ตอนพิเศษ
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากสภามหาวิทยาลัยได้มีมติให้ตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงกรณียักยอกเงิน เมื่อหลักฐานชี้้ชัดว่าคณบดีและรองคณบดีร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อยักย้ายถ่ายเทเงินของคณะโดยมีเจ้าหน้าที่การเงินคนหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ทั้งหมดก็ถูกให้พ้นสภาพการเป็นข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยทันที รวมถึงต้องชดใช้เงินคืนเต็มจำนวนซึ่งเป็นมูลค่าหลายล้านบาท มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันวุ่นวาย แต่ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบให้แก่ชลชาติมากนัก เขายังคงตั้งใจทำงานตามปกติ สำหรับอาจารย์หนุ่มที่วุ่นวายว่าเรื่องราวในคณะเห็นจะเป็นคนที่มานั่งทำตาละห้อยอยู่ในขณะนี้
“เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ว่าง ยังตรวจงานยังไม่เสร็จเลย พรุ่งนี้ต้องคืนให้นักศึกษาแล้ว” ชลชาติกล่าวทั้งที่ตายังกวาดมองกระดาษตรงหน้าก่อนจะใช้ปากกาหมึกแดงวงข้อความที่นักศึกษาตอบผิดแล้วแก้ให้ถูก
“ยังมีเวลาตรวจอีกตั้งนาน แต่เราไม่มีเวลาแล้วนะ” แสนยาบอก คำพูดของเขาทำอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น “เดี๋ยวรถบัสมหาวิทยาลัยก็จะออกแล้ว ยังไม่ได้กินสตรอเบอรีชีสเค้กปั่นเลย อีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับ นะ ๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวเราเลี้ยงกาแฟนายก็ได้ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้อง” ชลชาติตอบห้วน ๆ “ถ้าเปลี่ยนจากเอาเวลามาเซ้าซี้เราเป็นเดินไปซื้อ ป่านนี้ก็ได้กินไปแล้วไหม” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงตรวจงานต่อ
ตาคมกวาดมองข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า บางแผ่นใช้เวลาอ่านเพียงไม่นานเพราะเจ้าของเขียนอย่างบรรจง ในขณะที่บางแผ่นก็ต้องแกะอยู่พักใหญ่เพราะเขียนมาด้วยลายมือหวัดราวกับไม่อยากได้คะแนน ในที่สุดชายหนุ่มก็วางปากกาลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พบว่าเป็นเพื่อนอาจารย์เดินเข้ามาหยิบเอกสารจากนั้นจึงเดินออกไป ห้องทั้งห้องเงียบเฉียบ ได้ยินเพียงเสียงตัดไฟของกระติกน้ำร้อน ไม่รู้ว่าคนที่มาวอแวเมื่อพักใหญ่จากไปตั้งแต่ตอนไหน กำลังจะตรวจงานต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
คนที่เดินเข้ามาคือหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ชุดกระโปรงของเธอเน้นช่วงเอวคอด เผยผิวเนียนช่วงไหล่กว้าง ชลชาติจ้องเขม็ง ยอมรับว่าเธอสวยขึ้นผิดหูผิดตา ใบหน้าสวยเคลือบทับบาง ๆ ด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาลืม “ตรีฉัตร สิริฉัตร” อดีตราชินีเจ้าสระได้
“ไม่เจอนานเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินมาหยุด
เจ้าของชื่อลุกพรวดขึ้น มือรวบกระดาษบนโต๊ะขึ้นกระทุ้ง แล้ววางไว้ที่เดิม “ต...ตองมาที่นี่ได้ยังไง”
“ตองตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่น่ะ แตะวัน-สองวันนี้มีธุระที่สถานทูต ผ่านมาแถวนี้เลยแวะหาอาจารย์ทวี อาจารย์บอกว่ามีนเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ เราก็เลยลองขึ้นมาดู พอดีเมื่อกี้สวนกับอาจารย์อีกท่าน เขาบอกให้เข้ามาได้เลย มีนอยู่”
