Episode 2 กว่าจอสจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นในวันต่อมาเวลาก็ล่วงเลยจนย่างเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว เด็กหนุ่มปวดไปทั้งร่างกายรู้สึกเหมือนผ่านการใช้แรงงานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ตามผิวกายเต็มไปด้วยรอยจ้ำและแผลเล็กๆที่วินทร์บรรจงใช้ริมฝีปากกับคมฟันฝากเอาไว้ แต่จุดที่ดูจะสาหัสสากรรจ์ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบั้นท้ายที่ทั้งเจ็บระบมและแสบ แม้เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้นด้วยตนเองจะไม่พบบาดแผลฉีกขาดแต่แค่อาการบวมอักเสบที่เป็นอยู่นั้นก็ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกจนแทบจะกลายเป็นคนพิการไปครึ่งตัวแล้ว
วินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้วตอนที่จอสตื่นขึ้นมา มีเพียงข้อความบนกระดาษโน้ตซึ่งแปะทิ้งเอาไว้เหนือหัวเตียงที่บอกว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องขึ้นฝั่งไปทำธุระในเมืองจึงต้องขอตัวกลับไปก่อนที่เขาจะตื่น หัวใจของจอสเบาหวิวเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่ตามลำพัง จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์เพียงข้ามคืนคงไม่อาจจะถือเป็นเรื่องจริงจังได้ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกทั้งยังเพิ่งจะได้บางสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยมอบให้ใครไป จอสจึงอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ว่าอย่างน้อยตนก็ควรได้รับความเอาใจใส่จากคู่นอนของตนมากกว่าที่เป็นอยู่นี้
หลังจากต้องใช้ความพยายามอย่างมากจนเรียกได้ว่าเกินควรในการอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้อย่างทุลักทุเล จอสซึ่งยังคงตัดความรู้สึกที่ว่าตนเป็นฝ่ายถูกทิ้งออกไปไม่ได้จึงประคองสังขารออกมาจากห้องและพยายามจัดท่าทางการเดินให้ดูเป็นปกติ ขณะที่สายตาก็มองหาสะเปะสะปะไปอย่างไร้จุดหมายเผื่อว่าจะพบกับวินทร์ซึ่งอาจจะกลับมาที่เกาะแล้วและอยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนนี้ แต่หลังจากความพยายามผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบตัว อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังเรียกร้องให้ร่างกายหยุดพัก เด็กหนุ่มจึงยอมถอดใจและหย่อนกายลงนั่งบนพื้นทรายนุ่มริมชายหาด สายตามองเหม่อออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า
กะจะฟันเค้า พอเอาเข้าจริงโดนเค้าฟันซะเองแถมยังเป็นการฟันแล้วทิ้งอีกต่างหาก จอสสะเทือนใจกับชีวิตช่วงนี้ที่ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลย แต่อีกฟากหนึ่งเขาก็โล่งอกที่ความสัมพันธ์คืนเดียวของตนจบลงอย่างเรียบง่ายไม่มีปัญหาหรือการคร่ำครวญใดๆจากอีกฝ่ายตามมาให้ปวดหัว เด็กหนุ่มยังจดจำครั้งสุดท้ายที่เขาทำอะไรทำนองนี้ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักกับภูและได้พบกับเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่งขณะแคสต์งาน