*ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]  (อ่าน 6720 ครั้ง)

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0



            ช่วงเวลาลงมือปฏิบัติการนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค์อันน่าปวดหัวโดยแท้ หลายต่อหลายครั้งทีมปฏิบัติการพลาดการจับกุมตัวอีธาน เฉินเพราะมีพวกตำรวจคอยแทรกแซงเพื่อชิงตัวอีกฝ่ายอยู่ตลอดเช่นเดียวกัน ก็ทำให้ทั้งพวกเขาและตำรวจต่างระแวดระวังกันและกันอยู่เนืองๆ ยิ่งเหมันต์ที่รับบทหนักเพราะต้องคอยเป็นคนลงมือชิงตัวอีธาน เฉินมาด้วยแล้ว ม่านเมฆก็อดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะจับตัวอีธาน เฉินได้ ทว่ามาเฟียหนุ่มก็หลุดรอดจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้แทบทุกครั้ง สร้างความกดดันให้แก่ม่านเมฆเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากครั้งล่าสุดที่ได้ตัวอีธาน เฉินมาและอีกฝ่ายหนีไปได้อีกครั้ง แถมพวกตำรวจที่เหมันต์เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเป็นสายก็เริ่มจะระแคะระคายถึงตัวตนของพวกเขา ว่ากำลังมีอีกกลุ่มที่ต้องการตัวของมาเฟียใหญ่คนนี้ ซึ่งยิ่งสร้างความปวดหัวให้แก่ม่านเมฆเพิ่มมากขึ้นไปอีก ทว่าอะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับว่าเขาไม่ได้ข่าวคราวของอีธาน เฉินอีกเลย กระทั่งล่าสุดจึงได้รู้เบาะแสว่าอีธาน เฉินอยู่ที่กาญจนบุรี ซึ่งวันต่อมาม่านเมฆก็ได้รับการคอนเฟิร์มแล้วว่าที่อยู่ของอีธาน เฉินนั้นเป็นไปตามที่ได้รับรายงานทั้งหมด กระทั่งให้เหมันต์เช็กข่าวจากสายของตนก็ถือว่าตรงกัน ชายหนุ่มจึงสั่งให้ดำเนินแผนการทั้งหมดได้ในทันที



            เหมันต์ เซลีน และไคลน์ ตลอดจนมือดีขององค์กรออกปฏิบัติการ รวมถึงตัวเขาเองก็ด้วย แม้ว่าม่านเมฆจะได้อยู่แต่ในรถปฏิบัติการเพื่อคอยสั่งพวกที่ไปออกภาคสนามก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่ได้ตัวอีธาน เฉินมาหลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขา ม่านเมฆรอคอยด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขากระวนกระวายกับการรอคอย เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งหน้าตั้งตาคอยการมาของใครอย่างใจจดใจจ่อถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากการรอคอยในการล้วงลึกข้อมูลแล้ว...ม่านเมฆไม่เคยทนอะไรมาก่อนเลยในชีวิตนี้



            “ตื่นเต้นเหรอเมฆ”



            พันธิตที่มาคอยนั่งฟังวิทยุในขณะที่ออกปฏิบัติการของพวกเหมันต์ก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ไม่สุข ต้องยอมรับแหละว่าเขาตื่นเต้นจริงๆ



            “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับอย่างง่ายดาย “แต่ผมกลัวนะว่าเราจะไม่ได้ตัวเขามา ผมกลัวว่าแผนการของเราจะไม่สำเร็จ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด



            “เมฆ…” พันธิตเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงปรานี “มันจะต้องสำเร็จสิ”



            ม่านเมฆนิ่งไป เขาค่อนข้างกังวลเพราะนี่คืองานใหญ่ครั้งแรกของตนเอง และรู้ว่าพันธิตคิดอะไรอยู่ถึงเริ่มให้งานเขามากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายนั้นเคยบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาครั้งหนึ่งว่าตำแหน่งหัวหน้านี้...ต้องการให้เขาสืบทอดต่อไป นั่นทำให้ม่านเมฆเริ่มกดดันตัวเองมากขึ้น



            “แต่ผมเพิ่งฉายเดี่ยวงานนี้งานแรก ผมไม่มั่นใจ” ชายหนุ่มแย้ง แม้ต่อหน้าของเหมันต์และเซลีนจะเห็นว่าม่านเมฆนั้นเยือกเย็น ไม่เคยมีท่าทีสะทกสะท้านรู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าเมื่ออยู่ตามลำพังหรือบางครั้งอยู่ต่อหน้าพันธิต ม่านเมฆจึงคล้ายกับจะมีท่าทีหวั่นไหวและไม่มั่นใจในตัวเองอยู่บ้าง ถึงเขาจะเป็นผู้ชายไร้อารมณ์อย่างที่พยายามแสดงออก แต่อย่างไรม่านเมฆก็ยังเป็นมนุษย์...เมื่อถึงจุดกดดันที่สุดอย่างเช่นในงานวันนี้ เขาจึงอดแสดงความวิตกออกมาไม่ได้



            “ไม่หรอก นี่ไม่ใช่งานแรกของเมฆเสียหน่อย คิดซะว่ามันก็คืองานปกติของเรานี่แหละ” พันธิตปลอบคนตื่นเต้น



            “แต่อีธาน เฉินยิ่งใหญ่กว่าพวกนั้นมากนะครับ” ไม่ใช่พวกผู้ร้ายกระจอกๆ ที่เขาเคยจับมา



            ชายหนุ่มแย้งออกมาอย่างไม่มั่นใจ



            “ไม่หรอก อีธาน เฉินก็คนธรรมดาเหมือนกัน” พันธิตเอ่ยกับลูกบุญธรรมของเขา มองม่านเมฆแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่ครั้งแรก...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอารมณ์อันหลากหลายจากม่านเมฆ เพราะตลอดมาสิ่งที่เขาเคยเห็นนั้นมีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เท่านั้น



            “ทำไมหัวหน้าถึงไว้ใจให้เมฆทำงานนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่มันสำคัญ...” มากด้วย ม่านเมฆได้แต่ต่อคำนี้อยู่ในใจ



            “ผมเชื่อในตัวเมฆ นั่นแหละคือเหตุผล” พันธิตตอบ มองดวงหน้าหล่อเหลาที่มีแว่นตากรอบดำอันโตอยู่บนนั้น ม่านเมฆอาจจะไม่ได้หล่อสะดุดตาผู้คนอย่างเหมันต์ ทว่าม่านเมฆกลับมีดวงหน้าที่ทำให้มองแล้วไม่อาจละสายตาจากเขาได้ เป็นความสงบทุกครั้งที่อยู่กับเขา



            “เอาล่ะ กลับมาทำงานได้แล้ว” พันธิตเอ่ยพลางเอามือตบลงบนเก้าอี้ข้างกายตัวเขา ซึ่งเป็นที่นั่งของม่านเมฆก่อนหน้านี้ “ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มปะทะกันแล้ว”







๐๐๐๐๐







            เป็นความสำเร็จของเหมันต์ เซลีนและอีกหลายคนที่ร่วมทีมปฏิบัติภารกิจที่หินที่สุดงานหนึ่งโดยแท้...



            หลังจากที่ตัดหน้าตำรวจกับพวกอินเตอร์โพลมาได้อย่างฉิวเฉียด เหมันต์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการครั้งนี้ก็นำตัวมาเฟียใหญ่กลับมายังองค์กรได้ ซึ่งพันธิตต้องการตัวเขามาก และเหมันต์ก็แค่คุมตัวเขาเอาไว้ รอเวลาแล้วส่งตัวให้แก่พันธิตเท่านั้น ซึ่งตอนนี้พันธิตไม่อยู่เนื่องจากหัวหน้าซึ่งพ่วงตำแหน่งพ่อบุญธรรมนั้นเดินทางไปธุระสำคัญพอดีในช่วงก่อนงานจะจบ ได้แต่สั่งความเอาไว้เพียงแค่ว่าให้ดูแลอีธาน เฉินให้ดีเท่านั้น



            ในตอนที่เหมันต์พาอีธาน เฉินมาถึงที่นี่เป็นช่วงตอนกลางคืนแล้ว ก่อนจะพาเข้าทางลับอีกด้านซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับทางเข้าสู่ชั้นใต้ดินขององค์กรโดยตรง ม่านเมฆได้แต่จับตามองความเคลื่อนไหวเหล่านั้นผ่านกล้องวงจรปิดด้วยหัวใจที่เต้นระทึก



            ผู้ชายที่เกือบจะทำให้แผนการของเขาล่มกำลังก้าวเข้าสู่มือของเขาแล้วและม่านเมฆก็มั่นใจมากพอว่าห้องนิรภัยที่เขาคิดค้นอุปกรณ์การตรวจจับเองกับมือนั้นจะทำให้ผู้ชายคนนี้หนีไปไหนไม่รอด ต่อให้อีธานมีปีกก็หนีไม่รอดจากเงื้อมมือของเขาแน่ๆ เขามั่นใจ



            เหมันต์และเซลีนส่งตัวอีธาน เฉินมาให้เขา ม่านเมฆมองอาชญากรหนุ่มด้วยสายตาเป็นประกายพร่างพราว มันบ่งบอกชัดถึงความรู้สึกที่ว่าเขาทำได้สำเร็จ ผู้ชายคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเอาตัวรอดในทุกๆ สถานการณ์ แต่ทว่าตอนนี้อีธานอยู่ในกำมือของเขาแล้ว มันออกจะเป็นอีโก้เล็กๆ นั่นแหละที่เขาวางแผนจับตัวมาเฟียคนนี้มาได้ ม่านเมฆมั่นใจว่าอย่างนั้น แต่จะไม่ให้เขาภาคภูมิใจได้อย่างไรกับความสำเร็จในวันนี้



            “เอาตัวเขาไปไว้ในห้องนั้นเลยพี่เหม ใช่ อย่าถอดกุญแจมือเขาออกใส่ไว้อย่างนั้นแหละ”



            ม่านเมฆเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนเด็กเล่นขายของ



            “มานั่งดีๆ ซะเมฆ อีธาน เฉินไม่ใช่สัตว์นะ จะได้ไปเกาะกระจกดูแบบนั้น” เหมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นม่านเมฆเอาแต่ยืนชิดกับกระจกนิรภัยบานใหญ่ เผยให้เห็นว่าภายในห้องนั้นมีร่างสูงใหญ่ของมาเฟียหนุ่มราชายาเสพติดอยู่ในนั้น และทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่เฉยๆ และมองอีธานด้วยความสนอกสนใจที่พยายามสงวนท่าทีแล้ว แต่เหมันต์ก็ยังมองออกจนได้ว่าเขาตื่นเต้นและสนใจผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน



            “ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นซะหน่อย” ม่านเมฆท้วง แต่ก็ยอมทำตามที่เหมันต์บอกแต่โดยดี



            “เอาล่ะๆ แล้วนี่ต้องให้อยู่เป็นเพื่อนไหม” เหมันต์เอ่ยถาม หลังจากขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับม่านเมฆ



            “ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปพักเถอะผมอยู่ได้” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะพูดต่อไปเมื่อเห็นว่าเหมันต์ยังมีสีหน้ากังวล “นี่ อยู่ได้จริงๆ นะไม่ต้องเป็นห่วงเลย ตัวเองเพิ่งกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ อีกอย่างอีธาน เฉินอยู่ในห้องนั้นไม่มีทางออกมาได้อยู่แล้ว เขาเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของผมไม่ได้หรอก”



            ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความมั่นใจ และเหมันต์เห็นอย่างนั้นก็ยืนนิ่งทบทวนอยู่ชั่วอึดใจจึงตอบตกลงในที่สุด และปล่อยให้ม่านเมฆอยู่เวรเฝ้านักโทษวีไอพีคนนี้เพียงลำพัง...








To be Continuous......



ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/







ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
มาแว้วว จัดไปวันละ 1 โหวตเพื่อกำลังใจน้า~  :กอด1:

ว่าแต่จับอีธานได้แล้วหรอ ทำไมง่ายจัง อันนี้ก็แผนของอีธานใช่มะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0




นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ม่านเมฆลอบมองผู้ชายที่อยู่ภายในห้องขังนั้นด้วยท่าทีสนอกสนใจ



               อีธาน เฉินเป็นชายหนุ่มร่างสูง...เขาน่าจะสูงราวๆ ร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตรเห็นจะได้ ชายหนุ่มกะคร่าวๆ คิ้วเข้มพาดเหนือดวงตาสีดำคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบที่ตอนนี้เม้มแน่นสนิท ผิวขาวจัด ท่าทางเหมือนไอ้พวกหนุ่มสังคมที่ไม่ใช้สมองนอกจากเงิน แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เห็นภายนอกเท่านั้น เพราะจากรายงานที่เขาหาได้เกี่ยวกับมาเฟียหนุ่มรายนี้ อย่างน้อยเชื่อได้แน่ๆ ว่าอีธาน เฉินฉลาดเป็นกรด เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงหนีเงื้อมมือตำรวจไม่ได้มานานหลายปี



               ม่านเมฆคิดและประเมินคนที่อยู่ในนั้นไปพร้อมๆ กัน



               ก๊อกๆ ๆ ๆ



               แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อคนที่กำลังลอบมองอยู่กลับเดินเข้ามาเคาะกระจกนิรภัยตรงหน้าเขา ม่านเมฆกะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม



               “ผมต้องการพูดกับคุณ”



               อีธาน เฉินเอ่ยสั้นๆ มองชายหนุ่มร่างเล็กที่สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรโดยประมาณ ผมตัดสั้นที่เริ่มยาวถูกเจ้าของมัดรวบตรงท้ายทอยง่ายๆ เผยให้เห็นต้นคอเรียวดูบอบบางและบ่าเล็กที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดคอวีสีเข้ม ตัดกับผิวขาวเหลืองออกซีดของคนที่ไม่ค่อยถูกแดด เน้นให้ม่านเมฆดูขาวจัดมากกว่าที่เป็นอยู่แถมดูซีดเผือดเป็นคนขี้โรค



               “มีธุระอะไร”



               เขาถามกลับ คิ้วเรียวของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตากลมโตภายใต้แว่นกรอบดำอันโตมองอีธานด้วยสายตาเป็นคำถามเช่นเดียวกัน



               อีธาน เฉินกระตุกยิ้มหยันตรงมุมปาก ต้องยอมรับว่าวินาทีแรกที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขาออกจะตกใจพอดู เพราะว่า ‘Mars’ ที่เล็งเอาไว้นั้นดูเด็กมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก!



               ผู้ชายตรงหน้ายามนี้ดูเหมือนเด็กมอปลายมากกว่าจะเรียนจบและเก่งกาจถึงขนาดเจาะระบบของเฉินซีซึ่งเป็นระบบจำลองของไตรแอดเข้ามาได้ แถมยังรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้อีกด้วย



               “ม่านเมฆสินะ” อีธาน เฉินเรียกชื่ออีกฝ่ายที่เขาได้ยินมา ก่อนหน้านี้เขาเองก็หาข้อมูลของที่นี่มาอย่างละเอียดเหมือนกัน และเขาก็ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ ‘Mars’ ของเขาด้วย!



               อะไรหลายๆ อย่างที่แม้แต่ม่านเมฆเองก็ยังไม่รู้ และเขาก็มา...เพื่อทำให้อีกฝ่ายได้รู้



               “คุณรู้จักผมงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม



               “แน่นอนสิ” อีธานอบสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “คุณอยากรู้เรื่องพ่อของคุณหรือเปล่าม่านเมฆ” ดวงตาคมจ้องมองเขาพราวระยับ ไม่มีท่าทีตื่นกลัว ไม่มีความตกใจที่ตนเองถูกจับมาอยู่ที่นี่ ทำราวกับว่าเขาก็แค่มาเดินเล่นที่นี่แล้วกำลังจะออกไปเท่านั้น



               “คุณพูดเรื่องอะไร”



               อีธานยิ้ม ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย ขณะเอ่ยต่อไปว่า



               “ม่านเมฆ เด็กกำพร้าที่นายพันธิตเลี้ยงดู ตอนนี้ทำงานอยู่ฝ่ายวางแผนวิจัยและพัฒนาขององค์กรที่นายพันธิตเป็นหัวหน้า...”



               “…”



               “นี่คือชีวิตของคุณสินะ...แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วพ่อแท้ๆ ของคุณคือใคร และใครที่ทำให้คุณเป็นเด็กกำพร้า”



               “อย่ามาพร่ำพูดอะไรไร้สาระ” ม่านเมฆบอกเขาอย่างหงุดหงิด และทำท่าจะเลิกสนใจอีธาน หากไม่เพราะคนตรงหน้าก็โพล่งขึ้นมาว่า



               “ผมรู้จักพ่อของคุณ”



               เขาชะงัก หันไปจ้องมองอีกฝ่ายตาดุ “ผมไม่มีพ่อ ผมเป็นเด็กกำพร้า พ่อของผมตายแล้วตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ไม่มีทางที่เขาจะรู้จักคุณเด็ดขาด”



               “คุณมีพ่อนะ คุณรู้อยู่แก่ใจม่านเมฆ” อีธาน เฉินเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ถามจริงๆ ไม่อยากรู้เหรอว่าใครทำให้คุณเป็นกำพร้า ผมบอกคุณได้นะถ้าคุณปล่อยผมออกไปจากห้องนี้”



               “ทำไมผใต้องทำอย่างนั้น” ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตาดุดันมากกว่าเดิม



               “แหม…มันน่าอึดอัดออก” มาเฟียหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างหยามหยัน “ผมรู้น่าว่าผมไม่มีวันหนีไปจากที่นี่ได้หรอก ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มจะตาย อันที่จริงผมว่าผมคงไม่สามารถหนีออกไปจากห้องใต้ดินนี้ได้ด้วยซ้ำ”



               “…”



               “ผมแค่อยากคุยกับคุณสบายๆ ...ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน”



               “ผมไม่เหมือนคุณ” ม่านเมฆแย้งเสียงแข็ง ไม่คิดจะคล้อยตามเขาง่ายๆ



               “ไม่หรอก...เราเหมือนกัน” อีธาน เฉินเอ่ยเสียงนุ่ม “ผมรู้ คุณเองเจาะเข้าระบบของไตรแอดอยู่หลายครั้ง ต้องได้เรื่องอะไรดีๆ กลับไปอยู่แล้ว และคุณน่าจะต้องเคยเห็นโครงการ Kill แล้วล่ะสิ ไหนจะโครงการทดลองของสมัยก่อนที่มีชื่อของด็อกเตอร์ธันว์เป็นผู้ควบคุมอีกล่ะ”



               “…”



               “อย่าปฏิเสธไปเลยเมฆว่าคุณไม่อยากรู้”



               อีธาน เฉินเอ่ยกับเขาเสียงเยาะหยัน ม่านเมฆมองคนตรงหน้าด้วยสายตาชั่งใจและผสมไปด้วยความอยากรู้ที่ต้องยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าอีธาน เฉินรู้ได้อย่างไรว่าเขาเข้าถึงข้อมูลส่วนไหนของไตรแอดได้ไม่ได้ แต่อีธานก็ยั่วเขาได้ถูกจุดเพราะเขาต้องการรู้เรื่องไอ้สองโครงการนั่นพอดี



               สุดท้ายม่านเมฆก็ทำตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง เพราะเขามั่นใจได้ว่า ณ ที่แห่งนี้คืออาณาจักรของตนเอง เขาควบคุมมัน เขาเป็นเจ้าของมัน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าไม่มีใครหนีออกไปได้หากเขาไม่ยินยอม! และถ้าอีธานฆ่าเขาตายในนี้ เขาก็จะต้องตายในนี้ด้วยกันเพราะคนข้างนอกก็จะไม่สามารถเจาะระบบเข้ามาได้เช่นเดียวกัน!



               อ้อ! เว้นแต่ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าดราก้อนมาช่วยเจาะระบบให้นะ ไม่อย่างนั้นม่านเมฆก็มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะว่าตั้งแต่เป็นแฮกเกอร์มา มีเพียงดราก้อนเท่านั้นที่ไล่ต้อนเขาให้เกือบจนมุมได้



               “อ่า…อิสรภาพ”



               อีธาน เฉินพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง ในตอนที่เขาปลดกุญแจมือให้แก่อีกฝ่าย พร้อมกับยอมปล่อยให้อีธานออกมาข้างนอกห้องคุมขังนั้นได้



               เพราะชั้นใต้ดินทั้งหมดนี่ต่างหาก คือที่คุมขังที่แท้จริงของคนอย่างอีธาน



               “นายต้องการอะไรกันแน่อีธาน เฉิน”



               ม่านเมฆถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ พลางกอดอกมองอาชญากรตรงหน้าด้วยสายตาดุดันไม่เลิก



               “สิ่งที่ผมต้องการน่ะเหรอ”



               อีธาน เฉินก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ ขณะที่ม่านเมฆยืนนิ่ง อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถามเขาว่าอย่างไร



               “…”



               “คือคุณ...ยังไงล่ะ Mars…” ชายหนุ่มพูดพลางประชิดเข้ามาใกล้ตัวเขา



               “ไม่มีทะ...!”



               และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ม่านเมฆกลับพบว่าตนเองถูกอีกฝ่ายใช้มือสับต้นคอเขาอย่างแรงจนเธอทรุดฮวบและไม่ได้สติอีกเลย สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนสลบก็มีเพียงรอยยิ้มร้ายกาจบนดวงหน้าหล่อเหลานั่นเท่านั้น



               อีธาน เฉินรับร่างของคนที่สลบไปแล้วเพราะถูกเขาตีที่จุดตรงบริเวณท้ายทอย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปตรงประตูทางออกชั้นใต้ดินก็พบว่ามันถูกเข้ารหัสเอาไว้ ซึ่งเป็นรหัสใหม่และยากจะแก้ไข



               แวบหนึ่งเขาหันไปคนที่สลบเหมือนและถูกเขาจัดให้นอนราบกับพื้นด้วยสายตาหงุดหงิด นายตัวแสบ แอบเปลี่ยนรหัสอีกแล้ว! เขาเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมระบบทั้งหมดภายในของที่นี่และเริ่มลงมือปลดปล่อยตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้น



               คนอย่างอีธาน เฉินไม่เคยจนมุมอยู่ในกำมือของใคร...ฉะนั้นถ้าไม่เต็มใจเดินเข้ามาก็อย่าคิดว่าจะกักขังคนอย่างเขาได้!

 






To be Continuous......



**ขออนุญาตรีไซเคิลทอร์กเดิมนะคะ 555**

ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า :L2:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0




“นายจะตามไปอย่างนั้นเหรอเมฆ!”

               ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ชายหนุ่มมองเพื่อนซี้ที่อยู่ในคราบของหนุ่มแว่นตาโตด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

               หลังจากที่ม่านเมฆทำผิดพลาดด้วยการปล่อยให้อีธานหนีไปได้ เขาก็เก็บของออกมาจากที่นั่น ละทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งกับการติดต่อกับพวกเหมันต์และเซลีนก็ไม่เว้น เขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากการหมกมุ่นกับการคิดหาวิธีไล่จับอีธาน เฉินกลับมาให้ได้

               เขารู้สึกผิดที่ประมาทจนทำให้อีธานหลุดมือไปจนได้!

               ทว่ามีเพียงบุคคลเดียวที่เขายอมติดต่อกับอีกฝ่าย ซึ่งก็คือไคลน์เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของเขานั่นเอง

               “อือ" ม่านเมฆพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปพรมนิ้วมือกับแป้นคีย์บอร์ดอย่างรัวเร็ว เขาจะกำลังเริ่มเคลียร์งานที่ค้างคา จ็อบนอกที่รับจ้างแฮกระบบหาข้อมูลของลูกค้าที่เขารับงานเอาไว้ เป็นงานที่รับไว้ฆ่าเวลาไปวันๆ แล้วหาเงินเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้นับว่าฉุกเฉินแล้วเพราะเขาจะต้องใช้มันในการไล่ล่าหาตัวอีธาน เฉิน!

               คิดถึงผู้ชายท่าทางเย็นชา แต่ทว่ากลับกวนประสาทเป็นที่สุดคนนั้นแล้วเขาก็เจ็บใจแทบกระอัก เขาประมาทเองที่คิดว่าอีธานจะไม่มีวันหนีไปจากอาณาจักรชั้นใต้ดินซึ่งเป็นพื้นที่ของเขาออกไปได้ ทว่าม่านเมฆคิดผิดถึงทำให้การกักขังอีธานเป็นไปอย่างหละหลวม มิหนำซ้ำ...อีธาน เฉินยังจากไปพร้อมกับข้อมูลสำคัญขององค์กรของเขาอีกหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะคิดถึงคำพูดสุดท้ายเกี่ยวกับปริศนาของพันธิตและที่อีธานบอกอีกว่ารู้จักกับบิดาที่แท้จริงของเขาอีกล่ะที่อีธานทิ้งเอาไว้ก่อนจะไป เขาก็ยิ่งคลั่ง ทุรนทุรายหมายจะตามล่าตัวมาเฟียหนุ่มให้ได้!

