเขาเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว ถ้าหากจะต้องรอคุณฮิมหน่อย ก็คงไม่เป็นไร ขอเพียงอย่าเพิ่งหนีหายจากเขาไปก่อนเลย

                “น้อยใจเหรอคุณแม่บ้าน” คุณฮิมกำลังจะโน้มหน้าลงมาหาเขาใหม่ แต่เสียงกดรหัสหน้าประตูห้องทำเอาน้ำค้างเด้งตัวมานั่งหลังตรงแต่ยังกอดเอวคุณฮิมบนตักไม่ปล่อย นึกสงสัยว่าใครมา ไอ้กิมเหรอ ไหนบอกมันออกไปกินข้าวกับพี่ทรายไง

                ตอนเห็นแม่ตัวเองเดินเข้ามาน้ำค้างบอกเลยว่าอยากจะแกล้งตาย

                แต่เผอิญว่าแม่ไม่ใช่หมี แกล้งตายก็คงไม่เชื่อ

                แล้วเอาไงกับคุณฮิมดีวะ ไอ้น้ำ







tbc.


เหมือนโดนแม่จับได้ว่าพาผู้ชายมาบ้าน

แม่หนูไม่ได้ท้อง เพราะเป็นอัลฟ่า ตึ่งโป๊ะ

สามบาทห้าบาทค่ะอย่าใส่ใจ

ขอแสดงความเสียใจกับเรือฮิมน้ำนะคะ เรือคุณแตกค่ะ เรือที่ถูกต้องคือน้ำฮิม เราจะไม่ให้ทุกคนต้องลุ้นอีกแล้ว555555

ใครฮิมน้ำก็อย่าทิ้งเราเลยนะคะ หึก ขึ้นเรือใหม่กันเถอะ

ขอบคุณสำหรับฟีทแบคเช่นเคยนะคะ รักคุณคนอ่านทุกคนเลย

ฝากเพลงค่ะ dimple - bts สำหรับลักยิ้มคุณฮิม





feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you as always
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.6 (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: oily06 ที่ 09-07-2018 00:17:08
โอ้ นี่เรือเราเป็นเรือหลักหรือนี่   :-[ :-[ :-[
หลังๆมาน้ำค้างเริ่มเกรี้ยวกราดนี่ยื่นขามาฝั่งเรือน้ำฮิมเลย
พอนักเขียนมายืนยันอย่างนี้เราก็ปีนเรือเลยค่า  :กอด1:  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.6 (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-07-2018 17:31:12
อ้าว แม่มา คุณแม่บ้านญี่ปุ่นจะบอกแม่ว่ายังไง
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.6 (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 10-07-2018 07:16:28
ไหนๆ ก็อัลฟ่าทั้งคู่ ..สลับกันไม่ได้หรอคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.6 (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 10-07-2018 16:00:26
อ่านเม้น ของคนเขียนเรื่องไม่ท้องเพราะเป็นอัลฟ่า เราถึงกับลั่นหัวเราะจนน้ำตาซึมเลย
เฮ้อ...รุกเยอะๆนะคุณแม่บ้าน เดี๋ยวคุณป่าสนเค้าก็บอกเอง เรารู้นะว่าคุณป่าสนก็รู้สึกดีๆกับคุณแม่บ้านแล้วเหมือนกัน
หัวข้อ: Re:✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.7 (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 11-07-2018 00:15:48
chapter seven


                น้ำค้างยิ้มจืดๆ ให้แม่ตัวเองที่มองเขาสลับกับคุณฮิม หญิงวัยสี่สิบกว่าๆ มาพร้อมกับของเต็มสองมือ มือหนึ่งขนมจีน อีกมือหนึ่งถือพวกเนื้อสดมาตุนให้เขา ไม่รู้ว่าแม่ทำหน้างงเพราะเห็นเขาพาคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาห้องหรือว่าตกใจที่เห็นเขากำลังนัวกันอยู่ก็ไม่แน่ใจ หันมองคุณฮิมที่ยกมือไหว้สวัสดียิ้มหวานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็อยากลองแกล้งโคม่าดู เผื่อจะหนีปัญหาได้สักพักนึง

                “แม่ เอ่อ นี่คุณฮิม คณะบัญชี” น้ำค้างพูดแล้วก็ผายมือไปที่คุณฮิมที่ยิ้มค้างนานกว่าปกติ “แล้วไหนแม่บอกจะมาตอนเย็นไงครับ”

                “ก็แม่ส่งแชทมาบอกแล้วไงว่าจะเข้ามาก่อน ทำไมน้องน้ำไม่อ่านครับ”

                แม่พูดแล้วก็พยักเพยิดไปทางโทรศัพท์เขาที่วางอยู่ตรงโต๊ะแถวครัว ได้ยินเสียงคุณฮิมกลั้นขำมาจากหางตากับสรรพนามที่แม่เรียกเขาว่าน้องน้ำ น้ำค้างถึงกับยิ้มเจื่อน ไอ้เวร ไม่เท่เลย

                “แล้วเดี๋ยวนี่ น้องน้ำต้มแกงไว้ทำไมไม่ปิดแก๊สครับ เดี๋ยวก็ไหม้หมด”

                เหมือนแม่จะเห็นแกงเขียวหวานที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ตรงเตาแก๊สถึงได้รีบกุลีกุจอไปที่เตาแก๊ส เอาจริงๆ น้ำค้างก็ลืมเสียสนิทว่าตัวเองต้มแกงไว้ พอแม่หันไปสนใจเตาแก๊สกับตู้เย็นเขาก็เลยรีบหันมาหาคุณฮิมทันที

                “คุณฮิม ขอโทษทีอะ ไม่นึกว่าแม่จะมา”

                “ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ”

                คุณฮิมพูดยิ้มๆ แล้วก็ขำใหญ่ตอนน้ำค้างเอามือสองข้างก่ายหน้าผากเสยขึ้นไปยันหัวอีกครั้ง อยากกลั้นหายใจตายตรงนี้เลย ทำไมทำอะไรก็ดูไม่เท่ไม่หล่อเลยวะ ลูกชายแม่ไม่มีเมียสักทีเพราะเป็นได้แค่น้องน้ำนี่แหละ

                “ถ้าให้เดา แม่คุณน้ำค้างซีเรียสล่ะสิ” คุณฮิมยิ้มเหมือนจะรู้ทัน

                “ก็บ่นๆ แต่ผมไม่เคยมีคนคุยเป็นตัวเป็นตน ก็ไม่รู้แม่จะว่าไง” น้ำค้างตอบแล้วก็มองแผ่นหลังเล็กๆ ของแม่ที่เอาของใส่ตู้เย็นอยู่ “คุณฮิมโกรธรึเปล่า”

                “โกรธอะไรล่ะ ผู้ใหญ่ก็แบบนี้แหละ” คุณฮิมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วก็ทำหน้าเฉยๆ “ทำไมล่ะน้องน้ำ จะเลิกยุ่งกับผมเหรอครับ”

                “เห้ย! ไม่เลิก! คุณฮิม ผมไม่เลิกนะ” น้ำค้างรีบพูดเสียงดังด้วยนิสัยขี้ตกใจของตัวเอง จนแม่เขาหันกลับมามองว่าทำไมเขาเอะอะโวยวาย

                “พูดเหมือนผมขอเลิกเลย ยังไม่ทันคบกันเลยคุณ” คุณฮิมตีไหล่เขาให้ใจเย็นๆ

                “คุณฮิมคือ...” น้ำค้างรู้สึกเหมือนว่าต้องพูดอะไรสักอย่างให้คุณฮิมมั่นใจว่าเขาไม่ได้ถือเลยเรื่องที่เป็นอัลฟ่าด้วยกันเอง แต่แม่ดันเรียกมาจากในครัวเสียก่อน

                “น้องน้ำ! มาช่วยแม่ดูแกงหน่อยครับ!”

                “อ้าว น้องน้ำ ไปเร็ว แม่เรียกแล้วนะครับ” คุณฮิมได้ทีก็แซวต่อ ทำเอาน้ำค้างบีบขมับตัวเองพลางขานรับแล้วเดินไปหาแม่

                “แม่ ไม่เรียกน้องน้ำได้ไหมอะ” น้ำค้างว่าพลางคนแกงในขณะที่แม่เขาหย่อนมะเขือลงเพิ่ม

                “อายแฟนเหรอครับ” หญิงวัยทองพูดหน้าเรียบเฉย แต่น้ำค้างมือชะงักจากทัพพีที่จับอยู่ ทำตาโตหันมองแม่ที่ยังคงปอกมะเขือไม่รู้ไม่ชี้

                “แม่ เดี๋ยว คือ” น้ำค้างเริ่มติดอ่าง คนว่ากันว่าผีเห็นผี แต่แม่ไม่ใช่ผี ทำไมรู้เห็นกันไปหมด

                “ทำเหมือนแม่สายตายาวแล้วจะมองไม่เห็นอย่างงั้นแหละน้องน้ำ” แม่เขาพูดต่อด้วยเสียงไม่ยินดียินร้าย “มีอะไรไม่เล่าให้ฟังเลยครับ”

                “ก็แม่...ยังคุยๆ กันอยู่” น้ำค้างตอบเสียงอ่อย

                “หนูฮิมเขาเป็นเบต้าหรือโอเมก้าล่ะครับ” แม่ถามทั่วๆ ไป แต่น้ำค้างอยากเอาหน้าจุ่มหม้อแกงเขียวหวาน ปกติแม่เรียกใครว่าหนูนำหน้าแสดงว่าเอ็นดู เหมือนตอนเจอกิมเรื่อยๆ ก็เรียกหนูกิมอย่างงู้นอย่างงี้ มีช่วงแรกๆ ที่แม่เข้าใจว่าเขากับกิมดูใจกันอยู่ก็มี ไอ้กิมบอกว่าให้เขาเคลียร์กับแม่ด้วย เพราะมันจะอ้วก

                “เอ่อ แม่จะโกรธไหมอะ” น้ำค้างถามชิมลางดูอารมณ์แม่

                “โกรธอะไร”

                “ก็คุณฮิมเขา...”

                “หนูฮิมทำไม ไม่รักลูกแม่เหรอ หรือน้องน้ำไปทำเขาท้องก่อนคบ”

                “แม่! ไม่ใช่!”

                น้ำค้างเอะอะเสียงดังอีกรอบ เอาซะคุณฮิมโผล่หน้าจากโซฟามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ลุกเดินมาหาเขา

                “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” คุณฮิมถามแล้วก็โค้มตัวนิดๆ ให้แม่เขาก่อนจะใช้รอยยิ้มการค้าแบบที่สตาร์บัคมาแปะไว้บนหน้า

                “หนูฮิม แม่ถามอะไรหน่อย น้องน้ำทำอะไรหนูรึเปล่าเนี่ย” แม่เขาพอได้ตัวต้นเหตุก็หันมาจับหมับที่แขนป่าสนของเขาทันที แถมยังขมวดคิ้วถามเหมือนเขาทำคุณฮิมท้องจริงๆ ทั้งที่อีกฝ่ายท้องไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

                “น้องน้ำกัดเจ็บครับคุณแม่”

                คุณฮิม! เดี๋ยวก่อน! น้ำค้างหันขวับทำตาโตกำลังจะแก้ตัวแต่แม่เขาโดนคุณฮิมลากไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว อยากจะเดินตามไปแต่ก็ต้องเฝ้าแกงเขียวหวานตรงหน้า ถ้าเขาหายไปก็ไม่ต้องสงสัย เอาตัวเองลงหม้อไปแล้ว

                แต่สุดท้ายน้ำค้างก็แอบเงี่ยหูฟังอยู่ดี

                “อย่าไปยอมน้องน้ำมากนะครับ น้องน้ำเขาเบ๊อะบ๊ะ ฝากดูแลด้วย”

                ทำไมแม่ต้องพูดแบบนั้นอะ คือลูกชายแม่ก็ไม่ได้ขนาดนั้นไหม

                “แล้วหนูฮิมนี่ไม่แปลกใจเลยทำไมน้องน้ำชอบ กลิ่นเขียวเหมือนสนามหญ้าหน้าบ้านเลยครับ”

                แม่! คุณฮิมเขากลิ่นป่าสนต่างหาก! แล้วเขาก็ไม่ได้ชอบกลิ่นหญ้าโว้ย น้ำค้างได้แต่ตะโกนโอดครวญในใจ คือถ้าชอบกลิ่นหญ้าเขาน่าจะชอบวัวชอบควายแล้วล่ะ แม่พาน้องน้ำไปปล่อยชนบทได้เลยครับ

                “แล้วสรุปน้องน้ำไม่ได้ทำอะไรหนูฮิมใช่ไหมเนี่ย?”

                น้ำค้างหันไปมอง เห็นคุณฮิมส่ายหน้ายิ้มๆ

                “น้องน้ำโกหกผมตอนเจอกันครั้งแรกว่าเป็นโอเมก้าครับคุณแม่”

                น้ำค้างหูผึ่ง ไม่คิดว่าคุณฮิมจะเป็นคนเริ่มต้นเล่าเอง แอบหันไปมองอีกรอบก็เห็นว่าแม่เขาเริ่มทำหน้างงๆ น้ำค้างกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ คิดถึงเวลาแม่ปรี๊ดแตกใส่ทีไรก็อยากจะไปกอดเข่ามุมห้องทุกรอบ พ่อก็ไม่อยู่ห้ามด้วย จะโดนดุอีกไหมนี่

                “อ้าว หนูฮิมเป็นอัลฟ่าเหรอครับ”

                “ใช่ครับ”

                มื้อเย็นจะได้รับประทานแกงเขียวหวานอย่างสงบสุขหรือไม่นะ น้ำค้างลอบคิดในใจแล้วก็คนแกงต่อเงียบๆ

                “แล้วแบบนี้ทำไงล่ะเนี่ย หนูฮิมจะทิ้งน้องน้ำไหม”

                “แม่” น้ำค้างเรียกพอถึงประโยคนั้น คุณฮิมขำน้อยๆ แต่แม่เขาขมวดคิ้วกลัวคุณฮิมจะทิ้งจริงๆ คือยังไม่ทันได้คบกันเลย ทำไมแม่ถึงขี้กังวลแบบนี้

                “แม่ก็ต้องถามก่อนสิครับ ถ้าเกิดหนูฮิมหรือน้องน้ำเกิดไปติดใจโอเมก้าคนอื่นขึ้นมาทำไง” แม่เขาพูดแล้วน้ำค้างก็อยากจะแทรกแต่แม่พูดต่อ “น้องน้ำยิ่งไม่เคยมีแฟนเลย แม่ก็ต้องห่วงสิ อัลฟ่าทั้งคู่แม่ไม่เคยเห็นคู่ไหนคบกันรอดเลยนะ”

                น้ำค้างเงียบ แม่เขาไม่ได้กังวลที่จะมีลูกให้ไม่ได้ แต่แม่ก็แค่กังวลว่าจะอยู่กันไม่รอด ก็เท่านั้น สำหรับน้ำค้าง เขาเป็นคนค่อนข้างยึดติด เขาไม่เคยคิดถึงคนอื่นเวลามีใครที่ชอบจริงๆ แต่สำหรับคุณฮิม ลึกๆ แล้วน้ำค้างก็กลัว ว่าคุณฮิมจะมาหยอกเล่นกับเขาเฉยๆ 

                “แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังไม่ทันได้คบเลย” น้ำค้างพูดตัดบทให้แม่เลิกซักถามคุณฮิม “ไปชิมแกงให้ผมหน่อย ไหนบอกอยากกินแกงเขียวหวานไง”

                แม่เขาลุกไปที่หม้อ แล้วน้ำค้างก็หันมาหาป่าสนของเขาที่มองหน้าเขายิ้มๆ

                “คุณฮิม เอ่อ อึดอัดรึเปล่า”

                “ไม่หรอกคุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมยิ้มหวานให้ แต่น้ำค้างรู้สึกว่าในแววตาที่อ่านไม่ออกนั้นมีอะไรวูบไหว

                มื้อเย็นวันนั้น ป่าสนของเขาวังเวงกว่าที่เคย และหมอกลงหนาจัดเสียจนมองไม่เห็นทิวทัศน์ที่ชัดเจน






                ฮิมไม่ได้แตะแอลกอฮอล์มานานมากพอๆ กับบุหรี่ คิดถึงบ้างในรสและควันที่เผาไหม้ แต่พอนึกถึงตอนที่กว่าจะเลิกได้อย่างลำบากยากเย็น ก็เลือกที่จะไม่แตะอีก

                ส่วนแอลกอฮอล์ ฮิมเลือกให้มันเป็นเพื่อนแก้เหงาในคืนนี้

                “คิดไงมาดื่มวะ”

                “เบื่อ อยากเหล้าเฉยๆ”

                “ตอแหล มึงกินเหล้าทีไรก็มีสาเหตุทุกที”

                ฮิมยกมุมปากให้ไอ้จิงอย่างเกียจคร้านจะต่อล้อต่อเถียง  มือยกแก้วขึ้นจิบแอลกอฮอล์สีใสล้อกับแสงในบาร์ เพลงแจ๊สเปิดคลอพอให้เป็นเสียงรบกวน

                “แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องทำพาร์ทไทม์เหรอวะ”

                “อือ มีพี่ขอแลกกะ”

                “อย่าแดกเยอะ พรุ่งนี้ยังต้องเรียน”

                “เป็นผัวเหรอมาสั่ง” ฮิมตอบแบบกวนประสาทเพื่อน ในหัวนึกถึงคุณน้ำค้างขึ้นมากลายๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ รายนั้นคงตามใจเขาน่าดู แต่ก็คงดุถ้าเขาจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้

                “ให้กูเรียกผัวมึงมาจริงๆ ไหมล่ะสัดฮิม”

                ฮิมรู้ว่าไอ้จิงหมายถึงคนไหน

                “รู้ดี”

                “มึงเลิกไปป้วนเปี้ยนกับเขาได้แล้ว” ไอ้จิงกระดกเข้าปากตัวเองบ้าง

                “ถ้าสั่งแล้วกูเลิก มึงคงเป็นพ่อกูได้แล้วล่ะ”

                “ทำไมมึงเหล้าเข้าปากแล้วปากดีจังวะ”

                “ไม่ชิน?”

                ไอ้จิงถอนหายใจเสียงดังแบบจงใจให้เขารำคาญ แต่ฮิมมีเรื่องให้คิดในหัวมากกว่าจะมานั่งสนใจเพื่อนสนิทตัวเอง มองแก้วแล้วก็เอานิ้วไล้ไปตามหยาดน้ำที่เกาะพราวอยู่อย่างใจลอย คิดถึงคุณน้ำค้างขึ้นมาอีกรอบแบบไม่ได้ตั้งใจ ด้วยหยดน้ำเม็ดละเมียด ชวนให้คิดถึงชื่ออัลฟ่าตัวโตแต่ทำตัวเป็นแม่บ้านขึ้นมา

                “แล้วคนใหม่เขาไม่หวงแย่เหรอวะ”

                “หวง” ฮิมตอบพลางเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ยังทิ้งรอยช้ำไว้อยู่ “กัดเจ็บ”

                “มึงจริงจังไหม”

                “จริงจังดีไหมล่ะ”

                เพื่อนสนิทเงียบลง ฮิมพูดตอบสิ่งที่อยู่ในหัวไป เขาไม่ได้อยากจะตัดสินใจอะไรตอนนี้ ด้านชาเกินกว่าจะไปต่อ แต่ก็เหงาเกินกว่าจะอยู่คนเดียว จริงจังแล้วจะมีอะไรดีขึ้นไหม หรือจริงจังแล้วจะเป็นการไม่แฟร์ต่อตัวเอง เพราะคนที่เจ็บปวดที่สุดในการเทหมดหน้าตักก็คือตัวเขาเอง ฮิมเรียนรู้จากการเก็บเศษเสี้ยวของตัวเองมาประกอบกันทีละน้อย เรียนรู้จากควันบุหรี่ทั้งหมดที่อัดอยู่ในปอดจนแทบจะเหมือนควันไฟที่เผาไหม้โขมง

                ดื่มไปสักพักเพื่อนก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์ ท่าทางจะเป็นธุระในคณะ เห็นบอกอาจารย์โทรมา ฮิมได้ทีเลยสั่งมากระดกทีเดียวแรงๆ นึกๆ ดูก็น่าจะมาคนเดียวเพราะจะได้ไม่มีคนห้ามเวลาอยากกินเยอะๆ แต่ที่ต้องลากเพื่อนมาก็เพราะจะให้มาเก็บศพเขากลับนั่นแหละ

                  สติค่อยๆ จางลงทีละนิด ฮิมดื่มเหมือนน้ำ และก็เพิกเฉยกับจำนวนที่อยู่ในกระแสเลือด ความร้อนที่จ่อคอและท้องไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องเลิก คนเรานิยามแอลกอฮอล์ว่าสามารถทำให้ลืมเรื่องได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่มันผิดทั้งหมด เพราะเขาเอาแต่จำ จำได้ดี จำได้ทุกประโยค ทุกคำพูด ทุกการกระทำ จำเหมือนมีคนมาเปิดแผ่นและบังคับให้ดูทั้งๆ ที่ไม่อยาก ไม่เคยมีอะไรดีเลยในความสัมพันธ์ ไม่เคยมีอะไรดีเลยในการพยายามจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องและยืนยาว

                “ไอ้เพื่อนเวร กูบอกว่าอย่ากินเยอะ นอนฟุบโต๊ะเลย ไอ้สัดเอ๊ย”

                จิงกลับมาหลังจากหายไปเกือบชั่วโมง แล้วก็ด่าเขาจริงๆ ด้วย ฮิมยิ้มขำน้อยๆ เมื่อเห็นเพื่อนหัวเสีย

                “ไม่ต้องมายิ้มไอ้เหี้ย กูไม่ลากมึงกลับแน่วันนี้ เมียกูนอนอยู่ห้อง”

                ไอ้จิงด่าเสร็จก็มาล้วงหาโทรศัพท์เขาในกระเป๋ากางเกง ทำเอาฮิมต้องจับข้อมือเพื่อนให้หยุด ไอ้จิงมันโทรจริงๆ แน่ และฮิมไม่อยากจะให้โทรหา...

                “กูไม่ได้จะโทรหาเขา จะโทรหาใครก็ได้ที่แบกมึงกลับได้” เพื่อนสนิทเสียงอ่อนลงเมื่อเขาจับมืออีกคนแน่น ก่อนจะเปิดหารายชื่อ “ใครดีวะ เอาคนที่ไว้ใจได้ แล้วนี่...ฮิมมึงจ้างแม่บ้านเหรอ”

                ฮิมขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกถึงคุณน้ำค้างขึ้นมาถึงพยักหน้าไป แม่บ้าน...อือ ก็แม่บ้านจริงๆ นั่นแหละ

                “แม่บ้านญี่ปุ่นด้วยว่ะ มึงจ้างเขามานี่คุยรู้เรื่องเหรอวะ” ไอ้จิงยังคงบ่นให้เขาฟังต่อ โดยที่เขาไม่ได้ตอบอะไรเพราะมึนเกินกว่าจะอ้าปากพูด “เออแล้วกูจะคุยรู้เรื่องไหมวะ ภาษาญี่ปุ่นเวลารับสายเขาต้องพูดอะไรอะ หรือแม่บ้านมึงพูดอังกฤษได้ ไอ้ฮิม มึงตอบกูหน่อยดิ๊”

                เสียงของไอ้จิงตอนนี้กลายเป็นแบคกราวด์ไปแล้วสำหรับฮิม

                “เออ โทรก็โทรวะ” จิงกดโทรออก ก่อนจะรอสาย






                น้ำค้างมองนาฬิกา ตอนนี้เวลาสี่ทุ่ม และคุณฮิมกำลังโทรมาหาเขา

                น้ำค้างวางมือจากเม้าส์ที่กำลังร่างโครงอยู่ในโปรแกรม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์รับสาย อะไรทำให้ป่าสนโทรมายามค่ำคืน สำหรับน้ำค้างมันไม่ดึกดื่น แต่ก็ดึกกว่าที่คุณฮิมจะโทรมา และไม่ใช่วิสัยเลยด้วยซ้ำ

                “ฮัลโหลครับ”

                [ไฮ่ อาร์ยูแม่บ้าน... ไอ้เวร แม่บ้านญี่ปุ่นภาษาอังกฤษคืออะไรวะ ไอ้ฮิม ไอ้สัดฮิม! มึงตื่นมาตอบกูหน่อย กูโง่]

                น้ำค้างถึงกับต้องวางโทรศัพท์ไว้กับโต๊ะแล้วกดเปิดลำโพง ก่อนจะมองหน้าจอเหมือนไม่เคยรู้จักคุณฮิมมาก่อน นี่คือใคร แล้วใช้เบอร์คุณฮิมโทรมาหาเขาได้ยังไง แล้วแม่บ้านญี่ปุ่นนี่มันอะไร อาการแพนิคในตัวน้ำค้างเริ่มจะก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย คุณฮิมเป็นอะไร หรือเขาจะโดนทิ้งแบบที่แม่บอกจริงๆ

                “เอ่อ ขอโทษนะครับ นี่ใคร”

                [แม่บ้าน...ทำไมพูดไทยได้วะ แล้วเสียงแมนมาก แม่บ้านมึงเทคฮอร์โมนเหรอวะฮิม]

                เสียงกุกกัก กับเสียงเพลงแจ๊สที่ดังออกมาจากปลายสายทำเอาน้ำค้างถึงกับต้องโน้มหน้าเอาหูลงไปติดกับลำโพง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วเอาตัวออกมาอีกรอบ ทำไมมีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ อะไรทำให้คนเข้าใจว่าเขาคือแม่บ้านญี่ปุ่นจริงๆ ได้

                “เอ่อ ผมเพื่อนคุณฮิมครับ ชื่อน้ำค้าง” น้ำค้างตอบ แอบเฝื่อนคอกับคำว่าเพื่อนเบาๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าคนคุยเต็มปากเต็มคำ ในใจหนึบๆ อยู่ที่ใครก็ไม่รู้โทรมาแถมเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแม่บ้าน หรือจะเป็นแฟนที่แท้จริงของคุณฮิมกันแน่ เขาจะโดนรุมซ้อมไหม

                [เอ้า ชื่อคุ้นจังวะ นี่คนใหม่มึงเหรอฮิม ละทำไมเมมชื่องี้วะ มึงจะจ้างเขาหรือมึงจะเป็นเมียเขา]

                “เดี๋ยวครับ เดี๋ยว! คือ...ยังไม่ได้คบ!”

                [เออ เดี๋ยวก็ได้เองแหละคุณ มารับซากเพื่อนผมที ทำความดีเยอะๆ ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้ามาเก็บซากเมียก็จะเป็นยอดผัว เฉียบๆ]

                เฉียบตรงไหนวะ คือไม่เก๊ต

                “เดี๋ยว คือคุณฮิมเป็นอะไรเหรอครับ”

                [เมาแอ๋เป็นหมา ผมเอามันกลับไม่ได้เพราะเมียนอนอยู่ห้อง คุณมาเอากลับที]

                น้ำค้างถึงกับกะพริบตาปริบๆ มองหน้าจองานแล้วก็มองโทรศัพท์ ถ้าเอาคุณฮิมมาห้องเขาจะได้งานไหม แต่ประเด็นคือตกใจที่คุณฮิมไปเมาอยู่คาบาร์ ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนที่ต้องไปรับ แต่เป็นห่วงว่าอีกคนคิดอะไรอยู่มากกว่า เขาน่ะขี้กังวลและคิดมากเป็นที่หนึ่ง

                “เดี๋ยวผมไปครับ”

                รับคำกับสถานที่มาแล้วก็หยิบ...กระเป๋าเงินเพื่อจะลงไปเรียกแท็กซี่

                คิดเหรอว่าจะเท่มีรถขับ ทำเป็นหยิบกุญแจรถ ความจริงมีบัตรแรบบิทใช้ขึ้นบีทีเอสก็หรูแล้ว

                น้ำค้างนั่งแท็กซี่ไปถึงบาร์ที่ว่าแล้วก็รีบลงเดินเข้าไปหาตัวคุณฮิม กลิ่นหอมปนกันมั่วไปหมดจนกลายเป็นฉุนจมูก น้ำค้างไม่ชอบไปผับไปบาร์ก็แบบนี้ กลิ่นตีปนกันมั่วเสียจนแยกไม่ออก หาเสน่ห์จากการมาที่นี่ไม่ได้เลยในสายตาเขา

                สาวเท้าเดินไปตรงเคาทน์เตอร์แล้วก็เจอกับป่าสนของเขาและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ท่าทางจะเป็นคนเดียวกับที่คุยกับเขา

                “ฝากเพื่อนผมด้วย คลาดสายตาแป๊บเดียวแม่งแดกเหมือนนมแม่ กินเหล้าไม่ได้ทำให้มึงโตขึ้นหรอกไอ้สัด” เพื่อนคนเดียวกับที่โทรมาหาเขาเอานิ้วชี้จิ้มๆ หัวคุณฮิมแรงๆ สองสามที จนน้ำค้างต้องจับข้อมือให้พอ กลัวหัวจะเป็นรูซะก่อน

                “เขาจะอ้วกไหมครับ” น้ำค้างถามด้วยความเตรียมพร้อม ในใจคิดไว้แล้วว่าถ้าจะมารับคนเมาต้องได้เช็ดอ้วกแน่นอน

                “ไม่อ้วก แต่พูดมาก แล้วก็จะกอดหนึบ” เพื่อนคุณฮิมว่าก่อนจะทำท่ากอดตัวเองเหมือนสาธิต “คุณเคยเห็นโคอาล่าเกาะต้นไม้ปะ ท่านั้นอะ เกาะไว้จนกว่าจะหลับ ไม่ยอมนอนถ้าไม่ได้กอดตัวคน”

                น้ำค้างพยักหน้า แล้วก็ลอบถอนหายใจ กอดอย่างเดียวก็ดี เขาจะได้ไม่หัวใจวายคาห้อง

                แต่พอพากลับมาถึงห้องได้ เขาก็จัดการเอาคุณฮิมหย่อนลงเตียงก่อนอันดับแรก พอเห็นอีกคนไม่ตื่นขึ้นมาอีก น้ำค้างก็โล่งใจ โอเค จะได้ทำงานต่อสักที

                แต่...พอนั่งทำไปสักพักน้ำค้างก็รู้สึกคาใจขึ้นมาอีกเหมือนว่าต้องทำอะไรสักอย่าง มือเลื่อนเอาเม้าส์วนไปวนมาอยู่หน้าแบบโครงร่าง ปรับนู่นเปลี่ยนนี่ แต่ก็ไม่หายคาใจ จนหันไปมองคุณฮิมที่นอนอยู่บนเตียงนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่านิสัยแม่บ้านของตัวเองมันติดเป็นสันดานที่แกะไม่ออกจริงๆ ด้วย

                อัลฟ่าตัวโตลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ปลายเตียง มือค่อยๆ ยกเท้าคุณฮิมขึ้นมาถอดถุงเท้าให้ทีละข้าง เดินอ้อมไปข้างเตียง แล้วก็แกะเนคไท กับปลดกระดุมเม็ดบนออกให้ แล้วก็ม้วนทุกอย่างวางไว้โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินกลับมาหย่อนตูดทำงานต่อ

                ซึ่งพอนั่งไปได้อีกสิบนาที น้ำค้างก็รู้สึกตงิดใจว่ายังทำอะไรไม่ครบอีก หันไปมองคุณฮิมอีกรอบ จนขาเจ้ากรรมเดินไปที่ห้องน้ำ หยิบกะละมัง กับผ้าขนหนูผืนเล็ก ก่อนจะชุบน้ำแล้วก็เดินกลับมาที่เตียงแบบย่องๆ เพราะกลัวน้ำจะกระฉอกเต็มพื้นห้อง อย่าคิดว่าเขาโตป่านนี้จะไม่เคยลื่นล้มในพื้นห้องน้ำเปียกๆ น้ำค้างบอกเลยว่าไอ้กิมมันยืนขำอยู่หน้าประตูส้วมแทนที่จะมาช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น เพื่อนตายสุดๆ

                มือจับผ้าขนหนูลงมือเช็ดในส่วนที่พอจะเช็ดได้ ม้วนขากางเกงขึ้นมาถึงเข่า ปลดกระดุมเสื้อแล้วก็เลิกขึ้นเพื่อเช็ด เสยผมหน้าม้าก่อนจะค่อยๆ เช็ดเบาๆ เพราะกลัวอีกคนจะตื่น น้ำค้างคิดว่าตัวเองมือเบามาก จนกระทั่งกำลังจะพลิกตัวเช็ดด้านหลังนั่นแหละ คุณฮิมถึงได้ปรือตาชูแขนสองข้างขึ้นมา

                ไอ้ชิบหาย ตื่นเหรอ

                “คุณน้ำค้าง”

                “ครับ?”

                “กอดหน่อย”

                น้ำค้างกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ยอมวางผ้าขนหนูลง แล้วโน้มลงไปกอดคุณฮิมตามที่อีกคนอ้าแขนมาให้

                “อยู่อย่างงี้จนตื่นเลยนะ” คุณฮิมพูดในคอ ซึ่งน้ำค้างว่ามันไม่ถูกต้องน่ะซี่ มือเอื้อมกลับไปคลำหาผ้าขนหนูเปียกน้ำหมาดๆ ผืนเมื่อกี้ก่อนจะค่อยๆ ใช้แขนที่กอดคุณฮิมอยู่ฉุดให้ลุกขึ้นมาเป็นท่านั่งกอดกันแทน

                “ขอเช็ดหลังก่อนนะคุณฮิม” น้ำค้างบอกอยู่ตรงไหล่แล้วก็ล้วงไปใต้ชายเสื้อด้านหลังเพื่อจะเช็ดให้ แต่จะกอดแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ คุณฮิมยังไม่ได้...

                “คุณฮิม เดี๋ยวปล่อยก่อน ต้องแปรงฟัน” น้ำค้างพูดแล้วก็แปะๆ ที่หลังอีกคนเบาๆ

                “ไม่เอา คุณน้ำค้าง จู้จี้”

                เป็นครั้งแรกที่โดนคุณฮิมว่าเข้าให้ แต่น้ำค้างรู้สึกว่าคุณฮิมต้องได้แปรงฟันก่อน

                “เดี๋ยวผมแปรงให้ คุณฮิมแค่นอนเฉยๆ ไง แต่ขอไปหยิบแปรงสีฟันก่อน” น้ำค้างบอกแล้วก็เสยผมชื้นเหงื่อให้คุณฮิม

                “ใจดีมาก เหมือนผมเป็นง่อยเลย”

                “ครับ?” น้ำค้างฟังไม่ค่อยชัด แต่ก็แกะแขนของคนเมาออกมาได้ เขารีบพุ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อหาแปรงสีฟันสำรองที่ซื้อมาตุนให้ตัวเอง บีบยา หาแก้วน้ำให้อีกคนบ้วนปาก แล้วก็ย่องเหยาะๆ กลับมาท่าเดิมด้วยกลังคุณฮิมจะหงุดหงิดที่เขากลับไปช้า

                “อ้าปากหน่อยคุณฮิม” น้ำค้างบอกแล้วก็แหย่แปรงเข้าปากอีกคนที่หลับตาเผยอปากให้เขาแต่โดยดี น้ำค้างไม่เคยแปรงฟันให้ใคร และไม่ได้เรียนทันตแพทย์ เลยไม่รู้ว่าแปรงสะอาดไหม แต่อย่างน้อยคุณฮิมจะได้ไม่ต้องตื่นมาเหม็นๆ หรือฟันผุ การตื่นมาโดยไม่ได้แปรงฟันและไปดื่มเหล้ามามันออกจะไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยนะ

                พอจัดการความสะอาดเรียบร้อยแล้วน้ำค้างก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทีนี้คุณฮิมจะได้นอนหลับสบายๆ แล้ว

                “คุณน้ำค้าง ไปไหน”

                แต่น้ำค้างลืมคิดไปว่าคนเป็นหมอนข้างมนุษย์คนเดียวในห้องคือตัวเขาเอง

                “เอ่อ ทำงานต่อ...ครับ”

                คุณฮิมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับชูแขนสองข้างค้างอยู่เหนือตัวเองแบบนั้นทั้งๆ ที่น้ำค้างก็จัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้ว คนเป็นเด็กสถาปัตย์ถึงกับจับท้ายทอยอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่สุดท้ายด้วยความใจอ่อน ก็เลยยกแลปท็อปก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงข้างๆ แล้ววางแล็ปท็อปไว้บนตักตัวเอง

                คุณฮิมเหมือนรู้ว่าเขายอมตามใจแบกงานมาทำตรงเตียงแทนโต๊ะ ก็จัดการพลิกตัวนอนตะแคงหันข้างมากอดเอวเขาไว้ หัวเกยขึ้นมาบนตักนิดหน่อย ก่อนจะนอนหลับเหมือนที่เพื่อนคุณฮิมพูดไว้จริงๆ

                ส่วนน้ำค้างไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะไม่ได้นอน เสียงไอ้กิมลอยมาในหัวว่า เป็นเด็กสถาปัตย์ใครเขานอนกัน เพ้อเจ้อ

                แต่ตอนลุกไปแปรงฟันเนี่ยสิ จะลุกยังไง คุณฮิมกอดแน่นขนาดนี้

 







tbc.





คุณน้ำค้างผู้ชายอบอุ่นดั่งเครื่องซักผ้า

ช่วงนี้ตอนแต่งฟังแต่เพลงแปลกๆ วนไปวนมาค่ะ แบบไม่เข้ากับฟีลเรื่องเลย

แบบเพลง the light is coming out - ariana grande กับ apeshit - the carters

ขอบคุณสำหรับทุกฟีทแบคเช่นเคยนะคะ







feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

thank you as always



หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.7 (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 11-07-2018 00:37:24
คุณแม่บ้าน อบอุ่นเหมือนมีแม่บ้านอยู่กับตัวจริงๆ เลย 555 ตอนนี้เอ็นดูน้องน้ำ จนอยากมีคุณแม่บ้านเป็นของตัวเองแล้วค่าา
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.7 (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 11-07-2018 05:32:15
น้ำค้างก็สมกับที่ถูกเรียกว่าแม่บ้านจริงๆ
ตอนคุณแม่ของน้ำค้างคุยกับคุณฮิมเราแอบคิดว่าคนเขียนจะพามาม่าเรื่องอัลฟ่าคบกับอัลฟ่าไปกันไม่เคยรอดซะอีก แต่ก็เข้าใจนะ แต่ก็ไม่อยากให้มาม่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.7 (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-07-2018 08:44:58
คุณแม่บ้านน้องน้ำ น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.8 -100%- (14/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 13-07-2018 22:21:03
chapter eight



                 ขึ้นชื่อว่าเป็นอัลฟ่า ย่อมรู้ว่าเป็นประเภทหวงของจัด โดยเฉพาะของที่เคยเป็นของตัวเองแล้วตกไปอยู่ในมือของคนอื่นโดยมิได้ยินยอม

                เปลือกตายังคงปิดสนิท หัวหนักอึ้ง ประสาทสัมผัสคล้ายจะรับรู้แต่ก็ไม่ ฮิมฝังตัวอยู่กับกองผ้าห่มและความอบอุ่น ในหัวสมองยังคงโลดแล่นจมดิ่งอยู่ในภาพฝันยามก่อนรุ่งสาง ความฝันในฤดูร้อนที่มีกลิ่นกาแฟ เมล็ดกาแฟสีเข้ม กลิ่นติดไหม้และความขมขึ้นจมูก ชวนให้คิดถึงยามที่ได้รับกาแฟยามเช้า หวานอมขมกลืน แต่รักที่จะฝังจมูกตลอดไป

                หากแต่ฝันนี้ไม่ใช่ฝันดี ฮิมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับปลายกลิ่นสุดท้ายที่ติดจมูกอยู่ก่อนตื่น...ไม่ใช่กลิ่นกาแฟ แต่เป็นไอกรุ่นฤดูร้อนกับผลไม้ที่หลอกหลอนเขาแม้ในยามหลับตา

                อัลฟ่ากลิ่นป่าสนตื่นเต็มตาทั้งๆ ที่หัวหนักอึ้ง อาการตื้อจากแอลกอฮอล์เล่นงานจนคร้านที่จะลุกขึ้น มองแขนตัวเองที่กอดเอวคุณน้ำค้างอยู่แล้วก็เงยหน้ามองอีกคน หมอนข้างของเขายังคงนั่งทำงานกับแล็ปท็อป ดวงตาจดจ้องโฟกัสกับโปรแกรมตรงหน้าโดยไม่ได้รู้ว่าเขาตื่นแล้ว และไม่ได้ขยับไปไหนเลย จำได้ว่าตัวเองพูดว่าอยู่อย่างงี้จนกว่าจะตื่นเลย แต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่จริงๆ

                กลิ่นผ้าสะอาดลอยอ่อนๆ เข้ามาแทนที่มโนฝันในหัวที่คิดไปเอง ขนาดในฝันยังมีกลิ่น เชื่อเขาเลย ฮิมนึกอย่างตลกตัวเอง

                ตัดสินใจปิดเปลือกตาลงอีกรอบก่อนจะซุกจมูกเข้าหากลิ่นอ่อนๆ ที่แทบไม่รู้เลยว่าเป็นกลิ่นอะไรหากไม่ได้อยู่ใกล้ชิดจริงๆ หายใจเข้าพลางหลับตาเหมือนจะปลอบประโลมตัวเอง กลิ่นคุณน้ำค้างชวนให้นึกถึงผ้าสะอาดในตะกร้าที่พับไว้เรียบร้อย หรือจะเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ที่เพิ่งซักและตากจนแห้ง ชวนให้ทิ้งตัวลงไปซุกหาหรือห่มตัวเอง เป็นกลิ่นที่ปลอดภัย

                มันเพิ่งจะเป็นเวลาสี่นาฬิกา เช้าเกินกว่าจะตื่น แต่ล่วงเลยเวลานอนมานานแล้วสำหรับคุณน้ำค้าง ฮิมรู้สึกเห็นแก่ตัวหน่อยๆ ที่ขอให้อีกคนนั่งอยู่กับเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่ต้องทำงาน และตอนนี้ฮิมอยากให้คุณน้ำค้างลงนอนพักผ่อนบ้าง

                “งานส่งเมื่อไหร่”

                เอ่ยถามออกไปทะลุเสียงเครื่องปรับอากาศที่คลออยู่เป็นเสียงเดียวในห้องนี้ คุณน้ำค้างสะดุ้งอย่างที่คาดไว้ คงจะคิดว่าเขาละเมอ แต่ฮิมส่งยิ้มง่วงๆ ให้เป็นเชิงว่าตื่นแล้ว

                “คุณฮิมตื่นแล้วเหรอ จะใช้ห้องน้ำไหม?” หมอนข้างส่วนตัวถามและทำท่าเหมือนจะหยิบแล็ปท็อปออกลุกให้ แต่ฮิมส่ายหน้าพลางจับข้อมืออีกคนไว้

                “คุณน้ำค้างไม่ง่วงเหรอ”

                “ชินแล้วมั้งคุณฮิม” คุณน้ำค้างตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆ

                “งานส่งเมื่อไหร่” ฮิมถามย้ำอีกรอบ

                “เอ่อ คืนของวันนี้ ก่อนเที่ยงคืน? มั้งครับ น่าจะใช่แหละ” อัลฟ่าตัวโตพูดเหมือนงึมงำกับตัวเอง

                “งั้นนอนเป็นเพื่อนกันหน่อย เก้าโมงค่อยตื่น” เขาพูดแล้วกระตุกข้อมือของคุณผ้าสะอาดให้ลงมานอนด้วยกัน ในตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะดื้อกว่านี้ว่าจะทำงาน แต่คุณน้ำค้างกดเซฟและปิดแล็ปท็อปวางไว้ข้างเตียงทันทีอย่างว่าง่ายจนฮิมแปลกใจ

                “ทำใกล้เสร็จรึยัง” เขาถามเสียงเบา ยังคงกระชับกอดกับเอวอีกคนไม่ปล่อย คุณน้ำค้างน่ะให้ความรู้สึกเหมือนห่มผ้านวมผืนหนามากกว่ากอดหมอนข้างเสียอีก

                “ใกล้แล้วครับ แต่ไม่นอนเพราะอยากทำทีเดียว”

                “แล้วนี่เรียนกี่โมง”

                “บ่ายๆ คุณฮิมล่ะ”

                “เหมือนกัน ปลุกด้วย อยากกินข้าวฝีมือคุณแม่บ้าน”

                ประโยคสุดท้ายฮิมพูดอยู่ในคอ ไม่รู้ว่าคุณน้ำค้างจะได้ยินไหม เขาเอาหน้าซุกกับแอ่งชีพจรอีกฝ่าย เอาจมูกอังความอุ่นของผิวเนื้อสีแทนอีกคน ได้ยินเสียงคุณน้ำค้างกลั้นหายใจแล้วก็ตลกในใจอยู่คนเดียว ดูดปากเขาไปตั้งหลายทียังจะเกร็งอะไรก็ไม่รู้ และด้วยความที่ฮิมเป็นคนขี้แกล้ง ก็ทำเอาอยากจะแกล้งขึ้นไปอีก

                มือที่กอดอยู่ตรงเอวเลื่อนขึ้นไปจับใบหน้าคุณน้ำค้างให้โน้มลงมา กดจูบเบาๆ ประทับริมฝีปากอิ่มของผ้าห่มกองโตทีนึงแทนคำขอบคุณ คุณน้ำค้างกดจูบกลับคล้ายจะสานต่อ แต่ฮิมเลื่อนมือที่จับกรอบหน้าไปกั้นระหว่างริมฝีปากเขาทั้งคู่ก่อน

                “โลภจังนะ”

                “คุณฮิมเริ่มก่อน”

                ฮิมปรือตายิ้มให้กับคำตัดพ้อนั่นแล้วก็ส่ายหน้า

                “อาหารเช้าเขาไว้กินตอนตื่นนะคุณน้ำค้าง อย่าเพิ่งหิวตอนนี้”


                นั่นก็ไม่อร่อย นี่ก็ไม่อร่อย ทำไมแค่เป็นฮีทต้องหงุดหงิดเหมือนผู้หญิงมีประจำเดือนด้วยวะ

                กิมนึกอย่างขัดใจ

                ก็จริงอย่างที่น้ำค้างว่า เวลาเป็นฮีททีไรกิมอึดอัดตลอด เหมือนเป็นการฝืนธรรมชาติที่กินยาดับไว้ตลอดทุกเดือน ผลข้างเคียงที่ตามมาก็อย่างที่เห็น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ไม่ได้มีอาการอยาก แต่กิมจะไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษในช่วงสองสามวันที่มีระยะฮีท พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่สาธารณะแต่ถ้าให้เลือกระหว่างร้านอาหารกับโรงอาหารใต้คณะตอนเที่ยง ความขี้เกียจก็มักจะชนะเสมอ ใครมันจะถ่อเดินไปกินข้างนอกในเมื่อมีโรงอาหารใต้ตึกกัน

                มือขาวจิ้มผัดผักบุ้งเข้าปาก ลิ้นคล้ายจะแปรสภาพเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่รับรู้รสไปเสียงอย่างนั้น ปกติกิมเป็นคนไม่เรื่องมาก และลิ้นหมา คือกินอะไรก็ได้ ต่อให้ไม่อร่อยแต่พอกินได้ก็จะกิน ยกเว้นช่วงฮีทนี่แหละ ที่ทุกอย่างดูกินไม่ได้ไปหมด

                “อ้าว น้องกิม”

                เจออีกละ กิมเงยขึ้นมองรุ่นพี่คณะบัญชีไหล่กว้างเนื้อหอมอย่างงุนงง คณะก็ไม่ได้ใกล้กัน ทำไมถ่อมากินถึงตรงนี้

                “ทำไมทำหน้าหงุดหงิดเหมือนจะฆ่าคนขนาดนั้น” พี่ทรายถามแล้วก็วิสาสะวางจานข้าวลงข้างๆ เขาทันที กิมมองก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟต้มยำในชามอีกคนแล้วก็นึกอยากแย่ง เพราะผัดผักบุ้งกับปลาหมึกทอดกระเทียมในจานที่เขาเคยชอบกินวันนี้มันไม่อร่อยเลย

                “ข้าวไม่อร่อย” ตอบสั้นๆ แล้วก็ตักอีกคำเข้าปากด้วยร่างกายต้องกิน

                “ทำไมไม่ซื้อใหม่ล่ะ”

                “ซื้ออีกกี่จานก็ไม่อร่อยหรอก”

                กิมตอบเลี่ยงๆ แล้วก็เคี้ยวปลาหมึกที่ให้ความรู้สึกเหมือนเคี้ยวถุงมือยางในปาก อยากจะคายทิ้ง แต่ก็ต้องกลืนเข้าไป

                “ช่วงฮีทเหรอ”

                ปลาหมึกเหมือนจะติดกลางหลอดลมเสียอย่างนั้น กิมถึงกับต้องหาขวดน้ำกรอกเข้าปากให้มันไหลลงคอ ทำไมพี่ทรายมันรู้ไปหมดเลยวะ!

                “อือ” ตอบไปสั้นๆ ไม่ให้เสียฟอร์มแล้วก็เขี่ยข้าวคำใหม่ กว่าจะถึงเวลาเรียนก็อีกนาน เขาเลยละเลียดกับข้าวจานนี้เป็นพิเศษ ไอ้น้ำก็ไลน์มาบอกว่านอนกกว่าที่เมียมันอยู่ เมื่อไหร่จะได้ป้าบกันสักทีก็ไม่รู้ ลุ้นจนขี้เกียจจะลุ้น

                “กินอะไรหวานๆ ไหม เห็นเพื่อนพี่มันกินของหวานกัน” พี่ทรายถาม

                “อยากกินน้ำแข็งไส แต่ขี้เกียจเดิน ร้อน” กิมตอบพลางนึกถึงน้ำแข็งไสยี่สิบบาทหน้ามอที่มาพร้อมกับขนมปังปลาราดนมกับน้ำแดง แต่พอนึกว่าต้องฝ่าแดดไปยืนรอก็หงุดหงิดและขี้เกียจ ไอ้น้ำถึงได้เอ็ดเอาทุกเดือนว่าเหมือนคนเมนส์มา ทั้งๆ ที่โอเมก้าคนอื่นก็ไม่ต่างจากเขา (มั้ง)

                “อ๋อ” พี่ทรายตอบสั้นๆ แล้วกิมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ โอเมก้าตัวขาวล้มเลิกที่จะกินปลาหมึกของโปรดไปกินผัดผักบุ้งกับข้าวให้หมดแทน หันไปอีกทีก็เห็นชามก๋วยเตี๋ยวของอัลฟ่าข้างตัวพร่องไปเกือบหมดแล้ว

                พี่ทรายลุกไปเก็บจานไม่บอกไม่กล่าว และกิมก็ไม่ได้อะไรกับการมาๆ ไปๆ ของรุ่นพี่คณะบัญชี ถึงจะงงๆ หน่อยๆ ที่มาเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวนี่ต้องมาโรงคณะเขาเลยเหรอ เพราะโรงอาหารที่ใกล้คณะบัญชีก็มีร้านก๋วยเตี๋ยว

                กิมเขี่ยข้าวไปเกือบอีกยี่สิบนาที สุดท้ายก็ไม่หมดสักอย่างในจาน ถอนใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบไลน์ไอ้น้ำที่ส่งเมนูอาหารเช้ามาอวดว่าทำเบรคฟาสท์สไตล์อังกฤษกิน ซึ่งจริงๆ ก็แค่ไข่ดาว ไส้กรอก เบคอนกรอบ แล้วก็ขนมปังปิ้งทาแยม เรียกให้หรูทำซากอะไร กินกับเพื่อนเรียกข้าวเช้า แต่พอกินกับว่าที่เมียเรียกเบรคฟาสท์ อยากจะถุยใส่หน้าเพื่อน

                โอเมก้าผมบลอนด์พิมพ์ไลน์ตอบเพื่อนจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินกลับมาหา จนกระทั่งมีถ้วยโฟมสีขาวของน้ำแข็งไสราดนมข้นและน้ำแดงมาวางอยู่ตรงหน้า ไอเย็นจากน้ำแข็งและมือคนวางทำเอากิมเงยหน้าทำตาโต

                “พี่ทราย เมื่อกี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

                “ยังไม่ได้บอกเลยว่าไป ไปซื้อน้ำแข็งไสเฉยๆ”

                พี่ทรายหย่อนก้นลงนั่งข้างเขาที่เดิม แล้วยื่นช้อนพลาสติกให้คันนึง กิมรับมาแบบงงๆ

                “นี่ผมพูดให้พี่ลำบากไปซื้อมาปะเนี่ย คือบ่นเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไรเยอะ”

                “เปล่า พี่อยากกินเอง ซื้อมากินคนเดียวไม่หมดหรอก”

                “เชื่อตาย”

                กิมตอบแล้วก็มองหน้ารุ่นพี่พลางหรี่ตาใส่ แต่ก็ไม่ขัดศรัทธาที่ยื่นช้อนมาให้ จัดการตักกินเข้าปากอย่างสบายใจ ก็ไม่ได้สั่งให้ซื้อ แต่มีคนซื้อมาให้เองแบบไม่ต้องลำบากเดินร้อนๆ ก็ดี ถือว่าลาภปากเขาไปละกัน

                “ชอบกินราดน้ำแดงใช่ไหม”

                “อือ ใส่ขนมปังปลามาปะเนี่ย”

                พี่ทรายถามเหมือนกลัวเขาไม่ชอบ แต่กิมบอกเลย ต่อให้ราดน้ำเขียวมาก็กินหมด ตราบใดที่ไม่ต้องเดินร้อนๆ ไปซื้อเอง มือใช้ช้อนขูดเกล็ดน้ำแข็งแล้วยื่นหน้าไปดูว่ามีขนมปังปลาของโปรดรึเปล่า

                “ใส่ๆ ดูเป็นอะไรที่เบสิคดี”

                “ชอบกิน” กิมล้วงตักขนมปังขึ้นมาใส่ปาก อารมณ์ดีขึ้นมานิดนึงเพราะได้กินของเย็นๆ หวานๆ ที่อยากกิน

                “ชื่นใจละ”

                กิมหันไปมองพี่ทรายที่คงสีหน้ายิ้มน้อยๆ ไว้แล้วก็เลิกคิ้วใส่ประมาณว่า เมื่อกี้พูดว่าไงนะ?