ชลชาติพยักหน้า ยกกระดาษแบบฝึกหัดปึกนั้นขึ้นกระทุ้งอีกครั้งเพื่อลดอาการประหม่า
“มีน...ว่างหรือเปล่า ไปดื่มอะไรกันหน่อยไหม”
ร่างสูงก้มลงมองกระดาษแบบฝึกหัดตรงหน้า
“ไม่ว่างเหรอ”
“ว...ว่าง เราว่าง” ชลชาติตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ร้านเดิมเนอะ ที่เคยไปนั่งกันบ่อย ๆ สมัยเรียน” หญิงสาวว่า จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากคณะ มุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟในซอยข้างมหาวิทยาลัย
ชลชาติที่เป็นฝ่ายเดินนำผลักประตูให้เปิดออก รอจนคนตัวเล็กผ่านเข้าไปจึงก้าวตาม ทันทีที่สองคนนั่งลง เสียงพนักงานก็ดังขึ้น
“สตรอเบอรีชีสเค้กปั่นกับมอคคาเย็นได้แล้วนะคะ”
และเมื่อเจ้าของรายการเครื่องดื่มลุกขึ้น ดวงตาสองคู่ก็บังเอิญได้สบกัน ชลชาติมัวแต่มองตามร่างสูงที่เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จนไม่ทันฟังว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่าอะไร กระทั่งเธอยืนมือมาแตะที่หลังมือ
“มีน...ฟังเราอยู่หรือเปล่า”
“ว...ว่าไงนะ” ชลชาติดึงสายตากลับมายังหน้าสวย
“เราถามว่าเอานมร้อนเหมือนเดิม หรือว่าจะดื่มอย่างอื่น”
“เราขอเป็นมอคคาเย็นก็แล้วกัน”
หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะหันไปบอกรายการเครื่องดื่มกับสาวน้อยในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนที่กำลังตั้งท่ารอจด
“นมร้อนกับมอคคาเย็น รอสักสักครู่นะคะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์
“ปอปลาตากลม ที่แท้ก็มีนัดนี่เอง ถึงว่าเราชวนเท่าไรก็ไม่ยอมมา” แสนยาที่เดินเข้ามาหยุดเอ่ยขึ้น มือหนึ่งถือแก้วใส่เกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กก้อนจิ๋ว ส่วนอีกมือหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟเย็นโปะวิปครีม เขายิ้มกับสาวสวยที่หันมาส่งยิ้มให้
“ไม่ได้นัดกันไว้หรอกค่ะ ต้องไปลากตัวกันมา” ตรีฉัตรพูดกลั้วหัวเราะ
“ตอนแรกว่าจะซื้อกาแฟไปฝาก แต่นายคงสั่งไปแล้วใช่ไหม เราก็ไม่กินกาแฟ ถ้าอย่างนั้นเราเอาให้น้องพนักงานไปนะ” พูดจบแสนยาก็เตรียมจะย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ถูกอีกฝ่ายยึดข้อมือเอาไว้
“เดี๋ยวแสน เราสั่งมอคคาเย็นเหมือนกัน เรากินอันนี้ก็ได้” ชลชาติบอก คลายมือออกแล้วเรียกพนักงานเพื่อจะขอยกเลิกรายการเมื่อครู่ โชคดีที่พนักงานยังชงเครื่องดื่มให้โต๊ะอื่นไม่เสร็จ เขาจึงไม่ต้องดื่มมอคคาเย็นสองแก้วจนตาแข็ง
หนุ่มศิลปินจึงยื่นถุงใส่แก้วกาแฟให้แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นราไปก่อนนะ”
“จะไปไหนก็ไป ยุ่งวุ่นวายน่ารำคาญ”
แสนยาพยักหน้า ดูมิได้สะทกสะท้านกลับถ้อยคำที่เพิ่งจบลง “ไปละ เดี๋ยวตกรถ...เจ็บแย่” พูดจบก็เดินดูดน้ำหวานอย่างสบายใจออกจากร้าน ไม่ได้ใส่ใจคนมองตามเลยสักนิด
“เพื่อนมีนตลกจัง”
“มันบ้า” ชายหนุ่มพึมพำ ใช้หลอดคนกาแฟในแก้ว
หญิงสาวยิ้ม “มีนสบายดีหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะยกกาแฟขึ้นดูด เมื่อวางแก้วลงจึงถาม “ตองล่ะ สบายดีไหม”
“สบายดีจ้ะ”
“มีตัวเล็กแล้วหรือยัง”