               และเขาจะต้องทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเองให้ได้...เพราะเขาไม่อยากให้เซลีนเอามาเป็นข้ออ้างในการถากถางเขาให้เจ็บใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว!

               “แกอย่าบ้านะเมฆ มันอันตรายมากรู้ไหม!” ไคลน์มองเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะโมโหอีธาน เฉินจนบ้าไปแล้ว นี่มันไม่ใช่ม่านเมฆที่เขารู้จักเลยสักนิด คนที่มีเหตุผลเหนืออารมณ์คนนั้น กำลังทำอะไรขาดสติ ขาดความยั้งคิดด้วยการพาตัวเองไปพบกับอันตราย! “อีธาน เฉินเป็นบุคคลอันตราย ถ้าแกจะรู้สึกผิดว่าแกทำให้เขาหนีรอดไปได้ ฉัน ไม่ก็เหมันต์จะไปตามจับกลับมาให้แกเอง" ไคลน์เสนอตัวขึ้น

               “ไม่" ม่านเมฆปฏิเสธทันควัน "ฉันจะต้องไปด้วยตัวเอง จะทำเรื่องนี้ให้จบด้วยตัวเอง"

               เหมันต์กับเซลีนจะไม่ได้มายุ่งในเรื่องนี้ เขาไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นๆ ที่ปล่อยให้อีธานหนีไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหมันต์ที่เหนื่อยยากกว่าจะจับตัวแชญากรรายนี้ได้ แค่เขากลับทำทุกอย่างพังไปหมด

               “แกอย่าบ้านะเมฆ!” อีกครั้งที่ไคล์ตะคอกใส่เพื่อนซี้อย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป "แกไม่เคยฝึกปฏิบัติการ แกจะออกภาคสนามไม่ได้ มันอันตรายมาก” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าดื้อดึง ไคล์ก็เขย่าไหล่อีกฝ่ายอย่างเรียกร้องความสนใจผสมกับกรุ่นโกรธ “แกต้องฟังฉันนะเมฆ อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น!”

               “ฉันคิดดีแล้วนะ”

               “งั้นแกก็ต้องให้ฉันไปด้วย” ไคลน์เสนอขึ้นทันควัน หลังจากที่ค้นพบแล้วว่าตนเองไม่อาจห้ามม่านเมฆได้เลย

               หมอนี่จะมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือของอีธาน เฉินได้ยังไง ม่านเมฆไม่เคยฝึกภาคสนาม วันๆ เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่ก็ห้องแล็ปเพื่อคิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้สอยในองค์กร ท่าทางเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่วันๆ ใช้แต่สมอง แค่ให้ออกแรงวิ่งเหยาะๆ ก็ถือว่ากินแรงหมอนี่มากแล้ว และอย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง

               ม่านเมฆทำแบบนี้เหมือนเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งชัดๆ !

               “...”

               ม่านเมฆไม่ตอบอะไร เขาหันไปสนใจเคลียร์งานของตนเองตามเดิม แล้วท่าทีดื้อดึงผสมกับหมกมุ่นไม่สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก็ทำให้ไคลน์ได้แต่ถอนหายใจยาว เอาเถอะ...ช่วงนี้จะปล่อยม่านเมฆให้โกรธพลุ่งพล่านไปก่อน แล้วค่อยมาตามจับตาดูหมอนี่ให้ดีๆ ก็แล้วกันว่าอย่าให้หนีไปไหนได้...







๐๐๐๐๐

               “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะครับ”

               เชสเอ่ยทักทายผู้เป็นเจ้านาย เนื่องจากว่าครั้งนี้ตามแผนการแล้วเขาและผู้เป็นเจ้านายได้แยกกันไปตามแผนการของอีธาน อีกฝ่ายให้เขาคอยดูแลและช่วยเหลืออยู่ที่นี่ ขณะที่อีธานซึ่งเดินทางไปยังเมืองไทยก็ไปตามหา 'คนๆ นั้น' ตามที่อีกฝ่ายบอกเอาไว้และให้เขาคอยซัพพอร์ตแผนการและดูแลแก๊งกับบริษัทที่ฮ่องกง…ซึ่งทุกอย่างก็จบลงและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...

               “อือ" อีธานตอบสั้นๆ ในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปภายในบ้านแล้วตรงดิ่งไปยังห้องทำงาน "ที่นี่เป็นไงบ้าง"

               “ปกติดีทุกอย่างครับ"

               เชสตอบในขณะที่ก้าวเดินตามผู้เป็นเจ้านายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องทำงานบนชั้นสอง อีธานผลักประตูเข้าไปโดยมีเชสตามเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลังให้

               “อืม..." อีธานตอบรับในลำคอด้วยท่าทีเรียบเฉย พลางหมุนตัวแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หนังซึ่งตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ของเขา โดยมีเชสที่ยืนอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขาคั่นกลางคนทั้งคู่ไว้ มือขวาคนสนิทเผยสีหน้ากลัดกลุ้มออกมาเมื่อลอบสังเกตแล้วว่าเจ้านายของตนนั้นดูท่าทางสบายดีและไม่มีท่าทีบาดเจ็บอะไร ก่อนจะพูดเป็นเชิงบ่นออกมาให้อีธานฟังว่า

               “ว่าแต่เจ้านายไปทำอีท่าไหนล่ะครับถึงเกือบถูกจับได้ เล่นเอาผมงี้หัวใจเกือบวายตาย คิดว่าเจ้านายจะต้องเสร็จพวกตำรวจแน่ๆ” เขาถามอย่างสงสัย อีธานไปเมืองไทยคราวนี้น่าตื่นเต้นเหลือเกิน แผนการของอีกฝ่ายแต่ละอย่างนั้นชวนให้คนเป็นลูกน้องอย่างเขาแทบจะหัวใจวายตาย ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายถูกจับตัวไปโดยพวกองค์กรอื่น เขางี้แทบจะลมจับ เพราะตอนแรกที่ตกลงกันคือจะล่อแต่พวกตำรวจฮ่องกง อินเตอร์โพล แล้วอาจรวมถึงตำรวจไทยเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีองค์กรอื่นมาแทรกแซงเช่นนี้เพราะก่อนจะไปนั้นมาเฟียหนุ่มผู้เป็นเจ้านายไม่ได้เอ่ยอธิบายแผนการหรือกระทั่งเรื่องราวส่วนอื่นๆ ให้เขาฟังมากนัก มีเพียงคำสั่งที่ทิ้งเอาไว้ให้เขาปฏิบัติตามเท่านั้น

               “ไม่หรอกน่า...” อีธานปลอบลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชา เชสเป็นคนฉลาด เขาว่าเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากอีกฝ่ายก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ที่บ่นๆ ออกมาเมื่อครู่ก็แค่อยากจะระบายมากกว่าจะรู้สึกอย่างที่ปากพูดนั่นแหละ

               “แล้วไปเมืองไทยครั้งนี้เป็นยังไงบ้างครับ" เชสเปลี่ยนเรื่องถาม อันที่จริงก็ไม่น่าจะเรียกว่าเปลี่ยนเท่าไหร่นัก เพียงแต่เขาถามถึง 'จุดประสงค์' ที่แท้จริง...ที่ทำให้เจ้านายของเขาถ่อสังขารไปเมืองไทย แล้วเอาตัวเองเป็นเป้าล่อพวกหมาตำรวจเสียล่ะมากกว่า

               คราวนี้รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบริเวณมุมปากได้รูปสวยของมาเฟียหนุ่ม ดวงตาคมกริบตวัดมองคนถามพลางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าให้ความรู้สึกกวนอารมณ์ได้ชะงักนัก “ก็ดี เจอผู้คนเยอะดี ได้รู้อะไรใหม่ๆ ด้วย"

               “...”

               คำตอบล้อเล่นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทำเอาเชสได้แต่ยืนนิ่ง ไม่คาดคิดว่าเจ้านายจะอารมณ์ดีถึงขนาดล้อเลียนเขาแบบนี้ และเพราะรับมุกไม่ทัน เขาจึงได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีธานได้แต่โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจกับท่าทีไม่รับมุกของคนสนิท จึงยอมเอ่ยปากตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายในที่สุด

               “แล้วก็...ถ้านายสงสัยนะ ฉันเจอคนๆ นั้นแล้วด้วย" เขาตอบเพียงเท่านั้น เชสก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตะลึง ทว่าอีธานไม่สนใจ "เอาล่ะ ทีนี้ฉันมีงานให้นายทำ"

               เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน เป็นสัญญาณบ่งบอกชัดว่าเรื่องล้อเล่นนั้นจบลงแล้ว

               “ครับ?”

               เชสเอ่ยเสียงสูงจนมันกลายเป็นประโยคคำถาม ด้วยเมื่อครู่ไม่ทันฟังสิ่งที่เจ้านายพูดเสียเท่าไหร่ เนื่องจากมัวแต่ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เขาเอง...รู้ดีแก่ใจว่าเจ้านายกำลังตามหาคนที่จะมาช่วยไขปริศนาทุกอย่างมาตลอด ทว่าไม่เคยคิด...ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้เป็นเจ้านายจะตามหาคนๆ นั้นเจอเสียแล้ว

               ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะนั่นหมายถึงว่า...เวลาแห่งการแก้แค้นก็เริ่มต้นจับเวลาแล้วเหมือนกัน

               ชีวิตแลกชีวิต...นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้านายหนุ่มซึ่งเขารู้ดีที่สุด เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ได้เห็นและรับรู้ทุกเหลี่ยมมุมของความรู้สึกในยามที่เจ้านายของเขาเสียสูญ...ก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่พร้อมกับความโหดเหี้ยมในหัวใจมากกว่าเดิม




To be Continuous......



**ขออนุญาตรีไซเคิลทอร์กเดิมนะคะ 555**

ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0





“ตามจับตาดูผู้ชายคนนี้เอาไว้ให้ดี"

               คำตอบของอีธานปลุกให้เชสหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขากะพริบตาปริบๆ เร็วๆ สองสามทีเรียกสติให้กลับคืนมา ก่อนจะรับคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว

“ได้ครับ...ว่าแต่เขาคือใคร” มือขวาหนุ่มถามกลับ พลางมองหน้าเจ้านายเขม็งอย่างรอคอย

               อีธานนิ่งไปนิด คิดถึงบุคคลที่เขาต้องการตัวมากที่สุดแล้วอดถอนใจยาวไม่ได้

               คนที่เขากำลังคิดถึงในเวลานี้คือผู้ชายผิวขาวซีด ใบหน้าเรียวเล็กและดวงตาคมกริบถูกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากรอบดำอันโตแสนเชย ท่าทางภายนอกเหมือนพวกที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แล้วเหมือนจะล่องลอยนิดๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ทุกคำพูดและสิ่งที่ฝ่ายนั้นยอกย้อนเขาในยามที่เผชิญหน้ากันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าหมอนั่น...ก็เหมาะสมดีที่จะเป็นบุคคลที่เขาตามหา

               สิ่งเดียวที่ม่านเมฆพลาดในครั้งนี้เป็นเพราะด้อยประสบการณ์กว่าเขา และไม่กล้าได้กล้าเสียอย่างเขา ถึงจับเขาไม่ได้ แต่นั่นแหละ เพราะเขาจงใจให้มันเป็นแบบนี้

               และมันก็จะต้องได้ผล เขาคิดว่ามันต้องได้ผล เพราะบางครั้งคนที่ทะนงตัวเองว่าฉลาดๆ ก็ทนความเย้ายวนของการถูกท้าทายไม่ไหวหรอก และอีธานก็รู้ว่าม่านเมฆเองก็อยู่ในข่ายนั้นเช่นเดียวกัน

               สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือเฝ้ารอ...และต้องคิดล้ำหน้าให้มากกว่าอีกฝ่ายให้ได้ มิฉะนั้นเขาจะก้าวพลาดและจะสูญเสียหมดทุกอย่าง หมากกระดานนี้ที่ควรจะปิดได้ในเร็ววัน อาจจะกลายเป็นชะงักงันและไร้ซึ่งทางแก้ไข...ตลอดกาล

               “ม่านเมฆ…”

               มาเฟียหนุ่มเอ่ยชื่อคนคนนั้นออกมาในที่สุด คนที่เขาตามหามาตลอด...คนที่ท้าทายเขาแล้วรอดตัวกลับไปได้ คนที่เขาให้ความสนใจ...และอยากจะผลักไสให้ห่างออกไปเช่นเดียวกัน

               เพราะถ้าอีธานจับอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ได้...ม่านเมฆก็คือตัวอันตรายคนหนึ่งเลยทีเดียว!

               ทีท่านิ่งเฉยของเชสบ่งบอกว่าเขากำลังรอคำสั่งต่อไปอยู่ และไม่นานอีธานก็เอ่ยต่อ “ฉันต้องการตัวผู้ชายคนนี้ และเมื่อไหร่ที่เขามาฮ่องกง จับตัวเขาเอาไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด" เขาเน้นย้ำตอนท้ายเสียงหนัก

               ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงทุนทำลงไปมันจะสูญเปล่าถ้าเพียงแต่เขาจะจับตัวม่านเมฆไม่ได้

               ม่านเมฆ...คือคีย์แมนที่เขาจะใช้ไขปริศนาที่ค้างคาใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการตายของพอลลีน อีกฝ่ายคือความหวังเดียว และคือคนๆ เดียวที่จะทำได้

               ม่านเมฆจะตายไม่ได้...ถ้าเขายังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร!

               “ได้ครับเจ้านาย"

               เชสรับคำสั้นๆ ทว่าดวงตาของเขาฉายประกายแข็งกร้าว เพราะสีหน้าของอีธานบ่งบอกชัดเจนว่า...ไม่คิดจะยอมรับความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น!

 







               ภายในห้องนอนของม่านเมฆในขณะนี้กำลังคุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ไคลน์ยังถลึงตาดุใส่หนุ่มแว่นเพื่อนสนิทที่ทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจฟังเขาที่พร่ำพูดกรอกหูอีกฝ่ายมาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา

               “ฉันบอกแกแล้วนะเมฆ ว่าไม่ให้แกไป" ไคลน์ย้ำเสียงหนักและดุดันใส่คนหน้าตายที่ไม่สนใจมองเขาเลยแม้แต่น้อย ม่านเมฆยังคงเอาแต่สาละวนรัวนิ้วกับแป้นคีย์บอร์ดจนเขาทนไม่ไหวต้องเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่าย แล้ววางมือลงบนบ่าของม่านเมฆหนักๆ “นี่แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า?!”

               “ฟัง...”

               ม่านเมฆเอ่ยออกมาเป็นครั้งที่สามในรอบสองชั่วโมงด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ขณะที่สายตากลับเอาแต่จับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามเดิม

               ไคลน์ถลึงตาดุใส่เพื่อนสนิทที่ชักจะกวนโทสะเพิ่มมากขึ้นทุกที

“นี่! อย่าทำเสียงใส่ฉันแบบนี้นะเมฆ เมฆ! นายฟังฉันอยู่หรือเปล่า" เขาถามย้ำเป็นรอบที่สี่ เพราะยังคงเห็นว่าปฏิกริยาของม่านเมฆนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงเฉยชาและสนใจแต่คอมพิวเตอร์ตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

               สุดท้ายคนโดนก่อกวนก็ทนไม่ไหว อีกฝ่ายละมือจากแป้นคีย์บอร์ดของแล็ปท็อปเครื่องโปรด แล้วหันมาเผชิญหน้ากับสายลับหนุ่มเพื่อนซี้

               “ฟังอยู่ไคลน์ ย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าฟังอยู่" เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดนิดๆ เพราะถูกขัดจังหวะการทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก แต่กลับโดนไคลน์ก่อกวนตลอดเวลา

เขาคิดผิดแล้วที่เลือกเล่าเรื่องที่คิดจะไปตามล่าอีธานให้ไคลน์ฟัง เพราะคิดเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินอย่างเขาหายไปดื้อๆ จะได้มีคนรับรู้ว่า..เขาอาจจะตายไปแล้วเพราะภารกิจนี้

               รู้อย่างนี้เล่าให้เหมันต์หรือเซลีนฟัง สองคนนั้นอาจจะสนับสนุนแทนที่จะห้ามปรามก็เป็นได้ แต่เขามึนตึงกับเซลีนอยู่เพราะทำอีธานหายไป ส่วนเหมันต์ก็รู้อยู่ว่าช่วงนี้เจ้าตัวยุ่งมาก คงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น

               ไคลน์เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจยาว ว่าเซลีนดื้อแล้ว แต่เจ้าหล่อนกลายเป็นเด็กดีไปเลยเมื่อเจอกับม่านเมฆในเวอร์ชั่นนี้ คนเงียบๆ นี่พอบทจะไม่ฟังใคร ก็ไม่มีใครห้ามปรามได้เลยจริงๆ และเขาก็เล็งเห็นแล้วว่าคงไม่สามารถห้ามได้จริงๆ สิ่งที่ทำได้คงต้องร่วมกระโจนเข้าไปช่วยอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงจะพอมองเห็นทางรอดของม่านเมฆได้บ้าง

               “ถ้านายอยากจะไปตามล่าตัวอีธาน เฉินนัก ฉันจะพานายไปเอง" ชายหนุ่มกัดฟันตัดใจพูดออกไปในที่สุด

               ทว่าม่านเมฆกลับนิ่วหน้า จ้องมองเพื่อนซี้ด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “นายยังมีงานอยู่ ไม่น่าจะต้องลำบากกับฉัน...”

               “ไม่!”

               “…ไคลน์”

               “ฉันห่วงแกเมฆ" ไคลน์บอกออกไปตามตรง "แกไม่เคยออกภาคสนาม แกจะเอาตัวไม่รอด เชื่อฉัน เก็บไอ้ทิฐิบ้าๆ ของแกลงไปแล้วฉันจะช่วยแกเอง"

               “แต่แกยังมีงานต้องทำนะไคลน์" ม่านเมฆทักท้วงอย่างไม่ชอบใจนัก

               ไคลน์ส่ายหน้า ไม่ฟังคำคัดค้านของม่านเมฆอีกต่อไป “งานทางนี้ใกล้เสร็จแล้ว อีกอย่างฉันโคงานกับพี่หมี ยังไงก็ฝากพี่หมีดูแลได้"

               พี่หมีคือหัวหน้าทีมปฏิบัติการของไคลน์ ฝ่ายนั้นชื่อจริงอะไรเขาก็ไม่รู้ แต่โค้ดลับแทนตัวคือหมี พวกเขาและทุกๆ คนในทีมเลยชินเรียกพี่หมีไปโดยปริยาย

               ม่านเมฆเเห็นความตั้งใจของเพื่อนสนิทแล้วก็พูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ไคลน์เองก็รู้ดีว่างานคราวนี้ไม่ใช่งานขององค์กร พวกเขาเรียกกำลังเสริมไม่ได้ บอกใครไม่ได้ มันเป็นภารกิจลับที่เสี่ยงต่ออันตราย และเสี่ยงชีวิตด้วย

               “โอเคๆ ไม่ต้องห่วงฉัน แกทำงานของแกให้เสร็จ ฉันรับปากว่าจะไม่ไปไหน" ม่านเมฆบอกแก่เพื่อนสนิทเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล ทว่าไคลน์ไม่คิดจะเชื่อ เพราะกลัวใจอีกฝ่ายว่าจะทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด

               “ถ้าแกหนีไปก่อน ต่อให้ต้องเสี่ยงฉันก็จะลากคอแกกลับมาเมฆ เชื่อฉันสิว่าฉันจะทำแน่ๆ " ไคลน์ขู่เอ่ยดักคอ จ้องมองม่านเมฆอย่างรู้เท่าทัน

               คนโดนขู่ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ พลางพูดว่า “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องขู่เลย"

               “อือ" ไคลน์รับคำอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เห็นแก่ม่านเมฆที่ดูท่าอยากจะทำงานต่อแล้ว "นี่ก็ดึกแล้ว แยกกันไปนอนได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่"

               ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทแล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ซึ่งม่านเมฆก็ได้แต่โบกมือไปมาเป็นเชิงบอกลาด้วยสีหน้าชื่นมื่น เพราะตนเองจะได้ทำงานต่อเสียที

 







               ทว่าพอคล้อยหลังไคลน์ไปเท่านั้น มือขาวซีดของม่านเมฆก็ลดลงช้าๆ ดวงหน้ายิ้มละไมก็พลันเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย คนที่ก่อนหน้านี้ทำท่าหมกมุ่นกับงานกลับจัดการปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมา

               “ขอโทษแกด้วยนะไคลลน์ แต่นี่เป็นความผิดของฉัน ฉันต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง" ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองผู้ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานะนี้ “ฉันไม่อยากดึงแกมาลำบากด้วยกัน ฉันจะตามจับอีธาน เฉินด้วยตัวของฉันเอง!”

               ม่านเมฆโกยข้าวของที่จำเป็นใส่ลงไปในกระเป๋าสะพาย มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าอีกสองชั่วโมงจะถึงเวลาขึ้นเครื่องไปฮ่องกง ซึ่งเป็นไฟลท์สุดท้ายของวัน ขณะที่ปากก็ขมุบขมิบพูดด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นถึงตัวต้นเหตุไม่หยุดปาก

               “ผู้ชายอย่างหมอนั่น ไม่ต้องออกแรงหรอกถึงจะจับได้อยู่หมัด ฉันเรียนรู้แล้วว่าการจะจับอีธาน เฉินให้ได้ต้องใช้สมอง ไม่ใช่ใช้แรง!”

               เพราะว่าหากอีธาน เฉินใช้แค่แรง...เขาคงไม่สามารถหนีออกไปจากห้องขังชั้นใต้ดินได้ แต่เพราะอีกฝ่ายใช้สมองและหาช่องโหว่ของมันเจอ อีธานถึงได้หนีไปได้พร้อมกับคำท้าทายและปริศนาที่ทำให้เขาดิ้นทุรนทุรายต้องตามไปถึงฮ่องกงเพื่อเค้นถามถึงความจริงพวกนั้นให้จงได้!

 







ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

               ชายหนุ่มร่างสูงเบี่ยงกายหลบ เมื่อร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินผ่านเขาไปด้วยท่าทีเร่งรีบ ซึ่งทันทีที่เห็นอีกฝ่าย เขาก็รีบต่อสายตรงไปยังผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งรอคอยคำรายงานจากเขา

               'ครับ ท่านครับ ตอนนี้เขากำลังเดินตรงไปยังเกทแล้วครับ และเขากำลังเดินทางไปฮ่องกง' เขารายงานอย่างรวบรัด ขณะที่สาวเท้าเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไปเรื่อยๆ

               'ตามไป ดูแลเขาให้ดีๆ อย่าให้คลาดสายตา'

               'ครับท่าน'

               เขารับคำ กับคำสั่งเข้มงวดของผู้เป็นเจ้านาย ทว่าก่อนที่จะกดวางสาย ฝ่ายนั้นก็สั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จริงจังว่า 'มาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ส่งตัวเขาไปที่เซฟเฮ้าส์ของฉันทันที เรื่องนี้ให้เงียบและเป็นความลับที่สุดเข้าใจไหม'

               'ครับท่าน...'

               เขารับคำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตรงไปยังทางออกระหว่างประเทศ ตามผู้ชายคนนั้นไปอย่างห่างๆ ทว่าไม่ยอมให้คลาดสายตา!

 

 



To be Continuous......