ซึ่งแม้ก่อนเริ่มจะตกลงกันจนเป็นที่เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีการผูกมัด เป็นแค่ความสนุกร่วมกัน แต่พอเอาเข้าจริงอีกฝ่ายก็กลับอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมเลิก ซ้ำยังคอยตามรังควาญจนชีวิตเขาอยู่ไม่เป็นสุขไปพักใหญ่ ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อวินทร์เป็นฝ่ายยอมจากไปเองโดยไม่ต้องรอให้คู่กรณีเอ่ยปาก แม้จะรู้สึกเหมือนโดนทิ้งแต่ในใจจอสก็อดไม่ได้ที่จะมีความยินดีแฝงอยู่
ก็แน่สิ… ก็ไอ้หมอนั่นมันมีแต่ได้กับได้… มันจะต้องคร่ำครวญอะไรอีก จอสเดือดอยู่ในใจ เพราะแม้จะยินดีที่จากไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคืองที่ถูกพรากพรหมจรรย์
เสียงคลื่นและลมทะเลที่พัดโชยเข้าฝั่งมาช่วยกล่อมอารมณ์ของจอสให้สงบลงทีละน้อย เด็กหนุ่มเริ่มปรับสภาพจิตใจตัวเองให้เข้าที่เข้าทางได้ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นแค่อีกครั้งหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ อาจจะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยซ้ำเพราะความมืดแสนน่ากลัวที่คอยกระซิบบอกให้เขาเกลียดชังชีวิตซึ่งเคยเกาะกินอยู่ในสามัญสำนึกได้จางหายไปจนหมดแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยเกือบจะทำสำเร็จและฝากรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เหล่านี้ไว้บนท้องแขนเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ แต่มันจะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ จอสก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังเดียวดายอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นอย่างเต็มตัว แสงแดดลดทอนความเข้มข้นลงจนไม่แสบผิวอีกต่อไปแล้ว จอสเอนหลังลงบนพื้นทรายและหลับตาเพื่อซึมซับบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายนี้ไว้ ทว่าขณะที่กำลังปล่อยกายปล่อยใจไปจนเกือบเคลิ้มหลับนั้นก็ถูกรบกวนโดยสัมผัสเปียกแฉะชวนจั๊กจี้ที่เกิดขึ้นข้างแก้มจนต้องลืมตาขึ้นมาดูว่ามันคืออะไรก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าของโจโฉซึ่งนั่งลิ้นห้อยจ้องมองอยู่ข้างศรีษะ เมื่อมันเห็นเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วจึงทำการเลียเข้าที่ใบหน้าเป็นการทักทายอีกหนึ่งที
“นึกว่าใคร…” จอสยันตัวลุกขึ้นมาและกวักมือเรียก “มานี่มา…”
โจโฉกระโดดเข้าใส่ตามคำเชิญทันทีโดยไม่รีรอ แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่พอๆกับกระสอบข้าวทำให้มันโถมทับร่างของจอสจนหงายลงไปกับพื้นทรายอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่ถือสากับเนื้อตัวที่เลอะทรายจัดการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกับสุนัขต่อทั้งอย่างนั้น แต่ก็สนุกได้ไม่เต็มที่เมื่ออาการบาดเจ็บบริเวณบั้นท้ายยังคอยส่งสัญญาณเตือนให้ต้องสะดุ้งอยู่เป็นระยะ และในตอนนั้นเองที่จอสนึกขึ้นได้ว่าหากโจโฉอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเจ้าของๆมันก็ย่อมอยู่แถวนี้เช่นกัน เพียงคิดเท่านั้นหัวใจก็พาลเต้นตึกตักขึ้นมาอีกรอบขณะที่สายตาก็กวาดมองรอบตัวหาอย่างมีความหวัง