“ไม่มีหรอกกจ้ะ แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสมีด้วย”
“ทำไมล่ะ”
หญิงสาวรอจนพนักงานวางถ้วยนมร้อนลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วตอบคำถาม “เราหย่ากับสามีแล้วน่ะ” พูดพลางแตะฝ่ามือลงข้างถ้วย รู้สึกว่านมยังร้อนอยู่จึงเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เห็นสีหน้าตกใจของเขาจึงยิ้มน้อย ๆ “ไม่คิดใช่ไหมว่าผู้หญิงที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างตองจะหย่ากับสามีได้ ตองก็ไม่คิด ไม่เคยคิดเลย คิดแต่ว่าชีวิตแต่งงานจะต้องมีความสุข มีลูกด้วยกัน อยู่กันจนแก่จนเฒ่า ตอนที่ตองชวนมีนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสด้วยกันแต่มีนปฏิเสธ หรือแม้แต่ตอนที่มีนซ้อมหนักจนไม่มีเวลาให้ตอง ตองยังคิดว่านั่นคือการถูกทิ้ง แต่จริง ๆ แล้วมันคือตอนนี้ต่างหาก”
“ตอง...” ชลชาติรู้สึกราวกับน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรให้อดีตคนเคยรักรู้สึกดีขึ้น
“พอรู้ข่าวว่ามีนประกาศเลิกว่ายน้ำ ตองตกใจมาก เป็นเพราะตองใช่ไหม”
คนถูกถามเลือกที่จะไม่ตอบ เพียงแต่ยกกาแฟขึ้นดื่ม
“ตอง...ขอโทษนะมีน” มือเรียวประดับด้วยเล็บสีแดงเลื่อนมาทาบบนมือใหญ่ “ขอโทษที่ตองเห็นแก่ตัว มีนยกโทษให้ตองด้วยนะ ตอนนี้ตองถูกลงโทษแล้ว”
“เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย” ชลชาติกล่าว วางมือที่เหลือบนหลังมือของหญิงสาวบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงออกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “กลับมาคราวนี้ตองจะอยู่ถึงเมื่อไร”
“ตองตั้งใจจะกลับเชียงใหม่ แล้วก็มากรุงเทพฯ ตอนที่มีแข่งว่ายน้ำการกุศลน่ะ อยากเจอเพื่อน ๆ หลังจากนั้นก็คงบินกลับไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยแล้วก็ว่าจะมาอยู่กับครอบครัวที่เชียงใหม่เป็นการถาวร” เธอกล่าวก่อนจะประคองถ้วยนมร้อนขึ้นจิบ “มีนลงแข่งด้วยหรือเปล่า”
“ยังรู้เลย ถ้ามีคนเชียร์ก็อาจจะลง” ชลชาติตอบ เผลอยกมุมปากขึ้นยิ้มกับตัวเอง
“อะไรกัน จะไม่มีคนเชียร์ฉลามมีนได้ยังไง อย่างน้อยก็...แฟนไง”
คนฟังหัวเราะหึในลำคอ พลันเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือขึ้นมากดรับสาย ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองออกไปนอกผนังกระจก แม้จะไม่คุ้นหูกับภาษาที่เธอใช้สนทนากับคนปลายสาย แต่การได้มีโอกาสไปแข่งขันในระดับนานาชาติก็ทำให้ชลชาติสามารถฟังออกเป็นบางคำและรู้ว่านั่นคือภาษาฝรั่งเศส
“อีกเดี๋ยวตองต้องไปแล้วนะมีน ตองนัดเพื่อนไว้ที่สถานีรถไฟฟ้า” ตรีฉัตรกล่าวเมื่อเก็บดทรศัพทคืนกระเป๋า
ชายหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้คิดเงิน จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินออกจากร้าน ชลชาติส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซีเรียบร้อยจึงเดินย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัย เมื่อถึงทางลัดที่สามารถเดินไปยังคณะของตนได้ อาจารย์หนุ่มกลับอ้อมไปอีกทาง ในที่สุดร่างสุดก็มาหยุดที่ลานจอดรถหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นเวลาเดียวกับที่รถบัสสำหรับพานักศึกษาปริญญาตรีของคณะไปทัศนศึกษาที่จังหวัดสุโขทัยเคลื่อนออกไปพอดี
...
