ตอนที่ 2
ม่านเมฆ
แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้าท่ามกลางความมืดสะท้อนกับกรอบแว่นตาอันโตสีดำที่ประดับอยู่บนดวงหน้าจนเป็นประกาย ชายหนุ่มเจ้าของดวงหน้าเรียวที่พอจะมีความหล่ออยู่บ้างหากยอมสลัดแว่นอันโตออกจากใบหน้าที่ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มเนิร์ดในสายตาของผู้พบเห็นออกไป เขาใช้ปลายนิ้วดันแว่นที่ลื่นตกลงมาอยู่ปลายจมูกโด่งให้กระชับใบหน้า ก่อนจะรีบพรมนิ้วมือลงบนแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็วจนเสียงดังลั่นท่ามกลางความเงียบ
เหงื่อผุดซึมไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่มทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องแทบจะเรียกได้ว่าเย็นจัด เพราะเจ้าของห้องอย่างเขานั้นเกลียดอากาศร้อนเป็นที่สุด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อพบว่าภารกิจในวันนี้ดูเหมือนจะยากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เนื่องจากทีมรักษาความปลอดภัยของฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุกเล็ดลอดเข้ามาในระบบของตนเองแล้ว
“เอาซี่ คิดว่าจะชนะคนอย่างไอ้เมฆได้เหรอ"
ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา แล้วกัดริมฝีปากของตนเองแน่นด้วยท่าทีฮึดสู้ พร้อมกับพรมนิ้วมือลงบนคีบอร์ดรัวเร็ว ไม่นานเขาก็สามารถเข้าครอบครองระบบของอีกฝ่ายจนได้ เขาจัดการสั่งปิดระบบของฝ่ายนั้น พลิกเปลี่ยนให้ผู้ดูแลกลายเป็นเพียงคนนอกของระบบรักษาความปลอดภัยนั้นในชั่วพริบตา ก่อนจะถล่มอีกฝ่ายด้วยการส่งไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะให้แก่ฝ่ายตรงข้าม แล้วรีบถอนตัวออกจากระบบเมื่อเขาส่งของขวัญสุดที่รักให้พวกมันเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งไวรัสลูกรัก...และการถล่มระบบรักษาความปลอดภัย จัดการแฮกเปลี่ยนพาสเวิร์ดสำคัญทั้งหมด แล้วใส่ระบบป้องกันอีกชั้นเพื่อกันไม่ให้คนของทางนั้นแก้ปัญหาเครือข่ายถูกบุกรุกได้เร็วนัก
เหอะ! แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่กล้าท้าทายเขา!
กระจอก!
ฝีมืออย่างนี้ ถึงจะดีขึ้นมาหน่อยแต่อย่าคิดเทียบเคียงเขาได้...ไปฝึกมาใหม่อีกสักสิบปีเถอะไอ้หนู เผื่อจะเปลี่ยนจากวิ่งไล่ตามมาเป็นขี่จักรยานตามถึงจะตามจับตัวเขาได้!
“เมฆ เมฆ! ไอ้เมฆ!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อดังลั่นอยู่ข้างๆ หู พร้อมกับที่อีกฝ่ายเขย่าตัวเขาแรงๆ ม่านเมฆจึงปัดมือฝ่ายนั้นออกอย่างรำคาญ แล้วพลิกตัวหมายจะนอนหลับต่อ เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะได้นอนก็กินเวลาตั้งตีสี่ อย่าว่าอย่างโน่นอย่างนี้เลย คนที่นอนเกือบเช้าตื่นหัวค่ำอย่างเขาไม่มีทางคิดจะลุกขึ้นมาสู้แดดยามเช้าเด็ดขาดถ้าไม่มีความจำเป็น
“ไอ้เมฆ ถ้าไม่ตื่นฉันจะเอาน้ำสาดปลุกแกจริงๆ ด้วย"
เสียงห้าวทุ้มนั้นดังดังลั่นข้างๆ หู แถมเจ้าของเสียงยังเอื้อมมือมาเขย่าพร้อมกับกระชากแขนเสียจนม่านเมฆสะดุ้งและไม่สามารถนอนได้อีกต่อไป
“ไอ้พี่เหม!” ชายหนุ่มเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ดวงตาปราศจากแว่นสายตาอันโตหรี่มองเหมันต์ด้วยความรู้สึกง่วงงุนปนหงุดหงิด ม่านเมฆร้องอุทธรณ์เสียงแหบพร่า "มาปลุกทำไมแต่เช้าเนี่ย ก็รู้อยู่แล้วว่าผมเพิ่งได้นอน"
“วันนี้มีงานแต่เช้านะ แกจะมานอนกินบ้านกินเมืองได้ยังไง!"