“หาใครอยู่เหรอครับ?” เสียงของวินทร์กระซิบถามเขาที่ข้างหู
จอสรีบหันกลับไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่าใบหน้าของทั้งสองในขณะนี้จ่อประชิดกันอยู่จนปลายจมูกแทบจะเฉี่ยวชนกันได้ ด้วยความตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกทั้งยังมาจ้องหน้าตนด้วยสายตาที่ชวนให้แพ้ทางนั่นอีก จอสจึงตอบสนองกลับไปโดยอัตโนมัติด้วยการผงกศรีษะโขกใส่หน้าผากของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ จนต่างฝ่ายต่างหงายลงไปกองกับพื้นทรายทั้งคู่
“อูยย…” วินทร์ร้องครางด้วยความเจ็บ แรงกระแทกนั้นมากพอจะทำให้เขาเห็นดาวทั้งที่ฟ้ายังไม่มืดด้วยซ้ำ “ทักทายกันแรงจังเลยครับ”
“ไปไกลๆเลย!” จอสขู่ฟ่อใส่ “ไอ้พวกบ้ากาม บังคับขืนใจเด็ก”
“อายุเกินสิบแปดนี่เรียกเด็กไม่ได้แล้วนะบอกเลย” วินทร์ลอยหน้าลอยตาแย้ง “แล้วพี่ไปขืนใจนายตอนไหนครับ?”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก” จอสยันตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็เป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเพราะอาการเจ็บบั้นท้ายคอยรั้งเอาไว้
“ถ้าพูดถึงเรื่องเมื่อคืน…” วินทร์ทำท่านึกย้อนความทรงจำ “เห็นมีแต่คนสมยอมนะครับ”
“ไม่มี!” จอสไม่ยอมรับ
“แล้วใครพูดนะประโยคนี้น่ะ… จะทำอะไรก็รีบทำเลยยยยย” วินทร์ล้อเลียนด้วยน้ำเสียงแบบจอสตอนที่พูดประโยคเดียวกันนี้เมื่อคืน
รองเท้าแตะข้างหนึ่งลอยเข้าหน้าวินทร์ทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ จอสซึ่งอับอายที่โดนขุดพฤติกรรมไร้สติตอนเข้าด้ายเข้าเข็มมาล้อจนทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหวจึงรีบเดินหนีไปทั้งที่ยังสวมรองเท้าแค่ข้างเดียว แต่ก็ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่แขนจะถูกอีกฝ่ายที่วิ่งตามมาทันฉุดรั้งเอาไว้
“ปล่อยเซ่!” จอสโวยวายพร้อมกับพยายามสะบัดมือออกแต่ยิ่งทำอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น เมื่อสู้แรงไม่ได้จอสจึงสู้ด้วยปากแทน “ปล่อย! ไม่งั้นจะเรียกให้คนช่วยแล้วนะ!”
“เอาสิครับ” วินทร์ไม่ห้ามกลับยุส่งด้วยซ้ำ “ถ้าอยากให้คนบนเกาะเค้ารู้กันทั่วว่ามีดาราเพิ่งเสียตัวเมื่อคืน ก็เอาเลย”
“พี่ไม่กล้าหรอก” จอสบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย!!!”
“เรียกมาเยอะๆ จะได้ฟังกันทีเดียวเลยว่าน้องจอสหนุ่มแบดบอยตัวแสบจริงๆแล้วนอกจอเมื่อคืนนี้เป็นเด็กน่ารักขนาดไหน” วินทร์แสยะยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“หนอย…” จอสหยุดร้องเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกล้าทำจริงตามที่พูด
“ดีมาก…” วินทร์ลูบหัวจอสเหมือนเล่นกับสุนัข “พี่น่ะไม่แคร์หรอกถ้าใครจะรู้ แต่พี่รู้ว่านายจำเป็นต้องแคร์…”