ทั้งที่ตามกำหนดการนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะศิลปกรรมศาสตร์จะต้องเดินทางกลับจากการทัศนศึกษาและถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อน แต่ระยะนี้ชลชาติกลับไม่เห็นรถโฟล์คเต่าสีหวานจอดอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเลยสักวัน ชายหนุ่มผละจากหน้าต่างกระจากบานเกล็ด ลงจากคณะแล้วตรงไปยังรถที่จอดอยู่ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับโปสเตอร์ใบเล็กซึ่งเสียบอยู่กับที่ปัดน้ำฝน เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์นิทรรศการของนักศึกษาปริญญาโทของคณะศิลปกรรมสาสตร์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่แกลเลอรีแห่งหนึ่งแถวถนนเจริญกรุงในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจากที่ตั้งใจว่าจะกลับคอนโดเพื่อพักผ่อน ชลชาติจึงเปลี่ยนเป้าหมายทันที
รถแล่นฝ่าการจราจรติดขัดกระทั่งเลี้ยวเข้าซอยแล้วจอดที่ริมบาทวิถีต่อท้ายรถโฟล์คสีนมชมพูในเวลาใกล้ค่ำ อาจารย์หนุ่มหันไปคว้าถุงที่เบาะหลัง เปิดประตูลงจากรถ จากนั้นจึงเดินข้ามถนน เขาหยุดอ่านชื่อสถานที่ซึ่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ หล่อด้วยโลหะยึดกับกำแพงปูนเปลือยเป็นข้อความ “Light and Shade” ถัดลงมาด้านล่างคือป้ายอะคริลิกใสที่ภายในติดโปสเตอร์แบบเดียวกับที่ถือติดมือมา เมื่อร่างสูงเดินผ่านช่องประตูเข้าสู่ภายในจึงพบกับอาคารไม้สองชั้น หลังคาจั่ว ทาทับด้วยสีขาวทั้งหลัง ชั้นบนของปีกซ้ายเป็นสตูดิโอส่วนโถง ส่วนด้านล่างซึ่งล้อมรอบด้วยกระจกกรอบลูกฟักถูกถูกซอยย่อยเพื่อใช้สำหรับสอนศิลปะแขนงต่าง ๆ
เท้าก้าวไปตามทางเดินซึ่งหล่อด้วยปูนซีเมนต์เป็นรูปใบไม้เรียงไปตามผืนหญ้าผ่านแนวต้นโมกที่ส่งกลิ่นหอมเย็นกระทั่งหยุดที่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันของชายหนุ่ม 3-4 คน
“หิวข้าวแล้ว ไปกินชาบูกัน” แสนยาเอ่ยขึ้น แต่เพื่อน ๆ ทุกคนกลับพากันสั่นหัว นั่นเพราะแต่ละคนต่างมีนัดกันหมดแล้ว “นะ ๆ สั่งพิซซามากินก็ได้ กินแล้วค่อยไป” ชายหนุ่มรบเร้า
“เอานี่ไปกินไป” คนที่เพิ่งติดตั้งภาพเขียนสีน้ำมันเสร็จกล่าวก่อนจะโน้มตัวลงหยิบถ้วยกระดาษบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งวางอยู่กับพื้นแล้วโยนให้ “หิวทีไรทำง้องแง้งเป็นเด็กทุกที”
แสนยาคว้าหมับ ปากบ่นขมุบขมิบ “คนมันหิวนี่หว่า ตั้งแต่กลางวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อุตส่าห์มาช่วยนะเนี่ย”
“ก็บอกแล้วไงว่ารอให้จบงานนี้ก่อนจะพาไปเลี้ยง แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ ว่ะ นัดแฟนไว้”
“เราก็นัดที่บ้านไว้เหมือนกัน วันนี้วันเกิดน้อง ไอ้สองคนข้างในก็ไม่ว่างเหมือนกัน เห็นว่าต้องไปทำงานที่อื่นต่อ” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากโถงด้านในกล่าว จากนั้นจึงยกกรอบรูปที่พิงอยู่กับผนังขึ้นติดยังตำแหน่งที่ได้กำหนดเอาไว้