เหมันต์เอ่ยพลางใช้เท้าสะกิดให้เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้าระอาใจ
“งั้นขอลาหยุด วันนี้ไปทำงานไม่ไหว"
ม่านเมฆน้ำเสียงหงุดหงิด รู้สึกปวดหัวเพราะนอนไม่พอ คว้าผ้าห่มที่ร่นตกไปกองตรงปลายเท้าขึ้นมาห่มอีกครั้ง คราวนี้คลี่คลุมศีรษะตนเองโดยไม่สนใจเหมันต์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงแม้แต่น้อย
“อย่าบ้านะเมฆ!” เหมันต์ตะโกนลั่น แล้วเริ่มใช้เท้าถีบเขาแรงมากขึ้น "ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แกก็รู้ว่าวันนี้มีงานด่วน!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเหม”
เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น ‘ลีน’ ที่กำลังจะเดินผ่านห้องนอนของม่านเมฆที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ด้วยฝีมือเหมันต์ได้ยินเสียงสองทั้งคู่ทุ่มเถียงกัน โดยเฉพาะเสียงของเหมันต์ที่ดังลอดผ่านออกมาดึงดูดให้หญิงสาวเดินเข้ามา
“ก็ไอ้ขี้เซานี่น่ะสิ” เหมันต์ชี้มือไปยังร่างของม่านเมฆที่นอนคลุมโปงอยู่ "เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ทั้งๆ ที่เป็นผู้จัดการแท้ๆ”
“อ้าว" เซลีนร้องครางกลายเป็นว่าเธอมายืนดูม่านเมฆหลับด้วยอีกคน “วันนี้สำคัญซะด้วย งานบ้านคุณพอฤทัยใช่ไหม” หญิงสาวหันไปถามเหมันต์
“ใช่ แล้วถ้ามันไม่ไปด้วย คุณพฤทัยต้องถามเซ้าซี้ยาวเหยียดแน่ๆ ฉันขี้เกียจแก้ตัวว่าทำไมคนโปรดถึงไม่ไป" เหมันต์อธิบายยืดยาวแล้วมองคนขี้เซาด้วยสายตาถอนหายใจ
“งั้นนายถอยอกมาห่างๆ ฉันจัดการเอง"
“เธอจะทำยังไงน่ะลีน?”
“ง่ายๆ " เซลีนแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอเดินไปวนเวียนตรงโต๊ะคอมพิวเตอร์ของม่านเมฆแล้วหมุนข้อมือเป็นวงราวกับว่าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะหยิบอะไรดี สุดท้ายเธอก็หยิบเอาแทปเล็ต...ลูกสาวหมายเลขสอง ของใช้สุดรักสุดหวงของม่านเมฆขึ้นมา
“ถ้าเมฆมันไม่ยอมตื่น" เซลีนหัวเราะหึๆ ในลำคอ "บางทีมอลลี่ที่รักอาจจะกลายเป็นแค่เศษซากเทคโนโลยีก็ได้นะ"
“ไม่นะ!” คนที่ดูเหมือนจะนอนคลุมโปงอยู่เด้งตัวขึ้นมาจากที่นอนทันที ดวงตาเรียวสวยที่มักจะซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นหันไปถลึงตาดุๆ ใส่เซลีน "อย่าคิดทำร้ายลูกฉันเชียวนะลีน ไม่งั้นฉันจะเล่นงานเธอแน่ๆ !"
