ผมจะไปเกณฑ์ทหาร
บทที่ 1
“อึก ฮะ ฮัก บะ เบา”
ท่ามกลางความรู้สึกสะลืมสะลือนั้น ผมรู้สึกได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายของผมอยู่ มันเจ็บแปลบอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่มันจะกลายเป็นความทุรนทุรายกับแรงกระแทกอยู่ตรงระหว่างขา
“อย่าเกร็งสิครับ ยกสะโพกขึ้นหน่อย ดีมาก”
เสียงใครบางคนกระซิบออกคำสั่งอยู่ใกล้หูให้ผมทำตาม ความเสียดสีของสิ่งแปลกปลอมทำให้ผมหายใจไม่ทัน ผมอ้าปากงับอากาศเหมือนปลาทองกระโดดพ้นผิวน้ำ
“อา แน่นชะมัด ครั้งแรกใช่ไหม”
ใช่นะสิ
ผมกัดปากตัวเองเมื่ออยู่ ๆ ยอดอกของผมถูกงับและดูดเบา ๆ ร่างกายของผมเด้งเข้ากอดคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของผมโดยอัตโนมัติ คน ๆนั้นซุกหน้าอยู่ตรงหน้าอกของผมราวกับติดใจในขณะที่ผมกำลังมึนงงมองเห็นแต่เพดานสีมัวของห้องมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟของห้องน้ำส่องลอดออกมา
“ฮื่ออ เสียว”
เพิ่งได้ยินเสียงตัวเอง กระเส่าเซ็กซี่เกินเหตุ ตอนนี้ท้องน้อยของผมปั่นป่วนไปหมดจนต้องโยกเอวรับแรงกระแทกที่เร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อย ๆ ดีนะที่ผมซ้อมเต้นทุกวันสะโพกและเอวถึงได้แข็งแรงขนาดนี้ เอ๊ะ! มันใช่เหรอ?
“ใจเย็นนะครับ อย่าเพิ่งเร่งนะ เดี๋ยวจะพากันไม่ถึงฝั่ง”
ออกคำสั่งอีกแล้ว ใครวะ
“อูย ตรงนั้น ซ้ำได้ไหม อีกที อื้อ”
อิมโพรไวส์เสียงยิ่งกว่าตอนไปออกรายการโทรทัศน์แล้วให้โชว์ร้องสดเสียอีก ได้ยินเสียงทุ้มจากลำคอที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวซอกคอของผมประสานเสียงกลับมา ผมบิดตัวไปมากับความทรมานใจจะขาด
“โอย อีกนิดเดียว”
“งั้นเร่งเลยนะ”
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น ผมปล่อยเสียงเต็มพลังก่อนจะหอบตัวโยนเหมือนถูกผลักให้กระโจนข้ามหน้าผากว้าง มองเห็นสวรรค์อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่คนที่ส่งผมมาเร่งเอวเข้าใส่เพื่อส่งตัวเองตามมาติด ๆ
เขาซบหน้าลงกับไหล่ของผมแล้วหอบแข่งกัน ดวงตาของผมหรี่ลงและเคลิ้มหลับไปวูบหนึ่งเพราะความเหนื่อยอ่อนบวกกับฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไปก่อนหน้า โดยมีร่างใครอีกคนนอนกอดผมไว้ข้างๆ
1 วันก่อนหน้านี้
“กว่าจะฝ่ากองทัพแฟนคลับมาได้”
แม่จ๋าของผมบ่นนิดหน่อยตามปกติเหมือนทุกครั้งที่ไปรับผมจากสนามบิน ทำไงได้ล่ะฮะ คนมันดังนี่นา