“ถ้าอยากกินก็คนเดียวก่อนก็แล้วกันนะ”
“มันก็ไม่ไปอีก ไม่มีเพื่อกิน” เจ้าของร่างสูงที่ถอยห่างออกมาดูตำแหน่งการจัดวางกล่าวก่อนจะเอื้อมมือขยับภาพให้ตรง
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วว่ะ”
“เออ ๆ ก็ได้ ๆ ไว้เสร็จงานก็ได้วะ” แสนยาตัดบท ก้มลงหยิบสูจิบัตรออกจากกล่องแล้วเรียงไว้บนโต๊ะ
ทั้งหมดช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องจัดแสดงผลงานภาพเขียนอีกครั้ง เมื่อไม่พบจุดบกพร่องใด ๆ จึงก็พากันแยกย้าย เหลือก็แต่แสนยาที่เดินคอตกกลับเข้าไปยังโถงด้านใน ชายหนุ่มนั่งลงที่พื้นตรงกลางห้อง ดึงโต๊ะญี่ปุ่นเข้าหาตัว จ้องมองภาพหม้อชาบูในหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอย่าเสียดาย ในที่สุดจึงจับเมาส์คลิกปิดเว็บต์ที่เปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจัดสถานที่ จากนั้นจึงเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่เป้ พลันเสียงฝีเท้าของคนที่ก้าวมาหยุดก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้น
“ปอปลาตากลม มาได้ยังไงเนี่ย” หนุ่มศิลปินกล่าวอย่างแปลกใจ
“ก็มาตามโปสเตอร์นี่ไง” ชลชาติบอกพลางชูทั้งโปสเตอร์ใบเล็ก ถุงพลาสติกที่ข้างในมีกล่องพิซซาและน้ำอัดลมขึ้น ร่างสูงนั่งลงโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นคั่นตรงกลาง วางของกินลง
“ซื้อมาฝากเราเหรอ” แสนยาจ้องกล่องใส่พิซซาตาเป็นมัน
“คิดว่านายต้องอยู่เตรียมงานถึงดึก ก็เลยซื้อมาฝาก” ว่าแล้วอาจารย์หนุ่มก็ดึงกล่องกระดาษจากถุงแล้วจัดการเปิดออก มองอีกฝ่ายที่ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นหอม ซ้ำยังแทบจะลอยตามไม่ว่าเขาจะเลื่อนกล่องไปทางซ้ายหรือขวา “หิวมากหรือไง”
“มาก” พูดจบแสนยาก็คว้าพิซซามากัด
“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะแสดงงาน” ชลชาติถามเสียงเนือบ ๆ พลางเลื่อนแก้วน้ำอัดลมให้
“นี่ไม่ใช่งานเรา มีงานเราติดอยู่ชิ้นเดียว นอกนั้นงานของเพื่อน ๆ แค่เอาชื่อไปใส่ให้ดูเท่ ๆ น่ะ คนสำคัญก็แบบนี้แหละ” หนุ่มศิลปินกล่าวทั้งที่ของกินยังเต็มปาก
ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ หยิบกระดาษใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เอาตั๋วงานแข่งว่ายน้ำการกุศลมาให้นาย”
แสนยากวาดตาอ่านรายละเอียดแล้วกล่าว “อืม...เสาร์กลางเดือนเหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด ยกน้ำอัดลมขึ้นดูด
“ไม่ว่างเหรอ”
“เราต้องไปเก็บข้อมูลที่ต่างจังหวัดอีกรอบน่ะ”
คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เลื่อนไม่ได้เหรอ”
“ได้” แสนยาตอบทันควัน นัยน์ตาเป็นประกาย “เราจะไปก่อนแล้วรีบกลับมาเชียร์ไอ้พาย”