“อ้อ...ยอมตื่นแล้วเหรอ" เซลีนวางแทปเล็ตลงกับโต๊ะที่เดิม แล้วหันมายิ้มกริ่มยักคิ้วให้กับเหมันต์ที่ได้แต่โคลงศีรษะด้วยความระอา
“ถ้าวันนี้ไม่สำคัญจนต้องมารบกวนการนอนของฉัน ทั้งสองคนเละแน่ ไอ้พี่เหม! ลีน!” ชายหนุ่มหันไปอาฆาตเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันจนแทบจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พลางควานมือเปะปะไปยังโต๊ะข้างเตียงที่จำได้ว่าเขาถอดแว่นวางเอาไว้ตรงนั้นก่อนเข้านอน
เมื่อสวมแว่นสายตาแล้วโลกของเขาก็แจ่มชัดขึ้น และหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักอ่อนกว่าวัยก็หายไปด้วย กลับกลายเป็นหนุ่มเนิร์ด เจ้าของผมฟองฟูมาแทนที่
“สำคัญน่ะสิ เพราะเราจะต้องไปบ้านคุณพอฤทัยกัน ที่นั่นมีงานเลี้ยงวันเกิด แล้วฉันก็ไม่อยากไปสาย" เหมันต์พูดพลางกอดอก
“และที่สำคัญยิ่งกว่า...นายต้องเป็นคนไปประกบคุณพอฤทัยในขณะที่ฉันต้องเข้าไปสำรวจบ้านนั้นน่ะสินายคนโปรด ไม่รู้เธอถูกใจอะไรในตัวนายกันนะเมฆ ถึงได้ชอบนายนักหนา" เซลีนเสริม และแน่นอน อดที่จะจิกกัดไม่ได้ เพราะคนที่แสนจะเก็บตัวที่สุดอย่างม่านเมฆ ดันเป็นคนที่คุณพอฤทัยถูกอกถูกใจไปเสียได้! ไม่รู้ว่าเล็งนายเมฆไว้เพื่อตัวเองหรือเพื่อหลานสาวกันแน่!
“คุณเขาจะรู้ไหมเนี่ยว่าที่ถูกใจน่ะมันไอ้ตัวร้ายชัดๆ ถ้ารู้ว่านายเป็นคนวางแผนหาหลักฐานจับผิดหลานชายที่ดันเป็นขาใหญ่กระจายยาเสพติดไปทั่วภาคกลางจะทำหน้ายังไงนะ"
คุณพอฤทัยม่ายสาวร้อยล้านคนดัง นอกจากหลานสาวแล้วก็ยังมีหลานชายซึ่งถือได้ว่าเป็นมือขวาของเธออีกหนึ่งคน และแน่นอนว่าย่อมถูกวางตัวเป็นทายาทของธุรกิจใต้ดินของเธอด้วย
เครือข่ายของคุณพอฤทัยถูกพวกเขาแทรกแซงและจับตามองมานานแล้ว...หลังจากประกบตามอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดงานของพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ซึ่งก็คือวันนี้...
“ก็ทำหน้าเป็นคุณพอฤทัยนั่นแหละ" ม่านเมฆตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพราะตอนนี้เขาตาสว่างเรียบร้อยแล้ว "ออกไปกันได้แล้ว ฉันจะได้อาบน้ำแต่งตัวเสียที อีกสิบนาทีเจอกันข้างล่าง"
พูดเสร็จชายหนุ่มก็เดินตรงไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำก็ชะโงกหน้าออกไปตะโกนบอกทั้งสองคน
“อ้อ ออกไปล็อกห้องให้ด้วย แล้วสำหรับเธอนะลีน” เขาชี้นิ้วใส่สาวสวยเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าดุๆ “คราวหน้าอย่าคิดใช้น้องมอลลี่มาขู่ฉันอีก ไม่งั้นฉันเล่นงานเธอแน่ๆ "
ม่านเมฆอายุยี่สิบสี่ปี เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในระดับปริญญาตรีและเรียนปริญญาโทด้านการบริหาร นอกจากนั้นยังเรียนผ่านระบบออนไลน์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ชายหนุ่มเข้าเรียนก่อนเกณฑ์อยู่กลายปีจึงทำให้จบไวกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นคนเก็บตัวและเข้ากับคนอื่นได้ไม่ค่อยดีนัก