                “ก็กินน้ำแข็งไส ชื่นใจไง”

                “อ๋อ เหรอ”

                กิมตอบหน้าตาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พอเห็นว่าคนแก่กว่าไม่ได้แตะขนมปังปลาในถ้วยโฟมเลยก็ย่นจมูกกับตัวเอง

                ตามใจเก่งชะมัด





50%


 น้ำค้างไม่ได้ออกมาวาดรูปกลางแจ้งนานแล้ว เพราะอากาศประเทศไทยก็ไม่ได้เย็น แถมเวลาก็ไม่ค่อยจะตรงใจเท่าไหร่ แต่ด้วยวันนี้งานเสร็จเร็ว (งานที่เขาโต้รุ่งเมื่อคืนนั่นแหละ) เลยตัดสินใจหอบหิ้วเอาสมุดเสก็ชภาพเล่มเขื่องของตัวเองกับพาเลทสีน้ำขนาดพกพาออกมานั่งที่สวนสาธารณะแถวคอนโดสักหน่อย อากาศตอนช่วงผีตากผ้าอ้อมกำลังดีสำหรับเขา ช่วงที่ฟ้าลงสีเรื่อส้มเหลืองปนแดงบ้าง โลกของน้ำค้างจะสงบลง

                สายตาสอดส่องไปเรื่อย ก่อนจะมองขึ้นลงระหว่างทิวทัศน์กับแผ่นกระดาษ มือจุ่มพู่กันลงกับสีน้ำในกรอบพาเลทอันจ้อย น้ำค้างลืมไปแล้วว่าเขาคิดถึงการระบายสีน้ำแค่ไหน ก่อนที่จะไม่มีเวลานอน ก่อนที่จะต้องออกไปทำงาน ก่อนที่จะต้องจดจ้องแต่หน้าจอแล็ปท็อป เขาทิ้งงานอดิเรกไว้เบื้องหลังความวุ่นวายของชีวิต

                แต่ยังไม่ทันวาดได้เต็มรูป เขาก็ได้รับข้อความจากคุณฮิมเสียก่อน

                hymn: ไปดูหนังกันไหมครับคุณแม่บ้าน :-)

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันได้กดตอบก็มีเหตุอันจำเป็นให้วางพู่กันลงก่อน เพราะกลิ่นฉุนกลิ่นเดิมที่กระแทกจมูก น้ำค้างย่นจมูกเหมือนที่ไอ้กิมชอบทำเวลามีอะไรไม่ชอบใจ มือยกขึ้นมาถูจมูกเพื่อไม่ให้ตัวเองจามออกมา เงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุก็เจอกับโอเมก้ากลิ่นซีตรัสคนเดิม ราวกับฤดูร้อนเดินได้อย่างไรอย่างนั้น 

                ก็คงเป็นเรื่องปกติที่บางทีคนเราจะเจอคนคนเดียวกันหลายๆ รอบหากเราอยู่ในละแวกเดียวกัน น้ำค้างไม่ได้นึกแปลกใจอะไร แต่ก็เผลอพินิจจดจ้องอยู่นาน โอเมก้าที่หน้าตาทั่วไปแต่กลิ่นกลับโดดเสียจนคนต้องเหลียวมองหา น้ำค้างไม่ได้มองในเชิงเสน่หา แต่แค่คิดว่าเจ้าตัวมีกลิ่นที่เฉพาะตัว และดึงดูดผู้คนเข้าหาได้อย่างง่ายดาย

                หากแต่มีบางอย่างผิดแผกไปในหางกลิ่นนั้น ฤดูร้อนไม่ควรมีไอหมอก ผลไม้สีสันไม่ควรมีกลิ่นป่าสีเขียวครึ้ม

                พยายามจะปลอบใจตัวเองว่าหลอนไปเอง แต่ประสาทสัมผัสไม่เคยโกหกใคร

                น้ำค้างยังคงจ้องมองโอเมก้าคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกฟาก อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขาเพราะเสียบหูฟังอยู่

                แต่ดูเหมือนจะจ้องนานไปหน่อย เขาถึงได้มีคนมาสะกิดไหล่จนได้

                “ขอโทษนะครับ คุณจ้องคู่ผมนานมาก”

                น้ำค้างหันไปมองคนที่มาอ้างความเป็นเจ้าของแล้วก็ต้องโค้มตัวขอโทษ เข้าใจว่าเป็นอัลฟ่า จะหวงคู่ตัวเองก็ไม่แปลก เพราะนิสัยขี้หวง เป็นเจ้าข้าวเจ้าของนี่เหมือนจะมีในตัวทุกคนเลย ไม่เว้นแม้แต่น้ำค้าง ข่าวทะเลาะวิวาทเลือดตกยางออกเพราะเผลอไปจ้องคู่คนอื่นนานเกินไปก็มีให้เห็นออกถมไป

                “ขอโทษครับ” น้ำค้างเกือบจะพลั้งปากอธิบายไปว่าเห็นที่มหาลัยบ่อยๆ ซะแล้ว ถ้าพูดออกไปมิวายเขานี่แหละจะเป็นคนโดนต่อยเอง

                น้ำค้างมองแผ่นหลังของอัลฟ่าที่มาเตือนเขาดีๆ เดินจากไปพร้อมกับโอเมก้าหน้าร้อน กลิ่นที่ทิ้งทวนไว้จากปลายลมผสมลงตัวคล้ายดาร์กช็อกโกแลตกลิ่นส้ม แต่เมื่อกลิ่นจางลง ถึงได้รับรู้ความขมขึ้นจมูกของเมล็ดกาแฟแทนที่ ช่างเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดีเสียจริง

                เสียงข้อความเตือนดังเข้ามาอีกรอบ ต้นเหตุของกลิ่นป่าครึ้มที่แท้จริงนั่นเอง ทำเอาน้ำค้างถึงกับลน เพราะนึกได้ว่าเปิดอ่านข้อความคุณฮิมค้างไว้อีกแล้ว

                hymn: คุณน้ำค้าง ไม่ว่างเหรอครับ

            น้ำค้าง: ว่างครับว่าง ขอโทษที ผมวาดรูปอยู่ เลยเพลิน (อีโมจิร้องไห้)

                คราวนี้คุณฮิมเลยกดโทรมาหาเขาเลย

                “ฮัลโหลครับ”

                [คุณน้ำค้าง มาเจอกันที่โรงเลยได้ไหม ผมซื้อตั๋วรอไว้แล้ว]

                น้ำค้างขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคุณฮิมทำอะไรกะทันหันอีกแล้ว หรือว่าเขาเองนะที่เป็นคนเชื่องช้า แต่ก็ยอมตกลง และพับการวาดรูปไปก่อน ท่าทางอีกฝ่ายตั้งใจจะเลี้ยงหนังเขา

                แต่คนแบบน้ำค้างขี้เกรงใจอย่างนี้ มีเหรอจะยอม

                บอกเลยว่าจะไม่ยอมให้คุณฮิมออกเงินสักบาทเดียว

                “คุณน้ำค้าง อย่าดื้อ”

                คุณฮิมว่าแล้วก็เอาป๊อปคอร์นยัดเขาปากเขาทันทีที่เขาออกปากพูดเรื่องค่าตั๋วครั้งที่สามในขณะที่กำลังเดินเข้าโรง

                “คุณฮิม ไม่แฟร์นี่” น้ำค้างโอดเสียงยาว

                “ไม่แฟร์ยังไง คุณแปรงฟันให้ผมเลยนะ” คุณฮิมพูดหน้าตาเฉยแล้วก็เคี้ยวป๊อปคอร์น

                “อันนั้นผมเต็มใจไหม”

                “ช่วงจีบก็งี้แหละ”

                “คุณฮิม ผมพูดจริง นี่ไม่เคยทำให้ใครเลยนะ”

                น้ำค้างล่ะอยากจะน้อยอกน้อยใจ เขาไม่ได้มีช่วงโปรโมชั่นสักหน่อย นี่ก็ไม่เคยมีใครมาก่อน พอมีจริงๆ ก็อยากจะดูแลดีๆ เขาน่ะอยากจะให้คุณฮิมดูแลตัวเองมากกว่านี้ด้วยซ้ำ

                “ใจน้อยเหรอคุณแม่บ้าน” คุณฮิมทำเสียงแซวแล้วก็เอื้อมมือมาลูบผมตรงท้ายทอยเขา

                “พอแล้ว ผมยังยืนยันจะคืนค่าตั๋ว”

                “ดื้อ” ป่าสนของเขาออกปากว่าสั้นๆ ระหว่างเดินหาที่นั่งในโรง “เดี๋ยวไม่รักเลย”

                “ครับ?” น้ำค้างเหมือนจะหูฝาด เห็นคุณฮิมยิ้มแวบๆ อยู่ในไฟสลัวของโรงหนัง แต่ก็ไม่ได้ทวนซ้ำ ทำเอาน้ำค้างเกาหัวงงๆ อย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือผิดกันแน่ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งเบาะสีแดงข้างๆ คุณฮิมที่เคี้ยวป๊อปคอร์นสบายใจเฉิบ

                “เมื่อกี้...” น้ำค้างลังเลว่าจะเล่าดีไหม แต่ก็เกริ่นไปแล้ว เลยต้องต่อให้จบประโยค “ผมเจอโอเมก้าคนที่คุณฮิมอยากเป็นเพื่อนด้วย”

                คุณฮิมชะงักไปในไฟสลัว เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เดาอารมณ์ไม่ถูกยังคงสีหน้าเดิม

                “ผมได้กลิ่นคุณฮิม แต่ผมไม่แน่ใจว่าบังเอิญหรือคิดไปเอง”

                ป่าสนของเขาเอนตัวลงกับเก้าอี้ รู้ว่าน้ำค้างหมายถึงอะไรในกลิ่นนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เสียงเทรลเลอร์หนังยังคงดังต่อเนื่อง แต่น้ำค้างไม่ได้สนใจดู เขายังคงหันมองใบหน้าคุณฮิมอยู่อย่างนั้น

                จนกระทั่งคุณฮิมเอนตัวขึ้นมานั่งหลังตรงดั่งเดิม ก่อนจะยื่นหน้ามาดูดน้ำเป๊ปซี่จากมือเขา ก่อนจะดึงข้อมือเขามาชิดใต้จมูกเหมือนจะค้นหาเศษเสี้ยวของอะไรสักอย่าง

                “กลิ่นกาแฟ...”

                คุณฮิมพูดกับตัวเอง น้ำค้างนึกถึงอัลฟ่าคนที่เป็นเจ้าของโอเมก้ากลิ่นผลไม้คนนั้นทันที

                “คุณน้ำค้างรู้รึเปล่า ว่าผมคงเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้”

                “ทำไมล่ะครับ”

                “เพราะเขามีกลิ่นกาแฟเจืออยู่น่ะสิ”

                คุณฮิมยกยิ้มมุมปาก แต่น้ำค้างไม่เข้าใจอะไรเลย


                กิมยกเลิกทฤษฎีเรื่องบังเอิญเวลาเราเจอใครคนนึงหลายๆ รอบเพราะเราอยู่ในละแวกเดียวกัน เพราะพี่ทรายเนี่ย ชักจะเห็นบ่อยเกินไปแล้ว

                เมื่อเที่ยงก็ทีนึง แล้วตอนเย็นนี่ก็ยังจะอีกเหรอ

                “อ้าว น้องกิม เจออีกละ” พี่ทรายทักระหว่างที่กิมยืนเลือกแผงสีอันใหม่อยู่ โอเมก้าตัวขาวย่นจมูกใส่แผงสินค้าอย่างหมั่นไส้ ต้นเหตุที่ยืนตัวสูงอยู่ข้างๆ คงจะไม่รู้เรื่อง

                “อือ พี่ทรายมาทำไร” กิมถามเป็นพิธี แล้วก็หยิบสีออกมาลองเขียนนู่นนี่เรื่อย

                “มา...ซื้อปากกา” อัลฟ่าเนื้อหอมชูปากกาลูกลื่นในมือให้ดูพลางยิ้มแฉ่ง กิมส่งเสียงเหอะในลำคออย่างไม่ได้ตั้งใจ

                “อ๋อ เหรอ” ตอบไปแบบเดิมแล้วก็ลองสีต่อ มีคนบอกว่าเวลาเขามาเลือกซื้อสีเนี่ย ก็คล้ายกับเวลาพวกผู้หญิงเลือกสีลิปสติกนั่นแหละ แต่กิมว่าสีลิปสติกดูยากกว่าเป็นไหนๆ รู้ว่ามีเฉดแดงหลายอย่าง แต่พอทาอยู่บนปากมันก็ดูเหมือนกันไปหมด 

                กิมปรายตามองคนข้างๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไปไหน แถมยังมือซนหยิบปากกามาลองเขียนแบบเขาอีก กิมเลยจงใจเมินแล้วเลือกสีของตัวเองต่อ จนกระทั่งคนข้างๆ สะกิดให้เขาหันไปหา แล้วก็ชี้ไปตรงกระดาษที่ลองเขียน มีหมึกสีชมพูเข้มเขียนเป็นประโยคไว้อยู่ว่า

                น้องกิมกินข้าวเย็นรึยัง?

            กิมหลุดหัวเราะในคอแบบไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็ส่ายหน้า ทั้งเชื่อเขาเลย แล้วก็ยังไม่ได้กิน มือขาวชั่งใจว่าจะเขียนตอบไปตามน้ำดีไหม แต่ก็เปลี่ยนใจ หันไปฉวยข้อมืออัลฟ่าไหล่กว้างข้างตัวมาบรรจงเขียนคำตอบลงไปหลังฝ่ามือด้วยหมึกสีเขียวเข้ม

                ถามทำไม?

            พี่ทรายยกมือขึ้นมาอ่านแล้วก็เขียนลงกระดาษลองหมึกใหม่ คราวนี้เป็นหมึกสีฟ้า

                กินข้าวเย็นด้วยกันไหม :D

                กิมฉวยมืออีกคนมาอีกรอบ แล้วก็ลงหมึกสีเขียวเข้มสีเดิม

                พาไปกินของหวานด้วย

            “ได้” พี่ทรายตอบเต็มคำตอนที่อ่านจบ แต่กิมทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วก็นั่งยองๆ ลงหาสีอื่นที่อยากได้อีก

                “น้องกิม ไม่คุยด้วยอะ”

                กิมแกล้งทำหูทวนลม เพราะกำลังหาสีทองที่ตัวเองอยากได้ไม่เจอ ได้ยินเสียงพี่ทรายเงียบไป แล้วก็โดนสะกิดอีกทีจนต้องยักไหล่ให้เลิก ยืดตัวขึ้นมามองหน้าย่นจมูกใส่คนขี้วอแวข้างๆ แล้วก็มองกระดาษลองหมึกอีกรอบตามที่คนตัวสูงกว่าอยากจะให้อ่าน

                พี่ทรายอยากคุยด้วย

            ถ้าเป็นคนอื่นกิมคงออกปากด่าด้วยความรำคาญ แต่เพราะข้างๆ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นพี่ทราย กิมเลยจัดแจงเขียนลงแขนอัลฟ่าเนื้อหอมที่ยื่นมือมาเหมือนรอให้เขาเขียนอยู่แล้ว

                เดี๋ยวน้องกิมคุยด้วย

            กิมเขียนด้วยความประชดประชัน แล้วก็นั่งยองๆ ลงไปหาสีต่อ แต่พี่ทรายอ่านทวนออกเสียงซะนี่

                “เดี๋ยวน้องกิมคุยด้วย”

                กิมเงยขึ้นไปมองแล้วเลิกคิ้วใส่

                “น่ารักนะเราอะ”

                กิมก้มลงไปหาสีทองในแผงสีต่อ ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ใบหูเจือสีแดงเข้ม

                ถ้าพี่ทรายแซวอีก เขาสาบานเลยว่าจะไม่ไปกินข้าวด้วย


                น้ำค้างเผลอหลับไปเสียอย่างนั้น ตื่นมาอีกทีก็เป็นเอนด์เครดิตเสียแล้ว ไม่รู้คุณฮิมจะโมโหเขาไหมที่ชวนมาดูหนังแต่ดันหลับซะงั้น ก็น้ำค้างไม่ถูกกับหนังแอคชั่นไซไฟนี่นา

                หันไปข้างๆ เป็นที่นั่งว่างเปล่า น้ำค้างขมวดคิ้วขยี้ตา งุนงงว่าคุณฮิมหายไปไหน หรือเห็นเขาหลับแล้วไม่กล้าปลุก หรือจะรีบไปเข้าห้องน้ำ ดูไม่ใช่วิสัยคุณฮิมสักอย่าง แต่น้ำค้างก็ไม่อยากจะคิดมาก มือหยิบแก้วเป๊ปซี่ข้างตัวเดินออกมาจากโรงหนัง ตั้งใจจะหยิบโทรทัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณฮิม แต่ดันเห็นแผ่นหลังของคนที่เขากำลังตามหาอยู่ไกลๆ เสียก่อน

                กำลังจะสาวเท้าเดินเข้าไปหา แต่ก็หยุดขาตัวเองเมื่อเห็นคุณฮิมกำลังคุยอยู่กับใครคนอื่น

                กลิ่นช็อกโกแลตในคราแรก ก่อนจะกลายเป็นกลิ่นไหม้ของกาแฟ และในครานี้ถึงจะไม่มีตัวบุคคลมาให้เห็นแต่เขาก็ได้กลิ่นลมหน้าร้อนพัดมาอ่อนๆ ตรงปลาย

                กลิ่นกาแฟ...

                คุณฮิมพูดกับตัวเอง

                 



tbc.





น้ำค้างเพิ่งตื่น ก็จะงงๆ หน่อย

ตอนนี้ผู้ติดตามครบ 800 คนแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ จะตั้งใจเขียนต่อไปค่ะ <3

ส่วนเรื่องคำผิด คำซ้ำ ใครเจอสามารถคอมเม้นบอกได้เลยนะคะ บางทีเราก็เบลอๆ และไม่ละเอียดเอง เวิร์ดก็ชอบรวบคำให้อีก แง

ขอฝากเพลงไว้อีกกก starving - hailee steinfield, grey, zedd เพลงนี้เหมือนคุณน้ำค้างอีกแล้ว

contact me: @hopeniverse_





feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน





หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.8 (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-07-2018 06:56:22
โอ้ยยย หน่วงใจ อัลฟ่ากับอัลฟ่า ฮืออ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.8 (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-07-2018 07:34:05
คู่ทรายกิมน่ารักดีอ่ะ แต่คู่น้ำฮิมนี่สิ :katai1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.8 (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 15-07-2018 09:03:36
เราเป็นคนติดกาแฟนะ แต่อ่านตอนนี้จบแล้วรู้สึกไม่อยากให้มีกลิ่นกาแฟในเรื่องเลย เหมือนว่าจะเริ่มดราม่า งั้นก็ขออย่าให้เข้มแล้วขมแบบอเมริกาโน่ก็แล้วกันนะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse ☁ CH.8 (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 18-07-2018 03:26:45
ค้างงงงงงง
ทำไมน้องกินน่ารักอย่างนี้คะ
ชอบกลิ่นน้องน้ำนะคะ กลิ่นผ้าหอมแบบสะอาดๆ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.9 -100%- (21/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 21-07-2018 00:41:03
chapter nine


                น้ำค้างไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง ถึงในใจจะสับสนและอยู่ไม่สุขเลย

                เขาได้กลิ่นสามกลิ่น จากคนสามคน

                แต่ ณ ที่นี้มีเพียงสองคนที่ยืนสนทนาอยู่ตรงหน้าเขา

                น้ำค้างเลือกที่จะยืนรอเงียบๆ มากกว่าเข้าไปแทรกกลาง สีหน้าคุณฮิมยังคงยิ้ม แต่อัลฟ่ากลิ่นกาแฟสีหน้าไม่สู้ดีนัก น้ำค้างจำได้ คนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อเย็น กลิ่นของอัลฟ่าและโอเมก้าที่ผสมลงตัวได้ดี ยากจะลืมเลือน มีหลายอย่างที่น้ำค้างเข้าใจและไม่เข้าใจ มีหลายอย่างที่น้ำค้างไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง หรือพยายามที่จะทลายกำแพง แต่เมื่อเป็นคุณฮิมแล้วนั้น เหมือนสมองจะสั่งให้เป็นข้อยกเว้น หัวใจมักจะทำงานควบคู่กับสมอง และในยามที่เราเสียใจ หัวใจจะบีบตัวได้ดีเสมอ

                อยากเป็นเจ้าของ แต่ก็อึดอัด อยากจะขังไม่ให้ไปไหน ห่อหุ้มด้วยกลิ่นเขาเพียงคนเดียว แต่หมอกลงจัดเหลือเกิน คลองสายตาพร่าเบลอ หยาดน้ำค้างอย่างเขาขุ่นมัว ไร้ที่ทางไป

                ป่าสนหันมามองเขา เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่อัลฟ่ากลิ่นกาแฟตรงหน้าขยับตัวไวกว่าที่คิด ชั่วกะพริบตา ที่น้ำค้างกำลังจะเข้าไปดึงตัวคุณฮิม อีกฝ่ายก็ต่อยเข้าที่หน้าคุณฮิมแล้ว

                คนเริ่มหันมามองพวกเขา บางคนเริ่มซุบซิบกัน ก็คงไม่พ้นที่พวกเขาเป็นอัลฟ่าทั้งสามคน เจ้าหน้าที่รักษาควสามปลอดภัยกำลังเดินมา และอัลฟ่ากลิ่นกาแฟก็เดินจากไป ทิ้งเพียงกลิ่นเจือไหม้ อารมณ์คุกรุ่น และรอยแผลบนป่าสนของเขาที่คงจะแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำเขียวในไม่ช้า น้ำค้างเกลียดความรุนแรงพอๆ กับการมีเรื่องวิวาท เขาจึงไม่ได้ตามกลิ่นกาแฟไป

                คุณฮิมยังคงนั่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาสีดำลึกดิ่งมองพื้น ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ในตอนนี้น้ำค้างไม่รู้จักคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

                “คุณฮิม”

                ป่าสนของเขาเงยขึ้นมอง ก่อนจะลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มข้างเดียวอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

                “ดูหนังจบแล้วเหรอ สนุกรึเปล่า”

                “ผม...หลับก่อนน่ะ” น้ำค้างสารภาพ คุณฮิมดูจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ คงจะเห็นเขาอดหลับอดนอนมาเยอะ

                “หลับก็ไม่แปลกหรอก” คุณฮิมว่าแล้วก็เดินนำออกจากโรงหนังไปที่ลิฟต์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนน้ำค้างทนไม่ไหว

                “คุณฮิม”

                “ครับ?”

                “ไปทำแผลเถอะ” น้ำค้างโพล่งออกไป และพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันอีก แต่คุณฮิมก็ไม่ได้เถียงอะไรตอนที่น้ำค้างพากลับมาที่ห้องตัวเอง และหยิบกล่องทำแผลที่ตัวเองหยิบใช้ประจำเพราะซุ่มซ่ามออกมา

                น้ำค้างไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่เริ่มลงมือทำแผลให้คุณฮิม หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือไม่รู้จะพูดอะไร มันแปลกสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด ไม่รู้ว่าควรเริ่มอะไรจากตรงไหน ไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม น้ำค้างไม่รู้เลยว่าสำหรับเขาแล้ว ตอนนี้กำลังเดินอยู่ส่วนไหนของในป่า

                “กาแฟที่คุณฮิมว่า...”

                ปากเอ่ยถ้อยคำอย่างระมัดระวัง ภายในห้องที่มีเพียงความเงียบส่งเสียงดังอยู่ระหว่างตัวพวกเขา คุณฮิมมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่น้ำค้างไม่รู้จักอีกครั้ง

                “คือคนที่แย่งโอเมก้าคนนั้นไปหรือครับ?”

                คุณฮิมฟังจนจบแล้วก็หัวเราะเหมือนน้ำค้างเพิ่งปล่อยมุกออกไป ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่น้ำค้างถามออกไปแล้วก็งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้

                “อย่างผมน่ะ ไม่ปล่อยให้โอเมก้าในปกครองของตัวเองโดนแย่งไปหรอกคุณน้ำค้าง” คุณฮิมเอียงแก้มข้างที่ไม่โดนชกลงไปซบกับเข่า “อะไรที่อัลฟ่าเป็นเจ้าของ ก็ต้องหวงมากๆ อยู่แล้วสิ”

                น้ำค้างรับฟังประโยคนั้นอย่างเงียบงัน ในหัวประมวลผลอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง คุณฮิมเหมือนจะดูออกง่ายในคราแรก ตรงไปตรงมา แต่ก็กลับเก็บซ่อนอะไรไว้มากมาย

                “แล้วทำไมเขาถึง...ได้ทำร้ายคุณฮิมล่ะ” น้ำค้างหย่อนคำถามอ้อมๆ ไปอีก หวังจะคลี่คลายความสงสัยในใจได้บ้าง

                “คุณน้ำค้างล่ะ หวงของรึเปล่า” คุณฮิมถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบเพื่อจะเปลี่ยนเรื่อง แต่น้ำค้างก็ตอบออกไป

                “คุณฮิมไม่ใช่ของนี่”

                “แล้วไม่จำเป็นจะต้องหวงเหรอครับ” คุณฮิมเงยหัวขึ้นมา คางวางบนเข่า ก่อนจะถามเขาเหมือนจะโต้วาที “แล้วถ้าผมไปเป็นของคนอื่นคุณน้ำค้างจะไม่ว่าอะไรเลยเหรอ”

                น้ำค้างหลบสายตาคมกริบนั่น โทนหวานในดวงตานั้นไม่เหลือเค้าเดิมที่เคยมอง มีบางอย่างไม่ถูกต้องในความสัมพันธ์ของพวกเขา มีบางอย่างไม่เรียบร้อย และน้ำค้างรู้สึกว่าต้นสนสูงชะลูดกว่าที่เคยเป็นจนมองไม่เห็นยอดไม้ เงาดำทะมึนทาบทับ ป่าสนของเขาใจร้ายเหลือเกิน

                น้ำค้างลุกขึ้น เขาตั้งใจจะหลีกหนีสถานการณ์ที่หายใจไม่ออกนี้ แต่คุณฮิมกลับว่องไว คนผอมกว่าลุกขึ้นจับข้อมือเขาแน่น น้ำค้างปล่อยให้กล่องยาทำแผลร่วงลงพื้นเสียงดังโดยไม่ได้ใส่ใจจะก้มลงไปเก็บ ยังคงตั้งใจหลบสายตาของคุณฮิมที่จดจ้องเขาราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

                “แล้วคุณฮิมล่ะครับ” แต่แทนที่จะได้คำตอบ น้ำค้างกลับพ่นคำถามกลับไป “ผมขอร้องคุณฮิมไม่ให้ไปหาคนอื่นได้ด้วยเหรอ”

                คุณฮิมไม่ได้ตอบ แต่เดินไล่ต้อนเขาให้ไปจบที่กำแพงห้อง ผนังเย็นเฉียบแนบกับแผ่นหลังของน้ำค้าง น้ำค้างรู้ว่าระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรถูกต้องเลยในตอนนี้ ความจริงแล้ว...

                “มันไม่ถูกตั้งแต่ผมเป็นอัลฟ่าแล้วรึเปล่า”

                ราวกับน้ำค้างได้สำรอกคำต้องห้ามออกไป ลมพัดแรงขึ้นจนยอดไม้โอนเอียง ป่าสนดูเดือดดาลกว่าที่เคยเป็น

                คุณฮิมใช้สองมือจับหน้าเขา ริมฝีปากที่นาบกัน แต่น้ำค้างกลับไม่รู้สึกปั่นป่วน กลับกันกับรู้สึกได้แต่โทสะ เป็นคุณฮิมที่ดึงดันในจูบ อัลฟ่าที่โดนดันชิดกำแพงอย่างน้ำค้างใช้มือจับต้นขาทั้งสองข้างของคุณฮิมขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดเอวตัวเองแทนก่อนจะดันอีกคนชิดผนังแทนตัวเอง ลิ้นเกี่ยวกระหวัดในโพรงปาก น้ำค้างตะโบมจูบอีกคนให้สมกับพายุที่ก่อตัว

                “แล้วคุณจะเข้าหาผมทำไม” คุณฮิมกระซิบถามชิดริมฝีปากเขา “อยากเป็นเจ้าของผม หรือแค่อยากเอาชนะ”

                น้ำค้างกดจูบที่แอ่งชีพจร ที่ที่เขาเคยจะฝังรอยเขี้ยวไว้หลายต่อหลายครา คุณฮิมพูดจายียวน และน้ำค้างอยาก อยากจะกัดให้จมเขี้ยวในตอนนี้ อยากจะบอกให้อีกคนรู้ว่าเขาสามารถตีตราได้ อยากจะกัดแสดงรอยไว้ให้ใครต่อใครรู้ว่าคุณฮิมเป็นของเขา...ของเขาแต่เพียงผู้เดียว

                “อยากกัดเหรอ?” คุณฮิมเงยหัวติดกำแพงราวกับจงใจจะเผยผิวเนื้อตรงส่วนคอมากกว่าเดิม “กัดสิคุณน้ำค้าง เป็นเจ้าของผมสิ”

                ไม่...นี่มันไม่ถูกต้อง

                น้ำค้างผละออก เขาปล่อยคุณฮิมลง ขาก้าวถอยหลังออกมา มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าและเสยขึ้นไปถึงผม น้ำค้างหัวเสียอย่างที่ไม่เคยเป็น หัวใจบีบรัดจนแทบจะระเบิด น้ำค้างไม่เข้าใจอะไรเลย

                “คุณฮิมกลับไปก่อนเถอะ” เป็นครั้งแรกที่เขาออกปากไล่อีกฝ่าย น้ำค้างไม่ได้มองหน้าคุณฮิมและไม่อยากจะมอง เขารู้สึกขุ่นมัวเกินกว่าจะพูดอะไร บางทีคุณฮิมอาจจะเป็นหนังสือที่เขาพยายามจะอ่านให้จบแต่อ่านกี่ครั้งก็กลับมาหยุดอยู่ที่หน้าเดิม และไม่เคยจบสักที

                เสียงปิดประตูคอนโดดังกังวานแข่งกับความเงียบในห้อง น้ำค้างยังคงเอาฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงนั่งกับพื้น พายุที่ก่อตัวแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำฝน ใบไม้ที่หยาดน้ำค้างเกาะสั่นไหวด้วยหยดน้ำฝนเม็ดใหญ่หลอมรวมกันจนแยกไม่ออก

                ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายบีบตัว น้ำค้างได้แต่ภาวนาให้หยุดเจ็บปวดเสียที


                ฮิมขอบคุณตัวเองที่เดินเข้าห้องมานอนบนเตียงได้โดยที่ไม่ไปเมาแอ๋จนไอ้จิงต้องตามด่า ดวงตาเหม่อมองเพดาน สัมผัสของคุณน้ำค้างยังคงทิ้งไว้ชวนหลอกหลอน กลิ่นผ้าสะอาดติดอยู่เจือจางจนแทบไม่ได้กลิ่น กลิ่นไหม้ของเม็ดกาแฟกลับแรงยิ่งกว่า ฮิมเกลียดที่ตัวเองจำกลิ่นได้ดี เกลียดที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่อบอวลด้วยกลิ่นของอีกฝ่าย ในใจไม่หลงเหลือแล้วซึ่งความโหยหา มีแต่ความไม่เข้าใจและความทรงจำที่ยังคงติดไม่จางหาย

                ‘อย่ามายุ่งกับของของกู’

            ‘อย่านึกว่ากูไม่ได้กลิ่นมึงบนตัวเขา เป็นเหี้ยอะไรถึงต้องมายุ่งกับของของกูนักหนา’’

            ‘เป็นอัลฟ่าแต่เสือกเข้าหาแต่อัลฟ่าด้วยกัน ร่าน ทำตัวอย่างกับโอเมก้าไม่มีผิด’

            ฮิมหลับตากรอเทปในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงและกลิ่นของคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโลกทั้งใบ บัดนี้กับเป็นนรกทั้งเป็น

                ทำไมต้องโอเมก้า

                ทำไมต้องเลือกธรรมชาติมากกว่า

                ทำไมต้องเป็นไปตามแบบแผนที่วางมา

                บางทีฮิมก็อยากให้ตัวเองเลิกเรียกร้องคำตอบจากสิ่งที่ไม่ใช่ของเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม อยากจะเลิกทำตัวยียวนกวนโมโหเพื่อจะเรียกร้องความสนใจ กลิ่นเปลือกไม้คงจะแฝงตัวไปกับกลิ่นตัวลมหน้าร้อนให้ชวนคิดถึงไม่มากก็น้อย แต่ฮิมรู้ว่าเขากำลังทำตัวเหมือนเด็กหวงของเล่นที่ไม่ใช่ของตัวเอง

                รอยช้ำตรงแก้มไม่เจ็บเท่ากับข้างในที่โดนย่ำยีศักดิ์ศรีซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่เมื่อลองค้นหาดีๆ แล้ว ฮิมรู้ ว่าตัวเองเจ็บจากอะไร กลิ่นของผ้าห่มซักแล้วที่จางหายอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องนอนคู้ตัว มือเอื้อมหยิบกองผ้าห่มของตัวเองที่ขยำไว้ปลายเตียงมากอดแน่น จมูกโด่งปลายซุกลงกับกองผ้าผืนหนาที่ไม่คิดจะใส่ใจยามลงนอน รู้ว่ากลิ่นอายแทนกันไม่ได้ หน้าอกขยับขึ้นลง หากแต่ไม่ใช่ตามจังหวะชีพจร แต่เป็นการสะอื้นในความเงียบงัน มือกำผ้าห่มแน่น บีบเนื้อผ้าแรงเหมือนจะจิกทึ้งเจ้าหัวใจในอกให้แหลกคามือว่าตัวเองทำทุกอย่างพังอีกแล้ว

                เมื่อไหร่กันที่กลิ่นคุณน้ำค้างเหือดหายจนแทบจะหาไม่เจอแบบนี้

                แต่ฮิมรู้ว่าเขาจะไม่ได้กลิ่นคุณน้ำค้างห่อหุ้มรอบตัวเลยถ้าหากไม่ได้ซุกตัวอีกฝ่ายและเอาจมูกฝังแอ่งชีพจร กลิ่นที่ปลอดภัยและปลอบประโลมในคราวเดียวกัน หากแต่จืดจางไปอย่างรวดเร็ว

                มีคนบอกว่ากลิ่นติดตัวจะชวนให้คิดถึง แต่ฮิมเพิ่งประสบกับตัวเองว่าการที่ไม่ทิ้งกลิ่นอายไว้เลยคือการคิดถึงมากกว่า และมันโหดร้าย เพราะแม้แต่ปลายลมก็จะไม่มีตัวตนของอีกฝ่ายให้ได้รับรู้ ราวกับวิญญาณที่คอยหลอกหลอน หากเพียงแต่จับต้องไม่ได้เลย

                ฮิมนอนคู้ตัวมากกว่าเดิมเพื่อกอดตัวเองพร้อมกับก้อนผ้าห่ม กลิ่นกาแฟที่ทิ้งไว้ และกลิ่นผ้าสะอาดที่เหือดหาย เหมือนจะลงโทษเขากลายๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกคุณน้ำค้าง ได้แต่ภาวนายามเช้าน้ำค้างจะยังหลงเหลือบนหยาดใบสนและยินดีจะทักทายแสงอรุณแรกพร้อมๆ กับป่าสนในวันใหม่





50%


เด็กสถาปัตถ์ที่ไหนเขานอนกัน เพ้อเจ้อ คือคำที่กิมพูดไว้กับน้ำค้าง และเป็นวลีประจำใจมาตลอดตั้งแต่เรียนคณะนี้มา แต่ตอนนี้กลับมีรุ่นพี่ที่ใกล้จบหน้าสลอนมาสั่งให้เข้านอน
   “เป็นพ่อเหรอมาสั่ง”
   กิมเริ่มพูดจาก้าวร้าวขึ้นเมื่อเริ่มสนิท แต่ความจริงแล้วพี่ทรายนั่นแหละที่ขยันเสนอหน้ามา ไม่รู้ว่าเหงาหรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่
   “อยากให้เป็นพ่อก็ไม่บอก”
   พี่ทรายตอบแล้วก็แกล้งเอียงตัวเอาไหล่กว้างๆ นั่นมาชนไหล่เขา ดีนะที่ไม่ได้กำลังต่อโม แต่เป็นทำงานในโปรแกรม ไม่งั้นคงได้มีด่ากันบ้างล่ะ ว่าแต่ไหล่กว้างเป็นสันเขื่อนขนาดนี้ยังจะมาชนใส่อีก จะอวดหรือไงนะ
   “ง่วงก็นอนดิ” กิมตอบและจงใจเมินคำย้อนอีกฝ่าย พี่ทรายน่ะตามใจเขาเก่งเป็นที่หนึ่ง ไอ้น้ำตกอันดับไปเลย ขนาดเพื่อนสนิทว่ายอมแล้ว แต่พี่ทรายเรียกได้เลยว่าไม่เคยจะขัดใจเขาเลย ยกเว้นครั้งนี้เนี่ยแหละ ไล่จังให้ไปนอนเนี่ย
   “ก็น้องกิมไม่นอนอะ”
   “แล้วทำไมต้องรอผมนอน”
   ตอนแรกก็แค่ชวนมาเล่นเกมด้วยที่ห้องเฉยๆ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่พอเล่นจบก็ดันหาเรื่องอยู่จนยาวมาจะสี่ทุ่มนี่แหละ
   “พี่จะได้นอนตาหลับ”
   “จะตายเหรอ” กิมตอบทันทีจนพี่ทรายหัวเราะพรืด
   “ปากร้ายจังเราอะ”
   “ไม่ชอบก็ไม่ต้องอยู่ด้วย” กิมย่นจมูกใส่หน้าจอโดยไม่ได้หันไปมอง ไม่ได้แคร์ว่าพี่ทรายจะไม่พอใจรึเปล่าที่เขาพูดแบบนี้ เพราะกิมก็พูดแบบนี้กับทุกคน รับไม่ได้ก็ไม่ต้องยุ่งกับเขาก็แค่นั้น เขาไม่ใช่คนประเภทที่ต้องมานั่งง้อคนอื่น หรือขอให้คนมารักมาชอบ เขาจะอยู่กับคนที่ตัวเองพอใจเท่านั้น อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่นี่คือความสบายใจของตัวกิม
   “บอกตอนไหนว่าไม่ชอบ” พี่ทรายตอบเจือขำ “เสนอหน้ามาขนาดนี้เนี่ย”
   “รู้ตัว”
   “หน้าด้านด้วย น้องกิมถีบพี่ก็ไม่กลับหรอก” พี่ทรายบอกและกิมก็ยกขาข้างขวาถีบเอวคนด้านข้างจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาตัวเล็กกว่า จะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ พี่ทรายจับข้อเท้าเขาเกือบรอบแล้วมั้งนั่น แถมยังเอาพาดตักตัวเองไว้หน้าตาเฉยอีก กิมจะชักขากลับก็โดนจับไว้ เนี่ย ตามใจก็ตามใจอยู่หรอก แต่พอจะขัดใจก็เอาซะน่าโมโหเลย
   “อยู่ทำไร” กิมถามยียวน เท้าข้างที่พาดตักพี่ทรายยังคงขยับถีบหน้าท้องอีกคนเล่นไม่แรงนัก
   “อยู่พาคนเข้านอน”
   “ไม่นอน จะทำงาน”
   “ทำไมดื้อ”
   กิมเลือกจะเงียบแทนเพราะขี้เกียจเถียง ความจริงงานก็ไม่ได้รีบอะไรหรอก แต่กิมเป็นพวกไม่ชอบดองงาน ชอบจะทำให้เสร็จทีเดียวเลย เพราะงี้ถึงมีเวลาไปช่วยไอ้น้ำได้บ่อยๆ ปกติก็เป็นคนไม่ค่อยทำอะไรเยอะอยู่แล้วถ้าไม่ได้จดจ่อกับงาน เล่นเกม อ่านการ์ตูน แต่ไม่ได้ติดงอมแงม กิน และนอนเป็นส่วนมาก ไอ้น้ำเคยบอกว่าเขาเหมือนแมวที่ขยันทำงานเพื่อจะเอาเวลาที่เหลือไปกินและนอน
   “พี่ทรายจะนอนก็ปิดไฟ เดี๋ยวผมเปิดโคมเอา” กิมบอกโดยที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอ
   “พี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”
   “เออว่ะ” กิมงึมงำตอบในคอก่อนจะลุกขึ้น แต่พี่ทรายไม่ยอมปล่อยข้อเท้า กลายเป็นว่าเขาก้าวอีกข้างเดินแล้วก็สะดุดจนพี่ทรายต้องกอดเอวเขาไม่ให้ล้มหน้าคะมำลงไป
   “แกล้งไมวะ” กิมสบถแบบออกแนวรำคาญแต่ไม่ได้เคืองอะไร คิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะเอาขาข้างที่พี่ทรายจับไว้สะบัดๆ ให้อีกคนปล่อย “พี่ทราย ปล่อย จะไปหาเสื้อผ้าให้”
   “น้องกิมผอมจังอะ” พี่ทรายยอมปล่อยเนียนๆ กิมย่นจมูกแล้วก็ทำตาโตใส่เป็นเชิงว่ารู้หรอกว่าจะหลอกวัดรอบเอวกัน ไอ้พี่ทรายมันหน้าซื่อใจคด
   “จับไม่โดนพุงนู่มก็ไม่ถือว่าเป็นกอดหรอก”
   กิมเลิกชายเสื้อขึ้นมาแล้วบีบพุงนู่มตรงหน้าท้องขาวตัวเองใส่หน้าอีกคนก่อนจะรีบเดินหนีไปหาเสื้อนอน ได้ยินพี่ทรายตะโกนเสียงโห่ดังมาด้านหลังแบบเสียดายแล้วก็ยักไหล่ใส่ทีนึง สมน้ำหน้า
   พี่ทรายเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับเสื้อนอนตัวใหญ่สุดที่เคยให้ไอ้น้ำมันยืม หวังว่าจะใส่ได้ ใส่ไม่ได้ก็ไหล่ทะลุเสื้อไปเลย เปิดไหล่หนาวๆ ไปนั่นแหละ อยากแนวกระดูกกว้างดีนัก น่าจะกัดให้มันเขียวสักที ถึงกิมจะไม่มีเขี้ยวก็เถอะ กัดไปก็คงได้แค่รอยฟันทิ้งไว้เล่นๆ
   กลิ่นที่โชยออกมาพร้อมกับไอร้อนจากห้องน้ำทำให้กิมนึกได้ว่าถ้าอาบน้ำแล้วสเปรย์ดับกลิ่นก็คงโดนชะล้างไปด้วย กลิ่นหอมหวนแบบเดินกำจายออกมากลบกลิ่นแชมพู กิมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าพี่ทรายกลิ่นเหมือนอะไร มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวแบบที่ไม่มีใครเหมือน แต่กลับหอมจนต้องมองตาม ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองค้นหา กิมเสิร์ชหากลิ่น หรือกระทั่งลองไปดมน้ำหอมตามห้าง ดมกลิ่นดอกไม้ ดมหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังไม่เจอ
   โอเมก้าผมบลอนด์นึกไปถึงหนังเรื่อง perfume น้ำหอมมนุษย์ที่ใช้ผิวหนังมนุษย์หรือคนจริงๆ มาสกัดเป็นน้ำหอม บางทีพี่ทรายอาจจะหอมแบบนั้นรึเปล่า หอมแบบที่เอาอย่างอื่นรอบตัวมาเทียบไม่ได้ แต่คงไม่น่ากลัวแบบในหนังหรอก
   กิมพยายามโฟกัสกับงาน แต่กลิ่นที่ลอยเข้าจมูกมาและกำลังอบอวลไปทั่วห้องมันรบกวนเขา...ไม่สิ ไม่ได้เรียกว่ารบกวน เขาเรียกว่าดึงความสนใจให้สมองของเขาหัวหมุนมัวเมา พี่ทรายดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็แหงสิ กิมควบคุมตัวเองได้ดีในระดับนึง แล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยได้ดมตัวเองสักหน่อย
   “น้องกิม” พี่ทรายเรียกแล้วก็ลงนั่งข้างๆ ที่เดิม กลิ่นหอมเดิมพัดเข้าจมูกจากการที่อีกฝ่ายลงนั่ง และกิมถึงกับต้องเอาหน้าผากลงไปแนบกับแล็ปท็อป ก่อนจะสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าปอดและปล่อยพรูออกมาให้ตัวเองใจเย็นๆ
   “อะไร” กิมตอบเสียงขุ่น
   “ไปอาบน้ำบ้างดิ จะได้นั่งทำงานยาวๆ”
   คราวนี้กิมไม่เถียง เพราะอยากให้เวลากับตัวเองบ้าง แต่พอเดินเข้าห้องน้ำไปก็ต้องขนลุกนิดๆ เพราะกลิ่นพี่ทรายทิ้งเจือไอน้ำไว้เต็มพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้หมด กิมย่นจมูกพ่นลมหายใจอย่างหัวเสียน้อยๆ มือหยิบแชมพูเทราดหัวตัวเองเยอะกว่าปกติเพราะหวังจะกลบกลิ่นอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ กลิ่นตัวก็คือกลิ่นตัว กลิ่นอย่างอื่นก็มาแทนไม่ได้
   กิมเดินเอาผ้าขนหนูพันรอบหัวออกมาข้างนอก แล้วก็นั่งจุ้มปุ๊กลงทำงานที่เดิม เห็นพี่ทรายที่นั่งข้างๆ อยุ่สะดุ้งตัวโยนจากหางตาแต่ก็ทำเป็นมองไม่เห็นไป แล้วก็จับเม้าส์เลื่อนๆ ให้หน้าจอติดเพื่อจะทำงานตามเดิม
   “สระผมไม่เป่าเหรอ”
   “เดี๋ยวก็แห้ง เป่าทำไม เมื่อยมือ” กิมตอบสั้นๆ เพราะกลิ่นพี่ทรายที่อยู่ในบรรยากาศทำให้เขาเริ่มจะไม่อยากทำงานต่อขึ้นมาดื้อๆ
   “มาเช็ดให้ ว่าง” พี่ทรายแกะผ้าขนหนูบนหัวเขาแล้วก็เริ่มลงมือยีหัวเขาจากด้านข้าง และมันค่อนข้างบดบังทัศนียภาพในการทำงานของกิมพอสมควร จนสุดท้ายก็ตัดรำคาญโดยการหันตัวเองทั้งตัวไปทางด้านพี่ทรายเลย มือสองข้างยกขึ้นมาเท้าคางมองพี่ทรายที่ยิ้มแล้วเขยิบมาประจันหน้ากับเขาบ้าง
   “ขนฟูเชียวนะเรา สุขภาพดีนี่” พี่ทรายเช็ดหัวเขาแล้วก็พูดไป กิมช้อนตาขึ้นมองหน้าอีกคน ย่นจมูกใส่อย่างคร้านจะต่อปากต่อคำ
   “ไม่ถามหน่อยเหรอว่าขนฟูแบบตัวอะไร”
   “ขี้เกียจ” กิมตอบแบบไม่เล่นด้วย พี่ทรายขี้แหย่ แต่ก็ยังไม่ล้ำเส้น กิมเลยปล่อยเลยตามเลย จะรับมุกด้วยก็ตอนเขามีอารมณ์ แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ก็ขี้เกียจจะอ้าปากตอบ
   “เคยมีคนบอกไหมว่าพี่ทรายกลิ่นเหมือนอะไร”
   กิมถามลอยๆ เริ่มจะง่วงพอมีคนมาเช็ดหัวให้ เพราะตัวเองก็ไม่ใช่คนนอนเร็วอะไร กลับบ้านทีถึงจะโดนแม่บังคับให้เข้านอนเร็วๆ กับเขาบ้าง
   “กลิ่นเหมือนน้ำหอม”
   “น้ำหอมอะไร”
   “ไม่รู้ เขาบอกว่าเหมือนน้ำหอม แต่ระบุไม่ได้” พี่ทรายพูดไปก็หัวเราะไป แต่กิมผงกหัวเห็นด้วย เหมือนน้ำหอม แต่ก็ไม่รู้จะบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ทำไมมันถึงดูเหนือธรรมชาติขนาดนี้ ฟีโรโมนอาจจะกลิ่นแบบนี้รึเปล่า
   “กลิ่นพี่เต็มห้องเลยอะดิ”
   “อือ” กิมตอบแล้วก็ทิ้งหัวไปข้างหน้าลงแนบกับตักอัลฟ่ากลิ่นหอม พี่ทรายคงเป็นอัลฟ่าคนที่สองที่เขาเอาตัวมาคลุกคลีด้วยถัดจากไอ้น้ำ
   “เหม็นเหรอ”
   “เหม็นต้องแบบคุณฮิม”
   “เอ้า ไอ้น้องฮิมร้องไห้ละเนี่ย” พี่ทรายเอาผ้าตีหัวเขาหยอกๆ ที่ปากร้าย “กลิ่นน้องกิมก็เต็มห้องเหมือนกันนั่นแหละ เข้าห้องน้ำไปนี่เต็มหน้าเลย”
   “ก็แหงดิ นี่ห้องผมปะ” กิมส่งเสียงเหอะในลำคอเหมือนพี่ทรายถามอะไรไม่เมคเซ้นส์ ซึ่งก็ไม่เมคเซ้นส์จริงๆ “แล้วหอมไหมล่ะ”
   ไม่รู้เหมือนกันว่าใจกล้ามาจากไหนถึงถามออกไป กิมเหมือนจะได้ยินพี่ทรายยิ้มโดยแทบไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำ โอเมก้าผมบลอนด์สะดุ้งขนตั้งตอนที่อัลฟ่าซึ่งเช็ดผมให้เขาอยู่ดีๆ ดันโน้มจมูกลงมาหอมไรผมตรงท้ายทอย ถ้ามีหูมีหาง กิมคงหูตั้งหางตั้งเป็นแน่ เหมือนแมวที่โดนเจ้านายหอมเป็นครั้งแรกแล้วเผลอเล็บโผล่ออกมาเตรียมข่วน
   “พี่...” พี่ทรายชิงจะถามอะไรสักอย่างแต่คราวนี้กิมเร็วกว่า เจ้าแมวขนฟูที่พี่ทรายชอบแหย่เล่นเงยหัวขึ้นมากะทันหัน ใบหน้ายังคงนิ่งสนิทเป็นโทนเดิมอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ มือยกขึ้นจับกรอบหน้าของอัลฟ่าเจ้าเสน่ห์ที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อตนแล้วเงยหน้าขึ้นไปจรดริมฝีปากตัวเองชิดกับอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงจุ๊บดังลั่นห้อง ตอนผละออกมาก็หยิบผ้าขนหนูบนหัวหย่อนลงคลุมหน้าพี่ทราย ก่อนที่ตัวเองจะรีบชิ่งไปกระโดดลงบนเตียงเอาผ้าห่มคลุมมิดหัว
   “น้องกิม”
   “อะไร”
   กิมตอบอู้อี้มาจากใต้ผ้าห่ม พยายามจะทำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุดทั้งๆ ที่ใจเต้นตุบๆ ไม่เป็นส่ำ จะคีพคูลไปได้ถึงไหนกันเชียวไอ้กิม
   “ไม่ทำงานแล้วเหรอ”
   “จะนอน ง่วงแล้ว” กิมรู้เลยว่าพี่ทรายยิ้มล้อเลียนอยู่ อย่าหวังเลยว่าเขาจะโผล่หน้าออกไป ห้องตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้กันนะ
   “ง่วงเร็วเนอะน้องกิม”
   “อือ ปิดไฟปิดคอมให้ด้วย อย่าลืมกดเซฟงาน”
   กิมสั่งเสร็จสรรพแล้วก็พลิกตัวเอามือออกมาควานหาหมอนข้างนอกผ้าห่ม ก่อนจะจับหมับโดนมือของคนขี้แหย่ที่จงใจไม่ปล่อยมือเขาอีกแล้ว
   “พี่ทราย” กดเสียงต่ำก่อนเพื่อจะขู่ “อย่าแกล้ง”
   “ดุจังเลยคนเนี้ย”
   “จะนอนไหม”
   “นอนจ้า”
   กวนตีน กิมคิดในใจเงียบๆ ก่อนจะหยิบหมอนข้างมากอดรอใต้ผ้าห่ม จนกระทั่งอีกคนทำทุกอย่างตามที่เขาบอกเรียบร้อย และห้องมืดสนิทนั่นและ กิมถึงโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มแล้วยกชายอีกด้านให้เปิดขึ้นเพื่อให้คนตัวโตมุดเข้ามาห่มด้วย
   “กอดเจอพุงนู่มแล้วเนี่ย ถือว่ากอดยัง”
   “อือ”
   กิมตอบเสียงเดิม ห้องมืดแล้วหรอก จะเขินหน้าแดงแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นนี่ 





     
tbc.   