“ไม่รู้จักคำว่าอายบ้างหรือไงหา?” จอสหงุดหงิดเกินทนกับท่าทางแบบผู้ชนะของอีกฝ่าย
“ไม่เห็นมีอะไรต้องอายนี่ครับ” วินทร์ออกแรงดึงให้ร่างของจอสเข้ามาชิด “หนุ่มชาวเกาะบ้านนอก ได้น้องจอสดาราดังทำเมีย ไม่มีอะไรน่าอายซักนิดเลย”
ครั้งนี้เมื่อไม่สามารถก้มลงไปถอดรองเท้าแตะที่เหลืออีกข้างมาประทับตราบนหน้าอีกฝ่ายได้เหมือนเมื่อครู่ จอสจึงเปลี่ยนวิธีมาเป็นการยกขาขึ้นและกระทืบไปที่เท้าอีกฝ่ายอย่างแรงแทน ความเจ็บและตกใจทำให้วินทร์เผลอผ่อนแรงมือที่จับกุมจอสเอาไว้ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมพลาดโอกาสทองนั้นรีบสลัดแขนจนหลุดออกมาเป็นอิสระและใส่เกียร์หมาโกยอ้าวหนีกลับรีสอร์ทด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่สังขารอันบอบช้ำจะสามารถทำได้
อยู่ไม่ได้แล้ว มีแต่อายกับอาย ไปหาที่อื่นอยู่เอาก็ได้วะ… จอสรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าหลังจากตระหนักได้ว่าหากยังอยู่ร่วมกับวินทร์ที่นี่ ตนก็มีแต่เสียทั้งตัวเสียทั้งหน้า เด็กหนุ่มขยุ้มเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบบลวกๆก่อนจะรูดซิปปิด และในขณะที่กำลังเข้าไปเก็บข้าวของจำพวกของใช้ส่วนตัวที่วางอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำนั้นเอง หูก็พลันแว่วได้ยินเสียงดังกริ๊กคล้ายลูกบิดประตูถูกปลดล๊อค จอสชะโงกหน้าออกจากห้องน้ำมาดูก่อนจะพบว่าวินทร์ได้ตามเข้ามาถึงในห้องแล้วอีกทั้งกำลังนำเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งยัดใส่กระเป๋าไปเมื่อครู่ออกมาใส่ไม้แขวนจัดวางไว้ในตู้เหมือนเดิม
“ทำบ้าอะไรฟะ!!” จอสโกรธจัด เป็นความโกรธที่ผสมกับความกลัวจากการที่รู้สึกว่ากำลังถูกต้อนจนมุม
“จะไปไหนครับ?” วินทร์ถามเสียงเรียบ ขณะที่มือสะบัดเสื้อเชิ๊ตของจอสซึ่งยับยู่ยี่จากการถูกขยำยัดลงกระเป๋าให้คลี่ออกก่อนจะนำใส่ไม้แขวน “เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย โกรธพี่เรื่องอะไร?”
“แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง?” จอสงงว่าเขาล๊อคห้องไว้แล้วทำไมวินทร์ถึงตามเข้ามาได้
“พี่ก็เข้าได้ทุกหลังแหละครับ” วินทร์ชูกุญแจพวงใหญ่ในมือให้ดู แต่ละดอกมีเลขประทับบ่งบอกเอาไว้ว่าเป็นของหลังไหนบ้าง “ทีนี้รู้หรือยังว่าเมื่อวานนี้ทำไมพี่ถึงไม่จำเป็นต้องถามว่านายอยู่หลังไหน”
“อย่าบอกนะ…” จอสประติดประต่อใจความทั้งหมดเข้าด้วยกันก่อนจะสะพรึงกับผลลัพท์ที่ได้
“ใช่เลยครับ” วินทร์ฉีกยิ้มใบหน้าสว่างไสว “ที่นี่ของพี่เอง”
“งั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…” จอสขยายผลจากข้อมูลที่ได้รับ เพราะหากวินทร์เป็นเจ้าของที่นี่และรู้ว่าเขาพักอยู่หลังไหนตั้งแต่แรก ก็เท่ากับว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่วินทร์จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร “การแสดงงั้นเหรอ?”
“ก็แค่พยายามเข้าหาแบบที่นายสบายใจที่สุดน่ะครับ” วินทร์ยอมรับ “เพราะดูจากวันแรกที่เชคอิน ก็พอเดาได้ว่านายไม่ต้องการให้ใครจำได้”