หลังเรียนจบเขาก็ทำงานอยู่ฝ่ายเทคนิคขององค์กรอิสระแห่งหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นสำหรับปราบปรามอาชญากรด้วยการชักชวนของเพื่อนของบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
เขาเคารพนับถืออีกฝ่ายเนื่องจากเป็นคนที่คอยดูแลและส่งเด็กกำพร้าอย่างเขาให้เรียนหนังสือจนจบแม้ว่าระหว่างนั้นเขาก็มีงานที่ทำรายได้ให้ตัวเองเป็นกอบเป็นกำก็ตาม แต่ก็เลิกไปเมื่ออีกฝ่ายชักชวนให้เขาเดินในทางที่ถูกที่ควรและทำงานร่วมกัน
ขอบเขตหน้าที่ส่วนใหญ่ของชายหนุ่มจะอยู่ในส่วนวางแผนและข้อมูล เขาไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกนัก เว้นแต่ว่างานนั้นจำเป็นต้องใช้เขาหรือขาดคนจริงๆ ชายหนุ่มจึงจะยอมก้าวเท้าออกจากองค์กร ซึ่งฉากหน้าเปิดเป็นบริษัทรับจัดงานอีเวนต์ต่างๆ โดยมีพันธิต เพื่อนของพ่อเป็นหัวหน้าสูงสุดขององค์กร และเขาก็เป็นคนชักชวนให้ม่านเมฆเข้ามาทำงานนี้อีกด้วย
ทีมของพันธิตนั้น นอกจากเขา ก็มีเหมันต์...รองหัวหน้า ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ เซลีน...เพื่อนสาวที่ร่วมงานกันบ่อยจนสนิทกันแต่ก็เป็นคู่กัดกันบ้างในบางครั้ง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นๆ อีกสี่ห้าชีวิตที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องมากเท่าไหร่นักเพราะพวกนั้นมักจะเป็นฝ่ายภาคสนามมากกว่า เนื่องจากปกติแล้วหน่วยปฏิบัติการนั้นจะไม่มีเขา เพราะ...ม่านเมฆคิดถึงตัวเองแล้วอมยิ้ม
...ก็ไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างน่ะสิ!
การต่อสู้อะไรใดๆ ล้วนไม่เอาอ่าว ร่างกายของเขาอ่อนแอ เหนื่อยง่ายเกินกว่าจะไปออกกำลังกายอย่างชาวบ้านได้ ให้เขาใช้สมองคำนวณตัวเลขระดับหลักพันล้านยังจะเร็วเสียกว่าการที่จะให้เขาออกแรงชกต่อยกับใคร
แต่ถ้าให้เขาท่องจำจากหนังสือทั้งเล่ม แล้วเขียนเป็นคำตอบในยามทำข้อสอบส่งอาจารย์ยังง่ายกว่าเลย
ไอ้พี่เหมันตร์เคยบอกว่าการต่อสู้ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งไม่ใช่แค่การออกกำลังชกต่อยกับชาวบ้าน เขาควรจะเรียนรู้ไว้ ทว่าศิลปะเดียวที่ม่านเมฆข้าใจคงจะมีเพียงศิลปะของตัวเลขและการคำนวนที่พี่กับเพื่อนสนิทได้แต่ส่ายหน้าเท่านั้น
แน่นอนว่าแค่ให้ม่านเมฆเดินบนพื้นราบก็แทบจะสะดุดอยู่แล้ว วัน ๆ เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังนั้นอวัยวะที่ใช้งานมากที่สุดก็เห็นจะเป็นนิ้วมือนั่นแหละ จะให้เขาไปเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้พวกนั้นยังไงไหว!