เมื่อได้ยิน ชลชาติก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ไหนเคยบอกว่าไม่เชียร์พายไง”
“ก็คราวก่อน คนที่ลงแข่งที่เรารู้จักก็มีแค่พายนี่ คราวนี้ก็คงมีแค่พายอีก”
“แล้วถ้าคราวนี้เราลงแข่งล่ะ นายจะเชียร์เราไหม”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
อาจารย์หนุ่มพยักหน้า
“ว่าแต่...ไม่กินเหรอ” แสนยากล่าวทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ มือหนึ่งหยิบพิซซาส่งให้
ชลชาติมองพิซซาชิ้นนั้นก่อนจะเลื่อนตาขึ้นสบ “ไม่อยากมือเลอะ” ว่าแล้วก็จับข้อมืออีกฝ่ายแล้วงับชิ้นพิซซาทั้งที่ดวงตายังไม่ย้ายไปไหน
“จะกินยังกลัวมือเลอะ” หนุ่มศิลปินกล่าวพร้อมกับชักมือกลับ วางชิ้นที่เป็นของคนนั่งฝั่งตรงข้ามลงแล้วจัดการกับส่วนของตนเองที่ยังเหลืออยู่
“หายไปไหนมา ไม่เห็นรถจอดที่คณะเลย” อาจารย์หหนุ่มกล่าว จริง ๆ อยากถามว่า “ทำไมไม่เห็นแวะไปหาที่คณะเลย” มากกว่า
“อยู่ที่คณะนั่นแหละ แต่รถเสียน่ะ เพิ่งซ่อมเสร็จวันนี้เอง” พูดจบก็หยิบพิซซาชิ้นของคู่สนทนาขึ้น “เอาอีกไหม”
ชลชาติพยักหน้า ก่อนจะกัดพิซซาที่อีกฝ่ายยื่นให้
“ขอบใจนะ ขนาดว่าเราว่ายุ่งวุ่นวายแต่ยังซื้อของมาให้กินอีก”
คนฟังสบตานิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก็บคำพูดในคราวนั้นมาคิด รู้สึกราวกับมีบางสิ่งจุกอยู่กลางอก จะอ้าปากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แสนยาก็กล่าวต่อเสียก่อน
“คราวก่อนเราเลี้ยงกาแฟนาย ครั้งนี้นายเลี้ยงพิซซาเรา ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ” ว่าแล้วก็หยิบพิซซาขึ้นมากินอีกชิ้น
“มี” ชลชาติเอ่ยขึ้น “นายยังมีเรื่องที่ติดค้างเรา”
“เรื่องอะไร” แสนยาเลิกคิ้ว แต่ก็ยังกินเอา ๆ
อาจารย์หนุ่มจ้องหน้าคนนั่งอีกฝั่งตาไม่กะพริบ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “นายคิดยังไงกับเรากันแน่”
เล่นเอาสำลัก แสนยาเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นตบลงบนอก จะคว้าน้ำมาดื่ม อีกฝ่ายก็เลื่อนแก้วหนี
“ตอบมาก่อน”
“อะ...ไอ้มีน เอาน้ำมาก่อน ร...เร็วข...เข้า จะติดคอตายอยู่แล้ว”
ชลชาติเห็นคนพูดหน้าดำหน้าแดงจึงยอมส่งแก้วน้ำให้ ส่วนแสนยาเมื่อรับมาก็ดูดพรวด ๆ ในที่สุดจึงวางลง มุ่นคิ้วพลางใช้หลังมือเช็ดปากไปพลาง
“อยู่ ๆ ก็พูดบ้าอะไรเนี่ย”
“เออ ช่างเถอะ เรากลับก่อนนะ” อาจารย์หนุ่มกล่าวเรียบ ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากมา
กว่าจะเดินถึงรถ ชลชาติก็ถอนหายใจไปหลายเฮือก เขาไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงได้กล่าวถ้อยคำนั้นออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้นึกต่อว่าอีกฝ่ายที่ชอบมายุ่งวุ่นวายกับชีวิต แต่พอไม่พบหน้ากันกันไม่กี่วัน กลับเป็นตัวเขาเองที่ทนอยู่เฉยไม่ได้
....