แชปนี้พาร์ทน้ำฮิมเขียนยากมากเลยค่ะ อึดอัดแทนตัวละคร เพราะจะพิมพ์ตรงๆ ก็ดูงี่เง่า

จะพิมพ์อ้อมๆ ก็กลัวไม่เก๊ตกัน เลยเลือกใช้คำใช้ประโยคนานมาก

ที่หายไปคือไปโอ้เอ้อยู่ในยูทูปค่ะ ;__; จะกลับมาตั้งใจพิมพ์แล้ว

ขอบคุณทุกฟีทแบคเช่นเคยนะคะ

feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.9 -50%- (21/08)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-07-2018 13:30:34
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.9 -50%- (21/08)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 21-07-2018 13:42:32
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.9 -50%- (21/08)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 21-07-2018 21:41:08
เจ็บปวดอ่าาา ขมุกขมัวแบบ ความสัมพันธ์ที่ยังไงก็ไม่คืบหน้าไรงี้ ทำไรไม่ได้ แสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้ ฮือออ
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ CH.9 -100%- (21/08)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 22-07-2018 01:13:14
แอบสงสารน้ำค้าง แต่ก็เข้าใจฮิม ว่ามีความหลัง มีเรื่องต้องให้คิดเยอะ
ลุ้นนนนนน สุดตัว ตอนก่อนหน้านี้หน่วงมากๆเลย แต่ชอบมาก :hao5://ฮาาาาา
ส่วนกิมกับพี่ทรายนี่ก็แบบ อ่านไปละเขินแทนน้องกิมมมม
พี่ทรายนี่ขยันเต๊าะจริงๆ สเปรย์ที่ซื้อมานี่สรุปได้ใช้ยังคะ หรือตอนอยู่กับน้องกิมนี่ไม่ต้องชงไม่ต้องฉีดมันหรอก :hao3:

รอติดตามเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้ เรื่องกำลังเข้มข้น ค่อยๆคลายปม :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ CH.9 -100%- (21/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 22-07-2018 09:40:27
ตอนเดียวสองอารมณ์ หน่วงไปกับน้ำค้าง+ฮิม
แล้วมามุ้งมิ้งกับทราย+กิม เหมือนโดนคนเขียนตบหัวแล้วลูบหลังยังไงพิกล 555
ตอนนี้ไม่มีเพลงประกอบเหรอ ไม่เป็นไรงั้นเราขอแนะนำ
How can I love you ( xia junsu )
ost.Descendant of the sun
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ CH.10 (22/08)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 22-07-2018 23:40:29
***warning: rape & degradation

เนื้อหาของบทนี้การข่มขืนและการใช้วาจาลดคุณค่าแทรกอยู่ โดยที่เราจะทำการขีดเส้นใต้เอาไว้ ใครไม่ประสงค์จะอ่านหรือทริกเกอร์กับคอนเท้นท์ดังกล่าวสามารถเลื่อนข้ามได้เลยค่ะ***

chapter ten



                น้ำค้างจะเรียกว่านอนหลับก็เกรงว่าจะไม่สนิทนัก ปกติเขาไม่ใช่คนบ้างานแบบไอ้กิม แต่เมื่อวานน้ำค้างปั่นงานยันฟ้าเหลือง หลับตาได้เพียงสามสี่ชั่วโมงก็ต้องลืมตาขึ้นมาอาบน้ำไปเรียนแล้ว

                พยายามจะทำตัวให้ปกติแต่ยอมรับว่าค่อนข้างเสียศูนย์ ไม่รู้จะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไร ในมือหิ้วถุงพลาสติกที่มีสำลี น้ำเกลือ และเบดาดีนแกว่งไปมาระหว่างเดินเข้าตึกคณะ ในใจเอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะเอาไปให้ดีรึเปล่า หรือควรจะเอากลับไปเก็บใส่กล่องทำแผลของตัวเองเหมือนเดิมดี การเผชิญหน้าดูไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่ ในอกเอาแต่กระวนกระวายว่าอีกคนจะไม่ยอมทำแผลล้างแผล น้ำค้างก็ยังคงเป็นน้ำค้างที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ

                ขายาวก้าวไปตามทางเดิน ตั้งใจจะแวะเข้าห้องน้ำก่อนเข้าเซคเรียน แต่คนที่ยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำทำเอาขาน้ำค้างหยุดกึก จะหมุนตัวหันกลับก็ไม่ทันเสียล้วเพราะกระจกเงาสะท้อนภาพเขา และคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกก็คือคนที่น้ำค้างกำลังลังเลว่าควรจะเอาถุงในมือไปให้ดีหรือไม่

                อ่า ทำไมคุณฮิมมาอยู่ตรงนี้กันนะ

                ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเยอะว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมาเจอเขา หรือดักรอ แต่เวลากับสถานที่มันพอเหมาะพอเจาะไปหมด ตึกบัญชีไกลจะตาย หรือเขาควรจะคิดให้ร้ายที่สุดไว้ก่อนว่าอีกฝ่ายอาจจะมาหาเพื่อนเฉยๆ รึเปล่า

                น้ำค้างหันตัวจะเดินออก แต่คุณฮิมก็คือคุณฮิมที่เหนือกว่าเขาทุกอย่าง ทั้งความเร็วและความรู้สึก ข้อนิ้วยาวๆ ที่น้ำค้างชมว่าสวยนักสวยหนากำรอบข้อมือเขาแน่น กลิ่นป่าสนยังคงทำให้เขาปั่นป่วนเช่นเดิม น้ำค้างรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่างทั้งที่ทุกอย่างไม่ชัดเจน

                “คุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมดูเหมือนคนที่ไม่ได้นอน ดวงตาอิดโรยเหนื่อยล้าและบวมจากการร้องไห้ แก้มเริ่มขึ้นสีช้ำเลือดอย่างชัดเจน ทันทีที่น้ำค้างมองเห็นแผลเขาก็รีบยื่นถุงพลาสติกในมือให้ทันที

                “อย่าลืมทำแผลนะคุณฮิม”

                ป่าสนของเขาชะงักไป มือรับถุงพลาสติกมา ก่อนจะยอมปล่อยข้อมือเขา น้ำค้างมีคำถามมากมาย คนตรงหน้าราวกับจะเป็นคำตอบแต่ก็ไม่ใช่ คุณฮิมยังคงฉาบไปด้วยม่านหมอก และน้ำค้างมืดแปดด้าน

                “คุณน้ำค้าง” คุณฮิมเรียกเขาอีกรอบคล้ายจะย้ำกับตัวเองว่ากำลังพูดกับเขาอยู่ “คุณน้ำค้าง...”

                น้ำค้างไม่เคยใจร้ายกับใคร แต่ในครั้งนี้เขาเลือกจะระเหยตัวเองไปกับแสงอรุณ บอกลาใบสนที่ทอดตัวเหี่ยวลู่จากแรงพายุโหมเมื่อคืน ขายาวก้าวเดินออกมาจากคุณฮิม เพราะว่าป่าสนใจร้าย ทำให้เขาเจ็บปวด น้ำค้างท่องเอาไว้ คิดว่าจะสบายใจขึ้นถ้าได้ยื่นอุปกรณ์ทำแผลให้ แต่เปล่าเลย เขายังคงเจ็บปวดและสับสน ยังคงเป็นแค่ไอ้น้ำคนขลาดที่เอาแต่หนีปัญหาเช่นเดิม

                น้ำค้างเดินเข้ามานั่งในเซคอย่างคิดไม่ตก ไอ้กิมมาเร็วเหมือนเคย ในปากเคี้ยวขนมโปรดที่ซื้อกินมาประจำอย่างสบายใจ น้ำค้างล่ะหมั่นไส้ ไอ้พวกไม่มีอะไรให้กังวลนี่มันดีจริงๆ

                “มองไร จะแย่งแดกเหรอ”

                กิมถามแล้วก็ย้ายที่เจ้าถุงขนมมาไว้ฝั่งที่เขานั่ง น้ำค้างไม่มีอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้นแหละ ตั้งใจจะหยิบชีทขึ้นมากางบนโต๊ะก็เพิ่งจะจับสังเกตอะไรได้

                “กิม”

                “ไร”

                “ทำไมวันนี้มึงมีกลิ่นวะ”

                 แทนที่จะเห็นท่าทางสีหน้าใหม่ๆ ของเพื่อนสนิทแต่กิมกลับทำเพียงยักไหล่และจิ้มโทรศัพท์เล่นเกมต่อ

                “วันนี้ลืมฉีดสเปรย์”

                “ห้ะ?”

                ถามจริง? น้ำค้างทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม จมูกฟุดฟิดดมกลิ่นเพื่อนที่ไม่ค่อยได้กลิ่นถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มาอาบน้ำนอนค้างห้องเขาจริงๆ แต่แล้วก็ได้อะไรแปลกๆ ติดมาในจมูกอีกรอบ

                “กิม มึงไปคลุกกับใครมาวะ ตัวมึงหอมแปลกๆ แบบมีกลิ่นคนอื่นด้วย”

                คราวนี้เพื่อนถึงกับเล่นเกมแพ้ กิมกดล็อกหน้าจอก่อนจะหยิบขนมใส่ปาก ยักไหล่ใส่ท่าเดิม เกลียดมันจังวะ ไอ้ท่ายักไหล่คูลๆ กับหน้าไม่แยแสโลกเนี่ย

                “เก่งนักเหรอเราอะ” หยิบยืมเอาคำพูดเพื่อนที่ชอบพูดใส่เขาบ่อยๆ มาโยนคืนบ้าง

                “เรื่องของกู” โอเมก้าผมบลอนด์หยิบขนมซองใหม่ออกมาฉีก

                “ขนมเยอะนะวันนี้อะ” น้ำค้างแกล้งแซวเผื่อจะฟลุ๊ค และทันทีที่เพื่อนติดคอจนต้องกรอกน้ำเข้าปาก ก็นั่นแหละ ฮุคเข้าเต็มหมัด

                “เสือกจังวะ จับผิดอะไรกูนักหนา”

                “มึงได้...” น้ำค้างตบมือดังแปะใส่หน้าเพื่อน แต่ดันมือลื่น เลยเสียงไม่ดังแปะ แต่เป็นเสียงดังวืดแทน กิมมองหน้าเขาเหมือนจะพูดเชิงว่า กาก

                “เอ่อ มึงได้ป้าบก่อนกูเหรอวะ”

                “ไม่ป้งไม่ป้าบอะไรทั้งนั้นอะ”

                เพื่อนตอบหน้านิ่ง แต่หน้าจอมือถือเด้งเสียงแจ้งเตือนก็รีบพลิกขึ้นมาดู น้ำค้างแอบเห็นชื่อแวบๆ ว่าพี่ทราย ชื่อคุ้นจังวะ

                “รีบตอบแชทเนอะ”

                “เสือก”

                ด่าเขาแต่มุมปากยกขึ้นตอนพิมพ์ตอบคืออะไร จู่ๆ ไอ้กิมจะมีเจ้าของก็ง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ใครกันที่ทำให้เพื่อนตัวเล็กเขาต้อนรับเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้ขนาดนี้ น้ำค้างขมวดคิ้วแต่ก็ไม่อยากละลาบละล้วงต่อ ก็แค่อยากจะแซวเพื่อนเป็นพิธีให้พอสนุกปากเฉยๆ






                ฮิมตัดสินใจโดดเรียน เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเข้าไปนั่งอยู่ในห้องและหลับกับโต๊ะ มือกำถุงพลาสติกที่เต็มได้วยอุปกรณ์ทำแผลแกว่งไปมา คุณน้ำค้างน่ะใจดี แค่นี้ก็ใจดีมากพอแล้วสำหรับเขา ฮิมไม่ควรได้รับอะไรแบบนี้จากคำพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้นึกเคืองโกรธเลยที่อีกฝ่ายเดินหนีเขาก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยคำขอโทษ จะเรียกว่ามาง้อก็คงไม่ผิดนัก แต่ไม่รู้ว่าคุณน้ำค้างจะอยากฟังรึเปล่า เขาน่ะกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรทำร้ายความรู้สึกเจ้าตัวอีก

                แพลนที่ว่าจะกลับไปนอนที่ห้องโดนพับเก็บไปเมื่อเขาลมพัดกลิ่นไหม้ของกาแฟตีเข้าหน้าเจือผลไม้หน้าร้อนที่ปลายกลิ่น ฮิมเงยหน้า เจ้าของกลิ่นยืนดักรอเขาอยู่หน้าคณะ

                “กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

                ประโยคทักทายจากแฟนเก่าดูไม่เป็นมิตรเช่นเคย ฮิมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มตรงส่วนที่โดนต่อยมา ก่อนจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ความหงุดหงิดของเขาไม่เคยนำเรื่องดีๆ มาเลย เลือดอัลฟ่าในตัวเยอะจริงๆ นั่นแหละ ที่ไปยุ่งป้วนเปี้ยนเทียวไปเทียวมากับโอเมก้ากลิ่นซีตรัสก็เพราะความหงุดหงิดทั้งนั้น

                “ยอมคุยกับกูดีๆ แล้วเหรอเมฆ”

                ฮิมเรียกชื่อคนตรงหน้า เมฆที่เคยลอยต่ำอยู่เหนือป่าสน ปกคลุมไปทั่วอาณาเขตผืนป่า หากแต่เมื่อลมหน้าร้อนพัดผ่านมาเยือน กลับพัดเอากลุ่มเมฆเหล่านั้นลอยหายไปเสียจนหมด เหลือเพียงแต่ม่านหมอกจางๆ ลอยเอื่อยอย่างเงียบเหงาและไม่เข้าใจ

                “ไปคุยในรถ”

                ฮิมรู้ว่าตัวเองโง่ที่เดินตามไป แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วเช่นกัน

                ทันทีที่เข้าไปนั่งที่หน้าคนขับคู่กันและปิดประตูรถฮิมก็ต้องขมวดคิ้วกับกลิ่นผลไม้ที่ฉุนกึกเต็มรถ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงจะหงุดหงิดมากก็ตาม

                “จะคุยอะไร” ฮิมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เมฆออกรถ และฮิมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะขับไปไหน แต่ก็ไม่ได้ถาม

                “มึงมีใหม่แล้วเหรอ?”

                ฮิมแค่นหัวเราะออกมาจากในคอ

                “หนักหัวมึงเหรอ”

                “กูไม่ได้หวงก้างเหมือนมึง”

                ฮิมกัดกระพุ้งแก้มตัวเองระบายความหงุดหงิดเลือดร้อนในตัวเอง จะเรียกว่าหวงก้างก็ไม่ผิด เพราะเขาก็นิสัยเสียแบบที่ว่ามาจริงๆ แต่คนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ก็จะเป็นเพราะใคร หากไม่ใช่กลิ่นเมล็ดกาแฟไหม้เจือกาแฟด้านข้างที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ สร้างโลกทั้งใบให้เขาก่อนจะพังทลายมันตรงหน้าก่อนที่เขาจะได้ทันรู้ตัว ในชั่วเสี้ยวพริบตาที่อีกฝ่ายฉีกทึ้งตัวเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เพียงชั่วลมหายใจที่เขาไร้จุดยึดเหนี่ยวจากความสัมพันธ์ที่ลากยาวมาสองปี

                “มึงทิ้งกูเพราะเผลอไปกัดคนอื่นภายในคืนเดียว” ฮิมพูดเสียงเบาแต่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินแน่นอน “กูหวงก้างหรือใครที่ผิด”

                เมฆไม่ได้ตอบอะไรเขา สีหน้าดูเหมือนคนที่ไม่มีความผิดติดตัว

                “ตอนเขาเข้าหามึงก็บอกกูว่าไม่มีอะไร แล้วจู่ๆ ภายในคืนเดียวที่กูตื่นมาแล้วมึงกลายเป็นของคนอื่น กูต้องทำยังไง” ฮิมพูดเสียงราบเรียบ เขาเล่าเรื่องนี้ในหัวตัวเองมาเป็นร้อยรอบ เหมือนสุนทรพจน์ที่ซ้อมไว้พูดให้ตัวเองฟังคนเดียว แต่ในวันนี้มีผู้ฟังที่สมควรจะได้ฟังเสียที “มึงจะให้กูปล่อยวางทั้งๆ ที่มีโอเมก้าที่ไหนไม่รู้มาอ่อยมึงเหรอวะ”

                “ระวังปากหน่อย เขาไม่ได้อ่อยกู” เมฆตอบกลับแทบจะเรียกได้ว่าทันควัน และฮิมก็นั่งนิ่ง ปล่อยให้หัวใจจมจ่อมลงกับตะกอนด้านล่างช้าๆ

                “ทำไมมึงต้องแก้ตัวแทนมันวะ” ดวงตาฮิมมองตรงไปด้านหน้าแต่ปากยังพูดต่อไปเรื่อยๆ “คำอธิบายของมึงคือแค่นี้เหรอที่ให้กูได้ มึงเอาแต่ปกป้องแม่งแล้วก็รับผิดชอบแม่ง แล้วกูล่ะ”

                ฮิมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปมีความเห็นแก่ตัวปนอยู่ แต่เขาผิดเหรอ เขาผิดตรงไหนเหรอ ฮิมเอาแต่ถามตัวเองประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาว่าในความสัมพันธ์นี้เขาผิดตรงไหน

                ‘มันไม่ถูกตั้งแต่ผมเป็นอัลฟ่าแล้วรึเปล่า’

                เสียงของผ้าสะอาดลอยขึ้นมาในหัวราวกับคำถามตัดพ้อน้อยเนื้อต่ำใจในพันธุกรรมและเลือดในตัว คุณน้ำค้างคงจะรู้สึกเหมือนเขาตอนนี้ว่าตัวเองผิดตรงไหนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

                “กูไม่ได้แก้ตัว”

                เมฆตอบเหมือนเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอ

                “กูตั้งใจมาร์กเขา กูตั้งใจจะจับคู่กับเขาเอง”

                ล้อรถหยุดหมุน ฮิมไม่ได้สนใจว่าเขาโดนพามาที่ไหน ในหัวมีแต่ประโยคเดิมที่โดนพ่นออกมาให้ฟัง ราวกับสมองเขาโดนสาดด้วยระเบิด เสียงตู้มที่ดังอยู่ในหัวก็ไม่เท่ากับเสียงของตกแตกที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีแก้วนับพันใบให้ปาทิ้งลงกับพื้น

                “กูผิดอะไร”

                ฮิมพึมพำคำนี้ออกมาซ้ำไปซ้ำมา

                “กูผิดอะไร กูผิดตรงไหน”

                ศักดิ์ศรีความเป็นอัลฟ่าโดนย่ำยีแหลกคาพื้น เขาไม่เคยคิดจะรักกับอัลฟ่า แต่เขายอม ยอมกระทั่งอยู่ในฐานะโอเมก้าให้บนเตียง ยอมเป็นฝ่ายรับให้ทั้งๆ ที่เขาจะหนีไปหาคนอื่นก็ได้ หลายครั้งหลายคราที่จ้องหาโอเมก้าคนอื่น แต่ก็ไม่เคยคิดจะกระทำการลับหลัง เหมือนความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาโดนขยำเละเทะ

                “กูด่าไปไม่จำเหรอวะ”

                เมฆหันมาถามเขาพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก เร็วกว่าที่ใจคิด ฮิมยกขาขึ้นถีบอีกคนด้วยความโมโห ให้สมกับที่ข้างในปอดเขาที่เหมือนกำลังโดนเผาทั้งเป็นในทุกๆ ครั้งที่หายใจ อัลฟ่ากับอัลฟ่า ฮิมรู้ว่าเขาจะกลับบ้านในสภาพน่าเกลียด แต่เขาหยุดอะไรไม่ได้แล้ว มืออีกฝ่ายทึ้งกลุ่มผมเขาไปด้านหลังจนต้องแหงนคอตาม อัลฟ่ากลิ่นกาแฟข้ามเบาะมาคร่อมทับตัวเขาและปรับเบาะลงนอนจนสุด หมัดถูกปล่อยโดนแผลเดิมอีกครั้งและอีกครั้ง ป่าสนกำลังซับสีเลือดช้าๆ ด้วยร่างกายที่ผอมกว่า ปากถ่มน้ำลายปนเลือดใส่คนที่คร่อมเขาด้วยโทสะที่คะนอง

                “มึงมันเหี้ย”

                มือจิกทึ้งผมของคนที่คร่อมตัวเขาอยู่คืนบ้าง ครั้งหนึ่งเคยรักมากเท่าไหร่ ก็เกลียดได้มากเท่านั้น ปากสำรอกคำหยาบคายมากมายที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถพูดออกมาได้ ป่าสนร้องไห้ ความเจ็บปวดไหลรวมกับความโกรธเกรี้ยวราวกับน้ำป่าไหลหลาก ต้นสนถูกโค่นล้มลงทีละต้นด้วยแรงน้ำเชี่ยวกราก

                มือของคนด้านบนเลื่อนลงไปปลดเข็มขัดเขาและนั่นทำให้ฮิมเบิกตากว้าง ขายกขึ้นหุบเข้าตามสัญชาตญาณ มือยกขึ้นต่อยหน้าอีกฝ่าย กลิ่นคาวเหล็กปะปนกับกลิ่นไหม้ของกาแฟ แล้วก็โดนสวนชกเข้าที่ท้องจนจุกเจ็บไปหมด มือสองข้างโดนรวบจับ ไม่วายฝ่ามือยกขึ้นมาตบหน้าเขาอีกรอบจนชาไปหมด

                “หวงกูนักไม่ใช่เหรอ” เสียงของคนรักเก่าถามเหมือนจะหยัน “หวงกูมาก อยากได้กูคืนมากไม่ใช่เหรอ”

                ฮิมยกขาขึ้นจะถีบอีกรอบแต่กลับกลายเป็นว่าอำนวยให้อีกคนร่นกางเกงเขาออกอย่างง่ายดาย ฮิมหอบหายใจสะอื้น สภาพของตัวเองตอนนี้หน้าสมเพชเสียจนไม่อยากจะลืมตามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นิ้วที่เคยล่วงล้ำเข้ามาหลายต่อหลายครั้งยามรักยังหวานแต่ในครานี้กลับขมดั่งยาพิษ ช่องทางที่ไร้สารหล่อลื่นเพราะผิดธรรมชาติถูกเสียดสี ฮิมกัดปากตัวเองจนห้อเลือด ต่อให้ตายก็จะไม่ส่งเสียงออกไปให้อีกฝ่ายได้ใจ ทัศนียภาพมืดสนิท แต่หูยังคงชัดเจน คำพูดกลายเป็นอาวุธทิ่มแทง คล้ายจะเสียบศักดิ์ศรีของเขาปักประจานโร่ให้ไม่เหลือซึ่งความเป็นคน

                “ร่าน ขนาดกูทิ้งมึงไปแล้วมึงก็ยังไปอ้าขาให้กับอัลฟ่าคนอื่นอีก”

                “มึงถามว่ามึงผิดอะไร แล้วเสือกเกิดมาเป็นอัลฟ่าทำไมล่ะวะ”

                “เป็นอัลฟ่าแล้วก็ยังทำตัวเสียชาติเกิด แม่มึงคงจะภูมิใจหรอกที่ลูกชายอ้าขาให้อัลฟ่าคนอื่น”

                “อัลฟ่ากับอัลฟ่าด้วยกัน กูจะอ้วก ทนเอามึงไปได้ยังไงตั้งสองปี”

                ฮิมอยากจะตายลงตรงนี้ เขาอยากจะหูหนวก อยากจะตาบอด คำพูดทุกอย่างกรีดแทง ไร้ซึ่งความปรานี ช่องทางด้านล่างถูกทำร้ายอย่างฝืดเคือง หากมีใครทำให้เขาสามารถเกลียดตัวเองได้มากกว่านี้ ก็คงจะเป็นตัวเขาเองที่โง่งม ที่ยอมขึ้นรถมาโดยหวังในคำอธิบายที่ดีกว่านี้

                ได้โปรด หยุด...

            ได้โปรดหยุดความเจ็บปวดทรมานนี้เสียที 






                ฝนร่วงหล่นลงมาจากฟ้าสีเทา กรุงเทพฯมีฝนหลงฤดูหลายครั้งหลายคราจนทำนายล่วงหน้าไม่ออกว่าวันไหนฝนจะตกอีก ร่างของฮิมนั่งพิงกำแพงข้างซอยที่โดนทิ้งไว้ สภาพน่าเกลียดจนไม่อยากจะลืมตาขึ้นมองตัวเอง หัวใจสลายเป็นเศษซาก พยายามหลายครั้งที่จะกอบโกยด้วยสองมือของตัวเอง แต่ประคองเท่าไหร่ก็ได้ไม่ครบเสี้ยวที่แตกละเอียดเสียที ฮิมล้มเลิกความพยายาม เขาเหนื่อยเหลือเกิน

                สภาพตัวเองตอนนี้ไม่ต่างจากถุงขยะเปียกที่โดนโยนทิ้งข้างทาง ช่วงล่างเจ็บแสบเสียจนไม่อยากจะลุกเดิน ร่างกายบอบช้ำเลือดช้ำหนอง เต็มไปด้วยรอยแผล ฝนที่ตกลงมาชะล้างคราบเหล็กตามใบหน้าและตัวจนกลายเป็นของเหลวสีแดงจาง ฝนเริ่มจะลงเม็ดแรงขึ้นเรื่อยๆ ฮิมหายใจทางริมฝีปาก มือเอื้อมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า กดโทรออกหาคนที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมาหากันรึเปล่า

                [ฮัลโหลครับ]

                “...”

                คุณน้ำค้างรับสายไวอย่างที่คาด เสียงของอีกฝ่ายปกติดี ฮิมหอบหายใจกลืนก้อนสะอื้น แต่พอจะพูดก็ดันจุกราวกับหาเสียงไม่เจอ

                [คุณฮิม?]

                “...”

                [คุณฮิม เป็นอะไรรึเปล่า?]

                เรียกเขาเหรอ? ถามเขาเหรอ? ยังจะเป็นห่วงเขาอยู่อีกเหรอ? เขายังมีค่าความเป็นคนเหลือให้เป็นห่วงอยู่อีกเหรอ? ฮิมถามกลับอย่างไร้เสียง น้ำตาไหลรวมกับหยาดฝนเย็นเฉียบจนแยกไม่ออก

                [คุณฮิม? อยู่ไหนเนี่ย? คุณฮิม? ตอบผมหน่อย คุณฮิมอย่าเล่นแบบนี้ดิ]

                ฮิมกดวางสาย ก่อนจะส่งโลเคชั่นเข้าไปในไลน์อย่างทุลักทุเลเพราะหน้าจอที่เปียกฝน ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าดังเดิม เปลือกตาปิดลงรออีกคนมา หรืออาจจะไม่มาก็ได้ คุณน้ำค้างน่ะ อาจจะคิดว่าเขาแกล้งเล่นแบบที่ผ่านๆ มา

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่ฝนเริ่มลงเม็ดแรงขึ้นเรื่อยๆ จากความเจ็บปวดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นชินชา เปลือกตาปิดลงเนิ่นนาน เสียงรถผ่านไปผ่านมาจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงปิดประตูรถดังขึ้นเหนือหัว

                “คุณฮิม!”

                คุณน้ำค้างก็ยังเป็นคุณน้ำค้างอยู่ดี ใจดี คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ขนาดคนที่ทำร้ายความรู้สึกก็ยังมาหากัน เขาเกลียดสภาพตัวเองตอนนี้พอๆ กับการที่จะลืมตาขึ้นมองหน้าคุณน้ำค้างตรงๆ ทุกอย่างตอนนี้ของเขาคงดูน่าสมเพช น่าขยะแขยง และไม่น่ามอง

                “คุณฮิม”

                คุณน้ำค้างกอดเขา กอดแน่นเสียจนฮิมเจ็บ กลิ่นผ้าสะอาดฝังอยู่พอดีตรงใต้จมูก และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

                “คุณฮิม ทำไมทำแบบนี้... ทำไมเป็นแบบนี้ ใครทำให้คุณฮิมเจ็บ ทำไมคุณฮิมต้องปล่อยตัวเองแบบนี้”

                นั่นเป็นครั้งแรกที่คุณน้ำค้างร้องไห้ ลมหายใจหอบหนักปนสะอื้นในประโยคที่พรั่งพรูทะลุเสียงฝน และสาเหตุก็คือตัวเขา ฮิมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้องไห้ที่เห็นเขาเจ็บ ทำไมต้องห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำไมคุณน้ำค้างถึงได้ให้ค่าเขามากถึงขนาดนี้

                “คุณฮิม ผมขอโทษ”

                คำขอโทษที่คุณน้ำค้างได้พูดออกมาก่อนทำให้ฮิมยกมือขึ้นมาจิกไหล่อีกฝ่ายแน่น เขาโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่มีโอกาสได้พูดขอโทษก่อน โกรธที่ตัวเองทำร้ายความรู้สึกคุณน้ำค้าง ความจริงแล้วเขาไม่สมควรได้รับความรู้สึกมากมายจากคุณน้ำค้างเลยต่างหาก

                ทำไม...ทำไมคุณน้ำค้างต้องเป็นอัลฟ่า ทำไมตัวเขาต้องเป็นอัลฟ่า

                “คุณฮิม ผม...ผมสัญญา จะไม่ถามคุณฮิมอีก” คุณน้ำค้างยังคงเอาแต่พร่ำบอกเขาแบบนั้น “ผมสัญญา...จะไม่เดินหนี จะไม่ทิ้งคุณฮิมอีก”

                หัวใจของป่าสนถูกขุดขึ้นมาอย่างหยาบโลน และตอนนี้คุณน้ำค้างกำลังค่อยๆ กลบลงดินทีละน้อย เดินหาเศษเสี้ยวที่กระจัดกระจายมาประกอบเข้าด้วยกันทีละชิ้นอย่างอดทน และฮิมไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมต้องใจดี ทำไมต้องให้ค่า ทำไมต้องให้ความหวังเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “คุณน้ำค้างอย่าโกหกผมเลยนะ” เขากระซิบบอกข้างหู ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง กลิ่นผ้าห่มสะอาดห่อหุ้มราวกับจะบอกให้เขาร้องไห้เท่าไหร่ก็ได้ตามใจ จะงี่เง่าโวยวายแค่ไหนก็ได้ “ทำไม...ทำไมต้องเป็นอัลฟ่า”

                “คุณฮิม...”

                “ผมน่าเกลียดไหม?”

                “ไม่ คุณฮิม...”

                “ผมน่าสมเพชไหม? ที่ผมเป็นอัลฟ่า”

                ฮิมตะโกนถาม สองแขนกอดคุณน้ำค้างแน่น เล็บจิกเสื้ออีกฝ่ายจนยับยู่ยี่ ความเจ็บปวดที่ช่วงล่างยังคงย้ำเตือนถึงคนที่เคยยอมจำนนให้มากที่สุดบัดนี้กลับด่าทอเขา เหยียดศักดิ์ศรีเขาเหมือนสัตว์

                “คุณฮิม ไม่ คุณฮิมไม่น่าเกลียด คุณฮิมมีค่าสำหรับผม...มากๆ”

                คุณน้ำค้างตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ใจแตกสลาย ฮิมสะอื้นจนตัวโยน ชั่ววินาทีที่คิดว่าไม่มีใครต้องการ แต่ผ้าสะอาดตรงหน้ากลับโอบอุ้มเขาเพื่อบอกว่าเขาคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด

                “คุณฮิม ผมขอร้อง...”

                “...”

                “อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ”

                ป่าสนหอบหายใจเข้าและออกช้าๆ ตามจังหวะของฝ่ามือที่ลูบปลอบประโลมแผ่นหลังเขา ฝนเริ่มซาลงมาสักพักแล้ว

                “กลับไปทำแผลกับผมนะ”

                ฮิมพยักหน้าก่อนจะหลับตาเมื่อผ้าห่มโอบอุ้มตัวเขาให้ลอยขึ้น สติที่พร่าเลือนไปพร้อมๆ กับกลิ่นเนื้อผ้าสีขาวในมโนสำนึก กลิ่นที่ปลอดภัย กลิ่นคุณน้ำค้าง

                ถ้าเป็นคุณน้ำค้าง...ก็ไม่เป็นไรแล้ว

 

 

 

           
   tbc.









เขียนแชปนี้ยากมากๆ เลยค่ะ ยากกว่าแชปเก้าหลายเท่าเลย เราไม่คิดว่าจะมีวันที่เขียนนิยายแล้วจะร้องไห้จริงๆ

ตอนเขียนตอนนี้จบคือจุกในอกมาก เกือบร้องไห้จริงๆ แต่ยังไม่ร้อง ;__;

เราไม่ขอให้เข้าใจตัวละคร เพราะคนเราผิดพลาดกันทุกคน มีดีไม่ดีปนกันไป เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไปค่ะ แต่แค่หวังว่าจะเก๊ทพ้อยท์ที่เราพยายามจะสื่อเรื่องการเหยียดในเรื่อง มันคือ big deal ของโอเมก้าเวิร์สที่ถ้าเทียบกับโลกความจริงก็คงเป็นการเหยียดเพศแหละค่ะ เราเขียนแนวนี้ครั้งแรก นี่ก็เป็นมุมมองที่อยากจะลองนำเสนอดู ใครสงสัยอะไรสามารถถามได้ตลอดนะคะ เราจะตอบตามความเข้าใจเราที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา

เพราะโอเมก้าเวิร์สไม่มีกฏที่ตายตัว บางอย่างเราก็ยืดหยุ่นเอาให้เข้ากับพล็อตค่ะ

สำหรับเพลงแชปนี้ เอาเพลงนี้ไปเลยค่ะ outro: tear - bts ต้องฟังแบบดูความหมายด้วยนะ บังคับ! 55555555

ขอบคุณทุกฟีทแบคเช่นเคยค่ะ เจอคำผิดสามารถบอกกันได้นะคะ เราพิมพ์แบบเบลอๆ อาจจะไม่เจอ

เราสมัคร ask ไว้ด้วย ใครมีอะไรอยากคุยอยากถาม โผล่เข้ามาหย่อนจดหมายให้กันได้นะคะ รบกวนติดอีโมจิคุณพระอาทิตย์ให้เราที เราจะได้แยกออกว่าไม่ใช่คำถามแรนด้อมมาค่ะ แหะ >> https://ask.fm/hopeniverse_







feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน






 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.10 (22/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 23-07-2018 11:48:11
แฟนเก่าฮิมแย่มากกๆๆๆๆๆ แบบทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ฮิมให้น้ำค้างฮีลเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.10 (22/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: oily06 ที่ 26-07-2018 12:57:14
เจ็บปวดใจจริงๆค่ะ  :katai1:
แต่พออ่านแล้วกลับรู้สึกว่าดีแล้วที่ฮิมเปนอัลฟ่า ถ้าเป็นโอเมก้าแล้วโดนคนแบบเมฆกัดคงแย่กว่านี้ ขนาดตอนคบกับฮิมก็ยังนอกใจไปมาร์กคนอื่น นี่ก็มีคู่แล้วยังมาทำแบบนี้กับฮิมอีก ช่างเป็นคนที่ทั้งเห็นแก่ตัวและไม่รู้จักพอจริงๆ หลังจากนี้หวังว่าคุณฮิมจะหลุดพ้นจากบ่วงต่างๆ พักใจนอนซุกอยู่กับกองผ้าห่มให้สบายนะคะ  :กอด1: คุณน้ำค้างจะทำให้เห็นเองว่าตัวคุณฮิมมีค่าขนาดไหน อย่าไปแคร์อีคนนิสัยเลวๆแบบเมฆเลย  :z6: :z6: :z6:
ชอบคู่พี่ทรายกิม แต่ตอนนี้อยากรู้ความเป็นไปของคู่หลักมากๆ เป็นกำลังใจให้คุณฮิมกับคุณน้ำค้าง  :mew2: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.11 (27/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 27-07-2018 16:26:51
chapter eleven



                น้ำค้างไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้ แต่ในตอนที่เขาลงจากแท็กซี่แล้วเจอคุณฮิมนั่งอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยสีแดงช้ำและรอยบาดแผล ป่าสนของเขากำลังเจ็บปวด และทันทีที่ภาพตรงหน้ากระแทกเข้ามา น้ำค้างไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกอะไรก่อน ระหว่างเจ็บปวด โกรธ เสียใจ หรือรู้สึกผิด

                เจ็บปวดที่เห็นคุณฮิมเจ็บ

                โกรธว่าใคร...ใครกันที่กล้าเอาขวานโค่นต้นสนของเขาเสียสิ้นซาก

                เสียใจที่ไม่สามารถมาอยู่ตรงนี้ได้เร็วกว่านี้

                และรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกร้อง เอาแต่ใจ และพูดจาไล่คุณฮิม น้ำค้างไม่ควรเลย ไม่ควรเลยที่จะโกรธเคืองคุณฮิม อีกฝ่ายเจ็บปวดมามากพอแล้ว ถึงเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม

                เขาพาคุณฮิมขึ้นแท็กซี่มาที่โรงพยาบาล เข้าไปทำแผลที่ห้องฉุกเฉิน แต่หลังจากตรวจร่างกาย และฟังคำจากหมอ ว่าต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือดูอาการสักพัก ถึงจะไม่มีอะไรหัก แต่ร่างกายบอบช้ำมาก และช่องทวารโดนล่วงล้ำอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้มีบาดแผล ยังดีที่ตรวจไม่พบคราบน้ำอสุจิ แต่ก็มีเรื่องสุขภาพจิตที่ต้องตรวจเช็คอีก

                น้ำค้างนั่งเงียบ มือบีบเข้าหากันอย่างตึงเครียด คำที่ฟังจากหมอทำให้เขาเอามือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง โกรธที่ทำไมไม่สามารถทำอะไรได้เลย โกรธที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ทำไมกันนะ ทำไมคุณฮิมต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยเหรอ เขาไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นเลยเหรอ น้ำค้างตัดพ้อต่อว่าตนเอง สูดลมหายใจเข้าเพื่อกลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมา น้ำค้างไม่รู้ว่าคุณฮิมจะเห็นว่าเขาสำคัญไหม แต่ก็ยังสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณฮิมอีก จะไม่ให้คุณฮิมต้องบาดเจ็บ จะไม่ให้คุณฮิมต้องหมองใจ

                น้ำค้างนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว โชคดีที่คุณฮิมมีประวัติอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว ทำให้สามารถดึงข้อมูลและติดต่อคนอื่นในครอบครัวได้โดยง่าย ไม่รู้ว่าควรจะอยู่รอคุณฮิมรึเปล่า หรือเขาควรจะออกไปดี...

                น้ำค้างถอนหายใจ เขาลูบหน้าด้วยความสับสน ลุกขึ้นก้าวขาเดินวนไปวนมาในห้องเหมือนหนูติดจั่นเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี สุดท้ายก็เปิดประตูออกมาข้างนอก โรงพยาบาลมีระเบียงให้สูดอากาศพร้อมม้านั่งและต้นไม้หรอมแหรม มีหลายเรื่องไหลวนเข้ามาในหัว ถามว่าโกรธคุณฮิมไหม ก็โกรธ แต่ความเจ็บปวดจากการเห็นอีกฝ่ายเจ็บนั้นมีมากกว่า อยากจะให้คุณฮิมเห็นเขาเป็นที่พึ่งพิงมากกว่าน้ำค้างเพียงหยดเดียว ลำต้นของป่าสนที่ตั้งตระหง่าน แบกรับภาระจากลมและฝนพายุมากมาย อยากจะขอมีสิทธิ์ดูแลคุณฮิมมากกว่านี้ ต้องทำอย่างไรให้สามารถดูแลและปกป้องอีกฝ่ายได้

                อึดอัดเหลือเกิน หัวใจของน้ำค้างถูกขยำอยู่ในก้อนเดียวโดยมือที่มองไม่เห็น แค่จะสู้หน้าคุณฮิมยังทำไม่ได้เลย อยากจะกอดไว้ กอดจนกว่าคุณฮิมจะรู้สึกดีขึ้น หรือจนกว่าความเศร้าในใบหน้านั้นจะมลายหายไป

                แรงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้น้ำค้างต้องควักออกมาดู พอเห็นชื่อคนที่โทรมาก็ถึงกับชะงัก มือ น้ำค้างนวดขมับตัวเองด้วยความเครียด มือไม่ได้กดตัดสาย แต่ขาออกเดินจากริมระเบียงเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องเดิมกับที่เดิมออกมาเมื่อครู่

                มือหมุนลูกบิดประตูก่อนจะผลักเข้าไป คุณฮิมยังคงนอนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่อย่างที่คิด และทันทีที่เห็นเขา นิ้วโป้งก็กดตัดสายทันที

                “คุณน้ำค้าง”

                คุณฮิมเรียกเขาก่อนจะยิ้มให้ ยิ้มแบบที่เจอกันครั้งแรก ยิ้มแบบที่ทำให้น้ำค้างอยากร้องไห้ ทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงไม่สามารถดูแลคุณฮิมได้มากกว่านี้ ทำไมกันนะ? น้ำค้างเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาระหว่างที่มือยกขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

                “คุณน้ำค้าง หายไปไหนมาล่ะ” คุณฮิมถามโดยที่มุมปากยกขึ้นเหมือนเคย แต่มันช่างดูอิดโรย เหนื่อยล้า และสั่นระริก “คุณน้ำค้าง...รังเกียจผมเหรอที่ผมเป็นแบบนี้”

                น้ำค้างส่ายหน้า ถ้าเขาออกปากตอบ เขาจะต้องร้องไห้อีกเป็นแน่ อัลฟ่าตัวโตเดินเข้าไปหาคุณฮิมข้างเตียงอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อป่าสนชูแขนสองข้างขึ้นเหมือนที่เคยทำเพื่อขอกอด น้ำค้างกลับไม่ลังเลเลยที่จะโน้มตัวโอบแขนตัวเองทั้งสองข้างเพื่อจะกอดอีกฝ่าย กลิ่นป่าสนที่ชื้นฝน คาวเหล็ก และรอยไหม้ของกาแฟทำให้น้ำค้างถอนหายใจหนัก ก่อนจะร้องไห้เงียบๆ ที่ไหล่คุณฮิมอีกครั้ง

                “คุณน้ำค้าง ร้องไห้ทำไม ผมเจ็บกว่าตั้งเยอะ” คุณฮิมถามเขาเสียงเบา น้ำค้างกอดคนตัวผอมแน่น คุณฮิมก็ตัวแค่นี้เอง ทำไมถึงได้อดทนขนาดนี้กันนะ

                “คุณฮิม อย่าทำแบบนี้เลย...” น้ำค้างพูดเคล้าเสียงหายใจหนัก “อย่าทำให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้เลย ผมขอร้อง”

                “คุณน้ำค้างก็อย่าหนีผมไปสิ” คุณฮิมกอดเขาแน่นแล้วพูดเสียงสั่น “ผมตื่นมา ไม่เจอคุณ มัน...แย่มาก”

                “ผมขอโทษ... ผมขอโทษ” น้ำค้างพูดซ้ำไปซ้ำมา คุณฮิมในวันนี้ช่างเปราะบาง น้ำค้างโอบกอดอีกคน หวังว่าคุณฮิมจะรู้ว่าเขาอยากจะถนอมอีกคนมากแค่ไหน อยากจะประกอบชิ้นส่วนที่แตกสลายนั่นให้เข้าด้วยกันดั่งเดิม

                น้ำค้างไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะรักคุณฮิมได้มากขนาดนี้ มากเสียจนไม่คาดคิดว่าแค่อีกฝ่ายเจ็บ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดแทนในตัวเอง

                “เหนื่อยไหม โกรธผมไหม” คุณฮิมถามเสียงเบาและอ่อนแรง แต่ก็ยังกอดเขาแน่น ยึดจับเขาราวกับจะพึ่งพิง และน้ำค้างเต็มใจที่จะให้อีกคนเอนตัวลงมาหาเขาเสมอ “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ”

                “ไม่เป็นไรคุณฮิม ไม่เป็นไรเลยจริงๆ” น้ำค้างตอบแล้วกดจมูกลงกับต้นคออีกฝ่าย คล้ายว่าจะพูดให้ตัวเองสบายใจในคราเดียวไปพร้อมๆ กับที่ปลอบใจป่าสน

                “คุณน้ำค้าง อย่าทิ้งผมเลยนะ อย่าเกลียดผมเลย”

                เป็นครั้งแรกที่น้ำค้างเห็นคุณฮิมร้องไห้และต้องการเขา มันเป็นความรู้สึกดีใจผสมกับความหมองใจที่ต้องเห็นคุณฮิมร้องไห้ให้กับเขา น้ำค้างมีความรักเต็มถ้วยที่พร้อมจะเทรดรินคุณฮิม เขาสามารถให้ได้อย่างล้นเหลือ ไม่ต้องออกปาก เขาก็พร้อมจะให้ด้วยความหวังดีมากมาย

                “คุณฮิม ขอบคุณที่ต้องการผม ขอบคุณที่อดทนมาตลอดนะครับ” น้ำค้างตอบแล้วก็ยิ้มออกมาครั้งแรกของวันนี้ “ผมไม่เคยรังเกียจคุณฮิมเลย คุณฮิมอย่าคิดว่าตัวเองน่าเกลียดเลยนะ ยกโทษให้ตัวเองเถอะนะ...นะครับ”

                ป่าสนพยักหน้าช้าๆ พลางตอบรับอย่างว่าง่ายอยู่กับไหล่เขา และน้ำค้างก็สบายใจขึ้นอีกนิดนึง

                “คุณน้ำค้าง ผมขอโทษ ที่ไม่เคยบอกอะไรคุณเลย” คุณฮิมพูดด้วยน้ำเสียงต่างจากที่เขาเคยได้ยิน มันไม่ใช่โทนขี้เล่นหรือซับซ้อนอย่างที่เคย มีบางอย่างในน้ำเสียงนั่นที่บ่งบอกตัวตนลึกๆ ของคุณฮิมออกมา ตัวตนที่ไม่อยากให้ใครเห็น “แต่ถ้าเป็นคุณน้ำค้าง...ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยที่จะบอก ขอโทษที่ผมไม่บอกให้เร็วกว่านี้”

                คุณฮิมเริ่มพูดไม่เป็นศัพท์ เพราะยังคงเรียบเรียงทุกอย่างไม่ถูก น้ำค้างได้แต่กอดคนตัวผอมที่บอบช้ำไว้อย่างนั้น คุณฮิมในตอนนี้ราวกับว่าไร้ชนชั้นใดๆ ไม่ใช่อัล่า เบต้าหรือโอเมก้า เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่อ่อนแอและต้องการการซ่อมแซม

                กลิ่นเปลือกไม้และใบสนหลังฝนตกดูไม่สดชื่นอย่างที่ควรเป็น แต่ถึงกระนั้นคุณฮิมก็ยังกลิ่นหอมสำหรับเขาเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่คุณฮิมก็จะยังดูดีที่สุดในสายตาเขา ว่ากันว่าความรักทำให้เราตาบอด น้ำค้างเห็นด้วยในครั้งนี้ เพราะอย่างที่เคยพูดไป ว่าต่อให้เขามองไม่เห็น เขาก็จะยังหลงรักกลิ่นป่าสนเจือไอหมอกนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ

                “ผมจะบอก ผมสัญญา คุณน้ำค้างต้องห้ามหายไปนะ ห้ามหายไปไหน”

                น้ำค้างไม่อยากจะหัวเราะแต่เขาก็เผลอหัวเราะออกมา เขาไม่เคยเจอคุณฮิมโหมดนี้เลย โหมดที่ต้องการให้เขาอยู่ตรงนี้ เรียกร้องหาเขา ทั้งๆ ที่ปกติแล้วคนที่จมดิ่งลงไปแบบหน้ามืดตามัวก็คือน้ำค้างฝ่ายเดียวทั้งนั้น ไม่มีเลยสักครั้งที่คุณฮิมจะกอดเขาไว้แล้วออกคำสั่งเอาแต่ใจแบบนี้ แต่น้ำค้างชอบ เขาชอบให้อีกคนต้องการตัวเขา เหมือนกับที่เขาต้องการอีกฝ่ายเช่นกัน

                “หัวเราะทำไม ผมพูดอะไรตลกเหรอ” คุณฮิมดูจะงุนงง มือยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะรีบชักออกด้วยความเจ็บจากแผลและรอยช้ำ “หรือว่าตอนนี้ผมหน้าตาตลก”