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/



ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ตอนที่ 7

สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ

             

               หลังจากรับกระเป๋าจากสายพานเรียบร้อย ม่านเมฆก็เดินตามป้ายทางออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางออก ภายในสนามบินเช็ก แล็บ ก็อกมีผู้คนขวักไขว่ ทั้งที่จะเดินทางออกนอกประเทศและเพิ่งเดินทางมาถึงฮ่องกงเช่นเดียวกันกับตนเอง

               ม่านเมฆกำลังเช็กข้อมูลที่เซฟเก็บไว้ในไอแพดของตนเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลการเดินทาง และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับฮ่องกงทั้งสิ้น และต้องยอมรับว่าเขาค่อนข้างมีปัญหากับมันพอสมควร เพราะถึงแม้จะเก่งกาจในตำรามากแค่ไหน แต่กลับเจอโลกภายนอกจริงๆ น้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะความขี้เกียจที่จะออกไปไหน

               “รู้อย่างนี้ตอนเรียนออกมาข้างนอกบ้างก็ดี ทำไมมันไม่เหมือนในหนังสือหรือรีวิวเขียนบอกเลยนะ"

               ชายหนุ่มบ่นพลางเกาหัวแกร็กๆ พลางหันซ้ายหันขวา จากข้อมูลที่หามาจากอินเตอร์เน็ตบอกว่าเขาควรจะต่อรถไฟใต้ดินเพื่อเข้าไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ซึ่งอยู่ฝั่งเกาลูน เมื่อดูเวลาตอนนี้แล้วอาจจะต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่รถไฟฟ้าใต้ดินเปิดใช้บริการจึงจะไปต่อได้ กับอีกทางเลือกคือเขาต้องขึ้นแท็กซี่เข้าเมือง

               ม่านเมฆถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ลากขาเดินไปตามทางที่ป้ายบอกทางไปยังจุดจอดรถแท็กซี่เพื่อเข้าเมือง

               “คิดผิดแล้วที่หนีไอ้ไคลน์มาคนเดียว รู้อย่างนี้พ่วงเอาหมอนั่นนั่นมาด้วยคนก็ดี อย่างน้อยก็มีเพื่อนละ”

               เขาบ่นพึมพำอย่างเสียดาย

 





               ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคมกริบ หางตาชี้เฉียงขึ้นส่งผลให้เขาดูน่ากลัวดุดันไม่น้อย เขาไม่แม้แต่จะเหลียวมองสูงโปร่งของชายหนุ่มที่เดินสวนเขาไป ทว่าเขากลับสั่งคนข้างๆ รีบตามไปทันที

               “เตรียมประกบไว้ พอได้จังหวะเมื่อไหร่ให้จับตัวมาทันที"

               “ครับคุณเชส” ลูกน้องของเขารับคำอย่างเคร่งขรึม ขณะที่เริ่มขยับตัวตามชายหนุ่มที่ถูกชี้เป้าไปอย่างรวดเร็ว

               “ฉันจะไปรอที่รถ จะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ส่งสัญญาณมาทันที เข้าใจไหม” เขาสั่ง ขณะออกเดินไปยังประตูทางออก ซึ่งมีคนของเขาจอดรถรออยู่

               เชสได้รับคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านายให้ออกมาดักรอผู้ชายคนหนึ่ง เขาทำตามคำสั่งด้วยการมาที่นี่ และไม่นานก็เจอกับเป้าหมายที่ดูเป็นคนเรียบๆ ไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่รู้ทำไมเจ้านายของเขาถึงต้องการตัวนัก

            แต่เอาเถอะ...ไม่นานเขาจะได้รู้

               ผู้ช่วยหนุ่มล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมาระหว่างที่เดินไปยังจุดนัดหมายกับคนของตนเอง ชายหนุ่มต้องรายงานความคืบหน้าให้ผู้เป็นเจ้านายรับรู้

               “ตอนนี้เราเจอตัวเป้าหมายแล้ว สักพักจะรีบนำตัวไปส่งที่เซฟเฮ้าส์นะครับ"

               ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับ กระทั่งเชสเคิดว่าอีธานวางสายไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะตอนที่จะกดตัดสาย อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า

               “เชส...จำเอาไว้ล่ะว่าเอาตัวเขามาเงียบๆ ที่สุด เข้าใจไหม”

               น้ำเสียงของอีธานแม้จะฟังดูแผ่วเบาราบเรียบไร้อารมณ์ ทว่ากลับเป็นคำสั่งที่ผู้เป็นลูกน้องเช่นเขายากที่จะขัดขืน

               “รับทราบครับ"





               “พอเดินพ้นออกมาก็จะเจอทางไปต่อแถวแท็กซี่…” ม่านเมฆพึมพำข้อความที่ตนเองจำได้แม่นยำจากการอ่านรีวิวการเดินทางทางอินเตอร์เนต พลางเหลียวมองหาจุดสังเกตที่จะพาเขาเดินฃไปยังที่รอรถสาธารณะ ตามที่มีคนเขียนบอกทางเอาไว้ “จากนั้นก็...โอ๊ย คนจะเยอะไปไหนวะ ไม่รู้หรือไงว่ากูเวียนหัว”

               ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย ส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่าเขาเองนั่นแหละไม่ชินกับการอยู่ในที่ชุมชนและคนหมู่มาก นอกจากจะรู้สึกมึนๆ เพราะคนเยอะแล้ว การที่ไม่ชำนาญเส้นทางเอาเสียเลยก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและหัวเสียได้ง่ายมากๆ เนื่องจากรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ความสามารถเสียจนน่าโมโห

               ในระหว่างที่กำลังบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย ความคิดของเขาก็มีอันต้องกระเด็นกระดอนหาย เนื่องจากจู่ๆ ก็มีบางอย่างแวบผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนสิ่งนั้นจะจงใจขวางทางเขาเสียด้วย ม่านเมฆที่สาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไม่สามารถหยุดฝีเท้าของตัวเองได้ทัน เขาจึงชนเข้ากับมันเต็มๆ

               พลั่ก!

               “โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงดังลั่นอย่างฉุนเฉียว นานๆ คนอย่างเขาจะรู้สึกโกรธได้ถึงขนาดนี้ เขายกมือขาวซีดขึ้นคลำบริเวณสันจมูก เพราะจากการชนเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทำเอาแว่นตาที่เขาสวมกดทับลงบนสันจมูกเขาเต็มๆ จนเจ็บจี๊ดน้ำตาแทบเล็ด “นี่! ไม่คิดจะเดินให้มันดีๆ หรือไง...เฮ้ย!”

               ชายหนุ่มหยุดชะงักหลังจากที่เผลอบ่นยืดยาวในระหว่างที่หลับหูหลับตาคลำปลายจมูกและสันจมูกด้วยความเจ็บ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตอนนี้รอบกายเขาถูกรายล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์ราวๆ สี่ห้าคน ทุกคนล้วนสวมสูทสีดำสนิทและมีสีหน้าเรียบเฉยขึงขังแบบเดียวกัน

               “สวัสดี...”

               คนที่เขาเดินชนเอ่ยทัก ฟังแล้วดูคล้ายกับเป็นมารยาทเสียมากกว่าที่อยากจะทักเขาจริงๆ

               ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่น “พวกคุณเป็นใคร”

               “อย่าสนใจว่าเราคือใคร แต่เราอยากให้คุณไปกับเรา” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ม่านเมฆมองคนพวกนั้นเขม็ง เขากำลังประเมินว่าคนพวกนี้คือใครและกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขาในตอนนี้

               “ผมควรจะไปหรือไง” ชายหนุ่มถามกลับ ดวงตากลมโตหลังแว่นสายตาอันโตหรี่แคบลงด้วยท่าทีครุ่นคิด

               ตอนนี้เขาเริ่มรักษาท่าทางเรียบเฉยของตนเองได้แล้ว ไม่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกหรือกระวนกระวายหวาดกลัวออกมา

               “สมควรครับ” คำตอบสั้นๆ หลุดออกมาจากชายชุดดำหน้าตาย “ถ้าคุณไม่อยากให้เราใช้กำลัง"

               “งั้นก็ใช้กำลังสิ” เขาท้าทาย พลางกวาดตามองผู้ชายสี่คนที่ประกบอยู่รอบตัวเขาเวลานี้

               แวบหนึ่งเขาเห็นแววขำขันในดวงตาของชายตรงหน้า ในยามที่อีกฝ่ายโต้ตอบกลับ “คุณไม่ควรท้าเรา คุณม่านเมฆ"

               “พวกคุณรู้จักผม!” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของเขา แม้จะไม่ได้ออกเสียงชัดเจนแต่ก็ฟังแล้วก็รู้ว่านั่นคือชื่อภาษาไทยของเขา ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่น สัญชาตญาณระวังภัยร้องเตือนให้เขาหนีจากสภาวะเสี่ยงภัยอย่างรวดเร็ว

               “ครับ” อีกฝ่ายตอบรับอย่างง่ายดาย

               “พวกคุณคือใครกันแน่” ม่านเมฆถามด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง ดวงตาหรี่แคบลงมองกลุ่มคนที่รายล้อมเขาอย่างประเมิน แล้วไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ได้คำตอบ

               “เจ้านายของเราอยากให้คุณไปพบ ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รู้”

               คำตอบกำกวมนั้นกลับยิ่งทำให้ม่านเมฆหวาดระแวงเพิ่มมากขึ้น “งั้นเจ้านายของพวกคุณคือใคร?”

               “ท่านไม่ได้มีคำสั่งให้ผมบอกอะไรคุณด้วยสิ"

               ชายหนุ่มเงียบ แต่ท่าทีแข็งขืนของเขาก็ทำให้คนที่รับหน้าที่เจรจาและพาตัวเขาไปหาผู้เป็นเจ้านายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม

               “ถ้าคุณอยากรู้ คุณคงต้องไปด้วยตัวเอง” เขาเอ่ยกระตุ้นและท้าทายเขาไปในคราวเดียวกัน

               “ผมคงไม่มีทางเลือกสินะ...”

               ม่านเมฆเปรย พลางปรายตามองไปรอบๆ ตัว คนพวกนี้จะยังคงพูดจาและปฏิบัติต่อเขาดี ตราบใดที่เขายังไม่คิดขัดขืนหรือมีแนวโน้มว่าจะหนี แต่ถ้าเขาแสดงออกเมื่อไหร่นั่นแหละ พวกนี้คงพร้อมที่จะใช้กำลังกับเขาแน่ๆ และเขาเองก็ชักอยากจะรู้แล้วว่าเจ้านายของคนพวกนี้เป็นใคร

               จะใช่คนที่เขาคาดเดาเอาไว้หรือเปล่า...

               “ครับ” อีกฝ่ายรับคำเสียงหนักแน่น เป็นการเปลี่ยนโทนเสียงครั้งแรกที่ทำให้เขาอดคิดอย่างประชดประชันไม่ได้ว่าตอนนี้แหละที่พวกเขาฟังดูเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์รับคำสั่งมา “รับรองได้ว่าคุณจะไม่เป็นอันตรายแน่ๆ”

               “ทำไมถึงรับรองได้ล่ะ หืม?”

               ชายหนุ่มเลิกคิ้ว จ้องมองด้วยความรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงกล้ารับประกันความปลอดภัยของเขา

               และคำตอบจากคนหน้าตายก็ทำให้ม่านเมฆได้แต่กรอกตาไปมาอย่างระอา...

               “เพราะเจ้านายของเรา...ไม่ได้มีคำสั่งให้ 'ฆ่า' น่ะสิครับ"

 






To be Continuous......



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
นั่นไง! เมฆเอ้ย ชะล่าใจไปเป็นไงล่ะ อีธานหนีไปได้แล้ว

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0




“ผมกำลังพาเขาไปที่นั่นแล้วนะครับ...”

               คำรายงานนั้นส่งผลให้อีธานคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ จากนั้นเขาก็ระบายลมหายใจยาวอย่างรู้สึกพึงพอใจ นัยน์ตาสีดำสนิทฉายประกายรื่นรมย์

               “ดี…” เขาเอ่ยชมเชยปลายสาย ก่อนจะถามกลับ “แล้วเขาเป็นไง ขัดขืนหรือเปล่า”

               ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากัน เขาเห็นแววต่อต้าน กบฏ หรืออะไรที่แล้วแต่ที่เรียกได้ว่าเป็นความดื้อดึงอยู่ภายในตัวอีกฝ่าย

               ต้องยอมรับว่าถึงแม้ม่านเมฆจะฉลาด...ทว่ายังอายุน้อยและประสบการณ์ในการเผชิญโลกก็มีน้อย จึงถูกดึงเข้ามาในเกมของเขาอย่างง่ายดาย แต่ไม่นานหรอก ม่านเมฆจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในแผนการของเขา

               แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เขาน่าจะมีเวลามากพอที่จะกล่อมหรือไม่ก็บังคับม่านเมฆให้อยู่ข้างเขา!

               “ไม่ครับ...” เสียงปฏิเสธดังมาจากปลายสาย “แต่เขาสงสัยมากว่าเจ้านายคือใคร เราเลยเอาจุดนี้มาล่อ เขาเลยยอมมาแต่โดยดี”

               อีธานอดยิ้มไม่ได้ จริงๆ ม่านเมฆอาจรู้ตัวแล้วก็ได้ ถึงได้ยอมมาแต่โดยดี

               “ไม่มีใครตามเขามานะ” มาเฟียหนุ่มถามย้ำ ยังไม่ไว้วางใจเท่าไหร่นัก เพราะม่านเมฆคือคนสำคัญที่เขาตามหามานาน จะเสียไปไม่ได้!

               “ไม่มีแน่นอนครับ"

               “ดี งั้นฉันจะไปดักรอที่นั่นเลยแล้วกัน”

               ชายหนุ่มพูดจบก็ตัดสาย จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อสะสางงานทั้งวัน เขากลับเปลี่ยนใจเพื่อไปดักรอพบคนที่เขาเพิ่งได้ตัวมาในกำมือ







               พอม่านเมฆขึ้นมาบนรถ ผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนทั้งหมดซึ่งนั่งรออยู่ในรถก็ทักทายเขาสองสามคำ ม่านเมฆคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้มาก แต่คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือใคร

               ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ายื่นผ้าสีดำสนิทผืนยาวมาให้ ม่านเมฆรู้ทันทีว่าฝ่ายนั้นต้องการให้เขาทำอะไร เขาได้แต่ไหวไหล่น้อยๆ แล้วจึงยินยอมแต่โดยดี เพราะไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปเพื่ออะไร

               เล่มเกมพวกนี้ตามพวกเขาหน่อยจะเป็นไรไป...

               “พวกคุณจะพาผมไปที่ไหนน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่นั่งปิดตาเงียบอยู่ราวๆ สิบนาทีเต็ม ความมืดมิดและความเงียบในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี ตามหลักการ ประสาทสัมผัสด้วยการมองนั้นเป็นสัมผัสที่หยาบที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาอยากจะใช้มันมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวในตอนนี้มากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกว่าพอจะควบคุมอะไรได้บ้าง

               “เดี๋ยวสักพักคุณก็จะรู้เองครับ”

               คำตอบจากคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาดังขึ้น น้ำเสียงเรียบเฉยของฝายนั้นบ่งบอกให้เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกรำคาญหรือไม่พอใจในคำถามของเขาแต่กลับทำให้ม่านเมฆรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งต้องยอมรับว่า เมื่อก่อนเขามักจะพูดอะไรต่อมิอะไรด้วยน้ำเสียงโทนนี้เช่นเดียวกัน

               เฉยชา ไม่ใส่ใจ...

               ทว่าตอนนี้ เพราะหลุดออกมาจากกรงที่ปกป้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยมาตลอดอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็ทำให้เขาเริ่มตระหนักว่าบางครั้งมันก็น่าหงุดหงิดสิ้นดี

               ดูเหมือนการมาฮ่องกงครั้งนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเขาในหลายๆ อย่างเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

               วินาทีนี้ม่านเมฆบอกได้ทันทีว่าเกลียดความเฉยชาเป็นบ้า!

               “ถามจริงๆ เถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ที่ยากจะระงับได้ “เจ้านายของคุณเลี้ยงคุณด้วยอะไร ถึงได้ซื่อสัตย์กับเขาขนาดนี้"

               “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอครับ?” ผู้ชายข้างกายยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นเดิม แม้จะโดนผู้ชายตัวเล็กๆ กว่าข้างกายดูถูกก็ตามที

               “จริงสิ” ม่านเมฆตอบด้วยน้ำเสียงติดจะประชดประชัน “แล้วที่อยากรู้มากกว่าก็คือเขาเป็นใครนั่นแหละ"

               “อีกไม่นานหรอกครับก็จะถึงเวลา"

               “เวลา...เวลา...เวลา!” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมสูงขึ้นเรื่อย จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างระบายความหงุดหงิดที่ยากจะระงับได้ “ทำไมชอบพูดคำๆ นี้กันจัง ไม่อยากตอบอะไร หรืออยากเตะถ่วงคำถามของผมก็อ้างแต่เวลา”

               เขาได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกอย่างแผ่วเบา “ก็พอๆ กับที่คุณพยายามจะใช้เวลาให้น้อยที่สุดในการเค้นเอาคำตอบจากผมมั้งครับ"

               “หึ...”

               “ไม่ต้องอารมณ์เสียหรอก” น้ำเสียงของเขาเหมือนกับกำลังปลอบโยนเด็กเล็กๆ มากกว่าชายหนุ่มเต็มตัวอย่างม่านเมฆ “ผมคิดว่าไม่เกินห้านาที คุณคงจะได้รู้คำตอบ"

               “ทำไมต้องรอ ตอบคำถามเดี๋ยวนี้เลยก็ได้"

               “เพราะว่าตอนนี้เราถึงที่หมายแล้วยังไงล่ะครับ เอาล่ะ ผมคงต้องขอปิดตาคุณต่อไปนะ"

               “ทำไม…”

               เขาถามอย่างสงสัย พลางลดมือที่กำลังจะดึงผ้าปิดตาลง และยังคงปล่อยให้มันอยู่ที่เดิม

               “ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นคนฉลาดนะคุณม่านเมฆ...คุณไม่น่าถามคำถามนี้ผมเลย”

               ม่านเมฆยิ้มหยันกับคำพูดของเขา “ผมก็ไม่อยากถามคำถามโง่ๆ อย่างนี้นักหรอก แต่ว่าบางครั้งมันก็เป็นคำถามจำเป็นที่ต้องถามนะ"

               “เอาล่ะ คุณจะได้ไปถามคำถามนั้นกับเจ้านายของผมแล้วนะครับ”

               ม่านเมฆถูกมัดมือเอาไว้แน่นก่อนพาลงจากรถ มีคนคอยหิ้วปีกเขาให้ออกเดินเข้าไปในอาคารราวกับเป็นคนตาบอด ชายหนุ่มไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่พยายามทำใจให้สงบ และอีกไม่นานเขาก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริงหรือไม่

               ม่านเมฆถูกพาเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะพาออกเดินอีกครั้ง ไม่นานเขาก็ถูกพาเข้าไปภายในห้องห้องหนึ่ง และผ้าผูกตาเขาก็ถูกดึงออกไป

               “สวัสดีม่านเมฆ”

               เขาตัวแข็งทื่อ จ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง

               เขารู้! ต้องเป็นอีธานนั่นแหละ เขารู้! เขาถึงเลือกที่จะเสี่ยงมาที่นี่ ที่ฮ่องกงนี่มีเพียงอีธาน เฉินนั่นแหละที่รู้จักเขา! แต่เขาแค่ลังเลว่าอาจจะไม่ใช่ เพราะว่าอีธานสมควรที่จะหลีกหนีเขาไปให้ไกล หลังจากที่หลุดรอดไปได้แล้วครั้งหนึ่ง

               อีธานรู้ทันเขา อย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าอีธานจะต้องรู้ความคิดและรู้ว่าเขาจะต้องตามอีกฝ่ายมาถึงที่นี่

               พวกเขาต่างล่อลวงกันและกันให้เข้ามาติดกับดักของแต่ละคน หลังจากที่ได้แต่ประลองกันเมื่อคราวที่แล้วในกระดานความคิด ทว่าที่เมืองไทยเขาก็ยังมีผู้ช่วย แต่ตอนนี้...มีเพียงตัวเขาคนเดียวเท่านั้น

               ในสนามนั้นม่านเมฆอาจจะชนะอีธานได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่เขาชำนาญ แต่ในสนามนี้...ม่านเมฆยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรไปชนะมาเฟียหนุ่มตรงหน้า แต่เขาจะสู้สุดใจ เขาเป็นนักสู้ เขารู้ตัวดี สักวันเขาจะหาวิธีการได้ เพราะเปอร์เซ็นต์ชนะยังมี แม้จะน้อยแต่มันก็ไม่ใช่ศูนย์…

               และเขาจะพาอีธานกลับไปให้ได้!

               ม่านเมฆคิดอย่างทะนงตน

               “อีธาน เฉิน!”

               เขาครางเรียกชื่อเขาในลำคอ จ้องมองเขานิ่งด้วยความรู้สึกอันหลากหลายยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

               อีธานยิ้มให้เขาเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาถึงกับต้องกลั้นหายใจ!

               “สวัสดีมาร์ ยินดีที่ได้เจอคุณอีกครั้ง...”

               ม่านเมฆตัวแข็งทื่อ ไม่มีใคร...ไม่มีใครเคยเรียกชื่อนี้ของเขามาก่อน!

               เขาใช้นามแฝงนี้มานาน ทว่าแม้แต่กับคนสนิทที่สุดก็ยังไม่มีใครรู้ว่าในโลกของแฮกเกอร์เขาคือใคร แต่วันนี้คนตรงหน้ากลับรู้ว่าเขาคือมาร์

               ...นี่มันอะไรกัน?!

               ทว่าเมื่อคิดย้อนกลับไป ม่านเมฆพอหายตกใจแล้วก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นคนที่เกือบทำให้เขาจนมุมได้ มีเพียงคนเดียว...

               “ดราก้อน!” เขาครางเรียกชื่อของแฮกเกอร์คนที่เกือบจะจับตัวเขาได้ คนที่ทำให้รู้สึกถึงคำว่า ‘เกือบพ่ายแพ้’

               “ครับ…” อีธานรับคำง่ายๆ เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน “แต่ยังไงเรียกผมว่าอีธานเหมือนเดิมดีกว่า”

               “คุณให้คนไปตามจับตัวผมงั้นเหรอ”

               ม่านเมฆถามออกไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงจะใช้คำว่าจับตัวมาก็เห็นจะไม่ถูกต้องนัก

               อีธานมองเขาด้วยสายตาคมกริบ แล้วกวาดตามองเขาที่มีท่าทีสบายดีไม่บุบสลายอะไร “เชสคงไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม มันคงเป็นการเสียมารยาทมากที่จะทำอย่างนั้นกับคนสำคัญ...”

               ม่านเมฆกัดริมฝีปาก เขาไม่ได้มีความอดทนมากพอจะเล่นเกมตอบคำถามกับอีธานอีกต่อไปแล้ว

               “อย่าพูดจาโยกโย้อีกเลย คุณต้องการอะไรกันแน่"

               “คุณก็น่าจะรู้ตัวเองดีนะมาร์” อีธาน เฉินยังคงเรียกนามแฝงของเขา

               ม่านเมฆจ้องมองมาเฟียตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะแก้ไขคำพูดของเขาด้วยท่าทีไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยชื่อนั้น “ขอโทษนะแต่ผมชื่อม่านเมฆ"

               “แต่คุณก็คือมาร์นี่...หรือจะปฏิเสธล่ะ” อีธานเลิกคิ้วขึ้นสูง มองคนตรงหน้าอย่างสงสัย แต่ไม่ว่าผู้ชายตรงหน้าจะเป็นม่านเมฆหรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจได้ก็คือตัวตนของ ‘มาร์’ ในเมื่อมาร์คือม่านเมฆ…เขาถึงต้องการตัวมาให้ได้!

               ม่านเมฆถอนหายใจยาว “จะเรียกอะไรก็ตามใจ แต่ช่วยตอบคำถามผมทีเถอะมิสเตอร์เฉิน"

               “คุณน่าจะรู้ดีที่สุดนะม่านเมฆ...” เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเดาไม่ออกว่าเขาต้องการอะไร?

               “รู้ดีที่สุดอะไร...เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มหยุดชะงัก เมื่อคิดทบทวนถึงการกระทำทุกๆ อย่างที่ผ่านมาของอีธาน ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วจ้องมองเขาตาโต “คุณล่อผมมาที่นี่งั้นเหรอ!”

               “...หึ”

               “ใช่แน่ๆ” ชายหนุ่มย้ำด้วยสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น “คุณให้คนตามผมตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว คุณถึงรู้ว่าผมอยู่ที่ฮ่องกง แล้วคุณ...คุณก็รู้ว่าผมจะต้องตามคุณมา”

               ใช่! มันต้องเป็นอย่างนั้น มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วที่จะเป็นอย่างนั้นกับการกระทำที่ผ่านมาของอีธาน เฉิน! เขาควรจะเอะใจมาตั้งนานแล้วว่าทำไมที่เมืองไทย เหมันต์ถึงจับตัวอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และเพราะอะไรอีธานถึงเลือกเหมันต์ให้เป็นคนจับตัวเขา เพราะอีธานต้องการพบเขา!

แต่ว่า...นั่นทำไมล่ะ?

               หรือเพราะต้องการฆ่าเขาที่เจาะเข้าระบบของเฉินซี ไม่น่าจะใช่เหตุผลเพียงแค่นี้ เพราะตอนนั้นอีธานสามารถจัดการเขาได้แต่ไม่ทำ แถมยังยั่วโมโหเขา หนีจากกรงขังของเขา ทำลายความภาคภูมิใจของเขา และนั่นก็ทำให้เขาต้องมาตามล่ามาเฟียหนุ่มถึงที่นี่

               แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดอยู่ในการคาดการณ์ของอีธาน...ใช่ไหม?

               “ครับ...สมกับที่คุณฉลาดนะม่านเมฆ คุณเดาถูกหมดเลย” อีธานเอ่ยชมพร้อมกับปรบมือให้ด้วยสีหน้าเยาะหยัน

               “แต่ผมไม่เข้าใจ” ม่านเมฆสวนกลับทันควัน “คุณให้ผมมาที่นี่ทำไม”

               ชายหนุ่มถาม พลางจ้องมองด้วยสีหน้าคาดคั้น ถึงเวลาที่อีธานจะต้องพูดความจริงกับเขาแล้ว เขาถูกปั่นหัวมามากพอในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อได้คำตอบ เขาก็จะลากคออีธานกลับไปด้วยกัน โยนให้คนอื่นสะสางต่อไป และจบเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปเสียที!