“ไอ้ตอแหลเอ๊ย!” ความโกรธของจอสทวีขึ้นด้วยความเสียหน้าจากการที่เพิ่งรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อในแผนการของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มต้น
“ช่างกล้าที่จะว่าคนอื่นด้วยคำนี้” วินทร์ยิ้มเยาะ “ทั้งที่ตัวเองก็วางแผนยึดหมาหลอกล่อให้พี่มาห้องแท้ๆ”
“ออกไปเลยป่ะ!” จอสเถียงไม่ออก
“ไม่ออก” วินทร์ยืนกอดอกนิ่งไม่ขยับ “ทีนี้บอกพี่มาได้แล้วว่าโกรธอะไร พี่ไปทำอะไรให้”
“ไม่โกรธ แต่ไม่อยากสนใจ ไม่อยากยุ่งด้วย เรื่องของเรามันจบแล้ว วันไนท์สแตนด์ไม่เข้าใจหรือไง” แม้ปากจะพูดไล่ แต่ในใจจอสก็แอบหวาดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะเชื่อตามนั้นและหันกลับออกไปจริงๆ
“ถ้าไม่โกรธก็ไม่จำเป็นต้องหนี” วินทร์มองไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าของจอส
“ก็ไม่ได้หนี แค่ไม่ชอบที่นี่แล้ว จะย้ายที่พัก” จอสแก้ตัว
“ไม่มีที่อื่นให้พักแล้วล่ะครับ ตอนนี้บนเกาะเต็มหมดทุกที่แล้ว ถ้านายไม่อยู่ที่นี่ก็คงต้องไปนอนริมหาด” วินทร์พูดกดดันให้จอสเปลี่ยนใจ
“ได้!” จอสไม่ยอมแพ้ “นอนริมหาดก็นอน ดีกว่านอนรีสอร์ทพวกบ้ากาม ไม่มีความรับผิดชอบ”
“อ้อ… นี่เองที่โกรธ” วินทร์จับบางสิ่งที่จอสเพิ่งหลุดเผยออกมาได้ “ที่แท้ก็โกรธที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวนี่เอง”
“ไม่ใช่โว๊ย!” จอสหน้าแดงก่ำ เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดความรู้สึกจริงๆออกไป
“ถ้าโกรธเรื่องนั้นก็ขอโทษนะครับ” วินทร์ขยับเดินเข้ามาใกล้ขึ้น หลังจากดูรอบๆจนมั่นใจแล้วว่าจอสคงไม่มีอะไรที่สามารถคว้ามาขว้างใส่ตนได้อีก เขาหยิบถุงของร้านขายยาจากในกระเป๋ากางเกงออกมาและส่งให้กับจอส “เมื่อเช้าพี่ตื่นมาก็สายมากแล้ว ก็เลยรีบขึ้นฝั่งไปซื้อนี่มาให้ เพราะบนเกาะมันไม่มีร้านขายยา มีแต่สถานีอนามัย แล้วนายก็คงไม่อยากไปหาหมอด้วยอาการแบบนี้หรอก”
จอสรับถุงใบนั้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ใจหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะยังซ่อนลูกไม้อะไรเอาไว้อยู่หรือไม่ เขาเปิดออกดูข้างในและพบกับยาเหน็บสำหรับแก้อาการอักเสบของทวารหนัก เพียงแค่นึกถึงวิธีการใช้มันก็มากพอที่จะสร้างความอับอายให้แก่ตัวเองได้แล้ว จอสส่งมันกลับคืนไปให้กับวินทร์ทันที
“เอาคืนไป” จอสยื่นถุงให้ “ขอบคุณที่ไปซื้อมาให้โดยที่ไม่ได้ขอ แต่คนอย่างจอสไม่ต้องใช้ของพรรค์นี้หรอก เดี๋ยวก็หาย”
“ไม่ได้ครับ นายต้องใช้ นี่คือความรับผิดชอบจากพี่” วินทร์ยืนกรานคำเดิม “ของแบบนี้ไม่หายเองง่ายๆหรอก ถ้าไม่ใช้นายก็ต้องเดินท่าประหลาดๆแบบนี้ไปอีกหลายวัน ไม่อายคนหรือไง?”
“ประหลาดตรงไหนฟะ!?” จอสตะโกนถามอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าท่าทางการเดินของตนดูปกติดีแล้ว
“ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ?” วินทร์ทำหน้าประหลาดใจ “นี่พี่ทำลายความมั่นใจนายเลยสิเนี่ย?”
ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์รู้ตัวนะว่าทำบ้าอะไรกับความรู้สึกของคนอื่นเค้าไว้บ้าง จอสแดกดันอยู่ในใจ แม้จะหายโกรธเรื่องที่ถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพังเมื่อตอนตื่นนอนเพราะรู้เหตุผลของอีกฝ่ายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าความอับอายจะหายไปตาม แม้กระทั่งในเวลานี้แล้ว กับชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีทางพฤตินัยเป็นคนแรกในชีวิตของตน จอสยังไม่อาจจะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆโดยไม่สะทกสะท้านได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่วินทร์หันมาหรือจังหวะที่ทั้งสองเผลอสบตาเข้าหากัน เด็กหนุ่มก็จำต้องเบนสายตาหรือเบือนหน้าหนี สีหน้าถูกกลบเกลื่อนเอาไว้ด้วยอารมณ์โกรธและหงุดหงิดฉุนเฉียวเพียงเพื่อไม่ให้ถูกมองทะลุไปถึงความประหม่าที่ซ่อนเอาไว้ภายใน
จอสพยายามบอกกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่การตกหลุมรัก เขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันทางด้านความสัมพันธ์ของตนเองที่จะไม่มีวันหลงใหลคลั่งไคล้หรือคิดจริงจังกับคนที่เพิ่งมีสัมพันธ์กันแค่ข้ามคืนเด็ดขาด หากเขาตัดสินใจแล้วว่าคนนี้มีไว้เพื่อความสนุกมันก็จะต้องจบเพียงเท่านั้นไม่มีวันพัฒนาได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นความรู้สึกประหลาดที่กำลังรบกวนจิตใจอยู่นี้มีที่มาจากอะไรกันแน่ จอสคิดเอาเองว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะความคลึงกันอย่างน่าประหลาดระหว่างวินทร์และภู เพราะยิ่งมองแบบเพ่งพินิจจอสก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนเป็นภูในวัยผู้ใหญ่ที่นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับมาแก้แค้นตนกับสิ่งที่เคยถูกกระทำเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้จอสยิ่งรู้สึกเสียหน้ามากขึ้น
เสียตัวให้คนอื่นยังไม่หมดความมั่นใจเท่าเสียให้ไอ้กระรอกซื่อบื้อนี่เลย… มันไม่ใช่เพียงแค่ความคล้ายคลึงกันของหน้าตา จอสมั่นใจในจุดนี้อีกเช่นกัน วินทร์มีบางอย่างที่ทำให้เขาแพ้ทางโดยธรรมชาติ เป็นบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้ ไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้แต่เป็นเพราะไม่อยากสู้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้ปากของจอสจะคอยพูดขับไล่ไสส่งวินทร์อยู่แทบจะตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แต่ลึกๆนั้นเขากลับรู้สึกดีที่อีกฝ่ายกลับมาหาและกลัวเหลือเกินว่าจะวินทร์จะหนีหายไปอีกครั้ง
“เนี่ยตั้งแต่เจอกันที่หาดก็เห็นนายเดินแบบนี้ตลอดเลย” วินทร์ไม่พูดเปล่าสาธิตท่าทางประกอบให้ดูอีกต่างหาก
ครั้งนี้เป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของจอสที่ลอยเข้ามาปะทะร่างของวินทร์แบบเต็มๆ
นี่ไงล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงอยู่ด้วยไม่ได้ เหตุผลในการเกลียดขี้หน้าหาง่ายกว่าเหตุผลในการชอบเสมอ จอสฉวยโอกาสที่วินทร์ยังมึนไม่หายรีบเดินออกมาข้างนอกแต่พอก้าวพ้นประตูห้องออกมาก็เจอกับโจโฉซึ่งนั่งดักรออยู่เป็นด่านที่สอง
“ถอยไป!” จอสสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปอีกทาง
แต่ครั้งนี้โจโฉกลับนิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นจอสขยับไปทางไหนมันก็ย้ายไปนั่งดักไม่ยอมให้ผ่านไปได้โดยเด็ดขาด ครั้นเมื่อเด็กหนุ่มสามารถใช้ความว่องไวหลบฝ่าออกไปได้มันก็ยังตามมากัดชายเสื้อรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย ในตอนนั้นเองวินทร์ก็เดินตามออกมาข้างนอกจนทัน
“ไม่ต้องตามมาเลย ไม่อยู่แล้ว ค่าพักเท่าไหร่ก็ว่ามา จะจ่ายให้” จอสร้องห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“ไม่คิดเงินหรอกครับ” วินทร์เลิกล้อเลียนจอสแล้วกลับเข้าสู่ใบหน้าจริงจัง “แค่นายอยู่ต่อก็พอ”