                “ผมไม่เคยขำหน้าตาคุณฮิมเลยเถอะ ใครจะขำออก คุณฮิมเจ็บขนาดนี้” น้ำค้างยิ้มด้วยความเอ็นดู

                “แล้วคุณขำอะไร คุณน้ำค้าง บอกผมมาก่อน” คุณฮิมจับตามหน้าตัวเองแล้วก็ร้องโอ๊ยเพราะตัวเองเจ็บอยู่จนน้ำค้างต้องรีบรวบข้อมือทั้งสองนั่นออกให้เลิกยุ่งกับใบหน้า

                “ผมขำที่คุณฮิมบอกว่าห้ามผมไปไหน ผมจะไปไหนได้ คุณฮิมสั่งเหมือนให้ผมเฝ้ายามตลอดเวลายังไงยังงั้น”

                “ก็...ตื่นมาผมไม่เจอคุณนี่”

                น้ำค้างอยากจะบันทึกโมเม้นต์เหล่านี้ไว้ คุณฮิมที่หน้าแดง ร้องไห้ และบอกว่าไม่อยากให้เขาไปไหน มันน่ารักมากๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องอะไรแบบนี้กับป่าสนของเขาอีก เขาอยากได้คุณฮิมที่ขี้เล่น ขี้แหย่ และชอบปั่นหัวเขาคนเดิมกลับมามากกว่า

                “ถ้าผมจะหนี ผมคงไม่ไปหาคุณฮิมหรอก”

                “คุณน้ำค้างอาจจะสงสารเฉยๆ ก็ได้”

                “ค่าแท็กซี่มันแพงนะคุณฮิม” น้ำค้างพูดติดตลก เขาไม่อยากให้คุณฮิมต้องลดค่าตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา เขาแค่หวังว่าในขั้นตอนเหล่านั้นที่คุณฮิมกำลังซ่อมแซมตนเอง จะมีเขาช่วยประกอบชิ้นส่วนอยู่ข้างๆ

                “เจ็บมากไหม” น้ำค้างถามก่อนจะมองรอยบนตัวอย่างละเอียด “แล้วคุณฮิมหิวรึเปล่า อยากกินอะไรไหม ผมก็ไม่รู้ว่าหมอจะยอมให้คุณกินอะไรได้บ้างรึเปล่า”

                “หิว หิวมาก” คุณฮิมพูดแล้วก็จับท้องตัวเอง ก่อนจะทำหน้านิ่งและรีบชักมือออก ไม่เจ็บก็แย่ รอยช้ำปื้นใหญ่เลยมั้งนั่น

                “คุณฮิม ผมขออีกอย่าง เลิกจับตัวเองสักพักได้ไหม คนมองแบบผมหัวใจจะวาย” น้ำค้างบอกแล้วจับข้อมือสองข้างคุณฮิมรวบมาวางไว้บนตักเบาๆ เขาเป็นคนขี้ตกใจ จะดีมากถ้าคุณฮิมไม่ทำอะไรให้เขารู้สึกเป็นห่วงไปมากกว่านี้ แบบนั้นน้ำค้างอาจจะทำตามจริงๆ ก็ได้ ไอ้คำว่าห้ามหายไปไหนอีกนะ คือเขาสามารถเฝ้ายามยี่สิบสี่ชั่วโมงได้เลยจริงๆ

                “อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผมลงไปถามหมอ กับไปซื้อมาให้”

                “ผมรู้ว่าคงไม่ได้กินแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมหิวในระดับที่อยากกินบุฟเฟ่ต์เลย” คุณฮิมพูดแล้วก็หัวเราะ น้ำค้างมองภาพนั้นอย่างสบายใจ โล่งอกเหลือเกินที่คุณฮิมเข้มแข็ง

                “คงไม่น่าจะได้หรอก” น้ำค้างพึมพำตอบแล้วก็ยิ้มตาม พอทุกอย่างดีขึ้นร่างกายน้ำค้างก็ประท้วงทันทีว่าเขาเหนื่อยมากแค่ไหน กับการอดนอนและร้องไห้ น้ำค้างปิดปากหาวแล้วก็ขยี้ตา เขารู้สึกเหมือนตาจะปิดทันทีที่คุณฮิมเอามือที่รวบอยู่บนตักขึ้นมาจับแก้มเขา

                “ง่วงเหรอคุณแม่บ้าน” คุณฮิมถามด้วยน้ำเสียงเดิมที่น้ำค้างไม่ได้ยินมาสักพัก อัลฟ่าตัวโตยิ้มทั้งที่ตาปิดไปแล้ว เขาควรนอนจริงๆ นั่นแหละ

                “เป็นครั้งแรกที่เด็กสถาปัตย์แบบผมจะนอนกลางวัน ไอ้กิมรู้มันคงไม่เชื่อ” น้ำค้างพูดแต่ก็ลุกขึ้นเดินไปตรงโซฟาที่มีหมอนให้อยู่แล้ว ไอ้กิมมันนอนเก่งก็จริงแต่น้ำค้างไม่เรียกว่าเป็นการนอน เรียกว่างีบจะดีกว่า คนอะไรนอนได้ทุกที่ ทุกเวลา

                “คุณน้ำค้างมานี่ก่อน อย่าเพิ่งนอน”

                คุณฮิมชูแขนสองข้างเรียกเขา ดูเหมือนป่าสนจะเอาแต่ใจมากกว่าที่เคยเป็น น้ำค้างเดินกลับเข้าไปหา แล้วกอดคุณฮิมเต็มรัก ใบสนลู่เข้าหาอย่างเต็มใจ ใบหน้าคมหวานเงยขึ้นเพื่อจูบมุมปากเขาอย่างต้องการจะออดอ้อนเป็นครั้งแรก น้ำค้างเผลอรวบเอวอีกคนให้ชิดตัวเองและเอียงหน้าดื่มด่ำริมฝีปากของคนตรงหน้ามากขึ้น และผละออกอย่างตกใจเมื่อคุณฮิมตบแก้มเขาเบาๆ คล้ายจะเรียกสติพลางกลั้วหัวเราะ

                “เบาๆ หน่อย ผมเจ็บ”

                “ขอโทษครับ”

                น้ำค้างตอบอย่างเงอะงะ แล้วก็ตั้งใจจะถอยออกแต่คุณฮิมดันดึงแขนเขากลับเข้าไปใหม่

                “ก็เบาๆ สิ เร็ว จูบผมหน่อย”

                คุณฮิมเอาคางวางไว้ตรงหน้าท้องเขาพลางเงยขึ้นมอง มุมปากยกขึ้นพร้อมกับลักยิ้มสองข้างแก้มนั่น...อีกแล้ว

                น้ำค้างน่ะแพ้ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าไปซื้อสตาร์บัคครั้งแรกแล้วล่ะ


                ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขายอมให้พี่ทรายมามีอิทธิพลกับตัวเองขนาดนี้

                กิมคิดในขณะที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกไม่ชิน กิมไม่เคยจูบกับใครมานานมากเสียจนลืมสัมผัสนั้นไปแล้ว ตอนนี้พี่ทรายเป็นคนแรกที่เรียกมวลความปั่นป่วนในตัวเขาให้กลับมา ริมฝีปากบดชิด กิมได้ยินเสียงหายใจตัวเองที่ติดขัดและไม่เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างมันลงล็อกพอดีในสมอง แต่ร่างกายเขากลับเกร็งจากการแลกเปลี่ยนที่ใกล้ชิดถึงขนาดนี้

                พี่ทรายโอบเอวเขาจนชิดกัน ฝ่ามือไล่ไปตามผมด้านหลังเขาระเรื่อยมาถึงต้นคอและลูบไรผมตรงปลายวนอยู่แบบนั้น คล้ายจะบอกให้เขาผ่อนคลาย แต่กิมรู้สึกแตกต่างออกไป ยามเช้าบนผ้าห่มและเตียงของตัวเองควรจะสงบสุขและเงียบงันเหมือนทุกวัน แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่พี่ทรายเอาคืนเขาในตอนเช้า ฉวยโอกาสจากตอนที่กิมยังงอแงงัวเงียตื่นไม่เต็มตา

                กลิ่นฟีโรโมนของพี่ทรายฝังอยู่ทุกอณูของเนื้อผ้าบนเตียงเขา หอมอบอวลจนเหมือนมีพี่ทรายอยู่ด้วยตลอดเวลา กิมมัวเมาในกลิ่นเสียจนยินยอม ยอมให้อัลฟ่าเนื้อหอมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ยอมที่จะเผยอปากรับจูบจากอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ในลำคอส่งเสียงไม่แน่ใจในตอนแรก แต่พี่ทรายก็คือพี่ทราย หน้าเนื้อใจเสือ หลอกล่อให้เขาโอนอ่อนผ่อนผัน รู้ว่าลูบตรงไหนจะไม่โดนเขาข่วนกลับด้วยความตกใจ ตามใจกระทั่งยอมให้กิมพักหายใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดลง

                “อือ...” กิมเบี่ยงคอหลบหน้าอีกคนอย่างรำคาญ แก้มเขาโดนแต้มด้วยรอยจูบชื้นๆ ที่ทิ้งลงมาจากความหมั่นเขี้ยว พี่ทรายกดจูบหนักที่แก้มเหมือนกะเล่นให้ช้ำ กิมเอามือตัวเองดันหน้าอีกคนออก และพี่ทรายก็ยอมถอยออกมา

                ...ก่อนจะโน้มลงมาจูบปากใหม่ เพราะเมื่อกี้ให้พักหายใจไปแล้วยกนึง

                ขาของโอเมก้าผมบลอนด์ยกขึ้นถีบสีข้างอีกคนเบาๆ เพราะมือโดนรวบจับไว้ทั้งคู่เหมือนจะห้ามไม่ให้ข่วน ช่วงเวลาหาเศษหาเลยหาไม่ได้ง่ายๆ ราวกับพี่ทรายจะพูดแบบนั้น

                ดังนั้นพออัลฟ่าไหล่กว้างพอใจแล้วกิมถึงได้ขมวดคิ้วหนัก ใบหน้าแสดงออกถึงความรำคาญเต็มที่ มือเอื้อมไปดึงเสื้ออีกคนให้เผยผิวเห็นไหล่กว้างๆ นั่นแล้วก็กัดเข้าให้เต็มฟัน พี่ทรายร้องโอ๊ยพอให้เขาสะใจแล้วนั่นแหละถึงได้หยุด ลุกจากเตียงขึ้นไปแปรงฟัน

                “ลงไปซื้อเองแปรงเอง” กิมพูดกลั้วยาสีฟัน แล้วก็โยนแบงค์ร้อยให้อีกคน “ซื้อขนมมาด้วย”

                “เหมือนโดนเอาแล้วทิ้งแปลกๆ” พี่ทรายทำหน้าเสียใจ “ค่าตัวพี่ร้อยเดียวเองเหรอ”

                “เพิ่งรู้เหรอ” กิมตอบหน้าตายแล้วก็แปรงฟันต่อไม่รู้ไม่ชี้

                “ยังไม่ได้เอาเลย ยังไม่รับเงินได้เปล่า”

                กิมปาหลอดยาสีฟันออกมาจากห้องน้ำใส่คนที่นั่งหัวเราะใหญ่อยู่บนเตียง อยากจะปาแชมพูด้วยแต่เลอะเทอะ เพราะนี่ก็คือห้องตัวเอง คนเก็บกวาดก็คือตัวเอง

                “ถ้าพูดว่าขอเอาหน่อยนี่จะไม่ยุ่งด้วยแล้วนะ” กิมพูดแล้วก็บ้วนปาก

                “จะไม่ให้เหรอจ๊ะ”

                “จ๊ะพ่อจ๊ะแม่พี่มึง”   

                กิมเริ่มด่าหยาบๆ พี่ทรายเลยเลิกแหย่ต่อ หัวเราะท่าทางที่เหมือนแมวขนฟูขู่ฟ่อๆ แล้วก็เปิดประตูลงไปซื้อแปรงสีฟันกับขนม

                กิมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ตอนเดินออกมาก็หยิบขวดสเปรย์ดับกลิ่นจะฉีด แต่ยังไม่ทันเขย่าเปิดฝา พี่ทรายก็พุ่งเข้าชาร์จจากด้านหลังอีก

                “อะไรเนี่ยพี่ทราย” กิมโวยวายตอนโดนยึดขวดสเปรย์จากมือไป ทำไมขัดใจ ทำไมไม่ตามใจกันแล้ว กิมย่นจมูก

                “ตัวหอมอยู่แล้ว”

                “ก็จะออกไปข้างนอก” กิมจะออกไปซื้อขนม วันนี้คือวันเสาร์ เขาจะต้องได้นอนตีพุงดูเน็ทฟลิกซ์กินเค้กกินขนมหวานให้สมกับที่ปั่นงานล่วงหน้าไว้

                “ก็ค่อยฉีดตอนจะออกดิ” พี่ทรายเริ่มเอาใหญ่ จมูกซุกตรงแอ่งชีพจรเขา ก่อนจะเผยอปากลงฟันไว้หยอกๆ แต่กิมกลับขนลุก เขาย่นคอหนีด้วยความระแวง แล้วก็ยอมวางสเปรย์ไว้ที่เดิมเพราะไอ้ไบโอเคมีในร่างกายที่ตอบสนองกับเขี้ยวอัลฟ่าตรงแอ่งชีพจรนั้นสปาร์กเร็วเสียจนกิมสะดุ้ง ถ้าโดนกัดจริงๆ...ล่ะ

                “น้องกิมจะออกไปไหน”

                “ซื้อขนม” กิมตอบแล้วก็ยัดขนมปังปิ้งเซเว่นเข้าปาก รู้ดีอีกว่าเขาไม่ชอบกินข้าวเช้า บอกให้ซื้อขนมก็ซื้อขนมปังมาให้แทน

                “กินแต่ขนมนะเราอะ”

                “ทำไม ไม่ชอบเหรอ”

                “เดี๋ยวป่วยหรอก”

                “นึกว่าจะชอบให้ตัวหวานๆ”

                กิมยัดขนมปังเข้าปากตัวเองหลังจากตอกคำพูดกลับไป พี่ทรายยิ้มใจดีให้เหมือนเดิม แต่กิมรู้ว่าเขาปั่นหัวอีกคนสำเร็จ กิมล่ะชอบจังไอ้การยั่วให้อยากแล้วไม่ให้เนี่ย

                หลังจากกินเสร็จก็เตรียมจะออกไปข้างนอก กิมโยนเสื้อแจ๊กเก๊ตยีนส์ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วก็ถุงเท้าปั้นเป็นก้อนๆ ยังไม่ทันจะได้หาผ้าเช็ดหน้า มือพี่ทรายก็จับสะโพกเขาสองข้างแล้วดึงออกมาจากตรงตู้เสื้อผ้า ลอยหวือมาอยู่บนตักแล้ว

                “ไรอีก” กิมถามเสียงเดิม มือเอื้อมไปหยิบถุงเท้าแต่พี่ทรายก็แย่งอีกแล้ว ขัดใจ ขัดใจ ขัดใจกันเข้าไป

                “จะใส่ถุงเท้าให้ไง”

                กิมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เขางอเข่าขึ้นมาชิดทั้งสองข้าง พี่ทรายเอื้อมใส่ถุงเท้าสีดำข้อสั้นให้ทีละข้าง นอกจากแม่กับพ่อก็ไม่มีใครใส่ถุงเท้าให้เขาแล้ว

                “ไม่อยากให้ฉีดสเปรย์เลยเนี่ย”

                “ก็จะออกไปข้างนอก”

                “ใครใช้ให้ตัวหอมขนาดนี้”

                กิมหน้าขึ้นสีจากประโยคนั้น พี่ทรายไม่เคยพูดตรงๆ กับเขาเลยเรื่องกลิ่น และบางทีกิมก็ไม่แน่ใจว่ากลิ่นเขาหอมรึเปล่า หรือพี่ทรายอาจจะไม่ได้ชอบกลิ่นเขาขนาดนั้นก็ได้

                “ก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งด้วย”

                “แล้วพี่ล่ะ”

                พี่ทรายถามพลางเอาคางวางบนไหล่ มือกอดส่วนกลางลำตัวเขาหลวมๆ รอคำตอบอย่างไม่ใจร้อน แต่กิมรู้สึกร้อนไปหมด คนเราเวลาจะน้ำท่วมปากก็เป็นกันซะง่ายๆ แบบนี้นี่เอง

                “คิดเอาเอง”

                สุดท้ายก็ตอบออกไปแค่นั้น กิมไม่ชอบพูดอะไรหวานๆ เป็นคนพูดตรงๆ แต่พอเอาเข้าจริงวนมาเรื่องแบบนี้ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันนั่นแหละ

                “ไม่ต้องฉีดแล้ว เดี๋ยวไปด้วย”

                กิมเลิกคิ้วมองหน้านิ่ง นี่คือตัวอย่างของคนไม่กลับบ้านกลับช่องที่แท้ทรู

                “ช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟเลยไหม”

                “เท่าไหร่ล่ะ”

                “ตลกละ”

                กิมส่งเสียงเหอะในคอ เชื่อเขาเลยจริงๆ ยักไหล่ให้อีกคนเอาคางออกไป ก่อนจะลุกขึ้นใส่แจ๊กเก๊ตยีนส์ มือฉวยขวดสเปรย์โยนให้พี่ทรายที่นั่งอยู่กับพื้น และมองมาที่เขา หน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม

                “ไม่ใช่คนชอบตามดูตามเฝ้าเหมือนคนแถวนี้”

                กิมตอบสั้นๆ แล้วก็เดินไปกดปิดแอร์ เสียงฉีดสเปรย์ฟืดๆ ดังเคล้ามาพร้อมกับเสียงพี่ทรายขำ

                น่าหมั่นไส้ รู้งี้กัดให้ไหล่ช้ำไปเลย

               









tbc.


หลังจากที่เผชิญกับพายุอารมณ์ เราก็หนีไปพักใจสักพักเหมือนกันค่ะ

เอาความน่ารักมาคืนให้แล้วนะคะ ;__;

ส่วนแชปนี้ก็มีเพลงให้ทรายกิมค่ะ เอาไปเรย

kisses for breakfast - melissa steel feat. popcaan 

your body is a wonderland - john mayer

             ขอบคุณสำหรับฟีทแบคเช่นเคยนะคะ ขอบคุณมากๆ จริงๆ เลย เปิดเรื่องมาเดือนเดียวแต่รู้สึกอบอุ่นมากๆ ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณนะคะ ทุกคนทำให้เรารักงานตัวเองมากขึ้นและมีแรงเขียนต่อมากๆ เลยค่ะ



feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน
 

               

                 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.11 (27/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 27-07-2018 22:32:29
สงสารฮิม :o12:
โกรธแฟนเก่าฮิมมากๆ ขอให้โอเมก้ากลิ่นส้มคนนั้นคิดบัญชีด้วยเถ๊อะะะ เพี้ยงงงง! :m31: :call:
ส่วนกิมกับพี่ทรายก็น่ารัก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.12 (05/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 05-08-2018 01:22:34
chapter twelve



                ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลมา น้ำค้างก็ยังไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องตัวเองเลย มีแต่ฝากไอ้กิมให้หยิบพวกเสื้อผ้ามาให้ เพราะคุณฮิมติดเขาหนึบหนับชนิดที่ว่าไอ้กิมพูดลอยๆ ว่าเหมือนตังเม

                “พี่ทรายก็รุงรังกับมึงพอกันปะวะกิม”

                กิมยักไหล่ใส่ ทำไม่ได้ยิน เอาหูเอาไปนา เอาตาไปไร่ น้ำค้างล่ะอยากจะหยิกแขนเพื่อนสักทีสองที แต่พอนึกได้ว่าไอ้เพื่อนตัวเล็กนี่มันมีอัลฟ่าตามติดแล้วก็ต้องหยุดความคิดที่จะทำเพื่อนเป็นรอย น้ำค้างไม่อยากมีปัญหาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

                คุณฮิมนอนไม่ค่อยหลับและสะดุ้งกลางดึกบ่อยๆ จนหมอต้องให้ยานอนหลับชั่วคราวมา ก็หวังว่าจะไม่ใช่ระยะยาวที่คุณฮิมจะต้องพึ่งยา น้ำค้างไม่กล้าถามถึงเหตุการณ์ฝนตกวันนั้น เขาไม่เคยนึกถือโทษโกรธเคืองคุณฮิมที่ไม่พร้อมจะเล่าให้เขาฟัง ทุกเรื่องต้องใช้เวลาเสมอ น้ำค้างรู้ดี และเขาไม่เคยรีบจะเอาคำตอบ

                “คุณน้ำค้าง อยากกินไข่เจียวหมูสับ”

                แต่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีเลย คุณฮิมกินเก่งขึ้น และน้ำค้างไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องรบกวนที่จะต้องทำอาหาร เขาเข้าครัวเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว เขาออกจะดีใจด้วยซ้ำที่คุณฮิมอ้อนให้เขานอนด้วย (แน่นอนว่าเขากลายเป็นหมอนข้างไปแล้ว)

                ตอนที่น้ำค้างย่ำเข้ามาในห้องคุณฮิมครั้งแรก ก็เหมือนกับเขากำลังย่ำเข้าป่าทึบจริงๆ ถ้ามีกวางมูสออกมาเดินอยู่ในห้อง น้ำค้างก็จะไม่ตกใจเลย เขาเคยคิดว่าอะไรกันที่ทำให้ตัวเองหลงรักกลิ่นนี้ กลิ่นที่ธรรมชาติจนบางคนขยาด แต่น้ำค้างยินดีจะรับรู้กลิ่นนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาชอบความเงียบงันของโลกสีเขียวมากกว่าการที่ต้องเจอคนหมู่มาก หรือกลิ่นที่ดูปรุงแต่ง

                “คุณฮิมกินอย่างอื่นด้วยไหม ไข่เจียวอย่างเดียวอิ่มเหรอ”

                “ไข่สองฟอง เอาหมูสับกับแครอทด้วย”

                น้ำค้างถามแล้วก็มองคุณฮิมที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาพลางตอบเขา เสื้อสีเหลืองโอเวอร์ไซส์ตัวหลวมที่เจ้าตัวใส่นอนเลิกขึ้นมาจนเห็นหน้าท้องรำไร มือจับมือถือนอนไถอ่านเว็บตูนสบายใจ เป็นภาพที่น้ำค้างไม่ชินตานัก คุณฮิมสำหรับเขาคือคนที่มีชั้นเชิงในการพูดและการกระทำ แต่ผู้ชายที่นอนอ่านการ์ตูนตรงหน้าเขาดูห่างไกลจากคำนั้นเยอะ คุณฮิมเตะขาเขี่ยผ้าห่มไปเรื่อย ตาจดจ้องกับหน้าจอ ปากยกยิ้มบ้างเป็นระยะจากเนื้อหาที่อ่านอยู่ ป่าสนดูนุ่มนิ่มและผ่อนคลายกว่าที่เคย

                น้ำค้างมองจนรู้สึกถึงไอร้อนได้ว่ากระทะกับน้ำมันเริ่มร้อนแล้ว ถึงได้หันไปเทไข่ที่เจียวไว้ใส่ลงไป ความคิดตีวนกันระหว่างที่หยิบจับตะหลิวในมือ คุณฮิมดูมีความสุขเสียจนน้ำค้างไม่อยากจะให้อีกฝ่ายต้องเล่าเรื่องในวันนั้นเลย เขายอมไม่รู้อะไรดีกว่าเห็นใบหน้าอีกคนเศร้าเสียใจไม่เป็นสุข

                “คุณน้ำค้าง ผมดูอ้วนขึ้นไหม”

                “ทำไมคุณฮิมถามเหมือนผู้หญิงเลย”

                “ก็ผมเอาแต่กินๆ นอนๆ นี่”

                “คุณฮิมออกไปเรียนด้วยต่างหาก”

                “ปกติผมทำอะไรมากกว่านี้นี่”

                คุณฮิมเถียงไม่จริงจัง มือเลิกชายเสื้อขึ้นไปมากกว่าเดิมเพื่อจับหาส่วนเกินของหน้าท้อง น้ำค้างส่ายหน้าให้กับท่าทางแบบนั้น คุณฮิมเป็นคนขี้ร้อน ในขณะที่น้ำค้างเป็นคนขี้หนาว ดังนั้นแอร์ในห้องจึงเย็นมาก และน้ำค้างก็ไม่ได้ปริปากบ่นกับการตื่นมาแล้วคันจมูกอยากจะจามทุกเช้า ห่วงคนที่บ่นร้อนบ่อยๆ เสียมากกว่าว่าจะไม่สบายเข้าสักวัน เขาน่ะหนังหนามาแต่เด็กแล้ว เลยไม่ค่อยป่วยบ่อย

                “คุณฮิม เดี๋ยวไม่สบายหรอก”

                น้ำค้างพูดแล้วปิดเตาแก๊ส ไข่เสร็จแล้ว เหลือแค่เอาใส่จาน แต่แม่บ้านญี่ปุ่นอย่างเขาเลือกที่จะเดินมาหาคุณฮิมที่นอนกางพุงอยู่ก่อน มือดึงชายเสื้อสีเหลืองตัวโคร่งลงมาปิดท้องให้เหมือนเดิม คุณฮิมเหลือบตามามองแวบนึงก่อนจะจุดยิ้ม น้ำค้างไม่ได้ระวังตัวอะไร จนกระทั่งป่าสนโน้มกิ่งมาโฉบแขนเขาให้ลงมานอนทับกัน

                “คุณฮิม! ยังไม่หายช้ำเลย”

                น้ำค้างโวยวายเหมือนเป็นคนเจ็บเอง แต่ความจริงแล้วก็คือคนใต้ร่างนี่แหละที่ช้ำเยอะ เขารีบลุกออกแต่ก็โดนจับให้ลงมานอนราบกับเตียงใหม่ ซึ่งคราวนี้คุณฮิมปีนขึ้นมานอนทับเขาแทน

                “เนี่ย ชอบคุณน้ำค้างตรงนี้” คุณฮิมตอบแล้วก็จิ้มแก้มเขาจึกๆ แค่คำว่าชอบคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายก็ทำให้น้ำค้างหยุดกึก เขามองหน้าคุณฮิม

                “ชอบแก้มผมเหรอ”

                “ไม่ใช่ดิ ทำไมซื่อจังอะ” คุณฮิมขำพรืดแล้วก็หอมแก้มเขาเหมือนหอมเด็กตัวเล็กๆ “ชอบที่คุณน้ำค้างห่วงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น ไม่เคยมีใครหยุมหยิมกับผมขนาดนี้เลย”

                “สรุปมันดีหรือไม่ดีอะคุณฮิม” น้ำค้างถามแล้วขมวดคิ้วกังวล เขาห่วงคนอื่นนี่น่าจะติดอยู่ในนิสัยไปแล้ว ไอ้กิมบางทีก็เลยทำอะไรไม่บอกเขาเป็นส่วนใหญ่เพราะเขาเหมือนแม่คนที่สองของมันนี่แหละ มันทำแล้วถึงมาบอกเขาทีหลัง

                “เห้ย นี่ชมอยู่นะเนี่ย” คุณฮิมเอามือมาแปะแก้มเขาเบาๆ “วันนั้นร้องไห้แทนซะผมกลัวเลย”

                “ก็ผมตกใจนี่ ผมนึกว่าคุณฮิมจะเป็นอะไรไปแล้ว” น้ำค้างตอบ เป็นครั้งแรกที่คุณฮิมยอมพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น มานั่งคิดดีๆ เขาก็อายอยู่ที่ร้องไห้ แต่พอนึกถึงสภาพของคุณฮิมวันนั้นแล้วก็อดหดหู่ไม่ได้ เขาเห็นจากข่าวมาเยอะ แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะมาเกิดกับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เป็นรักในชีวิตของเขาแล้วนั้นยิ่งแล้วใหญ่

                “ความจริงผมก็นิสัยไม่ดีด้วย” คุณฮิมตอบแล้วก็ยิ้มบางๆ “มีอะไรก็ไม่ชอบบอกคนอื่น แต่กับคุณน้ำค้าง ผมคงจะระแวงเกินไป”

                “ตอนแรกยอมรับนะว่าผมโกรธเรื่องคุณฮิมไม่บอก แต่ผมโกรธคนทำกับโกรธที่ทำอะไรไม่ได้เลยมากกว่า” น้ำค้างพูดแล้วก็เงยหัวลงไปนอนกับหมอนพลางพรูผมหายใจ คุณฮิมเอาคางเกยอกเขาแล้วมอง

                “คุณน้ำค้างดีจนบางทีผมก็คิดว่าผมควรได้รับอะไรแบบนี้เหรอ”

                คุณฮิมหัวเราะแต่น้ำค้างไม่คิดแบบนั้น เขารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะของอีกฝ่ายเพราะตัวเราแนบชิดกัน

                “ผมไม่ได้ทำเพราะอยากทำคะแนนซะหน่อย อันนี้ผมเป็นห่วงจริงๆ แบบจริงๆ”

                “อันนี้ผมหลับตายังรู้เลยคุณแม่บ้าน” คุณฮิมเอียงหน้าเอาแก้มซบอกเขาแทน “คุณน้ำค้างจำคนที่ต่อยผมที่โรงหนังได้หรือเปล่า”

                น้ำค้างพยักหน้าแทบจะทันที ก่อนจะพึมพำต่อให้กับเพดาน “อัลฟ่าคนนั้น...ที่กลิ่นกาแฟออกไหม้ๆ หน่อย”

                “อืม” คุณฮิมตอบรับในคอ มือควานหามือเขาที่วางไว้ข้างตัวก่อนจะจับสอดนิ้วประสานไว้เหมือนจะหาที่ยึดเหนี่ยวให้กับตัวเอง “แฟนเก่าผม”

                น้ำค้างเงยหัวขึ้นมามองคุณฮิมเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ แต่พอคิดอีกทีที่คุณฮิมดูไม่มีทีท่าจะขัดข้องเรื่องที่คบกับอัลฟ่าแบบเขา ทุกอย่างก็ดูเข้าเค้าไปหมด จากมุมนี้ก็เห็นแค่กลุ่มผมสีดำทุยๆ นั่น เดาสีหน้าไม่ถูกเลย แต่น้ำค้างไม่อยากจะเร่งเร้าหรือบังคับให้มองหน้ากัน เขาถึงได้เอาหัวกลับลงไปกับหมอนอีกครั้ง

                “ตอนผมเลิกกับเขาใหม่ๆ ผมก็สมัครเข้าฝึกงานสตาร์บัคเลย ดูน่าสมเพชไหม” คุณฮิมพูดเชิงเสียดสี น้ำค้างส่ายหน้าเงียบๆ “ผมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่มีแต่เขา พยายามหาเหตุผลว่าอะไรทำให้เราเลิกกัน”

                “...เพราะเรื่องสายพันธุ์เหรอ”

                “ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย” คุณฮิมตอบเสียงเรียบเหมือนพยายามนึกเรื่องเก่าๆ แล้วเล่า “ผมคบกับเขามาสองปี ก็ไม่คิดเรื่องนั้นเลย”

                “สองปีก็นานอยู่นะ...”

                “นานจนผมแทบไม่คิดมากเลยล่ะ” คุณฮิมบอกแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แล้ววันนึงผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไปจับคู่กับโอเมก้าแล้ว”

                น้ำค้างไม่ได้ถามว่าโอเมก้าคนไหน เพราะก็พอจะเดาได้จากการปะติดปะต่อเรื่องเอง แทบจะได้กลิ่นผลไม้หน้าร้อนลอยมาแตะจมูกทั้งๆ ที่ป่าสนแห่งนี้มีเพียงแค่ไอหมอกเย็นๆ ลงจัด

                “ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความผิดพลาด คิดว่าแค่คืนเดียวที่เขาพลาดจนไปกัดคนอื่น” คุณฮิมหยุดเล่า น้ำค้างบีบมืออีกฝ่ายที่เริ่มจะชื้นเหงื่อ แต่ก็ไม่มีใครคิดปล่อยมือออกจากกัน “ผมเป็นคนยึดติดน่ะคุณน้ำค้าง อะไรที่ผมเคยเป็นเจ้าของมานาน คน สิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่ผมเคยชิน จู่ๆ วันนึงมันไม่ใช่ของผมอีกแล้ว”

                น้ำค้างไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามจินตนาการดูว่าคงจะรู้สึกเจ็บปวดมาก

                “ผมนิสัยไม่ดีก่อน ผมพยายามไปยุ่งกับโอเมก้าของเขา ให้กลิ่นผมติดไปบ้าง เขาน่าจะหัวเสียน่าดู เพราะเขาแจ้นมาหาผมทันทีตั้งแต่แรกๆ” คุณฮิมพูดกลั้วหัวเราะขืนๆ “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก ก็อย่างที่เห็น เขาไม่พอใจที่ผมไปยุ่งกับของของเขา รู้ไหมตอนนั้นผมยังคิดว่าเขาเป็นของผมอยู่เลยทั้งๆ ที่เขาจับคู่กับคนอื่นไปแล้ว”

                “คุณฮิมท่าทางจะรักเขามาก” น้ำค้างพูดเจือความอิจฉาเล็กน้อย แต่มากกว่านั้นคือความโกรธ โกรธที่ต้นเหตุของความเจ็บช้ำทั้งหมดในใจและร่างกายของคุณฮิมคือคนที่คุณฮิมรักที่สุดคราหนึ่ง

                “รักมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเขานี่คุณน้ำค้าง” คุณฮิมละมือออกจากเขา เลื่อนมาจิ้มๆ ตรงตำแหน่งหัวใจ “ตรงนี้น่ะ กัดไม่ได้หรอกนะ”

                “ถ้ากัดได้จริงๆ ผมยอมให้ควักเลยนะ” น้ำค้างพูดเสียงจริงจัง แต่คุณฮิมหัวเราะ

                “เอาใส่กลับเข้าไปก็ไม่มีใครเห็นอยู่ดีไหม ติงต๊องจริงคุณแม่บ้าน”

                “อย่างน้อยก็ได้ทำรอยไว้นี่ครับ ไม่มีใครเห็นก็ได้ รู้กันสองคน”

                “คุณน้ำค้างพูดเหมือนมันทำได้จริงๆ อย่างงั้นแหละ”

                “แล้วถ้าทำได้จริงคุณฮิมจะยอมควักออกมาให้ผมเหมือนที่ผมทำไหม”

                น้ำค้างลองเสี่ยงถามดู เขามองเพดานโดยไม่ได้ยกหัวขึ้นมามองอีกฝ่าย คุณฮิมยังคงวางมือไว้บนตำแหน่งหัวใจเขา น้ำค้างนับจังหวะชีพจรรอคำตอบ

                “ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณน้ำค้างจะรับความน่าเกลียดทั้งหมดของผมได้ไหม”

                “คุณฮิมไม่น่าเกลียด”

                “คนเรามีส่วนน่าเกลียดทั้งนั้นแหละคุณน้ำค้าง หัวใจของผมอาจจะหน้าตาน่าเกลียดก็ได้ตอนควักออกมา”

                น้ำค้างไม่ได้ตอบอะไรเพิ่ม อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเร่งรัดใคร รู้สึกอึดอัดก็จริงแต่ที่คุณฮิมพูดก็ถูก พวกเขาอาจจะต้องรู้จักด้านที่น่ารังเกียจของกันและกันให้มากกว่านี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปราะบาง ไร้การผูกมัด มีเพียงแค่ความเชื่อใจของกันและกัน ก็เหมือนการมาร์กรอยไว้ที่หัวใจอย่างที่เขาเพิ่งจะล้อเล่นไป แต่พอมาเจอคุณฮิม น้ำค้างก็ครุ่นคิด ว่าถ้าทำได้จริงๆ เหมือนการสักลงไป เขาก็คงทำเพื่อความพอใจของตัวเอง

                “แล้วผมก็เพิ่งจะเห็นด้านน่าเกลียดของเขาตอนวันนั้นนั่นแหละ” คุณฮิมเล่าต่อ เสียงสั่นระริกและเบาลงราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม หากพูดออกไปเสียงดังมากนัก ป่าสนจะตายลงได้ “เขาน่าเกลียดน่ากลัวจนผมไม่คิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นแบบนี้กับผมได้”

                “เขาทำอะไรคุณฮิม”

                “คุณน้ำค้างคงไม่ใช่ประเภทไปตามต่อยเขาใช่ไหม” คุณฮิมถามเชิงล้อเลียนที่เห็นเขาเป็นคนประเภทหัวอ่อน

                “ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหานี่” น้ำค้างถอนหายใจเสียงดังแม้จะขัดใจ แต่พูดตรงๆ ว่าเขาเกลียดการใช้ความรุนแรง ใครจะด่าว่าเขาหัวอ่อน ยอมคนหรืออะไรก็ตามเถอะ ไม่ใช่เรื่องเลยที่เราจะไปทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะเขาทำร้ายเราก่อน นั่นก็เท่ากับว่าเราเองก็ไม่ต่างจากเขาเลย

                “ผมไม่คิดว่าเขาจะใช้ความรุนแรงด้วยคุณน้ำค้าง” คุณฮิมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะหันหน้าไปอีกทาง “ผมกับเขาทะเลาะกันแรงก็จริง แต่ไม่มีครั้งไหนแรงเท่านี้ และผมหมายถึงคำพูด ไม่ใช่การต่อยตี”

                ในส่วนนี้น้ำค้างเข้าใจดี เขาเป็นประเภทจำคำพูดคน ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามันได้บาดลึกลงไปแล้วก็ง่ายที่จะนึกถึง

                “ผมก็แค่อยากได้คำอธิบาย แต่ไม่คิดว่าการคุยกับเขาวันนั้นจะทำให้ผมต้องกลับมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม ทำไมผมต้องเกิดเป็นอัลฟ่า”

                ถึงตรงนี้น้ำค้างเอื้อมแขนมากอดคนที่นอนอยู่บนตัวไว้แน่น ไม่ว่าคุณฮิมจะร้องไห้หรือไม่ร้องไห้ สิ่งที่น้ำค้างทำได้คือรับฟัง ปลอบโยน และโอบกอดไว้ไม่ให้แตกสลาย

                “คุณน้ำค้างรู้รึเปล่า” คุณฮิมเอื้อมแขนมาจับมือเขา ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมาจับนิ้วชึ้และนิ้วกลางเขาไว้ “ตอนที่เขาทำให้ผมเจ็บตรงนี้...” นิ้วมือของน้ำค้างถูกนำไปยังบั้นท้ายของอีกคน และเพียงเท่านั้นเขาก็รีบชักมือออกกลับมาโอบกอดรอบตัวคุณฮิมเหมือนเดิม

                “ตอนนั้นผมแยกไม่ออกเลยว่าผมเจ็บตรงไหนมากกว่า แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้วผมว่าน่าจะเป็นคำพูด” คุณฮิมพรั่งพรูสิ่งที่เก็บไว้ในวันนั้น เหตุการณ์ที่น้ำค้างไม่อยากจะจินตนาการถึง แต่สำหรับคุณฮิมมันคือฝันร้ายที่ต่อให้อีกห้าปีสิบปี คุณฮิมก็จะฝันถึงมันในยามค่ำคืนที่สมองหยิบสุ่มขึ้นมาเล่นให้ในภาพนิทรา

                “ความน่าเกลียดในตัวผมก็คือสิ่งที่เขายัดเยียดให้ผมเป็นนี่แหละคุณน้ำค้าง”

                “คุณฮิม”

                “อัลฟ่าที่นอนอ้าขาให้อัลฟ่าด้วยกัน ถ้ามันเป็นแค่คำด่าก็ใช่ แต่นี่คือความจริง” 




         
  (มีต่อค่ะ)

หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.12 (05/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 05-08-2018 01:24:31
               
                (ต่อ)

                คุณฮิมต้องเข้มแข้งแค่ไหนถึงจะไม่ร้องไห้ตอนพูดเรื่องแบบนั้นออกมา

                น้ำค้างเฝ้าแต่คิดแบบนั้นระหว่างที่ดูอีกฝ่ายนั่งกินข้าวไข่เจียวหมูสับสองฟองเย็นชืดอย่างสบายใจเฉิบ แก้มเคี้ยวข้าวไว้ทั้งสองข้างก่อนจะหยุดเคี้ยวแล้วอมข้าวไว้อย่างนั้นเพราะตั้งใจอ่านอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ตัวเอง น้ำค้างแบกแลปท็อปมานั่งทำงานเหมือนเคย


               คุณฮิมดูสบายดี แต่น้ำค้างรู้ว่าลึกๆ แล้วแผลไม่เคยหายไปไหน การเป็นอัลฟ่าจะยังคงแล่นอยู่ในสายเลือดต่อให้จนหมดลมหายใจ ป่าสนกำลังผลัดใบครั้งแรกและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยการโอบกอดและให้อภัยตัวเอง

                “คุณน้ำค้างหิวไหม”

                “ไม่ล่ะ ผมกินแล้วง่วง เดี๋ยวขอทำงานก่อนดีกว่า”

                “เป็นแม่บ้านเข้าครัวแต่กินอาหารไม่ตรงเวลาเองได้ไง”

                “ก็ต้องมีบ้าง”

                น้ำค้างตอบแล้วก็เพ่งหน้าจอต่อ จนมีช้อนตักข้าวกับไข่เจียวชืดๆ ยื่นมาจ่อถึงปากคำพูนๆ นั่นแหละ น้ำค้างถึงได้ยอมอ้าปากเคี้ยวอะไรสักอย่างลงท้อง

                “นี่ผมหั่นแครอทชิ้นใหญ่ไปรึเปล่าเนี่ย”

                “ถึงผมจะหั่นผักไม่เป็น แต่วันหลังจะช่วยเอาไม้บรรทัดมาวัดนะ”

                “อย่าประชดผมดิ” น้ำค้างพูดแบบร้อนตัว และคุณฮิมก็ยิ้มกวนใส่

                “ก็เห็นเป็นเด็กถาปัตถ์ แต่ไม่นึกว่าจะละเอียดอ่อนขนาดนี้”

                “แล้วชอบไหมล่ะครับ”

                “ไม่ต้องมาครับใส่เลยคุณน้ำค้าง” คุณฮิมตักข้าวแล้วเอามาจ่อปากเขาเหมือนจะให้หยุดพูดอย่างไรอย่างนั้น “ถ้าสบายใจนี่ถือว่าชอบไหม”

                “ไม่ใจเต้นให้ผมหน่อยเหรอ”

                “ต้องลุกขึ้นมาเต้นไหมอะ”

                “คุณฮิมอะ ไม่เอางี้ดิ”

                คุณฮิมขำเสียงดังตอนน้ำค้างทำหน้าท้อใจ

                “แอบบอกกันบ้างดิ ว่าใจเต้นให้บ้างไหม ผมท้อเป็นนะ”

                “คุณน้ำค้างขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่” คุณฮิมเอามือมาแปะๆ แก้มเขาอีกแล้ว “ผมบอกก็ได้ ความจริงก็หลายครั้ง แต่รู้ไหมรอบไหนเสียงดังที่สุด”

                น้ำค้างเลิกคิ้วและรอคำตอบ

                “ตอนที่ผมเมา ตอนคุณน้ำค้างมาถอดถุงเท้าให้นี่ใจผมเหมือนจะระเบิดออกมาจริงๆ” คุณฮิมพูดแล้วก็หัวเราะคนเดียว

                “จริงๆ เลยนะคุณฮิม ผมไม่ได้คาดหวังว่าเป็นตอนนั้นเลยอะ”

                “แล้วคิดว่าเป็นตอนไหน”

                “ตอน เอ่อ...” น้ำค้างเริ่มกลับมาติดอ่างอีกครั้ง จะพูดตรงหน้าก็ดูกระดากปากไปหน่อย

                “ตอนดูดปากผมอะนะ”

                “คุณฮิม! เขาเรียกว่าจูบ!”

                “เหมือนกันนั่นแหละ”

                น้ำค้างเอามือก่ายหน้าผากแล้วเสยยันผมอีกครั้ง เขากระดากกับคำว่าดูดปากจริงๆ ให้ตายเถอะ คุณฮิมตีไหล่เขาให้เลิกปิดหน้าแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูทำเอาเขาเงยหน้าขึ้นมาจริงๆ คุณฮิมวางจานข้าว แล้วลุกขึ้นไปดู พึมพำอยู่ในลำคอคนเดียวว่าใครมากันนะ

                น้ำค้างไม่ได้สนใจจนเสียงฝีเท้าย่ำตึงตังเข้ามาในห้อง พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงวัยกลางคนที่ยังดูกระฉับกระเฉงมากๆ น้ำค้างได้กลิ่นแอปเปิ้ลอ่อนๆ ก่อนจะตามมาโดยแรงตบบนซีกแก้มซ้าย

                เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้นนะ

                “แม่ใหญ่!”

                เสียงคุณฮิมตะโกนเรียกศักดิ์คนตรงหน้ายิ่งเอาน้ำค้างมึนงงเข้าไปใหญ่ ทำไมคนรอบตัวคุณฮิมถึงได้ชอบใช้ความรุนแรงกันจังเลยนะ หรือว่าเขาจะเป็นพวกหัวอ่อนในทางไม่ดีกันแน่ หรือคุณฮิมจะชอบคนรุนแรง เขาควรฝึกรึเปล่า

                “มึงทำอะไรลูกกู!”

                “เอ่อ...”

                การประมวลผลของน้ำค้างหยุดทำงานไปแล้ว เขางงจริงๆ หรือแม่คุณฮิมจะเป็นพวกประเภทหวงลูกจัด เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ หรือทำวะ ดูดปากกับกัดข้อมือนี่นับไหม มันไม่รุนแรงนะ มันคือการแสดงความรัก ถ้าเทียบกับการตบหน้าแล้ว ดูดปากไม่เจ็บเลย

                “แม่ใหญ่! นี่ไม่ใช่เมฆ!”

                “นี่แกปกป้องมันอีกคนปะเนี่ย”

                “ปกป้องอะไร โว้ย! แม่ใหญ่! นี่คุณน้ำค้าง! ไอ้เมฆมันไปตายที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

                แม่คุณฮิมกอดอก ดูยังสาวมากถ้าเทียบกับแม่เขา ใบหน้านิ่งๆ นั่นดูดุดันและเด็ดขาด เค้าของคุณฮิมส่อออกมาจากบรรยากาศบนใบหน้าและการพูด น้ำค้างรับรู้ในใจน้อยๆ ว่าอีกฝ่ายคืออัลฟ่าผู้หญิง หญิงวัยกลางคนตรงหน้าพิจารณาหน้าเขาก่อนจะเลิกกอดอก แล้วค้อมหัว

                “ขอโทษด้วยค่ะ เห็นเป็นอัลฟ่า ก็เลยไม่ทันได้ดูดีๆ”

                “แม่ใหญ่ คือแค่กลิ่นก็ไม่เหมือนแล้ว” คุณฮิมพูดเหมือนเหนื่อยใจ ก่อนจะลงมาขอโทษเขาอีกรอบ “คุณน้ำค้าง ผมขอโทษจริงๆ เจ็บมากไหมเนี่ย แม่ใหญ่ยิ่งมือหนักอยู่”

                “แหงสิ ไม่งั้นแกจะตูดเล็กแบบนี้เหรอ ตอนเด็กฉันตีตูดแกกี่ที”

                น้ำค้างเริ่มเห็นเค้าลางว่าทำไมคุณฮิมชอบความรุนแรงมาน้อยๆ

                “แม่ใหญ่ ก็นี่ลูกคนอื่นไหม แล้วแม่เล็กไปไหนอะ”

                “บินไปญี่ปุ่นนู่น ทำงาน แล้วนี่แกเจียวไข่เองเหรอ” แม่ใหญ่ที่คุณฮิมเรียกเดินมาดูจานไข่เจียวที่น้ำค้างเป็นคนทำก่อนจะตักชิม “ไปหัดเจียวไข่เองตอนไหน ฉันหัดตั้งนานกว่าไข่เจียวมันจะไม่มีเปลือก แล้วนี่หั่นแครอทกับหมูสับด้วยเหรอ เก่งจังวะ กลับมาบ้านเจียวให้กินบ้างดิไอ้ลูกชาย”

                น้ำค้างยิ้มเจื่อน ในขณะที่คุณฮิมถอนหายใจ

                “นั่นคุณน้ำค้างทำ แม่ใหญ่ดูหน้าลูกชายดิว่ามีปัญญาไหม”

                “อ้าวเหรอ” แม่ใหญ่ทำตาโตแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “ฉันก็เหมือนแกไหมตอนแต่งใหม่ๆ ทำอะไรไม่เป็นเลย ต้องมาหัดเองหมด งานบ้านบางอย่างแม่เล็กยังทำดีกว่าอีก”

                “ก็นี่ฮิมไม่ต้องหัดไหมอะ คุณน้ำค้างทำเป็นทุกอย่างเลย”

                น้ำค้างกัดกระพุ้งแก้มไว้เงียบๆ เพื่อกลั้นยิ้ม คนเราเวลาใจฟูแต่แสดงออกไม่ได้นี่มันอึดอัดแบบแปลกๆ จังนะ

                “งั้นก็แสดงว่าชาติที่แล้วแกทำบุญมาดี” แม่ใหญ่พูดแล้วก็ตักไข่เจียวเข้าปากอีกคำ “ไว้พามาเจอแม่เล็กด้วยนะ จะให้แม่เล็กแสกน ตอนนั้นแม่เล็กให้ไอ้เมฆผ่านมาได้ยังไงวะ”

                “โห่แม่ใหญ่ เลิกพูดถึงแม่งได้แล้ว”

                “ก็มันน่าโมโหไหม ฉันเลี้ยงของฉันมาดีๆ จู่ๆ ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาด่า พ่อก็ไม่ใช่ ผัวก็ไม่ใกล้เคียง-“

                แม่ใหญ่เงียบไปเพราะคุณฮิมเอามือปิดปากแล้วลากไปที่แถบครัว

                “แม่ใหญ่บอกจะเอาผลไม้มาเติมให้ มานี่เลย” คุณฮิมพูดแล้วก็หิ้วปีกแม่ใหญ่ไป ถึงจะเป็นอัลฟ่าผู้หญิง แต่ก็ยังโครงสร้างเล็กกว่าอัลฟ่าผู้ชายอยู่ดี เพิ่งรู้ว่าบ้านคุณฮิมเป็นแบบนี้ ก็น่ารักดี แต่พอคิดสภาพแม่ตัวเองมาเจอแม่ใหญ่แล้วน้ำค้างก็ขำ แม่เขาน่าจะกลัวมาก

                สุดท้ายคุณฮิมก็โดนแม่ใหญ่ใช้ให้เรียงผลไม้เองอยู่ดี และแน่นอนว่าเป้านิ่งอย่างน้ำค้างก็ไม่รอดอีกตามเคย

                “รู้จักไอ้เมฆปะ”

                “เอ่อ ไม่ครับ”

                ถึงคุณฮิมจะไม่เคยพูดชื่อให้ฟังตรงๆ แต่น้ำค้างก็เดาได้เลยว่าเป็นอัลฟ่ากลิ่นกาแฟคนนั้นแน่ๆ

                “ถ้าเจอมันก็ฝากกระทืบแทนฉันด้วยนะ เนี่ย ปล่อยให้มันเดินเข้าออกบ้านมา ต้อนรับขับสู้อย่างดี รู้งี้น่าจะปล่อยไอ้โบโบ้ออกจากกรงให้กัดหัวขาดไปเลย”

                “ขอ...ถามได้ไหมครับว่าโบโบ้นี่พันธุ์อะไร”

                “ร็อตไวเล่อร์”

                น้ำค้างลอบกลืนน้ำลายแล้วยิ้มจืด ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยทำลูกแม่ใหญ่เจ็บ ดูแลอย่างดี ลิ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม

                “แล้วนี่ชื่ออะไรนะ น้ำหวาน?”