               “คุณก็รู้นี่ว่าผมคือดราก้อน...เราออกจะถูกคอกันนะม่านเมฆ ทำไมเดาความคิดผมไม่ได้ล่ะ"

               “...”

               “เห็นแก่ที่คุณมาถึงที่นี่ ผมจะยอมบอกก็ได้ว่าที่ผมไปเมืองไทย...ผมก็แค่อยากเจอคุณ”

               “...”

               “แผนการของคุณยอดเยี่ยมนะ มันเกือบสมบูรณ์แบบเลยล่ะที่คุณวางแผนจับผมจนได้ องค์กรของคุณก็ถือว่าเจ๋งกว่าพวกตำรวจเป็นไหนๆ เลย”

               พูดมาถึงตรงนี้อีธานก็ยักไหล่ คลี่ยิ้มหยัน ก่อนจะตอบด้วยท่าทีที่เขามองแล้วออกจะขัดตา เพราะมันแสดงให้เห็นถึงอีโก้ในตัวของผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจน

               “แต่ผมคงต้องอวยตัวเองสักหน่อยว่าผมน่ะเจ๋งกว่า เพราะว่าผมหนีรอดออกมาได้”

               “มิสเตอร์เฉิน...” เขากัดฟันเรียกเขาอย่างพยายามระงับอารมณ์ เพราะคนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่ดี

               “อย่าโมโหสิ ที่ผมอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้อาศัยโชคนะหนุ่มน้อย ผมต้องอาศัยนี่...ตรงนี้" นิ้วชี้เรียวสวยเคาะข้างขมับของชายหนุ่มเบาๆ "ผมใช้สมองนะ ไม่อย่างนั้นผมจะวางแผนตลบหลังพวกคุณทุกๆ คนได้ยังไง"

               “...”

               “แล้วผมจะวางแผนล่อคุณมาที่นี่ได้ยังไง"

               “...”

               “จริงไหม?”

               “คุณต้องการอะไรกันแน่...มิสเตอร์เฉิน”

               ชายหนุ่มจ้องมองอีธานเขม็ง แม้จะรู้ว่าตัวเองติดกับคนตรงหน้า แต่พอถูกตอกย้ำเขาก็ไม่ชอบมันอยู่ดี

               อีธาน เฉินวางมือบนไหล่ของเขา จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะตอบคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดออกมา

               “ผมต้องการอะไรอย่างนั้นเหรอ...นี่คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอ"

               “...”

               “ที่ผมต้องการน่ะก็คือ...คุณยังไงล่ะ!”

 





To be Continuous......

*แจ้งข่าวค่ะ ^^*

เรื่องนี้อย่างที่เคยแจ้งน่ะค่ะว่าผ่านการพิจารณาแล้ว

รูปเล่มตีพิมพ์กับ สนพ. โรส ในเครืออมรินทร์นะคะ

ยังไงก็ขอฝากด้วยน้าาาา



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0





ม่านเมฆปิดประตูห้องพักด้วยความโมโหหลังจากที่เพิ่งจะเข้าเช็กอินในโรงแรมที่จองเอาไว้ เขาถูกพาตัวกลับไปยังสนามบินตามคำสั่งของอีธาน ไอ้คนบ้านั่นตั้งใจจะแกล้งชัดๆ! หลังจากที่การเจรจาเมื่อสามชั่วโมงก่อนนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า

               เขารู้ว่าอีธานไม่พอใจ แต่เขาไม่อาจรับข้อเสนอของมาเฟียหนุ่มได้!

               ชายหนุ่มเหวี่ยงเป้ที่มีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดไปที่เตียงก่อนบรรจงเอาลูกชายสุดที่รักออกมาจากกระเป๋าถืออีกใบวางไว้ข้างเตียง แล้วฉวยหยิบเอาผ้าเช็ดตัวของทางโรงแรมเดินเข้าไปในห้องน้ำ

               อย่างน้อยตอนนี้การอาบน้ำอาจจะทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งคิดอะไรออกมาได้บ้าง

               เสียงน้ำกระทบกับพื้นดังไปทั่วห้องน้ำเล็กๆ ก่อนที่เขาจะก้าวไปยืนอยู่ข้างใต้นั้นช้าๆ ให้สายน้ำพัดพาเอาความเมื่อยล้าให้หลุดหายไปจากตัวเขา

               แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็อดคิดถึงตอนที่เจรจากับอีธาน เฉินไม่ได้อยู่ดี...

               'ที่ผมต้องการก็คือ...คุณยังไงล่ะ!'

            คำตอบของอีธานทำให้เขาเบิกตากว้าง มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา!

'ผม? จะบ้าเหรอ ผมไม่ใช่เกย์...ผม...'

เขาโบกไม้โบกมือ ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

ถึงเขาจะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบผู้ชายนะ โอเค ม่านเมฆไม่ได้จำกัดหรอกว่าตัวเองจะต้องรักแต่ผู้หญิง ทว่าเขาก็ไม่เคยรักใครมาก่อนอยู่ดี จู่ๆ ที่หมอนี่วางแผนล่อเขามาถึงที่นี่เพราะต้องการตัวเขา ให้ตายเถอะ เขาไม่ใช่สักหน่อย!

            อีธานหัวเราะ

'นี่คิดอะไรเนี่ย'

            'ก็…'

            ม่านเมฆหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายกับความคิดบ้าๆ ของตัวเองนิดหน่อย

            'เอาเถอะ...' อีธานไม่สนใจความคิดของเขา 'ผมอาจจะพูดไม่ชัด ที่ผมอยากได้คือสมองและความสามารถของคุณ' มาเฟียใช้ปลายนิ้วเคาะขมับของเขาแผ่วเบา

            ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประเมินและพยายามจะหยั่งความคิดของเขา 'คุณต้องการอะไรจาก...สมองและความสามารถของผม'

            'เมื่อถึงเวลาผมก็จะบอกคุณเองนั่นแหละ' มาเฟียหนุ่มตอบง่ายๆ ทว่ากลับไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดอะไรเลยแม้แต่น้อย 'แต่ว่าตอนนี้ผมจะถามคุณก่อนว่าคุณ...สนใจมาอยู่กับผมไหม?'

            '...'

            'ขอแค่มาอยู่กับผม ทำงานให้ผม...ผมให้คุณได้ทุกอย่าง'

            เขาจ้องมองอีธานอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามาเฟียตรงหน้าจะชวนเขาเข้าร่วมกับกลุ่มไตรแอด ทั้งๆ ที่อีธานก็รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ และอีกฝ่ายคงจะเห็นความดื้อดึงและการปฏิเสธอยู่ในแววตาของเขา จึงเอ่ยโน้มน้าวเขาอีกครั้ง...ด้วยสิ่งที่หมอนี่เคยพูดใส่หน้าเขามาก่อนหน้านี้แล้ว และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตามมาถึงที่นี่ นอกเหนือจากที่ว่าเขาทำผิดพลาดที่ปล่อยให้อีธานหนีออกมาได้

            'โดยเฉพาะเรื่องของพ่อคุณ...อย่างที่เราเคยพูดกันเอาไว้ ผมรู้เรื่องการตายของด็อกเตอร์ธันว์...พ่อของคุณ'

            'ผมไม่คิดจะหักหลังองค์กรของตัวเองแล้วร่วมมือกับอาชญากรอย่างพวกคุณ'

            ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาไม่มีทางเข้าร่วมกับมาเฟียอยู่แล้ว อีธานคือคนของไตรแอด คืออาชญากร เขาไม่คิดจะทำงานให้มาเฟียโดยเด็ดขาด!

            อีธานคลี่ยิ้มอ่อน มองเขาด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก แต่ที่แน่ๆ เขาเห็นแววหยามหยันโลกทั้งใบในดวงตาสีดำคมกริบของอีกฝ่าย

            'คุณคิดอย่างนั้นเหรอม่านเมฆ...'

            'ใช่…' ชายหนุ่มตอบอย่างหนักแน่น

            'น่าเสียดายนะ...' มาเฟียตรงหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบา และนั่นทำให้ชายหนุ่มต้องถามออกไปอย่างรวดเร็ว

            'เสียดายอะไร'

            'คุณเป็นคนฉลาดแต่ว่า...' เขาชะงัก และไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

            ม่านเมฆมองเขาด้วยความสงสัยที่จู่ๆ อีธานก็หยุดพูดไปเฉยๆ 'แต่ว่าอะไร?'

            'สายตาในการมองอะไรของคุณแย่มากนะมาร์ เอาเถอะ... ถ้าโลกใบนี้ของคุณจะมีแค่ดีกับเลว สีขาวกับสีดำ นั่นก็เป็นสิทธิ์ของคุณ' ชายหนุ่มบอกเขาด้วยน้ำเสียงเฉยชา

            ม่านเมฆขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายสั่งสอนเขา 'และมันก็เป็นสิทธิ์ของผมที่คุณไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ มิสเตอร์เฉิน'

            'นั่นสิ...' อีธานคลี่ยิ้มหยันออกมา

            นับรวมวันนี้ เขายิ้มมากกว่าทั้งชีวิตรวมกันเสียอีก แม้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขบขันก็ตามที

            'เอาล่ะ เจอตัวคุณซะที ดี! ผมจะได้กลับเมืองไทยซะที' ม่านเมฆเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วมองมาเฟียตรงหน้าด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เขาจะพาอีธานกลับไปให้ได้ และเมื่อมีโอกาส เขาก็จะไม่ปล่อยมันไป

            'หืม?'

            'และคุณก็ต้องกลับไปกับผม' ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน และนั่นกลับทำให้อีธาน เฉินมองเขาราวกับว่าเขายังเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ประสีประสากับอะไรทั้งสิ้น

            'คุณคิดว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอม่านเมฆ'

            'มันก็ไม่มีอะไรยากไม่ใช่เหรอ?' ชายหนุ่มย้อนกลับ

            คราวนี้อีธานมองเขาด้วยสีหน้าท้าทาย

            'ถ้าคุณคิดว่าทำได้...ก็ลองดูสิ'

            'ผมต้องทำได้แน่ๆ '

            'งั้นคุณจะไม่มีวันนั้นแล้วล่ะ...'

            '…'

            ม่านเมฆเงียบ ปล่อยให้อีธานจ้องมองด้วยสีหน้าอิดหนาระอาใจราวกับว่าฝ่ายนั้นกำลังเบื่อหน่ายกับความดื้อดึงของเขา

            'เอาล่ะ ถ้าตกลงว่าจะอยู่กับผมได้เมื่อไหร่ก็ติดต่อมาแล้วกัน...แต่ถ้าไม่...ก็หาทางจับผมให้ได้แล้วกัน...ม่านเมฆ'

            มาเฟียหนุ่มเอ่ยท้าทาย และมองเขาราวกับว่าเขาจะไม่มีวันทำได้ ซึ่งม่านเมฆไม่คิดว่าจะไม่มีวันนั้น เขาต้องจับอีธานกลับไปให้ได้ และต้องทำให้สำเร็จ!

            เขาอยากจะลบสีหน้าดูถูกของอีกฝ่ายในวันนี้ออกไปจริงๆ !

            'ผมต้องทำให้ได้แน่ๆ!'

            'แล้วผมจะคอยดู' เขาเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เปิดออกกว้าง แล้วร้องเรียกลูกน้องของเขาที่ยืนรออยู่ด้านนอก 'เชส นายเข้ามานี่สิ'

            ผู้ชายที่ชื่อเชสเดินเข้ามาในห้อง และก็ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายที่ยั่วประสาทเขาตั้งแต่อยู่บนรถเพื่อมาที่นี่ชื่อเชส และที่รู้สึกคุ้นหน้าก็เพราะอีกฝ่ายคือมือขวาของอีธานที่เขาเห็นจากรูปในยามที่หาข้อมูลเกี่ยวกับมาเฟียหนุ่ม

            'พาคุณม่านเมฆกลับไปส่งที่เดิมนะ'

            คำสั่งของอีธานทำให้ม่านเมฆเบิกตาโตอย่างไม่ชอบใจ 'นี่คุณ! ทำไมต้องเอาผมไปโยนไว้ที่สนามบินเหมือนเดิม'

            'คุณเริ่มต้นที่จุดของคุณ ผมก็เริ่มในที่ของผม...เสมอภาคกันออกม่านเมฆ หรือคุณว่าไม่จริง' เขาถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวน

            'นายมันกวนประสาท!'

            'ถ้าอยากให้ผมหยุด...คุณรู้ดีว่าคุณจะแลกได้ด้วย...อะไร?'

            “...”

            'โชคดีนะหนุ่มน้อย ผมรอคำตอบจากคุณอยู่ แล้วก็หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง'

            “...”

            'ทำงานให้กับคนที่ 'ฆ่า' พ่อตัวเองน่ะ...มันไม่สนุกหรอกนะ'

            'ไม่จริง!'

            ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงดังลั่น เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เขาบอกหรอก ไม่ว่าในตอนนั้นหรือตอนนี้!

            เขาไม่ได้ทำงานให้กับคนที่...ฆ่าพ่อเขาหรอก

            เอาล่ะ เขารู้ พันธิตหัวหน้าของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีขาวสะอาด เขาอาจรู้ประวัติพันธิตไม่มาก แต่รู้มากกว่าคนอื่นๆ ทว่าสิ่งที่อีธานพูดออกมามันสั่นคลอนเขาไม่น้อย แต่เขายังคงเชื่อมั่น และเขามาที่นี่ เพื่อที่จะล้มล้างคำพูดของมาเฟียตรงหน้า

            เขาไม่เชื่อหรอกว่าหัวหน้าจะทำอย่างนั้น องค์กรของเขาขาวสะอาดพอ!

            'แล้วคุณรู้ได้ยังไงล่ะว่าที่ผมพูดไม่ใช่ความจริง...ถ้าอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้หรือว่าอยากจะแก้แค้น...ผมช่วยคุณได้นะเมฆ...'

            เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นเขาอย่างถูกต้องก่อนจะเดินจากไป...

               ความคิดของม่านเมฆสิ้นสุดลง... เสียงกระซิบสุดท้ายของอีธาน เฉินยังดังชัดเจนเหมือนเขาเพิ่งพูดอยู่ข้างๆ หู มันง่ายที่อีธานจะบ่มเพาะความหวาดระแวงให้ใครสักคน แต่มาเฟียหนุ่มจะค้นพบว่ามันยาก...ถ้าจะทำเช่นนั้นกับเขา! ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างดื้อดึง ยากที่จะยอมรับว่าอีธานบ่มเพาะความระแวงในใจเขาได้สำเร็จ

               เสียงน้ำยังคงตกกระทบกับพื้นและส่วนหนึ่งก็ราดรดลงบนร่างกาย ชายหนุ่มกำมือเป็นหมัดแน่น ก่อนจะทุบลงบนผนังภายในห้องน้ำแคบๆ เป็นการระบายอารมณ์

               “แล้วอย่าคิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของแก อีธาน เฉิน! แกต้องโกหกแน่ๆ หัวหน้าไม่มีทาง...ไม่มีทางทำแบบนั้นกับพ่อของฉันหรอก!”



To be Continuous......



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0




ตอนที่ 8

ตัวช่วยหรือขัดขวาง


               อีธานมองไปตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากไปกว่าห้วงความคิดของตนเอง แม้ว่าจะรับรู้ได้ว่าตอนนี้คนสนิทมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังของเขาแล้วก็ตาม

               “เขายังตามมาอยู่เลยนะครับ”

               เชสเอ่ยสั้นๆ เป็นที่รู้กันว่า ‘เขา’ ที่ว่าหมายถึงใคร และนี่ก็เป็นวันที่สามแล้วที่เขาตามติดอีธาน เฉินไปทุกที่ ทำราวกับว่าจะทำให้เขาได้โอกาสเจรจากับอีธานอีกครั้งอย่างนั้นแหละ

               “งั้นเหรอ” อีธานถามสั้นๆ สายตาของเขาจับจ้องแต่ทิวทัศน์นอกกระจกกว้างบานใหญ่ ซึ่งเป็นภาพของฝั่งเกาลูนในยามเย็น

               “เราจะเอายังไงกับเขาดีครับ จะปล่อยไปเลยหรือเปล่า” เชสขอความเห็น เพราะม่านเมฆคอยติดตามอีธานมาสามวันแล้ว และเพราะรู้ถึงสถานะพิเศษของชายหนุ่ม ทำให้เขาไม่คิดจะทำอะไรแฮกเกอร์คนนั้นหากไม่มีคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย

               อีธานเหยียดยิ้มหยัน เขาหันไปมองเชสที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลังแวบหนึ่ง แล้วจึงสั่งการเกี่ยวกับม่านเมฆเพียงแค่ว่า “ไม่ล่ะ...ถ้าเขาอยากตามก็ให้เขาตามไป แต่ว่า..."

               “...”

               “อย่าให้เขาเข้าใกล้ฉันได้ เข้าใจไหม"

               “ครับ”

               เชสรับคำสั่ง ทว่าผู้เป็นเจ้านายไม่ได้สนใจ เนื่องจากเสียงติ๊ดเบาๆ ของโทรศัพท์และการสั่นนั้นบ่งบอกชัดว่ามีคนติดต่อเข้ามา เมื่อหยิบมันออกจากกระเป๋าเสื้อสูทจึงเห็นว่าเป็นข้อความ

               ‘เจอกันเย็นนี้ตอนหนึ่งทุ่ม’

               เขาอ่านข้อความนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้ชายหนุ่มหันหลังกลับ เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขาที่ตั้งอยู่กลางห้องและโดดเดี่ยว

               “นี่กี่โมงแล้วเชส” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง และนั่นทำให้คนถูกถามยกนาฬิกาข้อมือของตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะตอบคำถามนั้นอย่างรวดเร็ว

               “ตอนนี้จะหกโมงเย็นแล้วครับ"

               “ฉันมีนัดอะไรอีกหรือเปล่า"

               “ไม่มีแล้วครับ”

               เชสตอบอย่างรวดเร็ว อดมองเจ้านายอย่างสงสัยไม่ได้ว่าเขาถามเช่นนี้ทำไม อีธานจึงเอ่ยแค่ว่า

               “งั้นกลับบ้าน ฉันอยากพักผ่อน"

               “ครับ”

               เชสรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วเดินออกไปเพื่อไปสั่งคนขับรถให้เตรียมพร้อมไปส่งอีธานกลับคฤหาสน์ตระกูลเฉินในอีกห้านาทีนี้

 

               คาดิแลคสีดำและหมายเลขทะเบียนคุ้นตาขับผ่านหน้าไป ชายหนุ่มจึงรีบกระโจนวิ่งจากตึกสำนักงานใหญ่ของเฉินซีอย่างรวดเร็วเพื่อไปโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านหน้าพอดี เมื่อเข้าไปข้างในรถ เขาจึงสั่งคนขับเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว

“ตามรถคันนั้นไปเลย”

               เขาชี้ไปยังรถของอีธาน เฉิน ซึ่งแท็กซี่ก็ยอมตามใจเขาและขับไปเรื่อยๆ ทว่าเมื่อผ่านไปราวๆ สามสิบนาที กระทั่งผ่านวิกตอเรีย พีค ก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด ม่านเมฆค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยว่าเขามาที่นี่ทำไม เพราะสองวันที่ผ่านมา อีธานกลับที่พักของเขาซึ่งเป็นเพนต์เฮ้าส์หรูใจกลางเมืองมากกว่าจะไปที่อื่น

               “คุณครับ คงไปไม่ได้แล้วล่ะ” จู่ๆ คนขับรถแท็กซี่ก็จอดรถลงข้างทาง คนขับหันมาบอกขณะที่เขาได้แต่มองรถคาดิแลคที่ห่างออกไปมากขึ้นทุกที

               “อ้าว ทำไมล่ะ” ม่านเมฆถามอย่างกระวนกระวาย

               “ทางนั้นมันเป็นที่ส่วนบุคคล"

               “พอดีนั่นเป็นบ้านคนรู้จักของผมน่ะ ลุงขึ้นไปได้เลย” ชายหนุ่มบอกรวดเร็ว ทว่าคนขับส่ายหน้า

               “ไม่ได้น่ะคุณ”

               คนขับรู้ดีว่านั่นคือที่ไหน ใครบ้างไม่รู้จักบ้านของมาเฟียใหญ่ผู้กุมชะตากรรมของเกาะฮ่องกงอย่างอีธาน เฉิน และเขาไม่อยากยุ่มย่ามกับรังใหญ่ของมาเฟีย

               “แต่ว่า” ชายหนุ่มคัดค้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่ใจอ่อน

               “ผมจอดส่งที่ข้างหน้านี้แล้วกัน"

               “ก็ได้” เขาบอกอย่างตัดใจในที่สุด “...งั้นกลับไปส่งผมที่โรงแรมได้ไหม”

               ม่านเมฆได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ซึ่งคนขับรถแท็กซี่ก็ยินยอมแต่โดยดี

 

               ม่านเมฆกลับมาถึงโรงแรมด้วยอาการหัวเสียนิดหน่อย เนื่องจากวันนี้เป็นอีกวันที่เขาถือว่าตัวเองล้มเหลวเพราะไม่สามารถเข้าถึงตัวอีธาน เฉินได้ อันที่จริงเขาล้มเหลว ‘อย่างมาก’ ด้วยซ้ำ เพราะว่าแม้แต่หน้าของอีธาน เขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแม้แต่แวบเดียว

               เมื่อกลับถึงห้องพัก ชายหนุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ที่ไม่ค่อยได้เปิดใช้ออก และเพียงแค่เข้าไปเช็กกล่องข้อความในอีเมลของตัวเอง ก็เห็นว่ามีอีเมลจากไคลน์อยู่สามฉบับ ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ ส่งมาหาเขาอยู่วันละฉบับนับตั้งแต่เขามาถึงฮ่องกงว่า

               ‘แกอยู่ไหนไอ้เมฆ!’

            ‘ถ้าแกไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันจะตามไปลากคอแกจริงๆ ด้วย!’

            ‘เจอกันที่ฮ่องกงพรุ่งนี้ ถ้าแกหนี แกตาย!’

               “ไอ้บ้าไคลน์ จะมาทำไมวะ”

               ชายหนุ่มบ่นด้วยอาการหงุดหงิดมากกว่าเดิม ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ไปเลย เขาค่อนข้างกังวลและเครียดเพราะข้อความสุดท้ายของอีกฝ่าย

               ไคลน์ไม่มีงานใหม่หรือไงนะ หัวหน้าหรือพี่หมีก็ได้ ช่วยๆ ส่งงานให้ไอ้หมอนี่ทำเถอะจะได้ไม่ว่างวิ่งตามเขามา

               ทว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของเขา ในความเป็นจริง ตอนนี้ไคลน์คงจะมาถึงฮ่องกงแล้ว ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหมอนั่นจะตามหาตัวเขาไม่เจอ!

 

               “สวัสดีอีธาน...”

               หน้าจอคอมพิวเตอร์มืดสนิท ทว่าเสียงสั่นพร่าที่ดังมาจากลำโพงก็ทำให้เขาจำได้อยู่ดีว่านั่นคือใคร เพราะอีกฝ่ายเป็นคนส่งข้อความนัดเขาให้มาเจอกันวันนี้ในเวลาหนึ่งทุ่มตรง

               “ครับ คุณวิลด์เฟรด” ชายหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงเฉยชาและดวงหน้าเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณ...”

               “นี่” อีกฝ่ายขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ และเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย “ไม่ต้องทำหน้าซีเรียสสิ ผมก็แค่อยากจะถามเขาเฉยๆ ว่าไปเมืองไทยเป็นยังไงบ้าง”

               อีธานยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ก็ตอบคำถามของวิลด์เฟรดแต่โดยดี

               “ก็ดีครับ ตอนนี้เราก็เริ่มศึกษาเส้นทางอย่างละเอียดแล้ว” ชายหนุ่มหมายถึงเส้นทางการขนส่งสินค้าของไตรแอดที่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายเสร็จสิ้น แน่นอน…ประเทศนั้นนอกจากจะเป็นฐานการผลิตที่ดีแล้ว ต่อไปมันยังจะเป็นฐานกระจายสินค้าที่ดีด้วย

               “ได้ยินมาว่านายเกือบจะถูกจับที่เมืองไทยใช่ไหม"

               “ครับ แต่ก็แค่เกือบนั่นแหละครับ ผมหลบออกมาได้ก่อน แล้วคุณวิลด์เฟรดล่ะครับ ตอนผมอยู่ที่โน่นได้ยินว่าพวกอินเตอร์โพลไล่ตามล่าคุณอยู่เหมือนกัน”

               ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับด้วยความอยากรู้ แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางที่พวกไหนจะตามจับวิลด์เฟรด ชางได้ ฟังข่าวดูก็รู้แล้วว่าพวกนั้นมันได้ไปก็ตัวปลอม คนที่ตายแทนวิลด์เฟรดก็เป็นตัวปลอมที่อุปโลกภ์ขึ้นมา อินเตอร์โพลหรือพวกตำรวจสากลกับ OCTB หน้าโง่ก็หลงเชื่ออย่างเริงร่าไปหลายวันว่ากำจัดเศียรมังกรได้แล้วจริงๆ

               แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกมันคงรู้ตัวกันหมดแล้วว่าพลาด เพราะเขากลับมาปรากฏตัวที่ฮ่องกง และพวกมันคงจะตรวจสอบศพของวิลด์เฟรด ซึ่งป่านนี้คงจะรู้แล้วว่าเป็นตัวปลอม พวกนั้นคิดหรือว่าเศียรมังกรเป็นตำแหน่งของเด็กเล่น ถึงคิดว่าจะกำจัดคนอย่างวิลด์เฟรดได้ง่ายๆ!

               ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามแม้แต่น้อย กลับเอาแต่มุ่งความสนใจในการซักถามเขามากกว่า

               “ฝีมือพวกไหนล่ะ”

               คำถามนั้นทำให้อีธานนิ่งไปนิด ทว่าดวงตาของเขาฉายแววเยาะหยันที่อีกฝ่ายคงจะเห็นชัดเจน “OCTB อินเตอร์โพล ร่วมมือกับพวกตำรวจไทยด้วยนั่นแหละ”

               วิลด์เฟรดหัวเราะเสียงหยันเมื่อได้ยินคำตอบ “ช่วงนี้พวกนั้นพุ่งเป้าไปที่นาย สงสัยจะได้ยินเรื่องซื้อขายล็อตใหม่ที่จะถึงนี่ใช่ไหม”

               เพราะการติดต่อซื้อขายล็อตใหญ่กับพวกละตินอเมริกากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ และพวกอินเตอร์โพลที่จมูกดีเหมือนหมากับ OCTB ที่ตามกัดพวกมาเฟียฮ่องกงอย่างเขาไม่ปล่อยได้ยินข่าวพวกนั้นกระมัง ถึงไล่ล่าอีธาน เฉินที่ได้ชื่อว่าเป็นราชายาเสพติดแห่งเอเชียชิดจนแทบจะหายใจรดต้นคออย่างนี้

               “น่าจะเป็นไปได้ครับ”

               อีธานตอบรับข้อสันนิษฐานนั้น

               “ยังไงนายก็ระวังตัวแล้วกัน เพราะล็อตนี้สำคัญมาก เสร็จจากนี้ฉันก็อยากจะพักเรื่องนี้สักพัก เราอาจจะต้องไปลงเล่นในธุรกิจตัวอื่นแทน”

               “ครับ…”

               พอสิ้นคำตอบของเขา อีกฝ่ายก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะได้ยินแต่เสียงถอนหายใจยาว และต่อมาวิลด์เฟรดก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและมีเค้าของการขอบคุณอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“ยังไงก็ต้องขอบใจนายสำหรับการทำงานอย่างหนักมาตลอด ไตรแอดของเราคงยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย”

               อีธานหลุบเปลือกตาลงเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาปิดซ่อนอารมณ์ตัวเองจนแทบจะเป็นไร้ความรู้สึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกล้องจากนั้นจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า

“พ่อบอกเสมอว่าถ้าไม่มีคุณ คงไม่มีเรามากกว่าครับ"

               “ยังไงตระกูลเฉินก็เป็นกำลังสำคัญของเราอยู่ดี เสียแต่พวกกรรมการคนอื่นคร่ำครึ! ไม่อย่างนั้นห้าปีก่อนนายน่าจะได้เป็นเศียรมังกรแทนฉันไปแล้ว”

               น้ำเสียงของวิลด์เฟรดเต็มไปด้วยความเข่นเขี้ยวเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน

               ไตรแอดอยู่ได้ด้วยโครงสร้างสามแก๊งใหญ่เป็นหัวหน้าและมีห้ากรรมการคานอำนาจเพื่อถ่วงสมดุลของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม แม้ในปัจจุบันโครงสร้างจริงๆ ของหัวหน้าใหญ่จะเหลือเพียง ‘ตระกูลชาง’ และ ‘ตระกูลเฉิน’ เพราะ ‘ตระกูลเสิ่น’ ได้ถูกควบรวมและสิ้นสุดลงที่สายเลือดตระกูลเฉินไปแล้วก็ตามที แต่กฏของไตรแอดยังคงอยู่ ซึ่งเมื่อห้าปีก่อนได้ครบวาระของการดำรงตำแหน่งเศียรมังกรของวิลด์เฟรด ชาง และค้นหาผู้นำคนใหม่ แน่นอนว่าคนที่โดดเด่นนอกเหนือจากวิลด์เฟรดที่อยู่ในตำแหน่งนั้นมากว่าสี่สิบปีจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอีธาน เฉินซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ ทว่ากรรมการที่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นตาแก่ก็ยังไม่อยากเปลี่ยนขั้วอำนาจ จึงคัดค้านการขึ้นตำแหน่งของอีธาน เฉิน ทว่ายังไม่ถึงกำหนดเลือกก็เกิดโศกนาฏกรรมกับครอบครัวของอีธานเสียก่อน เนื่องจากการตายของพอลลีน นายหญิงแห่งตระกูลเฉินและทายาทที่เพิ่งจะก่อกำเนิด จึงทำให้อีธาน เฉินถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งนั้น

เศียรมังกร...ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของไตรแอดจึงยังคงเป็นของวิลด์เฟรดจนถึงปัจจุบัน

               “ไม่หรอกครับ ให้คุณเป็นนั่นแหละดีแล้ว ผมไม่ค่อยชอบงานบริหารคนมากเท่าไหร่ รับผิดชอบส่วนย่อยอย่างนี้สนุกกว่า” ชายหนุ่มออกตัว

               วิลด์เฟรดได้ยินอย่างนั้นกลับหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใส “ไม่ต้องเห็นแก่คนแก่หรอกน่าหลานชาย...ไม่กี่ปีฉันก็จะไม่ไหวแล้ว ยังไงไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งนี้ก็เป็นของนายอยู่ดี”

               คราวนี้คนอายุน้อยกว่าได้แต่หัวเราะเสียงแผ่วเบาในลำคอ พลางปฏิเสธออกมาด้วยสีหน้านอบน้อม “งั้นให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันครับ"

               “นั่นสินะ...”

               วิลด์เฟรดเอ่ย ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ แล้วไม่นานเขาก็ตัดการติดต่อไปในที่สุด

 

               เมื่อออกมาจากห้องทำงานลับใต้ดินของตนเอง ซึ่งส่วนควบคุมโครงข่ายลับซึ่งอยู่ภายในบ้านของเขา อีธานก็พบว่ามือขวาคนสนิทยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว

               “เชส” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ซึ่งคนถูกเรียกก็ขยับมายืนข้างกายเขาในทันที “ตอนนี้ม่านเมฆอยู่ที่ไหน?”

               “น่าจะเป็นโรงแรมแถวๆ จิมซาจุ๋ยนั่นแหละครับ” เชสตอบอย่างรวดเร็วเพราะเขาให้คนตามติดและคอยจับตาดูม่านเมฆอยู่ตลอดเวลาไม่ให้คลาดสายตา ฉะนั้นทุกความเคลื่อนไหวของม่านเมฆในฮ่องกง จึงไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของเชสได้เลย

               “ไปเอาตัวเขามา” อีธานสั่งการด้วยน้ำเสียงเครียดจัด “แล้วเอาไปไว้ที่เซฟเฮ้าส์"

               “ได้ครับ”

               เชสรับคำอย่างง่ายดาย โดยไม่ถามเหตุผลอะไรสักคำเดียว และเมื่อเขาและเจ้านายเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายที่จะนำเขาไปสู่ทางออกจากชั้นใต้ดิน คนที่นิ่งเงียบมาตลอดการเดินก็เอ่ยคำสั่งสำทับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า

               “เหมือนเดิมนะ เงียบๆ ล่ะ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด"

 

To be Continuous......



*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ

มีวางขายในงาน อมรินทร์อะไรนี่แหละ เค้าจำไม่ได้แล้ว 555555

ราคาปก 315 แต่ในงานลดเหลือ 268 บาทค่ะ ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/




ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0



อากาศของฮ่องกงในช่วงกลางดึกเช่นนี้เย็นพอที่จะทำให้ชายหนุ่มที่เผลอหลับไปในช่วงหัวค่ำและตื่นมากลางดึกด้วยความหิวโหยต้องห่อตัวเพราะสายลมที่พัดผ่านผิวกายเมื่อลงมายังร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก

               ชายหนุ่มเดินออกมาจากร้านนั้นหลังจากที่ได้ของกินสองสามอย่างที่พอจะช่วยให้กระเพาะของเขาหายทรมานในค่ำคืนนี้ พลางอดบ่นถึงการพยากรณ์อากาศที่เขาเช็กก่อนหน้าจะมาฮ่องกงไม่ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงฤดูหนาวเลยด้วยซ้ำแต่อากาศกลับหนาวจนเกินจะทนจริงๆ!

               “พยากรณ์อากาศโกหกทั้งเพ! ไหนบอกช่วงนี้ฮ่องกงไม่หนาวไงวะ แล้วนี่อะไร อูย…” ชายหนุ่มร้องครางพลางห่อไหล่เมื่อลมหนาวพัดกรูผ่านร่างเขาอีกครั้ง ม่านเมฆก้มหน้าก้มตาเดิน เขาเอาแต่มองปลายเท้าของตัวเองมากกว่าจะมองไปข้างหน้า นั่นทำให้เขาหยุดฝีเท้าไม่ทัน เมื่อจู่ๆ มีคนมายืนขวางหน้าเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว

               พลั่ก!

               ชายหนุ่มชนเข้ากับร่างนั้นเต็มๆ แรง ส่งผลให้อาหารในมือที่เขาสู้อุตส่าห์ฝ่าลมหนาวซื้อมากระจายเต็มพื้น

“อ๊ะ! ของกินของฉัน!” เขาร้องออกมาด้วยความตกใจผสมกับความเสียดาย ก่อนจะเงยหน้าขวับมองตัวต้นเหตุที่ไม่ได้เดินหนีไปไหนด้วยความโกรธเคือง ทว่าเพียงแต่เห็นอีกฝ่ายเต็มๆ ตาเขาก็ต้องหุบปากที่เตรียมจะต่อว่าลงโดยเร็ว

               “เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณม่านเมฆ”

               เชสทักทายชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
               “อ้อ คุณ…” ม่านเมฆมองหน้าเขานิ่ง ต้องยอมรับว่าเขาออกจะไม่ค่อยใส่ใจคนเท่าไหร่นัก แม้จะคุ้นหน้าเขาและรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ทว่าตอนนี้เขากลับจำชื่อเขาไม่ได้เสียแล้ว และเชสเองก็คงเข้าใจจึงบอกชื่อตนเองให้ชายหนุ่มได้รับรู้ เหมือนเป็นการแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกลายๆ หลังจากที่ครั้งแรกที่เจอกันไม่ได้ทำอย่างนั้น

               “เชสครับ"

               “ว่ายังไงเชส คุณมีธุระอะไรกับผมอีกล่ะ ไม่สิ...” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็น “…เจ้านายคุณมีธุระอะไรกับผม หลังจากที่ปล่อยให้ผมวิ่งวุ่นตามเขาไปทั่วเมืองตลอดสามวันที่ผ่านมา” ตอนท้ายเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มๆ เคืองนิดหน่อยเมื่อคิดว่าอีธานกำลังแกล้งให้เขาหัวหมุน วิ่งตามเขาเหมือนหมาตามเจ้าของไปรอบฮ่องกง

               เชสมองชายหนุ่มที่ดูเงียบๆ หงิมๆ ไร้ความน่าสนใจตามแบบฉบับของคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนธรรมดาเพราะเขาไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเลยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในดวงตามีประกายของความขบขันอยู่ไม่น้อย

               “เจ้านายให้มาเชิญคุณไปพักกับเรา” เขาบอกจุดประสงค์การมาที่นี่กับม่านเมฆ

               ม่านเมฆมองเชสด้วยสีหน้าแปลกใจและไม่อยากจะเชื่อ “หือ? ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ”

               “เพราะเจ้านายเชิญมาครับ” เชสบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ผมให้คนของเราไปเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมให้แล้ว โชคดีจริงๆ ที่โรงแรมที่คุณพักเป็นโรงแรมในเครือตระกูลเฉิน"

               “เอ๊ะ!” ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ไป”

               “แต่คุณต้องไปครับ” เชสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่สนใจคำปฏิเสธของม่านเมฆแม้แต่น้อย

               “นี่” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะฉุนเฉียว “มิสเตอร์เชส คุณคิดจะ...นี่!” คราวนี้เขาขึ้นเสียงใส่เพราะอีกฝ่ายถือวิสาสะลากเขาตรงดิ่งไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ไม่ไกลทันที “หยุดลากผมได้แล้วนะ!”

               ทว่านอกจากจะไม่หยุดแล้ว เชสยังหันไปบอกแก่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขอให้คุณหยุดโวยวายด้วยครับคุณม่านเมฆ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะต้องทำให้คุณเคลื่อนไหวไม่ได้ ก่อนที่จะพาตัวคุณไป"

               “มิสเตอร์เชส!” ม่านเมฆเรียกคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจที่โดนข่มขู่ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล เขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างระอา แล้วตั้งคำถามใหม่ที่ต้องการจะรู้เป็นที่สุดออกมาทันที “เจ้านายคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"

               “ผมคิดว่าท่านคงแจ้งคุณม่านเมฆแล้วล่ะครับ ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำ” เชสตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย และกวนอารมณ์อย่างไม่น่าเชื่อ

               “รักกันดีเหลือเกินนะ” ชายหนุ่มเอ่ยประชด ทว่าคนตรงหน้าไม่สนใจ เขายังคงบังคับให้เขาไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ดี

“เชิญคุณม่านเมฆเถอะครับ ไปอยู่ที่นั่น สบายกว่าโรงแรมตั้งเยอะ” เขาพูดโน้มน้าว ทว่าม่านเมฆก็ยังคงขัดขืนไม่คิดจะออกเดิน

               เชสมองชายหนุ่มที่ดูหัวดื้อกว่าที่คิดด้วยสีหน้าที่แอบแฝงไปด้วยความระอาใจ ก่อนจะล่อหลอกด้วยสิ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าจะทำให้ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของเข้านายของเขาได้

               “...”       

               “ขอแนะนำว่าการจะตามเจ้านายผม ไปอยู่กับเขาคงจะง่ายกว่าอยู่ที่โรงแรมนี้”

               คราวนี้ม่านเมฆละพยศ เขาหันไปมองเชสด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ทว่าก็ยอมก้าวเดินไปตามทางที่เชสต้องการให้เขาไปแต่โดยดี...

 


******


               เมื่อไปถึงที่หมาย ซึ่งก็คือเซฟเฮ้าส์หรูที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งเพราะมันคือสถานที่ที่เขามาเหยียบเป็นที่แรกนับตั้งแต่มาถึงฮ่องกง

               ม่านเมฆหมุนไปรอบๆ เพื่อมองหาใครสักคน ทว่านอกจากเขาและเชสภายในห้องนี้แล้วก็ไม่เห็นใครอีก ชายหนุ่มหันไปมองคนสนิทของอีธานก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยเพราะไม่เห็นคนที่เขาต้องการจะพบ

               “ไหนล่ะเจ้านายของคุณ”

               เชสค่อยๆ คลี่ยิ้มเย็นชาออกมา พลางตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขัดกับสีหน้า “ผมไม่ได้บอกนี่ครับว่าท่านจะมาที่นี่...วันนี้”

               “เชส!”

               ม่านเมฆถลึงตาดุใส่คนสนิทของอีธานอย่างดุดัน ไม่คิดว่าตนเองจะมาเสียรู้อีกฝ่ายอย่างไม่น่าเชื่อเพราะคำพูดกำกวมที่ล่อให้เขามาที่นี่! และเมื่อเชสยังคงเอาแต่ตีหน้าเรียบเฉย ม่านเมฆจึงได้แต่กัดฟันบริภาษออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บใจ

               “กลับกลอกทั้งเจ้านายและลูกน้อง!”

               “นั่นก็แล้วแต่คุณจะคิดนะครับคุณม่านเมฆ...”

               “มันเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วนั่นแหละ คงไม่ต้องคิดอะไรมากมายหรอก”

               “คุณพักที่นี่ดีแล้วครับ” เชสเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากจะโต้เถียงกับชายหนุ่มมากนัก

               เขามองเชสด้วยความเดือดดาล “มันจะดีกว่าตรงไหน”

               เชสมองชายหนุ่มตรงหน้า ท่าทางของม่านเมฆดูอ่อนแอและยังอ่อนต่อโลกใบนี้นัก เขาอาจจะฉลาด แต่ประสบการณ์ชีวิตของเขายังน้อย...น้อยมากที่จะก้าวออกมารู้จักโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งและทุกแง่เหลี่ยมมุมของมัน

               “เชื่อผมเถอะ คนอย่างคุณน่ะ อย่าไปอยู่ตัวคนเดียวข้างนอกเลยครับ ยิ่งที่นี่...ถ้าพวกนั้นรู้ว่าคุณคือใคร...คุณจะตายเอาง่ายๆ นะครับ"

               “ไม่ต้องมาขู่ผม!” เขาบอกอย่างไม่พอใจ และไม่สนใจคำพูดของเชสแม้แต่น้อย

               เชสส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับคนขี้หงุดหงิด “ครับๆ คุณไม่กลัวความตาย ผมจะจำเอาไว้"

               “...”

               “แต่ว่า...เจ้านายผมกลัวคุณตายนี่สิ เขาเลยต้องให้คนมาคอยดูแลคุณ"

               “ฮึ!”

               ม่านเมฆส่งเสียงดูถูกในลำคอพลางเบือนหน้าหนี คนอย่างอีธาน เฉินน่ะหรือจะมาสนใจความเป็นความตายของเขา จริงๆ อีธานควรจะภาวนาให้เขาพลาดพลั้ง บาดเจ็บ หรือไม่ก็ตาย เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็จะหาทางพาอีธานกลับไปให้ได้!

               “ผมว่าคุณร่วมมือกับเราดีกว่า เพราะสิ่งที่คุณเห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด” เชสกล่อมม่านเมฆ เผื่อว่าเขาจะยอมใจอ่อน ถึงแม้ว่าเชสจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าผู้เป็นเจ้านายต้องการตัวม่านเมฆไปเพื่ออะไรก็ตาม

               ในเมื่อผู้ชายคนนี้มีความสำคัญกับอีธานนั่นก็หมายถึงว่ามีความสำคัญต่อเขาเช่นกัน และตอนนี้หน้าที่ปกป้องอีกฝ่ายก็เป็นของเขาเสียด้วย

               “แล้วคุณคิดว่ามันควรจะเป็นแบบไหนกันล่ะ” ม่านเมฆย้อนถามกลับอย่างนึกสงสัย เชสพูดอะไรแปลกๆ หลายรอบแล้ว

               “นั่นสิ...” เชสย้อนกลับด้วยคำถาม “แล้วคุณล่ะครับคุณม่านเมฆ...คิดว่ามันควรจะเป็นแบบไหนครับ?”

               “ทำไมผมต้องคิดด้วยในเมื่อของมันเห็นอยู่ชัดเจน พวกคุณมันอาชญากร ขายของเถื่อน ค้ายาเสพติด ทำตัวเป็นพวกผู้มีอิทธิพลเหนือกฎหมาย นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเห็นและผมคิด”

               คำตอบที่หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มส่งผลให้เชสนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีกนอกจากตอบรับสั้นๆ

               “ครับ”

               “สักวันนะ...ไม่สิ เร็วๆ วันนี้เลย...ผมจะต้องจับเจ้านายของคุณเข้าคุก แล้วกวาดล้างพวกไตรแอดให้หมดไปจากโลกใบนี้!” ม่านเมฆเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ทำให้เชสเห็นพลังและความหวังแบบเด็กๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เชสยอมรับว่าเขาชื่นชมมัน ทว่า…นั่นแหละ ม่านเมฆยังไม่รู้จักอะไรดีถึงได้มีท่าทีเช่นนี้

               ท่าทีอันสดใสและมีชีวิตชีวา พร้อมกับมุมมองอันใสสะอาดของเขา เพราะโลกของเขานั้นคงจะมีเพียงเส้นแบ่งระหว่างสีขาวกับสีดำเท่านั้น

               “ผมดีใจที่คุณมีปณิธานที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นขนาดนี้” เชสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความขำขันน้อยๆ ทว่าม่านเมฆกลับไม่พอใจเท่าไหร่นัก

               “ไม่ต้องมาประชดผม!”

               “ไม่ได้ประชดครับ...แต่ผมจะรอดูวันที่คุณทำสำเร็จ รออย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว"

 

****



               หลังจากที่ส่งม่านเมฆไปยังเซฟเฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว เชสก็สั่งให้คนจัดเวรยามแล้วคอยดูแลชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินและพบว่าผู้เป็นเจ้านายได้สั่งให้คนรับใช้ถ่ายทอดคำสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานบนชั้นสองทันทีเมื่อกลับมาถึง

               “ผมไปส่งเขาเรียบร้อยแล้วนะครับ...เขาอาละวาดน่าดูเลย ผิดกับท่าทางนิ่งๆ ภายนอกลิบลับ” ตอนท้ายน้ำเสียงของเชสเจือความขบขันอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงการอาละวาดและปากคมกริบของม่านเมฆ

               อีธานไม่ได้สนใจคำบ่นตอนท้ายเท่าไหร่ เขาสนใจแต่ข้อความที่บ่งบอกว่าม่านเมฆปลอดภัย

               “แล้วมีใครตามเขามาไหม” ชายหนุ่มถามอย่างหวาดระแวงอยู่บ้าง ลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ผุดพรายขึ้นมาในช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สงบเหมือนอย่างที่เคย

               “ไม่มีครับ” เชสปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

               “ดี แต่ว่าอย่าลืมให้คนตามดูรอบๆ ตัวเขาห่างๆ ด้วย อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะม่านเมฆคือคนสำคัญสำหรับฉัน” อีธานสั่งเสียงเข้ม

               “ครับ” เชสรับคำอย่างหนักแน่น และนั่นทำให้บรรยากาศกดดันรอบๆ ตัวอีธานต่ำลงจนเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ เชสที่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยถามเจ้านายของตนเองในที่สุด “ถามจริงๆ เถอะครับ ทำไมเขาถึงเป็นคนสำคัญ ทำไมคุณถึงเอาใจใส่เขามากขนาดนั้น หรือว่าเขา...” เขาเว้นคำตอบนั้นเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยออกมา แต่นัยน์ตาของเชสก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าเขากำลังคิดว่าอีธาน เฉินกำลังให้ชายหนุ่มคนนั้นมาแทนที่นายหญิงที่ตายไปแล้ว

               “ไม่มีใครมาแทนที่พอลลีนในใจของฉันได้” อีธานตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ที่ต้องดูแลม่านเมฆเป็นอย่างดีเพราะเขาสำคัญต่อฉัน...ต่อแผนการของฉันจริงๆ "

               “...”

               “ฝีมือของเขาและสมองของเขา จะทำให้ฉันเข้าไปหาความจริงพวกนั้นได้"

               “...”

               “นายรู้แก่ใจพอๆ กับที่ฉันรู้เชส...”

               อีธานมองสบตากับผู้เป็นลูกน้องที่มองเขาด้วยสายตาแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจและเจือด้วยความสงสารที่ทำให้เขาไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

               “ทุกวันนี้ฉันอยู่เพื่อแก้แค้นให้พอลลีน...กับลูก"

               “...”

               “ม่านเมฆจะทำให้ฉันขยับเข้าใกล้ความจริงนั้นว่าใครคือคนที่ฆ่าเมียกับลูกของฉันกันแน่!”





-----

ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ

พอดีหายไปปั่นต้นฉบับมา รอดตายแล้วก็กลับมาอัพเหมือนเดิมฮับบบบ  >O<

เดี๋ยวสักวันศุกร์จะมาเล่นเกมแจกหนังสือนะคะ

เนื่องจากลงหลายเวบ คงจะมูฟไปรวมกันที่แฟนเพจเลยฮับ

แล้วก็......

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0





ตอนที่ 9

เงินมีอำนาจในตัวเองเสมอ

 

 

               ชายหนุ่มร่างสูงกระชับแว่นกันแดดอันโตเข้ากับใบหน้าของตนเอง มันปิดซ่อนใบหน้ากว่าครึ่งของเขาทำให้ใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นที่สะดุดตาผู้พบเห็น เขาเดินออกมาจนถึงนอกอาคารเพื่อเข้าคิวต่อรถแท็กซี่เข้าเมืองไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ การแกะรอยม่านเมฆนั้นเป็นไปได้ยากมาก สงสัยว่าไอ้เพื่อนบ้าของเขาน่าจะใช้ชื่อปลอมในการเข้าเมืองตลอดจนการแสดงตัวตนที่ฮ่องกง

               “ถ้าฉันเจอตัวเมื่อไหร่นะ ฉันจะสับแกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่ๆ ไอ้เวร!”