ผมชื่อจริงว่าดรัณ ชื่อเล่นแม่ตั้งว่าดีน อายุยี่สิบสองปีถ้วน เดบิวท์วงบอยแบนด์ที่เกาหลีตั้งแต่สี่ปีที่แล้วหลังจากไปฝึกที่ค่ายเพลงตั้งแต่จบมัธยมต้น ตอนนี้ชื่อเสียงของวงก็เรียกว่าดังเลยก็ว่าได้จากความพยายามของพวกเรา ผมกลับประเทศไทยบ่อย ๆ เท่าที่มีเวลาว่าง แต่ที่มาวันนี้ถือว่าเป็นวันสำคัญระดับชาติ
พรุ่งนี้ ผมจะไปเกณฑ์ทหาร
หลังจากที่ผัดผ่อนมาสองปี ปีนี้ผมเลยตัดสินใจมารายงานตัวและจับใบดำใบแดงให้มันจบเรื่อง ทั้งที่งานก็ยังเยอะอยู่นั่นแหละแต่ก็พอจะเคลียร์กับต้นสังกัดได้
“แล้วไม่กลัวจับได้ใบแดงหรือไง”
“แม่จ๋าพูดอะไรอย่างนั้นล่ะ”
ผมลงไปนอนหนุนตักแม่พลางส่งเสียงออดอ้อน
“นี่อยากให้ลูกไปเป็นทหารนักเหรอ”
“เอ้า จะไปรู้เหรอ แม่น่ะยังไงก็ได้ เป็นทหารก็ไม่เลวร้ายนี่”
“ไม่ได้เป็นหรอกแม่ นี่ดีนไม่ได้ออกกำลังกายเล่นเวทมาเป็นเดือน ข้าวก็กินนิดเดียวให้ตัวผอม ๆ แม่ดูหน้าอกดีนสิ รอบอกเหลืออยู่หน่อยเดียว ยังไงก็ตรวจร่างกายไม่ผ่านหรอก”
“ไอ้ลูกเจ้าแผนการ แม่รึก็อุตส่าห์เป็นห่วงที่แท้ก็จงใจทำตัวผอมเหรอ”
อย่าบอกใครนะครับเรื่องแผนของผม คือผมไปศึกษามาแล้วเกณฑ์การตรวจร่างกายทหารกองเกิน ความสูงต้องเกินร้อยหกสิบเซ็นติเมตร ซึ่งผมสูงร้อยเจ็บสิบห้าไงล่ะมันผ่านอยู่แล้ว ส่วนรอบอกต้องมีขนาดเจ็ดสิบหกเซนติเมตรขึ้นไป รูปร่างผมน่ะผอมสูงไง พวกแฟนคลับชอบเรียกผมว่าตัวเล็กบ้างละ อ้อนแอ้นบ้างล่ะ จริง ๆ ก็อยากจะตัวใหญ่มีกล้ามบ้างนะแต่เล่นเวทแล้วก็ยังไม่ขึ้นเท่าไหร่ เนี่ย เอามาใช้ประโยชน์ตอนนี้ อดข้าวอดน้ำจนผอมโซ ลองวัดหน้าอกตัวเองแล้วได้แค่เจ็ดสิบสี่เซ็น ยังไงก็ไม่ผ่าน ฮ่า ๆ
ผมคุยกับแม่ครู่หนึ่งแล้วจึงขึ้นไปห้องนอนตัวเอง กว่าจะมาถึงบ้านก็เย็นมากแล้ว โยนกระเป๋าไว้บนที่นอนและหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กชื่อไอ้ตั้ม
“เหี้ยตั้ม ทำไรอยู่”
ไอ้ตั้มมันเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายครับ แต่ว่ามันเรียนรด.มาตอนม.ปลาย มันเลยรอดไม่ต้องเกณฑ์ทหาร แค่ไปรายงานตัวเฉย ๆ ส่วนผมไปเกาหลีตั้งแต่สิบห้ารด.ไม่ได้เรียนก็เลยต้องมาเกณฑ์ทหารนี่ไง
“เล่นเกมอยู่ว่ะ มาถึงเมื่อไหร่วะ กูเห็นน้องสาวกูไปกรีดร้องรอรับมึงที่สนามบินทั้งที่ก็เจอกันตั้งแต่เด็ก”
น้องไอ้ตั้มเป็นแฟนคลับวงผมครับ ชอบให้ไอ้ตั้มมาขอรูปพร้อมลายเซ็นเมมเบอร์จากผมเป็นประจำ มันเล่นเส้นฮะบ้านนี้
“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เลย แม่ง พรุ่งนี้ต้องไปรายงานตัวตอนแปดโมง”
“มึงทำใจดี ๆ ไว้เพื่อน เขาอาจจะมีคนสมัครเยอะจนไม่ต้องจับก็ได้”