                “เอ่อ น้ำค้างครับ”

                “อ๋อ ลูกฉันไปจีบเหรอ”

                “แม่ใหญ่!” เสียงคุณฮิมตะโกนมาจากในครัวเหมือนจะปราม แต่แม่ใหญ่ทำหูทวนลม

                “ผมจีบก่อน...ครับ”

                “ชอบอะไรลูกฉัน ไหนบอก”

                “เอ่อ...” น้ำค้างเอานิ้วขึ้นมานับอย่างจริงจังเป็นข้อๆ จนแม่ใหญ่เหนื่อยจะรอ

                “พอ ขี้เกียจฟัง แต่ฉันแสกนเองแล้วก็ผ่านอยู่ หน้าตาดูไม่ใช่คนเลว ไอ้เมฆมันหน้าเหมือนตัวพระรองที่แอบร้ายเงียบๆ ข้างในตามซีรี่ย์เกาหลีอะ เคยดูปะ”

                “เอ่อ ไม่เคยดูครับ...”

                “แม่ใหญ่! บอกให้เลิกพูดถึงไอ้เมฆได้แล้ว!”

                แม่คุณฮิมกลอกตาเซ็งๆ ก่อนจะหันมาจับบ่าเขาทั้งสองข้าง น้ำค้างถึงกับสะดุ้งเพราะจับแน่นมาก

                “นี่ รู้ไหมว่าแม่เล็กคลอดลูกฮิมออกมาตอนอายุยี่สิบ”

                น้ำค้างรับฟังเงียบๆ

                “ฉันเป็นแม่ที่เรียนไม่จบ เพราะลาออกมาเลี้ยงลูกแทนแม่เล็ก แม่เล็กฉลาด ยังไงก็เรียนแล้วทำได้ดีกว่าคนกลางๆ แบบฉันอยู่แล้ว” แม่ใหญ่พูดสีหน้าเรียบๆ แต่น้ำค้างสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ “ฉันไม่รู้ว่าคนเรามันหน้าซื่อใจเสือทุกคนไหม แต่ฉันไว้ใจทุกคนที่ฮิมมันยุ่งด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ผิดหวัง โอเคไหม”

                “ครับ” น้ำค้างพยักหน้ารับคำ

                “เออจะบอกแค่นี้แหละ ส่วนเรื่องที่ตบหน้า ขอโทษอีกรอบ แต่ถ้าไม่ให้อภัยกันก็ไปตบต่อที่ไอ้เมฆมัน บอกว่าแม่ใหญ่ฝากมา”

                น้ำค้างตอบครับไม่เต็มเสียง แล้วยกฝ่ามือขึ้นมามอง ชีวิตนี้แม่บอกว่าน้องน้ำอย่าไปทำร้ายคนอื่นเขานะลูก งานนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถ้าเจอเมฆอีกรอบเขาจะเผลอทำตามที่แม่ใหญ่ฝากไว้ไหม

                “แม่ใหญ่! แม่เล็กโทรมาตามให้ไปรับที่สนามบิน!” คุณฮิมตะโกนมาอีกรอบ

                “เอ้า ไหนแม่เล็กบอกกลับพรุ่งนี้”

                “แม่ใหญ่จำวันผิดอีกอะดิ แม่เล็กรออยู่สนามบินแล้วเนี่ย”

                “เอ้า อะไรวะ เนี่ยเห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น”

                ประโยคหลังแม่ใหญ่หันมาพูดกับน้ำค้าง อัลฟ่าตัวโตได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ ไม่รู้จะตอบยังไงดี จะบอกว่าจริงครับ ดูไม่ฉลาดขนาดนั้นเลย ก็น่าจะโดนตบซีกขวามา

                “งั้นไปละ แกก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมไปหาหมอตามนัดล่ะ ส่วนน้ำหวาน ฉันบอกอะไรไว้ก็จำและปฏิบัติด้วยนะ”

                “ครับ...”

                ประตูปิดลงแล้ว แม่คุณฮิมมาเร็วไปเร็วเหมือนพายุไม่มีผิด กลิ่นแอปเปิ้ลยังไม่ทันติดห้องเลย ก็หายไปแล้ว คุณฮิมถึงกับยีหัวตัวเอง

                “ขอโทษนะคุณน้ำค้าง วุ่นวายมากเลย”

                “ไม่เป็นไรคุณฮิม แม่ใหญ่น่ารักดี แม่ผมสิน่าอึดอัดกว่าเยอะ อันนี้ดูจริงใจดี” น้ำค้างตอบแล้วก็ถูแก้มซีกซ้ายเบาๆ ชาหน่อยๆ แต่ไม่เป็นไร เขาไม่ตบเลือดกบปากก็บุญหัวแล้ว

                “แม่ใหญ่จะเป็นแบบนี้อะ พูดถึงไอ้เมฆบ่อยด้วย คุณน้ำค้างจะทนได้ไหม”

                “คบกันมาตั้งสองปี ไม่พูดถึงสิแปลกคุณฮิม ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เขาไม่ได้ว่าผมเสียๆ หาย สักหน่อย”

                คุณฮิมดูกังวลแต่น้ำค้างไม่กังวลใจอะไรเลย แม่ใหญ่เองก็ดูรักและเป็นห่วงคุณฮิมดี แถมยังออกปากว่าไว้ใจเขาแล้ว ก็แค่อย่าทำให้ผิดหวังก็พอ น้ำค้างเชื่อแบบนั้นตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

                “ผมไม่ชอบให้พูดถึงคนเก่าๆ อะดิ กลัวคุณน้ำค้างจะรู้สึกแย่”

                “ไม่เลยคุณฮิม ขนาดจะไปต่อยเขาผมยังไม่ทำเลย ผมจะไปโกรธอะไรกับอิแค่นี้” น้ำค้างหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังจริงๆ

                “แม่ใหญ่นี่เก่งนะครับเนี่ย เลี้ยงคุณฮิมตั้งแต่อายุยี่สิบเอง”

                “อือ ความจริงแม่ใหญ่เครียดนะ แต่ก็เลี้ยงจนรอด จนแม่เล็กเรียนจบได้งานดีๆ ทำ”

                “เป็นผม ผมก็เครียด แต่แม่ใหญ่กับคุณฮิมนี่คงเหมือนกัน เข้มแข็งมาก”

                “ผมน่ะเหรอ” คุณฮิมชี้มาที่ตัวเองแล้วก็เดินไปหยิบจานข้าวไข่เจียวที่ตอนนี้ไข่หมดจานแล้ว เหลือแต่ข้าวเปล่า มุมปากทั้งสองคว่ำลงเล็กน้อยด้วยความที่อดกินไข่เจียวของโปรดต่อ บทสนทนาถูกปัดตกทันทีเพราะคุณฮิมเงยหน้าขึ้นมาพูดประโยคเดิม “คุณน้ำค้าง อยากกินไข่เจียวหมูสับ”

                “ไข่หมดแล้วอะคุณฮิม”

                “งั้นนั่งรออยู่นี่ เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้เอง”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ เพราะแวบเดียวคุณฮิมก็หยิบคีย์การ์ดห้องแล้วเปิดประตูหายไปอีกคน ความหิวนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ด้วย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ มาเร็วไปเร็ว

                ชักอยากเห็นแม่เล็กแล้วว่าจะเหมือนคุณฮิมตรงไหน

 

 

tbc.









แม่ใหญ่ ตัวแทนสมาคมนักตบไอ้เมฆแห่งชาติ

ตอนแรกว่าจะไม่เขียนถึงเมฆแล้ว แต่พอดีหาพล็อตแทรกได้ให้คุณเมฆเขาเจ็บช้ำน้ำใจหน่อยๆ เดี๋ยวเจอกันแน่ๆ ค่ะ

หายไปหลายวันเพราะออกไปเที่ยวค่ะ จะเปิดเทอมแล้ว T_T

ขอบคุณสำหรับฟีทแบคนะคะ

สำหรับเพลงแชปนี้ เราฟัง my boy - billie elish ค่ะ





feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ;omegaverse☁ CH.12 (05/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-08-2018 23:00:21
ชอบแม้ใหญ่อ่ะ มาไวไปไวจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.13 -100% - (10/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 08-08-2018 23:52:27
chapter thirteen



                “ฮัลโหลครับแม่”

                [น้องน้ำ ทำไมห้องฝุ่นเยอะแบบนี้ หายไปนอนไหนครับเนี่ย แม่มาถึงห้องก็ไม่เจอน้องน้ำ]

                “เอ่อ พอดีคุณฮิมป่วย เลยมานอนค้างเป็นเพื่อนครับ แต่ตอนนี้พาคุณฮิมมาหาหมอ อยู่โรงพยาบาลครับ”

                น้ำค้างตอบแม่ตัวเองโดยลืมสนิทไปเลยว่าแม่จะมาหาที่ห้องประจำทุกอาทิตย์ ตอนนี้เขานั่งรอหมอเรียกคุณฮิมไปตรวจอยู่ ป่าสนเอนตัวพิงไหล่เขาแบบที่ไม่เคยทำและเล่นเกมในโทรศัพท์สบายใจเฉิบ ต้นสนส่งกลิ่นสดชื่นกว่าที่เคย ใบไม้สะบัดตามลมหยอกล้อกับหยดน้ำค้างที่เกาะพราวตามกิ่งอย่างอารมณ์ดี

                [อ้าว หนูฮิมป่วยเหรอ ตัวเองอย่าไปติดหวัดเขามาล่ะน้องน้ำ]

                “ครับแม่ เดี๋ยวผมคงได้กลับไปนอนห้องแล้วล่ะ คุณฮิมดีขึ้นเยอะเลย” น้ำค้างตอบ

                [แม่เอาพวกของสดกับผักไว้ในตู้เย็นนะครับน้องน้ำ แล้วก็เดี๋ยวแม่ลงไปซื้อพวกผลไม้กับวิตามินซีมาให้หนูฮิมแป๊บนึง น้องน้ำกลับมาถึงห้องก็อย่าลืมเอาไปฝากหนูฮิมล่ะ]

                “ได้ครับแม่ ขอบคุณมากเลย” น้ำค้างยิ้มเมื่อแม่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงคุณฮิม ก็ไม่ต่างจากเขาเลยที่ขี้ห่วงคนอื่นไปทั่ว จะว่าไปก็ใกล้ไฟนอลแล้ว ถ้าจบไฟนอลเขาคงได้กลับไปนอนบ้านยาวๆ สักที

                [งั้นเดี๋ยวแม่วางก่อนนะ น้องน้ำดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะครับ]

                “ครับแม่ สวัสดีครับ”

                น้ำค้างเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า คุณฮิมยังคงติดเกมอยู่และน้ำค้างไม่อยากจะกวนที่อีกฝ่ายพิงไหล่เขา แต่ว่าเขาอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำ

                “คุณฮิม เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

                “อ่าฮะ” คุณฮิมตอบรับเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่งหลังตรงให้น้ำค้างลุกไปเข้าห้องน้ำ อัลฟ่าตัวสูงเดินวนตามหาสัญลักษณ์ห้องน้ำอย่างงงๆ เขาเองก็ไม่ได้มาโรงพยาบาลนานมากแล้วเพราะแทบจะไม่ป่วยเลย และเขาไม่ค่อยชอบกลิ่นโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก กลิ่นปนกันมั่วยังไม่เท่าพลังด้านลบที่ปนมากับตัวกลิ่น มันทำให้น้ำค้างคลื่นไส้ทุกครั้ง

                น้ำค้างเดินวนอ้อมหาห้องน้ำจนผ่านไปตรงแผนกฉุกเฉิน ป้ายห้องน้ำอยู่ตรงด้านข้างเพียงเท่านั้น แต่ขาเขากลับหยุดนิ่ง สมองตื้อเหมือนโดนทุบ กลิ่นกาแฟไหม้กลิ่นเดิมลอยปะทะเข้าจมูกพร้อมกับพลังลบชวนน่าเวียนหัว ความเศร้าเสียใจที่ลอยปนมากับความเข้าในสีกาแฟทำให้น้ำค้างชวนนึกถึงคุณฮิมในวันนั้น วันที่ป่าสนถูกทำลายและโค่นเสียสิ้นซาก ความโมโหแล่นเข้ามาในสมองอย่างที่ไม่เคยเป็น น้ำค้างเคยคิดว่าเขาคงไม่โมโหใครเท่านี้ แต่สำหรับอัลฟ่าคนนี้ คงจะเป็นข้อยกเว้น

                ขาหันก้าวเดินไปตามกลิ่น พยายามจะหยุดตัวเองให้ใจเย็นๆ แต่ก็ไม่ เขายังคงเดินเข้าไปในแผนกฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยกลิ่นชวนน่าคลื่นไส้เต็มไปหมด เสียงร้องไห้ เสียงเจ็บปวด เสียงทำแผล และอื่นๆ ที่ทำให้น้ำค้างปิดปากและค้อมตัวครู่หนึ่ง จนกระทั่งเข้ามาถึงต้นตอของกลิ่นอันชวนน่าโมโห

                อัลฟ่ากลิ่นกาแฟนั่งอยู่ข้างเตียง ก้มตัวลงเกือบชิดเข่า ฝ่ามือทั้งสองอังปิดใบหน้า ร้องไห้เสียงดังอย่างหดหู่เหมือนน้ำค้างในวันนั้นไม่มีผิด สายตาน้ำค้างไล่มาที่เตียง โอเมก้ากลิ่นผลไม้หน้าร้อนที่บัดนี้ราวกับหน้าแล้ง ที่คอเต็มไปด้วย้าพันแผลที่เลือดซึมเต็มไปหมด กลิ่นฮอร์โมนแปรปรวนเสียจนเวียนหัว มีกลิ่นอื่นปนมาในกลิ่นอายของซีตรัส แน่นอนว่ากาแฟ และกลิ่นอื่นอีกหลายกลิ่นที่น้ำค้างไม่คุ้นเคย โอเมก้าซีตรัสบนเตียงกลิ่นไม่เหมือนเดิมเสียจนน้ำค้างจำไม่ได้ กลิ่นอายในบรรยากาศที่ปนกันหลายกลิ่นจนแกไม่ออกว่ามีหัวน้ำหอมจากกี่กลิ่นกันแน่ชวนให้คลื่นเหียนมากกว่าดึงดูด

                หลากกลิ่นยำรวมกันในตัวโอเมก้าคนเดียว...ก็คงเป็นอะไรไม่ได้ไปมากกว่าโดนข่มขืน

                และเมื่อน้ำค้างตระหนักได้ว่าหลากกลิ่นจากหลากคน หลากคนที่กระทำการย่ำยีโอเมก้าตรงหน้า น้ำค้างก็ยืนนิ่ง เขาเห็นจากข่าวมาเยอะ ใช่ เขารู้ว่าอัลฟ่าตามมุมหลืบมืดของสังคมที่ป่าเถื่อนนั้นยังมีเยอะ แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัวเองตรงหน้า

                โอเมก้ามีเจ้าของเป็นอัลฟ่าได้เพียงคนเดียว ฮอร์โมนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงร่างกายให้ปรับตัวเข้ากับอัลฟ่าที่เป็นคู่ของตัวเองทั้งชีวิต การโดนข่มขืนแล้วโดนกัดที่คอจากอัลฟ่าหรือแม้แต่เบต้าอีกหลายคนนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ฮอร์โมนรวมถึงไบโอเคมีในร่างกายจะตีรวนกัน เหมือนกับการป้อนข้อมูลที่ผิดพลาด เครื่องก็จะขัดข้อง ร่างกายคนก็เช่นกัน

                โทสะมลายหายไปหมดกับความหดหู่ตรงหน้า ถ้าหากคุณฮิมโดนรุมข่มขืนแบบคนตรงหน้า น้ำค้างคงใจสลาย ไม่ต่างจากอัลฟ่ากลิ่นกาแฟในตอนนี้ น้ำค้างมองคนที่ได้ชื่อว่าเมฆที่ร้องไห้ปานจะขาดใจ อัลฟ่าที่จับคู่แล้วย่อมรักและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของคู่ตัวเองดีกว่าใคร

                น้ำค้างก้าวถอยหลัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้าวเร็วๆ ออกจากแผนกฉุกเฉิน เขาสับขาเข้าไปในห้องน้ำ เปิดประตูห้องที่ว่างและใกล้ที่สุดก่อนจะอาเจียนออกมา

                หดหู่... หดหู่เสียจนต้องสำรอกออกมาทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรในท้องเลย

                น้ำค้างไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี  กับการที่มองคนที่น่ารังเกียจได้รับสิ่งที่โหดร้ายเกินการกระทำของตัวเองย้อนกลับมา มันซับซ้อน เหมือนกับผลสะท้อนกลับ

                และน้ำค้างรู้ ว่าการที่คนที่เรารักที่สุดในดวงใจเจ็บปวด สร้างแผลได้ลึกกว่าการที่ตัวเองโดนทำร้ายยิ่งนัก

                หอบหายใจกับตัวเอง หน่วงในท้องและลำคอ น้ำค้างไม่มีอะไรให้อาเจียน ดังนั้นการที่ท้องพยายามเค้นสิ่งแปลกปลอมออกมาจึงทำให้อัลฟ่าตัวโตต้องทรุดตัวลงนั่งบนชักโครก

                และวันนี้น้ำค้างเกลียดโรงพยาบาลกว่าที่เคยเป็น

 

                น้ำค้างตัดสินใจกลับมานอนห้องวันนี้เพราะร่างที่เขาออกแบบในแล็ปท็อปวันนี้ต้องเริ่มทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวเอาไปเลเซอร์ไม่ทันการจะแย่เอา คุณฮิมไม่วายออกอาการเหมือนเด็กที่โดนเอาตุ๊กตาเน่าตัวโปรดไปซักและจะไม่มีกอดคืนนี้

                “คุณน้ำค้าง” คุณฮิมเรียกเสียงแพรวพราวแล้วก็กอดคอเขาจากด้านหลัง “จะทิ้งผมนอนคนเดียวได้ลงคอเหรอ”

                “คุณฮิม อย่าทำงี้ดิ” น้ำค้างโอดครวญเสียงอ่อน เขาน่ะใจอ่อนอยู่แล้ว พอเป็นคุณฮิมเขายิ่งใจอ่อนเข้าไปใหญ่

                “หืม น้องน้ำ ปล่อยพี่ฮิมเหงาเหรอ” คุณฮิมเรียกเขาแบบที่แม่เรียก น้ำค้างหน้าเห่อร้อนไปหมดตอนจมูกโด่งๆ นั่นหอมลงมาหลังใบหูเขา “เป็นหมอนข้างให้ผมแล้วจู่ๆ จะทิ้งให้ผมไปแบบนี้เหรอ”

                “คุณฮิม...” น้ำค้างเรียกอีกฝ่ายเสียงต่ำเป็นการเตือนกลายๆ แต่คุณฮิมหาได้สนใจไหม ยังคงซุกจมูกไปตามต้นคอและลาดไหล่เขาเหมือนจะเก็บกลิ่นอายบนตัวเขาไว้ในประสาทสัมผัสให้มากที่สุด ไม่วายงับเนื้อตรงแอ่งชีพจรเขาหยอกๆ แต่น้ำค้างดันตื่นตัวจริง เขาค่อนข้างจะไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ ดูเหมือนคุณฮิมจะจี้จุดอ่อนเขาตรงจุดไปหมด

                น้ำค้างได้ยินเสียงฮัมในลำคอด้วยความพอใจของคุณฮิมตอนที่เขาหันไปดันอีกคนลงบนเตียงเพื่อประกบจูบ ริมฝีปากของป่าสนยิ้มในจูบเหมือนกับพอใจนักหนาที่น้ำค้างหัวหมุนกับการกระทำของเจ้าตัวไปเสียหมด น้ำค้างเลื่อนมือเข้าไปใต้สาบเสื้อของคุณฮิม เลื่อนไปถึงกลางหลัง ชายเสื้อเลิกขึ้นไปจนสูงเผยหน้าท้องและแผ่นอก อัลฟ่ากลิ่นผ้าสะอาดจูบไปที่ต้นคอคุณฮิม คลอเคลียอยู่อย่างนั้นกับกลิ่นเดิมๆ ที่ทำให้เขาปั่นป่วนในใจทุกครั้งราวกับร่างกายเขาไม่รู้จักเบื่อ คุณฮิมจะรู้บ้างไหม ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้เจอและได้กลิ่นอีกฝ่าย

                คุณฮิมเงยคอให้ผิวเนื้อโชว์เด่นมากกว่าเดิม เปลือกตาหลายชั้นหลุบลงมองเขา นัยน์ตาหวานคมสบกับน้ำค้าง สื่อเป็นนัยหรือคำอนุญาตกลายๆ ว่าให้น้ำค้างทำตามใจอยาก ริมฝีปากคุณฮิมยกยิ้มขี้เล่น แต่แววตาหยาดเยิ้มนั่นจริงจังและเชิญชวน น้ำค้างพรมจูบที่ต้นคอซ้ำๆ เหมือนคนที่มัวเมา ก่อนเลื่อนกลีบปากมาที่แอ่งชีพจร ตรงที่กลิ่นป่าสนชัดเจนที่สุด ปากเผยอออกฝังเขี้ยวลงไปครั้งแรกในชีวิตอย่างไม่ออมแรง คุณฮิมกลั้นหายใจ มือเอื้อมมาขยุ้มเรือนผมเขาแน่น

                น้ำค้างผละออกอย่างเสียดาย รอยฟันที่มาร์กเด่นหราอยู่บนแอ่งชีพจรของคุณฮิมทำให้น้ำค้างพอใจ ในอกเกิดความรู้สึกในการเป็นเจ้าของขึ้นมาทันตา ไม่เคยรู้เลยว่าจะรู้สึกดีขนาดนี้ที่ได้แสดงความเป็นเจ้าของของใครสักคนที่รัก

                คุณฮิมรั้งคอเขาลงมาจนน้ำค้างลงไปนอนทับ ก่อนที่ตรงซอกคอเขาจะโดนเขี้ยวของคุณฮิมฝังลงมาบ้างเหมือนจะเอาคืนที่เขากัดเสียเต็มเหนี่ยว น้ำค้างเอียงคอให้พื้นที่กับอีกคน คุณฮิมจิกแผ่นหลังเขาแล้วออกแรงข่วนจนน้ำค้างต้องซี้ดปากสะดุ้ง ท่าทางตัวเขาจะมีแต่รอยข่วนต่อจากนี้

                “ไม่อยากให้กลับเลย” คุณฮิมบอกเสียงเบาแล้วกลิ้งตัวให้น้ำค้างเป็นฝ่ายที่แผ่นหลังนอนราบกับเตียงแทน ดวงตามีหยาดน้ำซึมอยู่ตามแพขนตาพอให้รู้ว่าเจ็บจากที่โดนกัดจนน้ำตาซึมออกมานิดหน่อย คุณฮิมลูบรอยฟันบนคอเขา “จะไม่หนีผมไปหาคนอื่นใช่ไหม”

                “ไม่หนีหรอกคุณฮิม” น้ำค้างตอบเต็มเสียง

                “อยู่กับผมนะ อย่าหนีผมไปไหนนะ”

                คุณฮิมพูดเสียงสั่นเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง ฝ่ามือยกขึ้นขยี้ตาตัวเอง จนน้ำค้างต้องลุกขึ้นมากอดร่างผอมไว้แน่น คุณฮิมร้องไห้อย่างเงียบงันอยู่ที่ไหล่เขา น้ำค้างขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจที่คุณฮิมกลัวว่าเขาจะหนีหายไป เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้นเลย

                น้ำค้างเองก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น รู้แต่ในตอนนี้ก้อนเนื้ออกด้านซ้ายของเขาถูกควักออกมาด้วยมือตัวเอง ก่อนจะฝังลงในใจกลางป่าสน เคียงคู่กับหัวใจของผืนป่า พร้อมจะดูแล โอบอุ้ม ปกป้อง และไม่ทำให้เจ็บปวดอีก

               

 

50%



                ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้า กิมก็ทำทุกอย่างไม่ให้ตัวเองดูอ่อนแอหรือตกเป็นเหยื่อ ถึงร่างกายจะเอื้อต่อการสืบพันธุ์ และโดนปกครองแค่ไหนก็ตาม

                เขาเคยคิดว่าตัวเองใจแข็งพอสมควร สร้างกำแพงล้อมไว้รอบตัว อัญชันพันเกี่ยวเลี้ยวลดรอบรั้วบ้าน หากแต่มีหนามคอยทิ่มแทง ยากจะรับคนเข้าไป ในชีวิตกิมนั้น แทบจะนับคนได้ว่าภายในรั้วบ้านนั้นมีใครบ้าง ในระยะเวลาที่เติบโตมากิมหวาดกลัวการโกหกและโดนหลอก อยากจะมั่นใจว่าในโซนปลอดภัยของตัวเองมีแต่คนที่จะไม่หักหลังเขา

                พี่ทรายคือข้อยกเว้นของทุกอย่าง ปกติแล้วกิมจะระแวดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ในคราแรกที่เจอ จนกระทั่งถึงตอนนี้ พี่ทรายก็ยังคงลอยตัวเหนือทุกกฎในรั้วบ้านกิม พี่ทรายเพียงแค่ก้าวเดินเข้ามาทักทายตรงหน้ารั้วบ้าน รอเพียงไม่นาน ประตูรั้วก็เปิดต้อนรับกลิ่นหอมหวนของอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน

                กิมเคยคิดว่ากลิ่นไม่มีผลกับตัวเอง ต่อให้หอมหรือถูกใจแค่ไหนก็จะไม่ยอมสยบใต้อัลฟ่าคนใด กิมกลัวการผิดหวังหรือเสียใจเกินกว่าจะโหยหาความรัก รักตัวเองมากเกินกว่าที่จะต้องการให้คนอื่นมารักมาดูแล แต่เขากับไม่เป็นตัวของตัวเองเพียงแค่พี่ทรายเข้ามา เพียงแค่กลิ่นหอมเหนือมนุษย์นั่นลอยเข้าแตะจมูก พี่ทรายก็เป็นคนที่ได้เข้ามาใกล้ตัวเขาที่สุด

                ราวกับพระเจ้าเล่นตลกกับคนหยิ่งผยองสันโดษแบบเขา พี่ทรายแทบไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย แค่มาอยู่ในชีวิตกิม อยู่ในสายตา แค่นั้นเอง สมองของกิมก็มีแต่คำว่าชอบ ชอบจนน่ากลัว ชอบจนยอมลดเกราะกำบังตัวเองทั้งหมดลง ชอบจนยอมให้มีอีกคนมายืนข้างๆ เวลาไปไหนมาไหนทั้งๆ ที่ปกติแล้วการอยู่ตัวคนเดียวคือสิ่งที่โปรดปราน ชอบจนไม่เข้าใจตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น บทที่หัวใจจะเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ก็เต้นเสียจนเผลอไผล

                กิมไม่เคยอยากโดนจับจอง หรือโดนมาร์กเป็นเจ้าของ เหมือนโดนจับใส่ปลอกคอ ใส่กรง แล้วเที่ยวโดนหิ้วไปโชว์คนอื่นว่าใครเป็นเจ้าของคนคนนี้ แต่พักหลังร่างกายชักจะกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่ระงับอาการฮีทเริ่มไม่ค่อยจะได้ผล

                เมื่อก่อนก็แค่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่สบายตัว แต่ตอนนี้ตั้งแต่มีพี่ทรายเทียวไปเทียวมาอยู่ข้างตัว กิมก็เริ่มมีความต้องการที่นานๆ จะมีสักครั้ง ปกติก็แค่ตัวคนเดียวที่ช่วยตัวเอง แต่ครั้งนี้เขาเริ่มมองไปที่อัลฟ่ากลิ่นหอมข้างตัว ยามกลีบปากบดเบียดเมื่อโดนหาเศษหาเลยก็เริ่มจะไม่พยศใส่ ใบหน้าเอียงโชว์ผิวเนื้อตรงลำคอให้มีพื้นที่มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ราวกับรอและเชิญชวนให้ก้มลงมากัดจนจมเขี้ยว พี่ทรายจะรู้ไหมว่ากิมเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในชีวิต

                “ฮีทเหรอ”

                “ทำไมรู้”

                กิมถามและสะดุ้งเบาๆ ตอนที่พี่ทรายก้มลงมาหอมตรงท้ายทอยตัวเอง พี่ทรายนัดเขามากินขนมที่ร้านบิงซูเนื่องด้วยกิมบ่นอยากกินตามอาการฮีทที่มีติดตัว แต่ที่แปลกใจก็คือปกติพี่ทรายจะรู้ว่าเขามีช่วงระยะฮีทก็ต่อเมื่อเขาออกอาการหงุดหงิดให้เห็น ซึ่งอัลฟ่าไหล่กว้างเพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่ด้วยซ้ำ จะไปรู้ได้อย่างไร

                “กลิ่นหอม”

                “นี่ฉีดสเปรย์แล้ว”

                “ไม่รู้ ได้กลิ่น ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาเลย”

                กิมกัดปากอย่างรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ใช่ว่ากับพี่ทราย แต่เป็นเพราะว่ารู้สึกได้ว่าพนักงานมองแปลกๆ ตั้งแต่เดินเข้าร้าน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะสีผมที่เด่นกว่าใครเขา ตอนนี้พอจะรู้สาเหตุแล้วว่าทำไม

                ไม่เคยมีเลยที่กลิ่นเขาจะออกแรงจนสเปรย์เอาไม่อยู่ กิมมั่นใจว่านอกจากเป็นช่วงฮีทแล้วน่าจะเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกายเขาเริ่มจะตอบสนองกับพี่ทรายมากขึ้น

                “น้องกิมรอนานปะเนี่ย”

                กิมส่ายหน้าให้แล้วก็เริ่มตักบิงซูตรงหน้าเข้าปาก ความหวานไม่ได้ทำให้ใจสงบลงเท่าไหร่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จิตใจพะวักพะวงและยุ่งยาก เคยคิดว่ากลับไปอยู่คนเดียวคงจะดีซะกว่า แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่ทรายหรือโดนอีกฝ่ายสัมผัสอีกก็เฉาใจขึ้นมาเอง

                ขนาดเป็นแค่ความคิดยังทำเขาห่อเหี่ยวได้เลย ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมากิมคงเฉาน่าดู

                “น้องกิม”

                “หือ?” กิมอมช้อนคาไว้ที่ปากแล้วส่งเสียงในลำคอตอบ เขารู้สึกไม่สบายตัวขนาดว่ามีของหวานอยู่ในปากแล้วก็ยังไม่พอใจ ท่าทางจะออกทางสีหน้าเสียจนคนมองอย่างพี่ทรายรู้สึกได้

                “ไหวไหมเนี่ยเรา” พี่ทรายถามด้วยความเป็นห่วงแล้วก็เอามือข้ามจากอีกฝั่งโต๊ะจับตามแก้มกับหน้าผากเขา สัมผัสอุ่นๆ จากมืออีกคนเป็นเหมือนยาชั้นดีที่ทำให้กิมอยากจะยื่นหน้าอังไว้ตลอด ทำไมกันนะทำไม ร่างกายถึงได้โหยหาอีกคนไปหมดเลย

                “อยากกลับไปนอน แต่ขอกินก่อน” กิมตอบแล้วตักอีกคำเข้าปาก ความจริงเขาจะกลับเลยก็ได้ ถ้าเป็นปกติน่ะนะ แต่ตอนนี้ที่กิมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและไม่ปกติเอาเสียเลย

                “กินยาถูกเวลารึเปล่า” พี่ทรายถามอีกรอบ

                “ก็กินเหมือนที่เคยกินทุกเดือน” กิมตอบ และเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากขึ้น “กลิ่นออกขนาดนั้นเลยเหรอ”

                “อือ หอม ไปยืนตรงหน้าร้านยังรู้เลยว่าน้องกิมอยู่โต๊ะไหน” พี่ทรายพูดแล้วก็ยิ้มแบบเป็นห่วงเขาอย่างชัดเจน เอาซะกิมรู้สึกผิดที่ออกอาการมากเสียขนาดนี้

                “อยากให้กลับเลยใช่ไหม”

                กิมถามทั้งๆ ที่ยังตักน้ำแข็งไสข้างหน้าเข้าปาก เขารู้ว่าพี่ทรายไม่ชอบเวลาเขาดื้อจะกินของหวานของเย็นตอนที่กำลังฮีทอยู่ พี่ทรายกลัวเขาจะไม่สบายด้วยร่างกายกำลังอยู่ในช่วงฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าเป้นเมื่อก่อนกิมคงจะรำคาญน่าดู เป็นพ่อก็ไม่ใช่ สั่งอยู่ได้ แต่รอบนี้กิมเห็นด้วยกับอีกฝ่ายว่าจะยอมกลับก่อนโดยที่กินของตรงหน้าไม่หมด

                “โกรธพี่ปะเนี่ย” พี่ทรายขมวดคิ้วที่เห็นโอเมก้าผมบลอนด์สะพายกระเป๋าทำทีท่าว่าจะลุกและกลับจริงๆ

                “ไม่ได้โกรธ” กิมตอบสั้นๆ ตามนิสัยตัวเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ทรายก็รีบเสริมว่า “รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เลยอยากกลับเอง”

                “อ๋อ งั้นดีเลย” พี่ทรายพึมพำ คิ้วที่ขมวดคลายออก โล่งใจที่กิมไม่ได้เคืองหรือขุ่นใจ “เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่ง”

                นี่ก็เป็นอีกอย่างที่กิมไม่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนเพื่อใคร เขาไม่ใช่คนชอบพูดมาก ไม่ชอบเวลามีคนมาพะวักพะวงหน้าหลังแทนเขา หรือถามอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ซึ่งพี่ทรายเป็นคนประเภทนั้น ขี้เป็นห่วงเหมือนไอ้น้ำไม่มีผิด แต่กับเพื่อนสนิทกิมตัดบทไม่มีเยื่อใยจนไอ้น้ำมันชินไปเองว่าถ้ามีอะไรเคืองใจจริงๆ เขาจะพูดออกไปตรงๆ

                แต่กับพี่ทรายเหมือนจะยังไม่ชิน หรือว่ากิมไม่ยอมพูดออกไปเหมือนที่พูดกับเพื่อนตรงๆ ก็ไม่แน่ใจ เขาปากหนักขึ้นหลายเท่าเวลาอยู่กับพี่ทราย   

                “วันนี้กลับบ้านหรือกลับหอ”

                “หอ” กิมตอบแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งรถที่ข้างคนขับ ข้างในรถเต็มไปด้วยกลิ่นพี่ทรายห่อหุ้มจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศปกคลุม เมื่อก่อนร่างกายกิมจะตื่นตัวและไม่ชิน แต่ตอนนี้เขากลับตื่นตัวและชอบที่โดนโอบกอดด้วยกลิ่นนี้ “จะส่งไฟนอลโปรเจคแล้ว ใกล้ได้กลับบ้านยาวๆ”

                “งี้จะยอมออกมาหาพี่ไหมเนี่ย” พี่ทรายถาม รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก

                “อยากเจอก็มาหาเองดิ” กิมตอบแล้วก็กดเล่นเกมในมือถือ “ขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องแต่งตัว ต้องเตรียมของ ทำนู่นนี่”

                “ถ้าคนมันอยากเจอมันก็ไม่ขี้เกียจหรอกน้องกิม” พี่ทรายทำเสียงตัดพ้อจนกิมจิ๊ปากใส่ หมั่นไส้คนขยันเรียกคะแนนความสงสารจริงๆ

                “อยากเจอแต่ขี้เกียจก็มีไหม” กิมตอบแล้วย่นจมูก “ถ้าอยากเจอแต่ขี้เกียจพี่ทรายก็ต้องมาหา ก็แค่นั้นเอง”

                “ครับๆ น้องกิม ทราบแล้วครับ” พี่ทรายหัวเราะกับหน้ายุ่งๆ ของเขา

                “เดี๋ยวแวะเซเว่นให้ผมหน่อย จะซื้อขนม”

                “ตรงก่อนถึงหอใช่รึเปล่า”

                “อือ”

                กิมตอบแล้วหลังจากนั้นตลอดทางก็เป็นความเงียบ ถ้าหากรถติดพี่ทรายก็จะหันมาลูบเรือนผมเขาอย่างเพลินมือ ฝ่ามือใหญ่ๆ นั่นสอดเข้ามาตามกลุ่มผมสีสว่างของเขาอย่างไม่รู้จักเบื่อ ถ้ากิมไม่เล่นเกมอยู่ ก็คงจะโดนหาเศษหาเลยไปตามเรื่องตามราว แต่พี่ทรายรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ยุ่งเวลาเล่นเกม ไม่งั้นจะหัวเสียไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลย

                ล้อรถหมุนและหยุดลงตรงริมฟุตบาท กิมโดนพี่ทรายสะกิดเรียกให้หยุดเล่นเกมแล้วลงไปซื้อของในเซเว่น โอเมก้าผมบลอนด์ล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะเปิดประตูรถเดินลงไปที่ร้านสะดวกซื้อ กิมหยิบขนมตามชั้นอย่างที่ชอบทำจนกระทั่งได้ยินเสียงฝนเทลงมากระทบหลังคา ดวงตาเรียวเหลือบจากแผงขนมมองทะลุออกไปนอกกระจกร้าน ฝนเทลงมาห่าใหญ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกิมนึกเซ็ง ฝนในกรุงเทพฯนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างที่เขาว่าจริงๆ เจอเหตุการณ์แบบนี้จนขี้คร้านจะหงุดหงิดให้เสียอารมณ์แล้ว

                กิมล้วงในกระเป๋า ตอนแรกนึกว่าตัวเองไม่ได้พกเสื้อกันฝนมา แต่พอล้วงเจอดีๆ ก็เจออยู่ก้นกระเป๋า กิมจ่ายเงินที่แคชเชียร์แล้วเตรียมจะกางเสื้อกันฝนที่สภาพยู่ยี่เหมือนถุงพลาสติกขนาดใหญ่

                ตอนแรกกิมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรมากสำหรับระยะฮีทช่วงนี้ แต่พอฝนตกลงมา ไอ้เจ้าอาการฮีทที่ครั่นเนื้อครั่นตัวมาเกือบทั้งวันก็ดันออกอาการซะงั้น เหมือนฮอร์โมนจะเกิดอาการแล่นพล่านกะทันกัน สมองของกิมเบลอเหมือนโดนม่านราคะบัง เป็นอาการที่ไม่ได้เกิดมานานแล้วตั้งแต่เขาเริ่มกินยาระงับช่วงฮีท

                แล้วทำไมวันนี้ถึงได้...อยากทั้งๆ ที่กินยาตามปกติล่ะ

                กิมยัดเสื้อกันฝนลงในกระเป๋าสะพายลวกๆ มือรับเงินทอนและถุงขนมกลับมาอย่างลุกลี้ลุกลน เขากำเงินทอนกับใบเสร็จไว้ในมือแน่นอย่างไม่ใช่วิสัย ถุงขนมที่ปกติจะถือถุงหิ้วก็กลับกำแน่นไว้ในมือรวมกับเงินทอน กิมหายใจทิ้งหนัก สัมผัสได้ว่าช่องทางหลังมีน้ำหล่อลื่นออกมาจนชื้นกางเกงชั้นใน ฟันบนขบริมฝีปากล่างแน่นจนเจ็บ

                กิมพุ่งตัวออกตากฝนที่กำลังเทหนัก เขาย่ำเดินเหยียบฟุตบาทอย่างอ่อนแรง ในหัวมึนตึ้บไปหมด ในอกสุมไปด้วยความปรารถนาที่กิมไม่เคยอยากมีและเลือกจะกดมันเอาไว้ให้นานที่สุด โอเมก้าผมบลอนด์ตัวเย็นเฉียบตรงข้ามกับร่างกายด้านในที่ร้อนรุ่มไปหมด ฝนตกหนักกระทบตามผิวเนื้อจนเจ็บแสบ ในหูได้ยินแต่เสียงฝน

                พี่ทรายเปิดประตูรถออกมาทันทีที่เห็นเขาเดินตากฝน กลิ่นพี่ทรายกระทบจมูกกิมจนแทบจะล้มทั้งยืน กิมแฉะไปหมดทั้งตัว นั่นรวมถึงกางเกงชั้นในตอนนี้ที่น้ำหล่อลื่นยังคงออกมาไม่หยุด พี่ทรายยังมีสติพอที่จะกางร่มวิ่งออกมาหาเขาที่ยืนนิ่งเข่าอ่อนอยู่กลางฝน

                อัลฟ่าไหล่กว้างเข้าประชิดตัวและโอบรัดเอวเขา กิมตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเป้นมาก่อนในชีวิต หายใจเข้าออกทางริมฝีปาก เขากอดพี่ทรายก่อนจะเอาหน้าซุกลงตรงแอ่งชีพจรอีกฝ่าย กลิ่นพี่ทรายที่เคยหอมและทำให้เขารู้สึกดีตอนนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม กลิ่นหอมหวนเกินมนุษย์ธรรมดากำลังฉุดดึงความปรารถนาลึกล้ำในตัวให้ออกมามากกว่าเดิม เหมือนจะดึงให้สติกิมจมดิ่งอย่างไม่มีวันหวนคืน

                “น้องกิม” พี่ทรายเรียกเขาสู้กับเสียงฝน กิมส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาเอื้อมฝ่ามือทั้งสองข้างไปจับหน้าพี่ทรายให้โน้มลงมาก่อนจะประกบจูบสะเปะสะปะลงไป ในตอนแรกสมองก็แค่คิดว่าขอแค่จูบเอง ถ้าจูบกันก็คงดีขึ้น ถ้าจูบกันความทรมานในตัวก็คงจะหายไปบ้าง...

                กิมคิดแค่นั้น แต่หารู้ไม่ว่ายามที่ริมฝีปากประกบกัน ก็เหมือนจุดไม้ขีดแล้วโยนลงน้ำมัน





cut scene

ลิ้งบนไบโอทวิตเตอร์ @hopeniverse_ ค่ะ

หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.13 - 50% - (08/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 09-08-2018 12:58:12
สวัสดีค่ะ เพิ่งมาตามอ่าน อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกและอบอุ่นเลยค่ะ ชอบเคมีของคุณป่าสนและคุณแม่บ้านญี่ปุ่นจัง ฟุ้งๆเหมือนน้ำค้างในป่าสนจริงๆ นึกภาพตามออกเลย รอตอนใหม่นะคะ ขอบคุณมากเลย  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.13 - 100% - (10/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 12-08-2018 21:35:19
หูยยยย พี่ทรายทนน้องกิมไหวได้ไงเนี่ยยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.13 - 100% - (10/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 小苹果 ที่ 13-08-2018 18:36:47
ตามมาอ่านค่ะ ชอบมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.14 (02/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 02-09-2018 14:53:20
chapter fourteen



                ฮิมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย มองซ้ายมองขวา แขนเผลอเอื้อมไปที่ด้านข้างเพื่อหาคนที่เคยอยู่ข้างกายมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่เมื่อควานไปก็กลับเจอแต่เนื้อผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่และผ้าห่มที่หลุดลงมากองด้านข้างเพียงเท่านั้น

                อ่า นั่นสินะ คุณน้ำค้างกลับไปแล้วนี่

                ฮิมลุกขึ้นมาก่อนจะพบว่าเขาเหงื่อออกจนผมตรงกระหม่อมเปียก ทั้งๆ ที่เปิดแอร์แท้ๆ และยิ่งแปลกใจตัวเองมากกว่าเดิมเมื่อกะพริบตาแล้วมีหยดน้ำหยาดลงมาตามแก้ม ฮิมขมวดคิ้วก่อนจะขยี้ตา ฝันก็คือฝัน โล่งอกกว่าก็คือมันไม่ใช่เรื่องจริง บ้างก็บอกว่าฝันร้ายดีกว่าฝันดีตรงที่ตื่นมาแล้วไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฝันดีนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากจะเก็บไว้ หากแต่เขากลับไม่เห็นด้วยอย่างนั้น

                ฝันดีมักวนมาหาเรารอบเดียวในรูปแบบที่แตกต่างกันไป กลับกันนั้นฝันร้ายมักจะวนมากับคนเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา หลอกหลอนเราไปนานแสนนานต่อให้จะลืมเลือนไปแล้วก็ตาม

                อัลฟ่ากลิ่นป่าสนลุกขึ้นไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน หวังว่าน้ำอุ่นๆ จะช่วยให้จิตใจสงบลงบ้าง จะว่าไปคุณน้ำค้างก็ตัวอุ่น...

                คิดถึงคุณน้ำค้างจัง

                ฮิมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแชทโดยไม่รู้ตัว เลื่อนดูข้อความสุดท้ายที่ส่งหากันว่าฝันดี และคุณน้ำค้างก็บอกว่าคงไม่ได้นอนเร็วเท่าไหร่นักหรอก

                ตอนนี้เวลาตีหนึ่ง จะนอนรึยังนะ...

            คุณฮิมคิดพลางลังเลว่าจะกดโทรหาดีไหม อยากจะได้ยินเสียง แค่คุยแป๊บเดียวก็ยังดี คุณน้ำค้างน่ะเก่งเรื่องปลอบใจคนจนฮิมกลัวว่าในวันข้างหน้าเขาจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้ยามที่กำลังล้มลง อีกฝ่ายให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนฮิมรู้สึกว่าจะกอดแล้วร้องไห้เสียงดังให้ฟังเท่าไหร่ก็ได้ จะโวยวาย โมโห หรือพาลเท่าไหร่ก็ได้ เพราะว่าคุณน้ำค้างจะเข้าใจและปลอบโยนในแบบฉบับของคุณเขา

                สุดท้ายนิ้วโป้งก็กดโทรออกจนได้ ฟังเสียงรอสายอย่างลุ้นระทึก แต่ก็เผื่อใจไว้ว่าอีกฝ่ายอาจจะนอนไปแล้วก็ได้ ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณน้ำค้างไม่รับสาย พรุ่งนี้ก็ไปหาก็ได้นี่นา แค่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เจอกันแล้ว

                [ฮัลโหลครับคุณฮิม]

                ขอบคุณนะ ขอบคุณที่รับสายกัน

                “ยังไม่นอนอีกเหรอ” ฮิมถาม มุมปากยกยิ้มอย่างไร้สาเหตุ เขากำลังทำตัวงี่เง่าและเรียกร้อง ปกติในสมองจะระแวงนู่นนี่เต็มไปหมด มีเส้นให้ตัวเองว่าเท่านี้ แต่พอเป็นคุณน้ำค้าง...อะไรก็ดูเป็นไปได้เสียหมดเลย

                [อ่า กำลังจะแปรงฟันเลยคุณฮิม]

                “อือ แสดงว่าจะนอนแล้วใช่เปล่า” ฮิมถามแล้วก็กดน้ำอุ่นใส่แก้ว ยกจรดริมฝีปาก รออีกฝ่ายตอบ

                [ใช่ครับ แล้วคุณฮิมล่ะ ไหนบอกฝันดีกัน ทำไมยังไม่นอน]

                กำลังจะคิดข้อแก้ตัวตอบกลับให้ตัวเอง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ไม่อยากให้คุณน้ำค้างเป็นห่วงแล้ว แต่จู่ๆ อัลฟ่าจากปลายสายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                [ฝันร้ายอีกเหรอคุณฮิม]

                “อืม” ฮิมตอบกลับในลำคอแต่โดยดี คุณน้ำค้างก็คือคุณน้ำค้าง ดันทุรังไปก็แค่นั้น แต่มากกว่าฝันร้าย ฮิมอยากจะบอกประโยคนี้ให้ฟังมากกว่า “แล้วก็...คิดถึง”

                คุณน้ำค้างเงียบไป แต่ฮิมยังคงพูดต่อ

                “คิดถึงคุณน้ำค้าง อยากได้ยินเสียง ก็เลยโทรไป”

                [คุณฮิม...นี่คือทำผมนอนไม่หลับนะเนี่ย]

                เสียงคุณน้ำค้างที่โอดมาตามสายทำเอาฮิมหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างผ่อนคลาย ก็คิดถึงจริงๆ นี่นา นอนก่ายเป็นหมอนข้างอยู่ตั้งหลายวัน จู่ๆ ทั้งกลิ่นทั้งตัวอุ่นๆ ก็หายไปหมดเลย กลิ่นคุณน้ำค้างน่ะจางเร็วจะตาย อยากจะได้กลิ่นชัดๆ ก็ต้องกอดแน่นๆ

                อยากจะให้มานอนด้วยกันทุกคืนเลย

                [คิดถึงคุณฮิมเหมือนกัน กลิ่นยังติดตัวผมอยู่เลย]

                “มาหากันสิ” ฮิมพูดทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตีหนึ่งคงไม่มีใครบ้าจะออกมาหรอก แค่คำว่าคิดถึงคุณน้ำค้างก็ทำเอาฮิมลงไปนอนกับหมอน เอาโทรศัพท์แนบหูและหลับตา “พูดว่าคิดถึงอีกได้ไหม”

                [ครับ?]

                “อยากฟังเสียง นอนไม่หลับ”

                [คิดถึง คิดถึงคุณฮิม...มากๆ เลย]

                ฮิมหลับตานอนฟังเสียงทุ้มต่ำข้างหู รู้ว่ากำลังเรียกร้องและเอาแต่ใจ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ที่จะทำตามใจตัวเองโดยไม่ต้องคิดในหัวตลอดเวลาว่าสมควรรึเปล่า เหมาะสมรึเปล่า น่าเกลียดรึเปล่า

                สำหรับคุณน้ำค้าง ไม่มีอะไรที่น่าเกลียดเลย มีแต่ที่ที่ปลอดภัย ผ้าห่มผืนใหญ่ จะกอดแล้วฝังหน้าหรือหลบอยู่ใต้นั้นทั้งวันก็ยังได้

                [อยากให้ไปหาไหม คุณฮิม]

                “ไม่ต้องหรอก พักเถอะ มันเหนื่อย ถ้ามาสิผมจะโกรธ”

                ฮิมตอบเสียงเบา เขาไม่อยากให้คุณน้ำค้างถ่อมาหาเขาดึกดื่นทั้งๆ ที่ตัวเองเหนื่อยแทบตายหรอก อีกแง่นึงก็ดี จะมีสักกี่คนที่ยอมมาหาเราไม่ว่าจะกี่โมง จะมีสักกี่คนที่จะยอมรับสายแล้วอยู่ฟังเราพูดตอนตีหนึ่งว่าคิดถึง ก็แค่นั้น

                ไม่อยากจะเสียคุณน้ำค้างไปเลย

                 [อยากให้ผมเอ่อ...อ่านอะไรให้ฟังไหม] คุณน้ำค้างถามและฮิมได้ยินเสียงคลิกเม้าส์

                “รู้นะว่าเสิร์ชวิธีกล่อมนอนในกูเกิ้ล”

                [เอ่อ...ก็ ผมไม่ได้อยู่ให้กอดนี่ เลยพอจะทำอะไรได้ก็หาไปก่อน]

                ฮิมนึกหน้าคุณแม่บ้านออกเลยว่าต้องทำหน้าเหมือนเด็กโดนจับได้ว่ากำลังวาดการ์ดวันเกิดมาเซอร์ไพร์ส

                “อ่านเหรอ ร้องเพลงให้ผมฟังไหมล่ะ” ฮิมพูดเองแล้วก็หัวเราะเอง “โรแมนติคไหม ผมเคยจีบคนด้วยวิธีนี้ด้วยนะ”

                [คุณฮิม ผมร้องเพลงไม่เพราะ]

                “ไม่เห็นต้องเพราะเลย แค่เป็นเสียงคุณมันก็ดีหมดแหละ”

                [แน่ใจเหรอคุณฮิม]

                “คุณน้ำค้างก็อย่าร้องแบบคริสติน่าสิ อันนั้นก็เกินไป”

                [คุณฮิมเห็นผมชอบร้องเพลงแนวนั้นเหรอ...]