               ชายหนุ่มกัดฟัน ขณะที่ก้าวขึ้นไปบนรถแท็กซี่เมื่อถึงคิวของเขาเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าเขาควรจะตามหาตัวเพื่อนเขาจากใคร

               ในเมื่อตามหาตัวม่านเมฆยากกว่าการตามหาตัวอีธาน เฉิน เขาก็จะเริ่มต้นจากจุดๆ นั้นนั่นแหละ!

 

               “มิสเตอร์เฉินคะ”

               เสียงหวานๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากเครื่องอินเตอร์คอม อีธานละสายตาจากอีเมลของคู่ค้าหันไปมองแล้วจึงกดตอบโต้กลับไปยังเลขาฯ หน้าห้องของตนเองทันที

               “ว่าไงเลขาเกา?”

               เจสสิก้าเมื่อได้ยินเจ้านายตอบรับ จึงเอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็วว่า “ประชาสัมพันธ์ข้างล่างติดต่อมาค่ะว่ามีคนมาขอพบคุณ"

               “ใคร?” อีธานคิ้วขมวด เขาไม่มีเพื่อนคนไหนในชีวิตนอกจากไซม่อน และคนแปลกหน้าที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยในเวลานี้ก็คือม่านเมฆ หรือม่านเมฆจะคิดตกแล้วว่าควรจะเข้ามาทำงานให้เขา เพื่อสืบหาเรื่องของด็อกเตอร์ธันว์ตามที่เขาส่งข้อมูลให้อีกฝ่ายไป

               …ข้อมูลที่ม่านเมฆได้ย่อมไม่ครบถ้วน และหากต้องการมัน ฝ่ายนั้นจะต้องเข้ามาเป็นคนของเขาเท่านั้น

               “เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของม่านเมฆค่ะ เขา…” คำพูดของเลขาฯ เกาเรียกสติเขาคืนมา และนั่นทำให้อีธานรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ม่านเมฆจะโผล่มาที่นี่โดยที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อน เพราะเขากักตัวม่านเมฆเอาไว้แล้วที่เซฟเฮ้าส์แล้วต่างหาก ทว่าคำว่า ‘เพื่อนของม่านเมฆ’ กลับทำให้อีธานชักสงสัยว่าหมอนั่นคือใคร

               หรือจะเป็นคนขององค์กรนั่นที่มาตามม่านเมฆให้กลับไป

               “ให้เขาขึ้นมาเลยเลขาฯ เกา” ชายหนุ่มตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาอยากเจอผู้ชายคนนั้น อย่างน้อยจะได้ประเมินถูกว่าหมอนั่นจะมาไม้ไหน หรือจะทำอย่างไรต่อไปเรื่องของม่านเมฆ

               “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะลงไปรับเขาเดี๋ยวนี้เลย” เลขาฯ เการับคำสั่งนั้น ขณะที่อีธานได้แต่รอ...ผู้ชายที่ตอนนี้ก้าวขาข้างหนึ่งเป็นศัตรูกับเขาแล้วเพื่อแย่งชิงตัว ‘คีย์แมน’ ของเขาไป!

               ห้านาทีต่อมาประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดออกกว้างอีกครั้ง เลขาฯ เกาเชิญแขกเข้ามาภายในห้องกระทั่งส่งชายหนุ่มผู้นั้นไปจนถึงมุมรับแขกที่อยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง และเมื่อประตูห้องทำงานของเขาปิดลง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็หันขวับมาจ้องมองเขานิ่งด้วยท่าทีคุกคาม อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาอย่างหาคนเทียบได้ยาก อันที่จริง...ต้องยอมรับว่าคนขององค์กรนั่นที่เขาเห็นแต่ละคนหน้าตาดีกันหมด เว้นแต่ม่านเมฆที่เป็นเจ้าของดวงหน้าธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็มักจะมองข้ามความจืดชืด เพราะคนรอบข้างเขาดึงดูดสายตามากเกินไป

               “สวัสดีมิสเตอร์เฉิน...” เสียงทุ้มนุ่มนั่นเรียกชื่อเขาพลางเชิดหน้าด้วยท่าทีหยิ่งยะโส

               “ผมคุ้นหน้าคุณนะ” อีธานเอ่ยพลางหรี่ตามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าครุ่นคิด

               นี่ไม่ใช่มุกจีบหนุ่ม แต่มันคือความจริงว่าเขาต้องเคยเจอคนคนนี้มาก่อน! ซึ่ง…เอาล่ะ แน่ใจได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือพวกที่มาจากองค์กรนั่นแน่ๆ แต่ก็ยังไม่ใช่พวกระดับหัวหน้า

               “ผมชื่อไคลน์” อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง “และคุณต้องคุ้นอยู่แล้วเพราะผมเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จับคุณได้”

อีธานพยักหน้ารับ ไม่ผิดจากที่เขาคาดเดาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

               ไคลน์ก้าวตรงไปยังคนที่ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาจ้องมองอีธานเขม็งด้วยดวงตาคมกริบบาดใจผู้คนที่เผลอจ้องมองตอบ ทว่านั่นกลับใช้ไม่ได้กับอีธาน เฉิน

               “ผมถามตรงๆ เลย เพื่อนของผมอยู่ไหน” ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม น้ำเสียงมีความมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าม่านเมฆจะต้องอยู่ที่นี่

               มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง  ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงคล้ายกับเป็นคำถาม “เพื่อนคุณ?”

               “ไม่ต้องทำหน้างงเหมือนไม่รู้เรื่อง” ไคลน์ตะคอก พลางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าดุดัน “ผมไม่เชื่อคุณหรอก เมฆอยู่ที่ไหน” เขาถามย้ำอีกครั้ง สัญชาตญานของเขาบ่งบอกชัดว่าเพื่อนเขาต้องอยู่ในกำมือของผู้ชายคนนี้แล้วแน่ๆ

               มาเฟียหนุ่มเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน มองสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของผู้ชายตรงหน้าแล้วก็ตอบเขาไปตามตรง “ไม่ได้อยู่ที่นี่”

               “แล้วอยู่ที่ไหน?” คำถามสวนกลับอย่างรู้ทันนั้นทำให้อีธานที่หวังจะใช้คำพูดกำกวมล่อลวงเขาเพื่อซื้อเวลาให้ไคลน์ไปตามหาม่านเมฆที่อื่นก็พบว่าคงจะใช้วิธีนี้กับสายลับหนุ่มไม่ได้

               แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะต้องยอมแพ้ง่ายๆ

“ผมคิดว่า...คุณน่าจะรู้ดีนะ” คำพูดของมาเฟียตรงหน้าส่งผลให้ไคลน์พูดไม่ออก แต่สิ่งหนึ่งรู้แน่ชัดแก่ใจแล้วว่าผู้ชายตรงหน้ารู้แน่ๆ ว่าม่านเมฆอยู่ที่ไหน “เขาไม่ใช่เพื่อนผมเสียหน่อย"

               “คุณ!”

               ไคลน์ถลึงตาดุใส่ โทสะที่ถูกอีกฝ่ายก่อกวนขึ้นมาทำให้เขาแทบจะเข้าไปซัดใบหน้ายิ้มๆ นั่นให้ล้มคว่ำ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เพื่อนเขาอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย

               ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาแล้วหวังเจรจากับเขาอย่างสันติ “มิสเตอร์เฉิน อย่าให้ผมต้องใช้เส้นสายด้านอื่นมาบีบให้คุณคืนคนของผมเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเมฆอยู่ที่ไหน"

               “ผมไม่ทราบ"

               “ผมรู้ทันคุณนะว่าที่คุณไปเมืองไทย ทำให้ตัวเองโดนพวกเราจับ คุณล่อให้พวกตำรวจ OCTB อินเตอร์โพล และพวกเราเข้าไปขัดขากันเอง คุณหวังยืมมือพวกเราจัดการกันเอง โอเค คุณทำสำเร็จแล้ว และคุณหนีออกมาได้แล้ว"

               คำพูดรู้ทันทุกอย่างของเขาทำให้อีธานได้แต่ยิ้ม โอเค…ยอมรับเลยว่าคนของที่นี่พอจะมีสมองอยู่บ้าง นี่ถ้าเกิดพวกเขามีเวลานิดเดียว...อีกนิดเดียว อีธานคิดว่าเขาคงวางแผนไม่สำเร็จแน่ๆ

               “ผมไม่ได้มาที่นี่ในฐานะคนขององค์กร ไม่ได้มาเรื่องงาน ฉะนั้นคืนเพื่อนผมมาซะ” ไคลน์เอ่ยขึ้นหลังจากที่มาเฟียหนุ่มเอาแต่เงียบอยู่พักใหญ่

               “ผมคงคืนให้ไม่ได้” อีธานตอบ

               “…”

               ไคลน์นิ่ง พูดอะไรไม่ออก ขณะที่ปล่อยให้คนพูดน้อยได้เปลี่ยนเป็นคนพูดมากในตอนนี้

               “ผมไม่ได้เป็นคนบังคับให้เขามาที่นี่ และผมไม่รู้ว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่ไหนจริงๆ "

               “...”

               “อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ต่อให้คุณใช้เส้นสายอะไรยังไงก็ตาม คุณก็ไม่มีทางแตะต้องผมได้หรอกนะถ้าผมไม่ยินยอม...”

               ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทว่าดวงตาสีดำคมกริบกลับแลดูเข้มจัดเสียจนไคลน์ที่คิดว่าตัวเขาไม่เคยกลัวอะไรยังต้องผงะถอยกับสายตาของอีกฝ่าย คำขู่เป็นนัยกลายๆ นั้นส่งผลให้เขาพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่บริเวณลำคอ ขณะที่มาเฟียหนุ่มพูดต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย     

               “คุณอยู่ในโลกสีเทาใบนี้มานาน...คุณรู้ดีนี่ไคลน์"

               “...”

               “ผมมีเงิน...และเงินก็มีอำนาจในตัวของมันเองเสมอ...”

 

               ไซมอนเพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องพักของตนเอง เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวก็ดังขึ้นได้จังหวะ ราวกับปลายสายรู้ว่าเขาจะว่างรับสายในข่วงนี้ ชายหนุ่มมองชื่อคนที่ติดต่อเขามาแล้วกดรับสายอย่างรวดเร็ว

               “ว่าไง?”

               “นายว่างหรือเปล่าแซม”

               คำถามนั้นทำให้ไซมอนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว “มีอะไร?”

               “ฉันมีเรื่องต้องวานให้นายช่วยแล้วล่ะ” อีธานตอบไปตามตรง ไม่มีอะไรต้องอ้อมค้อมให้ยุ่งยากสำหรับเพื่อนสนิทผู้รู้ใจคนนี้

               “เอาสิ จะให้ช่วยอะไรล่ะ” ไซมอนตอบรับอย่างง่ายๆ เพราะว่าคนอย่างอีธาน เฉินแทบจะไม่เคยขอร้องให้ใครช่วยมาก่อน ฉะนั้น…นี่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่มากที่เขาสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับปากให้ความช่วยเหลือ

               “งั้นเจอกันเย็นนี้ดีกว่า” เพื่อนสนิทของเขานัดหมายอย่างง่ายๆ “ที่คลับเดิม ฉันจะได้บอกรายละเอียดกับนายด้วย"

               “อือ ได้สิ” ไซมอนตอบรับ “ฉันออกเวรพอดี งั้นเจอกันที่โน่นเลยแล้วกัน"

               “ขอบใจ” มาเฟียหนุ่มตอบกลับมาสั้นๆ หลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ

               ไซมอนคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอ่อนโยน

               “ไม่เป็นไร"







-----

ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ

พอดีหายไปปั่นต้นฉบับมา รอดตายแล้วก็กลับมาอัพเหมือนเดิมฮับบบบ  >O<

เดี๋ยวสักวันศุกร์จะมาเล่นเกมแจกหนังสือนะคะ

เนื่องจากลงหลายเวบ คงจะมูฟไปรวมกันที่แฟนเพจเลยฮับ

แล้วก็......

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0



หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิท อีธานก็เอาแต่หมุนโทรศัพท์ในมือและมองออกไปข้างนอกด้วยกริยาครุ่นคิด ซึ่งต้องยอมรับว่าเขากำลังพยายามหาทางแยกม่านเมฆกับเพื่อนของเขาออกจากกัน

               การมาของไคลน์จะส่งผลกระทบต่อแผนการของเขาอย่างยิ่งยวด ผู้ชายคนนี้จะทำให้ม่านเมฆถอดใจและถอนตัวจากเกมจิตวิทยาที่เขาเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ เขาไม่ได้ทนวางแผนและเสี่ยงทุกอย่างมาเป็นเวลานานเพื่อมาค้นพบกับความพ่ายแพ้!

               เขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ...และจะไม่มีวันทำอย่างนั้น!

               ม่านเมฆจะเป็นกุญแจไขไปสู่การแก้แค้นของเขาอย่างเต็มรูปแบบ อีกฝ่ายคือหมากสำคัญที่เขาจะสูญเสียไปไม่ได้ มิฉะนั้นทุกอย่างที่เขาทนสร้างมาตลอดห้าปีที่ผ่านมาจะสูญสลายไปในพริบตา

               แค่คิดว่าจะต้องเสียมันไปเขาก็ทรมานเสียยิ่งกว่าคิดถึงความตายเสียอีก!

               เสียงประตูที่ดังขัดภวังค์ความคิดของเขา ดึงให้อีธานหันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นว่าเชสเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าร้อนรน

               “เจ้านายครับ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเจือไปด้วยแววร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด

               มาเฟียหนุ่มมองลูกน้องคนสนิทด้วยสีหน้าราวกับจะถาม “ว่าไงเชส"

               “คนของเราโทรมารายงานด่วนครับว่าตอนนี้เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทกำลังมีปัญหาอีกแล้ว"

               “หือ?”

               เชสถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิด

               “ก่อนหน้านี้มีคนยิงโค้ดใส่เว็บไซต์ของเราเยอะมาก และก่อนที่จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ของเราล่ม ฝ่ายนั้นได้แฮกยึดเว็บไซต์ของเราไปเรียบร้อยแล้วด้วยครับ และไอ้คนแฮกก็ฝากข้อความไว้หราหน้าเว็บไซต์เลยครับ ซึ่งผมเกรงว่านั่นอาจจะทำให้สามารถ...”

               อีธานขัดขึ้น ไม่รอฟังเชสรายงานจนจบ “แล้วข้อความที่ฝากไว้เขียนมาว่าไง”

               เชสถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งแท็ปเล็ตที่เขาเปิดหน้าเว็บไซต์ของบริษัทให้แก่ผู้เป็นเจ้านาย

               “นี่ครับ...”

 

            ‘ถึง Dragon

                        ผมกำลังรอคุณอยู่นะ...คุณรู้ว่าจะหาผมได้จากที่ไหน

                        ถ้าไม่อยากให้ผมเจาะระบบเข้าไปลึกมากกว่านี้...คุณควรจะมาหาผมภายในครึ่งชั่วโมงนับจากนี้

                                                                                   

                                                                                                                        จาก Mars’

 

               อ่านข้อความนั้นจบแล้วอีธานก็ได้แต่กลอกตาอย่างพยายามระงับอารมณ์ จริงๆ เขาควรรู้ด้วยซ้ำโดยไม่ต้องดูเลยว่านี่มันเป็นฝีมือใคร!

               “ม่านเมฆ!”

               เขากัดฟันเอ่ยชื่อตัวปัญหาออกมาแผ่วเบา ทว่ามันก็ไม่ได้เบามากพอ เพราะว่าเชสได้ยิน และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นลูกน้องถามเขาออกมาว่า

               “ฝีมือคุณม่านเมฆเหรอครับ?”

               “ใช่…” อีธานตอบรับอย่างง่ายได้

               “อ้าว” คราวนี่้เชสอุทานออกมาด้วยความงุนงง

               “เตรียมรถซะเชส ฉันจะไปเคลียร์เรื่องนี้เอง” มาเฟียหนุ่มสั่งและลุกขึ้นยืน เป็นการบ่งบอกว่าเขาจะออกไป...เดี๋ยวนี้!

 ****

               เสียงกระแทกปิดประตูดังลอดเข้ามาถึงห้องที่เขากำลังสนุกกับการเล่นกับลูกชายสุดที่รัก เสียงปิดประตูนั่นก็บ่งบอกได้แล้วว่าผู้มาเยือนคงจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นม่านเมฆกลับยิ้มอย่างชอบใจ

               เพราะเขากำลังรอการมาของพายุลูกนี้อยู่น่ะสิ!

               และสิ้นความคิดนั้น ประตูห้องนอนของเขาก็เปิดออกอย่างรุนแรง และผู้ชายคนนั้นก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับตะโกนใส่หน้าเขาอย่างฉุนเฉียว

               “คุณทำบ้าอะไรของคุณ...ม่านเมฆ!”

               “อย่าตะโกนสิ” ม่านเมฆหัวเราะในใจอย่างลิงโลด ได้ผลจริงๆ ด้วยที่จะล่ออีธาน เฉินให้มาพบหน้าเขาได้ด้วยวิธีนี้ รู้อย่างนี้เขาน่าจะใช้มันตั้งแต่แรก ไม่น่ายอมสละเวลานอนกลางวันไปวิ่งไล่ตามหมอนี่เลย!

               “นี่!” มาเฟียหนุ่มถลึงตาดุใส่เขาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านสักนิดกับสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้ “อย่ามานั่งใจเย็นนะ เลิกเล่นบ้าๆ เสียที"

               “แล้วยังไงล่ะ” ม่านเมฆย้อนกลับพลางยักไหล่อย่างไม่สนใจ

               อีธานถอนหายใจยาว ม่านเมฆในมาดนี้มันเดาได้ไม่ยากหรอกว่าเขาต้องการอะไร แต่มันกลับก่อกวนอารมณ์โมโหของเขาสิ้นดี!

               มาเฟียหนุ่มปิดเปลือกตาแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองชายหนุ่มที่ตอนนี้จ้องมองเขานิ่ง ไม่มีอารมณ์จะรับมือกับความก่อกวนอีกต่อไปแล้ว

“คุณต้องการอะไรกันแน่...ม่านเมฆ"

               “คุณต้องกลับไปเมืองไทยกับผม” นั่นเป็นจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ม่านเมฆมาที่นี่ มายืนอยู่ตรงนี้ โอเค จริงๆ ก็มีเรื่องของบิดาเขาด้วยนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากไปกว่าการจับตัวเขาส่งให้แก่พันธิตหรอก

               “หึ” อีธานส่งเสียงหยันในลำคอ เป็นกริยาที่บ่งบอกชัดว่าไม่มีทางเป็นไปตามที่เขาต้องการ

               “ถ้าไม่ยอม” ม่านเมฆเอ่ยเสียงเรียบ “ผมก็จะยิงโค้ดใส่เว็บคุณเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ แล้วคุณก็น่าจะรู้นะว่าถ้าผมโมโหมากๆ ผมจะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ของไตรแอด แล้วผมก็จะ...” ชายหนุ่มเริ่มขู่เขาเรื่อยๆ ซึ่งอีธานได้แต่นึกเจ็บใจ เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มทำได้จริง ซึ่งเขาก็ได้แต่โทษพวกกรรมการนั่นแหละ ที่คิดอะไรโง่ๆ ด้วยการเอาเซิร์ฟเวอร์ทุกอย่างรวมกัน โอเค รู้อยู่ว่าพวกนั้นระแวงเขาถึงได้ยอมเสี่ยงเอาเครือข่ายมาตรวจสอบเขาอีกทางหนึ่ง และคิดแต่ว่าเครือข่ายตัวเองแข็งแกร่งไม่มีใครเจาะระบบเข้าไปได้ ซึ่งพวกเขาคิดผิด เพราะคนทำได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในเวลานี้!

               “พอได้แล้ว” อีธานบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน คราวนี้ม่านเมฆคลี่ยิ้มหยัน

“โอเค เรามาเจรจากันที่นี่ก็ได้"

               “...”

               “ผมจะรอคุณพร้อมเจรจานะมิสเตอร์เฉิน แล้วในระหว่างนั้นผมก็จะ...”

               “ไม่ต้องคิดจะทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ!” อีธานขัดเสียงเข้มเพราะเดาได้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกับเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ของเขา “ถ้าคุณกล้าทำ ผมจะบอกเพื่อนคุณว่าคุณอยู่ที่ไหน!”

               จบคำพูดของเขา ม่านเมฆก็รีบกระโจนตามคนที่หมุนกายเดินหนีออกไปจากห้องนอนของเขาทันที ทว่าอีธานกลับไม่หยุดเดินเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังจะเอาคืนที่เขาแกล้งเขาก่อน

               “ว่าไงนะ! เฮ้ นี่! เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งเดินหนีนะ นี่!”

 *****

               “คุณบอกว่าคุณเจอเพื่อนผมงั้นเหรอ!”

               ม่านเมฆตะโกนเสียงดังลั่น หลังจากที่อีธาน เฉินยอมบอกเขาเรื่อง ‘เพื่อน’ ที่เพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้

               ตอนนี้เขากำลังใจสั่น โอเค ยอมรับเลยว่าใจสั่นมากที่ได้ยินว่ามีเพื่อนของเขาอยู่ที่นี่ ไอ้บ้าคนไหนตามมาถึงที่นี่ แถมยังเสี่ยงโง่ๆ ด้วยการไปตามหาตัวเขากับอีธาน เฉิน!

               “ใช่สิ” อีธานนยอมรับตามตรง

               “ใคร?” ม่านเมฆถาม จ้องเขาอย่างคาดคั้น

               “ก็เดาดูสิ...”

               “พี่เหมเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเท่าใดนัก

               “หึ…” อีธานไม่ตอบ ทำเพียงส่งเสียงหยันในลำคอเท่านั้น

               แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ม่านเมฆกระวนกระวายอยากรู้มากยิ่งขึ้น

               “นี่” ชายหนุ่มเซ้าซี้ถาม “หรือเป็นไอ้บ้าไคลน์ นี่คุณ! ตอบคำถามผมมาเดี๋ยวนี้นะ”

               “ทำไมผมต้องตอบคุณด้วย” เขาถามตรงๆ จ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

               “คุณต้องตอบคำถามผม!”

ม่านเมฆเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธที่พยายามจะระงับ

               “งั้นคุณมีอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

               อีธานเสนอทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเสียเปรียบใครมาก่อน นั่นทำให้จากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบกลับกลายต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทนเสียอย่างนั้น

               ชายหนุ่มจ้องมองอีธานด้วยสายตาเป็นคำถามว่าเขาต้องการอะไร

               “เอาคอมพิวเตอร์ของคุณมาให้ผม”

               ม่านเมฆปฏิเสธทันควัน “ไม่!”

               “ถ้างั้นผมก็จะ...” เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ท่าทีเรียบเฉยของเขานี่แหละที่ทำให้ม่านเมฆต้องรีบเปลี่ยนใจ เพราะเขากลัวอีกฝ่ายจะทำอะไรเพื่อนเขา

               “เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆๆ” ชายหนุ่มเอ่ยร้องห้ามเสียงดังลั่น เมื่อมาเฟียหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นยืน

               อีธานหันไปทางชายหนุ่ม แล้วสั่งเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมไม่รับเจรจาเรื่องอื่น เอาคอมของคุณมาให้ผมเดี๋ยวนี้”

               “คุณจะเอาไอ้จ๊าบไปจากผมจริงๆ เหรอ” เขามองเขาตาปรอย โอย…จะบ้าตายจริงๆ เขากับลูกชายของเขาไม่เคยห่างกันมาก่อน เขาไปไหนก็เอามันไปด้วย แต่อีธานกลับจะยึดลูกชายเขาไป

               เขาต้องขาดใจตายแน่ๆ เลย!

               สีหน้าแหยเกของเขาคงจะทำให้อีธานรู้สึกแปลกใจ มาเฟียหนุ่มมองเขาราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักออกมา “คุณติดคอมมากเลยหรือไง"

               “นั่นชีวิตผมเลยนะ” ชายหนุ่มสารภาพออกมาตามตรง ตอนนี้แค่รู้ว่าเขากับลูกชายสุดที่รักจะแยกจากกันก็ทำใจไม่ได้เสียแล้ว

               ของอย่างอื่นเขาไม่เคยยึดติดเลย ทว่ามีเพียงคอมพิวเตอร์...มีเพียงของสิ่งนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกว่าห่างกันไม่ได้เอาเสียเลย

               อีธานกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่คิดว่าจะได้รู้ความลับเล็กๆ ของชายหนุ่ม “แต่ไม่ใช่ชีวิตของผม ฉะนั้นไปเอามา” ชายหนุ่มบอกเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเยือกเย็น แต่กลับกระทบใจของม่านเมฆอย่างแรงจนเขาแทบจะซวนเซ

               “มิสเตอร์เฉิน!”