“ป้าดีใจที่คุณมาด้วยนะคะคุณเมฆ"
คุณพอฤทัยเดินปรี่เข้ามาหาทันทีที่ม่านเมฆก้าวลงจากรถตู้ของบริษัทรับออแกไนเซอร์ซึ่งเปิดเอาไว้บังหน้า ม่านเมฆยกมือขึ้นไหว้หญิงวัยเกือบหกสิบที่ดูสาวกว่าอายุจริง พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย
“คุณพอฤทัยมีงานทั้งที แถมใช้บริการจากแอลออร์แกไนเซอร์ของทางเราตลอด ผมก็ต้องมาดูแลด้วยตัวเองสิครับ" ม่านเมฆตอบเอาใจหญิงวัยกลางคน ชายหนุ่มรู้จักคุณพอฤทัยมาหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่อีกฝ่ายจัดงานวันเกิดของตัวเองเมื่อปีก่อนแล้วจ้างบริษัทแอลออร์ไนเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นฉากหน้าขององค์กร ม่านเมฆดูแลงานในส่วนนี้ทว่าโดยมากเขาไม่ค่อยได้มาดูงานนอกสถานที่ด้วยตนเอง นอกจากครั้งนั้นเพราะเหมันตร์ติดงานด่วนและไม่มีใครว่าง
นับตั้งแต่เจอพอฤทัยและมีการติดต่อกันบ่อยๆ อีกฝ่ายก็มักจะแนะนำคนรู้จักในแวดวงตนเองให้ติดต่องานกับเขา ทุกวันนี้ม่านเมฆก็ยังคิดไม่ตกว่าเหตุใจคุณพอฤทัยนั้นจึงถูกใจเขาอย่างออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่ควรจะไปชื่นชมเหมันต์ไม่ก็เซลีนมากกว่าจะมาสนใจหนุ่มแว่นเฉิ่มและไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเขา และแน่นอน...ม่านเมฆไม่คิดจะถาม ถึงแม้จะได้ยินแว่วๆ มาว่าคุณพอฤทัยเคยถึงขั้นจะจับคู่เขากับหลานสาวคนโปรดของท่าน ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เข้าบ้านกันก่อนนะคุณเมฆ งานเลี้ยงวันเกิดยายป่านอีกกว่าชั่วโมงถึงจะเริ่ม คนของคุณเมฆมาจัดงานตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี คิดซะว่ามาเป็นแขกของป้าแล้วกัน ทำตัวตามสบายนะ" ตอนท้ายเธอหันไปทางเหมันต์และเซลีนซึ่งตามมาทำงานด้วยกัน ทั้งคู่ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ให้แก่คุณพอฤทัยเท่านั้น
แล้วคุณพอฤทัยก็ชวนม่านเมฆให้เข้าไปด้านในบ้าน ทิ้งให้ทั้งสองคนโดยเฉพาะเซลีนได้แต่มองตามหลังไปอย่างขำๆ ก่อนเธอจะปรายตามองคนที่แต่ไหนแต่ไรมักจะเป็นจุดเด่นราวกับดาวล้อมเดือน เพราะเหมันต์นั้นทั้งหน้าตาดี ฐานะร่ำรวย ชื่อเสียงในฐานะเจ้าของธุรกิจออร์แกไนซ์ชื่อดังรวมถึงธุรกิจด้านอื่นก็โด่งดังเป็นที่รู้จัก โปรไฟล์ของเหมันต์ที่ถูกสร้างขึ้นถือว่าดีกว่าม่านเมฆด้วยซ้ำ ทว่าทุกครั้งที่เหมันต์มาบ้านคุณพอฤทัยก็จะกลายเป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นดึงดูดใจเท่าผู้จัดการบริษัทอย่างม่านเมฆในสายตาคุณพอฤทัย
“เมฆมีดีอะไรนะ คุณฤทัยอะไรเนี่ยถึงติดใจจัง" เซลีนมองไล่หลังคนทั้งคู่จนสุดสายตา
เหมันต์ยักไหล่ ยิ้มทรงเสน่ห์ “ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะเมฆดูซื่อๆ แล้วทำงานเก่งมั้ง คุณพอฤทัยคงชอบคนที่ดูเหมือนจะโอนอ่อนผ่อนตามแล้วดูหัวอ่อนอย่างเมฆก็ได้”
ชายหนุ่มคาดเดา และนั่นทำให้คนฟังแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“ซื่อๆ? หัวอ่อน?” เซลีนทวนเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะขำอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “เมฆเนี่ยนะ!”
“ก็เมฆนั่นแหละ” เหมันต์หัวเราะออกมาบ้าง เมื่อคิดว่าถ้าคุณพอฤทัยคิดว่าม่านเมฆเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ซื่อกับผีน่ะสิ ถ้าเมฆเป็นคนซื่อและหัวอ่อน ทั้งโลกนี้ก็สมควรกำจัดคนซื่อและหัวอ่อนให้หมดโลก ตัวอันตรายและหายนะชัดๆ!"
“ใช่ อันนี้ฉันเห็นด้วยกับเธอนะลีน" น้อยครั้งที่เหมันต์จะมีความคิดเห็นตรงกันกับเซลีนโดยไม่ขัดแย้ง
ถ้าคุณพอฤทัยคิดว่าคนอย่างม่านเมฆเป็นคนซื่อๆ หัวอ่อน...ก็สมควรจะต้องตัดแว่นใหม่
แต่อาจต้องไปตัดในคุกนะ...หลังจากเสร็จงานนี้!
“ลีน...”