“พาย คนนั้นใครน่ะ” นคินทรกระซิบถามเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ของพายุพัดส่งเสียงฮือฮาทันทีที่หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในห้องพักนักกีฬา
“เพื่อนสนิทของข้าวโอ๊ต ชื่อใบตอง”
“ใบตอง ตรีฉัตร สิริฉัตรน่ะเหรอ”
“ใช่ คนนี้แหละที่ได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ปีเดียวกับมีน”
นคินทรพยักหน้า มองตามเจ้าของเรียวขางามที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนสาวที่พายุพัดแนะนำให้รู้จักตั้งแต่การแข่งขันว่ายน้ำการกุศลเมื่อปีก่อน
“ห้ามมอง มองอะไรนักหนา” พายุพัดกล่าวเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นบังสายตาของอีกฝ่าย
“ก็เขาสวยนี่”
ฉลามหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเป่าปากหวีดหวิวก็ดังขึ้นเมื่อชลชาติซึ่งอยู่ในชุดวอร์มเปิดประตูออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เท่านั้นความสงสัยของคนที่ยืนข้าง ๆ กันก็ผุดขึ้นมาอีก แม้นคินทรจะไม่ได้เอ่ย แต่คำถามมากมายกลับฉายชัดอยู่บนใบหน้าชวนมอง
“เป็นแฟนเก่ามีน” พายุพัดบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม จากนั้นจึงคว้าข้อมือคนรักแล้วพากันหันหลังให้ความวุ่นวาย
ฉลามหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยกับสถานที่ เดินไปตามทางแคบ ๆ เพื่อหลบเลี่ยงกองทัพนักข่าว มุ่งหน้าสู่สระว่ายน้ำ กระนั้นนคินทรก็ยังไม่หยุดพูดถึงบุคคลที่สาม
“ตรีฉัตร สิริฉัตร... สมัยนั้นน่ะดังพอ ๆ กับพายุพัด นาวาภักดิ์เลยนะ” ครุหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ไม่ทันระวังตัวจึงถูกเจ้าของชื่อดันร่างชิดกับกำแพง
พายุพัดใช้มือหนึ่งยึดเอวคนพูด ส่วนอีกมือยกขึ้นบีบจมูกของเขาเบา ๆ “แซวอะไร”
“ไม่ได้แซว พูดความจริง” นคินทรกล่าวพลางจับมือมือใหญ่ ถอดกำไลรูปปลาที่ข้อมือของอีกฝ่ายแล้วสวมเข้าที่ข้อมือของตน
“ทำไมมือเย็นจัง”
“ตื่นเต้นน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ฝนกับแม่มานั่งดูด้วย”
คนฟังยิ้มน้อย ๆ เลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้า แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงบนสองแก้มอย่างแผ่วเบา “หายตื่นเต้นนะ”
“ใจเต้นยิ่งกว่าเดิมอีก” หนุ่มนักกีฬาตอบตามจริง มือหนายึดต้นคอระหงก่อนจะประกบจูบหนักหน่วงลงบนกลีบปากที่มักส่งยิ้มมาให้เสมอ
“พ...พาย พอแล้ว” นคินทรบอกเมื่อมีจังหวะหายใจ “ทำอย่างนี้แล้วหายตื่นเต้นหรือไง” บ่นอุบเมื่อริมฝีปากอุ่นเริ่มรุกรานลงมาถึงซอกคอของตน
คนฟังหัวเราะในลำคอก่อนจะเลื่อนปากขึ้นกระซิบ “หายตื่นเต้นเรื่องอื่นมาตื่นเต้นเรื่องม่อนแทนไง”
“มันใช่เวลาไหมเนี่ย” พูดจบก็ดันร่างอีกฝ่ายให้ห่างตัว
“แล้วมันต้องเวลาไหนล่ะ”
“พาย!”
“ก็เราไม่รู้จริง ๆ ม่อนบอกมาสิ เราจะได้ตั้งเวลาไว้ ถึงว่าทำไมตอนเด็ก ๆ โค้ชสอนเสมอเลยว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องเป็นคนตรงต่อเวลา”
นคินทรมุ่นคิ้ว กระนั้นใบหูและสองแก้มที่กลายเป็นสีแดงระเรื่อก็ฟ้องต่อสายตาคนมองว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าพวกนักข่าวหรือแฟนกีฬาว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอกจะรู้ไหมว่าขณะนี้ฉลามหินของพวกเขาได้กลายร่างเป็นโลมาตัวลื่น ๆ ไปเสียแล้ว
...