               คนติดคอมพิวเตอร์ได้แต่ถลึงตาใส่อีธานอย่างโกรธเคือง

               “เลือกเอา” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ระหว่างคอมพิวเตอร์กับเพื่อนของคุณ”

               ม่านเมฆปิดเปลือกตาแน่น ถอนหายใจยาว และเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าของคนจำนนต่อทุกสิ่ง ซึ่งน้อยครั้งนักที่เขาจะรู้สึกเหมือนสิ้นท่าเช่นนี้

               “ตกลงๆ ผมจะไปหยิบมาให้...” ชายหนุ่มเอ่ย รู้สึกเหมือนน้ำตาตกในอย่างไรชอบกล เป็นอารมณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เขาชักอยากจะร้องไห้อย่างไรก็ไม่รู้

               “ไม่” อีธานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะกลัวว่าม่านเมฆจะเล่นแง่ตุกติกอะไรอีก “เดินนำไป ผมจะไปหยิบเอามาพร้อมกับคุณ"

               “นี่” ชายหนุ่มถลึงตาดุใส่เขา “จะขี้ระแวงไปไหน ยังไงห้องมันก็มีแค่นี้ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก"

               “ผมไม่ได้กลัวคุณหนี แต่ผมแค่ไม่ไว้ใจคุณ”

               ชายหนุ่มบอกถามตรง ขณะที่ม่านเมฆได้แต่ถลึงตาดุใส่เขาอีกครั้งด้วยความโกรธเคือง
******
 

               เมื่อม่านเมฆส่งคอมพิวเตอร์สุดที่รักของเขาใส่มืออีกฝ่ายด้วยอาการอาลัยอาวรณ์อย่างสุดหัวใจเรียบร้อยแล้ว อีธานก็จับแม็คบุ๊คของเขาพลิกไปพลิกมาแล้วไม่พูดอะไร จนเขาต้องเอ่ยกระตุ้น

               “ทีนี้ตอบคำถามเรื่องเพื่อนของผมได้หรือยัง”

               อีธานมองเขานิ่ง ก่อนจะเริ่มตอบคำถามอย่างไม่โยกโย้อีกต่อไป

               “เพื่อนของคุณมาหาผมเมื่อเช้า เห็นแนะนำตัวเองว่าชื่อไคลน์"

               “ไคลน์งั้นเหรอ แล้วหมอนั่นมากับใคร?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

               “มาคนเดียวสิ"

               “หมอนั่นมาหาคุณทำไม”

               “มาตามหาคุณไง” เขาตอบเสียงนิ่งๆ แต่ฟังแล้วกวนอารมณ์คนฟังเป็นที่สุด

               ม่านเมฆพยายามจะไม่สนใจว่ามาเฟียหนุ่มกำลังก่อกวนอารมณ์ของเขา หรือไม่ก็พยายามเบี่ยงเบนไม่ให้เขาสนใจไคลน์ ชายหนุ่มรีบถามกลับ

               “แล้วคุณตอบไปว่ายังไง”

               “ผมไม่รู้” เขาตอบ ก่อนจะคลี่ยิ้มหยัน ม่านเมฆได้แต่ถลึงตาใส่คนโกหกหน้าตาเฉยตรงหน้า ถ้าอีธาน เฉินไม่รู้ ทั้งโลกใบนี้ก็คงไม่รู้แล้วล่ะว่าเขาไปอยู่ที่ไหน!

               “หรือจะให้ผมบอกว่าเขาอยู่กับผมล่ะ” คราวนี้มาเฟียหนุ่มย้อนถามกลับบ้าง และเป็นคำตอบที่ทำให้เขาสะอึกพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว ทำได้แต่ถอนหายใจยาว ก่อนจะบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งจะให้ฟังเรียบเฉย

               “ไม่ต้อง งั้นรบกวนคุณเลยว่าห้ามบอกหมอนั่นเด็ดขาดว่าเจอผม”

คราวนี้เขามองเขาด้วยสุ้มเสียงติดจะขอร้อง อีธานเลิกคิ้วสูง มองชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ทำไมคุณถึงไม่อยากให้เพื่อนช่วย เพราะถ้าไคลน์ช่วยคุณ...เขาน่าจะหาวิธีเอาตัวผมไปไทยได้ง่ายกว่าคุณลงมือทำคนเดียว” เขาถามอย่างสงสัยทว่าม่านเมฆส่ายหน้า

“นี่เป็นเรื่องของผม เป็นความผิดของผม ผมไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนแทน!”

               “ก็ดี...ความเห็นเราตรงกันอย่างนี้ ผมก็จะช่วยกันเพื่อนของคุณให้เอง เพราะผมก็ยังไม่อยากให้คุณกลับไปตอนนี้เหมือนกัน”

               อีธานตอบตกลงอย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ถ้าม่านเมฆไม่อยากจะกลับไปคนที่ได้ประโยชน์คือเขาเต็มๆ แล้วทำไมเขาจะไม่ช่วยอีกฝ่ายล่ะ

               “คุณคิดจะทำอะไร” ม่านเมฆถามอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเอ่ยสั่งห้ามเขาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “ห้ามทำอันตรายเพื่อนผมนะ”

               อีธานไม่รับปาก ทว่าก็ยอมอ่อนข้อลงให้ม่านเมฆบ้าง “ถ้าเพื่อนของคุณไม่ใช้ความรุนแรงก่อน ผมก็จะไม่ใช้เหมือนกัน อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมสัญญาเลย”

               “แน่ใจนะ” ชายหนุ่มถามย้ำเพื่อให้มั่นใจว่าอีธานจะไม่ทำอันตรายไคลน์

               “อือ…”

               อีธานยอมพยักหน้ารับปากในที่สุด

               แน่นอน…สิ่งที่เขาจะทำกับไคลน์มันไม่อันตรายหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะติดต่อไซมอนเพื่อนสนิทของตัวเองทำไมล่ะ!

 *******************

               “ฉันว่าช่วงนี้...อีธานแปลกไป” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นภายในห้องทึมทึบแห่งหนึ่ง เจ้าของเสียงนี้เป็นชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนหันหลังให้กับกระจกกว้าง

               “ยังไงครับ” ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังชายคนนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

               ชายคนแรกถอนหายใจยาว ก่อนจะบอกเพียงแค่ว่า “ไม่รู้สิ...ฉันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน"

               “งั้นให้คนของเราที่ติดตามคุณชายเฉินเข้ามารายงานดีไหมครับ” ชายอีกคนที่ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเสนอขึ้น ซึ่งชายคนแรกก็พยักหน้ารับ

               “ก็ดี...ฉันอยากรู้ 'ทุกๆ รายละเอียด' ในชีวิตของอีธาน เฉิน”

               “ได้ครับ ผมจะจัดการให้คุณทันทีเลย"


 



-----

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 10
เพื่อนช่วยเพื่อน

   ไซมอนมาถึงคลับหรูซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อนสนิทของเขาก็มาถึงที่นี่ ทั้งสองกินอะไรเล็กน้อยด้วยกัน ก่อนจะสั่งวิสกี้คนละแก้ว จิบช้าๆ พลางมองบรรยากาศรอบตัวไปพลางจนหมดไปแก้วและเริ่มแก้วที่สอง แล้วจากนั้นไซมอนจึงเอ่ยเข้าเรื่องของพวกเขาในที่สุด
   “เอาล่ะ พูดมาได้แล้ว แกอยากให้ฉันทำอะไรให้” เขาเอ่ย หลังจากที่ผ่อนคลายกันมาพอสมควรแล้ว และไซมอนก็เห็นว่าเขาควรจะพูดเรื่องจริงจังกันได้เสียที
   “มีผู้ชายคนหนึ่ง...ชื่อไคลน์”
   อีธานเอ่ยขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท
   ไซมอนพยักหน้ารับช้าๆ “อือ แล้วไง” มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะให้ช่วย
   มาเฟียหนุ่มคลายริมฝีปากที่เม้มแน่นออก ก่อนจะบอกความต้องการของตัวเองให้เพื่อนสนิทได้รู้ถึงเรื่องที่เขาต้องการจะขอความช่วยเหลือ “ฉันอยากให้แกถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ทำยังไงก็ได้อย่าให้เขาเจอฉันหรือเพื่อนของเขา"
   “เพื่อนเขา? ใคร” ไซมอนเอ่ยเสียงสูงด้วยความรู้สึกงุนงง ดูเหมือนว่าเขาจะพลาดอะไรไปหลายๆ อย่างซึ่งมันเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็เรื่องที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายถึงสองคนเข้ามาพัวพันกับชีวิตอันแสนจะอันตรายทว่าจืดชืดเป็นบ้าของเพื่อนสนิทของเขานั่นแหละ
   “โทษที” มาเฟียหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนลงนิดๆ เมื่อลืมไปว่าไซมอนยังไม่่รู้เรื่องอะไรเลย และเขาเองก็เล็งเห็นแล้วว่า นี่เป็นเวลาที่เขาควรจะบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เพื่อนสนิทคนนี้ฟังได้แล้ว “ฉันลืมไปว่าแกยังไม่รู้เรื่อง งั้นฉันจะเล่าคร่าวๆ ให้แกฟัง”
   จบคำพูดนั้น อีธานก็พร่างพรูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้แก่เพื่อนสนิทของเขาฟังจนหมดสิ้น ทั้งเรื่องแผนการแก้แค้น เรื่องที่เขาเอาตัวเองล่อพวกตำรวจ กระทั่งเรื่องที่เขาต้องการดึงตัวม่านเมฆเพื่อให้เข้าร่วมกับเขาซึ่งจะส่งผลต่อแผนการขั้นต่อไปของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งอีธานก็เล่าให้คุณหมอหนุ่มฟังโดยไม่มีปิดบังอำพรางเลยแม้แต่นิดเดียว
   ซึ่งเมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ไซมอนก็ชะงักไปครู่ใหญ่ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหนักใจในยามที่จ้องมองใบหน้าเรียบเฉยของเพื่อนสนิทตนเองนิ่ง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอีธานจะมีใจคิดแค้นลึกล้ำถึงเพียงนี้!
   “นี่แกคิดจะ...” เขาพูดได้แค่นั้นก็หยุดพูดไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น เพราะไม่รู้จะใช้ถ้อยคำใดมาพูดให้ฟังดูดี ทว่าดวงตาของเขาก็สื่อชัดว่าเขากำลังคิดอะไร ซึ่งอีธานมองแล้วก็เข้าใจ
   “อือ” เขาครางรับสั้นๆ ในลำคอ
   ไซมอนมองมาเฟียหนุ่มด้วยสีหน้าหนักใจ “อีธาน มันเสี่ยงมากเลยนะ มากๆ เลยด้วย” เขาเอ่ยเน้นย้ำ หวังว่าเพื่อนสนิทของเขาจะเปลี่ยนใจและเลิกเสี่ยงอันตรายเสียที
   อีธานกลับส่ายหน้า ไม่ฟังคำเตือนของเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย “ฉันเลยอยากให้แกช่วยฉัน"
   “แต่ว่ามันอันตรายมากนะ แกก็รู้ แกอาจจะ...”
   “ตาย” อีธานต่อคำพูดที่เพื่อนหยุดพูดไปเสียเฉยๆ ออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่ ฉันอาจจะตายถ้าหากเขารู้”
   ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน...คนคนนั้นอยู่บนจุดสูงสุดที่เหนือกว่าเขามาก เขาเองแม้จะรู้อยู่แก่ใจทว่ากลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น คนคนนั้นไร้ช่องโหว่ใดๆ ที่จะใช้โจมตีหรือโค่นล้มได้เลย กว่าเขาจะตามหาเบาะแส ร่องรอยต่างๆ ได้นั้นก็เลือดตาแทบกระเด็น ฉะนั้นเมื่อเจอกับคีย์แมนที่จะไขประตูชัยชนะของเขาได้แล้ว มาเฟียหนุ่มย่อมไม่ยอมปล่อยมืออย่างเด็ดขาด!
   “แต่แกก็ยังจะทำ” ไซมอนถามอย่างไม่เข้าใจและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ
   เพื่อนของเขาทุกวันนี้ชีวิตก็เสี่ยงพอแล้ว ทำไมจึงไม่พอใจ ทำไมจึงไม่คิดที่จะรักตัวเองบ้าง
   “ชีวิตฉันก็เหมือนคนตายอยู่แล้วนะแซม...” อีธานพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
   “...”   
   “การที่ฉันหลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้"
   “อีธาน” ไซมอนมองคนพูดด้วยสายตาสงสาร ใครๆ อาจจะคิดว่ามาเฟียหนุ่มไร้หัวใจ แต่กลับไม่ใช่เขาหรือใครหลายๆ คนที่รู้จักอีธาน เฉินดีจะรู้ว่านั่นก็เป็นเพียงภาพที่คนภายนอกตัดสิน อีธานแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุดเพราะเขาสูญเสีย ‘หัวใจ’ ไปแล้วต่างหาก
“นายควรปล่อยวางบ้างนะ พอลลีนก็ตายไปตั้งห้าปีแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ คล้ายกับพยายามจะปลอบประโลมความรู้สึกเจ็บปวดของเพื่อนสนิทที่เขาสัมผัสได้
   มาเฟียหนุ่มสูดลมหายใจลึก เผยสีหน้าเจ็บปวดร้าวลึกที่ไม่เคยจางหายไปจากใจให้คนเป็นเพื่อนเห็นโดยไม่คิดปิดบัง
   “ไม่...ฉันทำใจไม่ได้"
   เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ยังคงมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น จนคนฟังยังรู้สึกปวดใจเมื่อได้ฟัง
   “ลูกกับเมียฉันนะแซม...ลูกกับเมียฉันถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ทั้งๆ ที่ฉัน...”
   “ฉันรู้...” ไซมอนเอ่ยเสียงอ่อน
   “นั่นแหละ ถ้าไม่ลากคอมันให้ตายตกตามกันเป็นการชดใช้ ฉันก็จะรู้สึกติดค้างอยู่ในใจตลอดเวลา ฉันไม่สบายใจ ไม่เคยมีความสบายใจเลย"
   “..."
   “ทุกวันนี้ชีวิตฉันอยู่ได้เพราะความแค้น เสร็จจากนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน".
   มาเฟียหนุ่มตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
   “อีธาน...”
   ไซมอนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ สิ่งที่ทำได้มีเพียงมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจและสงสาร
   “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เอาเป็นว่านายจะช่วยฉันใช่ไหม” อีธานเปลี่ยนเรื่องพูดในที่สุด ด้วยไม่ค่อยอยากจะนึกถึงสิ่งที่ยังคงเป็นตราบาปในหัวใจของเขา เพราะเขาดูแลและปกป้องพอลลีนไม่ได้
   “ผู้ชายคนนั้นสำคัญกับนายมากเลยรึไง” ไซมอนถาม ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่อีกฝ่ายต้องการ
   “ม่านเมฆน่ะเหรอ?” มาเฟียหนุ่มย้อนถามกลับ และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ อีธาน เฉินจึงบอกไปว่า “ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ"
   “...”
   “เขาเก่งกว่าฉัน...ฉันยอมรับ และฉันเชื่อมั่นว่าเขาจะตามหาตัวตนของ 'มัน' ให้ฉันได้”
   สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องนั้นอยู่ดี ไซมอนได้แต่อ่อนใจ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะทักท้วงอีกฝ่ายแล้ว เนื่องจากเห็นความตั้งใจอย่างยิ่งยวดของเพื่อนซี้ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแต่สนับสนุนและช่วยเหลืออีกฝ่ายสินะ
   “งั้นฉันจะช่วยนาย” ไซมอนบอกอีธานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ว่าแต่นายต้องการให้รั้งเอาไว้นานเท่าไหร่?”
   “นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
   “…ตกลง”
   อีธานยิ้มอย่างจริงใจออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เขามีให้แต่เฉพาะคนสนิทเท่านั้น ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อสูทที่สวมอยู่แล้วหยิบเอากระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เป็นที่อยู่ของไคลน์ออกมาส่งให้กับไซมอนที่แบมือรอรับ
   “นี่ที่อยู่ของเขา ฉันให้คนเฝ้าตามโดยตลอด ยังไงก็ฝากนายด้วยแล้วกัน"
   “หวังว่าแกจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายนะอีธาน” ไซมอนเอ่ยพลางเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋า
   อีกครั้งที่อีธานคลี่ยิ้ม
“ฉันรับปากแกไม่ได้หรอก เพราะฉันรู้สึกได้ว่า นี่อาจจะใกล้ถึงปลายทางของฉันแล้ว...”
๐๐๐๐๐๐
   ม่านเมฆยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เขาเบื่อหน่ายที่สุดในชีวิต ยิ่งโดยเฉพาะคนติดคอมพิวเตอร์อย่างเขาด้วยแล้ว การขาดมันไปก็เหมือนกับรู้สึกจะขาดใจอย่างไรชอบกล และมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากเพราะเขาไม่มีอะไรจะทำ จริงๆ ก็ต้องยอมรับล่ะว่า การขาดมันก็เหมือนกับเขากลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกว่าเขาควบคุมได้ เขาอยู่เหนือมัน
   ชายหนุ่มปิดรีโมตทีวีลง รายการโทรทัศน์ยามบ่ายช่างน่าเบื่อเหลือแสน ม่านเมฆเหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็สังเกตเห็นเหยื่อของเขาที่เอาแต่ยืนนิ่งๆ อยู่มุมห้องนั่งเล่น ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะพยายามทำตัวให้กลืนไปกับผนังห้อง เพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็นเขากระมัง ชายหนุ่มคิดอย่างประชดประชัน เขาโยนรีโมตในมือไปยังโซฟาตัวข้างๆ อย่างส่งๆ แล้วหันไปทางผู้คุมของเขาทันที
   “นี่...ถามจริงๆ เถอะ พวกคุณจะไม่ปล่อยให้ผมลงไปข้างล่างจริงๆ เหรอ?” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ เพราะนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขารู้ไม่ดี โอเค เมื่อก่อนเขาก็ใช่ว่าจะชอบออกไปไหนมาไหน แต่เขาก็ไม่เคยถูกกักตัวมาก่อน ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกริดรอนอิสรภาพ ทั้งในโลกของความเป็นจริงและโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กของเขา
   และต้องยอมรับมาการมาฮ่องกงครั้งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งอย่างแรกเลยก็คือ...เขาก็มีอารมณ์อื่นๆ เหมือนกับชาวบ้านเป็นเหมือนกัน หลังจากถูกซุบซิบนินทามานานแล้วว่าเขาเป็นพวกไร้อารมณ์
   “ผมปล่อยคุณไปไม่ได้จริงๆ ครับ”
   คำตอบของผู้คุมทำให้เขาได้แต่กลอกตา “ผมต้องการของสำคัญนะ”
   เอาล่ะ อยากน้อยเขาก็ต้องการคอมพิวเตอร์ของเขาคืน ซึ่งจะได้คืนก็ต่อเมื่อเขาต้องเจอกับอีธานที่หลบหน้าหลบตาเขาไปเลย
   “ผมจะลงไปจัดการให้คุณเองครับ ขอแค่คุณสั่งมา” ผู้คุมของเขาตอบกลับ และไม่มีท่าทีจะปล่อยให้เขาก้าวออกไปข้างนอกนั่นง่ายๆ
   “มันเป็นของใช้ส่วนตัว” ชายหนุ่มตอบพลางกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แน่ล่ะว่า นั่นเป็นของส่วนตัวที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะใช้มันได้
   “นั่นแหละครับ เราจัดการให้คุณได้ทุกอย่าง"
   “แต่ว่า...” ชายหนุ่มพยายามทักท้วง แต่ผู้คุมของเขากลับส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะมีท่าทีใจดีกว่าเชสเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนใจดีจริงๆ
   “ไม่มีคำสั่งจากหัวหน้า ผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้อยู่ดี"
   “โอเค ไม่ได้ก็ไม่ได้” ชายหนุ่มยกมืออย่างยอมแพ้ เอาล่ะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงหรอกว่าจะออกไปได้ ที่เขาพูดกับเขาเพราะต้องการพูดกับใครสักคนแก้เบื่อเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “แต่ผมอยู่คนเดียว และผมเบื่อมากเลย งั้นคุณมานั่งคุยเป็นเพื่อนเล่นกับผมหน่อยเป็นไร"
   “เอ่อ…”
   ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “หรือไม่ได้ล่ะ?”
   “ก็ได้ครับ” ผู้คุมของเขาตอบตกลงในที่สุด แม้เขาจะมีสีหน้าประหลาดใจที่จู่ๆ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอยากชวนเขาคุยมากก็ตาม “คุณต้องการจะพูดเรื่องอะไร"
   “เรื่องทั่วๆ ไปสิ” ชายหนุ่มตอบพลางฉีกยิ้ม
   “คุณชื่ออะไร"
   “มาร์คครับ"
   “คุณมาร์ค คุณทำงานกับเจ้านายคุณนานเท่าไหร่แล้ว” ชายหนุ่มเริ่มนต้นถามเขาด้วยคำถามง่ายๆ
   ตามหลักแล้ว การที่เขาอยากจะให้อีกฝ่ายไว้ใจเขา และต้องการรู้ข้อมูลอื่นๆ เขาก็ควรจะเริ่มต้นชวนอีกฝ่ายพูดอะไรก็ได้ด้วยคำถามง่ายๆ นี่แหละ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขานึกอยากชวนผู้คุมของเขาพูดคุย ในเมื่อเขาไม่มีคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยเขาหาคำตอบที่เขาสงสัยได้ เขาก็คงต้องถามเอากับคนรอบๆ ตัวอีธานแบบนี้นี่แหละ
   “ก็นานมากแล้วนะครับ” มาร์คตอบตามตรงไม่มีปิดบัง “ตั้งแต่ผมสิบหกด้วยซ้ำ ตอนเด็กๆ เกเรไปหน่อย โชคดีที่ได้อยู่แก๊งเฉินซี ชีวิตเลยดีขึ้นมาหน่อย”
   พูดจบชายหนุ่มก็อมยิ้ม เหมือนกับได้ระลึกถึงความหลังเก่าๆ อันสนุกสนานของตนเอง
   “เจ้านายคุณคงจะใจดีมากเลยนะ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก เพราะจากคำพูดของมาร์คแล้ว มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีธานไม่ใช่อีธานที่เขารู้จักเลย
   คนใจดีกับอาชญากร ดูเหมือนมันจะขัดแย้งกันเกินกว่าจะไปด้วยกันได้เลย
   “ครับ” มาร์คยังคงยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “แรกๆ ก็ร้ายเหมือนกัน จนกระทั่งคุณอีธานแต่งงาน"
   “หืม?” ม่านเมฆเลิกคิ้วขึ้นสูง “เจ้านายคุณแต่งงานแล้วเหรอมาร์ค”
   เขายอมรับว่าเขาไม่ได้สนใจค้นประวัติในอดีตของอีธาน เฉินเลย นอกจากข้อมูลปัจจุบันและไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ม่านเมฆอดแปลกใจไม่ได้เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อน
   “ครับ แต่งแล้ว แต่ว่าแต่งได้ไม่นาน นายหญิงก็เกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นเจ้านายน่าสงสารมากเลยนะครับเพราะว่านายหญิงเพิ่งตั้งท้องด้วย"
   “!!!”
   ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   “ว่ากันว่านายหญิงโดนฆ่า เอ่อ…ผมไม่น่าเล่าให้คุณฟัง" มาร์คได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเขาชักจะพูดมากเกินไปแล้ว
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมฟังได้” ม่านเมฆโบกมือว่อน ขณะที่ทำสีหน้าแสดงความสนใจอออกมา “อย่างที่คุณรู้ เอ่อ...ผมเป็นผู้ชายน่ะนะ ได้มาอยู่ในตำแหน่ง... เอ่อ…ผมก็อยากรู้เรื่องคนเก่าเป็นธรรมดา"
   ชายหนุ่มพูดพลางแกล้งทำเป็นหลบหน้าหลบตามาร์คด้วยความเขินอาย เพราะรู้ดีแก่ใจว่าอีธาน เฉินคงจะไม่บอกใครสักคนหรอกว่าเขาคือใคร และเขารั้งเขาเอาไว้ด้วยเหตุผลใด ซึ่งเขาจะฉวยความเข้าใจผิดนี้ของคนรอบข้างเพื่อล้วงเอาข้อมูลหลายๆ อย่างที่เขาไม่อาจเข้าถึงได้ในวันนี้แหละ เขาจะได้รู้มันแล้ว...
   “ครับ พวกเราแปลกใจมากที่เจ้านายสนใจคุณ แต่ทุกๆ คนก็อยากให้เจ้านายหลุดจากความทุกข์นั้นทั้งนั้น อยากให้กลับมาเป็นเจ้านายที่มีความสุขของพวกเราตามเดิม ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายก็ตาม”
   “ผมจะพยายามให้เป็นอย่างนั้นค่ะ ว่าแต่...ทำงานแบบนี้ นายคุณไม่เสี่ยงมากเลยเหรอ"
   “ไม่หรอกครับ นี่เป็นวิถีชีวิตของเรา"
   “อีธานเคยเล่าให้ผมฟังน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย ขณะที่มาร์คมองเขาด้วยสายตาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด ม่านเมฆจึงเอ่ยต่อไปเป็นการหยั่งเชิงข้อมูลที่เขาได้รู้มาว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ “แก๊งเฉินซี เกิดจากสามตระกูลใหญ่รวมกัน แล้วทั้งๆ ที่ตระกูลเฉินมีอำนาจขนาดนี้ ทำไมไม่ขึ้นเป็น...เศียรมังกร”
   นี่คือความข้องใจของเขามาโดยตลอดในตอนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับอีธาน เฉิน
   ผู้ชายคนนั้นเกือบจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกมืด แต่ทำไมเขาถึงเลื่อนตัวเองมาเป็นเพียงมือขวา แถมยังทำให้ชื่อเสียงตัวเองฉาวโฉ่ราวกับตั้งใจด้วยฉายา ‘ราชายาเสพติด’ นั่นด้วย นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ หลังจากที่เขาหมกมุ่นวิเคราะห์มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาเฟียหนุ่มนามอีธาน เฉิน
   “ท่านเกือบได้ตำแหน่งนั้นเมื่อห้าปีที่แล้วครับ” มาร์คตอบอย่างไม่นึกระแวงว่าตนเองกำลังถูกล้วงข้อมูล “แต่ติดที่อายุยังน้อยเกินไปแล้วประจวบกับที่นายหญิงตาย นายท่านเลยไม่สนใจตำแหน่งนั้นอีกเลย ว่ากันว่าการตายของนายหญิงเกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นด้วย”
   “อย่างนั้นเหรอ”
   ชายหนุ่มถามพลางพยักหน้ารับด้วยความสนใจเต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าคนในโลกมืดอย่างพวกเขา จะมีวันที่หยุดตัวเองไม่ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ทั้งๆ ที่มีศักยภาพพร้อม
   “เอ่อ...นี่เกินเวลามามากแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ"
   มาร์คเหลือบตามองนาฬิกา ก็เห็นว่าตัวเองคุยกับม่านเมฆมานานแล้ว และนี่ก็ใกล้จะได้เวลาเปลี่ยนเวรกันแล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยขอตัวกลับไปในที่สุด ซึ่งม่านเมฆก็ได้แต่พยักหน้ารับ ไม่คิดจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เนื่องจากว่าวันนี้เขาได้คำตอบหลายคำตอบสำหรับคำถามที่ค้างคาใจมาเนิ่นนานเรียบร้อยแล้ว