“รู้หรอกว่าหวังอะไรอยู่” จอสรู้ทัน “อย่าหวังซะให้ยากเลย”
“ถ้าจะบอกว่าไม่หวังก็คงเป็นการโกหก” วินทร์ยอมรับตามตรง “แต่ถ้านายไม่ยินยอม นายไม่ต้องการมันก็จะไม่เกิดขึ้นครับ”
“งั้นแค่ผมไม่ยอม ก็เท่ากับอยู่ที่นี่ไปฟรีๆได้ตลอดใช่ไหม?” จอสพยายามยั่วยุ
“ก็จนกว่านายจะสบายใจ” วินทร์ไม่ขัดข้อง “พี่ไม่รู้หรอกนะครับว่านายเจออะไรมา แต่การที่คนดังที่น่าจะมีงานชุกแทบทุกวันอย่างนาย อยู่ๆก็หยุดการทำงานแล้วมาหมกตัวอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” จอสเสียงอ่อยลดท่าทีคุกคามลง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมอบเจตนาที่ดีให้ “ถ้าอยากให้อยู่ขนาดนั้นก็จะอยู่ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าไม่รีวิวหรือโฆษณาให้หรอก ช่วงนี้ไม่ทำงาน”
“เรื่องพวกนั้นไม่จำเป็นหรอก เอาเป็นว่าอยู่ให้สบายใจนะครับ ขาดเหลืออะไรก็โทรเข้าไปแจ้ง” วินทร์ยอมปล่อยให้จอสมีเวลาส่วนตัว “แต่ถ้านายอยากจะไปจริงๆ พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะรั้งตัวไว้ ก็แค่รอให้ถึงหลังเที่ยงพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ อาจจะมีแขกที่รีสอร์ทอื่นเชคเอาท์แล้วมีห้องว่างให้นายเข้าพักได้”
“ถ้าฟรีก็อยู่ เท่านี้แหละ” จอสพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนยอมอยู่ต่อเพราะไม่ต้องเสียเงิน ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องการเงินไม่เคยเป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย “เดี๋ยวจะพังห้องให้เละเทะเลย แล้วอย่ามาคิดค่าเสียหายทีหลังก็แล้วกัน”
“ค่าเสียหายเป็นเงินคงไม่คิด” วินทร์ยิ้มมุมปาก “แต่ถ้านายทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้รู้กันครับว่านายจะต้องชดใช้ยังไง”
วินทร์เดินตรงเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะโน้มตัวก้มลงมาหา จอสรีบหลับตาไม่อยากต้องจ้องใบหน้านั้นในระยะประชิดเพราะกลัวจะปกปิดอาการที่ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ วินทร์มองดูอาการเกร็งประหม่านั้นอย่างเอ็นดูก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะขโมยหอมแก้มจอสซักฟอดหนึ่งให้หายคิดถึงเพราะรู้ดีว่ามันคงทำให้อีกฝ่ายเขินอายมากกว่าเดิมแล้วเตลิดหนีไปอีกรอบ บางทีทุกสิ่งอาจดีขึ้นถ้าปล่อยให้มันเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคืนนี้พวกเขาได้กระโดดข้ามขั้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วต่อไปจากนี้คงได้เวลาย้อนขั้นบันไดลงมาทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น
ใบหน้าของวินทร์ก้มเลยต่ำลงไปก่อนจะหยิบสายจูงของโจโฉขึ้นมาและพาเดินออกไปจากตรงนั้น จอสเปิดตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของวินทร์ห่างไกลออกไปจากตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเกลียดตัวเองที่รู้สึกผิดหวังกับการที่อีกฝ่ายเพียงแค่เดินจากไปเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรส่งท้ายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ว่าจะโดน จอสพยายามบอกกับตัวเองว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตน ถุงใส่ยาเหน็บวางอยู่บนหัวเตียง วินทร์ไม่ยอมเอามันกลับไปด้วย จอสหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพลิกอ่านดูวิธีการใช้บนกล่อง แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกอัปยศอดสูกับการต้องมาทำอะไรแบบนี้กับตัวเอง เด็กหนุ่มโยนมันทิ้งไปไว้บนเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตาม แรงกระแทกส่งความเจ็บจี้ดพุ่งตรงจากบั้นท้ายขึ้นมาอีกระลอก ยาเหน็บจึงเริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง
อาบน้ำก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน… จอสตกลงใจเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำไป
To be continued...