                “เปล่า ผมเปรียบเทียบ”

                [ผม...คิดเพลงแป๊บนะ]

                ฮิมขานรับในลำคอแล้วก็หลับตารอฟังอีกคนในสายที่ทำเสียงกุกกัก เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด เสียงหายใจ เสียงกระแอมในคอ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำเนิบช้าแต่มีเสน่ห์นั่นจะเริ่มร้องเพลงขึ้นมา

Said, you just don't know how beautiful you are
And baby that's my favorite part
You walk around so clueless to it all
Like nobody gonna break your heart
It'll be alright babe, see, me, I got you covered
I'm gon' be your lover, you might be the one
If it's only tonight, ayy, we don't need to worry
We ain't in a hurry, rushin' into love

 Said, you know I know who you really are, ain't need to lie

Said, the universe couldn't keep us apart
Why would it even try?
Yeah, said, don't let them hurt you ever
I know you far too smart
Before things come together, they have to fall apart
It's been a while since I've been sober
This life can be so hard, I'd rather talk about you

                ความหมายของเพลงทำให้ฮิมยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ใกล้จะหลับเต็มที ถึงจะไม่รู้ว่าเป้นเพลงอะไร แต่ถ้าเจอกันพรุ่งนี้ก็คงจะต้องถามและหามาฟังซะบ้างแล้ว คุณน้ำค้างไม่ใช่คนร้องเพลงดีเด่อะไร เพลงที่เลือกก็ไม่ได้หวือหวา ออกจะเรียบๆ เรื่อยๆ เหมือนกับตัว ไม่ได้มีโทนสูงต่ำที่ต้องตั้งใจแตะโน้ต

                แต่มันสามารถกล่อมให้ฮิมนอนหลับได้อย่างไร้กังวล

 










                กิมรู้สึกเหมือนว่าความร้อนที่เล่นงานเขาก่อนหลับจะกลับมาอีกครั้งในตอนตื่น

                คลื่นฮีทที่มาเป็นช่วงๆ ยังคงซัดเป็นระลอก ถึงจะมีสติขึ้นแต่ในหัวก็มีแต่ความอยากเต็มไปหมด พี่ทรายกอดเอวเขาขยับตัวเหมือนจะรู้ว่ากิมอยู่ไม่สุข โอเมก้าผมบลอนด์ส่งเสียงในคอว่าไม่สบายตัวที่อีกคนกอดตัวเขาแน่นเกินไป แต่ก็ไม่อยากจะให้ปล่อย มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเพราะสมองส่วนหนึ่งของกิมก็ยังคงแล่นคำถามเดิมๆ แม้ในยามตื่น

                ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่กัดเขาล่ะ

                กิมขยับตัวพยายามจะแกะมืออัลฟ่าออก แต่พี่ทรายก้มลงชิดกระซิบข้างหู

                “น้องกิม เป็นอะไร”

                กิมไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้า แล้วก็พยายามจะแกะมือพี่ทรายออก หากแต่ฝ่ามืออีกฝ่ายเลื่อนลงต่ำ เหมือนพี่ทรายจะเข้าใจว่าเขาฮีทอีกรอบ ถึงได้เลื่อนลงปรนเปรอความต้องการส่วนล่างให้โดยที่สมองกิมไม่ได้อยากจะให้ทำต่อ แต่สารเคมีในร่างกายตอบสนองให้กิมแหงนคอปากกว่าเดิม เปลือกตาปิดสนิทกับสัมผัสในมือ

                ไม่ชอบเลย ทำไมต้องเป็นโอเมก้า ทำไมต้องฮีท ทำไมต้องแพ้ตลอด

                “น้องกิม เจ็บเหรอ” พี่ทรายถามเมื่อเขาพยายามจะดิ้นหนีอีกรอบ ขาถีบเปะปะ เล็บจิกแขนที่กอดกลางลำตัวเขาไว้ แต่สุดท้ายก็หลั่งความเปียกชื้นรดมืออีกคนอย่างน่าอายอยู่ดี

                โกรธ โกรธตัวเองที่อ่อนแอกว่า โกรธตัวเองที่เสียเปรียบกว่า

                กิมนอนนิ่งเงียบ ขอบคุณร่างกายที่ไม่เกิดอาการร้อนขึ้นมาอีกหลังจากรอบเมื่อครู่ พี่ทรายเหมือนจะเข้าว่าเขาหลับไปแล้วถึงได้ห่มผ้าให้เขา กิมหลับตา ได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันยามอีกฝ่ายขยับตัว เสียงฝีเท้าย่ำไปนู่นมานี่ เสียงหายใจ ก่อนที่กลิ่นหอมเกินมนุษย์ทั่วไปจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป

                กิมลืมตาอีกครั้ง หงายตัวนอนมองเพดานหลังจากที่อัลฟ่าออกไป มือหยิบผ้าห่มสะบัดออก ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย แต่ความเหนียวเหนอะบนตัว และคราบต่างๆ บนร่างกายยังคงยืนยันว่าเขาร่วมรักกับอัลฟ่าคนแรกในชีวิตไป กิมควรจะไม่ใส่ใจ ควรจะเอาเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ออกจากสมอง

                แต่เพราะพี่ทรายเป็นอัลฟ่าคนแรกที่เขายอมให้ขัดใจ ยอมให้มาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ยอมที่จะปรับตัวเองเข้าหา

                ก็เพราะว่าเป็นพี่ทราย กิมเลยเอาออกจากหัวไม่ได้

                ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัว และหนึ่งในนั้นคือความหวาดกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ถูกหลอกลวง

                กิมนอนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป ความคิดแย่ๆ เริ่มกัดกร่อนเข้ามาในจิตใจ ทั้งตัวเปียกชื้นจากหยาดน้ำฝนและเหงื่อ ในหัวเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาและปลายประโยคก็จะจบลงที่ว่า...ทำยังไงดี

                กลัวเหลือเกิน กลัวว่าทั้งหมดที่เป็นมาจะไม่ใช่อย่างที่คิด

                ทำยังไงดี

                 มือเอื้อมขึ้นจับต้นคอไม่รู้ตัว ก่อนที่เล็บจะจิกลงข่วนตัวเอง หลายครั้งหลายคราจนแทบจะถลอก ก็ไม่เหมือนกับตอนที่ริมฝีปากพี่ทรายแนบชิดอยู่ดี ไม่เหมือน ไม่มีอะไรมาแทนกันได้เลย หรือว่าเขาน่าเกลียดเกินกว่าจะตีตราจอง หรือว่าพี่ทรายจะเบื่อแล้วที่จะต้องมานั่งตามใจกำแพงเดินได้อย่างเขาตลอดเวลา

                เมื่อคิดได้ดังนั้น กิมก็เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น ความคิดแย่ๆ ต่างๆ ตามมุมมืดเริ่มออกมาแสดงตัวชัดเจนหลังจากที่มีหนึ่งความคิดเริ่มเป็นผู้นำชักจูง ความเจ็บปวดไหลแล่นลงไปที่หัวใจ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ชั่วชีวิตที่กิมเจ็บมากที่สุดก็แค่ตอนที่ตกจากจักรยานจนกระดูกร้าวและต้องเข้าเฝือก

                แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ไม่ได้เจ็บจนต้องร้องไห้คร่ำครวญเพื่อฉีดยาชา มันเจ็บอยู่ด้านในความรู้สึกนึกคิด จับต้องไม่ได้ ไม่มียาชา ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมที่จะเยียวยาได้เลย และสุดท้ายหัวก็ได้แต่แล่นมาที่ประโยคเดิมอีกครั้ง

                ทำยังไงดี



                เสียงเคาะประตูแต่เช้าทำเอาน้ำค้างที่เพิ่งนอนได้ไม่เต็มอิ่มนักลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ไม่ได้นึกหงุดหงิดใครแต่อย่างใด ถ้าเป็นไอ้กิมสิอาละวาดสามบ้านแปดบ้านถ้าปลุกมันก่อนที่นาฬิกาปลุกดัง

                เดินหัวฟูไปเปิดประตูก็พบกับคนคุ้นเคย แม่โผล่มาหอบข้าวของพะรุงพะรังเหมือนเคย แม่เคยบอกว่าเกินดีกว่าขาด ยิ่งเขาออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ยิ่งต้องมีเกินเยอะๆ เลย น้ำค้างเลยมีของใช้นู่นนี่ไม่ขาด ดีหน่อยก็ได้เนื้อดีๆ มาไว้ในตู้เย็น ไม่ต้องลงไปหาเลือกซื้อเองตามซุปเปอร์

                “น้องน้ำ ทำไมหน้าโทรมแบบนี้ล่ะครับ”

                “ก็ผมเพิ่งตื่น” น้ำค้างพูดแบบไม่เต็มเสียง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่มือก็รับเอาถุงพลาสติกที่แม่ถือเยอะแยะมาไว้ในมือเพื่อถือเข้าไปวางที่โต๊ะในครัว

                “งั้นไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวแม่จัดของเอง” แม่พูดอย่างใจดีเหมือนเคยและน้ำค้างก็ไม่เกี่ยง เดินไปนอนต่อที่เตียงตามเดิมพักใหญ่ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเคาะประตูอีกรอบ แต่พอแม่บอกมาว่าเดี๋ยวไปเปิดให้เองเขาก็นอนต่ออย่างวางใจ...

                จนกระทั่งแม่เรียกมาอีกรอบนั่นแหละ

                “น้องน้ำ!”

                “แม่...จะนอน” น้ำค้างงึมงำตอบกลับแค่นั้นแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมโปงใส่หัวไป เสียงแม่เงียบไปแต่มีเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาแทน กลิ่นป่าสนกำจายไปทั่วจนน้ำค้างต้องลืมตาตื่นพลางเด้งตัวขึ้นมาจากผ้าห่ม คุณฮิมยืนส่งยิ้มกว้างพันล้านวัตต์มาให้จากปลายเตียง

                “คุณฮิม! มาได้ไงเนี่ย” น้ำค้างเบิกตาแล้วก็ลูบหน้าตัวเอง รู้สึกขมคอขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้แปรงฟัน

                “เอ้า ก็ต้องนั่งรถมาสิครับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมตอบแล้วก็ยิ้มหวาน ปีนขึ้นมาบนเตียง กอดเขาเข้าเต็มเปาแล้วก็ยื่นหน้ามาจูบตรงคอ น้ำค้างถึงกับต้องยื่นหน้าหนีก่อนเพราะยังไม่ได้แปรงฟัน ยังไม่ทันจะอ้าปากห้ามก็ต้องใจยวบกะทันหันกับคำพูดทักทายยามเช้าของคุณฮิม

                “คิดถึงคุณน้ำค้างมากๆ เลย”

                น้ำค้างตอบไม่ถูกเพราะคุณฮิมเอาแต่ซุกจมูกอยู่ตรงแอ่งชีพจรเขาแถมยังหลับตาพริ้มเหมือนเวลาเอาหน้าซุกหมอนอีกต่างหาก ท่าทางคุณฮิมจะคิดถึงกลิ่นเขามาก

                “คุณฮิม เอ่อ ผมขอไปแปรงฟันก่อน”

                คุณฮิมยอมปล่อยเขาให้ไปแปรงฟัน แต่ทันทีที่น้ำค้างเริ่มต้นแปรง คุณฮิมก็เดินมากอดหลังเขาแล้วเอาหน้าซุกลงที่เดิมอีก เอาซะอัลฟ่าอย่างเขามองผ่านกระจกแล้วเขินนิดๆ คุณฮิมพักหลังติดเขาแจเหมือนพวกหมีโคอาล่าไม่มีผิด

                “คุณฮิม แล้วแม่ล่ะ”

                “กลับไปแล้ว คุณแม่บอกว่าอยากให้คุณน้ำค้างนอนเยอะๆ” คุณฮิมพูดงึมงำอยู่ตรงผิวเนื้อที่คอเขา

                “แล้วคุณฮิมไม่มีเรียนเหรอ”

                “ไม่มี” ป่าสนตอบแล้วยิ้มส่งให้เขาน้อยๆ ผ่านกระจก “จะมานอนกอดคุณน้ำค้างเป็นเพื่อน”

                “โห เบื่อแย่เลยคุณฮิม” น้ำค้างพูดแบบเกรงใจแต่ก็เดินมานอนลงที่เตียงอยู่ดี เขาง่วงเกินกว่าจะทำอะไรแล้ว

                “ไม่เบื่อ ก็คิดถึงคุณน้ำค้าง ก็ต้องมานอนกอดแบบนี้แหละ” คุณฮิมตอบก่อนจะปีนขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ กัน ปลายจมูกจรดลงมาที่ต้นคอสูดกลิ่นผ้าสะอาดบนตัวเขาเหมือนตอนที่เขาเป็นหมอนข้างจำเป็นให้ไม่มีผิด “นี่ผมนับชั่วโมงรอเลยนะ ว่าจะได้มาเจอคุณตอนไหน”

                “เว่อร์ไปคุณฮิม” น้ำค้างหัวเราะในลมหายใจเพราะเขาใกล้จะหลับต่อเต็มที

                “ไม่เว่อร์สิ พูดจริง ผมเคยโกหกที่ไหน”

                “ชอบเลี่ยงไม่ตอบ”

                “ก็ไม่ได้โกหกนี่ ก็ไม่ตอบแทน” คุณฮิมเถียงกลับทันควันจนน้ำค้างขำ อยากจะดุเวลาเจอคนชอบเก็บอะไรไว้คนเดียวแบบนี้ แต่พอเห็นหน้าคุณฮิมก็ดุไม่ลง ก็อย่างว่า น้ำค้างเคยโกรธอะไรใครนานที่ไหน ยิ่งเป็นคุณฮิมยิ่งแล้วใหญ่

                “เรียนบ่ายนี่คุณแม่บ้าน นอนไปเลย”

                น้ำค้างอ้าปากจะตอบแต่โดนฝ่ามืออีกคนมาปิดปาดเขาไว้ก่อนเป็นเชิงว่าให้หยุดพูดและนอนจริงๆ น้ำค้างไม่คิดเลยว่าคุณฮิมจะถ่อมาหาเขาเพื่อมานอนด้วยจริงๆ แค่นอนกอดเขาก็ทำให้ต้องมาหากันถึงนี่เลยเหรอ

                จะเรียกว่าดีใจได้ไหมที่คุณฮิมอยากเจอเขา

                น้ำค้างคิดนู่นนี่เรื่อยเปื่อย และก็ยังรู้สึกตัวว่าคุณฮิมงับผิวเนื้อตรงต้นคอเขาเล่น ทำแบบนี้จะให้น้ำค้างหลับลงได้ยังไงล่ะ แต่ทำไปทำมาเขาก็หลับลงจริงๆ เพราะว่าเพลียมาก พอตื่นขึ้นมาอีกทีคุณฮิมก็นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เขาเหมือนเดิม

                “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”

                “คุณฮิมได้หลับบ้างไหมเนี่ย”

                “ไม่อะ มานอนกอดเฉยๆ”

                “นี่คือมาเฝ้าผมนอนเหรอ”

                “ก็บอกว่ามากอดเฉยๆ”

                น้ำค้างขยี้ตาเกาหัวงงๆ ที่คุณฮิมมาขลุกตัวอยู่กับเขาและไม่ทำอะไรเลยแบบนี้ ก็ดีใจที่อีกฝ่ายอยากมาเจอ อยากมาหา แต่ใจนึงก็กลัวว่าจะน่าเบื่อรึเปล่า จะเป็นการรบกวนรึเปล่า

                “คุณฮิมเบื่อไหม จะกลับก่อนก็ได้นะ ผมต้องไปเรียนอีก”

                “คุณน้ำค้างไล่กันทำไมเนี่ย” คุณฮิมหัวเราะเจื่อนๆ แต่น้ำค้างทำตาโตรีบส่ายหน้า

                “ผมก็แค่กลัวคุณฮิมจะเบื่อ”

                “ถ้าเบื่อผมก็ไม่มาหาหรอก” ป่าสนตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที “แต่ถ้าคุณน้ำค้างกลัวมาก ผมกลับก็ได้”

                “คุณฮิม”

                คราวนี้น้ำค้างตื่นของจริง เขาลุกจากเตียงเพื่อเดินไปจับแขนคุณฮิมไว้ ไม่ได้นึกโกรธที่โดนเคือง ก็อย่างว่า บางทีความเกรงใจที่ล้นเกินไปในตัวเขามันก็ผลักไสและทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

                “ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณฮิมเบื่อ กลัวว่ามันจะรบกวนเวลาคุณฮิมรึเปล่า”

                “ผมอยากมาเองนี่ ผมคิดถึงคุณน้ำค้าง ผมก็มาหา มันเป็นการตัดสินใจผมทั้งนั้น” คุณฮิมตอบเสียงเรียบ น้ำค้างเอามือลูบหน้าตัวเอง เขานอนน้อย หัวก็จะค่อนข้างคิดอะไรช้า ไม่อยากจะทะเลาะกันเลย ไม่อยากเห็นคุณฮิมโมโหหรือว่าทำตัวยียวนใส่เขา

                “ผมขอโทษ” น้ำค้างพูดเต็มเสียงว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ก่อนจะถอนหายใจกับความบื้อของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปกอดคุณฮิมด้วยซ้ำ “ผมก็คิดถึงคุณฮิมเหมือนกัน...แต่เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าคุณฮิมจะไม่โอเค ไม่มีความสุขเวลามาขลุกอยู่กับผม”

                “อือ” คุณฮิมตอบแล้วก็หันมากอดเขาไว้ “อยู่กับคุณน้ำค้างทำไมผมต้องเบื่อด้วย อยากเจอ อยากนอนกอด อยากอยู่ด้วย”

                น้ำค้างถึงกับไปไม่ถูกอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบที่คุณฮิมติดเขาแจขนาดนี้ แต่ปกติแล้วมีแต่ตัวเองที่เป็นฝ่ายไล่ตาม น้อยครั้งที่คุณฮิมจะต้องการเขาจริงๆ ก็คงจะไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะดีใจ ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถพึ่งพาได้ เป็นที่พักพิงให้กับอีกฝ่ายได้

                “ขอบคุณนะคุณฮิม ขอบคุณที่คิดถึงผม”

                “อือ ขอบคุณที่รับสายกันเมื่อคืนเหมือนกัน”

               

               



tbc.









มาอัพช้ามากเลย ปกติดองเป็นเดือน แต่พอขยันเขียน ดองไปสักห้าวันก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ แง

เปิดเทอมแล้ว งานโถมมากค่ะ การบ้านเอย อ่านล่วงหน้าเอย งานกลุ่มเอย มรสุมชีวิตมากค่ะ

ขอโทษล่วงหน้าเลยนะคะถ้าจะมาอัพเป็นเวลาไม่ได้ แต่จะพยายามขยันพิมพ์ค่า

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ



 ปล. เพลง my favorite part - mac miller feat. ariana grande ค่ะ


feel free to comment and tag
#น้ำค้างกลางป่าสน
 
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ CH.15 (06/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 06-09-2018 22:59:01
chapter fifteen



                ตอนแรกก็แค่สนใจเฉยๆ ทรายคิดแบบนั้นตอนที่มองน้องกิมครั้งแรก

โอเมก้าสันโดษ ไม่ยอมแม้แต่จะให้คนอื่นได้กลิ่นตัวเอง เขาว่ากันว่าอย่างนั้น ในตอนแรกที่ได้ยินก็แค่ความสนุกหูสะดุดใจ มีด้วยเหรอโอเมก้าแบบนั้น มีด้วยเหรอโอเมก้าที่จะไม่ยอมสยบให้กับใครเลย เพราะทั้งชีวิตของทราย มีแต่โอเมก้าเข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่มีโอเมก้าคนไหนที่ไม่หันมองเขาจนเหลียวหลังหรือพยายามที่จะเข้าใกล้ จะเรียกว่าหลงตัวเองก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะเขาก็ดันกลิ่นแบบนี้อยู่แล้ว จะแปลกใจที่มีโอเมก้าที่ไม่อยากเข้าใกล้อัลฟ่าสักคนเลยก็คงไม่ผิดนี่ 

ในตอนแรกก็แค่อยากเห็นว่าเป็นคนแบบไหน หยิ่งผยองซักเท่าใดอัลฟ่าถึงได้เที่ยวเอามาพูดต่อกันว่าอยากจะลองทำให้สยบลงกับตัวเองสักครั้ง ทรายเป็นผู้ฟังในวงสนทนานั้น อัลฟ่าชอบความท้าทาย ชอบการเอาชนะ ชอบเวลาได้เที่ยวอวดใครต่อใครที่โอเมก้าของตนหอมอย่างนู้นดีอย่างนี้ ถึงได้เอาไปพูดกันสนุกปากว่าถ้าได้โอเมก้าอย่างกิมสักครั้งก็คงเหมือนการเอาชนะเกมด่านบอสได้ ตอนนั้นทรายก็ยังขำเกลื่อนไปกับวงสนทนาด้วย

วันที่น้องกิมเดินเข้ามาทักมาทายเพื่อจะฝากของให้น้องรหัสเขานั้นก็ถือเป็นความบังเอิญ ครั้งแรกที่เห็นก็แค่รู้สึกว่าขาวสมกับในรูปภาพที่เพื่อนเคยยื่นๆ มาให้ดู โอเมก้าไร้กลิ่น เขาว่ากันอย่างนั้น และก็จริง แต่ความหยิ่งผยองในใบหน้านั้นไม่เห็นจะจริงสักนิดเดียว ใบหน้าดื้อไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มตามมารยาท ไม่พยายามที่จะประจบประแจงหรือเข้าใกล้ทำให้ทรายยิ่งแปลกใจระคนสนใจเข้าไปอีก

ในครั้งที่สองที่เจอ เป็นวันฝนตก และบทสนทนาอันแสนจะแปลกประหลาดเพื่อจะเอาตัวรอดกันทั้งคู่ จะเรียกว่าเอาชนะด่านบอสแบบที่เขาบอกกันได้รึเปล่าก็ไม่รู้ที่เขาได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นอัญชันค่อนไปทางโลชั่นหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมอาบน้ำ ที่ปรุงแต่งกลิ่นเจ้าดอกไม้สีม่วงนี่ให้มีสเน่ห์ขึ้น

ในตอนนั้นทรายไม่ได้คิดว่าเขาชนะด่านบอสอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่คิดว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้กลิ่นนี้ ในโลกนี้มีกลิ่นเป็นล้านกลิ่น แต่บางอย่างในตัวน้องกิม ทำให้เขาต้องหันมอง กระวนกระวาย ตามหา ไม่ใช่แค่กลิ่น แต่เป็นสีหน้า ท่าทาง การพูด ที่ทำให้ทรายนึกถึงทุกครั้งยามที่หัวว่างๆ

ตอนแรกก็แค่เริ่มจากพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสามารถเจอได้ แค่เห็นหน้าก็พอ แต่มันไม่ใช่แค่ก็พอน่ะสิ ไอ้อาการอยากพาไปกินข้าว อยากซื้อนู่นซื้อนี่มาเอาใจ อยากตามดูแลนี่มันตีตื้นขึ้นมาในอกเป็นระยะๆ เลยทีเดียว

ก็แค่ไม่อยากเห็นใบหน้าน่ารักนั่นมุ่ยลง อยากจะตามใจ นี่ก็เป็นนิสัยของอัลฟ่าอีกอย่างรึเปล่า ที่อยากจะตามดูแลของที่ตัวเองชอบ

ตอนแรกยอมรับว่ากลัวอีกฝ่ายจะรำคาญ กลัวจะโดนไล่ โอเมก้าที่เขาว่าหยิ่งนักหยิ่งหนา ทรายกลัวจริงๆ ว่าจะหยิ่งสมคำพูด แต่ยิ่งได้เข้าใกล้ ได้คุย ได้รู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกอยากดูแล ไม่อยากให้บอบช้ำเลย ไม่อยากให้ใครมารังแก ไม่อยากให้ใครมากล่าวหาอีก แต่ปากคนย่อมยาวกว่าปากนกปากกาเสมอ คงจะห้ามไม่ได้ถ้าจะถูกมองในแบบที่คนเห็น ท่าทางน้องกิมจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มีอัลฟ่ามายุ่งด้วยบ่อยๆ ก็เพราะตัวเองโดนเอาไปพูดต่อต่างๆ นานาเสียขนาดนั้น

และทรายก็ไม่คิดว่าจะเป็นคราวที่ตัวเองจะโดนซักไซ้จากเพื่อนฝูง

                “มึงได้น้องกิมละเหรอวะ?”

                “โห่ อะไรวะ ไอ้ทรายแม่งฟังเงียบๆ แต่คาบไปแดกเร็วชิบหาย กูกะพริบตาปึ๊บ น้องกิมกูโดนละไง”

                “ละเป็นไง กูถามกี่รอบๆ ไม่เคยบอกซะทีว่าน้องเขากลิ่นเป็นไง ละหยิ่งมะ หน้าโคตรหยิ่ง เห็นแล้วหน้าเอาชิบหาย”

                ประโยคน่ารังเกียจมากมายถูกถามเข้ามาด้วยความสนุกปากในวงสนทนา ทรายตอบเลี่ยงๆ เป็นเชิงขอตัว ไม่อยากจะแก้ตัวหรือบอกว่าอะไรเป็นอะไร กับคนพวกนี้ พูดไปก็เสียเปล่า ไม่นึกโมโหเพราะฟังจนชินแล้ว ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ คนจะพูดถึงน้องกิมในแง่ไหนก็ไม่สู้เขารู้ดีที่สุด

                แต่พอคิดถึงใบหน้าขาวๆ นั่นจะมุ่ยลงไม่พอใจเพราะคำพูดพวกนี้แล้วก็เริ่มนึกอยากจะให้คนพวกนี้หุบปากเสียบ้าง เขาได้ยินน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าน้องกิมมาได้ยินน่ะสิ รายนั้นน่าจะใจร้อนด่ากราดเลยล่ะมั้งนั่น ดูจากท่าทางแมวๆ นั่นแล้วถ้ากางเล็บได้คงโดนข่วนกันเสียอ่วม

                จะว่าไปน้องกิมไม่รับสายหรือตอบไลน์เขาเลยตั้งแต่เมื่อวานที่ฮีท ถ้าตามปกติแล้วตอนที่เขาออกไปก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เพราะนั่นก็หลายรอบแล้ว แถมยังนอนเอาแรงไปตั้งเยอะ ถ้าตามหลักก็ต้องพ้นช่วงฮีทไปแล้วสิ

                อยากจะเอากุญแจสำรองไขเข้าไปหาที่ห้อง แต่ก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลยตั้งแต่ได้มา ที่ได้มาก็เพราะว่าบังเอิญลืมงานที่ต้องส่งไว้ที่ห้องน้องกิมกะทันหัน น้องกิมเลยยัดใส่มือให้มาเอางานเอง แล้วก็ไม่เคยขอคืนอีกเลย และทรายเองก็ไม่เคยไขเข้าไปหาโดยพลการเช่นกัน

                เขาเดาใจอะไรอีกฝ่ายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ถ้ารอบตัวของน้องกิมเป็นกำแพง ทรายก็คงเอาแผ่นหลังพิงกำแพง หูเงี่ยฟังอีกฝ่าย ถ้าต้องการเขาเมื่อไหร่ก็ถึงจะค่อยเปิดประตูเข้าไปหา ไม่อยากจะทำอะไรที่ทำให้อีกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือว่าไม่สบายใจเลย

เขาเคารพพื้นที่ส่วนตัวเสมอตราบใดที่อีกฝ่ายยังยอมให้เขาอยู่ในชีวิตประจำวัน ต่อให้ไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือจะไม่ได้โอกาสต่อ ทรายก็ยังยินดีที่จะตื่นมาแล้วได้เจอน้องกิมในแต่ละวัน 

                แต่ล่าสุดเนี่ยสิ ก็เย็นย่ำแล้ว แต่น้องกิมหายต๋อมไปเลย เจ้าแมวขาวขนฟูทำเขากังวลเสียอย่างนั้น จะไม่สบายรึเปล่า จะไหวไหมนะ หรือว่าช่วงฮีทจะยังไม่หมดกันแน่ ทรายไม่รู้เลย

                ในหัวได้แต่พูดวนไปวนมาว่าอย่าโกรธกันเลยนะ เพราะขายาวๆ หอบหิ้วตัวเองมาถึงหน้าประตูห้องเสียแล้ว กลิ่นอัญชันลอยกรุ่นออกมาจางๆ ไม่รู้ว่าทรายคิดไปเองในหัวหรือว่ากลิ่นลอยออกมาจริงๆ

                มือยกขึ้นเคาะประตูแทนที่จะใช้กุญแจสำรอง ทรายไม่อยากจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่บอกกล่าว เพราะน้องกิมไม่รับสายกันจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะเอามือลงแล้วรอ โทรศัพท์ก็เด้งแจ้งเตือนข้อความเสียอย่างนั้น

                กิม: อยู่หน้าห้อง?

            ทราย: อือ น้องกิมโอเคไหม เป็นห่วง เห็นไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์

            กิม: ไม่ได้เป็นไร อย่าเปิดเข้าห้องมานะ

            ทราย: ไม่เปิดหรอก รู้ว่าน้องกิมไม่ชอบ แต่มาเปิดให้ได้ไหม อยากเจอหน้า

            กิม: ไม่ได้เป็นอะไร พี่ทรายกลับไปเถอะ

            ทราย: เป็นห่วง ขอเจอหน้าหน่อย

                น้องกิมอ่านไม่ตอบแทน และทรายก็ได้แต่มองข้อความอยู่แบบนั้น ไม่มีสัญญาณว่าอีกคนจะมาเปิดประตูให้ ทรายได้แต่ยืนมองประตูอยู่แบบนั้น เขารู้ว่าน้องกิมเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาซ้ำซาก ไม่ชอบอธิบายเพิ่ม ถ้าพูดแล้วก็ถือว่ารับรู้แล้ว บางทีทรายก็อยากรู้ว่าในหัวน้องกิมคิดอะไรอยู่ จะเป็นประโยคห้วนสั้นแบบนี้ตามที่พูดหรือพิมพ์รึเปล่า หรือว่ามีประโยคมากกว่านั้น ถ้าเขาอ่านใจได้ก็คงจะดี

                กิม: อย่าเปิดเข้ามานะ

                ทรายอ่านข้อความที่เพิ่งส่งมาใหม่ และไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ แต่เป็นการย้ำที่ไม่ใช่วิสัยของเจ้าตัวเลย ทรายอ่านซ้ำ และก็รับรู้ ว่าไม่อยากให้เปิดเข้าไปหาจริงๆ

                ถามได้ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากเจอหน้ากัน เขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในโลกส่วนตัวของน้องกิมที่เขายังเข้าไม่ถึง ทรายครุ่นคิด ในใจฟีบไปหมดเพียงแค่นึกว่าหรือเขาจะหมดโอกาสแล้วรึเปล่านะ

แต่จะพิมพ์ถามว่าโกรธอะไรกันรึเปล่าก็ต้องหยุดมือที่พิมพ์ค้างไว้ ถ้าถามออกไปจะรำคาญรึเปล่า? ทรายเม้มปาก ก่อนจะกดล็อกหน้าจอ ถอนหายใจ

ขาก้าวถอยออกมาจากประตู และค่อยๆ เดินกลับไปยังที่ที่เดิมที่เดินมา


กิมนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง อาการฮีทไม่ได้กลับมาอีกหลังจากที่พี่ทรายกลับไป แต่ที่ไม่ได้คิดไว้ในหัวคือการที่อีกฝ่ายจะมาเคาะหาถึงหน้าห้องขนาดนี้ ในหัวส่งเสียงดังว่าอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา

ถ้าเข้ามาเขาจะต้องพังแน่ๆ เลย

ก็ยังคงขอบคุณที่พี่ทรายไม่ไขกุญแจสำรองเข้ามา อีกฝ่ายไม่เคยขัดใจเขาเท่าไหร่ แต่บางทีกิมก็กลัวว่าโลกส่วนตัวที่ตัวเองเพียรสร้างขึ้นมาจะพังลงจริงๆ เพราะพี่ทรายคนเดียว โลกที่เคยคิดว่าตัวเองสามารถหนีมาหลบซ่อนเมื่อไหร่ก็ได้จะไม่มีอีกต่อไป

กิมถอนหายใจโล่งอกเมื่อแน่ใจแล้วว่าพี่ทรายไม่ได้ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เขาลุกออกจากเตียง เริ่มถอดชุดนักศึกษาออกเพราะเมื่อเช้าออกไปให้อาจารย์ตรวจแก้งานมา ความจริงร่างกายมันล้าเสียจนไม่อยากจะไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นงาน ก็เลยยอมฝืนสังขารตื่นแต่เช้าไปเร็วๆ เพื่อจะได้รีบกลับมานอน และโชคดีที่ได้คุยกับอาจารย์เร็ว

แต่โชคไม่ดีหน่อยที่ดันไปได้ยินอะไรเข้าตอนที่แวะเข้าห้องน้ำที่โรงอาหาร

‘ไอ้ทรายแม่งร้ายเงียบจริง’

‘เออดิ เงียบตลอดอะรายนี้ ไม่พูดแต่ทำเลยจ้า ทำเมียน้องกิม’

เสียงหัวเราะดังครืนกันทั้งโต๊ะ และกิมก็ยังคงยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ แสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่มือเปียก ด้วยความที่วงสนทนาอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ห้องน้ำ และผู้พูดก็ไม่คิดจะเบาเสียงเลยสักนิด กิมเลยไม่ต้องพยายามที่จะเงี่ยหูฟังหรือกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ มากนัก

‘ตอนกูบอกว่าใครได้น้องกิมไปเนี่ยเหมือนเล่นเกมผ่านด่านบอสนะ ไอ้ทรายนี่หัวเราะใหญ่ สงสัยในหัวแม่งคิดไว้แล้วแน่นอน นี่ขนาดกูไม่ได้พนันนะเนี่ย สงสัยถ้าพนันจริงไอ้ทรายแดกตังค์เรียบละ’

‘อย่าเลยมึง จนแดกทั้งกลุ่มแน่นอน ไอ้ทรายนี่ก็ท็อปฟอร์มชิบหาย โอเมก้าตามเป็นพรวน เนื้อหอมสัดๆ’

‘เอ้า มึงดูด้วยครับ นี่ใคร ไอ้ทรายนะเว่ย น้องกิมหน้าอย่างหยิ่ง ได้อย่างยาก แต่นี่ใคร ไอ้ทรายเพื่อนกูไง’

‘จ้า เจอไอ้ทรายคราวหน้ามึงไปบังคับให้มันเลี้ยงเลยเว่ย ได้ของดีๆ ก็ต้องตอบแทนอะไรดีๆ เพื่อนบ้าง’

‘ไอ้ทรายบอกกูไม่ใช่เพื่อนพวกมึงแน่ๆ’

เสียงหัวเราะดังอีกครืน แต่กิมไม่ได้คิดจะอยู่ฟังต่อ ไม่อยากเป็นเป้าสายตา แต่ก็จำเป็นต้องเดินออกมาจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองอยากล่องหนได้เหมือนที่เคยคิดตอนประถม ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากำลังอยู่ตรงนี้

ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ยอมให้มีอัลฟ่าคนอื่นนอกจากน้ำค้างเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ตอนนี้กิมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว

กิมมองตัวเองในกระจก เต็มไปด้วยรอยช้ำ ก็ไม่แปลกที่จะช้ำง่าย ผิวเขาขาวเสียจนมีอะไรขึ้นสีมานิดเดียวก็จะเด่นให้เห็นแล้วว่ามีตำหนิ เดินเข้าไปเปิดฝักบัวอาบน้ำ ข้อความของพี่ทรายช่างต่างจากสิ่งที่ได้ยินเมื่อเที่ยง และกิมก็ขลาดเกินกว่าจะถาม ถ้าโดนหลอกแล้วยังจะต้องโดนหลอกด้วยคำพูดอีก สู้ถอยออกมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยไม่ดีกว่าหรือไร

                พอคิดถึงทุกอย่างแล้วกิมก็รู้สึกโง่ แต่มากกว่านั้นคืออาการเจ็บที่ไม่มีอะไรรักษาได้ ถ้าจะชอบใครแล้วต้องเจ็บขนาดนี้ สู้ไม่ต้องชอบเลยไม่ดีกว่าเหรอ กิมคิดซ้ำไปซ้ำมา ปล่อยให้ฝักบัวราดหัว ทัศนียภาพพร่าเบลอ ก็แค่กำลังหลอกตัวเองว่าไม่ได้ชอบ เดี๋ยวเดียวก็ลืมได้แล้ว แค่กะพริบตามันก็จะผ่านไป แต่กะพริบเท่าไหร่ก็ยังไม่ลืม ซ้ำพื้นห้องน้ำตรงหน้ายังเบลอกว่าเดิมด้วย

                และก็เป็นอีกครั้งที่กิมหลอกตัวเองว่าเป็นเพราะน้ำจากฝักบัว

50%




                น้ำค้างคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เนื้อหอมหรือกลิ่นแรงอะไรขนาดนั้น

                แต่โอเมก้าที่อยู่ตรงเคาทน์เตอร์สตาร์บัคนั่นเอาแต่จ้องเขาไม่หยุดสักที

                เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ เพราะตอนแรกก็แค่คิดว่าคุณฮิมหายดีแล้วอาจจะมาทำงานสตาร์บัค แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายขอลาออกไปสักพักแล้ว (พนักงานหญิงที่เคาทน์เตอร์บอกมาน่ะ ท่าทางจะรู้ว่าเขามาเพื่ออะไร ให้ตายเถอะ หน้าเขาดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ...)

                กิมเองก็ไม่มามหาลัยได้สักสองสามวันแล้ว พอไลน์ไปก็เอาแต่ปัดว่าฮีท ไม่สบายตัว อยากนอนอยู่หอ ซึ่งไม่ใช่วิสัยเพื่อนเขาเอาเสียเลย ปกติกิมจะกินยาแล้วก็แบกสังขารมาเรียนตามเรื่องตามราวของมัน สงสัยคราวนี้อาการจะหนักจริงๆ ถึงได้ไม่มาเรียนแบบนี้

                หรือว่าจะเป็นเพราะอัลฟ่าที่ชื่อพี่ทรายคนนั้นกันนะ เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นกิมเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย

                น้ำค้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยกยิ้มเมื่อเห็นคุณฮิมส่งเลขห้ามาขำใส่เขาที่ไปนั่งสตาร์บัคเก้อ พอพิมพ์ถามไปว่าแล้วลาออกตอนไหนทำไมไม่บอกก็โดนส่งสติ๊กเกอร์ขอโทษมาอีกว่าลืมจริงๆ อ่า...นี่ท่าทางจะกลัวเขาโกรธสินะ แต่น้ำค้างเข้าใจอยู่หรอก เรื่องที่เจอในแต่ละวันมันช่างหนักหนาและเยอะเกินกว่าที่คนคนนึงจะรับไหว จะให้จำได้ทุกเรื่องคนเราก็เจ็บปวดน่าดู

เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของคุณฮิมก็ได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายอยากจะบอกให้เขาฟังเป็นคนแรกในทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จหรือล้มลงแค่นั้นก็พอแล้ว

มือคว้าเอาแก้วช็อกโกแลตแบล็กทีกับเอิร์ลเกรย์เจลลี่มาถือก่อนจะลุกขึ้น ไม่น่าสมัครสมาชิกเลยเถอะถ้ารู้ว่าคุณฮิมจะออกจากงานแบบนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าใช้เงินซื้อความรักรึเปล่า หรือว่าเขาคิดไปเอง แค่บัตรสมาชิกใบเดียวเองหน่า คิดปลอบใจตัวเองแล้วก็สาวเท้าเดินไป

แต่ท่าทางเขาจะก้มมองโทรศัพท์จนไม่ดูทางไปหน่อยถึงได้เดินชนพนักงานที่กำลังเสิร์ฟกาแฟเย็นจนมันราดหกเต็มกางเกงเขาไปหมด น้ำค้างทำหน้าตาเลิ่กลั่ก นี่แหละวันของเขา ไม่เด๋อก็ต้องประจานตัวเอง เป็นซิกเนเจอร์ของน้ำค้างรึเปล่านะ ชักเริ่มไม่อยากกลับมาสตาร์บัคสาขานี่แล้ว...

แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นโอเมก้าผู้ชายคนที่มองเขาตั้งแต่ตอนเข้าร้านไม่หยุดก็ถึงกับกลืนน้ำลาย เวรมากๆ แถมยังเปียกเหมือนเขาเลยด้วย เพราะหกรดตัวเองเหมือนกัน

“เอ่อ ขอโทษครับ เดี๋ยวค่ากาแฟที่ทำหกเดี๋ยวผมจ่ายเอง” น้ำค้างรีบโค้งยกใหญ่ แล้วก็รีบบอก เพราะเหมือนพนักงานคนอื่นจะเริ่มเดินมาดู ทางฝั่งโอเมก้าที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กฝึกงานเองก็ส่ายหน้ายิ้มให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“ส่วนผ้ากันเปื้อน เอ่อ ให้ผมเอาไปซักให้ไหมครับ แล้วเดี๋ยวเอามาคืน ยังไงสาขานี้ก็ใกล้ผม” น้ำค้างรีบเสนอจนลืมไปว่าเขากำลังโดนจับตามองอยู่ และด้วยความใจดีที่ไม่อยากให้ส่งซักรีดแต่อยากจะซักตากรีดและพับเองด้วยนั่นแหละ เขาอาจจะคิดมากไปก็ได้...อืม ก็นั่นแหละ

“อ๋อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ แต่ว่าตอนนี้เอาไปล้างน้ำที่ห้องน้ำก่อนดีไหมครับ?” อีกฝ่ายเสนอมาและน้ำค้างก็พยักหน้า เพราะเขาเองก็ต้องไปล้างเอาคราบวิปครีมตรงกางเกงตัวเองออกเหมือนกัน ตาเหลือบมองป้ายชื่ออีกฝ่ายแล้วก็อ่านออกเสียงในใจว่า ลักษณ์ // โอเมก้า ชื่อไทยเสียจนไม่คิดว่ายังจะมีคนตั้งชื่อแบบนี้อยู่

เขาสองคนเดินเลี่ยงออกมาทางห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังวักน้ำจากอ่างล้างหน้าใส่กางเกงตัวเอง ตอนนั้นเองที่น้ำค้างได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นป่าสนที่เข้าจมูกมากะทันหันทำให้น้ำค้างเผลอหันไปจ้องโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นกลิ่นป่าที่จืดจางกว่าและไร้หมอกลอยเอื่อย แต่ก็คือกลิ่นเดียวกัน ก็พอจะรู้ว่าโอกาสที่กลิ่นจะซ้ำกันนั้นมี แต่ไม่นึกว่าจะเจอใกล้ตัวขนาดนี้

ตกใจเสียจนเผลอมองค้าง และท่าทางฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้เงยหน้ามามองเขากลับและยิ้มให้

“ไม่ชอบกลิ่นผมเหรอครับ”

“ปละ-เปล่าครับ” น้ำค้างถึงกับหลุดจากภวังค์แล้วก็ละล่ำละลั่กตอบกลับไป  ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด ถึงแม้สถานการณ์จะเป้นแบบนั้นไปแล้วก็เถอะ

“คุณน้ำค้างใช่ไหมล่ะครับ?”

“ครับ?” น้ำค้างถึงกับย้อนถามงงๆ ที่อีกฝ่ายรู้ชื่อเขา

“พี่ๆ พนักงานเขาพูดกันว่าคุณน้ำค้างมาจีบพี่ฮิม เลยรู้เรื่องอยู่เนืองๆ น่ะครับ” โอเมก้าที่ชื่อลักษณ์ตอบขณะที่ยังคงล้างผ้ากันเปื้อนอยู่ น้ำค้างถึงกับยิ้มแห้ง เห็นไหม บอกไว้ไม่มีผิดเลยว่าเขาโดนเอาไปนินทา!

“อ่า โดนเอาไปพูดขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำค้างพึมพำกับตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อลักษณ์ก็แทรกขึ้นมาอีก

“ผมกลิ่นเหมือนพี่ฮิมล่ะสิท่า คุณน้ำค้างถึงได้มองผมแบบนั้น”

น้ำค้างถึงกับสะดุ้งโหยง เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่ดดนจับได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะเกิดพิศวาสอะไรอีกฝ่ายขึ้นมาหรอก แต่เวลาโดนจับได้เรื่องแอบดมกลิ่นเนี่ย มันออกจะน่าอายนี่

“เรียกว่าคล้าย...จะดีกว่าครับ”

น้ำค้างตอบอ้อมๆ เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ แล้วกลิ่นของอีกฝ่ายนั้นจืดจางกว่าคุณฮิมมากโขทั้งที่เป็นโอเมก้า ป่าสนที่ไร้หมอก แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ต่างกับคุณฮิมที่ถึงจะมีหมอกลงจัด แต่ก็ยังสามารถเห็นกวางมูสอยู่เนืองๆ ยามหลับตา

แต่จะว่าไปโลกจะเล่นตลกเกินไปแล้วที่เอาคนกลิ่นใกล้เคียงขนาดนี้เหวี่ยงมาอยู่ด้วยกัน

“แล้วชอบรึเปล่าล่ะครับ”

“ครับ?” น้ำค้างถามย้อนใหม่เหมือนได้ยินไม่ชัด เขาชักจะงงๆ กับคำถามอีกฝ่ายอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะยัดเยียดแปลกๆ ใส่หัวตัวเองจนกระทั่งโอเมก้ากลิ่นป่าสนถามมาใหม่นั่นแหละ น้ำค้างถึงได้ยินเสียงไซเรนในหัวตัวเอง

“หมายถึงกลิ่นผมน่ะ”

น้ำค้างถึงกับรื้อคำพูดในหัวตัวเอง อะไรก็ได้ที่จะฟังดูถนอมน้ำใจมากที่สุด ก็พอจะรู้อยู่ว่าโดนจ้องมาตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน และไอ้เจ้าประโยคที่ถามว่าชอบกลิ่นไหมเนี่ย มันก็ประโยคเชิญชวนสามัญของโอเมก้าเลยไม่ใช่หรือไง ให้ตายเถอะ

น้ำค้างยังไม่ทันจะตอบอะไร โอเมก้ากลิ่นป่าสนก็กระเถิบเข้ามาประชิดตัวเขาทันที และแน่นอนว่าน้ำค้างกระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ แต่ด้านข้างเขาก็เป็นกำแพงห้องน้ำแล้ว ดูหน้ายิ้มๆ ของโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์แล้วก็เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยอยู่หรอก...

แต่ทำไมถึงมาต้อนเขาจนมุมขนาดนี้!?

น้ำค้างจะเดินออกแต่ก็โดนอีกฝ่ายเอาตัวมาชิดจนเนื้อผ้าแนบกัน ในหัวน้ำค้างคิดแต่คำว่าซวยแล้ว ซวยแล้ว ซวยแล้ว เต็มไปหมด เกิดมาเขาเคยโดนโอเมก้าต้อนจนมุมอยู่สองรอบ และรอบก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงฮีททั้งนั้น ฝังใจมากเพราะกว่าจะเอาตัวออกมาได้ก็เกือบสำลักกลิ่นตาย และด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ รักสงบ แต่ถึงรบก็ตาย ทำให้สกิลการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ต่ำมาก

“เอ่อ...ผมมีคู่แล้วนะครับ” น้ำค้างตอบพลางนึกถึงหน้าคุณฮิมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าคุณฮิมเป็นพระเจ้าแล้วมีบทสวดเขาคงท่องไปแล้ว แต่เผอิญว่าดันไม่ใช่เสียนี่สิ

“หมายถึงอัลฟ่าแบบพี่ฮิมน่ะเหรอครับ?” ลักษณ์ถามแล้วขมวดคิ้ว “แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าจับคู่หรอกนะคุณน้ำค้าง”

น้ำค้างฟังแล้วก็อยากจะลงไปขอร้องแทนว่าปล่อยเขาไปเถอะ อย่ามายุ่งกับอัลฟ่ากากๆ แบบเขาเลย เขาสอดส่ายมองหาตัวช่วย และเผอิญว่ามีคนเดินเข้าห้องน้ำมาพอดี น้ำค้างกำลังจะโล่งใจ จนกระทั่ง...

“ทำอะไรน่ะครับนั่น”

เสียงคุณฮิมกับกลิ่นป่าสนที่เหมือนแบกเอาไอหมอกลงจัดไว้ตลอกเวลาทำเอาน้ำค้างถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ มุมปากของป่าสนของเขายกขึ้นเหมือนจะไม่ได้คิดอะไร แต่น้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมโหมดนี้น่ะไม่น่าไปแตะโดนมากที่สุด ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าเขาจะต้องโดนเข้าใจผิดและโกรธแน่ๆ เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์แล้วอารมณ์ก็มาก่อนสมองทั้งนั้น

“น้องลักษณ์นี่นิสัยเหมือนเดิมเลยเนอะ” คุณฮิมพูดแค่นั้น และแน่นอนว่าโอเมก้ารุ่นน้องถึงกับถอยออกจากเขาทันที แต่เอาตรงๆ ถ้าน้ำค้างเป็นอีกฝ่าย ก็น่าจะวิ่งหนีไปเลย คุณฮิมน่ากลัวจะตายไป แค่ตอนที่พยายามปั่นหัวเขายังดูน่าเกรงขามกว่าเขาอีก

“เดี๋ยวลักษณ์ขอตัวไปทำงานต่อ...” โอเมก้าชื่อลักษณ์กำลังจะเดินสวนออกไปแต่คุณฮิมกลับจับแขนไว้ก่อน จนน้ำค้างยังต้องลอบกลืนน้ำลายแทนอีกคน แต่พอเห็นคุณฮิมโน้มตัวลงไปที่แอ่งชีพจรอีกคนแล้วทำท่าอ้าปากเหมือนจะกัดแล้วน้ำค้างถึงกับเผลอขยับตัวไปกระชากแขนคุณฮิมออกมาด้วยอารามตกใจ

ส่วนโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์น่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงหรอก รายนั้นวิ่งหนีไปแล้ว

“คุณฮิมจะไปกัดเขาทำไมครับ!?” น้ำค้างถาม เผลอเสียงดังใส่ แต่ใบหน้าคุณฮิมเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องรีบอธิบายหรืออะไร

“ก็เห็นอยากมีคู่จนตัวสั่น หลายทีแล้วที่ทำงี้” คุณฮิมตอบเนิบๆ “คิดว่าผมจะกัดจริงๆ เหรอ”

“ผมจะรู้ไหมล่ะ คุณฮิมคิดอะไรผมยังดูไม่ออกเลย” น้ำค้างตอบพลางลูบหน้าตัวเอง วันนี้มีจะเรื่องให้เขาตกใจเยอะมากเกินไปแล้วนะ “แล้วโอเมก้าคนนั้น ทำไมไม่เคยเล่าให้ฟังเลยล่ะครับ?”

“เล่า? ทำไมต้องเล่าเรื่องลักษณ์ด้วย” คุณฮิมขมวดคิ้วแล้วก็หันมาถามเขา “มีอะไรให้เล่า?”

“ก็เขากลิ่นเหมือนคุณฮิม ผมเลยตกใจ” น้ำค้างตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่ก็รู้ตัวอีกทีตอนแผ่นหลังโดนผลักติดกำแพงห้องน้ำอีกหน ทำไมเขากับคุณฮิมต้องมีประเด็นในห้องน้ำทุกรอบเลยสิน่า

“แล้วยังไงต่อเหรอคุณน้ำค้าง?” คุณฮิมยิ้มเหมือนตอนที่ปั่นหัวเขาอีกครั้ง “ก็แค่เพราะเขากลิ่น ‘คล้าย’ ผม และเป็นโอเมก้าใกล้ตัว ผมก็จำเป็นต้องเล่าด้วยงั้นเหรอ?”

คุณฮิมพูดพลางขยับมาถามข้างหูเขา จมูกโด่งไล่ดมไปตามตัวก่อนจะทำหน้าไม่พอใจที่กลิ่นโอเมก้าคนอื่นมาติดอยู่บนตัวเขา และน้ำค้างก็เพิ่งจะรู้ว่าทำไมคุณฮิมจึงโมโห

อ่า...ไอ้น้ำ คิดอะไรช้าแบบนี้นะ

“เล่าแล้วยังไงล่ะ? คุณน้ำค้างก็คงจะแจ้นไปหาโอเมก้าที่กลิ่นป่าสนแบบนี้มากกว่ามาหาอัลฟ่าแบบผมใช่รึเปล่า?”