เสียงเรียกชื่อเธอดังแผ่วเบาทำให้เซลีนชะงักจากการดูแลคนงานที่กำลังทำงานอยู่ เธอหันไปส่งสัญญาณกับเหมันต์แล้วจึงค่อยๆ เดินเลี่ยงหนีจากกลุ่มไป มองซ้ายมองขวาแล้วไปยืนอยู่คนเดียวตรงสนามกว้าง ทำทีเป็นหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู ทั้งๆ ที่เสียงที่เรียกนั้นดังมาจากหูฟังไร้สายเล็กๆ อุปกรณ์สื่อสารเฉพาะที่ม่านเมฆเป็นคนคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการทำงาน
หญิงสาวเลือกที่จะมายืนอยู่คนเดียวกลางสนามกว้างเพื่อป้องกันการดักฟัง ทำอย่างนี้หากใครเข้าใกล้รัศมีของเธอจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าแอบเข้าไปพูดในห้องเป็นไหนๆ
“ว่าไง" เซลีนที่แนบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดบังตอบกลับเสียงเบา ทางปลายสายก็ตอบกลับมาเสียงเบาไม่แพ้กัน
“คุณพอฤทัยกับคนอื่นๆ จะอยู่ในด้านหน้าเวทีทั้งหมดในช่วงการแสดงบนเวที เธอมีเวลาราวๆ เจ็ดนาทีในการค้นหารายชื่อคู่ค้าของคุณพอฤทัยกับนายรัฐศาสตร์ ฉันคิดว่าน่าจะอยู่ในห้องนอนของคุณพอฤทัย และตามนิสัยแล้วคุณพอฤทัยต้องเก็บไว้ในตู้เซฟลับข้างในตู้เสื้อผ้าแน่ๆ"
คำสั่งยืดยาวและแสนรู้ดีสมกับเป็นคนโปรดที่ถูกเล็งให้เป็นว่าที่หลานเขยทำให้เซลีนได้แต่แค่นยิ้ม
“ได้ ไม่มีปัญหา” หญิงสาวตอบกลับอย่างมั่นใจ “นายก็ตามดูและตามประกบคุณพอฤทัยให้ดีก็แล้วกัน”
“จำไว้ว่าเธอมีเวลาเจ็ดนาที" ม่านเมฆย้ำ ไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนร่วมงาน
คราวนี้เซลีนหลุดหัวเราะไม่ได้ “ว่าแต่นายดันไปรู้ได้ยังไงว่าคุณเก็บของไว้ที่ไหน ตู้เซฟลับอยู่ตรงไหน”
“นายคิดว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันต้องเสียเวลากี่เดือนกันในการเอาใจคุณพอฤทัย”
คำถามย้อนกลับนั้นทำให้เซลีนยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณพอฤทัยคอยจับคู่ให้กับม่านเมฆกับตาเธอก็คงคิดว่าหญิงวัยกลางคนนั่นเล็งเพื่อนของเธอเป็นคนรักมากกว่าต้องการเป็นหลานเขย แล้วอดขำไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายตัดการติดต่อไปอย่างหงุดหงิด รู้ดีว่าคนชอบเก็บตัวอย่างม่านเมฆต้องมาทนเอาใจคุณพอฤทัยมานานเกือบปีนั้นฝืนจะทนมากแค่ไหน ดีที่ไม่ต้องทนเจอหน้าทุกวัน ไม่อย่างนั้นคนอย่างม่านเมฆคงสติแตกตายเสียก่อน
เสียงดนตรีไทยแผ่วหวานดังขึ้น ม่านเมฆเหลือบตามองไปทางเหมันต์แวบหนึ่งก็เห็นอีกฝ่ายค่อยๆ ปลีกตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาหยิบเอามอลลี่...แทปเล็ตที่ตนเองดัดแปลงภายในเสียจนประสิทธิภาพของมันสูงกว่าคอมพิวเตอร์จัดการป่วนล่มระบบกล้องวงจรปิดของบ้านคุณพอฤทัย จากการวนเวียนเข้ามาภายในบ้านนี้หลายปีตั้งแต่ได้เบาะแสว่าคุณพอฤทัยและหลานชาย...นายรัฐศาสตร์ ที่เริ่มตั้งตนเป็นเจ้าพ่อลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือมากระจายสู่ภาคกลาง ทว่าเพราะความฉลาดและการจัดการวางแผนที่ดี ทำให้หลายต่อปลายปีไม่มีใครจับได้ไล่ทันคุณพอฤทัยและนายรัฐศาสตร์ได้เสียที จนกระทั่งงานนั้นมาสู่มือพวกเขา