เห็นว่าอีกนานกว่าจะเริ่มการแข่งขัน แสนยาจึงเดินลงจากอัฒจันทร์ ตั้งใจจะกลับไปหยิบของสำคัญที่ลืมไว้ในรถ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ลานจอดรถสำหรับผู้ถือบัตร V.I.P. ซึ่งอยู่ด้านหลังสระว่ายน้ำ ภายใต้แสงไฟสลัวในช่องทางเดิ นที่เชื่อมต่อไปยังห้องพักนักกีฬาปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่ง เขากำลังใช้มือประคองปรางแก้มของหญิงสาว ใบหน้านั้นโน้มลงใกล้จนอยู่ในมุมที่หมิ่นเหม่เหลือเกิน หากมีนักข่าวอยู่แถวนี้ ภาพนี้คงได้อยู่ในคอลัมน์ซุบซิบวงการกีฬาเป็นแน่
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ตอง” ชลชาติกล่าวพลางมองหาเศษผงในตาของอีกฝ่าย “ยังแสบอยู่หรือเปล่า”
“นิดหน่อยจ้ะ สงสัยออกไปแล้วมั้ง”
คนตัวสูงพยักหน้า คลายมือออก บังเอิญสบตากับคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาในจังหวะที่เงยหน้าขึ้น
“ค...คือ...จะไปเอาของที่รถน่ะ” แสนยากล่าวตะกุกตะกักยกมือปฏิเสธ “ม...ไม่ได้จะรบกวนนะ” พูดจบก็รีบสาวเท้าผ่านไปทันที
หนุ่มศิลปินเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูแล้วหยิบซองกระดาษเล็ก ๆ ที่ทำหล่นไว้บนเบาะนั่ง เมื่อปิดประตูและกำลังหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุงโหยง เมื่อจู่ ๆ คนที่พบกันเมื่อสักครู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้า
“เรากับตองไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด” ชลชาติเอ่ยขึ้น
“ล...แล้วมาบอกเราทำไมวะ” แสนยากล่าว จะเดินเลี่ยงอีกฝ่ายก็ขวางไว้ด้วยท่อนแขนข้างหนึ่ง จะหนีไปอีกทางก็ถูกแขนอีกข้างกันไว้ จะถอยให้ห่างกว่านี้แผ่นหลังก็ถูกดักไว้ด้วยรถของตนเอง
“เราอยากบอก นายจะได้ไม่เข้าใจผิด” อาจารย์หนุ่มกล่าวขณะที่สองมือยันกับหลังคารถ “เรื่องที่เคยว่านายยุ่งวุ่นวายก็เหมือนกัน เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า” แสนยาฝืนหัวเราะ แอบกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยไม่เคยเห็นใบหน้าจริงของอีกฝ่ายมาก่อน
“แสน...เลิกทำเป็นเล่นสักทีได้ไหม โดยเฉพาะกับหัวใจเรา”
“อะไรวะ เมื่อกี้ยังจูบกับอีกคน แล้วตอนนี้มาพูดอย่างนี้กับเรา” หนุ่มศิลปินก้มหน้าลงมองของที่ถืออยู่ในมือพลางบ่นงึมงำ
“เมื่อกี้ไม่ได้จูบ แต่ที่จะจูบน่ะคือจากนี้ต่างหาก เราจะจูบจนกว่านายจะยอมบอกว่านายคิดยังไงกับเรากันแน่” พูดจบชลชาติก็เชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าขึ้น กำลังจะโน้มลงจุมพิต ก็ถูกมือของอีกฝ่ายผลักจนหน้าหงาย
“พอเลยไอ้มีน” แสนยารั้งมือชลชาติขึ้น “มัวชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ได้ให้ของกันพอดี” ว่าแล้วก็เปิดซองดึงกลุ่มด้ายสีขาวพันรวมกันเป็นเส้นใหญ่ออกมาแล้วผูกให้ที่ข้อมือ
“ด้ายอะไร”
“สายสิญจน์โว้ย”
“มีแต่เขาให้แหวนกำไลสร้อยกัน แต่นายกลับให้สายสิญจน์เราเนี่ยนะ”
“ปลุกเสกโดยหลวงพ่อแสนเชียวนะ” แสนยาหัวเราะ เห็นอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์ร่วมจึงจำต้องหยุด “ขอโทษ ๆ พูดเรื่องจริงก็ได้ เราได้มาจากวัดพระธาตุแช่แห้งน่ะ นายเอาติดตัวไว้จะได้แข่งชนะไง”
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เราคิดได้ยังไง” ชลชาติบอกยิ้ม ๆ พลางมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาผูกสายสิญจน์ให้
“ไม่แปลกหรอกถ้านายจะคิด เพราะเราก็ไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน” คนพูดยิ้มกับตัวเองเมื่อผูกเสร็จ “เสร็จแล้ว ไป ๆ ไปได้แล้ว จะแข่งแล้ว”
“เดี๋ยววว” ชลชาติกล่าวพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”
แสนยาแยกเขี้ยวยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงแล้วมุดลอดกรงแขนของอีกฝ่าย “ไม่พูดแล้ว” พูดจบหนุ่มศิลปินก็เดินจ้ำไปทันที
ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ สาวเท้าตามจนทัน ปากถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ แต่แสนยาก็ไม่ยอมบอก
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