“คุณฮิม...ไม่ใช่แบบนั้น”

“ชอบไม่ใช่เหรอ? ที่เข้ามาหาผมก็เพราะว่ากลิ่นทั้งนั้นนี่”

คุณฮิมยังคงพูดต่อ และน้ำค้างอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะกลิ่น แต่เพราะเป็นคุณฮิม เพราะเป็นคุณฮิมเขาถึงได้โดนดึงดูดเข้ามา เพราะเป็นคุณฮิมน้ำค้างถึงได้โงหัวไม่ขึ้น ก็เพราะว่าคุณฮิมคือคนเดียวในโลกที่จะเป็นกลิ่นโปรดตลอดกาลของเขา

                และน้ำค้างรู้ ว่าป่าสนของเขามีแค่ผืนเดียว

                “คุณฮิม...” น้ำค้างเรียก อยากจะบอกให้ฟังกันก่อน แต่คุณฮิมเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าตัวเองราวกับกำลังซ่อนอะไรสักอย่าง น้ำค้างทอดถอนใจพลางเอ่ยถามด้วยความตัดพ้อไม่แพ้กัน “...ทำไมเห็นผมเป็นคนแบบนั้น?”

                “ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้างยังไงล่ะ...” คุณฮิมตอบ ฝ่ามือที่ปิดหน้าตัวเองเริ่มจะเอาเล็บจิกจนน้ำค้างถึงกับต้องดึงมืออีกฝ่ายออกมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากคุณฮิม นัยน์ตานั่นท่วมท้นไปด้วยหลากอารมณ์ “ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้าง ผมถึงได้เป็นแบบนี้”

                น้ำค้างกำลังจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แต่คุณฮิมถอยออก เว้นระยะห่างจากเขา ใบหน้าคมหวานนั่นสับสน พอๆ กับน้ำค้างที่เจ็บปวดจากการเห็นคุณฮิมเป็นเช่นนั้น

                “บางทีถ้าผมเป็นโอเมก้า...” คุณฮิมพูดสิ่งที่น้ำค้างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน น้ำค้างตกใจจนต้องก้าวเข้าไปหา แต่ยิ่งก้าว คุณฮิมก็ยิ่งถอยหนี จนเขาต้องหยุด

“บางที...ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าผมกับคุณน้ำค้างไม่เจอกัน”

ราวกับบรรยากาศรอบด้านกลายเป็นสุญญากาศ น้ำค้างได้ยินเพียงแค่ประโยคนั้น

ทำไมล่ะ

ทำไมถึงไม่ยินดีที่เราได้เจอกัน

ทำไมถึงไม่ยินดีกับความรักในครั้งนี้

ทำไมถึงผลักไสเขาออกมาจากวงโคจรเสียดื้อๆ แบบนี้

“ผมไม่ได้รักคุณฮิมเพราะกลิ่นอย่างเดียว...” น้ำค้างอยากจะพูดอะไรกลับบ้าง เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แต่คุณฮิมตัดเขาด้วยประโยคคำถาม

“คุณน้ำค้างรู้อะไรไหม?” คุณฮิมถามแล้วก็พูดประโยคที่ฝังลงในใจของน้ำค้างราวกับรอยสัก “เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าผมหรือคุณน้ำค้าง สักวัน...เราจะไปจากกันเพราะโอเมก้าสักคนในโลกที่เรายังไม่เจอ”

“แต่...”

“มันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตอนผมกับเมฆ และผมกับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมพร่ำไม่หยุดเหมือนกับความกลัวที่ลึกที่สุดในใจได้กระโดดออกมาเผชิญหน้า ความจริงที่ไม่ได้ถูกกลั่นกรองให้สวยหรู ทุกอย่างถูกสำรอกออกมาเละเทะเสียจนน้ำค้างไม่ทันตั้งตัว

“จะดีกว่าไหมถ้าผมกับคุณน้ำค้าง...”

“คุณฮิม...อย่า ผมขอร้อง”

“หยุดแค่นี้...ในฐานะอัลฟ่าสองคนที่ไม่ต้องรักกัน”

 




 
tbc.



ขอบคุณสำหรับคำติชม คำวิจารณ์ แล้วก็คำปรึกษาจากพี่ๆ ทุกคนมากๆ เลยค่ะ
#น้ำค้างกลางป่าสน
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ CH.15 (06/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 07-09-2018 02:42:24
อ้าววว คุณฮิมมมมม กรีดร้องงงงแรงอ่า ไม่ๆๆๆๆ ทำไม อย่เพิ่งดิ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.16 (13/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 13-10-2018 23:14:41
               
chapter sixteen



               ทำไมเรื่องมันต้องมาเกิดตอนยังไม่ปิดเทอมกันนะ...

                กิมคิดตอนแบกงานมารอต่อแถวเข้าส่ง ก็ไฟนอลโปรเจคอยู่แล้ว จะให้ฝากไอ้น้ำมาส่งก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์ก็ไม่ให้อีก อ้างนู่นอ้างนี่สารพัดเพื่อจะได้ไม่ต้องมามหาลัยแต่สุดท้ายก็ต้องมาอยู่ดี

                เหตุผลที่ไม่อยากมาน่ะเหรอ...หลบใครบางคนอยู่น่ะสิ

                กิมถอนหายใจระหว่างที่เดินลงจากตึกไปโรงอาหาร เขาไปย้อมผมดำมาแล้ว หนึ่งเพราะผมบลอนด์มันดูแลยาก สองคือไม่อยากจะเป็นจุดเด่นของใครๆ อีกต่อไป วันนี้ขนาดฉีดสเปรย์มาแล้วยังไม่มั่นใจเลย อยากจะมีผ้าคลุมล่องหนเสียจริงๆ จะได้ไม่ต้องเจอใครที่ไม่อยากเจอ แต่คิดไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

                กิมเดินไปเข้าห้องน้ำเหมือนอย่าเคย วางแผนในหัวว่าจะซื้อข้าวในโรงอาหารร้านโปรดของตัวเองแล้วก็จะรีบชิ่งกลับไปกินที่หอเอา มือสะบัดน้ำแล้วปาดกับกางเกงนักศึกษาตัวเองระหว่างเดินออกมา ก่อนจะถูกกระชากไหล่จากด้านหลัง...

                “น้องกิม”

                กิมตาโตอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก จะใครอีกถ้าไม่ใช่พี่ทราย รู้หรอกว่ามีโอกาสเจอ แต่ไม่คิดว่าจะโดนกระชากไหล่ขนาดนี้ พี่ทรายแทบจะไม่เคยแตะตัวเขาก่อนถ้าเขาไม่อนุญาตเลยเถอะ

                กิมขืนตัวออก เขาเหนื่อยกับการอดนอนทำโปรเจคและการคิดนู่นคิดนี่เกินกว่าจะฟังคำอธิบายแล้ว จะเรียกว่าหนีปัญหาก็ใช่ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่...

                แต่กิมรู้ ว่าจริงๆ กิมก็แค่กลัว กลัวว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดกับของพี่ทราย เขาจะรับมันไม่ไหว

                “น้องกิม คุยกันก่อน” พี่ทรายเรียกเขาแล้วยังตามมาดึงแขนอีกรอบ คนตัวปลิวก็คือกิมทั้งนั้น ก็อย่างที่บอกว่าการเกิดมาแรงน้อยกว่ามันไม่แฟร์เลย ตอนพระเจ้าสร้างโลกนี้ขึ้นมา ได้คิดรึเปล่าว่าสมรรถภาพทางกายบ่งบอกอะไรได้มากมาย

                กิมไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าอะไร เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมและขืนแขนตัวเองกลับมา ไม่อยากจะให้เป็นจุดเด่นในโรงอาหารที่คนจับจ้องมา เลยไม่ได้โวยวายหรือบิดตัวออกจนเห็นได้ชัด เขาดื้อเงียบแบบที่ไอ้น้ำบอกจริงๆ นั่นแหละ แต่ข้างในที่ไอ้น้ำไม่รู้ก็คือเขาไม่ได้อยากให้มันเกิดอะไรแบบนี้เลย ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเป็นคนที่แสดงออกความรู้สึกเก่งกว่านี้ พูดอะไรสื่อได้เข้าใจมากกว่านี้ กิมไม่เก่งเลยสักอย่างในเรื่องการมีความสัมพันธ์ กับพ่อแม่ยังพูดแทบนับคำได้ เพราะการเล่าทุกอย่างมันยากเหลือเกิน

                “น้องกิม อย่าดื้อ”

                “ไม่ได้ดื้อ”

                กิมตอบเสียงเรียบ นึกโมโหที่พี่ทรายชอบหาว่าเขาดื้อ ไม่สิ ก็ทุกคนนั่นแหละที่หาว่าเขาดื้อ กิมไม่ได้ดื้อ กิมก็แค่ไม่อยากทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำ ทำไมต้องบังคับหรือฝืนใจด้วย กิมไม่เคยเข้าใจเวลาคนมาบังคับให้เขาพูดทุกอย่างหรือพูดสิ่งที่อยากจะเก็บไว้กับตัวเองเลย ทำไมพื้นที่ส่วนตัวของเขาต้องโดนคุกคามล่ะ

                “ก็น้องกิมหลบหน้าพี่”

                พี่ทรายขมวดคิ้ว เสียงเริ่มแข็ง ไม่ใช่โทนใจดีแบบที่กิมเคยได้รับ และกิมก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เพราะคนที่ควรจะโมโหก็คือกิมทั้งนั้น คนที่ควรจะไม่พอใจก็คือตัวกิม ทำไมจะต้องโดนอีกฝ่ายมาไม่พอใจใส่แทนด้วย

                “ก็เบื่อแล้ว” กิมเลือกที่จะพูดจาแบบนี้แทน ในหัวก็แค่สั่งมาให้พูดอะไรร้ายกาจกลับไปบ้าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ทรายจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าจะไม่ได้พูดอะไรเลย

                “น้องกิม” พี่ทรายเริ่มขึ้นเสียงใส่เขา และกิมไม่ชอบ ไม่ชอบเวลามีคนมาทำตัวแบบนี้ใส่ มาลงอารมณ์ มาบีบคั้น มาบังคับกัน ไม่ชอบเลย ยิ่งเป็นพี่ทรายยิ่งไม่ชอบ

                กิมเงียบใส่ จะเดินหนีอีก แต่ก็ยังโดนพี่ทรายบีบแขนไว้แน่นจนผิวเนื้อเริ่มขึ้นรอยแดงจางๆ โอเมก้าตัวขาวเลยเริ่มออกแรงและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปบ้าง แต่พี่ทรายก็ยังไม่ปล่อย แถมยังบีบแขนเขาแรงกว่าเดิม จนกิมขมดคิ้วเบ้หน้าด้วยความเจ็บ

                “พี่ทรายปล่อย” กิมเริ่มเหวี่ยงกลับบ้าง คนเริ่มหันมามองเพราะพวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงนั้นกันนานเกินไป แต่พี่ทรายก็ยิ่งบีบแขนเขาแน่นขึ้น

                “น้องกิมเป็นอะไร” พี่ทรายถามด้วยสีหน้าไม่พอใจที่กิมไม่เคยเห็น แต่ตอนนี้ไม่ว่าสีหน้าแบบไหนกิมก็ไม่อยากเห็นทั้งนั้น

                “พี่ทรายปล่อยดิวะ”

                กิมพูดด้วยระดับเสียงที่พยายามจะควบคุมไว้ไม่ให้ดังมาก แต่น้ำเสียงนั้นไม่พอใจและรำคาญอย่างชัดเจน กิมเหนื่อยเกินกว่าจะควบคุมสีหน้าแล้ว เหนื่อยเกินกว่าจะรับฟังอะไร

                ปัญหาจะไม่ลุกลามหรือต่อเติมตัวเองถ้าเราไม่เข้าไปแก้ไขมัน ปัญหาจะถูกลืมเลือนไปทีละน้อยหากเราทิ้งมันไว้ อาจจะใช้เวลามากโข หนึ่งเดือน หนึ่งร้อยวัน หนึ่งปี เวลามากโขอาจจะถูกใช้เพื่อกลบฝังปัญหา แต่นั่นไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับกิมตราบใดที่เขายังอยู่ในที่ของตัวเอง การรับมือของกลไกเวลานั่นช่างง่ายดาย อาจจะเจ็บหน่อยในครั้งนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร

                พี่ทรายยังคงไม่ปล่อย มือจับแขนเขาลากถูลู่ถูกังไปทางลานจอดรถด้านหลังโรงอาหาร กิมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกคนได้ก็ยิ่งโมโห โมโหตัวเองที่ไม่มีปัญญาจะต่อกรกับอัลฟ่า โมโหที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องพรรค์นี้ตั้งแต่แรก มือขาวจับข้อมือที่เอาแต่บีบเขาแน่นขึ้นมากัดเต็มฟันด้วยความไม่พอใจที่ระบายออกไม่ได้ แต่พี่ทรายดูจะไม่ได้สะทกสะท้านเลย นั่นยิ่งยั่วโทสะโอเมก้าอย่างกิมเข้าไปใหญ่ที่ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ

                สุดท้ายกิมก็โดนจับเข้าไปนั่งในรถจนได้ โอเมก้าตัวเล็กนั่งเงียบ กอดอก ไม่พูดไม่จา

                “น้องกิม อย่าเงียบใส่แบบนี้” พี่ทรายพูดเสียงดุ กิมหลุบตาลงมองข้อมือตัวเองที่โดนอีกฝ่ายบีบจนแดงไปหมดแล้วก็ยังเงียบต่อ

                “น้องกิม พี่ไม่ชอบให้ทำตัวแบบนี้”

                “แล้วพี่ทรายเป็นใครวะ ผมถึงต้องมานั่งบอก” กิมสวนกลับทันที ชักจะโมโหจัด ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งโมโห ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งอยากหนี

                “โกรธอะไรกันถึงต้องทำแบบนี้”

                “ทำอะไร ผมทำอะไร”

                กิมตอบยียวน ตายังคงมองตรงไปด้านหน้า ไม่ได้สนใจอัลฟ่าที่จ้องเขาอยู่ด้านฝั่งคนขับ กลิ่นพี่ทรายในรถยังคงตลบอบอวลเหมือนเคย และกิมเกลียด เกลียดที่ต้องมานั่งอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยอีกคนหลังจากที่หลีกเลี่ยงมาได้เป็นสัปดาห์

                “น้องกิม พี่ไปทำอะไรให้วะ?” พี่ทรายเริ่มขึ้นหางเสียงหยาบๆ เสียงเก็บอารมณ์ไม่อยู่ กิมรู้ว่าตัวเองกวนประสาทและทำตัวน่าโมโห แต่พี่ทรายก็ทำตัวน่าโมโหพอๆ กัน ไม่รู้ว่าใครกันที่เดือดดาลกว่า แต่กิมกำลังสนใจแค่ตัวเอง

                “พี่ทรายก็คิดเอาเองดิ” กิมตอบแบบกระชากเสียง

                “พี่ไม่ได้อ่านใจคนได้ปะวะน้องกิม”

                “ก็ไม่ต้องมายุ่งดิ ปล่อยผมไปได้ยัง น่ารำคาญ”

                “จู่ๆ จะเบื่อกันแบบนี้ก็ได้เหรอวะ พี่ทำอะไรผิด?”

                “เป็นพี่ทรายก็ผิดหมดอะ”

                “น้องกิม คุยกับพี่ดีๆ หน่อย”

                พี่ทรายแทบจะตะโกนอยู่แล้วแต่กิมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไม่เคยโดนใครตะคอกใส่ ไม่เคยต้องมานั่งตอบคำถามที่ตัวเองไม่ได้อยากตอบ แต่ตอนนี้เขากลับสะใจที่ได้กวนประสาทพี่ทรายไม่มากก็น้อย

                “เป็นไรวะ จะทำไรกับพี่ทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ? แล้วที่พี่คอยตามใจนี่ก็คือน่าเบื่อมากงั้นดิ?”

                “พี่ทรายปะวะที่เป็นคนทิ้งๆ ขว้างๆ!”

                กิมหมดความอดทนที่ประโยคนั้น ตะคอกเสียงดังกลับด้วยความโมโห นัยน์ตาร้อนจัด ไม่สิ กิมรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า พอรู้ตัวอีกทีก็มีหยาดน้ำหยดลงมาตามปรางแก้มแล้ว กิมใช้หลังมือปาดลวกๆ หลุบลงมองตักตัวเองให้ผมบังหน้า ไม่อยากให้อีกคนเห็นใบหน้าอ่อนแอของเขา

                อย่านะ อย่าทำร้ายกันอีกเลย 

            “น้องกิม?”

                พี่ทรายใช้เสียงโทนอ่อนลง แต่กิมเหนื่อยเหลือเกิน ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นไปตอบโต้อะไรอีก อัลฟ่าเลื่อนมือมาจับแขนเขาแต่กิมขืนออกอีกครั้ง

                “น้องกิม เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก่อน”

                กิมส่ายหน้า ก่อนจะพึมพำว่า “ไม่เอา เหนื่อยแล้ว” ในลำคอเสียงเบาก่อนจะสูดจมูก

                “น้องกิม พี่ขอโทษ จะไม่พูดแบบเมื่อกี้แล้ว” พี่ทรายกลับมาใช้เสียงโทนเดิมที่ใช้พูดกับเขา พยายามจะกล่อมให้เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วย แต่กิมยังคงส่ายหน้า มือปาดแก้มเงียบๆ ทำไมต้องใจดี ทำไมต้องมาขอโทษกัน ทำไมถึงไม่ปล่อยเขาไปสักที

                “โกรธอะไรบอกกันได้เปล่า?” พี่ทรายถามอีกครั้ง แต่อดทนกว่าเดิมโดยการไม่ขึ้นเสียงใส่เขา

                กิมเงียบ เอาแต่สูดจมูกก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง การจะพูดออกไปนั้นยากกว่าการลืมเสียอีก

                “โกรธที่พี่กลับไปก่อนเหรอ?”

                พี่ทรายหมายถึงวันที่เขาฮีท แต่เปล่าเลย กิมส่ายหน้า กิมไม่ได้เคืองเรื่องนั้น ใครจะมานอนกกเขาได้ทั้งวัน คนเรามันก็มีธุระต้องทำ

                “งั้นโกรธอะไร พี่ไม่ได้เจอเราเลย พี่ไปทำอะไร”

                “พี่ทรายจะเสียเวลามานั่งถามทำไม” กิมถามเสียงอู้อี้ “พี่ทรายถามแล้วได้อะไร”

                “ก็พี่แคร์น้องกิม พี่เลยต้องถามสิ” พี่ทรายตอบ “พี่จริงจังกับเรานะ”

                กิมส่ายหน้าแล้วก็ส่งเสียงเหอะในลำคอ ประโยคที่กลุ่มเพื่อนของเจ้าตัวพูดยังคงดังก้องในหัว คำพูดที่เหยียดเขาเหมือนหมูเหมือนหมา

                “พี่ทรายเหนื่อยไหม ที่ต้องมานั่งตามใจผม” กิมถาม “เหนื่อยไหมที่ต้องแกล้งว่าแคร์นักหนา เหนื่อยไหมที่ต้องรอเวลาจะได้เอาผมอย่างเดียว”

                “น้องกิม ทำไมพูดแบบนี้?” พี่ทรายขมวดคิ้วหนัก เหมือนแสร้งงงกับสิ่งที่เขาพูด

                “ได้ผมแล้วก็เลิกยุ่งกับผมได้แล้วดิ” กิมพูดเสียดสีต่อ ก่อนจะต้องยกฝ่ามือขึ้นมาปิดทั้งใบหน้า เพราะน้ำตาชักเริ่มจะหยดใหญ่ขึ้น นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่กิมไม่ชอบพูดทุกอย่างออกมาเป็นเสียง เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำความกลัวของตัวเองว่ามีอยู่จริง

                “น้องกิม ไปฟังอะไรจากใครมา?” พี่ทรายถามแล้วก็เอื้อมมาจับไหล่เขา ฝ่ามือเลื่อนไปที่กลุ่มผมก่อนจะวางไว้อย่างนั้น “ถ้าไปฟังอะไรจากคนอื่นมานี่หยุดคิดแบบนั้นเลยนะ”

                “ก็พี่ทราย...ก็แค่อยากได้ตัวผมปะวะ” กิมพูดแล้วก็หยุดกลืนก้อนสะอื้นลงไป “ก็พอแล้ว ไม่เอาแล้ว”

                “น้องกิม ไปฟังใครมาเนี่ย พี่จริงจังกับเรามากนะ”

                “คนจริงจังเขาก็ต้องมาร์กกันแล้วปะวะ”

                กิมพูดออกไปจนได้ พี่ทรายถึงกับชะงักมือที่กำลังลูบกลุ่มผมเขา

                “น้องกิม พี่ไม่มาร์กเพราะกลัวเราโกรธนะ พี่จริงจังพี่เลยต้องคิดดีๆ ว่าน้องกิมพร้อมไหม โอเคไหม พี่ไม่กล้าทำอะไรกะทันหันหรอกนะ” พี่ทรายค่อยๆ อธิบายเสียงอ่อน

                “ทำไมต้องคิด ผมยอมพี่ทรายเป็นคนแรกขนาดนี้ยังจะต้องคิดอีกเหรอ” กิมยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบเป็นครั้งแรก ก่อนจะมองหาทิชชู่ในรถเพื่อจะมาเช็ดหน้าตัวเอง นิ้วโป้งพี่ทรายเลื่อนมาปาดหยาดน้ำที่ยังคาแก้มเขาอยู่ออก แต่กิมเบี่ยงหน้าหลบ “จะเอาทิชชู่”

                “ทำไมโกรธพี่ขนาดนี้ พี่เป็นห่วงเราหมดอะ นี่พี่คิดเยอะมากเลยนะ” พี่ทรายถอนหายใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชู่จากเบาะหลังมาซับหน้าให้ แต่กิมแย่งออกมาเช็ดเอง

                “ก็กลัวพี่ฟันแล้วทิ้งปะวะ ถุงยางก็ไม่ใส่” กิมตอบแบบกระชากเสียงขุ่น

                “อันนั้นขอโทษจริงๆ มันฉุกเฉินอะ น้องกิมก็เอาแต่หาว่าพี่ช้า” พี่ทรายเสยผมขมวดคิ้วมุ่น “แล้วนี่ไปฟังอะไรใครมา?”

                “ได้ยินมา” กิมตอบแค่นั้น และหน้าพี่ทรายก็เหมือนจะกระจ่างขึ้นมาอีกนิด

                “ทำไมเชื่อคนอื่น ไม่เชื่อพี่”

                พี่ทรายถามแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนกิมต้องกระเถิบหนี แต่พื้นที่ในรถก็มีแค่นั้น กระเถิบอย่างไรก็ติดประตูรถอยู่ดี

                “พี่ทรายจะทำไร” กิมถามแล้วก็เหล่ตามอง

                “ก็ไหนบอกอยากให้พี่มาร์ก” พี่ทรายถามแล้วเลิกคิ้ว แต่กิมรีบชิงเอามือมาปิดแอ่งชีพจรตัวเองไว้ก่อน

                “ไม่เอา เจ็บ” กิมตอบเพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนตอนฮีท จะว่าไปช่วงฮีทนี่ก็น่ากลัว เหมือนความเจ็บทุกอย่างด้านชาไปหมด มีแค่ฮอร์โมนที่ขับเคลื่อน แต่พอเป็นตอนปกติแล้วกิมดันกลัวเจ็บเสียอย่างนั้น

                “ไม่เจ็บดิ เดี๋ยวกัดเบาๆ”

                “ตลกละ มาร์กกันใครเขากัดเบา ผมเรียนสุขะมานะเว่ย” กิมตอบเสียงขุ่น พี่ทรายแม่งพูดเหมือนหลอกเด็กว่าฉีดยาไม่เจ็บอะไรแบบนั้น

                “ก็เดี๋ยวน้องกิมก็หาว่าพี่ไม่จริงจังอีกอะ” พี่ทรายพูดคลอเคลียหายใจรดกับตรงหลังมือที่กิมเอาปิดคอไว้ “เนี่ยพี่รักเรามากนะ”

                กิมกัดปากแน่น ไม่คุ้นหูกับคำว่ารักจากปากอีกคน ใจที่เคยปิดกั้นตอนนี้อ่อนยวบราวขี้ผึ้งลนไฟ

                “ไม่ได้โกหกกันใช่ไหม”

                “จะโกหกทำไม รู้ไหมว่าอยากกัดจะตาย แต่ไม่กล้า” พี่ทรายพูดเสียงเจื่อน

                “ทำไมไม่กล้า”

                “ก็ดูน้องกิมดิ ดุจังอะตัวแค่นี้”

                “ไม่ได้ดุ” กิมเถียง ลดมือลงจากคอโดยไม่รู้ตัวเพราะโดนชวนคุย “ไม่ได้ดื้อด้วย ก็แค่ไม่อยากทำ ทำไมต้องบังคับ”

                “ก็เนี่ย เขาเรียกดื้อ”

                พี่ทรายหัวเราะเพราะกิมกลับมาพูดย้อนแบบเดิมแล้ว ก่อนจะทันได้เถียงอะไรกลับ โอเมก้าตัวขาวก็ต้องหลับตาปี๋เพราะพี่ทรายโน้มลงมาฝังแอ่งชีพจรเต็มเขี้ยว ลำคอหลุดส่งเสียงออกไปโดยไม่รู้ตัว มือเอื้อมไปข่วนแขนอีกคนไม่เบานักฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษากัน ไบโอเคมีในร่างกายแล่นเร็วเสียจนแทบจะรู้สึกได้ในมโนสำนึกว่าฮอร์โมนของตัวเองกำลังปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับฮอร์โมนของอัลฟ่า ความเจ็บตรงคอเสมือนการตีตราว่าจากนี้ไปจะมีเพียงพี่ทรายที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของตัวเขาทั้งหมดได้แต่เพียงผู้เดียว

                “เจ็บเปล่า?”

                กิมพยักหน้าแล้วปาดน้ำตาที่คลอหน่วยอีกรอบ พอรู้ว่าตัวเองมีคู่แล้วก็ยังตกใจอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนกิมตั้งตัวไม่ทันกับความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นและไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ พอได้สร้างก็หวาดกลัวการถล่ม แต่พอไม่มีก็หวาดกลัวว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นมาเลย...นี่แหละความสัมพันธ์

                “วันหลังมีอะไรบอกกันรู้เปล่า โอเมก้าของพี่เนี่ย”

                “จะพยายาม” กิมตอบเพราะตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนักกับไอ้ความปากหนักอธิบายไม่เก่งของตัวเอง

                “อย่าทำงี้อีกนะ พี่ใจหายหมด ร้องไห้ทีพี่ก็แพ้หมดแล้วเนี่ย”

                “อือ” กิมตอบรับในลำคอ มือยกขึ้นมาลูบรอยกัดตรงคอตัวเองก่อนจะสะดุ้งโหยงเพราะความเจ็บ

                “อย่าไปจับดิ” พี่ทรายดึงมือเขาออกแล้วถามต่อ “จะกลับหอใช่เปล่า เดี๋ยวไปส่ง”

                กิมพยักหน้า แต่ยังไม่ทันจะหันไปดึงเข็มขัดมาคาด ก็โดนดึงท้ายทอยเข้าไปรับจูบหนักๆ จากอีกฝ่ายใหม่ จูบครั้งนี้เนิ่นนานและเอาแต่ใจกว่าปกติที่พี่ทรายจะขอ

                “คิดถึงน้องกิม”

                อือ...เหมือนกัน

 



50%



              (ต่อ)


หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน CH.16 (13/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 13-10-2018 23:15:58



(ต่อ)


ฮิมนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา ทีวียังคงฉายภาพยนตร์เน็ทฟลิคที่เปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้รบกวนความคิดในหัวตัวเอง แต่ความจริงแล้วนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียงและภาพในทีวีไม่ได้เข้าหัวเขาเลยสักนิด ทุกอย่างกลายเป็นเพียงเสียงรบกวน ตาเพียงแต่จ้องมอง แต่สมองนั้นล่องลอยไปยังเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา

                เกลียดตัวเองไม่พอ ยังจะต้องมาพาลทำให้คนอื่นเกลียดเขาอีก น่าสมเพชจริงๆ

                ฮิมกดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง สุดท้ายก็กดเป็นสารคดีเผื่อจะโฟกัสกับรายละเอียดได้บ้าง แต่ก็เปล่า เขาจับใจความอะไรไม่ได้เลย

                เพราะกลัวทุกอย่าง ก็เลยเลือกที่จะออกมา

                กลัวความเปลี่ยนแปลง ทั้งของตัวเองและคุณน้ำค้าง กลัวจากอะไรหลายๆ อย่าง กลัวเหลือเกินว่าเวลาที่เราใช้มาร่วมกันมันจะยังสั้นเกินไป น้อยเกินไป

                ไม่มีอะไรจะการันตีได้เลยว่าพวกเขาทั้งคู่ สักวันหนึ่ง ธรรมชาติ กรรมพันธุ์ จะทำงานในแบบที่มันเป็น ทำให้พวกเขาแยกออกจากกัน ไม่มีจะอะไรมายืนยันได้เลยว่าคนเราจะเปลี่ยนไป คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทุกวัน ฮิมเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครจะเหมือนเดิมไปตลอดกาล

                ในคราแรก ฮิมไม่เคยกลัวอะไรเลยตอนที่ตัดสินใจคบกับเมฆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเลิกกันเพียงเพราะความถูกต้องของกฎธรรมชาติ คิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์จะช่วยผูกติดทุกอย่างไว้ด้วยกัน จนกระทั่งมันพิสูจน์ไว้แล้วครั้งหนึ่ง

แล้วทำไมครั้งที่สองมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ล่ะ?

ที่ไม่ได้บอกว่าลักษณ์กลิ่นเหมือนเขาก็เพราะไม่อยากให้คุณน้ำค้างเจอ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่จำเป็น แต่มันจำเป็นเลยต่างหาก จำเป็นที่จะต้องเก็บไปให้ห่าง ซ่อนอะไรก็ได้ที่อาจจะทำให้คนใกล้ตัวของเขาหนีหายไป

คำว่าแต่ แต่ แต่ ในหัวของฮิมเต็มไปหมด เมื่อมีทางที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องมีคำว่าแต่เพิ่มขึ้นมา ทั้งๆ ที่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนที่เห็นแก่ตัวและใจร้ายที่สุดก็คือตัวฮิมเอง

ทุกอย่างในตัวคุณน้ำค้างแทบจะเรียกได้ว่าดี คุณน้ำค้างสามารถหาเขาเจอในที่ที่คนอื่นอาจจะหาไม่เจอ คุณน้ำค้างเห็นเขาในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด และก็ยังคงอยู่ด้วย คุณน้ำค้างซื่อตรง อ่านออกง่าย จริงใจ ติดจะขี้อายไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยโกหก

และฮิมก็คิดว่าขนาดการตัดความสัมพันธ์เขายังสามารถทำได้ในไม่กี่ประโยค

แล้วถ้าเกิดเขาเจอโอเมก้าที่ถูกใจจริงๆ ขึ้นมาล่ะ เขาจะทำร้ายคุณน้ำค้างได้ด้วยประโยคสั้นๆ แบบวันนี้รึเปล่า

                ยาก ทุกอย่างของพวกเขาทั้งสองคนช่างยากไปหมด ไม่มีอะไรง่ายเลย ไม่มีอะไรที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะไม่เจ็บ ทางออกของความสัมพันธ์พวกเขาอยู่ตรงไหน ฮิมหาไม่เจอเลยในตอนนี้

 

                น้ำค้างเสียศูนย์ เขารู้สึกเหมือนว่าทุกครั้งที่หายใจคือการสั่งตัวเองให้โกยอากาศเข้าปอด

                น้ำค้างยอมรับว่าไม่เคยนึกถึงตอนนี้ ตอนที่หัวใจโดนกำจนแหลกคามือ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะดำดิ่งได้มากขนาดนี้ รสชาติของความเสียใจและผิดหวังในความรักมันเป็นแบบนี้สินะ

                ยอมรับว่าหลังจากที่กลับมานั่งอยู่กับตัวเองที่ห้องแล้วก็มีความขุ่นเคืองปนมาจางๆ ในสีเทาของความเศร้า ต้องดีแค่ไหน ต้องทำอย่างไร คุณฮิมถึงจะยอมให้เขารัก ทำไมอัลฟ่าอีกคนถึงมีโอกาสรักคุณฮิมได้ตั้งสองปีและทำลายมัน แล้วน้ำค้างล่ะ น้ำค้างต่อเติมให้คุณฮิมเป็นเหมือนเดิม แต่ทำไมถึงโดนผลักไส

                ทำไม ทำไม ทำไม ในหัวของน้ำค้างมีแต่คำนี้

                ก่อนจะเป็นจุดหนึ่งที่หัวใจอิ่มตัวและเริ่มยอมแพ้ ปอดสำลักอากาศและเริ่มกระตุก ใบหน้าเปียกชื้นทั้งๆ ที่ฝนไม่ตกในห้อง

                ก็แค่กลัวใช่ไหม ก็แค่กลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนเมฆใช่ไหม? ก็แค่กลัวว่าเขาจะหนีไปหาโอเมก้าคนอื่นใช่ไหม? ทำไมถึงได้ดูถูกเขาแบบนั้นล่ะ? ทำไมถึงได้ดูถูกรักคราแรกของเขาเช่นนั้น?

                น้ำค้างถามคำถามที่ไร้คำตอบ

                และเมื่อมาย้อนคิดอีกที คำถามเหล่านั้นช่างเห็นแก่ตัว เขากำลังบังคับเพื่อปล้นความเชื่อใจจากคนคนหนึ่ง ไม่ใช่การขอความเชื่อใจ

                เพราะไม่ใช่ความผิดของคุณฮิมเลย ที่จะหลีกเลี่ยงเขา

                ความเสี่ยงก็คือความเสี่ยง แม้เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์มันก็ยังถูกจัดเป็นความเสี่ยง

                เขาไม่เคยโกรธคุณฮิมลงเลยจริงๆ

                เพราะถ้าหากเลือกได้ ก็อยากจะให้คุณฮิมคบกับเมฆได้ยืนยาว ไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนั้น ไม่ต้องเจ็บปวด และคุณฮิมก็จะไม่ต้องเจอเขาก็ได้ ในฐานะมนุษย์บนโลกคนหนึ่งที่ไม่ควรมาเจอกับอะไรแบบนี้

                แต่น้ำค้างรู้ ว่าต่อให้คุณฮิมไม่ต้องมีเขา ไม่ต้องเจอเขา

                น้ำค้างก็จะหาป่าสนผืนเดียวของเขาเจอในที่สุดอยู่ดี

               

                “หายใจอยู่ปะวะ”

                “อยู่”

                น้ำค้างตอบกิมที่ตอนนี้นั่งกระดิกตีนแดกขนมอยู่ในห้องเขาอย่างน่าหมั่นไส้ กลิ่นเพื่อนตัวขาวมีกลิ่นอื่นปนมาด้วยโดยที่น้ำค้างเองก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องเรียกว่ากลิ่นอะไรดี รู้แค่ว่าหอม ก็คงไม่ต้องบอกว่ากลิ่นใคร นั่งไหล่กว้างอยู่บนโซฟา รอยมาร์กบนคอกิมก็พอทำให้น้ำค้างไม่สงสัยที่พี่ทรายจะมานั่งเฝ้าไอ้เพื่อนกวนประสาทนี่ที่มานั่งเล่นเกมห้องเขา

                ห้องกิมไม่มีทีวีและห้องเขามี ส่วนห้องพี่ทรายน่ะเหรอ รายนั้นบอกว่าจะเรียนจบแล้วเลยขนทีวีกลับบ้านไปเรียบร้อย สุดท้ายเลยมาจบที่ห้องเขาอย่างที่เห็น

                “อกหักครั้งแรกเจ็บมากปะวะ”

                “เจ็บพอๆ กับตอนมึงเหยียบโมกูหักตอนปีหนึ่ง”

                “ไม่อะ กูว่าเจ็บกว่านั้น กูว่าน่าจะเท่าๆ ตอนที่มึงปัดโมกูที่ต่อเสร็จแล้วหล่นจากโต๊ะต่อหน้าอาจารย์”

                น้ำค้างเงียบ เถียงไม่ออก เพราะคดีนั้นร้ายแรง และทำจริงๆ ไม่มีอะไรมาเอาคืนแล้ว

                “ละนี่คือมึงยอมแพ้?” กิมถามใหม่ พี่ทรายสไลด์ตัวลงมานั่งพื้นข้างๆ กิมที่ตอนนี้ยังคงไม่รู้ตัวและกินขนมพร้อมกับโฟกัสที่เขา

                “ทำเหมือนกูไปเปลี่ยนใจเขาได้เลย” น้ำค้างถอนหายใจ คนอย่างคุณฮิมน่ะ นอกจากจะอ่านไม่ออกแล้วน่าจะหักดิบเก่งน่าดู

                “มึง...เห้ย!” กิมกำลังจะพูดต่อแต่พี่ทรายเกี่ยวเอวขึ้นไปนั่งตักแล้วเรียบร้อย เอาซะเพื่อนตัวขาวดิ้นพล่านด้วยความอายสายตาเพื่อนแบบเขา

                “พี่ทราย ไม่อายมันบ้างเหรอวะ” กิมด่า “เนี่ย มันอกหักอยู่แล้วพี่ก็มาทำเงี้ย มารยาทพื้นฐานของสังคมในการถนอมจิตใจนะเว้ย”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ เช่นเดียวกับพี่ทรายเองก็กะพริบตาปริบๆ คือต้องจริงจังอะไรขนาดนั้นวะเพื่อน

                แต่สุดท้ายพี่ทรายก็ยอมปล่อยกิมลงไปนั่งเสียบหูฟังดูหนังอย่างสงบเสงี่ยมเงียบๆ อยู่บนโซฟาเช่นเดิม

                “ไอ้น้ำ มึงคิดดู มึงอยู่กับเขาตอนที่โหดเหี้ยที่สุด เขาจะไม่ใจอ่อนสักนิดเลยเหรอวะ”

                “ไม่รู้ว่ะ กูดูเขาไม่ออกเลย เขาคิดอะไร กลัวอะไร กูยังไม่กล้าเดาเลย เขาดูเป็นคนที่คิดมาแล้วถึงจะพูด” น้ำค้างบ่นยาวเหยียด อากาศรอบตัวกลับมาหนักอีกครั้ง

                “คือกูบอกตรงนี้เลยละกัน” กิมพูดน้ำเสียงจริงจัง และน้ำค้างก็รอตั้งใจฟัง

                “คือกูโง่เรื่องแบบนี้”

                สัด น้ำค้างด่ามันในใจหนึ่งที

                “แต่มึงยังไม่ได้ลองเปลี่ยนใจเขาเลยปะวะ”

                “กูลองแล้ว...”

                “กูไม่นับตอนที่มึงพยายามเถียงเขาตอนนั้น อันนั้นเขาไม่มีสติ แต่ตอนนี้เขาอาจจะมีสติขึ้นมาอีกนิด...มั้ง เออนั่นแหละ กูโง่ แต่ถ้าเป็นกู กูจะหน้าด้านไปขอโอกาสเขาใหม่แบบโง่ๆ อย่างงี้เนี่ยแหละ”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ มองหน้ากิมที่เคี้ยวขนมกรุบๆ เหมือนว่าที่พูดมายาวเหยียดนั่นคือเหมือนเล่าว่าวันนี้ไปดูหนังเรื่องอะไรมา เรื่องเป็นไง จบ คือง่ายๆ ขนาดนี้เลยน่ะนะเพื่อน

                “พี่ทรายชอบคนโง่เหรอวะ”

                “ไม่เคยเชื่อว่าคนรวยๆ ชอบคนโง่ๆ จนพี่ทรายมาร์กกูนี่แหละ”

                “พี่ทรายรวยเหรอวะ”

                “ถ้าบอกว่าบ้านเป็นสุลต่านกูก็เชื่อ เอาเป็นว่าลูกกูจะโตไปการศึกษาดีกว่ากูแน่นอน”

                บทสนทนาทั้งหมด แน่นอนว่าพี่ทรายไม่ได้ยิน เนื่องจากนั่งหัวเราะไหล่สั่นกับซีรี่ย์ในจอมือถือตัวเองอยู่

                “กิม มึงว่าถ้ากูทำตัวโง่ๆ คุณฮิมเขาจะรักกูบ้างไหม”

                “มึงยังทำตัวฉลาดอยู่ตอนนี้ เพราะมึงไม่ไปหาเขาสักที”

                “แล้วถ้ากูโดนไล่กลับมาอะ”

                “ก็เลือกเอาว่าจะโง่ต่อหรือจะฉลาดแล้วไปหาโอเมก้ากลิ่นเหม็นเขียวคนอื่นมาเป็นตัวตายตัวแทน”

                สรุปมันเชียร์กูหรือมันประชดกูวะ? น้ำค้างคิดในใจอย่างงุนงง

               

                แต่คืนนั้นหลังจากที่กิมกลับไปพร้อมกับพี่ทราย น้ำค้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณฮิม

                และด้วยการแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ๆ น้ำค้างก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะบล็อกเบอร์หรือปิดเครื่อง ซึ่งน้ำค้างก็ยังคงดันทุรังกดโทรใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

                รู้ว่าคุณฮิมจะไม่รับ แต่ก็ยังกดโทร

                [ฮัลโหลค่ะ]

                “เห้ย!”

                น้ำค้างถึงกับสะดุ้งปล่อยโทรศัพท์ร่วงจากมือลงบนเตียง เขากดเปิดลำโพงและนั่งขัดสมาธิต่อหน้าโทรศัพท์อย่างกล้าๆ กลัวๆ

                ไอ้น้ำเอ๊ย... ทำตัวเหมือนตอนคุยกับคุณฮิมครั้งแรกไม่มีผิดเพี้ยน

                [เอ่อ ฮิมไม่ได้ทำอะไรเละเทะทิ้งไว้ที่ห้องใช่ไหมคะ? หรือว่าลืมจ่ายค่าทำความสะอาดอะไรรึเปล่า?]

                “...”

                [ฮัลโหลค่ะ?]

                “เปล่าครับ ผม...เพื่อนคุณฮิมเอง เขาเมมไว้เอ่อ เป็นฉายาน่ะครับ”

                [อ๋า แบบนี้นี่เอง นี่แม่ฮิมเองค่ะ พอดีเขากลับมาบ้านแล้วเปิดโหมดเครื่องบินทิ้งไว้ เข้าห้องไปนอนยาวเลยไม่รู้ไม่สบายรึเปล่า]

                “อ๋อ...โอเคครับ แล้วคุณฮิมเขา...หลับไปนานรึยังครับ?” น้ำค้างอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ นอนยาวเลยเหรอ จะเป็นไข้รึเปล่านะ? จะไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? โอซีดีเขามันชักจะกำเริบเสียแล้วสิ ไอ้โรคจุกจิกอยากจะตามไปดูแลไปเช็คว่าเป็นยังไงบ้างนี่มันไม่เคยจะหายไปสักทีกับคนใกล้ตัว

                [เอาจริงๆ แม่คิดว่าเอ่อ...เขาน่าจะเข้าช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนน่ะค่ะ]

                ฮอร์โมนเปลี่ยน...ช่วงรัท

                [เพราะว่าตั้งแต่กลับมากลิ่นแรงมากเลย คิดว่าก็คงเอ่อ...นั่นแหละค่ะ]

                “อ่า อย่าลืมให้เขากินยา ทานน้ำเยอะๆ นะครับ ผมเองก็เป็นอัลฟ่า เข้าใจว่าช่วงเอ่อ...ฮอร์โมนเปลี่ยน มัน...ค่อนข้างจะ...เอ่อ อึดอัดครับ”

                [โอ้ มันแย่มากไหมคะ เพราะฮิมเขาไม่ได้ทานยาเลย ปกติเขามีคนมานอนเป็นเพื่อนด้วย แต่คราวนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมทานยาอยู่ดี]

                “ลองบังคับให้เขาทานได้ไหมครับ เพราะไม่งั้นมันจะทรมานถ้าไม่ได้ทานยา” น้ำค้างเริ่มกังวลจนออกทางน้ำเสียง ทำไมคุณฮิมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะ เขาว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นคนหักดิบเก่ง

                [เดี๋ยวจะลองดูนะคะ เอ่อ...รบกวนอย่าเพิ่งวางได้ไหมคะ เผื่อให้คุณแม่บ้านญี่ปุ่นลองคุยกับเขาดู เผื่อเขาจะฟังเพื่อนมากกว่าฟังแม่]

                น้ำค้างถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่แต่ก็รับปาก สำนวนน้ำเสียงนุ่มนิ่มขนาดนี้ ไม่ใช่แม่ใหญ่แน่นอน ท่าทางจะเป็นแม่เล็ก ลองให้แม่ใหญ่มารับสายสิ มีหวังเขาจะโดนด่าก่อนด้วยซ้ำมั้งนั่น

                [ฮิม...ทานยาหน่อยไม่ได้เหรอคะ...ไม่เอา...แต่เพื่อนฮิมบอกมันจะเจ็บนะ...เพื่อนคนไหน...คุณแม่บ้านญี่ปุ่นที่ฮิมเมมไว้ แม่ไม่รู้ว่า...กุกกัก กุกกัก อ้าว ฮิม]

                น้ำค้างได้ยินบทสนทนาตะโกนคุยจนกระทั่งตอนที่แม่เล็กบอกว่าเป็นเขา โทรศัพท์ถึงได้เป็นเสียงกุกกักและสลับกับเสียงปิดประตูดังฉับ น้ำค้างถือค้างแนบหูไว้อยู่อย่างนั้น คิดในใจว่าแม่เล็กคงโดนไล่ออกมาและอีกสักพักเขาจะต้องโดนตัดสายแน่นอน

                [คุณน้ำค้าง...]

                น้ำค้างใจกระตุก เขานั่งลงกับเตียง ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไป กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วคุณฮิมจะไม่ให้โอกาสอีก กลัวว่าจะพูดอะไรผิด กลัว กลัวเหลือเกิน

                แต่ก็ดีเหลือเกินที่ได้ยินเสียงคุณฮิมอีก

                “คุณฮิม กินยาเถอะ” น้ำค้างพูดแค่นั้น เขาไม่รู้ว่ามีสิทธิ์จะเป็นห่วงไหม แต่ก็พูดออกไปแล้ว

                [คุณน้ำค้าง พูดอีก...]

                “ครับ?” น้ำค้างถามเหมือนไม่แน่ใจ เพราะเสียงคุณฮิมแผ่วกระเส่าและออกจะติดลมๆ มากกว่าปกติ

                [พูดอีก...อยากได้ยินเสียงคุณน้ำค้าง]

                จนกระทั่งน้ำค้างได้ยินเสียงเฉอะแฉะมาจากอีกฝั่งนั่นแหละ อัลฟ่ากลิ่นผ้าสะอาดถึงกับผงะหน้าร้อนวาบไปทั้งหน้า คุณฮิมทำอะไรอยู่ทำไมเขาจะไม่รู้ ในเมื่อทั้งชีวิตเขาก็ทำให้ตัวเองมาตลอด

                “คุณฮิม ทำไม...เอ่อ ไม่กินยา” น้ำค้างพูดเสียงเบาโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะหรี่เสียงทำไมทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่คนเดียว แต่มันก็น่าอายนี่ แล้วต้องพูดอะไรล่ะ น้ำค้างหัวสมองว่างเปล่าไปหมด

                [ไม่เอา...อย่าเงียบสิคุณน้ำค้าง]

                “ครับ? แล้วผมต้องพูดอะไรดี คือ...ผมควรวางสายไหม” น้ำค้างไม่อยากจะวางสายเลย แต่ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงในสถานการณ์นี้ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณฮิมอยากคุยกับเขาไหม

                [อย่าวาง] คุณฮิมพูดกระซิบสั้นๆ เสียงอย่างอื่นดูจะดังมากกว่าเสียงพูดคุณฮิมด้วยซ้ำ และน้ำค้างไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเองก็ชักจะตามไปด้วยแล้ว สาบานเลยว่าถ้าคุณฮิมอยู่ตรงหน้า เขาไม่อยู่เฉยๆ แน่ๆ

                “แต่คุณฮิมโกรธผมอยู่” น้ำค้างพูดต่ออย่างอึดอัดปนวาบหวามแปลกๆ “คุณฮิมไม่อยากเจอผมแล้ว ผมก็ดันโทรมา ผมนิสัยไม่ดี”

                [ไม่ได้โกรธ...อือ อยากเจอ แต่ไม่เอา...กลัว]

                “กลัวอะไร” น้ำค้างเม้มปากถาม เสียงเฉอะแฉะจากปลายสายเร็วขึ้นเรื่อยๆ น้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมพูดโดยไร้เล่ห์เหลี่ยม

                [ทุกอย่าง...เลย]

                เสียงทั้งหมดหยุดลง เหลือแค่เพียงเสียงผ้าปูที่นอนและเสียงหอบหายใจของคุณฮิมที่ทิ้งไว้ ก่อนที่สายจะถูกตัดไป

                น้ำค้างมองโทรศัพท์ด้วยความไม่เข้าใจ จนกระทั่งแจ้งเตือนไลน์เด้งเป็นข้อความจากคุณฮิม...เป็นโลเคชั่นส่งมา

                เขายังมีโอกาสอยู่ใช่รึเปล่า เขายังจะสามารถหลับตาแสร้งเป็นคนโง่ต่อได้ใช่ไหม

               

 

tbc.






หายไปนานกว่าทุกครั้งเลยเพราะสอบมิดเทอมค่ะ ตอนไฟนอลก็คงหายไปประมาณนี้ ขอโทษจริงๆ นะคะที่ให้รอ

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ



 

 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

               
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ CH.16 (13/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 06-12-2018 04:26:36
งุ้ยยยย มาต่อเร็วๆน้าาาา เรารออ่านอยู่ สู้ๆในทุกๆเรื่องเลยเด้อ :impress2:
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ CH.16 (13/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 06-12-2018 11:55:45
สนุกมาก ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน ☁ CH.17 (11/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 10-12-2018 23:59:07
chapter seventeen



               น้ำค้างเปิดประตูออกมาจากรถแท็กซี่ เป็นอีกครั้งที่ต้องมาในที่ที่แปลกตาจากโลเคชั่นที่อีกฝ่ายส่งมาในไลน์ บ้านสองชั้นตรงหน้าพร้อมกับสนามหญ้าและรั้วล้อมเตี้ยๆ ทำเอาน้ำค้างกลืนน้ำลายอึกนึง

               คุณฮิมจะหลอกเขามากระทืบรึเปล่า...

               หรืออาจจะหลอกมาให้แม่ใหญ่กระทืบต่อทอดที่สอง...

               แค่คิดก็ต้องเอามือลูบแขน สภาพน้ำค้างตอนนี้มันเหยื่อโดนตกแท้ๆ

               น้ำค้างมองหากริ่งที่ประตูรั้วก่อนจะ...

               โฮ่ง! โฮ่ง!

               ผงะถอยหลังออกมาสามก้าวเพราะหมาร็อตไวเลอร์ตัวบะเฮ่งที่ใช้ขาหน้ากระโดดเกาะรั้วและแยกเขี้ยวขู่ใส่เขาอยู่

               รู้สึกเหมือนจะโดนหลอกมากระทืบจริงๆ ก็คราวนี้ ใครสั่งใครสอนให้เลี้ยงร็อตไวเลอร์ในที่เปิดและรั้วเตี้ยขนาดนี้! น้ำค้างทำหน้าเหยเก เพราะหนึ่งเขาแพ้ขนหมา และสองเขากลัวหมา...มาก

               วันนี้อาจจะโดนแม่ใหญ่จับเขาโยนเป็นอาหารเจ้าหมาตัวนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ แค่เสียงกัดกรามดังกรับเมื่อครู่ก็พอจะรู้แรงงับแล้ว อยากจะยกมือไหว้หนึ่งทีแล้วเรียกแกร๊บให้มารับเขากลับคอนโดเหมือนเดิม

               “แสนดี มานี่ คุณเขากลัวหมดแล้ว”

               สาบานว่านั่นชื่อหมา... คุณน้ำค้างมองผู้หญิงที่อายุและตัวพอๆ กับแม่ใหญ่แต่โทนเสียงนุ่มนิ่มและสุภาพกว่าเดินออกมาจากประตูบ้าน แถมยังใส่กระโปรงลายดอกไม้ยาวเหยียดอีกต่างหาก เรียบร้อยทุกระเบียดนิ้วจริงๆ เสียด้วย ต่างจากแม่ใหญ่แทบจะคนละขั้วเลยก็ว่าได้

               “เพื่อนฮิมใช่ไหมคะ? เข้ามาก่อนเลย น้องแสนดีเขาไม่กัดหรอกค่ะ รายนี้ขี้ตกใจ เห่าตลอดเวลาคนมา เลยไม่ได้ติดกริ่งเอาไว้”

               น้ำค้างพยักหน้าตอบครับเบาๆ แต่ในใจมีแต่คำถามผุดขึ้นมาว่านี่มันใช่วิธีแก้ปัญหาเรอะ!?

               “ฮิมนอนเงียบเลยทีนี้ สงสัยพอรู้ว่าเพื่อนมาแล้วจะใจชื้น” แม่เล็กยิ้มให้เหมือนเขาเป็นหมออย่างไรอย่างนั้น เขาจะโดนต่อยเอาล่ะสิไม่ว่า โดนโกรธเสียขนาดนั้นยังจะหน้าโง่ถ่อมาถึงตรงนี้อีกต่างหาก

               พอจะเข้าใจปัญหาทะเลาะกันจุกจิกของคู่รักรอบตัวที่ไม่มีเหตุผลขึ้นมาเสียบ้างแล้ว คนนอกจะมองด้วยเหตุและผลอย่างไรก็ไม่เข้าใจเท่าทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันเองหรอก

               เพราะอย่างนี้ความรักถึงได้เหมือนกับน้ำมันในคราเดียวกันนี่เอง

               น้ำค้างเดินเข้ามาโดยต้องเรียกว่าเขย่งเท้าเดิน สัญชาตญาณความกลัวอะไรแล้วต้องมันไม่เลิกว่ามันจะอยู่ที่เดิมแสดงออกมาเต็มที่ และไอ้เจ้าแสนดีก็นั่งอยู่ข้างแม่เล็กอย่างว่าง่ายจริงๆ ถึงจะมองตามเขาทุกฝีก้าวก็เถอะ นี่ถ้าเขาวิ่งเข้าบ้านไปมันจะวิ่งไล่ตามมางับไหม...

               “ฮิมเขานอนอยู่ชั้นสองห้องในสุดเลยค่ะ ประตูไม้สีขาว เข้าไปเลยนะคะ แม่ไม่กวน”

               ถ้าเขาตะโกนช่วยด้วยก็คือแม่เล็กได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่าเขาจะโดนลูกแม่กระทืบแล้วครับ...น้ำค้างยิ้มแห้ง

               “แม่เล็กมียาไหมครับ ผมรบกวนขอยาพร้อมกับน้ำแก้วนึงทีครับ” น้ำค้างถาม เป้าประสงค์คือไม่ว่าคุณฮิมจะกระทืบเขายังไงก็จะต้องจับกินยาให้ได้ ดื้อไม่กินยามันทรมานตัวเองเสียเปล่า

               “อ้อ มีค่ะๆ เดี๋ยวไปเตรียมให้แป๊บนึงนะคะ ดีจัง แม่นี่บังคับเท่าไหร่ฮิมก็ไม่ทานเลย ต้องให้แม่ใหญ่มา”

               “แม่ใหญ่เขาสั่งแล้วคุณฮิมไม่ดื้อเหรอครับ?”

               “เปล่าค่ะ แม่ใหญ่จับกรอกปากเม็ดเปล่าๆ เลย”

               ครอบครัวนี้คือเลี้ยงด้วยกำลังเหรอ... น้ำค้างพอจะนึกภาพออก เพราะเคยสัมผัสแม่ใหญ่มาแล้ว ว่าแต่แม่เล็กตอนโดนจีบนี่คือใช่ฉากลักพาตัวแล้วขู่ว่าถ้าไม่ยอมแต่งงานด้วยจะไม่ยอมปล่อยไปแบบในจำเลยรักรึเปล่าน่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

               ถอดรองเท้าวางชิด ก่อนจะเดินค้อมหัวเป็นเชิงขออนุญาตเดินขึ้นไปชั้นสอง น้ำค้างกำยาไว้ในมือพร้อมกับน้ำอีกแก้วนึงเดินวนบันไดขึ้นไปแล้วก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนที่สายตามองเห็นประตูบานสีขาวด้านในสุดของชั้นสอง

               น้ำค้างทำใจดีสู้เสือเคาะประตู แต่รอสักพักก็ยังไม่มีคนขาน แถมยังเงียบฉี่อีกต่างหาก ทำเอาคนเคาะอย่างเขาขมวดคิ้ว

 

cut scene


ลิ้งบนไบโอทวิตเตอร์ @hopeniverse_ ค่ะ



คุณฮิมดูไม่ใส่ใจกับอะไรที่เลอะเทอะเลย แต่น้ำค้างเหมือนเป็นโรคโอซีดีกำเริบ ยกหลังมือตัวเองขึ้นปาดคราบตัวเองออกจากใบหน้าอีกคนอย่างร้อนรน แถมขายังลุกเดินไปห้องน้ำจนสะดุดกางเกงที่โดนร่นไปติดข้อขาไว้ยังไม่ได้ถอดออกจนต้องหยุดเดินแล้วแงะกางเกงออกก่อนอีกต่างหาก

               น้ำค้างมองหาแปรงสีฟันกับยาสีฟันในห้องน้ำคุณฮิมอย่างไม่คุ้นหูคุ้นตา มือหยิบจับเงอะงะไปหมด แต่สุดท้ายก็หาเจอ แล้วหยิบแก้วน้ำแก้วเดิมที่น้ำยังไม่พร่องไปจากเดิมตั้งแต่ตอนเข้ามาเลยเดินมาหาคุณฮิมที่นอนแผ่เอาหน้าซุกกับหมอนที่หัวเตียงไปเรียบร้อยแล้ว

               กางเกงก็ไม่ใส่ ผ้าก็ไม่ห่ม แถมยังไม่ล้างหน้าแปรงฟันอีก

               น้ำค้างไม่ปล่อยให้นอนทั้งอย่างนี้หรอกนะ

               “คุณฮิม ลุกมาแปรงฟัน”

               “สั่งอีกแล้ว กลับมาเป็นคุณแม่บ้านญี่ปุ่นแล้วเหรอครับ แม่คนจู้จี้” คุณฮิมเรียกเขาด้วยสรรพนามแสลงหูจนน้ำค้างต้องขมวดคิ้วแน่น

               “เรียกอย่างกับผมเป็นผู้หญิง”

               “ก็นี่ไง” คุณฮิมกระเด้งตัวขึ้นมากะทันหันก่อนจะเอื้อมแขนมาหยิกเนื้อหน้าอกเขา “นมก็มี”

               “คุณฮิม!”

               น้ำค้างถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่ายตอนที่คุณฮิมหงายหลังลงไปหัวเราะที่แกล้งเขาได้อีก ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมาฉกแปรงสีฟันในมือเขามายัดเข้าปากแล้วยอมแปรงแต่โดยดี ไม่วายใช้นิ้วชี้ป้ายฟองที่ขอบมุมปากมาป้ายแก้มเขาจนน้ำค้างต้องใช้หลังมือปาดทิ้ง

               “เล่นอะไรสกปรกคุณฮิม”

               ป่าสนของเขาหัวเราะทั้งๆ ที่ฟองเต็มปากก่อนจะฉกแก้วน้ำในมือเขาแรงๆ จงใจให้มันกระฉอกใส่เสื้อเขาจนน้ำค้างต้องเสยผมอีกรอบ บทจะซนก็ซน บทจะดื้อก็ดื้อ คุณฮิมนี่น้า มันน่าตีนัก

               น้ำค้างเห็นอีกคนเดินไปบ้วนปาก ก็เดินหาทิชชู่เปียกทั่วห้อง จะเอามาเช็ดคราบต่างๆ ที่มันเลอะเทอะ แต่เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนเริ่มจะงงแล้วว่าห้องอะไรทำไมไม่มีทิชชู่เปียกเนี่ย?

               “พอแล้ว คุณแม่บ้าน เดินหาอะไรเนี่ย” คุณฮิมเดินมาซ้อนหลังเขาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมยังกอดเอวเขาไปอีก

               “ทิชชู่เปียกครับ”

               “ของพรรค์นั้น ไม่มีหรอกนะ”

               น้ำค้างกุมขมับ ปักหมุดไว้ในใจว่าซื้อของคราวหน้า เขาจะซื้อทิชชู่เปียกแพ็กนึงมาให้คุณฮิมด้วย

               “ต้องจ่ายเท่าไหร่เนี่ย ทำความสะอาดหมดจดขนาดนี้”

               “จ่ายเป็นค่าซื้อทิชชู่เปียกก็ได้ครับ”

               “เอาจริงเหรอ” คุณฮิมเลิกคิ้วขำๆ แล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงให้ลงมานอนแผ่บนเตียงด้วยกัน “กอดผมหน่อย คุณน้ำค้าง”

               อ้อนขนาดนี้จะหายโกรธกันหรือยังนะ

               น้ำค้างวาดแขนกอดอีกคน ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมอีกฝ่าย กลิ่นเริ่มอ่อนลงจากยาที่เริ่มออกฤทธิ์รวมถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอชิดหน้าอกเขา น้ำค้างมองเห็นแพขนตา ปลายจมูกโด่ง ปรางแก้ม และลักยิ้มยามที่อีกฝ่ายเม้มปากได้จากมุมนี้ มือเขาโดนคนในอ้อมกอดหยิบฉวยไปเล่นข้อนิ้ว ความเงียบเข้าครอบงำระหว่างพวกเขาอีกครั้ง

               แต่คราวนี้ไม่ใช่ความอึดอัดในบรรยากาศแล้ว

               “คุณฮิม”

               “...หือ”

               “ตอนนี้เรา...ดีกันแล้วใช่ไหม”

               “อือ ดีกันแล้วดิ” คุณฮิมพูดแล้วก็เอานิ้วก้อยเกี่ยวกับนิ้วก้อยเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะผละออก “ขอโทษที่ผมเห็นแก่ตัว”

               “คุณฮิมจะเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”

               น้ำค้างตอบ เขาเข้าใจเพราะเข้าใจจริงๆ เข้าใจว่าทำไมความเห็นแก่ตัวของคุณฮิมจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่เรื่องร้ายแรง คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเอาตัวเองเป็นที่หนึ่งมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว

               “จะพยายามไม่คิดเองเออเองแล้ว”

               “ไม่พูดจาลามกด้วยจะดีมาก”

               “เอ๊ะ คุณน้ำค้างนี่เป็นอะไรกับคำพูดคำจาผมนักหนา” คุณฮิมจิ๊ปากถามไม่จริงจังก่อนจะกัดข้อมือเขาไปจนน้ำค้างร้องโอ๊ยเป็นพิธี

               “กัดจนช้ำไปหมดแล้วคุณฮิม”

               “ไว้คุณน้ำค้างรัทบ้างก็จะรู้ว่าทำไมมันอยากกัดนักหนา”

               น้ำค้างไม่เถียง เพราะเขาก็ยังไม่เคยรัท เลยพูดอะไรเยอะไม่ได้ จมูกยังคงฝังลงกับกลุ่มผมแล้วหลับตาลงอย่างนั้น พึมพำเบาๆ ว่าขอบคุณที่ยังยอมให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตอีกฝ่าย...

 



tbc.






คุณน้ำค้างประหนึ่งเสียสาว

ขอบคุณที่ติดตามและรอเสมอนะคะ เราหายไปนานกว่ารอบอื่นๆ เลย U_U

ใกล้จะจบแล้วค่ะอีกประมาณสองสามตอน สัญญาว่าจะให้จบก่อนปีนี้ค่า





 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ CH.17 (11/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 19-12-2018 23:14:29
กลับมาแล้วววว
คุณน้ำค้างเสียเวอร์จินให้ฮิมแล้วสิน้าา  :hao7: :hao7:

ปล.เล้าลงcut scene ได้นะจะได้อ่านไม่สะดุด
หัวข้อ: Re: ✿ pine trees and clean laundry ✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse ☁ epilogue
เริ่มหัวข้อโดย: hopeniverse ที่ 24-12-2018 23:27:16
epilogue

               เสียงหมาเห่าจากชั้นล่างดังแข่งกันจนน้ำค้างสะดุ้งตื่น เพิ่งรู้ว่าหลับไป แต่ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปนานเท่าไหร่ คุณฮิมยังคงไม่ตื่น และนอนตะแคงข้างเข้าอยู่ ก็แหงล่ะ รัทขนาดนั้น แถมกินยาเข้าไปอีก คงจะตื่นง่ายๆ หรอก

               น้ำค้างย่องออกมา ก่อนจะแต่งตัวให้เรียบร้อย ตั้งใจจะให้คุณฮิมพักผ่อน ถึงจะอยากอยู่ดูอาการแล้วก็ตื่นมาคุยกันสักหน่อยก่อนก็เถอะ แต่เพราะอีกฝ่ายยังไม่ตื่น ก็เลยต้องเก็บไว้คราวหน้าแทน

               น้ำค้างเปิดประตูตั้งใจจะไปลาแม่เล็กแล้วกลับบ้านตัวเอง...

               “อ้าว น้ำหวาน แล้วไอ้ลูกชายฉันล่ะ”

               แม่ใหญ่ที่อยู่หน้าประตูพอดีทำเอาน้ำค้างยกมือไหว้แทบไม่ทันจนมือแทบจะพันกัน ไม่รู้ว่าทำหน้าแบบไหนออกไป แต่ก็นั่นแหละ ไหนแม่เล็กบอกว่าแม่ใหญ่ไม่อยู่บ้านไง!?

               “เอ่อ...คุณฮิมนอนอยู่ในห้องครับ”

               “เป็นไง ไอ้ลูกชายมันเอาไปกี่น้ำ”

               “เดี๋ยวครับ! พูดตรงๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ!”

               จะพูดจาลามกเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้นะโว้ย น้ำค้างเอามือปิดหน้าอย่างจนปัญญา ทนไม่ได้กับการพูดจาแบบนี้ออกปากเสียงดัง ไม่รู้สึกกระดากปากกันบ้างเหรอที่ต้องพูดอะไรแบบนี้เหมือนถามว่า กินข้าวรึยัง อากาศดีเนอะ

               “ทำไม นี่บ้านฉัน อาณาบริเวณฉัน เคหะสถานฉัน ฉันจะพูดอะไรก็ได้ แกมีปัญหาอะไรกับคำพูดฉันฮะ น้ำหวาน”

               “ไม่มีครับ...”

               น้ำค้างยอมแพ้และตัดสินใจว่าในบ้านนี้เขาจะยอมชื่อน้ำหวานก็ได้

               “แล้วนี่จะไปไหน”

               “กลับบ้านครับ”

               “ใครสั่งให้กลับ อยู่กินข้าวก่อน ไอ้ลูกชายมันยังไม่ตื่น มันตื่นมาไม่เจอหน้าแกแล้วมันแหกปากลั่นบ้านทำยังไง”

               น้ำค้างเลิกคิ้วยิ้มแห้ง อย่างคุณฮิมน่ะเหรอตื่นมาแหกปากลั่นบ้านร้องหาเขา แค่ไลน์มาบอกว่ามาหาหน่อยแค่นี้ต่อให้เขาอยู่ปัตตานีเขาก็จะนั่งเครื่องถ่อมากรุงเทพฯ เถอะ

               น้ำค้างเดินตามแม่ใหญ่ไปที่ครัวอย่างเถียงไม่ได้ เจอแม่เล็กนั่งดูซีรี่ย์เกาหลีอยู่ในจอโทรศัพท์แล้วก็นึกไปถึงคุณหญิงแม่ตัวเองที่ติดซีรี่ย์งอมแงมไม่แพ้กัน

               “แม่เล็ก ไปเลี้ยงข้าวไอ้โบ้ แสนดี กับมีโชคยัง”

               “เลี้ยงแล้วจ้าแม่ใหญ่ ไอ้โบ้เดี๋ยวนี้แรงดีมากเลย ยังไม่ทันเปิดกรงวางชามข้าวก็ชนประตูจนประตูกรงพังอีกแล้ว แม่ใหญ่อย่าลืมซ่อมให้หน่อยน้า”

               “เออ ไม่ลืม ไว้ทำให้”

               “...”

               บทสนทนาน่ากลัวนี่มันอะไรกัน... หมา หมา แล้วก็หมาในบ้านนี้ทำไมมันดูไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ประตูกรงพังอย่างนี้ก็คือจะหลุดออกมาหัดเขาหัวขาดเมื่อไหร่ก็ได้น่ะสิ...ไอ้น้ำ

               “ขอโทษนะครับ แต่ขอถามหน่อยว่าหมาบ้านนี้พันธุ์ร็อตไวเลอร์หมดเลยรึเปล่าครับ?”

               “ใช่ค่ะ แม่ใหญ่เขาไปเลือกซื้อมาเองเลยตั้งแต่ยังตัวน้อยๆ สามตัว ตอนนี้ตัวเบ้อเริ่มเลย แรงเยอะมาก คุณน้ำค้างอยากลองเล่นด้วยไหมคะ?”

               “ไม่ครับ ไม่เป็นไร” น้ำค้างตอบด้วยระบบอัตโนมัติทันที

               “แล้วกับข้าวไปไหนหมดอะแม่เล็ก”

               “อยู่ในตู้เย็นจ้า รอฮิมตื่นแล้วค่อยเอาออกมาเวฟกินด้วยกัน”

               “ดี ไอ้น้ำหวาน แกนั่ง คุยกันหน่อย” แม่ใหญ่สั่งเขาแล้วลากเก้าอี้ไม้ข้างตัวด้วยมือเดียวจนขูดพื้นเสียงดัง น้ำค้างลอบมองแล้วก็นั่งลงตามที่สั่งพลางลอบกลืนน้ำลาย

               ตอนนี้นี่แหละ...จะโดนกระทืบจริงๆ รึเปล่าไอ้น้ำเอ๊ย

               “คุยกันไปเลยนะคะ แม่ขอดูซีรี่ย์ต่อก่อน”

               ถ้าจะขอให้แม่เล็กมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้ด้วยจะผิดหรือไม่...ได้โปรดอย่าปล่อยเขาไว้กับแม่ใหญ่สองคนเลยนะแม่เล็ก น้ำค้างโอดครวญเงียบๆ ในใจ

               “ลูกฉันมันเป็นไง ดื้อไหม”

               “ก็...นิดหน่อยครับ” น้ำค้างตอบ รู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่แม่ใหญ่ดูไม่ได้ใส่อารมณ์ในคำถามนั้น แต่กลับเป็นความเป็นห่วงที่แฝงมาอย่างแท้จริง

               “รู้สึกแปลกๆ ไหมที่ต้องมาเป็นคู่กับอัลฟ่าด้วยกันเอง”

               “ไม่ ไม่เลยครับ ทางผมต่างหากที่ต้องถาม เพราะผมเข้าหาคุณฮิมก่อน” น้ำค้างรีบพูดออกไป กลัวว่าจะโดนระแวงไม่ให้มายุ่งกับลูกชายฝั่งนี้

               “ตอนนั้นเมฆก็เข้าหาฮิมก่อน” แม่ใหญ่พูดด้วยสีหน้าเดิมซึ่งอ่านไม่ออก “ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้หรอก แต่ตอนนั้นน่ะ ฉันทะเลาะกับฮิมแรงมาก”

               น้ำค้างรับฟังเงียบๆ ขัดกับแม่เล็กที่หัวเราะคิกคักกับซีรี่ย์ที่ดูอยู่จนบรรยากาศเขากับแม่ใหญ่ดูเหมือนคุยกันปกติธรรมดาทั้งๆ ที่คุยเรื่องตึงเครียด

               “ฉันเป็นอัลฟ่าหัวโบราณ ก็รับไม่ได้อยู่แล้ว ลูกตัวเองเป็นอัลฟ่า แต่ดันไปชอบอัลฟ่าด้วยกันเอง”

               ...จะว่าไปน้ำค้างก็ยังไม่ได้คุยกับแม่ตัวเองเรื่องนี้เหมือนกัน ท่าทางเขาจะต้องหาเวลาสักหน่อย

               “ตอนที่เลิกกับเมฆ ฉันไม่รู้หรอกว่าจบกันยังไง ไม่รู้อะไรเลย ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจด้วยซ้ำ ที่ลูกเลิกกับอัลฟ่า แต่พอตอนที่รู้เรื่องที่ตามมาทีหลัง ฉันโกรธนะ โกรธตัวเองที่ไม่เคยคุยกับลูกเรื่องนี้ โกรธที่แกเป็นคนแรกที่ฮิมเลือกหาแทนที่จะเรียกแม่ตัวเอง”

               น้ำค้างเม้มปาก แม่ใหญ่หมายถึงตอนที่คุณฮิมมีเรื่องกับเมฆ...

               “ตอนนั้นฉันก็อคติกับแก เพราะเห็นเป็นอัลฟ่า แต่พอมานั่งทบทวนดีๆ แล้ว ฉันก็ผิดที่ปิดหูปิดตา ความจริงก็ไม่รู้หรอก ว่าอะไรทำให้ลูกชอบอัลฟ่าแล้วไม่สนใจโอเมก้า แต่ตอนนี้มานั่งคิดดีๆ แล้ว ฮิมจะเป็นยังไง ก็ลูกฉันอยู่ดี”

               แม่เขาจะคิดได้แบบนี้บ้างรึเปล่านะ หรือว่าทุกอย่างจะต้องใช้เวลา

               “ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้อยู่กับฮิมไปจนตาย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าฮิมโตไปจะเปลี่ยนไปอีกไหม ก็ได้แต่บอกแกกับคนอื่นๆ หรืออาจจะเป็นแกคนเดียวว่าอย่าทำให้ฮิมเจ็บ”

               คนอื่นๆ หรืออาจจะเป็นแกคนเดียว

               นั่นสินะ...น้ำค้างไม่มีวันรู้เลยว่าอนาคตเราจะยังรักกันอยู่รึเปล่า แต่เขาก็ยอมรับในจุดนี้ ยอมรับว่าความรักของพวกเขาทั้งสองคนคือความเชื่อใจที่ไม่มีกฎแห่งธรรมชาติมาผูกเอาไว้ด้วย ความรักที่มีอิสระจะไปจากเมื่อไหร่ก็ได้

               คุณฮิมจะคิดอย่างไรน้ำค้างไม่รู้ แต่ที่รู้คือน้ำค้างอยู่ในใจกลางป่าสน และคงหาทางออกไปจากป่าไม่ได้ในเวลาอันใกล้นี้แน่นอน

               “ทำหน้าเครียดเชียว ฉันพูดเรื่องเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

               ก็ต้องเครียดขนาดนั้นน่ะสิ! น้ำค้างอยากจะตอบแบบนั้น แต่ก็ได้แค่ยิ้มแหะๆ กลับไปกลบเกลื่อนแทน แล้วเขาก็นึกอะไรได้

               “แม่ใหญ่ครับ ผมรบกวนถามอะไรหน่อย”

               “ว่า”

               “คุณฮิมชอบปลูกป่าไหมครับ?”

 

               “น้องกิม ทำไมยิ้มแบบนั้นอะ”

               “แกล้งคนอยู่”

               กิมตอบพี่ทรายที่เพิ่งอาบน้ำตัวหอมฟุ้งออกมาจากห้องน้ำโดยไม่ได้เลยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์เลย ตอนนี้หอเขากลายเป็นที่สิงสถิตของพี่ทรายไปแล้วหลังจากเจ้าตัวยืนยันจะไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัดจนกว่าเขาจะกลับ

               “แกล้งใครฮึ ไอ้ตัวซน”

               “สรุปเป็นเมียหรือเป็นลูก”

               กิมถามหน้าตายตอนยินชื่อใหม่แสลงหู ถ้าเรียกหมูๆ หมีๆ หมาๆ ตัวอ้วน ตัวอุ๋งอะไรนี่ไปไกลๆ ตีนเลยนะ

               “เอ็นดูอะ เรียกไม่ได้เหรอ” พี่ทรายถามแล้วก็ลงมานั่งตรงโซฟาข้างๆ เขา มือยังคงเช็ดผมไปเรื่อย “แล้วสรุปแกล้งใคร น้องน้ำค้างเหรอ”

               “มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”

               พี่ทรายยื่นหน้าไปอ่านแชทแล้วก็นิ่วหน้า

               “น้องกิม ถ้าเกิดเขาเชื่อขึ้นมาจะทำไงอะ”

               “คนอย่างไอ้น้ำ เชื่ออยู่ล้วปะ ถามละเอียดขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะหมดหวังจนต้องมาพึ่งอะไรกิมขนาดนี้” กิมตอบแล้วก็ขำเอิ๊กอ๊าก พอใจกับผลลัพธ์ที่แกล้งเพื่อนได้สำเร็จ

               “แต่ป่าชายเลนเนี่ยนะ”

               “ชอบอะไรเหม็นเขียวกันดีนัก ไม่ไล่ให้ไปปลูกข้าวทำนาก็ดีจะตายแล้ว” กิมบอกแล้วก็บึนปากใส่จอ

               “เขาอยากได้สถานที่บรรยากาศดีๆ ลมเย็นๆ เอื่อยๆ เงียบๆ ทำไมไม่แนะนำอย่างอื่น” พี่ทรายถอนหายใจกับคู่ตัวเองที่ยังทำหน้าหัวเราะคิกคักนั่งขัดสมาธิกดจอไลน์คุยกับเพื่อนตัวเองไม่เลิก

               “ก็ไม่นึกว่าจะเชื่อไหมล่ะ” กิมตอบแล้วก็เสิร์ชในเบราเซอร์ “ป่าชายเลนก็ดีออก ยกเว้นลงไปปลูกป่าน่ะนะ...”

               “พี่กลัวปูจะหนีบเอาล่ะสิไม่ว่า”

               “เออพี่ทราย” กิมกระเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงก่อนจะหันหน้าไปหาอัลฟ่าตัวเองที่ยังเช็ดผมไม่เลิก “กิมอยากกินกุ้งว่ะ”

               “พรุ่งนี้เดี๋ยวพาไปกิน” พี่ทรายตอบแล้วก็มองนาฬิกา “ทุ่มนึงแล้ว จะไปหากุ้งจากไหน”

               “สั่งเอาดิ” กิมบอกแล้วก็เริ่มจิ้มโทรศัพท์หากุ้งที่จู่ๆ ก็อยากกินตอนนี้เดี๋ยวนี้ “เนี่ย กุ้ง กินด้วยกันหน่อย”

               “แกะให้อย่างเดียวได้ไหม”

               “ไม่ได้ ต้องช่วยกันกิน เสียดายของ”

               “ก็อย่าสั่งเยอะ”

               “สรุปจะเป็นผัวหรือจะเป็นพ่อ”

               คำถามไม้ตาย พี่ทรายถึงกับยิ้มแห้งเมื่อเขาเริ่มจะอารมณ์บูด ไม่ได้ขอให้จ่ายเงินให้ด้วย ขอให้กินด้วยกันแค่เนี้ย กินคนเดียวมันอร่อยที่ไหน มันต้องมีคนกินด้วยดิ!

               “อะๆ ได้ ไม่ขัดแล้ว”

               “ดี” กิมบอกแล้วกดสั่งทันที “งั้นกินไอติมไมโลตักด้วยละกัน จะเดินลงไปซื้อ”

               “ทำไมกินเยอะจัง จะฮีทอีกปะเนี่ย”

               กิมฟังแล้วก็ยื่นขาไปถีบสีข้างคนพี่เข้าให้ ใบหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ พอนึกถึงรอบที่แล้วที่เขาทำตัวไม่มียางอายเพราะฮอร์โมน

               “เป็นฮีทไม่ได้เป็นเมนส์ กินเยอะไม่เกี่ยว จะกินเอง”

               “ตอนฮีทตัวหอมอะ พี่ชอบ แต่น้องกิมน่าจะไม่ชอบ” พี่ทรายพูดแล้วก็กระเถิบมาหา “ความจริงมีเพื่อนเพิ่งบอกพี่มาว่าอัญชันความจริงแล้วไม่มีกลิ่น”

               “ก็ใช่” กิมตอบ ตอนแรกที่มีคนได้กลิ่นเขา ก็ไม่มีใครบอกถูกเลยว่าเป็นกลิ่นอะไร สุดท้ายพอเที่ยวหาไปเรื่อยจนโตขึ้นก็ถึงรู้ว่าเป็นกลิ่นอัญชันปรุงแต่งเหมือนตามในโลชั่น ครีมอาบน้ำ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

               กิมนึกแปลกใจอยู่นาน แต่ด้วยความที่ไม่สุงสิงกับใคร และฉีดสเปรย์ดับกลิ่นตลอด

               เขาจึงกลายเป็นอัญชันไร้กลิ่นอย่างเต็มตัว

               “แต่กลิ่นพี่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันรึเปล่า” กิมตอกกลับ เพราะเขาก็หาคำมานิยามกลิ่นของพี่ทรายไม่ได้เช่นกัน หอมเหนือมนุษย์ รู้แค่นั้น

               “กลิ่นบนโลกมีเป็นล้านล้านสิ่ง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้เลยว่ากลิ่นพี่คือกลิ่นอะไร”

               “ความจริงกิมควรจะไม่มีกลิ่นด้วยซ้ำรึเปล่า” กิมตั้งคำถามขึ้นมา “ดอกอัญชันไม่มีกลิ่นจริงๆ ซะหน่อย มีแต่คนปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น”

               “ต่อให้น้องกิมไม่มีกลิ่น เป็นโอเมก้าของพี่เดี๋ยวก็มีกลิ่นอยู่ดี”

               “เจ้าข้าวเจ้าของเก่ง” กิมตอบแล้วก็ใช้ขาถีบอีกรอบแต่คราวนี้พี่ทรายจับข้อขาเขาขึ้นมาจุ๊บเสียงดัง จนกิมต้องออกปากว่า “สกปรกพี่ทราย”

               “สกปรกอะไร นอนทั้งวันเนี่ยคนนี้”

               “ก็เท้าไหม”

               “เป็นน้องกิมพี่ก็ไม่รังเกียจหรอก ทั้งตัวนั่นแหละ”

               พี่ทรายว่าเสร็จคราวนี้ดึงขาเขาไปจนท่อนล่างเขาเกยขึ้นไปทั้งตัก แถมเสื้อเลิกขึ้นไปอีกต่างหาก เดี๋ยวนี้มือไวใจถึงมาก กิมคิดในใจแล้วก็ย่นจมูก

               ไม่ให้ทำหรอกโว้ย จะรอกินกุ้ง!

               พี่ทรายโน้มลงมาหอมซอกคอเขา แต่กิมจัดการจับมืออีกคนขึ้นมากัดให้ปล่อยเขาแล้วกระเด้งออกมายืนหน้ามุ่ยดึงกางเกงนอนและเสื้อให้เรียบร้อย

               “โห่ น้องกิม ไรอ่า”

               “ถุงยางก็ไม่ใส่ ยังจะมาพูด ทำเองไปเลย กิมจะเล่นเกมแล้ว”

               กิมเดินหนีไปในห้องนอนทิ้งให้อีกฝ่ายส่งเสียงตัดพ้ออยู่ด้านหลัง

 

               “คุณน้ำค้าง อะไรทำให้คิดอุตริพาผมมาถึงตรงนี้”

               “ไอ้กิมครับ...”

               คุณฮิมขำตัวงอจนตบขาตัวเองตอนที่น้ำค้างสารภาพว่าที่พามาเที่ยวป่าชายเลนก็เพราะไปขอคำแนะนำจากเพื่อนกิมมา

               “ไปถามแม่ใหญ่เนี่ยนะว่าผมชอบปลูกป่าไหม? โอ๊ย คุณน้ำค้าง ไม่ไหวอะ...” ว่าแล้วคุณฮิมก็ขำเขาต่ออีกยาว แต่น้ำค้างปล่อยไป เขายิ้มเขินๆ กับความเด๋อของตัวเอง แต่พอเห็นคุณฮิมหัวเราะเต็มปอดขนาดนี้แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเขาจะเป็นคนแบบนี้แล้วคุณฮิมหัวเราะเยอะๆ ก็ไม่เป็นไรเลย

               “ดีไม่ถามว่าผมชอบปลาตีนไหม?”

               “ขำจนเหนื่อยแล้วมั้งนั่นคุณ”

               “เหนื่อยสิ คุณน้ำค้างน่ารักอะ” คุณฮิมว่าแล้วก็ตีแขนเขาเพราะตลกมาก “ไหนๆ แล้วพาผมไปกินเมี่ยงปลาเผาเลยละกัน”

               “ได้ ได้หมดแหละคุณฮิม”

               “ตามใจขนาดนี้หวังอะไรรึเปล่าเนี่ย” คุณฮิมถามแล้วมุมปากสองข้างก็ยิ้มให้เขาแบบที่น้ำค้างร้อนๆ หนาวๆ

               “เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลังก็ได้นะคุณฮิม”

               “เรื่องไหนอะ ลามกเปล่า”

               “...ไม่แกล้งผมสักวันได้ไหมอะ”

               น้ำค้างถอนหายใจ แต่คุณฮิมหัวเราะอีกแล้ว

 

               ทางเดินสะพานไม้ดูยาวไกล ใครจะไปคิดว่าอัลฟ่าผู้ชายสองคนจะมาเดินเดทในป่าชายเลนกัน ดีหน่อยก็ตรงที่น้ำค้างไม่ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจะบุกลงโคลนไปปลูกป่าด้วย ชักจะบ้าจี้ตามไอ้กิมเข้าไปใหญ่แล้ว

               “ว่าแต่ตอนที่ผมยังไม่ตื่น” คุณฮิมถามขึ้นมาหลังจากที่เดินเงียบๆ กันมาสักพัก กลิ่นลมทะเลเค็มๆ โชยเข้าจมูกพอให้รู้ว่าสุดปลายสะพายไม้มีทะเลรออยู่ “แม่ใหญ่คุยอะไรกับคุณน้ำค้างอะ”

               “หลายเรื่องเลย” น้ำค้างตอบ เขารู้สึกว่าคุณฮิมน่าจะกังวลถ้ารู้ทั้งหมดที่เขาคุย “แต่ก็น่ากลัวเหมือนเดิมแหละแม่ใหญ่ ผมก็ตอบไปไม่ถึงสิบคำเลยมั้ง”

               “แม่ใหญ่ก็งี้แหละ” คุณฮิมตอบแล้วก็ถามอีก “แต่แม่คุณน้ำค้างดีนะ”

               “ห้ะ? แม่ผม? ยังไง?” น้ำค้างอุทานเสียงดัง นึกงงว่าคุณฮิมกับแม่เขาคุยอะไรยังไงกันตอนไหน

               “นานแล้ว คุณน้ำค้างจะจำได้ปะเนี่ย ที่ผมนั่งคุยที่คอนโดคุณน้ำค้างอะ ตอนนู้นเลย” คุณฮิมทำเสียงสูงตอนท้ายแล้วน้ำค้างก็นั่งนึกๆ จนนึกออกตอนที่เขาโดนไล่ให้ไปเฝ้าหม้อแกงเขียวหวานรอบนั้น

               “น้องน้ำจำที่หนูฮิมคุยกับคุณแม่ได้ยังคะ?”

               น้ำค้างเอาฝ่ามือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอีกรอบพลางทำหน้าขนลุกตอนที่คุณฮิมพูดจาแบบนั้นเลียนแบบแม่เขา

               “ชื่อน้องน้ำต้องเลิกนะ” น้ำค้างบอก “น้ำหวานด้วย แม่ใหญ่จะรู้ไหมว่าผมชื่อน้ำค้าง”

               “ชื่อไหนก็ดูเป็นสาวคอนแวนต์หมดเลยอะคุณ ทำใจนะ” คุณฮิมพูดเองขำเองอีกครั้งและน้ำค้างก็แพ้หมดท่า

               “แม่คุณน้ำค้างเขาเป็นห่วงกลัวผมจะมาหลอกทำมิดีมิร้ายต่างหาก” คุณฮิมเล่าต่อ “แต่ไม่ได้กีดกันนะ แกก็เป็นห่วงเหมือนทั่วไป เขาก็กลัวว่าสุดท้ายแล้วคุณน้ำค้างจะเสียใจนั่นแหละ”

               น้ำค้างรับฟังเงียบๆ แม่เขาก็เหมือนแม่ใหญ่...ไม่สิ ก็เหมือนแม่คนอื่นๆ ทั่วไปที่กลัวลูกตัวเองจะเสียใจ ล้มลงถลอกแล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ แต่แย่หน่อยตรงที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถปลอบโยนให้หายเจ็บได้อีกแล้วเมื่อเราโตขึ้น

               “ถ้าให้เดาแม่ใหญ่ก็คงพูดกับคุณน้ำค้างประมาณนี้ใช่ไหมล่ะ”

               “ก็...ใช่ ทำไมคุณฮิมเดาเก่งจังอะ”

               “ก็เพราะเจอมาเยอะไง ก็เลยเดาออกว่าแม่ๆ จะประมาณไหน” คุณฮิมพูดทีเล่นทีจริง “เอาตรงๆ ตอนนั้นผมก็แอบกลัวนะ ยังเพิ่งคุยกับคุณน้ำค้างได้ไม่เท่าไหร่เอง จู่ๆ ก็ได้เจอคุณแม่เฉยเลย แต่พอได้นั่งคุยแล้วผมก็ไม่ได้เก็บมากังวลเพราะว่าผมรู้ว่าคุณแม่จะไม่เกลียดผม แล้วก็ไม่เกลียดคุณน้ำค้างด้วยที่ชอบผม”

               และตอนนั้นน้ำค้างก็ได้รู้ว่าคุณฮิมตรงหน้าเขาเข้มแข็งและลุ่มลึกกว่าที่เขาเคยเห็นมากเพียงใด

               ความรักอาจจะยากและซับซ้อน แต่น้ำค้างก็ยังคอยตามหากลิ่นของคุณฮิมไปทั่ว

               ขาสองข้างยังคงก้าวเดินไปตามสะพานไม้ ทะเลอยู่ตรงหน้าแต่แค่ยังมองไม่เห็น เริ่มจากนิ้วก้อยที่เกี่ยวกัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นช่องว่างระหว่างนิ้วมือทั้งห้าที่ค่อยๆ ประสานกันและเดินเคียงไปเรื่อย ป่าสนกับผ้าสะอาดเคล้าโชยอยู่ในลมและป่า อากาศดีเหมือนทุกวัน แต่น้ำค้างรู้ว่าหัวใจของเขาอยู่ตรงไหน

               “คุณน้ำค้าง...”

               “ครับ”

               “ถ้าถึงตอนที่หมดรักกันแล้ว ก็อย่ากลับมาทำร้ายกันเลยนะ”

               น้ำค้างหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจประโยคนั้น เข้าใจอย่างดี เข้าใจในความไม่แน่นอน เข้าใจในความใจร้อนของเลือดอัลฟ่าในตัวพวกเขาทั้งคู่ การขอร้องว่าอย่าทำร้ายกันคงจะดีกว่าการขอร้องให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

               “คงอีกนานเลยนะคุณฮิม”

               “...”

               “คงจะใช้เวลานานพอๆ กับตอนที่ผมหาคุณฮิมไม่เจอมาตลอดชีวิตแล้วตอนนี้ผมหาคุณฮิมเจอแล้ว”

               มือกำประสานแน่น ก็แค่อยากให้มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ มั่นใจว่าตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับน้ำค้างแล้ว

               “ทั้งชีวิตนี้ผมคงจะหาป่าสนผืนอื่นไม่เจออีกแล้ว”

               คุณฮิมกลั้นหายใจ น้ำค้างรับรู้

               “เพราะฉะนั้น...อย่าไล่กันไปไหนเลยนะ”

               คุณฮิมยิ้มให้เขาก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวเป็นการร้องไห้ และน้ำค้างก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ กับคนตรงหน้า ใจเจ็บนิดหน่อยที่ต้องมาเห็นอีกคนร้องไห้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยน้ำค้างก็รู้ว่าคุณฮิมไม่ได้ร้องไห้เพราะเจ็บปวด หากแต่เป็นความท่วมท้นกับเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกาล

               น้ำค้างดึงตัวอีกฝ่ายมากอด คุณฮิมผอมลงจากที่เคยรู้สึก หรือเพราะน้ำค้างไม่ได้กอดอีกฝ่ายแบบนี้นานแล้วกันแน่นะ...

               ลึกลงไปในหมอกหนาจัดที่ปกคลุมทึบลอยเอื่อยอยู่เหนือป่าสน ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวและใบต้นสนที่ยืนนิ่ง ไร้ซึ่งลมโชย ทิ้งไว้เพียงความเยือกเย็น เงียบงัน และเสียงสรรพสัตว์ที่แผ่วเบา...หัวใจของน้ำค้างถูกฝังอยู่ใจกลางป่าสน 





fin.





acknowledgement

เรากะผิดเองค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะจบตอนหน้า แต่พอพิมพ์แล้วมันลงตัวในตอนนี้ เลยกลายเป็นบทส่งท้ายไปเลย...แหะ

ตอนพิมพ์คำว่าจบเราพูดไม่ถูก มันเป็นความโล่งใจอย่างหนึ่งเพราะว่าเราปลุกปั้นกับเรื่องนี้มันตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนของปีนี้ ก็เท่ากับว่าวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันคริสมาสต์จะเท่ากับครบรอบ 6 เดือนของเรื่องนี้ค่ะ ก็ครึ่งปีพอดี มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับเรามากๆ ตอนที่เราแต่งเรื่องนี้ ความโชคดีของเราในปีนี้เริ่มจากเรื่องนี้ และในตอนนี้เราก็จะจบปีด้วยการจบเรื่องนี้

ขอบคุณหลายๆ คนมากๆ ในระหว่างทางของเรื่องนี้ ตอนเริ่มแต่งคือตอนที่เราเขียนอะไรไม่ออกเลย เราปิดเทอมและนั่งโง่ๆ หน้าจอคอมมาเป็นสัปดาห์และรู้สึกว่าตัวเองจะไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้แล้ว แต่แล้วเราก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเริ่มเขียนจากเพื่อนที่บอกให้เราอย่ากลัวกับคนในทวิตที่เชียร์ให้เราเขียนเสมอ (เกือบทุกพล็อตที่เราทวิตเล่นๆ ไป 555555555) ตอนแรกตกใจมากที่จู่ๆ คนทยอยมาอ่านกันเยอะ เพราะเราไม่เคยมียอดเฟบยอดเม้นเยอะขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราคงจะประทับใจที่สุดในตลอดเวลาการเขียนนิยายของเราค่ะ เพราะเรานับเป็นความสำเร็จแรกที่เราทำได้

มีหลายคนที่เราอยากขอบคุณ แต่เราคงขอบคุณในพื้นที่ตรงนี้ไม่หมด แต่เราจำคุณคนอ่านได้เกือบทุกคนที่คอยมาเม้นมาแท็กให้ตลอดนะคะ เราจำได้จริงๆ เวลาอัพก็จะรอพวกคุณอยู่ตลอด คนที่เป็นนักอ่านเก่า นักอ่านใหม่ หรือใครก็ตามที่เคยส่งข้อความให้เราเพื่อให้กำลังใจหรือคอมเม้น เราขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณอย่างล้นเหลือ ทุกอย่างมีความหมายกับเรามาก

ส่วนเรื่องรวมเล่ม เราตัดสินใจจะรวมกับสำนักพิมพ์เฮอร์มิทนะคะ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำเล่ม อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่รอกันนะคะ

ตอนพิเศษเจอกันในเล่มนะคะ ใครที่อยากอ่านอะไรในตอนพิเศษคอมเม้นทิ้งไว้ให้เราหรือจะแท็กก็ได้ค่ะ หรือว่าถ้าคิดถึงเรื่องนี้ก็แวะเข้ามาได้เสมอค่ะ เราตามอ่านฟีทแบคอยู่ตลอด

หวังว่าเราจะได้เจอกันผ่านตัวอักษรอีกครั้งนะคะ :-)





 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 25-12-2018 22:56:52
จบแล้วววว ใจหายมากๆ มีช่วงนึงคือคอยรีเฟรช
ว่าน้ำค้างกลางป่าสนจะอัพหรือยัง ฮื่อๆ
รอตอนพิเศษในเล่มนะจ๊ะ รีเควสทรายกิมไว้เลย 55
BTW Merry Xmas ja
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 26-12-2018 16:02:51
พึ่งอ่านถึงตอนที่ 12 สงสารฮิมมากๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 26-12-2018 16:55:20
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-12-2018 20:05:55
เข้ามาอ่านเพราะชื่อ..น่าจะนุ่มนวลชวนฝัน  :katai1: 

ที่ไหนได้มาม่าอืดเต็มท้องเลย  :z3:

ถ้าไม่มีคู่ทรายกิมมาตัดนี่..ตาบวมบวม ๆ   :hao5:

     ยังไงก็.... :pig4: :pig4: :pig4: นะ
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 27-12-2018 13:16:48
เป็นนิยายภาษาดี ๆ ที่สนุกมากค่ะ ตอนอ่านเหมือนไปเที่ยวป่าอยู่ในที่อากาศเย็น ๆ ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-12-2018 07:00:56
สนุกดีค่ะ
เป็น omegaverse อีกมุมมองหนึ่ง
ชอบคาแรคเตอร์ของทุกตัวละครเลย
มีเหตุผลของการกระทำทุกอย่าง
อยากอ่านตอนพิเศษที่คุณแม่บ้านรัทบ้าง
คุณป่าสนคงชอบมาก 55555
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 02-01-2019 12:17:53
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: anonymous ที่ 06-01-2019 20:16:55
พึ่งได้เข้ามาอ่าน เป็นอีกเรื่องที่สนุก เป็น Omegaverse อีกมุมมองนึงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 07-01-2019 13:13:23
จบแล้วว เป็นอีกเรื่องที่สนุกและอ่านเพลินกับ  Omegaverse ในอีกรูปแบบ ขำคุณแม่บ้านอัลฟ่าตัวโตๆแต่ใจเหมือนมดตัวเล็กๆที่พอตกหลุมรักป่าสน ก็ใจกล้าเข้มแข็งและหนักแน่นขึ้นมา รักฮิมมากจนบางครั้งก็มากไป จนขาดความมั่นใจแต่ก็ค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน คุณฮิมมีความย้อนแย้งในตัวเองสูง แต่ขณะเดียวกันก็มีความอ่อนไหวในจิตใจ ข้างนอกดูเข้มเเข็งเอาแต่ใจ แต่ข้างในบอบบาง เป็นคู่ที่เหมาะสมกันและลงตัวที่สุดแล้ว กิมxทราย ก็เป็นอีกคู่นี้ที่น่ารักมากๆ เป็นคู่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจ ตอนดราม่าจนไปต่อได้ 5555 /ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆทีสนุก ภาษาและสำนวนดีมากค่ะ ชอบบบบ เป็นกำลังใจให้ในผลงานต่อๆไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 15-01-2019 23:51:01
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมากๆ
ประทับใจมาก ทั้ง 2 คู่ อินกับทุกตอน ทุกตัวละคร :hao5:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: BooJiRa_ ที่ 08-03-2019 06:17:39
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมาก ภาษาดี ชอบมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: pond_sn ที่ 12-03-2019 20:27:20
ขอบคุณค่า่
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: dekfad ที่ 15-03-2019 11:05:05
สนุกมาเลยค่ะ พล็อตเรื่องดี ภาษาดี เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ
ปล. ชอบน้องกิม อยากฟัด
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 19-03-2019 23:58:51
คิดไม่ผิดที่คลิกเข้ามาอ่านจริงๆ
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบภาษามากๆ อ่านแล้วหยุดไม่ได้
เป็น omegaverse ที่ต่างจากที่เคยอ่านๆมามาก
แต่ดีมากเลย แงง ไม่รู้จะอวยยังไง
อ่านแล้วเหมือนได้กลิ่นสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
ครบทุกรสมาก บางตอนอ่านยิ้มๆไป น้ำตาไหลซะงั้น55555
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน ขอบคุณค่า
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 23-03-2019 10:24:12
ชอบน้ำค้างงง อัลฟ่าเด๋อด๋าผู้อบอุ่น
เป็นเมะหนึ่งในไม่กี่คน ที่อ่านแล้วรู้สึกเอ็นดูกว่านายเอก  55555

คู่รองที่เข้ามาเบรกอารมณ์หนักๆหน่วงๆของคู่หลักก็น่ารัก มันเขี้ยวเจ้าแมวกิม ยุให้พี่ทรายน้วยพุงหนักๆ

มาถึงเนื้อเรื่องเราชอบที่ถ่ายทอดเก็บลายละเอียดของ กลิ่นในเรื่อง และวิถีแห่งโอเมก้าเวิร์ลในหลายด้านมุม รวมถึงการใ้ช้ภาษาที่ลื่นไหล

ปล.ตรงนี้เม้นด้วยอคติส่วนตัวนะคะ เราค่อนข้างอคติกับผลกรรมที่ไปลงกับบุคลที่สามเป็นทุน เมื่อรู้ถึงสิ่งที่น้องผลไม้ต้องเจอเราเลยรู้สึกติดในใจนิดๆ อาจเพราะน้องเองไม่ได้ถูกกล่าวถึงความผิดบาปมาก่อน ผิดกับเมฆที่เลวร้ายสุดๆ เลยแอบคิดว่าคนที่ควรไก้รับบทเรียนจริงๆความเป็นเขาโดยตรง ไม่ใช่ผ่านทางคนรักแบบนี้ ย้ำอีกครั้งนะคะว่าเป็นอคติส่วนตัวเรา

สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 26-03-2019 01:49:37
ซึ้งมาก ครบรสเลย อยากรู้เรื่องคู่ของแฟนเก่าฮิมว่าเป็นไงต่อ
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 26-03-2019 12:35:17
เป็น omegaverse ที่มุ้งมิ้งที่สุดที่เคยอ่านมา (น่าจะเพราะคาแรคเตอร์คุณแม่บ้านของน้ำค้าง 5555) เรื่องน่ารักดีค่ะ ชอบคาแรคเตอร์ของน้ำค้างกับพี่ทรายมาก ตามใจแฟนสุดๆ

ตอนแรกแอบงงความสัมพันธ์ของแม่เล็กกับแม่ใหญ่ นึกว่าแบบเมียน้อยคลอดลูกแล้วเมียหลวงเลี้ยง 55555 ฮาตัวเอง แต่จริงๆคือเป็นคู่รักกันใช่มั้ยคะ (คิดว่าใช่แต่ไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ 5555)

ป.ล. เลา cut scenes ในเล้าได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: samesterx ที่ 06-04-2019 12:34:31
ตามอ่านทีหลังแต่ตามอ่านจนจบนะ แง 55555555555555555
เป็นเรื่องนึงที่น่ารักมาก ออกแนวฟีลกู๊ดที่มีตกเหวบ้าง ดราม่าบ้าง แต่น่ารักกกกกก
เอฟฟซีคุณน้ำค้างเลย ชอบเมะแนวนี้ เรียบร้อยน่ารัก รักคุณน้ำค้างนะ