“ยายรดานี่ไม่ว่ายังไงก็สะกดสายตาคนได้เสมอเลยนะคุณเมฆ...เห็นด้วยกับป้าไหม"
คุณพอฤทัยที่นั่งอยู่ข้างๆ เอนตัวมาคุยกับเธอ แต่สายตายังเหลือบมองหลานสาวที่ร่ายรำอยู่บนเวที และหวังชวนให้ม่านเมฆชื่นชมหลานสาวของเธอ
ม่านเมฆคลี่ยิ้มอย่างรู้ทันแต่ไม่แสดงออกอะไร เขากดปุ่มปิดหน้าจอแทปเล็ตให้มืดสนิท ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปแล้วหันไปตอบคุณพอฤทัยว่า "คุณรดาเป็นคนมีเสน่ห์ครับ แล้วผมว่าเสน่ห์ของคุณรดาจะเห็นชัดที่สุดตอนที่อยู่บนเวทีสมกับที่จบนาฏศิลป์มาโดยตรง ใครบ้างจะไม่หลงรักเธอเวลาเธออยู่ข้างบนนั้น ซึ่งผมไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณรดาเลย อย่างพี่เหมอาจจะเหมาะสมกันมากกว่า”
ม่านเมฆรู้ว่าคุณพอฤทัยนั้นถูกใจเขาและอยากได้มาเป็นหลานเขยเพียงใด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาถูกใจอะไรในตัวเขานักหนา จนบางทีก็อดรำคาญไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขาถูกคนในองค์กรแซวมาตลอด
เขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่สิ อันที่จริงเขาไม่สนใจ ‘ความรัก’ ต่างหาก!
ไม่สน ไม่อยากมีใคร คนอย่างเขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ในสายตาของเขาความรักคืออารมณ์เพ้อเจ้ออย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราตัดสินใจผิดพลาด มันไม่มีผลดีในท้ายที่สุด...มันมีแต่ผลเสียมากกว่า
“คุณเมฆนี่ชอบดูถูกตัวเองจัง ถึงคุณจะไม่ได้ดูดีเท่าคุณเหมันตร์ ป้าชอบนิสัยอย่างคุณมากกว่า คุณเหมันต์ดูเจ้าชู้เกินไป เดี๋ยวยายรดาของป้าก็ช้ำใจพอดี"
ม่านเมฆแอบเบ้ปาก เขารู้ทันหรอกว่าคุณพอฤทัยหวังจะเอานิสัยหัวอ่อน ละเอียดรอบคอบและช่างจัดการของเขาดึงไปช่วยงานตัวเอง เพราะนายรัฐศาตร์หลานชายนั้นเป็นพวกเก่งแต่หาเงิน แถมปากดีขี้โอ่ จัดการบริหารอะไรก็เหลวเป๋วสิ้นดี ถ้าไม่มีคุณพอฤทัย ป่านนี้พวกตำรวจคงรวบตัวหมอนี่ได้นานแล้วไม่ต้องรอถึงมือพวกเขา!
“ว่าแต่เมื่อไหร่คุณเมฆจะยอมคบกับยายรดาเสียทีล่ะคะ"
“เรื่องนี้ขึ้นกับผมคนเดียวไม่ได้หรอกครับ คุณรดาไม่ได้ชอบผมเสียหน่อย"
ชายหนุ่มตอบความจริง เขาไม่ได้โง่พอจะมองไม่ออกว่าถึงคนเป็นป้าจะปลื้ม...แต่หลานสาวไม่ได้ปลื้มด้วย เพราะนิรดานั้นทุกครั้งจะมองข้ามหัวเขาไปที่เหมันตร์ต่างหาก
“สักวันยายรดาก็จะรู้ว่าใครคือคนที่เหมาะสมกับแกนะคะ”
คุณพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น พอดีกับที่การแสดงของนิรดาบนเวทีจบลง ส่งผลให้ม่านเมฆกวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่งด้วยความร้อนใจ
ทำไมป่านนี้เซลีนยังไม่โผล่ออกมา...ไหนว่าเวลาแค่นี้ก็พอแล้วไง!