“สาโท เอ๊ย สาธุ เออ เหี้ยตั้ม ไอ้ผับที่มึงเคยพากูไปเที่ยว มันยังเปิดอยู่ไหมวะ”
บ้านผมกับไอ้ตั้มไม่ไกลกันนัก ในละแวกนี้มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไอ้ตั้มมันเรียนอยู่ ไอ้นี่มันสายแว้นสายเมาครับ ไว้ใจได้เรื่องจัญไร
“เปิด ไมอะ อยากไปเหรอ”
“เออ มารับหน่อย”
“ได้ แม่จ๋าของมึงหลับกี่โมงล่ะ กูจะได้พามึงหนี”
“สี่ทุ่ม มึงมารับกูได้เลย เดี๋ยวกูแต่งตัวรอ”
รู้กันกับไอ้ตั้มครับ แม่นอนไม่ดึกเพราะต้องตื่นไปเปิดร้านอาหารแต่เช้า เมื่อตกลงกับไอ้ตั้มได้ผมก็วางสายไปกินอาหารเย็นกับแม่และรอเวลาให้ไอ้ตั้มมารับตามนัด
ไอ้ตั้มมารับตรงเวลา ผมปีนระเบียงลงมาจากห้องนอนอย่างที่เคยทำเวลาหนีเที่ยวกับไอ้ตั้มสมัยเด็ก กระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ได้ไอ้ตั้มก็บิดคันเร่งพาผมไปยังที่หมาย วันนี้ผมแต่งตัวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาที่ไม่ได้สะดุดตามาก บนหน้ามีแว่นตาเคลือบปรอทและหมวกแก็ปปิดบังไว้อยู่ หวังว่าคงไม่มีใครจำได้นะ
พอไปถึงผับเล็ก ๆ แห่งนั้นคนกำลังหนาตา ไอ้ตั้มใช้ความเป็นลูกค้าประจำหาที่นั่งจนได้ มันสั่งเหล้ากับมิกเซอร์กับแกล้มพร้อม สายตามันก็สอดส่ายเล็งสาวตามปกติของมัน
ผมกระดกเหล้าเข้าปาก สายตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นก็แอบเหล่สาวไปเรื่อย ๆ กินอยู่พักใหญ่พอเริ่มกรึ่ม ๆ ก็ชักจะปวดฉี่
“กูไปเยี่ยวนะ”
เสียงชักอ้อแอ้ตอนที่หันไปบอกไอ้ตั้ม เพื่อนเหี้ยกำลังนั่งนัวเนียกับสาวที่เพิ่งเจอหันมาพยักหน้ารับอย่างขอไปที ผมเลยเดินประคองตัวไปยังห้องน้ำชาย พอจัดการปลดปล่อยออกไปจึงเดินมาล้างหน้าที่ก๊อกน้ำก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
“พี่ พี่คะ พี่”
ใคร พี่ไหน
“ดีนวงเดอะคิดส์หรือเปล่า”
ผมสะดุ้ง เหี้ย ตะกี้ล้างหน้าแล้วเผลอถอดแว่นแป๊บนึงไง
“ใช่หรือเปล่าพี่”
ทำไงดีวะ
ผมตัดสินใจเดินเลี้ยวไปด้านข้างห้องน้ำ เจอร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งก็รีบคว้าแขนของเขาให้ยืนบังตัวผมไว้ สีหน้ของเขาดูงง ๆ กับการกระทำของผม
“หายไปไหนแล้ว พี่ดีนนนน ใช่แน่ ๆ”
เหี้ย ทำไงดี งานงอกแล้วมึง
วินาทีนั้นเองที่ผมยกแขนขึ้นคล้องคอผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต ผมโน้มคอเขาที่สูงกว่าผมลงมาแล้วจูบเขาที่ปาก เหมือนเขาจะชะงักไปก่อนจะเล่นตามน้ำ มือใหญ่ของเขาอ้อมไปที่ด้านหลังและโอบเอวผม จูบที่ตอนแรกแค่เพียงประกบริมฝีปาก เขาฉวยโอกาสดันลิ้นของเขาเข้ามาในปากของผม
มีต่ออีกนิด...