๐๐๐๐๐๐

ออฟไลน์ Eigen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
   “นี่กวนตีนเหรอวะ?!”
   ไคลน์เอ่ยออกมาเป็นภาษาไทยด้วยความรู้สึกขัดใจ เพราะผู้ชายตรงหน้าเขานั้นคอยแต่จะก้าวดักทางเขาทุกทาง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ เนื่องจากตอนเช้าเช่นนี้ภายในโรงแรมที่เขาพักก็กำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทว่าเมื่อเขาขยับไปทางซ้ายอีกฝ่ายก็ขยับตามมาดักหน้าเขา พอเขาขยับขวา ฝ่ายนั้นก็ตามมาอีกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างไม่ชอบใจ ตวัดดวงตาคมดุของตนเองมองเขาตรงๆ พลางเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่า
“ขอโทษด้วยนะ ขอทางผมด้วย”
   ทว่านอกจากจะไม่ขยับแล้ว อีกฝ่ายยังถามเขากลับด้วยว่า “คุณไคลน์ใช่ไหมครับ"
   “ห๊ะ?” ชายหนุ่มร้องเสียงสูงด้วยความสงสัย “นี่คุณรู้จักผมได้ยังไง”
   เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ชายตรงหน้าแน่ๆ ไคลน์หรี่ตาพินิจมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจก็เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีถึงขั้นดีมาก รูปร่างสูงใหญ่นั้นแทบจะข่มเขาที่เป็นผู้ชายสูงโปร่งอยู่แล้วให้ดูตัวเล็กลงไปเลยอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นแหละ เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย อันที่จริงไคลน์แทบไม่รู้จักใคร มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายคนนี้จะรู้จักเขาเช่นเดียวกัน
   แต่ก็ไม่แน่ เมื่อดูจากพฤติกรรมเมื่อครู่ที่ผ่านมาของเขา น่ากลัวว่าหมอนี่จะรู้จักเขาจริงๆ นั่นแหละ
   “ผมรู้จักคุณดีเชียวล่ะ...คุณสายลับ”
   ไซมอนคลี่ยิ้มอ่อนโยนส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า ขณะลดเสียงที่เอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมาจนแทบจะเป็นกระซิบ แต่มันก็ดังพอที่ไคลน์จะได้ยิน
   “หืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
   ไซมอนยังคงส่งยิ้มให้เขา พลางผายมือไปด้านข้างแล้วเอ่ยกับเขาว่า “คงต้องขอเชิญคุณมาทางนี้กับผมหน่อย”
   สิ้นคำพูดของเขา ไคลน์ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าอาจจะไม่ได้มาด้วยเจตนาดีก็ถอยหนีจากอีกฝ่ายทันที แต่กลับหนีไม่พ้น และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเหล่าชายฉกรรจ์อีกสี่ห้าคน ที่รุมล้อมผู้ชายตัวคนเดียวเช่นเขา
   “ผมไม่ไป! นี่! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดุดัน เมื่อไซมอนคว้าแขนเขาแล้วออกแรงลากเขาไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็ว
   “อย่าเลยครับ” ไซมอนปฏิเสธเขาทั้งรอยยิ้ม ยังคงมุ่งมั่นกับการลากเขาไปยังรถลีมูซีนคันหรูที่จอดรออยู่หน้าโรงแรมแล้ว “ผมคงปล่อยคุณไปไม่ได้” ชายหนุ่มพูดแล้วหันมาขยิบตาให้ผู้ชายหน้าสวยตรงหน้าอย่างขี้เล่น แต่มือแข็งแรงที่ยึดจับข้อมือของเขาไว้แน่น และไม่อาจสลัดหลุดได้เลยก็ทำให้เขาได้แต่หวาดระแวง
   “คุณเป็นใคร?” ชายหนุ่มถามคนตรงหน้าเสียงห้วน
   “ผมชื่อไซมอน หวัง คิดว่าคุณคงต้องมาอยู่กับผมสักพักจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย” ไซมอนตอบคำถามอย่างรวบรัด และใจดีพอจะขยายความถึงที่มาที่ไปของเขาในครั้งนี้ให้ชายหนุ่มข้างๆ ฟังอีกด้วย
   ใครใช้ให้เขาไปทับเส้นของอีธาน เฉินกันเล่า ถูกกำจัดให้หลุดพ้นจากเส้นทางของอีธานด้วยวิธีการแสนจะนุ่มนวลเช่นนี้ก็ถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว
   “คุณเป็นคนของอีธาน เฉิน!” ชายหนุ่มโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ซึ่งอาจรวมถึงไซมอนและอีธาน
   “...ผมกับเขาเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย” ไซมอนยิ้ม ทว่าไม่ตอบรับตรงๆ แต่ก็ไม่ปฏิเสธจนเด็ดขาด
   “นี่คุณ!” ชายหนุ่มถลึงตาดุๆ ใส่คนที่เอาแต่กวนเขา ก่อนที่ไซมอนจะออกแรงยัดเขาเข้าไปในรถ ซึ่งทำให้ไคลน์ได้สติแล้วพยายามจะต่อต้าน
   “ผมไม่ไปนะ นี่! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”
   แต่เห็นได้ชัดว่ามันไร้ผล เพราะเขาถูกดันให้เข้ามาอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ไซมอนก็หันไปเอ่ยกับชายหนุ่มว่า
   “ผมคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณด้วยนะคุณไคลน์ อย่างน้อยเราคงต้องตัวติดกันไปตลอดจนกว่าจะจบเรื่องนี้นั่นแหละ"
   “พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”
   ไคลน์แทบจะคำรามออกมาอย่างหมดความอดทน แต่ผู้ชายกวนตีนข้างกายเขากลับไม่พูดอีกเลย และนั่นก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่สายลับหนุ่มหน้าสวยอย่างเขาถึงกับจนมุมเช่นนี้!
   ดูเหมือนว่าไซมอน หวังคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน!
๐๐๐๐๐๐
   เมื่อคืนนี้้เขาแยกกับไซมอนที่คลับนั่นตอนราวๆ เที่ยงคืนครึ่ง อีธานก็ตรงดิ่งกลับบ้านของเขาโดยไม่แวะไปเคลียร์งานที่บริษัทอีก แล้วในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนรถ ชายหนุ่มจึงเอ่ยกับเชสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซึ่งมันเป็นคำถามประจำวันที่เขามักจะเอ่ยถามในทุกๆ ครั้งก่อนจะหมดวัน
“ม่านเมฆเป็นไงบ้างวันนี้"
   “ก็ดีครับ” เชสตอบ “เขาอึดอัดนิดหน่อยที่ออกไปไหนไม่ได้ เพราะไม่มีคำสั่งของคุณ เลยเห็นเขาเอาแต่คุณกับมาร์คทั้งวัน”
   พฤติกรรมของม่านเมฆอยู่ในสายตาของเชสตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะขยับไปทำอะไรที่ไหน หรือพูดคุยกับใคร ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเชสทั้งสิ้น เพื่อรายงานต่อให้กับมาเฟียหนุ่มผู้เป็นจ้านายได้รับทราบ
   “อืม…แล้วเขาพูดเรื่องอะไรบ้าง"
   อีธานถามด้วยความสนใจ อยากจะรู้ว่าม่านเมฆที่ขาดคอมพิวเตอร์จะเป็นอย่างไร
   “เห็นมาร์คบอกว่าส่วนมากก็มีแต่ถามทั่วๆ ไปน่ะครับ” เชสตอบพลางนิ่วหน้านิดๆ อย่างแปลกใจ ซึ่งเขาก็แปลกใจจริงๆ นั่นแหละที่ได้ยินว่าชายหนุ่มคนนั้นใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ หลังจากที่เขาได้รู้แล้วว่าเขามีความสำคัญอย่างไรกับเจ้านาย มีความสำคัญอย่างไรต่อตระกูลเฉิน
   ทว่าอีธานได้รับฟังคำรายงานนั้นแล้วกลับอมยิ้ม พอจะรู้ทันม่านเมฆอยู่บ้างว่าทำไมชายหนุ่มถึงคิดอยากจะคุยเรื่อง ‘ทั่วๆ ไป’
   “อืม…ฉันไม่อยากให้ม่านเมฆรู้อะไรมาก” ชายหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลังจากที่สลายรอยยิ้มบนใบหน้าออกไปแล้ว “ทุกวันนี้เขาก็รู้มากเกินไปแล้ว บอกมาร์คว่าต่อไปนี้ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเขา ฉันอยากกดดันเขา เพื่อที่เขาจะได้ตอบตกลงทำงานให้ฉันเร็วๆ "
   “ครับเจ้านาย ผมจะสั่งลงไปเดี๋ยวนี้"
๐๐๐๐๐๐
   อีธานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ก่อนที่เขาจะเบนสายตามองตรงไปยังกรอบรูปอันเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ของเขา
   “พอลลีน...”
   ชายหนุ่มพึมพำชื่อคนที่อยู่ในภาพแผ่วเบา จ้องมองหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มสดใส แล้วคิดถึงดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ พร่างพราวราวกับดวงดาวของเธอ คิดถึงตอนที่เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก คิดถึงยามที่เธอสัมผัสแตะต้องเขาด้วยนิ้วมือเล็กๆ แผ่วเบา คิดถึงตอนที่เธอโอบกอดเขาไว้ในอ้อมกอดเล็กๆ ของเธอ คิดถึงความรู้สึกในยามที่เธอกระซิบบอกเขาเบาๆ ว่ารัก คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอ คิดถึงห้วงเวลานาทีที่เคยได้อยู่ด้วยกัน
   เขาคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นเหลือเกิน...ช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต
   อีธานถอนหายใจยาว ความเจ็บปวดดั่งพิษร้ายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ ส่งผลให้เขาทรมานอย่างยากที่จะมียาใดรักษาให้หายขาดได้ เขาทรมานทุกครั้งที่คิดถึงเธอ...แต่ทรมานมากยิ่งกว่าเมื่อไม่คิดถึง
   เธอคือคนคนเดียวบนโลกใบนี้ที่รักเขา ดูแลเขา และทำให้คนอย่างเขาได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริง
   เมื่อไหร่...เมื่อไหร่ที่เขาจะได้ตามเธอไปเสียที
   อีธานคิดอย่างร้าวรานใจ ขณะที่เปลือกตาก็หลุบปิดลง ตอนนี้ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงแผนการต่างๆ ที่เขาจะต้องเร่งมือทำ และควรจะกระทำมันได้แล้ว เขาไม่ควรปล่อยเวลาเนิ่นนานไปยิ่งกว่านี้ มิฉะนั้นสิ่งที่เขามุ่งมาดปรารถนาก็จะอันตรธานหายไปเหมือนหมอกควัน ความยากลำบากตลอดหลายปีของเขาก็จะสูญหายไม่เหลืออะไร
   “อีกไม่นานแล้วนะ ผมจะตามหาตัวคนที่ทำร้ายคุณและทำร้ายลูกของเราให้ได้” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเขา เจ้าตัวที่อาจหาญพอจะรบกวนเวลาอันเงียบสงบของมาเฟียหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดของเกาะฮ่องกงโดยไม่กลัวว่าจะถูกสั่งฆ่า
   “ม๊าว…”
   แมวเปอร์เซียสีขาวหน้าตาแบนบี้ เจ้าของดวงตากลมโตดั่งลูกแก้วกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาแจ่มใส มันค่อยๆ ใช้อุ้งมือหน้าตะปบเนคไทเส้นเล็กสีดำของมาเฟียหนุ่ม ก่อนจะร้องม๊าวๆ ออกมาอีกสองสามครั้ง
   อีธานลุกขึ้นยืนพลางอุ้มมันในอ้อมแขน รับรู้ถึงท่าทางอันธพาลเล็กๆ ของมันดี
   “เสี่ยวมาวเด็กดี...หิวแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ขณะเดินตรงไปยังห้องนอนของเขา ซึ่งมีประตูเชื่อมถึงห้องทำงาน และบัดนี้ประตูนั้นก็เปิดออกกว้างด้วยฝีมือเจ้าของห้อง
   “ม๊าว...” เจ้าเหมียวร้องขานรับราวกับรู้เรื่อง ขณะค่อยๆ ไซ้ศีรษะกับแผ่นอกแกร่งของมาเฟียหนุ่ม ส่งผลให้คนหน้าเครียดมาตลอดทั้งวันมีสีหน้าอ่อนโยนลง
   เขาวางมันลงกับพื้นที่มีจานอาหารสีเหลืองสดใสของเจ้าเสี่ยวมาววางอยู่ข้างๆ ถาดน้ำ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกล่องอาหารแมวออกมาเทให้เจ้าเหมียวศัตรูคู่อาฆาตในสมัยก่อนกิน
   เสี่ยวมาวเป็นแมวของพอลลีน เธอรักมันมากจนแทบจะละเลยเขาอยู่หลายต่อหลายครั้งในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไอ้เจ้าแมวบ้านี่ถึงขนาดเคยแกล้งร้องครวญครางออดอ้อนเธอ เพราะเขาไม่อนุญาตให้มันขึ้นมาบนเตียงนอนด้วยกัน แถมมันคงรับรู้ได้ว่ามีคนจะมาแย่งความรักของพอลลีนไปจากมันกระมัง มันถึงได้ชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขานัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอยู่ต่อหน้าพอลลีน เสี่ยวมาวมักจะกระโจนเข้ามาข่วนเขาให้ได้แผลเล็กๆ อยู่เสมอ
   ทว่า…หลังจากไม่มีพอลลีน ศัตรูคู่อาฆาตก็กลายเป็นมิตรขึ้นมาทันที แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวมาวก็ไม่วายไว้ลาย บางทีมันก็ออกอาการพยศบ้างตามแต่ที่มันจะอยากจะทำ แต่เขากลับไม่ถือสามันอีกต่อไป เพราะเสี่ยวมาว...คือสิ่งเดียวที่เคยยืนยันให้เขาได้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาฝันไป...แต่มันคือความจริง
   “ถ้าพอลลีนอยู่ดูแลแกก็ดีสิ แกก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยว่างอยู่บ้าน ยังไงก็เป็นเด็กดีนะเสี่ยวมาว...”
   ชายหนุ่มเอ่ยพลางลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ ขณะที่มันก็นิ่งเฉยยอมให้เขาลูบไล้แต่โดยดี
   มาเฟียหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนๆ มองเสี่ยวมาวด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ผมดูแลจะเสี่ยวมาวอย่างดีนะพอลลีน คุณไม่ต้องห่วง อยู่ดูแลลูกและดูแลตัวเองดีๆ นะครับ...”
   “...”
   “ไม่นาน...ผมอาจจะตามคุณไป...”
๐๐๐๐๐
   เช้าวันต่อมาเป็นวันหยุดพักผ่อนของอีธาน เมื่อคืนหลังจากให้อาหารเสี่ยวมาวแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปทำงานต่อจนถึงรุ่งสาง แสงอาทิตย์แรกของวันมาเยือนพร้อมกับความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดนั่นแหละ อีธานจึงได้หยุดการทำงานเพียงเท่านั้นแล้วกลับมาพักผ่อน แต่นอนได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวก็ดังขึ้น ทำให้คนรู้สึกตัวไวอย่างเขานอนหลับไม่ลงอีกต่อไป
   อีธานรับสาย และยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
   “นายใช่ไหม”
   เสียงคุ้นหูนั่นทำให้มาเฟียหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าใครติดต่อมา เขาถอนหายใจยาว คาดเดาได้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่าไม่เกินสองสามวัน คนๆ นั้นต้องติดต่อเขามาแน่ๆ
   “…”
   ชายหนุ่มเงียบ ไม่ตอบอะไร ส่งผลให้ปลายสายถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า
   “ฉันอยากเจอนาย”
   “ทำไมฉันต้องไป” มาเฟียหนุ่มตอบโต้ทันควัน
   “อย่าโยกโย้นะ” น้ำเสียงฉุนเฉียวมากกว่าเดิม “นายรู้เรื่องข่าวฆาตกรรมเมื่อวานหรือยัง”
   “แล้วยังไง” อีธานถามกลับด้วยท่าทีไม่ยี่หระ ใครจะเป็นจะตายไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย ไม่รู้หมอนี่จะโทร.มารบกวนเขาทำไมแต่เช้าแบบนี้
   “ฉันอยากเจอนาย...” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
   “ไม่” อีธาน เฉินปฏิเสธ “ช่วงนี้ฉันยังไม่มีอะไรจะพูดกับนาย”
   ปลายสายนิ่งไปนิด ก่อนจะบอกอีธานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่มีนัยข่มขู่อยู่ในที “แล้วฉันก็รู้ด้วยนะว่า ตอนนี้นายกักตัวใครเอาไว้"
   “...”
   “นายต้องมาเจอฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งไปทางเมืองไทย แล้ว...”
   “ตกลง” มาเฟียหนุ่มเอ่ยสวนขึ้นมาทันควัน ไม่ปล่อยให้ปลายสายได้ใจข่มขู่เขาได้อีกต่อไป “เจอกันที่ไหน"
   “เอาที่เดิมแล้วกัน"
   “ได้”
   เขาตอบตกลงอย่างง่ายๆ ก่อนจะตัดสายทิ้ง และดูเหมือนจะได้ยินฝ่ายนั้นพูดอะไรแว่วๆ ออกมาแต่เขากลับไม่ใส่ใจจะฟังแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพลิกตัวหมายจะนอนต่อเพราะยังรู้สึกเหนื่อยล้า ก่อนจะพบว่าข้างๆ ตัวเขาอีกด้าน มีแมวขี้เซาตัวหนึ่งแอบกระโดดขึ้นมานอนบนเตียงด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีธานยิ้มอ่อนๆ ออกมา จากนั้นจึงหลับตาลงแล้วไม่นานชายหนุ่มก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
๐๐๐๐๐
   ทางด้านไคลน์นั้น หลังจากที่โดนไซมอนจับตัวมา เอ่อ... อันที่จริงไม่เชิงพูดว่าจับตัว เพราะเขายินยอมให้บังคับพาตัวออกมา ครั้งแรกเขากะว่าอีกไม่นานคงจะหนีออกมาได้ แถมบางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรของเพื่อนสนิทบ้าง ทว่าสุดท้ายกลับล้มเหลวทั้งสองทาง แถมเขายังประมาทเขาไปหน่อยเพราะคอนโดของไซมอนกลับได้รับการดูแลอย่างแน่นหนาจนเขาไม่อาจหนีออกไปได้ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้แก่เขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องตัวติดกับไซมอน หวังมานานกว่าสามวันแล้วน่ะสิ!
   และพอเข้าวันที่สี่ จู่ๆ ผู้ชายที่พาตัวเองมาอยู่ร่วมห้องกับเขา ก็จัดการเก็บข้าวของของเขาซึ่งมีอยู่น้อยนิดอย่างถือวิสาสะ ท่าทีของหมอนั่นเหมือนกับจะพาเขาย้ายที่อยู่ ส่งผลให้ไคลน์รู้สึกทนรอให้ไซมอนบอกเขาไม่ไหว จำต้องเอ่ยถามออกไปในที่สุด
   “นี่คุณจะพาผมไปไหนกันแน่มิสเตอร์หวัง!”
   “ไปเที่ยวครับ” ไซมอนตอบแล้วหันมายิ้มให้เขา หลังจากที่เก็บของใช้ส่วนตัวของตนเองเรียบร้อย
   “เที่ยวนี่นะ!” ไคลน์ขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดัน “ผมไม่อยากเที่ยว! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม เขาอยากจะไปไหนก็ไป! แต่เขาไม่คิดจะไปกับหมอนี่หรอก! เขาต้องไปตามหาตัวไอ้เมฆอยู่
   ไซมอนส่ายหน้า ไม่สนใจท่าทีพยศของไคลน์เลยแม้แต่น้อย “เอาน่า...เที่ยวฟรีกับหนุ่มหล่ออย่างผม ใครๆ ก็อิจฉาคุณทั้งนั้นแหละ”
   ชายหนุ่มทำตาพองใส่คนตรงหน้า ถึงแม้เขาจะหล่อจริงๆ แต่มันไม่สมควรพูดมันออกมานี่วะ!
“ไอ้คนหลงตัวเอง! นี่! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!”
   ไซมอนส่ายหน้าช้าๆ เขาจุปากก่อนจะพูดว่า “คนสวย...อยู่กับผมสักเดือนสองเดือนเถอะ คิดซะว่ามาพักผ่อนไง” เขาเอ่ยโน้มน้าวเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟัง แต่ไคลน์กลับไม่คล้อยตามเลยแม้แต่น้อย
   คนสวยบ้านมึงสิ! ไคลน์ถลึงตาดุดันใส่อีกฝ่าย
   “ผมไม่ต้องการพักผ่อนบ้าบอ! แต่ผมอยากเจอเพื่อนของผม!” ชายหนุ่มตะคอกออกมา รู้เท่าทันอีกฝ่ายว่าต้องการขัดขวางไม่ให้เขาได้เจอกับม่านเมฆ
   หมอนี่กำลังจะแยกเขาให้ไกลจากเพื่อนของเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้!
   ไซมอนมองหนุ่มหน้าสวยขี้โมโหด้วยสีหน้าขบขันน้อยๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางเรียวของชายหนุ่มขึ้น ซึ่งท่าทีของเขาทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเพราะไม่เคยมีใครอาจหาญแตะต้องตัวเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้มาก่อน
   “คุณจะได้เจอแน่ๆ ไคลน์...”
   “...”
   “แต่ว่า...ไม่ใช่วันนี้หรอก"
   “มิสเตอร์หวัง!”
   ชายหนุ่มปัดมือเขาออกจากคาง ด้วยท่าทีโมโห รู้สึกได้ว่าเส้นเลือดข้างขมับเขาคงจะต้องปูดโปนออกมาแน่ๆ
   “ครับ?” ไซมอนยิ้มกวนประสาทอีกฝ่าย
   “ไอ้เวรนี่...”
   “อย่าตีหน้ายักษ์เลยน่า” ไซมอนเอ่ยขัดคนที่จะพูดจาหยาบคายออกมา ปลายนิ้วเรียวสวยที่ส่วนใหญ่จัดแต่มีดผ่าตัดแตะลงบนหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาแล้วจิ้มแรงๆ เพื่อไม่ให้เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไคลน์จึงถลึงตาดุใส่เขาแทน ซึ่งไซมอนก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงความหวังดีที่คนฟังอยากจะยกมือขึ้นบีบคอเขาเป็นที่สุด
“ไม่รู้หรือไงว่าถ้าคุณถลึงตาบ่อยๆ แถมขมวดคิ้วมุ่นขนาดนี้ รอยเหี่ยวย่นจะถามหานะครับ คุณคงไม่อยากดูแก่กว่าวัยใช่ไหมครับไคลน์...”


--------
-----

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ 30267

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮืออ ชอบอ่านแนวนี้ รอจ้า

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ชอบ.. รอเลยค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด