¤ Fallen DESTINY ¤ :::: ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น ::::[Chapter 15] 16/05/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ¤ Fallen DESTINY ¤ :::: ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น ::::[Chapter 15] 16/05/61  (อ่าน 6209 ครั้ง)

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 10:38:08 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

      ¤ นิยายเรื่องนี้เป็นแนว Feel Good ¤

 
เพื่อสนองนี๊ดตัวเอง หวังคนที่ชื่นชอบแนวนี้จะอ่านแล้วมีความสุขกับมันนะครับ



¨゚✎•¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・


ไรอัน เบิร์นส์ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน


จ้างสาวไทยคนหนึ่งชื่อ "ริต้า" มาอุ้มบุญให้ โดยทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี หากเธอคนนี้ไม่พาลูกในท้องหนีเขากลับประเทศไปซะก่อน

คิดแล้วมันช่างหงุุดหงิดเหลือเกิน ไรอันตามเธอมาจนถึงประเทศไทย แต่ทว่าคนที่ดูแลูกเขากลับไม่ใช้ผู้ที่ให้กำเนิด เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่เด็กๆ เรียกเขาว่าป่าป๊า แล้วไรอันจะทำยังไงดีกับคนๆ นี้ จะเอาลูกกลับเลยดีไหมนะ ในเมื่อเด็กๆ คือสิทธิ์โดยชอบธรรมของเขา


¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・ ¨゚✎・


คณิติน  :  ชายหนุ่มพนักงานออฟฟิศธรรมดาที่ต้องลาออกจากงานประจำ มาเลี้ยงลูกชายฝาแฝดตัวน้อยๆ อ้วนจ้ำม่ำอยู่บ้าน โดยยืดอาชีพนักแปลอิสระ เหตุเพราะเจ้าตัวยุ่งของเขาทั้งสองคนไม่มีคนดูแล

แต่วันดีคืนดีโชคชะตาก็ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวมาตลอด นั่นก็คือพ่อแท้ๆ ของแอสตัน กับออสติน คณิตินกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะมาพาลูกของเขาไป ถ้าวันนั้นมาถึงจริง เขาจะทำยังไงดี ในเมื่อเขาเองก็รักเด็กสองนี้เหลือเกิน รักเหมือนลูกแท้ๆ เลย



+++++++++++++++++++++++++++++++




"ป่าป๊าฮับ แอชตันหิวนม"

"ออสตินก็หิวนมครับป่าป๊า หมำๆๆๆๆๆ"

ผมต้องไปชงนมให้ลูกแล้วล่ะครับ ฝากทุกคนเอาใจช่วยพวกเราด้วยนะครับ อย่าให้เขามาพรากลูกไปจากผมได้เลย สาธุ



[/b]


.........



สุดท้ายนี้หากท่านใดมีความคิดเห็นประการใด เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ ก็สามารถคอมเม้นต์ได้ครับ แต่อย่าแรง เพราะใจเค้าอ่อนแอ ล้อเล่นๆเค้าจะได้เอาไปปรับปรุง

สุดท้ายนี้อยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องที่สมมุติขึ้นมา ไม่ได้มีส่วนใดมาจากเรื่องจริง และเป็นเพียงแค่จินตนาการของผู้แต่งครับ

ขอบคุณครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 15:31:54 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1




Fallen DESTINY
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

Prologue







22 / xxxxx / 20xx
ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา


ท่ามกลางประชากรนับหกแสนกว่าคน กับวันหยุดที่ทุกคนรอคอย บางคนออกมาจับจ่ายซื้อของ ช็อปปิ้ง บางคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่กับครอบครัวที่บ้าน หรือแม้แต่ออกเดตกับใครสักคนในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่ดูสดใสและเต็มไปด้วยสีสันแห่งการมีชีวิตอยู่จริงๆ เมืองนี้เป็นเมืองท่าติดอยู่กับชายฝั่งทะเล เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีประชากรมากมาย และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่เลยทีเดียว

ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ใดที่หนึ่งอยู่ แต่กลับมีชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นเลยก็ว่าได้ ในหัวเขามีแต่งานๆๆ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ "เรื่องของผู้หญิงคนนั้น กับลูกของเขาในท้องของเธอ"

"ได้ความว่าไงบ้าง?" ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาถามขึ้น พร้อมกับหมุนเก้าอี้ทำงานกลับมาทางเดิมของมัน

"มิสริต้า บินกลับประเทศไทย บ้านเกิดของเธอด้วยพาสปอร์ตปลอมครับนาย แต่เธอได้มันมายังไงอันนี้พวกเราไม่ทราบจริงๆ ครับ" เสียงถอนหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก พร้อมกับใช้มือลูบปลายคางของตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด

"งั้นจองตัวเครื่องบินไปประเทศไทย ผมจะบินไปจับการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง"

"ครับนาย"

เขารอเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะเท่าที่รอมานี่ก็ถือว่าเขาใจเย็นมามากพอแล้ว แล้วเขาก็จะไม่ยอมรออยู่เฉยๆ อีก ผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมีลายลักษณ์อักษรพร้อมลายเซ็นระบุอย่างชัดเจนแล้ว แต่เธอก็ไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย หรือแม้แต่อิทธิพลของเขาเลยสักนิด เขาเกลียดคนแบบนี้ที่สุด

แม้ตระกูลเบิร์นสจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือสืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าของที่ไหน แต่ก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาอยู่พอสมควร เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในตระกูลของนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศ

เก้าอี้หนังสีดำถูกหมุนกลับออกไปทางกระจกอีกครั้ง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ นัยย์ตาสีเขียวอมเทาเหม่อมองออกไปด้านนอกไร้จุดหมาย แม้ว่านอกกระจกนั่นจะเป็นวิวทิวทัศน์ของเมืองซีแอตเทิลและทะเลสาบวอชิงตันยามใกล้อาทิตย์ตกดินที่ทุกคนต่างชื่นชอบแล้วบอกว่าสวยงาม แต่ชายหนุ่มกลับมองออกไปอย่างไม่สนใจใยดีเลยสักนิด


อีกฟากหนึ่ง....

23 / xxxx / 25xx
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย



"ป่าป๊าฮับ แอชตันหิวนม"

"ออสตินก็หิวนมครับป่าป๊า หมำๆๆๆๆๆ" ผมผละหน้าจากหน้าจอโน๊ตบุ๊ค แล้วก้มลงมองเด็กน้อยสองคนที่กำลังยืนทำตาแป๋วอยู่ข้างๆ คนนึงกำลังหนีบตุ๊กตาหมีสีตุ่น ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ที่รักแร้ อีกคนก็กำลังยื่นขวดนมที่ไม่เหลือนมสักหยดแล้วมาให้ มืออีกข้างจับตุ๊กตาหมีน้ำตาลมอซออยู่กับพื้น นึกภาพออกกันไหมครับ คือตุ๊กตามันตัวโตขนาดครึ่งนึงขอเด็กวัยสามขวบไงครับ แม้ว่าแขนมันจะถูกจับไว้ แต่ส่วนอื่นๆ มันก็ต้องปล่อยให้มันตกลากพื้น เพราะเจ้าตัวอุ้มไม่ไหวไง

เด็กสองคนนี้เป็นลูกของผมเอง เป็นฝาแฝดซะด้วย ผมลุกจากเก้าอี้ทำงานแล้วเอาขวดนมไปล้าง จากนั้นก็หยิบอันใหม่มาชงนมให้เด็กๆ พอชงเสร็จก็เอามาแตะลงที่หลังมือว่ามันร้อนไปไหม นี่แหละครับหน้าที่ของคุณพ่ออย่างผม ลูกต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ

"ไหนใครอยากกินนม ต้องทำยังไงก่อนครับ?" ผมถามเด็กๆ

"ขอบคุงฮับ / ขอบคุงฮับ" แอสตันกับออสตินยกมือไหว้แล้วยิ้มหวานให้

"ฟ๊อด / ฟ๊อด" ทนกับความน่ารักของลูกตัวเองไม่ไหว เลยถูกฟัดไปคนละที

พอเจ้าตัวยุ่งสองคนได้กินนมก็นมยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว้ห้าง อีกมือก็จับหูตุ๊กตาหมีพี่น้องเล่น ตาก็มองนั่นมองนี่ไปตามประสาของเด็ก จำได้ว่าตอนเด็กผมชอบจับผ้าขนหนูนอน พอโตมาหน่อยแม่ก็พูดกล่อมให้เลิกจับผ้าขนหนู แต่กว่าจะเลิกได้ก็ปาไปสามสี่ขวบแล้ว พอเลิกจับผ้าขนหนูแล้วก็เปลี่ยนมาจับหูตัวเองนอน เคยเป็นกันบ้างไหมครับแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ

ผมนั่งมองเด็กๆ กินนมอยู่ข้างๆ แอชตันกับออสตินก็ดูดขวดนมไป มองหน้าผมไป มองกำแพงที่ติดสติ๊กเกอร์ลายการ์ตูนไป ตาสีเขียวอมเทาคู่นั้นทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งเวลาที่เหนื่อยหรือท้อกับอะไรสักอย่าง แต่จะว่าไปตาสีเขียวอมเทานั่นไม่ได้มาจากผมหรอกครับ เพราะผมเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ไม่มีปู่ย่าตาทวดฝั่งไหนเลยที่เป็นฝรั่ง แล้วอย่าคิดเชียวล่ะว่าผมจะมีเมียเป็นสาวทรงโตไซส์ยูโรเปี้ยนขนาดนั้น เพราะผมไม่ได้เบ้าหน้าดี หุ่นเฟิร์มหรือมีอะไรดึงดูดใจพวกเธอเลยครับ

ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ทำงานเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน (ก่อนหน้านั้นเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ออฟฟิศ) สาวที่ไหนเค้าจะอยากจะฝากอนาคตไว้กับคุณพ่อลูกติดแบบผมกันล่ะครับ ลูกติดคนเดียวไม่พอ นี่มีตั้งสองคน ชาตินี้ทั้งชาติยังไม่รู้เลยครับว่าจะหาเมียกับเค้าได้รึเปล่า ดูจากสารร่างตัวเองแล้ว บอกเลยว่ายาก!!

สรุปแล้วคือ แอชตัน กับออสติน เค้าได้สีตา กับสีผมสีน้ำตาลเข้มมาจากพ่อของเค้ามั้งครับ ผมเองก็ไม่เคยเห็นพ่อแท้ของเด็กๆ หรอกครับ แล้วทำไมเด็กๆ ถึงเรียกผมว่าป่าป๊าอะเหรอครับ ขยับมาใกล้ๆ สิครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า.....

"เจ๊อย่ามาอำผมหน่อยเลยหน่า ผมรู้ทันหรอก" ถึงผมจะบื้อไปบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้โง่นะบอกเลย เรื่องพวกนี้ก็คงจะเป็นมิชชั่นเดียวกับ April's Fool Day เหมือนเมื่อก่อนแน่ๆ ผมฟันธง แถมมุกนี้เจ๊แกก็เคยใช้มาแล้วด้วย ทำเป็นส่งไลน์มาพร้อมรูปที่ตรวจครรภ์ที่ขึ้นสองขีดสีแดง ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าตกใจมาก รีบคว้าโทรศัพท์มาโทรหา แล้วจากนั้นเจ๊แกก็เริ่มดราม่า ร้องไห้เป็นจริงเป็นจัง แบบสะอึกสะอื้นว่าท้องกับผู้ชายคนหนึ่งแล้วเค้าไม่รับเป็นพ่อของลูก ผมเองก็สงสารเลยยืดอกแมนๆ บอกไปว่า "ไม่เป็นไรครับเจ๊ ใครไม่รับ เดี๋ยวผมรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง" สุดท้ายแล้วเป็นไงอะ ก็มิชชั่นเอพริวฟูลเดย์ไงล่ะครับ ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะคิดมากโน่นนั่นนี่ แล้วไปเอาเด็กออก

"แกดูหน้าฉันด้วยว่าเป็นยังไง?" ผมก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้านั่นแหละ จ้องแล้วจ้องอีกก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเจ๊แกจะทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น

"เอาจริงๆ นะเจ๊ ถ้าเล่นก็หยุดก่อน นี่ยังไม่ถึง 1 เมษานะครับ" ผมเริ่มจะเครียดแล้วล่ะครับ อิเจ๊มันนิ่งมาก แล้วก็ไม่มีแววตาขี้เล่นเหลืออยู่ด้วยเว้ยเห้ย

"สรุปว่าจริงใช่ไหมครับที่เจ๊พูดมาแต่ต้นน่ะ?"

"อื่อ"

"....................." เกิดเดตแอร์ขึ้นมากระทันหัน

"แล้วตอนนั้นทำไมเจ๊ไม่มาหาผมล่ะครับ จะได้ช่วยกันแก้ไข?"

"แก้ยังไง แกจะให้เงินฉันยืมรึไง?"

"งื้อออออออ" (ผมรีบส่ายหน้าทันที) ก็คนมันไม่มีนี่หว่าตอนนั้น เพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ ไหนจะใช้หนี้ กยส อีก แค่ประทังชีวิตไปวันๆ ก็จะแย่ละ

"ก็นั่นไง แกก็ไม่มีไง แล้วเงินมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ฉันก็รู้ว่าแกเองก็ลำบาก แล้วแกจะให้ฉันมารบกวนแกได้ยังไง หันไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน ปรึกษาใครก็มีแต่คนส่ายหน้าใส่ เพื่อนบางคนที่รู้ว่าบ้านฉันกำลังแย่ก็หายหัว ปิดมือถือใส่ไปหมด"

"เอ่อพอๆๆ เจ๊ ผมเข้าใจละ" ผมเห็นเธอกำลังจะร้องไห้ น้ำตาที่คลออยู่ก็กำลังจะไหลอยู่มะรอมมะร่อ  เลยรีบๆ เบรค ไม่งั้นผมล่ะแย่แน่ ยิ่งแพ้น้ำตาผู้หญิงอยู่ด้วย อีกอย่างพี่รหัสผมคนนี้เธอเป็นเข้มแข็ง ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นแกร้องไห้เลยสักครั้ง (นอกจากดราม่าวันเมษาตอแหลนั่นอะนะ)

"สรุปเจ๊จะมาอยู่กับผมใช่ไหม บ้านผมแคบนะบอกไว้ก่อน"

"อื้อ" จากนั้นแกก็กระโดดเข้ากอดผมแบบตั้งตัวไม่ติดเลย จากที่ว่าจะไม่ดราม่า ก็กลายเป็นว่าน้ำตานองกันเลยทีนี้ ผมเองก็ปลอบคนไม่เป็นด้วยสิ เอาไงดีวะ

"เอ่อๆๆ หยุดร้องได้แล้วเจ๊ ยิ่งไม่สวยๆ อยู่ เดี๋ยวตีนกาขึ้นไม่รู้ด้วยนะ" รสิตาค้อนให้น้องรหัสไปวงใหญ่

"อะนี่ทิชชู่ เช็ดซะ เดี๋ยวคนเค้าผ่านไปผ่านมาจะตกใจคิดว่าผีเจ้าที่ที่นี่แรง" ก็ที่กรีดตาเอย มาสค่ร่าเอยเลอะเต็มเลย นี่สงสัยว่าทำไมไม่ใช้แบบกันน้ำนะ

"เพี๊ยะ!!" เสียงถูกตีที่ต้นแขน

"โอ๊ยเจ๊ ผมแซวเล่นหรอก พี่รหัสผมสวยที่สุด แม้แต่ตอนร้องไห้ก็ยังสวย เชื่อสิ" ผมยิ้มให้จนเห็นฟันครบทั้งสามสิบสองซี่เลย เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ?

"ย่ะ!!"


จบแล้วครับ ปัญหาระดับชาติของผมกับพี่รหัสที่อยู่ จู่ๆ ก็หายไปเป็นปี ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาหาน้องรหัสคนนี้เลย ก่อนไปก็บอกแค่ว่าจะไปเรียนต่อโทเมืองนอก แล้วก็หายจ้อยไปเลย ที่ไหนได้พอกลับมาเจอกันอีกที ดันมาบอกว่าตัวเองท้อง แถมท้องแบบอุ้มบุญให้คนอื่นเค้าอีกต่างหาก นี่แหละครับปัญหาสุดปวดกะโหลกของผมตอนนี้

เจ๊แกเล่าให้ฟังว่า ทีแรกก็ว่าจะไปเรียนต่อโทที่เมืองนอก แล้วค่อยกลับมาช่วยกิจการครอบครัว แต่โครงการไปได้ไม่ถึงไหนก็ต้องพับเก็บด่วน เพราะครอบครัวล้มละลาย พ่อก็คิดสั้นยิงตัวเองตายหนีหนี้ จากคุณหนู ที่ใช้ชีวิตกินอยู่สุขสบาย ก็ต้องมาทำงานหาเงินใช้หนี้ให้ครอบครัว จับพลัดจับผลูจนไปเจอกับรุ่นพี่ที่เคยสนิทด้วยกันคนนึง เค้าเลยแนะนำให้ไปเป็นแม่อุ้มบุญให้ฝรั่ง ทีแรกก็ว่าจะไม่ทำ แต่ค่าตอบแทนมันเยอะแล้วก็รวดเร็วดี ก็เลยตอบตกลง ไหนเจ้าหนี้ก็ตามมาทวงเช้าเย็นอีก จะไม่จ่ายก็ไม่ได้เพราะพ่อเอาบ้านไปจำนองเค้าไว้ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็ขายทอดตลาดไปใช้หนี้จนหมดแล้ว

"สรุปคือ ตอนนี้หนีเค้ากลับมา เพราะเกิดรู้สึกรักลูกในท้องขึ้นมา เลยไม่อยากให้เค้าว่างั้น?" รสิตาพยักหน้า

ก็เข้าใจอะนะว่าสายใยแม่ลูกมันต้องมีรัก มีผูกพันกันเป็นธรรมดา แต่นี่รับเงินเค้ามาแล้ว ใช้หนี้หมดแล้วไง กูจะบ้าตาย!!

"แล้วพ่อของเด็ก หรือเจ้านายเจ๊ล่ะอยู่ไหนล่ะตอนนี้ เค้าไม่ตามหากันแย่เหรอ?" จะเรียกยังไงดีวะเนี๊ยะ เรียกพ่อเด็กก็ได้อยู่ ก็มันลูกเค้าจริงๆ จะเรียกเจ้านายก็ได้อยู่อีกนั่นแหละ เพราะไม่ใช่สามีจริงๆ ของเจ้แก เป็นแค่นายจ้างที่ให้อุ้มบุญลูกเค้าให้เฉยๆ

"ไม่รู้ เคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้งเอง ฮึก..ฮื้อออออออ"

"เฮ้ย!! อย่าร้องอีกนะเว้ยเจ๊ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แค่ถามดูเฉยๆ แค่นั้นเอง" เอ๊ะอะก็ร้องๆ แบบนี้คนขี้ใจอ่อนแบบผมก็แย่สิวะ แถมยังเป็นพี่รหัสที่สนิทมากด้วยอีก

"เอ่อๆๆ ก็ช่วยไม่ได้นี่หน่า หยุดร้องเลยนะ ผมให้อยู่ด้วย โอเคนะ"

"แล้วแน่ใจใช่ไหมว่าเค้าจะตามหาตัวเจ๊ไม่เจอถ้าเจ๊อยู่กับผมอะ?"

"อื้ม" อิเจ๊มันเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นวะ แต่ก็เอาเหอะ..อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ

นี่แหละครับเรื่องราวชีวิตผมกับเด็กๆ ผมถอนหายใจออกเบาๆ แล้วลุกขึ้นแปลต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ต่อ เกิดเสร็จไม่ทันมา ต้องโดนพี่จุ๋มด่าเช็ดแน่ พี่แกยิ่งเขี้ยวๆ อยู่ด้วย ผมทำงานเป็นนักเขียนคอลัมน์ แล้วก็แปลนิยายให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งอยู่ครับ เป็นอาชีพเสริมที่ทำมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แล้วก็ได้พี่รหัสคนนี้แหละที่แนะนำมา ลืมบอกไปครับว่าผมจบคณะอักษรมา ทีแรกก็กะว่าจะเลิกทำแล้วเพราะไม่มีเวลา ไหนจะงานหลวงเอย งานราษฎร์เอย แค่คิดก็จะตายแล้วครับ แต่ที่ยังเลิกไม่ได้ก็เพราะมีสองแสบนี่แหละครับ

ปั่นต้นฉบับจนถึงบ่ายแก่ๆ ก็ลุกมายืดแข้งยืดขา เพราะเมื่อยเต็มแก่แล้ว นั่งนานก็งี้แหละ แล้วไอ้แว่นตาสายตานี่ก็เหมือนกัน คงต้องไปตัดใหม่อีกแล้ว  เหมือนสายตาจะสั้นขึ้นอีกนิดนึงด้วย เพราะจ้องโน๊ตบุ๊คนานๆ ทีไรเหมือนจะปวดตามากขึ้น

"ฮ้าววววววววว"  ง่วง!! ผมถอดแว่นสายตาวางไว้กับโต๊ะแล้วเดินไปดูเด็กๆ เพราะได้เวลาปลุกพวกเขาแล้ว ขืนลองไม่ปลุกสิ ดึกมาล่ะงานเข้าผมแน่

ผมพาเด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทาแป้งหอมฉุย แล้วพาออกมาหาอะไรทานแถวห้างใกล้บ้านผมนี่แหละ สะดวกสบายดี เพราะไหนๆ ก็ต้องออกมาซื้อนมผง กับจุกนมใหม่ให้เด็กๆ อยู่แล้ว แวะทานที่นี่เลยจะได้ไม่เสียเวลา

พูดถึงเรื่องจุกนม ความจริงก็เพิ่งซื้อไปเมื่อหลายวันก่อนนี้เองนะ แต่เจ้าสองแสบไม่ชอบ กลายเป็นว่าไม่กินนมเลย ผมเลยต้องออกมาซื้อแบบเก่าให้ตอนนี้ไง

พาเด็กๆ ไปกินข้าวที่ฟู๊ดคอร์ทแล้ว ก็ต้องเข้าท็อปล่ะทีนี้ ของที่ต้องซื้อผมจดเป็นลิสต์ไว้ในกระดาษหมดแล้ว แต่สิ่งแรกที่ต้องไปหยิบมาใส่ล้อเข็นคือนมผงของเด็กๆ กับจุกนม แล้วค่อยเป็นอย่างอื่น เช่นกาแฟของผม น้ำตาล นมข้นหวาน ขนมปัง แซมบัคทาตุ่มยุงกัดให้เด็กๆ แล้วก็ของสดเอาไว้ทำกับข้าวให้เด็กกิน จากนั้นจะได้กลับสักที อยู่นานผมกลัวเด็กๆ จะงอแงซื้อของเล่นอีก แต่แอชตัน กับออสตินก็ดีนะครับ ถ้าคุยกับพวกเค้าดีๆ อธิบายด้วยเหตุผล พวกเขาก็เข้าใจนะ แม้ว่าจะต้องอธิบายยาวแล้วก็สรรหาคำพูดมาอธิบายก็เหอะ ผมตกลงกับเด็กๆ ว่า อาทิตย์หนึ่งจะพามากินไอศกรีมหนึ่งครั้ง ส่วนของเล่นก็จะซื้อให้สองสามเดือนครั้ง แล้วแต่เงินในกระเป๋า

"แอชตัน ออสตินอย่าวิ่งลูก เดี๋ยวหกล้ม" แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ เด็กๆ วิ่งชนผู้หญิงคนนึงเข้าแล้วสิ ดื้อจริงลูกใครวะเนี๊ยะ

"ขอโทษครับ แหะๆๆ" ผมขอโทษเธอแล้วยิ้มให้บางๆ ผู้หญิงคนนี้สวยครับ บอกเลยว่าสเป็คผมเลยครับ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ปากนิด จมูกหน่อย อื้อหืออออ...อนาคตแม่ของลูกครับ

"เวลาคนทำผิดแล้วเค้าทำยังไงกันครับ ไหนบอกคุณอาสิครับ?" ผมหันมาถามกับเด็กๆ

"ขอโทษฮับคุงอา / ขอโทษฮับคุงอา" แอชตัน กับออสตินยกมือไหว้ ส่วนผมก็ยิ้มให้น้อยๆ ที่เด็กๆ ไม่ดื้อ รู้ว่าต้องทำยังไงเวลาตัวเองทำผิด

"น่ารักจังครับ ไหนชื่ออะไรกันบ้างครับเนี๊ยะ โตมาท่าจะหล่อกันนะเนี๊ยะ?" โอ๊ยยยยยิ้มหวาน แล้วก็รักเด็กอีกต่างหาก เอาใจไอ้เติร์กไปเลยเหอะ

"นี่ชื่อแอชตันฮับ / ส่วงคงนี้ชื่อออสตินฮับ" แอชตันแนะนำตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่แฝดคนน้องที่มัวแต่ยิ้มเขินพี่สาวคนสวยอยู่ ร้ายไปเบาแหะลูกผม มีแววเจ้าชู้ตั้งแต่เด็ก

"อาชื่อน้ำตาลนะคะ แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันคะสุดหล่อ?" ได้ยินคำว่าสุดหล่อเท่านั้นแหละเด็กๆ ก็พากันเขินใหญ่เชียว ยิ่งออสตินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แก้วขาวๆ กลายเป็นสีแดงไปหมดแล้ว ส่วนแอชตันก็เขินนะแต่ยังมีมาดอยู่ไง โอ๊ยลูกผม..ตัวแค่นี้ก็ต้องมีมาดกันแล้ว

"กำลังจะไปซื้อนมกันครับ บอกคุณอาสิครับ"

"กำลางจะไปซื้อนมกังฮับ นมๆๆ" คราวนี้ออสตินเป็นคนตอบ คงหายเขินบ้างแล้ว

"เด็กๆ อายุกี่ขวบกันแล้วค่ะเนี๊ยะ พูดเก่งกันเชียว?" คราวนี้เธอหันมาถามผม

"สามขวบกว่าแล้วครับ แต่ก็ยังพูดไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่เลยครับ" ก็อย่างที่ว่านั่นแหละครับ เด็กๆ พูดเพี้ยนเป็นบางคำ พยายามสอนเท่าไหร่ก็ยังออกเสียงไม่ได้สักที

"เพิ่งสามขวบกว่าเองค่ะ หลานน้ำตาลก็เป็นเหมือนกัน"

"หลานคุณน้ำตาลผู้หญิงหรือผู้ชายครับ?" แอบถามข้อมูลส่วนตัวเพื่อตีสนิทสักหน่อย อิอิ

"ผู้หญิงค่ะ อายุก็สามขวบใกล้จะสี่ขวบแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังพูดไม่ชัดเป็นบางคำเหมือนกันนะคะ คุณหมอว่าแกจะค่อยๆ ออกเสียงชัดเมื่ออายุมากขึ้นเองค่ะ" ผมก็อ่านเจอมาเหมือนกัน แต่ก็ยังอดเป็นกังวลกับเรื่องนี้ไม่ได้

"ครับ"

"แล้วนี่คุณแม่น้องไม่ได้มาด้วยคะ?"

"คุณแม่ของของเด็กๆ เสียไปตั้งแต่ตอนพวกเค้าคลอดพวกเขาแล้วล่ะครับ" ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้เรียกร้องความคะแนนสงสารนะ แต่มันอดคิดถึงวันเก่าๆ ไม่ได้

"ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ" เธอขอโทษแล้วยิ้มบางๆ ให้

"ไม่เป็นไรครับ เด็กๆ เองก็พอรู้แล้วเหมือนกันครับว่าตอนนี้แม่ของพวกเค้าอยู่บนสวรรค์แล้ว" ผมเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเด็กๆ ได้ไม่นานนี่เอง เพราะกลัวเด็กๆ จะถามหาแม่เวลาที่เค้าไปเจอสถานการณ์ที่เด็กคนอื่นอยู่กับครอบครัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก

"แล้วน้องๆ เป็นลูกครึ่งอะไรคะ น่ารักกันจริง?" เอ่อจริงสิ จะให้ตอบว่าลูกครึ่งอะไรดี เพราะผมเองก็ไม่รู้ซะด้วยสิว่าพ่อแท้ๆ  ของพวกเขาสัญชาติอะไร

จากนั้นพวกเราแยกจากคุณน้ำตาลคนสวย เพราะเธอเองก็ต้องรีบไปทำธุระเหมือนกัน ส่วนผมก็เข็นล้อเข็นไปคิดเงินตามช่องบริการ กำลังสงสัยกันใช่ไหมครับว่าผมจัดการยังไงกับเด็กๆ ปกติถ้าซื้อของไม่เยอะผมก็ให้พวกเขานั่งในล้อเข็นทั้งสองคนนะครับ นั่งบนที่นั่งหนึ่งคน กับนั่งข้างล่างหนึ่งคน แต่วันไหนที่มีของที่ต้องซื้อเยอะอย่างวันนี้ ก็ต้องอธิบายกับสองแสบก่อนแหละว่าให้แอชตันหรือออสตินจับมือผมไว้ แล้วอีกข้างก็ให้พวกเขาจับมือกันเอง จะได้ไม่หลง เห็นไหมครับ การเป็นคุณพ่อลูกแฝดแบบผมไม่ง่ายเลย แถมยังเลี้ยงเดี่ยวอีก ต้องสตรองมากนะบอกเลย



----------

TBC.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:30:38 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1





Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 1






 
I thought no one would ever love me for just me.
I have been verbally abused all my life and thought of myself as unlovable.
Then I met a man that changed how I look at myself.
 He loves me...







"ป่าป๊าฮับ หมำๆ" วันนี้ออสตินตื่นก่อนแอสตัน มือน้อยๆ ป้อมๆ กำลังขยี้ตา แล้วปีนลงเตียงมา

"อย่าขยี้ตาครับ เดี๋ยวตาแดง" ผมขยี้หัวทุยๆ นั่นเบาๆ แล้วก้มลงหอมไปฟ๊อดนึง จากนั้นไม่นานแอสตันก็ตื่นตาม พอเห็นแฝดน้องอยู่กับผม เจ้าตัวก็บิดขี้เกียจแล้วลุกตามน้องมา ผมเลยจัดการหอมแก้ขาวๆ นั่นไปฟ๊อดนึง จะได้ไม่น้อยหน้ากัน

"ป่าป๊าฮับ แอสตันหิวววว" 

"ตื่นมาก็หิวเลยเหรอครับสุดหล่อ" แอสตันพยักหน้า 

"งั้นนั่งเล่นกันอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวป่าป๊าไปทำข้าวต้มให้" สองหน่อพยักหน้าเบาๆ แล้วเอาตัวต่อเลโก้มาเล่น

ถามว่ามีทะเลาะกันรึเปล่า บอกเลยว่า จะเหลือเหร๊อ? แย่งของเล่นกันนี่ประจำ บางครั้งถึงขั้นวางมวยกันก็มี มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กเนอะ ต้องค่อยๆ สอนกันไป ผมจะสอนเด็กๆ เสมอครับว่าเป็นพี่น้องกันต้องรักกันให้มากๆ มีอะไรต้องแบ่งกัน แต่เด็กๆ เพิ่งอายุกันแค่นี้ คงยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่หรอกครับ

ส่วนข้าวต้มที่ว่า อย่าเรียกว่าทำเลยครับ เรียกว่าอุ่นจะดีกว่า เพราะผมตื่นมาทำไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว เหลือแค่เอาขึ้นตั้งไฟ แล้วก็ตักใส่ถ้วยให้เด็กๆ แค่นั้นเอง ชีวิตพ่อลูกอ่อนแรกๆ ก็ขลุกขลักบ้าง จากที่กินง่ายอยู่ง่าย แค่กาแฟ ขนมปังกับอาหารแช่แข็ง ผมก็อยู่ได้เป็นวันแล้วครับ แต่ตั้งแต่มีลูกก็เลยต้องค่อยๆ เปลี่ยนวิถีชีวิตไปทีละนิดๆ จากตื่นเช้ามาชงกาแฟ ปิ้งขนมปัง แล้วนั่งปั่นงานต่อจากเมื่อคืน ก็ต้องมาทำกับข้าว แล้วก็เอาผ้าเด็กๆ ไปซัก จากคนทำกับข้าวไม่เป็น ก็ต้องหัดทำกับข้าว หัดชงนม เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือแม้แต่ล้างก้นเวลาลูกถ่ายเสร็จก็ต้องทำให้เป็นครับ

"เด็กๆ มาทานข้าวเร็วครับ มาช้าเดี๋ยวป่าป๊าทานหมด ไม่รู้ด้วยนะ" เด็กๆ รีบทิ้งของเล่นแล้ววิ่งมาที่โต๊ะทานข้าวอย่างรวดเร็ว สงสัยจะหิวมากจริงๆ

"นี่ของแอสตัน นี่ของออสตินครับ" ผมตักข้าวต้มใส่ถ้วยลายการ์ตูนให้เด็กๆ พร้อมช้อนเล็กๆ ให้พวกเขาลองหัดทานเอง ตกบ้าง เปื้อนปาก เปื้อนแก้มบ้างก็ไม่เป็นไรครับ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เอง จะได้ฝึกพัฒนาการของลูกด้วย ตามโฆษณาที่ว่า "ยิ่งเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์" ไงล่ะครับ ฮ่าๆๆๆ

ปกติถ้าอยู่คนเดียวผมจะทานข้าวบนโต๊ะทานข้าวปกตินะ แต่พอมีเด็กๆ เลยซื้อโต๊ะญี่ปุ่นมาใช้แทน เพราะกลัวเด็กๆ จะตกจากเก้าอี้ ยิ่งอยู่ไม่สุขเป็นลูกลิงแบบนี้ ยิ่งต้องระวังครับ

"อย่อย!! / อย่อย" ผมยิ้มกับคำพูดของเด็กๆ เพราะไม่มีมื้อไหนเลยที่จะบอกว่าไม่อร่อย แอสตัน กับออสตินเป็นคนกินง่ายครับ แต่ผักบางอย่างก็ไม่ชอบกิน อันนี้ผมเข้าใจครับ ต้องค่อยๆ ฝึกให้กินทีละนิดๆ ทีละอย่างสองอย่าง

ตอนนี้ที่กินได้ก็จะมีผักกาดขาว แครอท ฝักทอง แตงกวา หลักๆ ก็มีแค่นี้ แอสตันจะกินง่ายกว่าออสติน แต่ก็จะยิ้มยากกว่า ส่วนออสตินจะไม่ชอบผักที่มีกลิ่นฉุน อย่างคื่นฉ่าย ผักชีอันนี้จะใส่ให้ไม่ได้เลย ส่วนขนาดตัวของเด็กๆ ก็ไล่เลี่ยกันนะครับ แอสตันจะอ้วนฉุกกว่านิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วถือว่าเด็กๆ สมบูรณ์แข็งแรงดี ดีเสียจนผมกลัวว่าเด็กๆ จะเป็นโรคอ้วนเอา เพราะแขนเป็นปล้องๆ เชียว ดีนะที่ได้กรรมพันธุ์ความสูงจากทางพ่อมา ไม่งั้นเห็นแววความเตี้ยและตันมาแต่ไกลแน่ๆ

"ทานเสร็จแล้วต้องไปอาบน้ำกันนะครับ เดี๋ยวไม่หล่อ วันนี้ป่าป๊าต้องออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนแอสตันกับออสตินต้องไปอยู่กับยายภานะครับ เสร็จแล้วป่าป๊าจะรีบกลับมารับนะครับ" เด็กๆ พยักหน้าตอบ

ผมทำแบบนี้ประจำ ถ้าต้องออกไปทำธุระข้างนอก ก็จะฝากป้าอำภา ที่อยู่ข้างบ้านไว้สักสองสามชั่วโมง ทีแรกก็เกรงใจแกอยู่เหมือนกัน แต่หลังๆ แกรับอาสาเองเพราะอยู่บ้านคนเดียว ลูกหลานก็ไม่มี มีเด็กๆ ไปอยู่ด้วยแกบอกว่าทำให้คนแก่หายเหงาดี

สภาพเด็กๆ หลังมื้ออาหารนี่ถือว่าเละเทะมากเลยครับ แก้มเกิ้ม ปากเปิกเอยอะไรเอย เลอะเทอะไปหมด ยิ่งวันไหนกินข้าวสวย ก็จะยิ่งเลอะกว่าปกติ เผลอๆ อาจมีข้าวติดตรงคิ้วบ้าง แก้มบ้าง ผมบ้างก็ยังมี

"มา..ป่าป๊าถอดเสื้อให้ครับ ใครจะถอดก่อนครับ?" วันนี้ออสตินไม่งอแงหลังตื่นมา แถมยังให้ความร่วมมือดีซะด้วย ผมถอดเสื้อผ้าให้แฝดน้องเสร็จ หลังจากนั้นก็ถอดให้แฝดคนพี่ แล้วก็จูงแขนเข้าไปในห้องน้ำ สบู่เหลว แชมพูเด็ก เตรียมไว้เสร็จสรรพ ของใช้ทุกอย่างก็ต้องซื้อเป็นแพ็คคู่เท่านั้นครับ จะได้ไม่แย่งกัน อย่างกาละมังอาบน้ำก็ต้องมีสองอัน ของแอสตันสีฟ้า ของออสตินสีเขียวอ่อน เปิดน้ำใส่จนเกือบเต็ม แล้วเอาเด็กๆ ลงไปแช่เลย เหมือนออนเซ็นสำหรับเด็ก

ตอนเลี้ยงเด็กๆ แรกๆ ก็ได้ป้าอำภานี่แหละครับมาช่วยสอน ทั้งสอนอาบน้ำ สอนป้อนข้าว ทำข้าวโอ๊ตให้ ส่วนอุ้ม กับการเปลี่ยนผ้าอ้อมอะไรพวกนี้ทางโรงพยาบาลเค้าสอนให้อยู่แล้วครับ ตั้งแต่ตอนพาแม่ของเด็กๆ ไปเข้าคอร์สก่อนคลอด ส่วนคุณพ่อจำเป็นอย่างผมก็ต้องเข้าคอร์สเลี้ยงลูกเหมือนกันครับ ไม่งั้นล่ะแย่เลย

"คิกๆๆ / คิกๆๆ" เด็กๆ หัวเราะชอบใจ เวลาได้ลงเล่นน้ำ ที่สำคัญในกาละมังของแต่ละคนจะต้องมีลูกเป็ดสีเหลืองกับ หุ่นยนต์คนละตัวครับ ไม่งั้นคงไม่อยู่นิ่งๆ

"เด็กๆ อยู่เฉยๆ ก่อนครับ อย่าตีน้ำในอ่าง เดี๋ยวมันเข้าตามาแล้วอย่าหาว่าป่าป๊าไม่เตือนนะ"

"ป๊าบๆ" เห็นไหมครับว่าเชื่อฟังกันแค่ไหน บอกว่าห้ามตีน้ำเล่น ก็ไม่ฟัง แถมยังตีแรงกว่าเดิมอีก

"เอ้าแอสตันยกแขนขึ้นก่อนครับ ไหนชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา ...."

"เร็วๆ อยู่เฉยๆ ก่อนครับ ใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือแค่ล้างกุ๊กกู๋.....เอาเสร็จแล้ว!!" ผมอุ้มแอสตันออกจากกาละมัง แล้วพันผ้าเช็ดตัวให้ ส่วนเจ้าตัวก็วิ่งออกไปรอข้างนอกพร้อมหุ่นยนต์ตัวเก่ง

"ต่อไปก็ตาเจ้าเสือน้อยออสตินแล้ว" ผมบีบแชมพูใส่มือแล้วเริ่มขยี้ผมให้เบาๆ ส่วนเจ้าตัวก็เล่นบ้าบออะไรไปเรื่อยในกาละมังต่อ

"เอ้าหลับตาก่อนครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะล้างแชมพูออกให้" เสียงน้ำจากฝักบัวไหลลงในกาละมัง กว่าจะอาบน้ำให้สองหน่อเสร็จ ผมก็แทบไม่มีแรงเดินออกจากห้องน้ำเลยครับ ยิ่งสภาพนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เปียกยิ่งกว่าเล่นน้ำสงกรานต์อีก

"มาให้ป่าป๊าทาครีมกับโลชั่นให้ก่อนครับ เดี๋ยวยายภาจะรอนานนะ มาเร็วๆ"

ทาครีมเสร็จต่อไปก็ต้องทาแป้งเด็กต่อ จะได้หอมฉุยพร้อมที่จะออกจากบ้าน ผมปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันเองก่อน จากนั้นก็แวบไปอาบน้ำ แต่งตัวอย่างรวดเร็ว ไปสำนักพิมพ์เองไม่ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรมากมาย ผมมันคนสมถะครับ ไม่ค่อยแต่งตัวอะไรมากมาย แฟชั่นก็ไม่ค่อยตามสักเท่าไหร่ แต่ผมนี่ต้องตัดครับ เดือนละครั้ง เวลาเล่นกับเด็กจะได้ไม่เจ็บตัว เพราะโดนทึ้งผมทีหลุดออกมาเป็นกระจุก แต่หลังๆ มานี้สอนพวกเขาแล้วเลยไม่ค่อยทำกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ เพราะเคยโดนมาแล้วนี่แหละครับถึงได้จำ แล้วก็ตัดสั้นไว้ก่อน

ผมเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายให้เด็กๆ ที่ซื้อแบบเดียวกันแต่คนละลาย ของแอสตันเป็นอุลตร้าแมน ส่วนของออสตินเป็น เบนเท็น ปิดบ้านอะไรเสร็จสรรพก็พาเจ้าตัวเดินมาบ้านป้าอำภา

"ผมฝากเด็กๆ ด้วยนะครับป้าภา คงไปนานนิดนึงนะครับ เพราะวันนี้ต้องเข้าไปคุยงานด้วย" งานของผมง่ายๆ ครับ แปลต้นฉบับเสร็จก็ส่งทางเมลล์ เงินก็โอนทางบัญชีธนาคาร ส่วนถ้ามีเรื่องไหนที่ต้องคุยกันยาวก็ต้องมาคุยกันที่ออฟฟิศอย่างวันนี้นี่แหละครับ

กว่าจะเดินทางมาถึงออฟฟิศ ก็แทบจะสิ้นชีวิตกลางทาง เพราะรถติดมาก แต่ก็เป็นปกติของกรุงเทพเมืองฟ้าอมรนั่นแหละครับ

ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับสถานการณ์รถติดแบบนี้ เพราะนานๆ ทีถึงจะออกบ้านไกลๆ แบบนี้ ออฟฟิศผมเป็นตึกกลางเก่ากลางใหม่ ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดูอบอุ่นครับ เพราะทุกคนในที่ทำงานก็รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว เรียกได้ว่ามองตาก็รู้ไปถึงไส้ถึงพุงกันเลยทีเดียว

"สวัสดีครับ บ.ก" พี่จุ๋มครับ แกเป็น บ.ก ของสำนักพิมพ์คู่กับพี่ธันครับที่รองบ.ก. ที่สำคัญแกเป็นย่ารหัสของผม เป็นคนใจดี ใจกว้าง สบายๆ ครับ

"ไหว้เสร็จแล้วก็นั่งลงสิวะ ไอ้นี่นิ ต้องให้เชิญ" ผมขอถอนคำพูดได้ไหมครับที่บอกว่าแกใจดี แหะๆ
ผมรีบยิ้มแห้งๆ ให้แกก่อนแล้วนั่งลงกับเก้าอี้

"พี่ต้นๆ เจ๊แกไปอารมณ์เสียมาจากไหนวะ มาถึงก็จัดเต็มเลย?" ผมกระซิบถามพี่ต้น พี่ที่ทำงานด้วยกัน

"สงสัยประจำเดือนแกจะหมดว่ะ เลยต้องปรับตัวนิดนึง"

"อะหื้ม" เสียงกระแอมของหญิงสาววัยใกล้เลขสามนามว่าจุ๋มดังขึ้นขัดการสนทนาของพวกเราสองคน

"กูได้ยินนะพวกมึง เดี๋ยวแม่เพ่นกะบาลให้เลยดีไหม"

"แหะๆ" ผมยิ้มแห้งๆ ให้แกอีกที แล้วปรับเข้าสู่โหมดจริงจัง

"แล้วเจ๊มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ ถึงเรียกให้มาคุยถึงออฟฟิศ?"

"อะหื้ม!!" เสียงกระแอมดังอีกครั้งจากคนๆ เดิม ก่อนที่จะเริ่มเข้าเนื้อหาประชุม

"ที่เรียกทุกคนมาคุยวันนี้เพราะ จะแจ้งเรื่องยอดขายของสำนักพิมพ์เราที่กำลังพุ่งแรงมากในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา จนเจ๊ว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่องค์กรของเราจะต้องขยายตัวสักที พี่เลยจะให้แกไอ้ต้น ไปประกาศรับสมัครนักเขียนใหม่มา แล้วก็จัดการประกวดนักเขียนหน้าใหม่ด้วย สำนักพิมพ์เราจะได้มีเด็กใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นพวกแก่ๆ ให้ทำงานเร็วขึ้น นั่นคือหน้าที่ของแกไอ้ธัน"

"แล้วผมล่ะเจ๊ ให้ทำอะไร ถ้าไม่มีผมจะได้กลับนะ ไม่อยากฝากลูกไว้กับคนอื่นนาน" ผมถาม

"เดี๋ยวก่อนสิไอ้นี่นิ" ส่งสายตาจิกน้องอีกแล้ว โหดกับลูกน้องตลอดๆ 

"ของแกฉันว่าจะให้รับงานแปลเพิ่มอีกสักเรื่อง เพราะเท่าที่ดูแฟนๆ เค้าเรียกร้องให้ เสี่ยวหลงเป่า เป็นคนแปล งั้นแกก็รับไปเลยแล้วกัน"

"เฮ้ยเจ๊ แค่นี้งานผมก็เยอะแล้วนะ ไหนจะ Honeytoxic ที่เพิ่งรับมาอีก นี่จะให้แปลจีนอีกผมแย่แน่ คงตีกันในหัวไปหมด สำนวนก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน"

"เอาหน่าฉันรู้ว่าแกทำได้" ผมทำหน้าเครียด แค่นี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กๆ แล้ว ถ้ารับมาอีกลูกผมงอแงแน่ สงสารพวกแกด้วย

"ไม่ดีรึไง แกจะได้มีเงินซื้อนม ซื้อขนมให้ลูกแกมากขึ้น?"

"ไอ้ดีมันก็ดีครับเจ๊ แต่เวลาจะให้ลูกๆ ผมมันจะไม่มีนะสิครับ"

"ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันไม่รีบ ให้แกทำน้ำผึ้งยาพิษของแกให้เสร็จก่อน แล้วค่อยมาทำเรื่องนี้ก็ยังทัน เดี๋ยวให้แอดมินเอาเรื่องนี้ไปบอกในแฟนเพจก่อน แฟนๆ คงจะดีใจที่เสี่ยวหลงเป่ารับแปลให้"

"ถ้างั้น ผมก็ตกลงครับ แล้วผมกลับได้เลยรึเปล่าครับเจ๊ ผมคิดถึงลูก"

"ย่ะ!! ไอ้พ่อคนเห่อลูก เห่อตั้งแต่ก่อนคลอดยันคลอดเสร็จก็ยังไม่หายอีก"

"ก็ลูกผมมันน่ารักน้อยซะที่ไหน ใช่ไหมล่ะ"

"ย่ะ!!"

" งั้นผมกลับละนะครับทุกคน สวัสดีครับ"

"เฮ้ย..เดี๋ยวก่อนเติร์ก พี่ไปด้วย อยากไปเยี่ยมหลานว่ะ ไม่ได้เจอมาหลายอาทิตย์ละ"

"เดี๋ยวๆ แกจะไปไหนไอ้ธัน กลับมาก่อนนนนน" พี่ธันโบกมือบ๊ายบายจากข้างหลัง แล้วพาผมวิ่งหนีออกมา ส่วนพี่จุ๋มเองก็แหกปากด่าเพื่อนตัวเองตามหลังมาฉอดๆ แล้วคิดว่าพี่ธันมันจะหยุดทแล้วกลับหลังหันเข้าไปฟังเจ๊แกด่าต่อไหม เป็นผม..ผมก็ใส่เกียร์หมาหนีไปเหมือนกันครับ ประชุมทีก็สั่งๆๆ ใช้อย่างกับลูกติดผัว แต่ขอโทษเหอะ..เจ๊แกยังโสดนะครับ อายุอะนามก็ใกล้สามสิบกะรัตแล้ว แต่ยังไม่ยักมีใครมาขอเลย
























-----------

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 15:33:17 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1



Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 2
[/color]





Trust, love, respect. Sweetheart, you give me all of that.
You are my greatest inspiration.
 You always instill in me that you'll always be there for me.
You pour your heart out to me each...

[/b]







"เย้!!!!!!!!! / เย้!!!!!!!! ป่าป๊ากลับมาแล้ว"

"ไหนดูสิครับว่าใครมากับป่าป๊าเอ่ย?"

"ลุงธันนนนนน!!!" เด็กๆ ดีใจ เพราะลุงธันสุดที่รักของพวกเขามาเยี่ยมทีไร ได้กินของอร่อยทุกทีเลย แถมบางครั้งถ้าใจดีก็จะได้รถบังคับ หรือของเล่นกันคนละอัน แล้วแบบนี้จะไม่ให้แอสตัน กับออสตินหลงได้ยังไงกันล่ะครับ

"ใช่แล้วครับ มา..ขอลุงหอมแก้มสุดหล่อทั้งสองคนก่อนเร็ว เดี๋ยวเราค่อยออกไปหาอะไรทานข้างนอกด้วยกัน" นั่นไง..ว่าลิ้นยังไม่ทันเข้าปากเลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมเป็นกังวลกับน้ำหนักลูกผมได้ยังไงล่ะ อีกหน่อยคงอ้วนเป็นหมูแน่ ขืนยังกินเก่งแบบนี้อยู่

"งั้นเข้าไปสวัสดี แล้วก็บอกลายายภาก่อนครับเด็กๆ" พี่ธันพูดเสร็จเด็กๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปหลังบ้าน แล้วก็กลับออกมาพร้อมยายภาของพวกเขานั่นแหละครับ

"จะพาเด็กๆ กลับกันแล้วเหรอตาเติร์ก คนแก่ยังไม่หายเหงาเลย นี่ก็ว่าจะทำลูกชุบให้กิน แต่ยังไม่ทันเตรียมของอะไรก็กลับกันมาแล้ว"

"สวัสดีครับป้าภา" พี่ธันยกมือไหว้ป้าอำภา สองคนนี้เค้ารู้จักกันครับ เพราะมาที่นี่บ่อย เลยพลอยรู้จักป้าอำภาแกไปด้วย

"ไหว้พระเถอะจ๊ะลูก แล้วนี่จะพาหลานๆ ป้าไปไหนกันล่ะ หื้ม?" ป้าอำภาลดตัวลงนั่งกับม้าหินอ่อนหน้าบ้าน

"ผมว่าจะพาเด็กออกไปกินข้าวที่ห้างครับ ป้าอำภาไปด้วยไหมครับจะได้ไม่เหงา?"

"โอ๊ย..ป้าไปด้วยก็ลำบากเปล่าๆ เดินมากก็ไม่ได้ ไขข้อมันไม่ค่อยจะดีแล้ว เดี๋ยวปวดแข้งปวดขากลับมาเปล่าๆ ให้พวกหนุ่มๆ ไปกันเองแหละดีแล้ว"

"งั้นผมไปก่อนนะครับป้า ไว้วันหลังผมมาเยี่ยมใหม่ครับ" พี่ธันยกมือไหว้

"ไปครับเด็กๆ อื๊บบบ!! หนักขึ้นรึเปล่าเนี๊ยะทั้งสองคนเลย อีกหน่อยลุงคงอุ้มไม่ไหวแน่เลย" เด็กๆ หัวเราะเอิ้กๆ อ๊ากๆ เพราะถูกอุ้มขึ้นพร้อมกัน ซ้ายขวา

"งั้นผมลากลับก่อนนะครับป้า แล้วก็ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าสองแสบให้"

"ไหว้พระเถอะหลานเอ๊ย เดินทางขับรถขับรางก็ระมัดระวังล่ะ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวมันก็ถึง"

"ครับ อ่อ..ลืม นี่ครับ ผมซื้อขนมข้าวเกรียบปากหม้อมาฝากป้าด้วยครับ มัวคุยจนลืมไปเลย"

"ขอบใจมากเลยลูกเอ๊ยที่อุตส่าห์มีน้ำใจกับคนแก่ ซื้อมาให้ทุกวันเลย บอกให้ไม่ต้องซื้อมาก็ไม่ยอมฟัง"

"อย่าว่าอย่างนั้นสิครับ ป้าเองก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ป้า ป่านนี้ผมกับลูกๆ ก็คงไม่รู้จะเป็นยังไงกันบ้าง"

"โอ๊ยยย..ป้าเต็มใจ ความสุขของคนแก่ทั้งนั้นเวลาอยู่กับลูกๆ กับหลานๆ ถึงไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆ ก็เหมือนอยู่นั่นแหละ ก็เจ้าจอมยุ่งสองคนนั่นก็น่ารักน้อยซะที่ไหน อยู่ด้วยแล้วไม่เหงาหูดี ป้าเองก็อยู่ตัวคนเดียว ได้ลูกหลานมาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ก็วางใจ จะได้ฝากผีฝากไข้เวลาไม่สบายด้วย"

"ครับป้า งั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ธันกับเด็กๆ จะรอนาน สวัสดีครับ"




"คุยอะไรกันซะนานเชียว เด็กๆ แต่งตัวเสร็จหมดแล้วนะ พี่จัดการให้หมดแล้ว"

"อ้าวเหรอครับ แหะๆๆ รบกวนพี่ธันเลย"

"ไม่เป็นไรหรอกหน่า ช่วยๆ กัน เพราะนี่ก็หลานพี่เหมือนกันนะ" ผมยิ้มให้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งครับ ไม่ว่าจะพูดอะไรพี่แกก็มักจะมีเหตุผลมารองรับอยู่เสมอแหละครับ เมียก็ไม่มีสักที ทั้งๆ ที่ผู้ชายวัยอย่างเราๆ นี่น่าจะมีครอบครัวได้แล้วนะผมว่า ผมยังอยากหาแม่ให้เด็กๆ เลย ฮ่าๆๆๆ

พี่ธันแกเป็นคนเก่งครับ เป็นถึงประธานรุ่นนะถ้าจำไม่ผิด ถึงไม่ได้จบมาแบบเกียรตินิยมเหรียญทอง แต่แค่ได้เกียรตินิยมอันดับสอง ผมก็ว่าเจ๋งแล้วนะครับ เสียอย่างเดียวเลือกมากไปหน่อยครับ ผู้หญิงแต่ละคนที่เข้ามาก็ติโน่นนั่นนี่จนตัวเองโสดมาจนถึงทุกวันนี้

ผมพาเด็กๆ ขึ้นรถพี่ธันมาห้างประจำแถวบ้าน จากนั้นก็พาพวกเขาขึ้นไปชั้นที่เป็นร้านอาหาร ผมอุ้มออสติน พี่ธันอุ้มแอสตัน มีความเป็นพ่อแม่ลูกใช่ไหมล่ะ ผมชินแล้วล่ะ?? (หราาาา???)

"ยังไม่ชินอีกรึไงเรา?"

"งื้ออออ!!" ผมส่ายหัวปฏิเสธ ก็จะให้ชินได้ไงกันล่ะครับ ก็ผู้ชายตัวควายๆ สองคนมาเดินอุ้มลูก ซื้อของกันกระหนุงกระหนิง ที่ว่ากระหนุงกระหนิงคือผมเปรียบเทียบให้เห็นภาพเฉยๆ ครับ จะได้จินตนาการถูกว่ามันเป็นยังไง พี่ธันกับผม ถึงผมจะเตี้ยกว่า แต่ก็ไม่กี่เซ็นต์นะเออ ผม 181 พี่ธันก็น่าจะ 187 โดยประมาณ ส่วนความผอมบาง พี่ธันเรียกได้ว่าหุ่นนายแบบเลยครับ มีกล้าม หุ่นดี ใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ดูดี ส่วนผมคือมีกล้ามบ้างตามประสาผู้ชาย แต่ก็ยังเรียกว่าบางกว่าอยู่ดี

"เอาหน่า จะแคร์สายตาคนอื่นทำไม เราไม่ได้ทำไรผิดสักหน่อย"

"เด็กๆ อยากกินอะไรครับวันนี้?" พี่ธันถามเด็กๆ เพราะตอนนี้พวกเรากำลังอยู่แถวม้านั่งหน้าร้านสุกี้ชื่อดังอยู่

"พิดช่าาาาา!! / เอฟชี!!!" เอฟชีที่ว่าคือไก่ทอดผู้พันนั่นแหละครับ แต่ออสตินออกเสียงไม่ถูก เอาล่ะครับในเมืองมีสองตัวเลือกแบบนี้ จะทำยังไงดี?? ผมกับพี่ธันมองหน้ากันไปมา

"พิดช่า!!"

"เอฟชี!!"

"พิดช่า!!"

"เอฟชี!!" เห็นไหม..เริ่มวางมวยกันแล้วครับ? ผมไม่น่าให้เด็กๆ ลองกินอาหารแบบนี้เลย ให้ตายสิ เพราะมันมอมเมาลูกผมชิบหายวายวอดเลย อยู่ๆ วันดีคืนดี เด็กๆ ก็นอนละเมอพูดถึงอาหารพวกนี้ขึ้นมา ผมนี่ไปไม่เป็นเลย แม้แต่ในฝันยังคิดถึงแต่เรื่องกิน

"เอาล่ะครับเด็กๆ ลุงว่าให้ป่าป๊าเป็นคนเลือกดีกว่านะครับว่าจะกินอะไรดี?" อ้าว!! ชิบหา...ละพี่ธัน ไหงโยนมาให้ผมแบบนี้ล่ะ?

หันไปมองหน้าเด็กๆ ดูสิครับลูกผมแต่ละคน มองตาละห้อย ส่งสายตามาเชียว แต่ถ้าผมเลือกคนใดคนหนึ่ง ต้องมีอีกคนหนึ่งงอนแน่นอน เอาไงดี? ติกต๊อกๆๆๆๆ

"วันนี้ร้านพิซซ่าปิดครับ วันอื่นเราค่อยมาทานกันนะครับ ส่วนร้านเคเอฟซีก็เข้าไม่ได้ เพราะวันนี้เค้าห้ามเด็กเข้า เดี๋ยวคุณตำรวจจะมาจับเอานะครับ" เด็กๆ นิ่งคิดแป๊บนึงแล้วก็เป็นออสตินนั่นแหละครับที่ถามต่อ

"ทำมายเขาถึงห้าม..ห้ามให้เด็กเข้าล่ะฮับป่าป๊า?" ผมมองหน้าลูกแล้วก็อยากปล่อยกร๊ากออกมาเลยครับ เกือบหลุดออกมาแล้วเหมือนกันกับท่าทางขี้สงสัยของเด็กๆ ดู๊!! มีกอดอกคิดด้วยนะ

"เพราะวันนี้เป็นวันของผู้ใหญ่ไงครับ เด็กเลยเข้าไม่ได้" งงเข้าไปอีกสิลูกผม ตอนนี้แอสตันขมวดคิ้วไปแล้วครับ เหลือแต่ออสตินที่อมลมแก้มป่อง ทำท่าครุ่นคิด จะถามแต่ก็คงไม่รู้จะถามยังไงดี ฮ่าๆๆๆ

"เอาอย่างนี้นะครับ ป่าป๊าลองถามก่อนว่า ถ้าเราแอบเข้าไปกินเคเอฟซีได้ แล้วคุณตำรวจเห็นขึ้นมา แอสตัน กับออสตินก็ถูกคุณตำรวจจับไปขังไว้ในคุกล่ะครับ แล้วป่าป๊าจะอยู่กับใครล่ะครับ หื้ม?"

"ฮื้ออออออ ไม่กิงแล้วก็ได้ฮับ ออสตินอยากอยู่กับป่าป๊า  ฮึกๆๆ " เป่าปี่ไปแล้วครับลูกชายผม นี่ผมแกล้งลูกเยอะไปใช่ไหมครับ

"โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะครับลูก" ผมไปที่แอสตันรายนั้นน้ำตากำลังคลอหน่วยเลย จากนั้นก็ร่วงพรูลงมาเลย

"โอ๋ๆๆๆๆ อย่าร้องนะครับคนเก่ง" ผมเอามือเช็ดน้ำตาให้ทั้งพี่ทั้งน้อง

"ขอบคุณครับ" ที่ขอบคุณเพราะพี่ธันก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของพี่แกออกมาให้ เด็กๆ ร้องไห้สะอึกสะอื้น จมูกแดง หน้าแดงไปหมดแล้วครับ อดสงสารไม่ได้ เลยหอมแก้มทั้งสองคนไปคนละฟ๊อด แล้วลูบหัวปลอบใจ จนพวกเขาหายสะอื้น

"ดูสิสุดหล่อของป่าป๊าตาแดงหมดเลย เกือบหมดหล่อแล้วไหมล่ะ"

"ก็ใครล่ะที่แกล้งลูก หืม?"

"ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะอ่อนไหวขนาดนั้นสิครับ โอ๋...ป่าป๊าขอโทษนะครับลูก"  เห็นน้ำตาหยดเล็กๆ ติดตรงขนตาแล้วก็อยากตีตัวเองแรงๆ โทษฐานแกล้งลูกจนร้องไห้ ผมเพิ่งสังเกตว่าเด็กๆ ขนตายาวแล้วก็งอนกันมากเลยครับ สงสัยคงได้จากแม่ เอ๊ะหรือว่าจากพ่อหว่า

"สงสัยเด็กๆ จะรักป่าป๊าคนนี้มากเลย ถึงได้ร้องไห้จนเป็นตุ่มขนาดนี้"  ดีนะไม่ร้องไห้ลั่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ไม่งั้นห้างคงแตกแน่

"งั้นเราไปซิสเลอร์กันดีกว่านะครับ มีหลายอย่างให้เลือกเลย อร่อยด้วย" ที่เลือกซิสเลอร์เพราะมันมีให้เลือกเยอะอย่างที่ว่านั่นแหละครับ อีกอย่างจะได้ฝึกให้เด็กๆ ชิมผักผลไม้อย่างอื่นด้วย ว่าแล้วพวกเราก็เคลื่อนพลไปที่ร้านเลย ผมเลือกสเต็กปลาแซลมอนแล้วลองแบ่งให้เด็กๆ ชิม เผื่อชอบคราวหน้าจะได้พามากินอีก แต่ต้องนานๆ ทีนะครับ เพราะของเค้าแพงเวอร์ ฮ่าๆๆๆ

จากนั้นก็จุงแขนสองแสบเจ้าน้ำตาไปดูสลัดบาร์ มีแต่ผักสีสวยทั้งนั้นเลย สีสันสดสวย ย่อมทำให้ดูน่ากินขึ้นมาอีกนิดนึงนะผมว่า

"มาครับเดี๋ยวป่าป๊าอุ้มขึ้นดูทีละคน จะได้เลือกถูกว่าจะกินอะไรดี เริ่มจากออสตินก่อนเนอะ"

"ออสตินเอาอันนี้ๆ สีแดงๆ แล้วก็อันนี้" แอสตันชี้ไปที่สับปะรดที่หั่นเป็นชิ้นๆ ในถาด

"สีอะไรครับ?"

"เหลืองงงง"

"เก่งมากครับสุดหล่อ" ผมจะฝึกให้เด็กๆ พูด แล้วดูสีจากหนังสือนิทานระบายสีของพวกเขาตั้งแต่ย่างเข้าสามขวบแล้วล่ะครับ โตขึ้นจะได้ฉลาดๆ เรียนหนังสือเก่งๆ

"อื๊บ!!" จากนั้นก็อุ้มแอสตันขึ้นดูต่อ "แล้วแอสตันล่ะครับลูก เอาอันไหนดีครับ?"

"เอาอันนี้สีแดง แล้วก็อันนี้ฮับ!!" เจ้าตัวหันมายิ้มให้

"มันคือสีอะไรครับ?"

"เกี๋ยวววว" มันคือสีเขียวครับทุกคน แต่แอสตันออกเสียงไม่ชัด ผลไม้ที่เขาเลือกคือองุ่นครับ ส่วนผักเดี๋ยวผมเลือกเอง จะได้ให้เด็กๆ ลองชิมด้วย ส่วนจะอร่อยหรือไม่อร่อยเดี๋ยวค่อยว่ากัน จะได้รู้ด้วยว่าพวกเขากินผักอย่างอื่นได้ไหมด้วย มีหลายอย่างเลย

"ไปซะนานเชียวพ่อลูก ได้อะไรมากันบ้างครับ ไหนลุงธันขอดูหน่อยสิครับ" แอสตันหยิบผลไม้ในจานตัวเองที่มีไม่กี่ชิ้นให้พี่ธันดู ส่วนออสตินก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน มือขาวๆ ป้อมๆ หยิบตกๆ ขึ้นมาให้ลุงธันของเขาดู แต่สับปะรดมันคงจะฉ่ำน้ำไปหน่อย เลยค่อนข้างลื่น เจ้าหนูจำไมของผมเลยหยิบลำบากเลย

"เมื่อกี้เราคุยกันถึงสีของผลไม้กัน ไหนใครพอจะบอกป่าป๊าได้บ้างครับ ว่าภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าอะไรน้าาาาาา?" ผมแกล้งลากเสียงยาวให้ดูเหมือนอยากรู้มากๆ

"นี่ๆ ของออสติน อันนี้สีเหลือง"

"ออกเสียงว่ายังไงนะครับลูก?"

"เยนโล่ววววว" เป็นไงสำเนียงของลูกผม เก่งใช่ไหมล่ะ?

"แล้วของแอสตันล่ะครับลูก มีสีอะไรบ้าง?" ผมหยิบกระดาษทิชชู่ไปเช็ดแก้มให้แอสตัน เพราะน้ำสตอเบอรี่ติดปากกับแก้ม

"กีนนนน สีเกี๋ยววว!!" พอหยวนๆ ได้อยู่เนอะ ถึงจะไม่มีควบกล้ำ แต่ก็ฟังรู้เรื่องอยู่ใช่ไหมครับ


สรุปที่กินไปวันนี้ที่พาเด็กไปกินซิสเลอร์ เด็กๆ ชอบกินสเต๊กครับ กินได้หมดทั้งสเต็กปลาแซลมอน สเต็กหมูหรือไก่ ส่วนผักก็มีผักกาดกาดแก้วที่เด็กพอกินได้ (แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทนกันอยู่พอสมควร อาจเป็นเพราะมันสดๆ ด้วยอะเนอะ) อีกอย่างคือ มะเขือเทศสด อันนี้เด็กๆ ชอบกิน ไม่มีปัญหากับกลิ่นหรืออะไร มิชชั่นวันนี้ถือว่าคอมพลีสครับ ผมจูงแขนแอสตัน ส่วนพี่ธันจุงแขนออสตินครับ สลับกัน แล้วต้องเปลี่ยนมาเดินเองบ้างเพราะเด็กๆ จะได้ย่อยอาหารที่กินไปด้วย อีกอย่างผมกลัวเด็กๆ จะติดเป็นนิสัย อุ้มคนเดียวน่ะพอไหว แต่ถ้าให้อุ้มสองคนพร้อมกัน ขอบายครับ หลังจะหัก หุ่นระดับนักยกน้ำหนักเด็กเลยนะนั่น ผมล้อเล่นครับ ฮ่าๆๆๆ

"ลุงธันจะกลับแล้วครับเด็กๆ ทำยังไงก่อนครับ?" ผมบอกแอสตัน กับออสติน

"สวัสดีฮับ..จุ๊บ!! / สวัสดีฮับ..จุ๊บ!!" พี่ธันนั่งลงกับส้นรองเท้าแล้วให้เด็กจุ๊บที่แก้มคนละที ซ้ายขวา สามคนนี้เค้าทำกันประจำครับ เป็นการแสดงความรักของลูกผู้ชาย??

"ไปละครับเด็กๆ ฟ๊อด / ฟ๊อด" พี่ธันก้มลงหอมเด็กๆ คนละที เป็นอันเสร็จพิธีครับ

"พี่ไปแล้วนะ ถ้าถึงแล้วจะไลน์มาหา"

"ครับ ขับรถดีๆ นะครับ"

ผมอยู่รอจนลุงธันของเด็กๆ ขึ้นรถ จนแล่นออกไป ผมก็พาเด็กๆ เข้าบ้านไปอาบน้ำ ปะแป้งแต่งตัว จนเวลาสองทุ่มพวกเราสามพ่อลูกก็ได้เวลาสวดมนต์ก่อนนอนกัน

"กราบลง 3 ครั้งก่อนครับ" ผมก้มลงกราบลงที่พื้น 3 ครั้ง จากนั้นเด็กๆ ก็เริ่มทำตาม พวกเราทำแบบนี้เป็นประจำครับ ยกเว้นวันไหนที่เข้านอนดึกๆ กิจกรรมพวกนี้จะถูกยกเลิกไปครับ ส่วนบทสวดมนต์ก็ง่ายๆ ครับ ปกติจะตั้งนโมตัสสะแค่ 3 รอบ แล้วเข้านอน แต่วันนี้ผมว่าจะให้เด็กๆ ลองท่องอะระหังสัมมาสัก 1 รอบก่อน โดยที่ผมเป็นพูดนำเป็นท่อนๆ ช้าๆ ก่อน แล้วค่อยให้พวกเขาพูดตาม พูดถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เป็นไรครับสำหรับผม แม้ว่าเด็กๆ จะหน้าออกไปทางฝรั่ง แต่ผมก็สอนลูกแบบวิถีพุทธนะเออ ถ้าโตมาแล้วเด็กๆ จะเปลี่ยนไปเป็นคริสต์ อันนี้ก็แล้วแต่พวกเขาครับ ผมยังไงก็ได้ ไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้อยู่แล้ว


"ออสตินปวกขาฮับป่าป๊า" มือป้อมๆ ตีเบาๆ ที่ขาเพื่อเป็นการนวด

"แอสตันก็ด้วยฮับป่าป๊า ปวกขา แล้วก็ปวกตรงนี้นี้ด้วย" แอสตันชี้ไปที่หลัง ผมแทบหลุดขำออกมากับคำพูดของลูก

"มาครับ เดี๋ยวป่าป๊าเป่าให้ครับ พ่วง!!! จงหาย / พ่วง!! จงหาย"

"เป็นไงครับ หายเจ็บรึยัง?" เด็กๆ สายหัวทันทีเลยครับ อะไรจะใสซื่อปานนั้นครับลูกผม นี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่าเด็กคือผ้าขาว

"โอ๋...เดี๋ยวมันก็หายครับ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทนนะครับ"

"แอสตันหายแล้วฮับ / ออสตินก็เหมืองกังฮับ หายแล้ว"

"อ้าว..ทำไมหายเร็วจังครับ?" ผมแกล้งทำเสียงสงสัย ทำคิ้วชนกันนิดๆ

"แอสตันเก่งฮับ แอสตันเป็นทหาร เลยไม่เจ็บฮับ" เดี๋ยวก่อนนะครับ คือผมยังไม่เก็ทกับคำพูดของลูก คุณพ่อ คุณแม่บางคนเคยเป็นแบบผมไหมครับที่บางครั้งบางเวลาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกตัวเองพูด...เหมือนอย่างผมตอนนี้

"มันเกี่ยวยังไงกับทหารครับ หื้ม?" ผมลูบหัวแอสตัน กับออสตินเล่นเบาๆ

"ก็ยายภาสอนว่า ท.ทหาร อดทน ธ. ธง คนนิยมฮับ โตขึ้นแอสตันอยากเป็นทหาร ดังนั้นทหารต้องไม่เจ็บฮับ ต้องอดทนฮับ"

อ๋ออออ...ผมก็เพิ่งเก็ทกับสิ่งที่พวกเขาพูด นี่ลูกผมเป็นตลกใช่ไหมเนี๊ยะ? ฮ่าๆๆๆ

"ออสตินก็ด้วย ออสตินก็จะเป็น ท.ทหารอดทน!!" สรุปว่าลืมเจ็บกันไปหมดแล้ว ดีมากครับ

"งั้นก็ไปแปรงฟัน แล้วก็เข้านอนครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะเล่านิทานให้ฟัง ไปเร๊ว!!" เด็กๆ วิ่งตามเข้าไปให้ห้องน้ำ ผมเลยจัดการบีบยาสีฟันให้ทั้งสองคน แปรงฟันของแอสตันสีฟ้า ของออสตินจะเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนยาสีฟันผมให้พวกเขาใช้ของเด็กนั่นแหละครับ จะได้ไม่เผ็ดจนเกินไป เด็กๆ จะได้แปรงได้นานๆ

แอสตัน กับออสตินแปรงไปด้วย หัวเราะเอิ๊กๆ อ๊ากๆ ไปด้วย เพราะมัวแต่เล่นกัน

"ฮิๆ แอสตันมีหนวดเหมือนลุงธันเลย"

"ฮิๆ ของออสตินก็มี ฮ่าๆๆๆ"

"แปรงเสร็จแล้วก็มาบ้วนปากครับเด็กๆ มัวเล่นกัน เดี๋ยวดึกป่าป๊าไม่เล่านิทานให้ฟังนะครับ" ต้องดุไว้ก่อน ไม่งั้นคืนนี้ทั้งคืนก็คงไม่เสร็จ

"ฟู่.......... / ฟู่........."

"ไหนมาให้ป่าป๊าตรวจดูหน่อยสิครับว่าแปรงฟันสะอาดกันรึเปล่า ยิงฟันครับ อ้าปากด้วย โอเคสะอาด งั้นส่งแปรงฟันมาให้ป่าป๊าครับ ป่าป๊าจะเอาล้างอีกรอบแล้วเราจะได้ไปฟังนิทานกัน"

ออกจากห้องน้ำมา เด็กๆ ก็นอนประจำที่ของใครของมันแล้วครับ มีคุณหมีพี่น้องประจำอยู่กับที่ตัวเองแล้วเหมือนกัน นมก็ชงตั้งแต่ก่อนอาบน้ำแล้ว คนละขวด

"วันนี้จะฟังเรื่องอะไรดีครับลูก?"

"เรื่องพิอ๊อกคิโอฮับ" เด็กๆ ชอบเรื่องนี้ กับเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เป็นพิเศษ ฟังไม่เบื่อเลยครับ เรียกได้ว่าสลับกับเรื่องอื่น วันเว้นวันเลยทีเดียว

เล่าไปจนใกล้จะจบ หันมามองเด็กๆ อีกที พวกเจ้าตัวยุ่งของผมก็หลับไปแล้วล่ะครับ สงสัยวันนี้จะเหนื่อยเป็นพิเศษ เลยหลับเร็ว ปกติต้องเล่าต่อกันสองเรื่องแหนะกว่าจะยอมหลับกันได้

"ฝันดีครับเทวดาน้อยๆ ของป่าป๊า" ผมก้มลงจูบที่หน้าผากของลูกเบาๆ แล้วห่มผ้าให้ใหม่ จากนั้นก็ปิดไฟเข้านอน ลืมบอกไปว่าผมกับลูกนอนห้องเดียวกันครับ เตียงควีนไซส์สองเตียงต่อกัน ถึงจะคับแคบไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหาครับสำหรับผม ถึงบ้านนี้จะมีอีกห้องหนึ่งแต่ผมก็ยังอยากนอนกับลูกอยู่ดี จะได้วางใจว่าเด็กๆ ไม่ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย เอ๊ะ!! หรือว่าผมเป็นคนติดลูกกันแน่นะ?














------------

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:35:39 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น
[/color]
ตอนที่ 3
[/color]








ช่วงนี้เข้าหน้าร้อนแล้วครับ อุณหภูมิก็เลยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเค้าบอกว่าปีนี้จะร้อนกว่าทุกๆ ปี แต่ไม่รู้ว่าจะจริงรึเปล่า ผมน่ะพอทนได้ครับ แต่ลูกๆ นี่สิ ขี้ร้อนกันทั้งคู่เลย วิ่งเล่นกันทีเหงื่อนี่ไหลออกมาเป็นน้ำตกไนแองการ่าเลย แก้มขาวๆ พอโดนอากาศร้อนนิดหน่อยก็แดงระเรื่อยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้


"สวนน้ำๆ / สวนน้ำๆ อิอิ" วันนี้เด็กๆ ตื่นแต่เช้าครับ คงตื่นเต้นที่จะได้ไปสวนน้ำกัน แต่พ่อมันนี่สิครับ ยังง่วงอยู่เลย เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม ส่งงานให้พี่ธันเสร็จก็ปิดโน๊ตบุ๊ค แล้วก็ทิ้งร่างลงบนเตียงทันทีเลยครับ

เด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วครับ ผมเลยปล่อยให้นั่งดูการ์ตูนอยู่หน้าทีวีกันสองคน เพราะผมต้องไปจัดกระเป๋าของใช้จำเป็นให้

"ติ้งหน่องๆ" สงสัยเพื่อนผมจะมาถึงแล้วครับ

เมื่อคืนหลังจากบอกเด็กๆ ว่าจะพาไปสวนน้ำ ผมก็โทรไปชวนไอ้พัตให้ไปเป็นเพื่อน เพราะกลัวดูแลเด็กๆ ได้ไม่ทั่วถึง ไหนคนจะเยอะอีก อากาศร้อนๆ แบบนี้ คนต้องแห่กันไปสวนน้ำกันแน่ๆ

"เป็นไงมึง ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าเลย ช่วงนี้ปั่นงานดึกอะดิ?"

"อื้อ" ผมตอบสั้นๆ แล้วพยักหน้าให้มัน

"สภาพมึงนี่...โคตรไม่เหมาะเป็นพ่อเจ้าแฝดเลยว่ะ" มันหัวเราะ แล้วส่ายหน้าใส่

ก็ใช่สิ๊ใครมันจะหล่อดูดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบมันกันล่ะ ผมทำหน้าอืนๆ ใส่มันเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นคนข้างหลัง ที่เดินตามมันมา โอ๊ะ!! นี่มันคนละคนกับครั้งก่อนนิ คนนี้สวยหวาน ไม่เปรี้ยวๆ จนเข็ดฟันเหมือนคนก่อน

"นี่เฟย์ แฟนกู ส่วนนี่ไอ้เติร์กเพื่อนผมครับเฟย์" มีค้งมีครับด้วยวุ้ย

"สวัสดีค่ะเติร์ก เฟย์ขอไปร่วมแจมด้วยนะคะ เติร์กคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมเอ่ย?" แม่เจ้าประคูณรุนช่อง นอกจากจะสวยแล้ว ยังเสียงเพราะไปอี๊กกกกก ไอ้พัตมันไปหามาจากไหนวะ ทำไมผมไม่เจอแบบนี้บ้างงงงง (อยากกรีดร้อง สวรรค์ช่างลำเอียง!!!)

"เออ..ไม่ครับ แฟนไอ้พัตก็เหมือนแฟน เอ๊ย!! เหมือนเพื่อนเติร์ก เฟย์ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ" ผมยิ้มหวานๆ ให้อีกทีนึง ส่วนไอ้พัตก็ยืนหัวโด่ เท้าสะเอวยักคิ้วให้ประมาณว่า "แฟนกูสวยถูกใจมึงอะดิ?" ผมเบ้ปากใส่มันไปทีหนึ่ง เห็นแล้วหมั่นไส้ครับ นอกจากความหล่อกับหุ่นดีแล้ว ไอ้นี่มันก็ไม่ได้มีอะไรดีหรอกครับ มันเชี่ยจะตาย เจ้าชู้ก็เท่านั้น อ่อลืมไป บ้านมันรวยด้วยนี่หว่า

จากนั้นผมก็หันมาสนใจเด็กๆ ที่กำลังยืนมองแฟนไอ้พัตมันตาไม่กระพริบ ออสตินนี่ไปแล้วครับ นิพพานไปแล้วเรียบร้อย เขินจนแก้มแดงหลบอยู่ข้างหลังผมไปแล้วครับ

"ว่าไงครับลูก มองอาเฟย์ตาไม่กระพริบเลยเหรอครับ"

"สวยยยยย" เสียงออสตินพูดเบาๆ แต่ทุกคนก็ได้ยินหมดนั่นแหละครับ ส่วนแอสตันถึงไม่บอกว่าสวยแต่แก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อแบบนั้น ใครๆ เค้าก็รู้ครับว่าเจ้าตัวกำลังเขินกำลังอยู่แต่ขี้เก๊กเฉยๆ

"ไหนทำยังไงก่อนใครเวลาเจอเพื่อนป่าป๊า?"

"สวัสดีฮับ / สวัสดีฮับ" แอสตัน กับออสตินยกมือไหว้

"สวัสดีค่ะเด็กๆ หล่อๆ กันทั้งสองคนเลย แสดงว่าวันนี้อาเฟย์จะได้ควงหนุ่มหล่อไปเที่ยวตั้งสามคนเลยใช่ไหมเนี๊ยะ?" อ้าวแล้วผมล่ะครับไม่นับด้วยเหรอ?

เฟย์ท่าจะเป็นคนรักเด็กครับ คุณสมบัติดีไปอี๊กกกกกแฟนใหม่ไอ้พัต เห็นแล้วชักอิจฉาขึ้นมาตะหงิดๆ

"เฟย์ท่าทางจะรักเด็กนะครับ ไม่บอกให้ไอ้พัตไปขอล่ะครับ จะได้มีเป็นของตัวเองสักที"  ผมยักคิ้วให้ไอ้พัตไปทีนึง เพราะหมอนี่มันเป็นคนชอบหวงความโสดครับ แต่ความสดมันคงไม่มีให้หวงแล้ว กร๊ากกกกกก

"เติร์กก็....ไม่เอาละ เดี๋ยวเฟย์ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า"

"ห้องน้ำอยู่ตรงซ้ายมือ เห็นแล้วใช่ไหมครับ?"

"ขอบคุณค่ะ" ห้องน้ำบ้านผมหาง่ายครับ เดินเข้ามาตามทางเดิน ห้องโถงนั่งเล่นจะอยู่ตรงกลาง ซ้ายมือก่อนถึงห้องโถงจะเป็นทางเดินโล่งไปจนถึงห้องน้ำเลยครับ มีสติ๊กเกอร์ติดว่า Toilet ติดอยู่ที่ประตูด้วย

เฟย์ออกจากห้องน้ำมาแล้วครับ ตอนนี้พวกเราห้าคน มีผม เด็กๆ สองคน ไอ้พัต แล้วก็เฟย์ แฟนไอ้พัต กำลังเดินทางไปสวนน้ำกันครับ อยู่ไม่ไกลมาก เฟย์รู้หน้าที่ดีครับ นั่งข้างหน้ากับไอ้พัตเลย ส่วนผมกับเด็กๆ นั่งเบาะหลังกัน เด็กๆ ก็คุยกันเจื้อยแจ้ว ถามคำถามโน่นนั่นนี่ไปตลอดทางครับ มีคุยกับเฟย์บ้างเพราะเริ่มสนิทกันแล้ว ลูกผมเป็นคนเข้ากับคนง่ายครับ ง่ายเสียจนน่าเป็นห่วง กลัวว่าวันดีคืนดีจะมีแก๊งค์ขโมยเด็กมาหลอกตีสนิทแล้วจับขึ้นรถตู้ไปได้ง่ายๆ น่ะสิครับ ยิ่งน่ารัก น่าฟัดกันอยู่

วันนี้ไอ้พัตมันเอารถมินิแวนแบบครอบครัวมาครับ เพราะมันคงรู้ว่าของใช้เด็กๆ เยอะแน่นอน ไหนจะขวดนม กระปุกน้ำร้อนสำหรับชงนม ของเล่นเด็ก ห่วงยาง เสื้อผ้าเปลี่ยนของเด็กๆ แล้วก็ของกินเล่นอีก

พอมาถึงลงรถเสร็จ เอาของลงจากรถ ไอ้พัตมันอาสาเป็นเด็กขนของเองครับ ส่วนผมกับเด็กๆ แล้วก็เฟย์ตรงดิ่งไปที่ตู้จำหน่ายตั๋วเข้าสวนน้ำกันแล้วครับ ข้างนอกว่าสวยแล้วพอเข้ามาข้างในยิ่งสวยกว่าอีกครับ นี่ผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกันครับ บ้านน็อกบ้านนอกเนอะ

"ว๊าววววว / ว๊าววววว!!!" ปฏิกริยาของสองแสบครับ ทำปากเป็นรูปตัวโอ ทำตาโตๆ เท่าไข่ห่าน คงตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว จำได้ว่า เมื่อวานระหว่างพักโฆษณาของช่องการ์ตูนช่องหนึ่ง เด็กๆ ก็ร้องหูวววววขึ้นมาทันที ผมเลยหันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นโฆษณาของสวนน้ำแห่งหนึ่งครับ ที่มีทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่กำลังเล่นน้ำกันอยู่ มีทั้งสไลเดอร์ ทั้งเครื่องเล่นหลายอย่าง พอโฆษณาจบเด็กๆ ก็หันมามองทางผม คงจะอยากไปกัน แต่ไม่กล้าถาม ได้แต่พับตาพริบๆ แล้วก็มองหน้ากันไปมา

"ว่าไงครับลูก อยากไปกันเหรอครับ?" เด็กๆ พยักหน้าเบาๆ

"ถ้าอยากไป งั้นวันนี้ก็ต้องเป็นเด็กดีนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ป่าป๊าจะพาไป ตกลงไหมครับ?" เด็กๆ ร้องเย้ออกมาด้วยความดีใจ ความจริงอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ผมยังไม่ได้พาพวกเขาสองคนออกไปไหนเลยครับ เพราะมัวแต่เร่งแปลต้นฉบับน้ำผึ้งอาบยาพิษส่งให้พี่จุ๋ม เด็กๆ เลยต้องเล่นอยู่บ้านกันสองคน ไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่บ้านป้าภากันตอนเย็นๆ

'นี่แหละครับเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงมาเที่ยวสวนน้ำกันในวันนี้'

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า แอสตันอยากเล่นอันนั้น" มือป้อมๆ ชี้ไปที่สไลเดอร์

"ออสตินก็ด้วยยยย"

"ลูกๆ ยังเด็กอยู่ ยังเล่นไม่ได้นะครับ รอโตขึ้นอีกนิด ค่อยมาเล่นกันใหม่เนอะ งั้นตอนนี้เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่าครับ ไหนใครอยากเล่นน้ำป๋อมแป๋มกับห่วงยางช้างน้อยบ้างครับ ชูมือเร็ว?"

"แอสตันฮับ / ออสตินฮับ" ว่าแล้วพวกเราก็ยกโขยงเข้าเปลี่ยนผ้ากันในห้องน้ำ รวมถึงไอ้พัตกับเฟย์ด้วย แต่พอออกห้องน้ำมาเท่านั้นแหละครับ โอ้แม่เจ้าโว้ย!! แฟนไอ้พัตครับ ใส่ทูพีซออกมาจากห้องน้ำหญิงเลยครับ ข้างนอกว่าสวยหวานแล้ว แต่ข้างในแม่งโคตรจะซ่อนรูปเลยครับ เฟย์ใส่ชุดว่ายน้ำทูพีซมีระบายสั้นๆ สีชมพู ผมนี่ตาโตสิครับ ก็ใครจะคิดว่าสวยๆหวานๆแบบนั้นจะกล้าใส่ สร้างความแปลกใจให้ผมจริงๆ  ส่วนไอ้พัตนี่จ้องเขม็งเลยครับ คงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ที่แฟนตัวเองใส่ชุดแบบนี้ แต่คนที่มาที่นี่เค้าก็ใส่กันนะเออ ผมหยุดสนใจไอ้พัตกับแฟนแล้วจูงมือเด็กๆ เดินไปข้างๆ สระ วันนี้ออสตินใส่ชุดว่ายน้ำสีดำคาดแดงด้านข้างครับ ส่วนแอสตันเป็นสีดำคาดน้ำเงิน

"ทำหน้าให้มันร่าเริงหน่อยสิมึง คนอื่นเค้าก็ใส่กัน อย่าคิดมาก เอ้า!! ยิ้ม เดี๋ยวลูกกูกลัวไม่ยอมให้เล่นด้วยนะมึง" มันก็หันมายิ้มยิงฟันใส่ผม แล้วก็หยิบห่วงยางไปเป่าหนึ่งอัน ผมเลยหยิบอีกอันมาเป่าด้วย

"ห่วงยางของหมูน้อยของป่าป๊าเสร็จแล้ว" เด็กๆ กระโดดดีใจกันใหญ่เลย

"มาครับเดี๋ยวป่าป๊าพาลง ใครจะไปกับป่าป๊าครับ?" แอสตันยกมือ

"งั้นออสตินไปกับอาพัตนะครับ" ออสตินพยักหน้ารับทราบ ผมกับไอ้พัตเลยย่อตัวลง แล้วอุ้มเด็กๆ ใส่ไว้ตรงกลางห่วงยาง จากนั้นหมูน้อยสองตัวก็ตีน้ำเล่นกันใหญ่เลย

"มองกูทำไมมึง?" ไอ้พัตถาม

"กำลังคิดว่าถ้ามึงแต่งงานมีลูกกับเฟย์ ลูกคงออกมาน่ารักแน่ แต่ขอเป็นเด็กผู้หญิงนะ จะได้หมั้นกับลูกกู ฮ่าๆๆๆๆๆ" ที่พูดแบบนี้ได้เพราะเฟย์กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆ ห่างออกไปนิดนึงครับ เลยไม่ได้ยิน

"ไม่โว้ย ลูกกูต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ถึงเป็นผู้หญิงกูก็ไม่ยกให้หรอก เพราะลูกมึงมันเจ้าชู้ ดูนั่น!!" ผมหันมองตามที่ไอ้พัตพยักหน้าไป ปรากฏว่าเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกับสาวน้อยฝาแฝดน่ารักน่าชังอยู่ครับ เห็นอย่างนั้น ผมเลยหันกลับมาแล้วยักคิ้วใส่ไอ้เพื่อนยากไปสองที ก็ลูกผมมันหล่ออะนะ จะทำยังไงได้อะ ฮ่าๆๆๆๆ

"แอสตันครับ ออสตินครับขึ้นมากินข้าวกันก่อนครับ เดี๋ยวค่อยกลับลงไปเล่นต่อ"

"ออสตินยังไม่หิวฮับ"

"แอสตันก็ด้วยฮับ"

"ไม่หิวก็ต้องกินครับ มาเร็ว" ผมกวักมือเรียก

"ไม่อาว ออสตินยังอยากเล่นกับน้องอยู่"

"เรียกเขาน้องแล้วรู้จักเขารึเปล่าน่ะ หืม?" สองหน่อพยักหน้า แต่ดูจากขนาดตัวแล้วผมว่าเขาน่าจะเป็นพี่เจ้าสองแสบมากกว่านะ

"คนเน้ชื่อ พิต้า ส่วงคนเน้ชื่อ พิดซ่า" ออสตินแนะนำชื่อสาวน้อยฝาแฝดที่กำลังสาดน้ำเล่นห่วงยางอยู่ข้างๆ

"แหะๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่สองแฝดมารบกวน" ผมพูดออกตัว เพราะเกรงใจครอบครัวของน้องพิต้ากับพิซซ่าที่สองแฝดไปรบกวนเค้า

"ไม่เป็นไรครับ ลูกผมก็มีเพื่อนเล่นด้วย สนุกสนานกันใหญ่จนลืมเวลาทานข้าวเลย"

"ใช่ครับ แหะๆ"

"ถ้าไม่รังเกียจจะมานั่งทานข้าวกับพวกเราก็ได้นะครับ ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้คนเยอะ คงหาที่ว่างยาก"

"จะรบกวนเกินไปรึเปล่าครับ"

"ไม่เลยครับ ดีซะอีกลูกสาวผมจะได้เจริญอาหารมากขึ้นด้วยถ้ามีเพื่อนมาทานด้วยแบบนี้"

"งั้นก็รบกวนด้วยนะครับ" พูดจบผมก็หันไปกวักมือเรียกไอ้พัตมา เพราะจะได้บอกให้มันยกข้าวของกับเอาสื่อมาปูต่อจากเสื่อของคุณเขาอีกที

"เออ ผมลืมแนะนำตัว ผม เติร์กครับ เป็นคุณพ่อของ เจ้าเด็กดื้อสองคนนี้"

"ผมการันต์ครับ หรือเรียกว่า รันเฉยๆ ก็ได้ครับ"

"อ๋อ ชื่อแปลกดีนะครับ ชื่อรันเฉยๆ" คุณพ่อน้องพิต้า กับพิซซ่าชะงักไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเกาท้ายทอยเขินๆ

"อ่า ผมล้อเล่นครับ คุณรัน หึๆๆๆ" แต่ก่อนที่เราจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงของสองแสบก็ดังขึ้นซะก่อน

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า แอสตันไม่ดื้อนะฮับ"

"ออสตินก็ไม่ดื้อฮับ"

"ครับ ถ้าไม่ดื้อก็ขึ้นจากน้ำก่อนนะครับ จะได้ทานข้าว แล้วค่อยกลับไปเล่นใหม่ โอเคไหมครับ"

"โอเค/โอเค" เด็กๆ ทำท่าโอเคนะคะตามฉบับพี่แคทรียา อิงลิชจนคุณพ่อของพิต้ากับพิซซ่าอมยิ้มตาม






--------
ต่ออีกรีนะครับ อักษรเกิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:37:26 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

(ต่อ)








"เด็กๆ น่ารักดีนะครับ" ผมเลยยิ้มให้เฉยๆ เพราะจะชมลูกเขาก็จะกลายเป็นว่าชมกันไปชมกันมา เดี๋ยวจะไม่จบอีก

ผมกับไอ้พัตจัดการอุ้มแอสตัน กับออสตินขึ้นฝั่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างรวดเร็ว โดยมีเฟย์ช่วยจัดกับข้าวอะไรไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนทางนั้นก็เหมือนกัน เหมือนจะมีพี่เลี้ยงเด็กมาด้วยคนหนึ่ง กับคุณป้าแม่บ้านมั้งครับ ไม่แน่ใจ เพราะได้ยินเรียกคุณพ่อของน้องพิต้า กับพิซซ่าว่า คุณรันๆกัน แถมยังจัดแจงทุกอย่างไว้ให้อีก

วันนี้ผมทำข้าวผัดไข่ใส่แครอท กับฮอตดอกทอดให้เด็กๆ ครับ เพราะทำง่ายดี แถมเด็กๆก็ชอบด้วย ส่วนผู้ใหญ่ก็กินอันนี้ด้วยเหมือนกันครับ จะได้ไม่เรื่องมาก แล้วก็เสียเวลาไปหาซื้ออีก

"กูไปส่งเฟย์เข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา" ผมพยักหน้าแล้วหันมาดูลูกต่อ

"ค่อยๆ กินครับ กินเลอะเทอะแบบนี้ไม่อายสาวเหรอครับ" ผมกระซิบคุยกับสองแสบ แต่ความจริงมันก็ดังพอที่คนอื่นจะได้ยินด้วยนั่นแหละครับ 

แอสตัน กับออสตินเหล่ตาไปทางพิต้า กับพิซซ่านิดหนึ่ง แล้วลดระดับความตะกละลงมาอีกนิดนึง เป็นไงล่ะทีแรกก็บอกไม่หิวๆ แต่พอเห็นกับข้าวแล้วก็กินอย่างกับรถโม่ข้าวแล้วกับโรงสีผสมรวมกัน เด็กหนอเด็ก ห่วงเล่นมากกว่าห่วงกินซะอีก

"มองผมทำไมครับคุณรัน หรือว่าอยากลองชิมข้าวผัดดูครับ"

"เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าคุณเติร์กเลี้ยงเด็กเก่งจังนะครับ"

"งั้นเหรอครับ ผมก็เลี้ยงตามที่แม่ผมสอนมาอีกทีเหมือนกันน่ะครับ หึๆ ไม่ได้เก่งอะไรเลย" พอมีคนชมตรงๆ แบบนี้ก็เขินเหมือนกันแหะ

"แล้วแม่ของเด็กๆ ไปไหนครับ ไม่มาด้วยเหรอครับ" ผมเลยต้องเล่าเกี่ยวกับแม่ของเด็กๆ ใหม่ เหมือนกรอเทปเล่าแล้วเล่าอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้นับ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ต่ำกว่าร้อย

"ผมเสียใจด้วยนะครับ"

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เสียใจกับมันแล้วล่ะครับ แล้วแม่ของน้องพิต้า กับพิซซ่าล่ะครับ ติดงาน มาด้วยไม่ได้ใช่ไหมครับ"

"เปล่าครับ" อ้าว???

"ผมกับแม่ของเด็กๆ เราแยกทางกันนานแล้วล่ะครับ"

"เออ ผม..ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ถาม"

"ไม่เป็นไรครับ ผมซะอีกที่ต้องขอโทษคุณเติร์กก่อน เพราะเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นเรื่องนี้ก่อน" คุณรันพูดจบ เขาก็ยิ้มออกมาเหมือนที่เขาพูดนั่นแหละครับว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่ผมนี่สิครับทำหน้าไม่ถูกเลย จะยิ้มตามก็ยิ้มออกมาได้ไม่สุด จะทำหน้าเศร้าไม่ใช่เรื่องอีก จบการสนทนาด้วยการที่ผมเลี่ยงไปหยิบทิชชูไปเช็ดปากให้เด็กๆแทนนั่นแหละครับ

 ไม่น่าเลยไม่น่าเลยจริงๆ ปากนี่ก็ไวเกินความคิดอีก มันน่าตบปากตัวเองสัก10 ที

"น้องพิต้า พิซซ่าครับ ทานสีส้มๆ นี่ด้วยสิครับ อร่อยนะ"

"มันขม ไม่อร่อย" ฝาแฝดอาหมวยน้อยพูดขึ้นพร้อมกัน

"ไม่จริงหรอก นี่ไงแอสตันกับออสตินยังกินเลย อร่อยดีเนอะเด็กๆ" ผมหันไปถามสองแสบ จากนั้นเจ้าตัวก็พยักหน้าตักข้าวผัดไข่ใส่แครอทเข้าปากไปคำโตเลยทั้งสองคน

"ลองชิมดูไหมครับ ถ้ามันขมหรือไม่อร่อย เดี๋ยวอาเติร์กให้ตีเลยอะ โอเคไหมครับ" พิต้า กับพิซซ่านิ่งคิด มองหน้ากันไปมาก็แล้ว หันไปมองป่าป๊าของตัวเองก็แล้ว รายนั้นก็คงกำลังรอดูว่าสองสาวจะกินไหม เลยได้แต่นั่งอมยิ้มให้เฉยๆ

"เอาอีกไหมครับสองแสบ" ผมหันไปถามลูกอีกที เพราะเจ้าตัวฟาดจนเรียบหมดจานแล้ว พอแอสตัน กับออสตินพยักหน้า ผมเลยจัดการตักใส่จานให้อีกนิดหน่อย ให้กินเยอะไม่ได้ครับเดี๋ยวจะอ๊วกกัน

นี่เห็นว่าสองสาวไม่ชอบกินผัก เลยอยากช่วยคุณรันเขาหรอกนะเนี๊ยะ จะได้เป็นการขอโทษที่เมื่อกี้ปากเสียด้วย

พิต้า กับพิซซ่าตักข้าวผัดไข่แครอทแต่ก็ยังไม่เอาใส่ปากสักที พวกเราก็ลุ้น ลุ้นยิ่งกว่าวันหวยออก กับบอลโลกซะอีก จนสองสาวข่มใจเอาเข้าปากแล้วยู่หน้าเคี้ยวๆ กลืนนั่นแหละครับถึงได้หายใจหายคอออกมา

"เป็นไงครับอร่อยไหมเอ่ย"

"อร่อยค่ะ/ค่ะ" เป็นอันว่าปิดจ็อบ 

"งั้นก็ทานให้หมดนะครับ ผิวจะได้สวยๆ เหมือนอาเฟย์นี่ไง"


หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็ให้เด็กๆ นั่งพักก่อนสักครึ่งชั่วโมงก่อน เพราะขืนให้ลงไปเล่นน้ำตอนนี้จะจุกกันเปล่าๆ

จากนั้นก็ปล่อยให้เด็กๆ เล่นน้ำต่ออีกนิดหน่อย จนถึงบ่ายแก่ๆ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับกัน ตอนนี้เจ้าเสือน้อยของผมพากันหลับอยู่กับเฟย์หนึ่งคน อยู่กับผมหนึ่งคนแล้วล่ะครับ คงจะเหนื่อยกัน แต่กว่าจะถึงบ้านก็ปาไปสี่โมงเย็นแล้ว ผมเลยปลุกสองหน่อให้ตื่น แล้วอุ้มลงจากรถ ไม่อยากให้หลับตอนตะวันจะตกดินสักเท่าไหร่ คนสมัยก่อนเขาบอกว่ามันไม่ดี ตะวันจะทับตาย อันนี้คิดว่าไม่น่าจะจริงนะ แต่เรื่องจริงเป็นไงผมก็ไม่รู้เหมือนกันแหะ อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าเด็กๆ นอนตอนหัวค่ำ แล้วตอนดึกๆ มาจะไม่นอนกันมั้งครับ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวผมนะ

ไอ้พัตมาส่งผมกับเด็กๆ เสร็จก็ขับรถกลับเลยครับ เพราะต้องไปส่งเฟย์กลับบ้านด้วย ผมบอกลาทั้งสองคนแล้วก็จูงมือเด็กๆ เข้าบ้าน เหนื่อยมากบอกเลยวันนี้!!!

ขอพักสักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยไปเตรียมตัวทำอาหารเย็น จากนั้นค่อยเอาขวดนมไปล้าง



-----------------------



เช้าวันถัดมางานเข้าครับ ความจริงถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่างานเข้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะแอสตัน กับออสตินไม่สบาย เริ่มจากออสตินที่ตัวร้อนก่อน จากนั้นก็เป็นแอสตัน ที่ติดไข้จากน้องมา ตัวเริ่มรุมๆ นิดๆ ผมเลยให้กินยากันไว้ก่อนเลย ขืนป่วยพร้อมกันสองคนล่ะแย่เลย เสียเงินนี่ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ป่วยพร้อมกันแบบนี้ ผมสงสารลูกครับ จากที่ได้ยินเสียงเล่นกัน คุยกันเจื้อยแจ้ว แต่กลับต้องมานอนป่วยแบบนี้ ผมใจจะขาดครับบอกเลย

ปกติเด็กๆ ก็ไม่ได้ป่วยง่ายนะครับ แต่เมื่อวานคงแช่น้ำนานไปหน่อย ไหนจะแดดอีก เลยป่วยเลยทีนี้

"ออสตินครับ ลุกมากินยาก่อนครับลูก เดี๋ยวค่อยนอนต่อครับ" ผมประคองร่างเล็กๆ ป้อมๆ ขึ้นมาจากที่นอน น้ำตาไหลออกจากหน่วยตายิ่งกว่าละครดราม่าซะอีก เห็นไหมครับว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ลูกป่วย เพราะเวลาป่วยทีก็เล่นเอาผมใจหายเลย

"โอ๋ๆๆๆ ไม่ร้องนะครับเด็กดีของป่าป๊า เดี๋ยวก็หายแล้วครับ เอ้าอ้าปากก่อนครับ" ผมเทยาน้ำแบบไซรัปใส่ช้อนพลาสติกเล็กๆ สีขาว แล้วจัดการป้อนให้ออสติน

"เก่งมาก!!!! เอ้านี่อีกช้อนครับ ไม่ขมเนอะ หวานดีออก เหมือนน้ำหวานเลย"  ดีนะที่เด็กๆ ไม่เป็นคนกินยายาก ไม่งั้นละแย่เลย ป้อนให้แฝดน้องเสร็จก็ปลุกแอสตันขึ้นมากินยาบ้าง รายนี้แข็งแรงกว่าครับเพราะกินทุกอย่าง ส่วนออสตินเลือกกินนิดหน่อยเลยป่วยง่ายกว่า แต่พวกเขาก็ได้กินนมจากอกแม่เหมือนคนอื่นเขานะครับ ผมเป็นคนไปขอจากทางคุณแม่ท่านอื่นที่โรงพยาบาลเองเลย อีกอย่างคุณหมอ และคุณพยาบาลเขาช่วยประกาศรับบริจาคนมให้ด้วย เด็กๆ เลยได้รับสารอาหารครบถ้วน มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขา จะมีบ้างก็ตอนฉีดวัคซินที่พอฉีดวันนี้ ตกกลางคืนมาก็ไข้ขึ้นเลย คุณหมอบอกว่าไม่ต้องตกใจ ถ้าลูกไข้ขึ้นหรือไม่สบาย เพราะวัคซีนที่ให้นี้กำลังช่วยให้เด็กๆ มีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้มากขึ้น แต่ต้องให้ร่างกายปรับตัวนิดนึง

ฉีดวัคซีนครั้งแรกไม่เรียกว่าป่วยนิดนึงเลยครับ เรียกว่าป่วยมากเลยล่ะครับ ตัวนี่ร้อนจี๋เลยทั้งสองคน ร้องไห้งอแง จนคุณพ่อมือใหม่อย่างผมเลยตกใจแทบทำอะไรไม่ถูกเลย ดีที่คุณหมอบอกมาก่อนว่าให้เช็ดตัวแล้วก็ปลุกลูกขึ้นมากินยาตามที่หมอสั่ง กินเรื่อยๆ จนกว่าไข้จะลด คืนนั้นทั้งคืน ผมไม่ได้นอนเลยครับ อยู่เฝ้าลูกทั้งคืน คอยจับดูว่าไข้ลดแล้วหรือยัง ถึงเวลากินยาแล้วรึยัง จะหลับก็กลัวลูกจะชัก มันกลัวไปหมดเคยเป็นแบบผมไหมครับ

จากนั้นอีกวัน สองหน่อก็กลับมาเป็นปกติ เล่นซนได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นน้ำ ห้ามตากแดดด้วย เดี๋ยวไข้กลับ 

.....

"บ้านหลังนี้แหละครับนาย" รถเก๋งยี่ห้อดังราคาแพงหูฉี่แล่นมาจอดเยื้องบ้านของสามพ่อลูก กระจกสีดำสนิททำให้มองไม่เห็นคนข้างใน

"แน่ใจนะว่าไม่ผิดตัว?" เสียงของชายหนุ่มหน้าออกไปทางตะวันตก ตัวสูงใหญ่เอ่ยถามเป็นภาษาไทยสำเนียงชัดแจ่ว

"แน่ใจครับนาย จากที่ตามสืบมา มิสสิต้าเคยเรียนที่เดียวกับผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ครับ แล้วมีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนจะเคยสนิทกันมาก่อน เพราะเป็นทั้งพี่น้องร่วมสถาบัน แล้วก็พี่น้องร่วมชมรมเดียวกันครับ"

"แล้วข้างในมีใครอยู่บ้าง?"

"ผมเห็นแต่ผู้ชายคนหนึ่งครับที่เดินไปเดินมาแถวๆ บริเวณบ้าน แต่ก็ไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหนเลยครับตลอดสองสามวันมานี้" คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันระหว่างขบคิด สายตาสีเขียวอมเทามองทอดออกไปนอกกระจกรถ โดยมีจุดโฟกัสอยู่ที่ร่างของชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ผอมบางเมื่อเทียบกับเขา กำลังยืนเก็บผ้าตากอยู่ด้านนอกตัวบ้าน

"ทำยังไงก็ได้ให้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นอยู่กับใครในบ้านหลังนี้ แล้วติดต่อกับใครบ้างตลอดระยะเวลาสามสี่ปีมานี้"

"ครับนาย"

จากนั้นรถเก๋งสีดำยี่ห้อหรูคันเดิมเคลื่อนออกไปหลังจากผู้เป็นนายบอก

'เอ๊ะนั่น..รถเก๋งคันนั้นอีกแล้ว ทำไมถึงมาจอดอยู่ตรงนั้นอีกแล้วนะ?" จะว่าไปเมื่อวานก็เห็นมาจอดตรงนั้น ไหนจะวันก่อนนั้นอีก ถ้าคิดในทางที่ดีคือ มาจอดโทรศัพท์ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะใครจะมาจอดโทรศัพท์แถวนี้ได้ทุกวัน นอกจากคนที่นอกใจเมียแล้วมารอรับกิ๊กแถวนี้เท่านั้นแหละ ถึงน่าจะมีความเป็นไปได้ แต่คิดในทางที่ร้ายคือมาซุ่มรอใครสักคน แล้วจับไปฆ่า

'หยุดๆๆ ห้ามคิดอะไรร้ายๆ แบบนั้น เดี๋ยวมันจะทำร้ายตัวเอง' เพราะผมเป็นคนชอบคิดมาก แต่จะไม่คิดก็ไม่ได้ เกิดพวกมันเป็นพวกขโมยเด็กล่ะ จะทำไง

"ฮัลโหลไอ้เติร์ก ฮัลโหล ไอ้เหี้ยเติร์ก!! ยังอยู่ไหมมมมม?"

"อ..เอ่อ ว่าไงนะมึง?" ลืมไปว่าตัวเองคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่

"นี่มึงไม่ได้ตั้งใจฟังกูเลยใช่ไหมห๊ะ ไอ้เหี้ยเติร์ก?"

"ก็ฟัง..แต่ก็ไม่ทั้งหมด แหะๆๆ สรุปมึงว่าไงนะ ขออีกทีดิ เมื่อกี้กูมัวเหม่อไปหน่อย"

"กูจะโทรมาถามอาการเด็กๆ ว่าเป็นไงบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม?" ไอ้นี่ก็อีกคนโทรมาถามได้สามเวลาหลังอาหาร เมื่อเช้าไอ้พัต กับพี่ธันว์ก็โทรมาถาม แต่ที่บ่อยสุดก็คุณนายที่บ้านนอกของผมนั่นแหละครับ โทรมาถามบ่อยยิ่งกว่าสามคนนั่นซะอีก จะทำไงได้เนอะ ก็หลานรักเค้านี่หน่า

"เอ่อ หายดีแล้ว แต่ยังต้องกินยาอยู่"

"ดีละ แบบนี้คงหายซ่าไปอีกหลายวันสิท่า?"

"เปล่าเลย พอดีขึ้นปุ๊บก็ซนปั๊บเลยต่างหาก มึงพูดอย่างกับไม่รู้จักหลานตัวเองเนอะ?" 

"เอ่อจริง มันเป็นลูกลิง เลยซนไปหน่อยเนอะ"

"ลูกลิงอะไร ลูกกูนี่แหละไอ้เวร ฮ่าๆๆๆ แล้วนี่เมื่อไหร่มึงจะมา อย่าลืมของฝากกูกับหลานๆ ด้วยนะมึง ไม่งั้นมีงอน" ไอ้กันย์มันไปเที่ยวเกาหลีครับ ไปตามหาโอปป้าในดวงใจมัน ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แหะ

"ใครงอน แอสตันกับออสตินอะเหรอ?"

"เปล่า กูนี่แหละ"

"ถุย!! กูนึกว่าใคร"

"แล้วสรุปกลับวันไหนมึง?"

"อาทิตย์หน้า มึงจะเอาอะไรก็ส่งมาในไลน์นะ กูต้องไปละ เค้าเรียกแล้ว บายมึง" มาเร็วเคลมเร็วจริงไอ้หมอนี่

"เอ่อ บาย"



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 13:59:05 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
(ต่ออีกอันแล้วกันเนอะ)




วางสายจากไอ้กันย์เสร็จ ผมก็แอบเปิดผ้าม่าน ชะโงกหน้าไปดูรถคันนั้นอีกครั้ง กลัวว่ามันจะย้อนกลับมาอีกครั้ง บางครั้งมันก็ทำให้เราหลอนๆ นะผมว่า ผมจ้องอยู่อย่างนั้นให้แน่ใจ แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังมาซุ่มอยู่อีกล่ะก็ ผมจะโทรแจ้งสายตรวจให้ดู

'พอๆๆ เติร์กหยุดคิดเรื่องนี้ แล้วไปดูลูก' ผมสะกดจิตตัวเอง :)

"ติ๊งหน่อง"

'ใครมาวะ?' วินาทีแรกนึกไปถึงรถเก๋งสีดำคันนั้นเลย แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง

ด้วยความสงสัยปนอยากรู้อีกนั่นแหละ เลยพาสองเท้าของตัวเองมายืนจดๆ จ้องๆ แอบดูอยู่ตรงหน้าต่างบานเดิมอีกครั้ง แต่อิใจเจ้ากรรมนี่ก็ช่างเหลือเกิน จะตื่นเต้นอะไรนักหนาก็ไม่รู้

'ฟู่ววววววว นึกว่าใคร ที่แท้ลุงธันว์ของสองแฝดนั่นเอง' ขวัญเอ๊ยขวัญมานะเติร์กเอ้ย เกิดพวกมันเป็นโจรเรียกค่าไถ่ หรือพวกยกเคาน์บ้านล่ะก็ ไอ้เติร์กไม่มีทางสู้ได้แน่ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะไม่แน่นะ แต่ตอนนี้พุงมันเริ่มมาแล้วไง เรี่ยวแรงมันก็เลยหดหายตามไปด้วย เวรกรรม!!

ผมสาวเท้าเดินออกไปเปิดประตูรั้วอย่างเชื่องช้า ผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ

"พี่ธันว์... ไปไงมาไงครับเนี๊ยะ?"

"พี่ผ่านมาธุระให้ที่บ้านแถวนี้พอดี เลยแวะมาเยี่ยมหลานๆ" อ้าวเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วยังอยู่สีลมอยู่เลย เร็วจังแหะ

"งั้นเข้ามาก่อนครับพี่ แล้วของนี่เอามาให้สองหน่อใช่ไหมครับ มาครับผมถือให้?"

"ไม่เป็นไรเติร์ก มันไม่ได้หนักอะไร แล้วเด็กๆ ล่ะ?"

"เพิ่งหลับไปก่อนหน้าที่พี่จะมาเองครับ สงสัยเพิ่งฟื้นไข้ ตื่นมาก็กินๆ เล่นๆ จากนั้นก็หลับไปอย่างที่พี่เห็นนี่แหละ"

เด็กน้อยฝาแฝดสองคนกำลังนอนกอดตุ๊กตาพี่หมีอยู่บนฟุกนอนกลางห้องนั่งเล่น

"หว้า....งั้นพี่ก็อดเล่นกับหลานๆ น่ะสิ" จะอยากเล่นกับหลานอะไรขนาดนั้นครับ นี่ลูกผมเพิ่งหายป่วยนะนี่

"แล้วพี่ทานอะไรมารึยังครับ หรือว่าจะเอากาแฟดี?"

"ขอแค่กาแฟดีกว่า พี่เพิ่งทานข้าวกับที่บ้านมา ยังอิ่มๆ อยู่เลย" มือหนาลูบท้องให้ดู ถ้าเป็นสาวๆ คงใจละลาย แต่นี่ไอ้เติร์กไง เลยเฉยๆ หรือเรียกให้ถูกก็อิจฉาอยู่นิดนึงมั้ง ก็ซิคแพคพี่แกเล่นเป็นลอนๆ ขนาดนั้น แล้วของไอ้เติร์กล่ะ หึ!!! อย่าพูดถึงเชียว พูดถึงแล้วมันบาดหัวใจ

'จากแต่ก่อนหนุ่มออฟฟิศสุดเท่ห์? สูงยาวเข่าดี ไหนจะซิคแพคอีก แต่พอผันตัวมาเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกไม่กี่ปีเท่านั้นแหละ จากหกแพ็คก็กลายมาเป็นพุงกะทิในพริบตา แล้วถามว่ารู้ได้ไงว่าซิคแพคของพี่แกเป็นลอนงาม ก็เป็นพี่น้องกันไง เวลาไปว่ายน้ำก็ต้องไปด้วยกันไหมล่ะ'

ผมพยักหน้าให้พี่แกอีกครั้ง แล้วเดินเข้าครัวไป จะว่าไปพี่ธันแกก็มาถูกจังหวะดีแหะ กำลังมืนหัวกับสำนวนของน้ำผึ้งยาพิษตอนจบอยู่พอดี จะได้ให้พี่แกช่วยแก้ให้ แล้วก็จะได้ส่งต้นฉบับแปลตอนสุดท้ายให้สักที

"ผมว่าจะให้พี่ช่วยดูสำนวนประโยคนี้ให้หน่อย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หัวสมองมันตีบตันไปหมด"

"ไหนล่ะ?"

"นี่ไงครับ ประโย....เออ.....ผมว่าขยับออกไปสักหน่อยก็น่าจะดีนะครับ มันใกล้ไปนิ๊ดดดดนึง แหะๆๆ"

"อะไรกัน ถ้าขยับออกไปอีก พี่ก็เห็นไม่ชัดน่ะสิ อย่าลืมนะว่าพี่ไม่ได้เอาแว่นมาด้วย" เอ่อจริง ปกติถ้าทำงานกับคอมพ์แบบนี้พี่แกจะใส่แว่นสายตาด้วยนี่หว่า

"งั้นก็ตามสบายครับ อยากใกล้เท่าไหร่ก็ตามใจคุณพี่เลยครับ"

"งั้นขอใกล้กว่านี้อีกนิดก็ดีนะ" ธันวาหัวเราะเบาๆ

"ผมประชดครับ ใกล้ขนาดนี้แล้วไม่เห็น ผมว่าควรไปปรึกษาหมอเรื่องทำเลสิกได้แล้วนะครับ แก่ตัวไปจะได้ไม่ลำบาก"

"โห่ แค่นี้ก็ต้องประชดด้วย งั้นใกล้เท่าเดิมก็ได้ พี่ขี้เกียจไปหาหมอผ่าตัดตา มันน่ากลัว!!" ตลกไปไหม??

เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที เห็นไหมครับว่าให้พี่แกแก้ให้แป๊บเดียวก็เสร็จ และแล้วไอ้เติร์กก็ทำน้ำผึ้งยาพิษเสร็จ!!

'จบแล้ว..พอแล้ว น้ำผึ้งจ๋า พี่เติร์กขอลาก่อน บั๊ย!!!'



---------
TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 13:58:32 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1





Fallen DESTINY!!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 4
[/color]








"ป่าป๊ากลับมาแล้วครับเด็กๆ"

"ป่าป๊า / ป่าป๊า" เด็กๆ ทิ้งหุ่นยนต์ในมือแล้ววิ่งเข้ามากอดจนผมแทบหงายหลัง ลองคิดดูนะครับลูกผมตอนนี้ก็สามขวบกว่าแล้ว แถมยังจ้ำหม่ำอีกต่างหาก คนเดียวว่าหนักแล้ว สองคนนี่คงไม่ต้องพูดถึง

"คิดถึงแอสตัน กับออสตินจังเลยครับ" ว่าแล้วผมก็หอมแก้มลูกไปคนละข้าง แล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น

"มีของอร่อยๆ มาฝากด้วย แทนแท๊น!!"

"ว้าว!!" สองแสบเห็นเยลลี่ของโปรด ตาก็เป็นประกายเชียวครับ

"แต่ยังกินตอนนี้ไม่ได้ครับ กินข้าวเย็นเสร็จก่อนครับถึงจะกินได้ งั้นเดี๋ยวป่าป๊าเอาไปแช่ตู้เย็นไว้ก่อนดีกว่า จะได้อร่อยๆ" ผมเก็บถ้วยเยลลี่ใส่ถุง แล้วเดินออกมา ส่วนเด็กๆ ก็มองตามตาละห้อย

"เดี๋ยวค่อยกินนะครับลูก ไหนบอกป่าป๊าก่อนสิครับว่าวันนี้ดื้อรึเปล่าเอ่ยอยู่กับยายภา?" ผมทิ้งเด็กๆ ไว้กับป้าอำภาครึ่งวันครับวันนี้ เพราะต้องไปแจกลายเซ็นให้แฟนคลับในฐานะคนแปลนิยายของสำนักพิมพ์

"แอสตันไม่ดื้อฮับ เป็นเด็กดี / ออสตินก็ด้วยฮับ เราสองคนช่วยยายภาปลูกต้นไม้ฮับ" ผมทำตาโตแบบที่เด็กๆ ชอบทำเวลาเห็นของที่ชอบ

"แล้วสนุกกันไหมครับ?"

"ฮับ แอสตันใช้เสียมขุดอย่างงี้ๆ ครับป่าป๊า" มีท่าทางประกอบด้วยวุ้ย สงสัยจะชอบมากจริงๆ แอชตัน กับออสตินจะสนใจสิ่งรอบตัวอยู่เสมอครับ ชอบถามนั่นถามนี่ ยิ่งถ้าไม่เข้าใจหรือยังไม่หายสงสัยก็จะถามอยู่นั่นแหละครับ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าหนูจำไมของบ้านเลยล่ะครับ

"ออสตินก็เหมือนกันฮับ เราช่วยยาภารดน้ำต้นไม้ด้วยผักบัวด้วย" เจ้าตัวน้อยพูดด้วยความมั่นใจ แต่ผมนี่สิ กลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงกับคำว่า ผัก-บัวนี่แหละครับ

"เขาเรียก ฝักบัว ครับลูก ไหนพูดตามป่าป๊าๆ ใหม่สิครับ ฝัก-บัว" ผมค่อยๆ ออกเสียงช้าๆ ชัดๆ

"ผัก-บัว / ผาก-บัว" เอาเข้าไปสองพี่น้อง ยิ่งออกเสียงก็ยิ่งเพี้ยน ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วเริ่มสอนลูกใหม่ เข้าใจครับว่าเรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ สอน

"ไม่ใช่ครับ ดูปากป่าป๊านะครับ ฝัก-บัว"

"ฝาก-บัว / ฝาก-บัว" เอาวะ!! ฝากบัว ก็ฝากบัว ก็ไม่ได้เพี้ยนมากจนน่าเกลียด ยังพอฟังเข้าใจอยู่ แต่ต่อไปคงต้องสอนให้พูดชัดมากกว่านี้

"เก่งมากครับ...สรุปวันนี้คนเก่งของป่าป๊าสองคนช่วยยายภาปลูกต้นไม้กับรดน้ำต้นไม้ใช่ไหมครับ?" เด็กๆ พยักหน้า "เก่งขนาดนี้..สงสัยกำลังจะโตเป็นหนุ่มแล้วแน่เลย ฮิฮิๆ" เด็กๆ ยิ้มจนเห็นฟันเล็กๆ ครบทุกซี่เลย

"งั้นแอสตัน กับออสตินรอป่าป๊าอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ ระบายสีด้วยกันไปก่อน เดี๋ยวป่าป๊าไปทำกับข้าวให้ก่อนนะครับ"

"ฮับ / ฮับ" เสียงตอบรับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผมลูบหัวเด็กๆ แล้วลุกไปทำกับข้าว เมนูของเด็กๆ วันนี้เป็นต้มจืดแตงกวายัดไส้ครับ ส่วนของผมเป็นส้มตำที่ซื้อมาจากปากซอยเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แค่เทใส่จานอย่างเดียว แค่เห็นก็เปรี้ยวปากน้ำลายสอแล้วครับ อยากกินมาตั้งแต่ตอนกลางวันละ

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็เอาเยลลี่ออกมาให้เด็กๆ กินตามสัญญา เยลลี่แช่เย็นถ้วยใหญ่ๆ คนละถ้วย กับเด็กแฝดสองคนที่ดูเท่าไหร่ก็ยิ่งน่ารัก

มีคนเคยถามผมว่า "ทำไมถึงตั้งชื่อลูกว่า แอสตัน กับออสติน?"  ตอบเลยครับว่าแค่ชอบสองชื่อนี้เฉยๆ ครับ ดูเท่ห์ดี แล้วดูลูกผมสิครับ หน้าตาออกฝรั่งจ๋าซะขนาดนี้ จะให้ตั้งชื่อไทยคงดูจะไม่เข้ากันสักเท่าไหร่


...............


เช้านี้พวกเราสามคนพ่อลูกพร้อมใจกันตื่นสาย สองแฝดกำลังนอนหลับตาพร้ิม ขนตายาวๆ กระพริบเล็กน้อยเมื่อเอามือไปแตะเบาๆ การตื่นมาแล้วเห็นลูกนอนอยู่ข้างๆ ตอนเช้าถือเป็นรางวัลสำหรับเช้าใหม่ของพ่อลูกอ่อนอย่างผมจริงๆ ครับ เหมือนได้ชาร์จพลังจากความเหนื่อยล้า แล้วเติมเต็มด้วยความอบอุ่นใจแทน ผมว่านี่แหละครับความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่

มองหน้าลูกจนพอใจแล้วก็ได้เวลาที่คุณพ่ออย่างผมต้องลุกไปเตรียมข้าวเช้าแล้วล่ะครับ เด็กๆ ตื่นมาจะได้กินเลย

ว่าแล้วก็เดินไปเปิดม่าน เปิดหน้าต่างรับอากาศยามเช้า อากาศเช้านี้สดใสครับ ร้อนแต่ไม่มาก เอ๊ะ!! หรือเป็นเพราะยังเช้าอยู่ แดดเลยไม่แรง

เตรียมข้าวเช้าเสร็จไม่นาน แอสตัน กับออสตินก็ตื่นนอน เด็กชายตัวขาว แขนป้อมๆ สองคนกำลังอ้าปากหาว แล้วคานลงจากเตียง

"ป่าป๊าฮับ ออสตินฉี่รดที่นอน" มือป้อมๆ ของแอสตันชี้ไปที่น้องชายตัวเท่ากันที่ทำหน้าไม่พอใจฝาแฝดตัวเองอยู่

"ออสตินเปล่าฮับป่าป๊า แอสตันต่างหากที่ฉี่" อ้าว!! สรุปใครกันแน่ที่ฉี่รดที่นอน แล้วทำไมลูกผมขี้ฟ้องกันอย่างนี้ล่ะเนี๊ยะ ผมมองเด็กน้อยสองคนที่กำลังแง่งๆ ใส่กันตอนเช้าแล้วส่ายหัว

"ไหนมาพิสูจน์กันหน่อยสิครับจอมยุ่งว่าใครกันแน่ที่ฉี่รดที่นอน?" ร่างเล็กๆ สองคนเดินเข้ามาหา ผมเลยย่อตัวลงแล้วจับกางเกงดู

"กางเกงออสตินเปียก ของแอสตันก็เปียก สรุปว่าฉี่รดที่นอนทั้งคู่เลยใช่ไหม หืม?" ผมบิดจมูกทั้งสองคนเบาๆ สงสัยคงเป็นเพราะก่อนนอนเล่นกันเยอะไป กลางคืนเลยละเมอไม่พอ ยังฉี่รดที่นอนอีกด้วย

สองหน่อยิ้มแฉ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะสลดเลย แถมยังส่งสายตาอ้อนๆ มาให้อีก

"ป่าป๊าจะทำโทษเด็กนิสัยไม่ดี ฉี่รดที่นอน วันนี้ต้องอยู่ช่วยป่าป๊าทำความสะอาดบ้านนะครับ เข้าใจไหม?"

"ฮับ / ฮับ" สองหน่อรับคำแล้วกระโดดชูมือขึ้น

"แต่ก่อนอื่นต้องไปล้างหน้า แปรงฟันกันก่อน แล้วค่อยมากินข้าวนะครับ" เด็กๆ วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็ออกมาด้วยยิ้มหวานสดใส แถมฟันยังขาวจั๊วด้วย

ผมเดินเข้าไปเก็บแปรงสีฟันที่วางทิ้งไว้บนซิงค์พร้อมกับแก้วพลาสติกคนละอัน ตรวจดูว่าลูกๆ ล้างแปรงฟันสะอาดไหม ถ้าไม่สะอาดก็ต้องเอามาล้างใหม่ แล้วเก็บเข้าที่เหมือนเดิม ถามว่าเด็กๆ บีบยาสีฟันเองได้ไหม ลูกผมทำได้นะ เด็กคนอื่นๆ ก็ทำได้ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนแค่นั้นเองว่าใช้ยังไง ล้างยังไง แปรงฟันยังไง แล้วใช้เสร็จต้องเอาวางไว้ตรงไหน ส่วนน้ำบ้วนปากอันนี้เกินความสามารถเด็กไปหน่อย เพราะซิงค์อยู่สูง ผมเลยต้องหาเก้าอี้พลาสติกมาไว้ แล้วเอากาละมังพลาสติกใส่น้ำวางไว้อีกที เวลาเด็กๆ ตื่นมาจะได้เข้ามาล้างหน้าแปรงฟันได้เองเลย

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมก็ไล่ต้อนเด็กๆ ไปที่โต๊ะกินข้าว เพราะตอนนี้สายแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกๆ กินข้าวผิดเวลาสักเท่าไหร่ เดี๋ยวจะปวดท้อง

"รอป่าป๊าตรงนี้ก่อนนะครับสองคน เดี๋ยวป่าป๊าไปเอาเครื่องดูฝุ่นก่อน แล้วเราจะได้เริ่มทำความสะอาดกัน"

"ฮับ / ฮับ"

"หน้าที่ของแอสตัน กับออสตินตอนนี้คือ ต้องเก็บของเล่นพวกนี้ใส่ลงในะกร้าให้หมดนะครับ ถ้าไม่หมดวันหลังป่าป๊าจะไม่ซื้อให้อีก เข้าใจไหมครับ?"

"ฮับ / ฮับ" เด็กๆ ตอบเสียงดังขันแข็ง ไม่เหมือนคนถูกทำโทษเลย ก็อย่างนี้แหละนะ วัยนี้เห็นอะไร ทำอะไรก็ดูสนุกไปหมด ช่างน่าอิจฉาเสียจริง

ผมยิ้มให้เด็กๆ ที่กำลังเก็บชิ้นส่วนตัวต่อเลโก้กับพวกบรรดาหุ่นยนต์และรถต่างๆ ของพวกเขาใส่ตะกร้า เห็นอย่างนี้ ของเล่นเด็กๆ ก็เยอะไม่ใช่เล่นนะครับ เยอะจนบางทีผมก็เผลอเหยียบใส่ชิ้นตัวตัวต่อบ้างเป็นก็มี แต่ของเล่นพวกนี้ผมไม่ได้เป็นซื้อให้หมดหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกพี่ธัน พี่ต้นแล้วก็พี่จุ๋มนั่นแหละครับที่ซื้อให้หลานๆ ตัวหลักก็พี่ธันนี่แหละครับที่ชอบหอบหิ้วมาให้ทุกครั้งที่มาเยี่ยม จนผมต้องปรามไว้ ไม่งั้นเด็กๆ จะเสียนิสัยเอาได้ นี่ขนาดว่าเพราๆ ลงบ้างแล้วนะครับ แต่ก็ยังกองเป็นพะเนินเทินเทิกอยู่ตรงมุมเด็กเล่นอยู่ดี

กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ปาไปสิบเอ็ดโมง ซึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องเตรียมข้าวเที่ยงให้เด็กๆ อีกแล้ว พอกินข้าวเสร็จผมก็จัดการอาบน้ำให้สองหน่อ พร้อมอาบน้ำให้ตัวเองไปพร้อมกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา จากนั้นพวกเราก็เคลื่อนพลไปบ้านป้าภา ผมจะฝากเด็กๆ ไว้กับแกสักสองชั่วโมง ไม่น่าจะเกินนี้ เพราะวันนี้ไม่ได้มีของที่ต้องซื้อเยอะ แค่นมกับแพมเพิร์ส แล้วก็ของสดใส่ไว้ในตู้เย็นเอง

ใช้เวลาไม่นานรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองก็พาผมมาถึงห้างประจำใกล้บ้าน เลือกซื้อของตามลิสต์ แล้วก็ของลดราคาที่ไม่อยู่ในลิสต์ เคยเป็นไหมครับคุณแม่บ้านเวลาที่เจอของลดราคาสำหรับครอบครัวหรือลูกๆ แม้ว่ามันยังมีอยู่ที่บ้านเยอะแยะ แต่ก็ยังซื้ออยู่ เพราะคำว่าลดราคา โปรโมชั่น หรือกลัวว่าหากไม่ซื้อตอนนี้ แล้วรอซื้อตอนหน้ามันจะแพงขึ้นกว่าเดิมนี่แหละครับ

"3,348.50 ค่ะ คุณลูกค้ามีบัตรxxxx ไหมคะ?" ผมยื่นบัตรสมาชิกให้แล้วจ่ายเงิน จากนั้นก็หิ้วออกมาเรียกแท็กซี่ตรงหน้าห้าง

ร้อนก็ร้อนนะ แต่แท็กซี่ก็ยังไม่มา เรียกได้ว่าโบกไปสามสี่คันก็ปฏิเสธมันทั้งสามสี่คันนั่นแหละ

อะนั่นมาละ ถ้าคันนี้ปฏิเสธลูกค้าอีกพ่อจะโวยให้แล้วนะโว้ย

"ไป xxxxx ครับ"

"อ้าว!!! (฿&&@(:::,฿" จะไม่ให้สบดได้ไงครับ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเลย พี่แท็กซี่แกก็บึ่งรถไปซะแล้ว

บอกเลยนะ วินาทีนี้ไอ้เติร์กเกลียดแท็กซี่ประเทศไทยมาก นี่ถ้าไม่ใช่ต่างชาติก็จะไม่รับส่งให้เลยใช่ไหมครับ ห๊ะ??


มาคิดๆไป ขึ้นรถเมล์กลับก็ได้ แต่จะเข้าหมู่บ้านยังไงนี่สิคือปัญหา เพราะไม่มีวินมอไซค์เลย แต่เอ๊ะ!!  ไอ้รถเก๋งสีดำคันนี้มันคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน??

"ขอโทษครับ"

"ครับ?" เจ้าของรถคันนั้น.....

"พวกเราขอเชิญคุณไปคุยธุระกับพวกเราสักครู่ได้ไหมครับ?"

ธุระอะไร? ไม่เคยรู้จักกันจะมีธุระอะไรได้ยังไง๊???

"ผมไม่ไปปปปปป" พูดจบก็เตรียมตัวจะวิ่งหนีสิครับ

"หยุด!! อย่าวิ่งนะครับ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ" ชายชุดเอาล้วงเข้าไปในกระเป๋าชุดสูท

นี่มันจะปล้นกันกลางวันแสกๆ อย่างนี้เลยเหรอวะเนี๊ยะ

"จ..จะพาผมไปไหน? ล...แล้วพวกคุณต้องการอะไร?"

"พวกเราแค่อยากจะเชิญคุณคณิตินไปพบเจ้านายของเราเฉยๆ ครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร" เชื่อได้แน่เหรอวะ? แถมชื่อแซ่ผม พวกมันก็เรียกได้ถูกต้องซะด้วย เรียกได้ว่าถ้าจับตัวไปเรียกค่าไถ่คงไม่ผิดตัวแน่ๆ

"รีบขึ้นไปเถอะครับ ผมรับรองว่าคุณจะกลับมาครบอาการสามสิบสองอย่างแน่นอนครับ" หนึ่งในสองของชายใส่สูทสีดำ สวมแว่นตาดำพูดขึ้น

นี่มันเป็นการข่มขู่รึเปล่าวะ?? แต่ถ้ามาจี้หรือปล้นกันจริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องสวมสูท ผูกไทด์ แล้วก็ขับรถหรูเลยนี่หว่า ใจเย็นๆ เติร์ก คิดก่อน

"เจ้านายพวกคุณเป็นใคร ล...แล้วต้องการพบผมทำไม?"

"เดี๋ยวไปถึงคุณก็จะรู้เองครับ พวกเรามีหน้าที่แค่มารับ แล้วก็ไปส่งกลับแค่นั้นเองครับ เรื่องอื่นคุณต้องเรียนถามท่านเอาเอง"

"เชิญครับ" เอาวะไปก็ไป ดีกว่านอนไส้แตกอยู่ตรงนี้

ก้าวขาขึ้นรถ แล้วก็นั่งไปด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ในหัวคิดไปสารพัดว่าคนที่อยากพบผมเป็นใคร แล้วเขาต้องการอะไรจากผม มาคิดๆ ดูแล้ว ตัวเองก็ไม่เคยไปขัดแข้งขัดขาใครเขานะ แล้วก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหนด้วย ยิ่งคิดเหงื่อก็ยิ่งแตกพลักๆ ทั้งๆ ที่อยู่บนรถแอร์เย็นเฉียบแท้ๆ

'ไอ้เติร์กหนอไอ้เติร์ก เวรกรรมอะไรของเองนักหนา ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้'


-----------------
---------///////-
------------
----------
--------


รถเก๋งสีดำคันเดิมแล่นจากถนนสายหลักหน้าห้างสรรพสินค้าดัง ผ่านการจราจรของเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ เข้าสู่คอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านของผู้ดีมีอันจะกิน ผมเหลือบมองผู้คุมชุดดำสองคนนิดนึงก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถตามที่พวกนั้นพายมือบอก

'ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม เพราะต้องใช้การ์ดในการกดขึ้นลิฟท์ แบบนี้คนภายนอกคงเข้ามาได้ยาก'

หรูขนาดนี้ให้ไอ้เติร์กอยู่ฟรีก็ไม่เอาหรอก คอนโดห่าอะไรมีตั้ง 77 ชั้น ไม่กลัวแผ่นดินไหวกันรึไง แต่มาคิดๆ ดูอีกที ถ้าเขาให้ฟรีๆ ก็เอานะ เอามาขายต่อหรือปล่อยให้เช่าน่าจะได้เงินเยอะดี ถามจริงมีใครโง่ไม่เอาบ้าง ของฟรีใครเขาก็ชอบกันทั้งนั้นแหละ ราคาเริ่มต้นที่ 200,000-400,000 บาท/ตรม.  นี่ถ้าให้เดาราคาก็น่าจะสักประมาณ 9-300 ล้านบาท ก็นะมันเป็นคอนโดใน “โครงการมหานคร” นี่หน่า ต้องยิ่งใหญ่สมชื่อหน่อยสิ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นอาคารสูงที่สุดในประเทศไทยด้วยใช่ไหมนะ

แต่มันใช่เวลาที่จะมาพินิจวิเคราะห์คอนโดหรูไหมตอนนี้????
 
เสียงลิฟท์ดัง "ติ๊ง" เมื่อมาถึงชั้น 39 มองจากวิวตรงนี้ถ้าตกลงไป คงต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น

"เชิญทางนี้ครับ"

ผมเดินตามชายชุดดำสองคนมาติดๆ คนหนึ่งประกบด้านหน้า อีกคนก็ประกบด้านหลัง

'อย่าประหม่าเติร์ก เขาแค่เชิญเองมานั่งกินกาแฟ จิบชาแล้วพูดคุยธุระเฉยๆ หรอก???'

'แกร๊ก!!' เสียงปลดล็อคด้วยคีย์การ์ดดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากกดรหัสด้วยมือ พร้อมกับมือที่ถูกผายออก บอกว่าให้เดินไปตามทางเดินนี้ได้เลย

'เอาวะ เดินก็เดิน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว หันหลังกลับออกไปแล้ววิ่งหนีจนสุดชีวิตก็ใช่ว่าจะรอด'

"ก๊อกๆๆ นายครับ คุณคณิตินมาถึงแล้วครับ" ประตูสีน้ำตาลโอ๊คแดงถูกเปิดออกมาโดยการ์ดที่เฝ้าหน้าประตู แอร์ที่เย็นขึ้นกว่าข้างนอกทำให้รู้สึกถึงรังสีคุกคามแปลกๆ จนต้องลูบแขนตัวเองเบาๆ

เขาเดินมาจนถึงกลางห้อง น่าจะเป็นห้องทำงานส่วนตัว เพราะตรงกลางเป็นโต๊ะทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ พร้อมกับเอกสารมากมายที่วางกองเป็นพะเนินเทินเทิกอยู่ด้านบน

 และแล้วผมก็เห็นคนที่สองคนนั้นเรียกว่านาย  ถึงจะเป็นการเห็นจากด้านหลังก็เหอะ

จะว่าไปหมอนี่ก็ร่างกายสูงใหญ่กำยำใช้ได้เลยทีเดียวนะ ผมก็สีน้ำตาลไหม้ อกก็ผายไหล่ก็ผึ่ง ติอย่างเดียว มาดเยอะไปหน่อย เพราะตั้งแต่เขาเข้ามานี่เจ้าตัวยังไม่หันมาประจันหน้าคุยกับเขาเลยสักนิด  ได้แต่ยืนสงบนิ่งผิงโต๊ะทำงานได้เป็นนาทีแล้วเนี๊ยะ

 แต่ไอ้เติร์กจะมารอนายท่านชื่นชมความงามยามเย็นแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะสองแฝดกำลังรอเขากลับบ้านอยู่

"อ..เอ่อ คุณมีธุระจะคุยอะไรกับผมเหรอครับ?"

เสียงสั่นใช้ได้เลยไอ้เติร์กเอ๊ย!! ให้มันได้อย่างนี้สิ

แต่ใครมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เหมือนผม คงจะเข้าใจว่ารู้สึกยังไง มันทั้งกดดันแล้วก็ชวนขนหัวลุกไปในตัว ไม่นานนักเจ้าของห้องชุดก็หันมา นัยน์ตาสีเขียวอมเทาจ้องมองคนที่มาใหม่ ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วก็มองกลับขึ้นไปใหม่อย่างพินิจวิเคราะห์

"เออ..ผมว่าเราเข้าเรื่องกันเลยไหมครับ เพราะผมต้องรีบกลับบ้าน แหะๆ"

"นั่งสิ"

จะว่าไปถ้าไม่ติดว่าตาสีเขียวอมเทานั่นดูเคร่งขรึมแล้วก็ดูเรียบเฉยจนเกินไปนะ ผมว่าเขาเป็นที่หน้าดีมากเลยนะ ไอ้พัตที่ว่าหล่อแล้วหุ่นดีแล้วนะ มาเจอผู้ชายคนนี้ ไอ้พัตก็ไอ้พัตเหอะครับ ชิดซ้ายไปเลย ขนาดใส่แค่เชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้น กับกางเกงแสล็คสีดำธรรมดาก็ยังดูดี ดูดีแบบแบดๆ น่ากลัวน่ากลัว บอกไม่ถูกเหมือนกัน

"ผมอยากเจอเด็กๆ"

เด็กๆ ไหน ผมไม่เข้าใจ???

"เจ้านายผม หมายถึง คุณหนูแฝดที่อยู่กับคุณตอนนี้น่ะครับ" ชายหนุ่มท่าทางสุภาพ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาพูดขึ้นมา

"คุณค..คือ...."

"ผมอาเธอร์ครับ เป็นทนายประจำตระกูล แล้วก็นี่คุณ Ryan Burns เจ้านายของผม หรือคุณพ่อของหนูแฝดที่พูดถึงเมื่อครู่ครับ"

"ส่วนเรื่องที่ต้องเชิญคุณคณิตินมาคุยถึงที่นี่ก็เพราะ เจ้านายผมท่านมีความประสงค์จะขอรับคุณหนูทั้งสองกลับไปดูแลครับ"

"แล้วก็นี่..." เขายื่นรูปถ่ายใบหนึ่งมาให้ เป็นรูปถ่ายหญิงสาวใบหน้าคุ้นตาคนหนึ่งที่ถูกเย็บกับติดกระดาษสองสามแผ่นด้านหลัง

ผมไล่เปิดอ่านช้าๆ เพื่อระงับอาการสั่นของตัวเองไปด้วย ในหัวตอนนี้คิดถึงแต่หน้าลูก

     หนังสือสัญญาว่าจ้าง โดยระบุให้นายไรอัน เบิร์นส (ผู้ว่าจ้าง) 
นางสาวรสิตา กมลพิพัฒน์ (ผู้ถูกจ้าง) โดยมีค่าจ้างจำนวน 610,000$ สำหรับการอุ้มบุญบุตรของนายไรอัน เบิร์นส์ และค่าใช้จ่ายในการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์จนถึงคลอดอีก xx,xx$

ทั้งนั้นและทั้งนี้ เมื่อได้รับเงินไปแล้ว เด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญจะตกเป็นของผู้ว่าจ้างโดยสมบูรณ์ และผู้ถูกว่าจ้างจะไม่มีสิทธิ์ใดๆ ต่อเด็กทั้งนั้น

พร้อมกันนี้ต้องรับปากว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และต้องดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพทุกๆ เดือนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการอุ้มบุญ หากทำผิดข้อใดที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในสัญญานี้ การว่าจ้างทุกอย่างจะถูกทำให้เป็นโมฆียะ

ลงลายมือชื่อ
รสิตา กมลพิพัฒน์

อีกแผ่นหนึ่งเป็นข้อตกลงของการว่าจ้าง แต่ผมไม่ต้องการอ่านมันแล้วล่ะครับเพราะ ผมอยากกลับไปหาลูก อยากกลับไปหาสองแฝดใจจะขาด


----------------------------


ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว โดยที่เด็กๆ ยังอยู่กับป้าอำภาอยู่ ผมจะทำยังไงดี มองไปทางไหนก็ไม่มีทางออก ประโยคนี้เหมือนผมเคยได้ยินจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแม่ของเด็กแฝดสองคนเมื่อหลายปีก่อน เธอบอกว่าที่ตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะไม่มีทางออก มองไปทางไหนก็ไร้ทางออก ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะครับว่าตอนนั้นเธอรู้สึกยังไง

'นี่ผมต้องเสียลูกไปจริงๆ แล้วใช่ไหม?'

'ผมจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีกแล้วใช่ไหม?'

"฿&¡((฿@@")&")฿" เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น

|| Mom's calling ||

".............."

"ฮัลโหลไอ้เติร์ก แกได้ยินแม่รึเปล่า ฮัลโหล"

"ครับ ผมได้ยิน"

"นั่นแกเป็นอะไร แล้วหลานแม่อยู่ไหน แม่อยากคุยด้วย?" จุกครับบอกตรงๆ อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก

"เอาล่ะ ถ้าแกโอเคขึ้นแล้วก็บอกแม่สักทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแกถึงเป็นแบบนี้?" ผมไม่ได้ร้องไห้นะ แต่แค่ไม่มีแรงจะพูดโต้ตอบมากกว่า

"เขา...เขาจะมาเอาสองแฝดไปแล้วครับแม่ เขาจะมาเอาลูกของผม หลานของแม่ไปแล้วครับ"

สายของแม่ผมก็เงียบตามไปด้วย ถึงผมจะพาเด็กๆ กลับไปหาท่านไม่บ่อย แต่ถ้ามีเวลาผมก็จะให้พวกเขาคุยกันทางแอพพิเคชั่นสีเขียวมากกว่า เพราะมันได้เห็นหน้ากันชัดดี บางครั้งถ้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด ผมก็จะพาเด็กๆ ไปด้วย นึกถึงครั้งแรกที่แม่เห็นสองแฝด ก็ทำท่าตกใจมาก เรียกว่าช็อคเลยถึงจะถูก แต่แกก็พยายามเข้าใจ ไม่ถามสักคำว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นได้ยังไงตอนไหน

เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ ผมก็ไม่เคยเล่าเลยว่ามีแฟน ส่วนแม่ก็จะมีถามบ้างว่าเมื่อไหร่จะพาสะไภ้มาเปิดตัวเมื่อไหร่ แต่ผมปฏิเสธแม่ไปนั่นแหละว่ามัวทำงาน อีกอย่างพนักงานออฟฟิศจนๆ สาวที่ไหนจะมาสนใจ จนพักหลังๆมานี่แกบอกว่าอยากเห็นหน้าแฟนผม เมื่อไหร่จะแต่งงาน แม่อยากอุ้มหลาน ก็นี่ไงครับผมเลยพามาให้อุ้มเลยตั้งสองคนรวดเดียวเลย

"แล้วเขาจะพาหลานแม่ไปเมื่อไหร่ เขาได้บอกไหม?"

"วันพรุ่งนี้ครับ" ใช่ครับวันพรุ่งนี้ ผมรู้ครับว่ามันเร็วไปสำหรับผมกับแม่ แล้วก็เด็กๆ แต่ในเมื่อพ่อตัวจริงเขาต้องการแบบนั้นแล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ ถึงเด็กๆ จะเรียกผมว่าป่าป๊า ถึงสมุดพกประจำตัวคุณแม่จะเป็นชื่อผม แต่ด้วยสายเลือดและสัญญานั่นแล้ว ผมที่เป็นแค่พ่อกำมะลอจะมีสิทธิ์อะไรไปทักท้วงเขาล่ะครับ

"แม่รู้ว่าแกยังทำใจไม่ได้ แต่นั่นก็เขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แกก็หักห้ามใจเถอะนะเติร์ก แล้วกลับมาอยู่บ้านเรากับแม่"

"ผมอยากเห็นพวกเขาโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ อยากเห็นพวกเขาแต่งงานมีครอบครัว" พูดไปเสียงผมก็เริ่มสั่นไปเรื่อยๆ

ผมคุยกับแม่นานเป็นชั่วโมง จนท่านบอกให้ผมไปรับเด็กๆ กลับมาได้แล้ว จะได้บอกความจริงให้เด็กๆ รู้ เด็กๆ จะได้ไม่ตกใจ

ผมเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อแล้วเรียกแรงกายแรงใจให้ตัวเอง

'สู้ๆ เติร์ก มันต้องมีทางแก้สิวะ'

ผมพาเด็กๆ ขึ้นแท็กซี่สีเขียวเหลืองกลับมาที่เดิม คอนโดหรูที่เพิ่งมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ จากนั้นก็โทรบอกให้คนทางนั้นรับทราบว่ากำลังจะพาสองหน่อไปหา

"ป่าป๊าฮับ เรากำลังจะไปไหนกันเหยอฮับ?" ออสตินถาม

"ป่าป๊ากำลังจะพาแอสตันกับออสตินไปเจอแดดดี้ของแอสตันกับออสตินไงครับ"

"แดดดี้คืออะไรเหยอฮับป่าป๊า?" อันนี้แอสตันเป็นคนถาม

"แดดดี้ คือพ่อของหนูไงครับ" แอสตันกับออสตินส่ายหน้าพร้อมกัน แล้วชี้มาที่ผม นิ้วเล็กๆ ป้อมๆ จิ้มลงมาที่อกผมขณะนั่งคุยกับลูกๆ

"นี่ไงฮับพ่อของแอสตัน"

"ใช่ๆ ฮับ พ่อของออสตินด้วย" เด็กยิ้ม แต่ผมนี่สิครับ น้ำตากำลังตก เลยต้องรีบเช็ดก่อนที่เด็กๆ จะร้องตาม

"ไม่ใช่หรอกครับ ป่าป๊าก็คือป่าป๊า เป็นคนเลี้ยงดูแอสตัน กับออสตินเฉยๆ แต่ไม่ได้เป็นคนที่ทำให้แอสตัน กับออสตินเกิดมาหรอกนะครับ" พูดไปน้ำตาก็เริ่มไหลไป ส่วนเด็กๆ ก็เริ่มเบ้ปากเตรียมตัวจะร้องตามแล้ว ดีที่รถเคลื่อนมาถึงหน้าคอนโดแล้ว

"ชู่วววว อย่าร้องครับ ไหนใครว่า ท.ทหารต้องอดทน ไม่ร้องไห้ไงครับ?"

"ฮืบๆๆ ไม่ร้องครับ เก่งมาก"

"ไปกันครับเด็กๆ" ผมจัดการจูงแขนเด็กขึ้นลิฟต์ตามการ์ดคนเดิมขึ้นไป

'มันบีบหัวใจดีแหะ' ผมมองหัวน้อยๆ ทุยๆ อยากจะหอม อยากจะปลอบ อยากจะกอด แต่ก็ต้องหักห้ามใจ ยังทำตอนนี้ไม่ได้ เพราะคนข้างบนเขารออยู่


"ติ๊ง!!" เสียงลิฟต์ดัง ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ผมจูงแขนเด็กๆ ไปยังห้องอาหารบนภัตรคารหรูที่นัดหมาย

คนที่นัดพวกเราไว้หาได้ไม่ยากหรอกครับ เพราะเขางโดดเด่นแล้วก็ดูมีอำนาจ คืนนี้เขาสวมแค่เสื้อโปโลสีขาว กับกางเกงยีนส์สีเข้ม แตกต่างจากเมื่อตอนบ่ายที่อยู่ในมาดนักธุรกิจเต็มตัว เมื่อเห็นแล้วผมก็จูงแขนเด็กๆ เข้าไปหาทันที

"แอสตันครับ ออสตินครับ สวัสดีแดดดี้ก่อนสิครับ" เด็กๆ ส่ายหัว แล้วหลบเข้าไปอยู่ข้างหลังผม เห็นแบบนี้ใจผมแทบสลาย แต่ต้องทนข่มน้ำตาตัวเองไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก นึกถึงตอนที่จะต้องแยกจากกัน ถ้าเด็กๆ ร้องไห้ไม่ยอมไปจะทำยังไงดี

"นี่คุณยังไม่ได้บอกกับพวกเขาอีกเหรอว่าผมเป็นใคร แล้วต่อไปก็ต้องย้ายไปอยู่กับผม?" ผมส่ายหน้าเบาๆ

"ผมพยายามแล้ว แต่มันยากนะคุณรู้ไหม พวกเขายังเด็กอยู่ ต่อให้อธิบายยังไง ก็ต้องกระทบต่อความรู้สึกของเด็กๆ อยู่ดี"

"แอสตันครับ ออสตินครับ ไม่ต้องกลัวนะครับ เขาไม่ทำอะไรพวกหนูหรอกครับ ไหนลองเอามือไปเช็คแฮนด์กับแด็ดดี้สิครับ นี่ไงป่าป๊าทำแล้ว เขายังไม่ทำอะไรเลย"

เด็กๆ ยื่นมือขาวๆ ออกไปช้าๆ แล้วก็ชักมือกลับโดยที่ยังไม่ทันได้แตะกันด้วยซ้ำ ปกติเด็กๆ จะเข้ากับคนอื่นง่าย แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์แบบนี้ ผมเข้าใจ

"ถ้าคุณอยากให้พวกเขาอยู่กับคุณโดยที่ไม่กลัว คุณต้องลดความตึงเครียดพวกนั้นลงก่อนสิครับ อย่าเพิ่งทำให้เด็กๆ หวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่งั้นชาตินี้ทั้งชาติคุณก็ไม่ได้กอดพวกเขาอย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี่หรอก" ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดกระทบกระเทียบเขา แต่มันอดไม่ได้ ก็ใครใช้ให้มาพรากลูกไปจากอกผม ใครใช้ให้เขาทำลูกผมกลัว

เขาตะหวัดสายตามองผมโกรธๆ นิดนึง แล้วหันไปสนใจสองแฝดต่อ  ก่อนมานี่ผมเพิ่งสืบค้นดูจากจากทางอินเทอร์เน็ตว่าเขาเป็นใคร ทำอาชีพอะไร เผื่อจะมีข้อมูลบ้าง สรุปคือเขาเป็นนักธุรกิจดังที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรซอฟต์แวร์ ชาวอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน อิตาเลี่ยน

แล้วทำไมเขาถึงพูดภาษาไทยได้อะเหรอ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนสิครับ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ตอนนี้ผมสนใจแค่ลูก ว่าพวกเขาจะอยู่กับผู้ชายตรงหน้านี้ได้รึเปล่า

"เด็กๆ ครับ ลูกผู้ชายเขาไม่ขี้กลัวหรอกนะครับ ขนาดอุลตร้าแมนคอสมอสยังกล้าสู้กับสัตว์ประหลาดทั้งๆ ที่พลังใกล้จะหมดเลย แล้วทำไมลูกของป่าป๊าถึงขี้กลัวแบบนี้ล่ะครับ หื้ม?"

แอสตัน กับออสตินมองหน้าผมสลับกับหน้าคนตรงหน้าไปมาสองสามที ผมเลยพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้บางๆ จนเด็กๆ กล้ายื่นมือออกไปไปผู้ชายคนนั้นอย่างช้าๆ

"เขาชื่อ ไรอันครับ เป็นแดดดี้ หรือพ่อของแอสตัน กับออสติน"

"แล้วต่อไปนี้เด็กดื้อของป่าป๊าทั้งสองคนก็จะต้องไปอยู่กับเขานะรู้ไหม?"

"แล้วป่าป๊าไปด้วยรึเปล่าฮับ?" แอสตันเงยหน้าขึ้นมาถาม

"ป่าป๋าต้องทำงานหาเงินมาซื้อของเล่นให้หนูไงครับลูก แต่ป่าป๊าสัญญาว่าจะไปหาบ่อยๆ นะครับ"

"แต่แอสตัน กับออสตินอยากให้ป่าป๊าไปอยู่ด้วย ป่าป๊าจะไปด้วยใช่ไหมฮับ ฮึกๆ หื้ออออ"

ผมรวบเลยเด็กๆ เข้ามากอดไว้กับอก หัวเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลไหม้เหมือนใครบางคนตรงหน้าซบหัวลงที่หัวไหล่ผมคนละข้างแบบที่เคยทำประจำ ผมน้ำตาคลอมองไปที่ผู้ชายตรงหน้าอย่างอ้อนวอน และหวังว่าเขาจะเข้าใจว่าความผูกพันของพวกเราสามคนมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่ใข่ว่าจู่ๆ อยากได้ลูกคืนก็จะเอาคืนวันนี้ตอนนี้เลย





















------------
TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:38:39 โดย รักเจ้าเอย »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1



Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่่อจำเป็น

 ตอนที่ 5
[/color]







"ติ๊งน่องๆ" เสียงกริ่งดัง ผมเลยชะโงกหน้าออกไปดูที่ริมหน้าต่างว่ามีใครมา

หลังจากวันนั้น วันที่ที่เด็กๆ ร้องไห้ตอนพาไปเจอคุณพ่อตัวจริงของพวกเขา ผมกับเด็กๆก็ยังไม่เคยห่างกันไปไหนไกลๆ เลย แม้แต่ตอนอาบน้ำ ตอนถ่ายหนักถ่ายเบาก็ยังไม่ยอมเลยครับ ต้องใช้ร้อยแปดวิธีเพื่อให้พวกเขาไม่งอแง เช่น ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู จนกว่าผมจะออกมา ผมว่าเด็กๆ เขารู้นะครับว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่งั้นพวกเขาคงไม่งอแงแล้วเฝ้าผมไว้แบบนี้หรอก

"เด็กๆ อยู่ไหน?" เขามองหาสองแฝด

"เด็กๆ กำลังแปรงฟันอยู่ครับ เพิ่งตื่นนอน เดี๋ยวก็คงออกมาครับ" สายตาสีเขียวอมเทากำลังสำรวจบ้านของพวกเรา

เอาที่สบายใจเลยครับ อยากดูอะไรก็ดูไป เพราะบ้านของผมไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ เมื่อเทียบกับห้องชุดสุดหรูของคุณเขา มาสิบรอบก็สังเกตดูมันสิบรอบนั่นแหละ มันแปลกรึไงบ้านผม

"ชะอุ่ย!!" สายตาคมหันมาสังเกตเจ้าของบ้านต่อเป็นรายต่อไป

"เออ...คุณจะเข้าไปดูเด็กๆ ก็ได้นะครับ ถ้าคุณอยากไป" เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไปเงียบๆ ส่วนผมจะไม่ตามไปก็ไม่ได้เพราะเด็กๆ ยังไม่สนิทกับเขา เดี๋ยวจะร้องไห้โยเยกันอีก

"โอ๊ย!!" ซี๊ดดดดดดดดดด จะหยุดเดินก็ไม่บอก

"บื้อ!!"

"ห๊ะ?"

ไรอันส่ายหัวเบา แล้วพยักหน้าบอกว่า "นำไปสิ!!"

'คนอะไรเฉยชาชะมัด'

"แปรงฟันเสร็จรึยังครับเด็กๆ ?" แอสตัน กับออสตินกำลังเคี้ยวแปรงสีฟันเล่น ฟองยังเต็มปากอยู่เลย ไม่รู้ว่าลูกคนอื่นเป็นแบบนี้ไหมนะครับ แต่แอสตัน กับออสตินชอบเคี้ยวแปรงสีฟันเล่นจนต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะขนแปรงมันบานหมดแล้ว

เด็กๆ หันมายิ้มให้ผมแล้วหยุดชะงักทำตาโต เพราะเห็นไรอันชะโงกหน้าเข้ามาดูข้างในด้วย

ถ้ามองไม่ผิด ผมว่าผมเห็นเขายิ้มด้วยนะ ยิ้มที่มุมปากหน่อยๆ คงคิดไม่ถึงล่ะสิว่าเด็กๆ จะแปรงฟันเองกับเขาเป็นแล้ว แอบภูมิเล็กน้อยถึงปานกลางที่ตัวเองเป็นพ่อที่ดีได้ขนาดนี้ ถึงเด็กๆ จะซนไปบ้าง ดื้อบ้างแต่ก็ตามประสา ตามวัยของพวกเขานะผมว่า

"แดดดี้เขามาเยี่ยมแอสตัน กับออสตินครับ ถ้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ออกมาออกมาได้แล้วนะครับ อย่าเล่นน้ำ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา" เด็กๆ พยักหน้า แล้วรีบบ้วนปาก ล้างหน้าตามพวกเราออกมา

หลังจากแอสตัน กับออสตินร้องไห้จนตัวโยนที่ห้องอาหารวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว โดยที่คืนนั้นไรอันยอมถอยกลับไปก่อน แต่บอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปหาที่บ้าน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสี่ห้าวันแล้ว เด็กๆ ก็เริ่มสนิทกับเขามากขึ้นแล้ว แต่ยังคงระแวงว่าผมจะหนีไปอยู่ดี นี่สินะที่เขาเรียกว่าความผูกพัน ถึงแม้ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็เหมือนมีสายใยบางๆ ถักทอพวกเราสามคนพ่อลูกไว้ด้วยกัน

"คุณทานข้าวรึยังครับ ถ้ายัง จะทานกับพวกเราก็ได้นะ เด็กๆ จะได้คุ้นเคยกับคุณมากขึ้น"

"อื้ม" ตอบแค่เนี๊ยะ?? ประหยัดถ่อยประหยัดคำได้อีก หรือกลัวดอกพิกุลทองจะร่วงก็ไม่รู้

"ผมทำผัดผักรวม กับต้มจืดไข่ลูกลอกให้เด็กๆ คุณทานอาหารไทยได้ไหมครับ?" เขาพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังขมวดคิ้ว

"ต้มจืด คือซุปใสอย่างหนึ่งที่รสชาติไม่เผ็ด เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ส่วนผสมก็จะมีเต้าหู้ที่ทำเป็นก้อนเล็กๆ คล้ายแฮมเบอเกอร์ ผักกาดขาว แครอท แล้วก็หมูสับ" เขาพยักหน้าตอบว่าเข้าใจแล้ว

"เจอแดดดี้แล้วต้องทำยังไงก่อนครับเด็กๆ?" แอสตัน กับออสตินยกมือไหว้

"ดีมากครับ ไหนมาให้ป่าป๊าดูก่อนสิครับว่า แปรงฟันสะอาดกันรึเปล่าเอ่ย?" เด็กๆ สองคนพร้อมใจกันยิงฟันโชว์ แล้วยิ้มกว้างให้

"โอเคสะอาดเรียบร้อย งั้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนครับ แล้วค่อยไปกินข้าว" เด็กๆ เดินมาจับมือผมไปที่ตะกร้าผ้าในห้องของเล่น ส่วนไรอันที่อยากรู้อยากเห็นชีวิตลูก เขาก็ตามมาดูด้วย เป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ ผมเลยชินตาไปแล้วตอนนี้

"เอ้า ยกขาขึ้น ป่าป๊าจะได้เอากางเกงออก แล้วใส่ชุดหล่อๆ ให้" ผมทำให้ออสตินก่อน เพราะรายนี้เปียกกว่าแอสตัน

"ถ้าคุณอยากลองทำบ้างก็ได้นะครับ แอสตันให้แดดดี้เปลี่ยนให้นะครับเด็กดี เดี๋ยวเรานะได้ไปกินข้าวกัน วันนี้มีของโปรดของใครก็ไม่รู้ด้วย" ผมแกล้งทำเสียงสองหลอกล่อ เพราะกลัวว่าแอสตันจะไม่ให้ความร่วมมือ ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ คนเป็นพ่อตัวโตซะเปล่าแต่ไม่มีสกิลการเลี้ยงเด็กเอาซะเลย ยิ้มก็ไม่ค่อยยิ้ม แล้วเด็กที่ไหนจะอยากเข้าใกล้

'จะเลี้ยงเด็กได้ก็ต้องมีลูกล่อลูกชนนะผมว่า หรือใครคิดว่าไม่จริง?'

"ทำตามผมนะครับ" คนตาสีเขียวเทามองตามที่ผมทำ แล้วก็ทำให้แอสตันบ้าง ถึงจะเงอะงะไปบ้าง แต่ก็ถือว่าผ่านไปด้วยดีกับบทเรียนนี้ ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็คล่องเอง ผมก็เคยเป็น

หลังจากนั้นพวกเราพากันยกโขยงไปที่โต๊ะกินข้าว ที่จริงเป็นโต๊ะญี่ปุ่นนั่นแหละครับ แต่อาจจะไม่ชินสำหรับคนตัวโตอย่างไรอันสักเท่าไหร่ นึกสถาพคนตัวโต สูงน่าจะแตะๆ 190 เซนติเมตร กับโต๊ะกินข้าวอันเล็ก ทำให้นึกถึงสโนไวท์ตอนที่แอบเข้ามาในบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด แล้วแอบกินข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ของคนแคระเลย

ผมตักแกงจืดไข่ลูกลอกใส่ถ้วยให้เด็กๆ จากนั้นก็ตักข้าวให้ ส่วนของพวกผมก็จะมีผัดผักเข้ามาเพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง จะว่าไปผัดผักนี่เด็กๆ ก็กินได้นะ เพราะไม่ได้ใส่พริก

 พวกเรากินข้าวกันเงียบๆ แต่ก็มีเสียงแจ้วๆ ของเด็กๆ ถามขึ้นเป็นระยะ

"อร่อยไหมครับ?" ผมถามลูก แล้วเอามือเช็ดที่ข้างแก้มให้

"ฮับ / ฮับ หงำๆๆ"

"ทานได้ไหมคุณ?" เขาพยักหน้าตอบ ปฏิสัมพันธ์ของผมกับเขาก็มีแค่นี้แหละครับ ไม่เคยได้คุยกันเป็นประโยคยาวๆ กับเขาสักที อยากรู้จริงว่าตอนอยู่กับผู้หญิงหรือกับลูกน้องคนสนิท หรือเพื่อนสนิทจะประหยัดคำพูดแบบนี้รึเปล่า

"เด็กๆ ชอบกินซุปแบบนี้เหรอ?" เขาถาม

"ใช่ครับ แต่พวกเขาก็ชอบอย่างอื่นนะครับ กินได้หลายๆ อย่าง ไม่ค่อยเลือกกินสักเท่าไหร่"

"ผมว่าคุณต้องรู้จักเข้าหาเด็กๆ ให้มากกว่านี้นะครับ ถ้าอยากให้พวกเขาสนิทด้วยมากๆ อย่างกอด กับหอมก็ทำได้ เด็กๆ จะได้รู้ว่าเรารักเขามากๆ"

'เอาอีกละ ขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งอีกละ ทำเป็นอยู่หน้าเดียวรึไง นี่อยากรู้จริง'

"ที่ผมบอกเพราะผมหวังดี ถึงคุณจะให้ผมอยู่ช่วยดูแลเด็กๆ แต่คุณพ่อตัวจริงอย่างคุณก็ต้องทำให้ให้เป็นนะครับ เด็กๆ จะได้ไม่รู้สึกเกรงเวลาอยู่กับคุณ" ส่วนจะให้จ้างคนเลี้ยง ผมก็ไม่ไว้ใจ ผมแย้งตั้งแต่วันแรกที่คุยกันแล้ว ถ้าจะให้หาคนมาดูแลลูกผม สู้ผมทำเองแบบเดิมเองจะดีกว่า

"ทำไม่เป็น" ฟังคำตอบแล้วก็อยากจะกรอกตาใส่อยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่ามันไม่สุภาพอะนะ

"ไม่เป็นก็ต้องหัดสิคุณ ผมก็ไม่ได้ทำเป็นมาจากท้องพ่อท้องแม่หรอกนะ กว่าจะทำพวกนี้เป็นก็ต้องลองทำ ลองผิดลองถูกกันทั้งนั้น"

"..........."

"เชื่อผมสิ คุณก็ทำได้"

"เอิกกกกก!!" เสียงเลอของเด็กๆ เมื่อกินหมดถ้วยแล้ว ผมกับไรอันเป็นอันต้องหยุดบทสนทนาไว้ก่อนแล้วหันไปมองต้นเสียง เด็กน้อยแก้มอ้วนๆ สองคนกำลังยิ้มแฉ่ง ยิงฟันส่งมาให้อย่างอาย

"หึๆๆๆๆ อิ่มมากเลยเหรอครับลูกหมูของป่าป๊า"

"มาครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะพาไปกินน้ำ" เด็กๆ ลุกตามขี้นมา แล้วออกมาด้วยแก้วน้ำสองใบในมือ ผมเลยบอกให้พวกเขาไปนั่งเล่นด้วยกันก่อน เดี๋ยวจะตามไป พอเดินกลับมาก็เห็นคนตัวโตกว่ากินอิ่มแล้ว ผมเลยจัดการยกสำรับพวกนี้ไปเก็บในตู้อาหาร

"ทำอะไร?"

"ทำน้ำส้มคั้นให้เด็กๆ ครับ พวกเขาชอบ มีวิตามินสูงด้วย" เขายักคิ้วให้ข้างหนึ่ง ประมาณว่าเข้าใจ แล้วก็ยืนมองผมคั้นต่อ แต่ผมว่าเขาคงแปลกใจกับที่คั้นน้ำส้มของผม อยู่พอสมควรแหละ เพราะมันค่อนข้างดั้งเดิม ไม่ใช่แบบที่เขาวางขายกันตามห้างไง

 แต่จะว่าไปก็มีอยู่นะที่คั้นน้ำส้มของเด็กแบบพลาสติกแบบนี้ จะอธิบายยังไงดี คือมันจะแยกออกเป็นสองส่วน คือชิ้นล่างมันจะคล้ายถ้วยเอาไว้เก็บน้ำคั้น ส่วนอันบนจะเป็นที่วางทับอีกที แล้วตรงกลางจะเป็นเกลียวๆ เอาไว้บีบและคั้นผมส้ม ขั้นแรกถ้าเราหั่นส้มเขียวหวานออกเป็นสองซีกแล้ว เราก็เอาส้มพวกนั้นมาวางบนพลาสติกที่เป็นเกลียวๆ นั่น แล้วก็บีบมันหมุนไปมาจนน้ำจากผลส้มมันหมด ส่วนน้ำที่ออกมามันก็จะตกลงไปยังถ้วยด้านล่าง โดยที่เมล็ดส้มมันจะติดอยู่กับตัวกรองด้านบนใกล้กับเกลียว อธิบายยากแหะ

"คุณลองทำดูไหมครับ?" ผมหลีกให้เขาเข้ามาในส่วนของบาร์ในห้องครัว เพราะพวกเราสองคนตัวไม่ใช่เล็กๆ เลย บาร์เล็กๆ นั่นเลยอาจดูคับแคบไปเลย สรุปคือถ้าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายตัวไม่ใหญ่มากก็จะดูโอเคอยู่ แต่คนตัวสูงใหญ่อย่างไรอัน มันเลยดูเหมือนปลากระป๋องไปหน่อย แล้วยิ่งมีผมอยู่ด้วย ยิ่งจะแคบไปกันใหญ่

"เอาส้มวางไว้ตรงนี้ แล้วก็บีบๆ หมุนๆ จนคิดว่าน้ำมันหมด แล้วก็เอาเปลือกมันทิ้ง แค่นี้เอง ง่ายไหม?"

"เอ้าคุณ จะมัวมองผมทำไม ลองทำดูสิครับ อะ!!" ผมยื่นผลส้มที่หั่นออกเป็นสองซีกแล้วให้

พอคั้นจนหมดถุงแล้ว ผมก็เอาเกลือกับน้ำต้มสุกและน้ำเชื่อมผสมลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็โคนๆๆ แล้วเอาแช่ในตู้เย็น ตอนกลางวันเด็กๆ ร้อน จะได้กิน

วิธีนี้ผมจำได้ว่าแม่ผมเป็นคนทำให้ผมกินตอนเด็กๆ สลับกับนม

"ป่าป๊าฮับ แอสตันหิวนม"

"ออสตินก็หิวนมเหมือนกันฮับป่าป๊าๆ หิวๆๆๆ"

"อะไรกันเด็กๆ เพิ่งกินข้าวเช้าไปเอง หิวแล้วเหรอครับ?" ผมหันไปมองตาสีเขียวอมเทาของเด็กน้อยทั้งสองคน จะว่าไปแอสตัน กับออสตินนี่ก็ได้พ่อเขามากเยอะเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็นตาเอย จมูกเอย หรือแม้แต่ปากก็ได้ไรอันมาหมดเลยแหะ ที่ชัดสุดแล้วดูออกว่าเป็นพ่อลูกกันก็คือตา สีเขียวอมเทาเหมือนกันเด๊ะ แถมแพขนตาพวกนั้นอีก ก่อนหน้านั้นผมว่าเด็กๆ น่าจะได้ขนตางอนๆ ยาวๆ มาจากเจ๊สิตา แต่ไม่ใช่แหะ ได้มาจากอิตาฝรั่งข้างๆ แบบถอดเบ้ามาเลยต่างหาก

'แบบนี้ต้องเรียกว่า เลือดพ่อมันแรง ลูกถึงโขกกันออกมาเหมือนกันเด๊ะเลย'

ถ้าเป็นภาษาบ้านผมคงเรียกว่า เหมือนกันอย่างกับคำหล่อเบ้า เป็นภาษาเหนือ ที่ใช้เปรียบเทียบพ่อลูก หรือแม่ลูกที่เหมือนกันมาก เหมือนกันอย่างกับการหล่อทองคำลงเบ้าหลอม อะไรประมาณนี้

"ไปรอที่ตรงที่นอนเลยครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะชงนมให้" ฟังจบลูกหมูสองตัวก็วิ่งกลับไปที่ห้องนั่งเล่น เพราะที่นั่นผมจะปูผ้านอนสำหรับเด็กไว้ให้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนเช้า กางเกง แพมเพิร์ส ขวดนม กาน้ำร้อน หรือแม้แต่วิคซ์กับมหาหิงค์ก็อยู่ในตะกร้าแถวนั้นแล้วด้วย

"คุณอยากลองชงนมให้พวกเขาดูไหมครับ?" เขาพยักหน้ารับ ผมเลยนำฝรั่งตัวโตออกมาที่ห้องของเล่นเด็กๆ

"กาน้ำร้อนผมเสียบทิ้งไว้แล้วครับ เหลือแค่ใส่นมกับน้ำอุ่นแค่นั้นเอง"

"มองนี่สิคุณ จะมัวมองอะไรอีกล่ะ"

"นม 2 ช้อน / น้ำ 4 ออน ใส่มันลงไปในขวดนมเลย จากนั้นก็เขย่าๆ ให้มันเข้ากัน ส่วนนี่สำคัญสุด ให้คุณลองเอานมหยดใส่ตรงหลังมือว่ามันร้อนเกินไปรึเปล่า ถ้าร้อนเด็กๆ จะกินไม่ได้ ต้องเอาไปแช่ในน้ำธรรมดาก่อน ไม่งั้นปากลูก ลิ้นลูกจะพอง" เขาพยักหน้าสองสามที

"อะ งั้นคุณทำหนึ่งขวดนะ" ส่วนผมก็เขย่าขวดที่ผมทำเสร็จ แล้วเอาไปแช่ในน้ำ เพราะน้ำมันเพิ่งเดือด แอสตัน กับออสตินคงต้องรอไปก่อน

พอชงนมเสร็จ ผมก็ให้เขาถือไปให้เด็กๆ ผมแอบมอง เด็กๆ ก็รับไว้แล้วเปิดฝาจับจุกนมยัดใส่ปาก นอนตีพุงกินนมโดยไม่ได้มีอาการกลัวเหมือนวันแรกๆ แล้วนะ

"แล้วคุณไม่ไปทำงานอะไรเหรอครับ?"

"ผมมาตามหาลูกเฉยๆ ส่วนงานคุยผ่านคอนเฟอเรนซ์ได้ถ้ามันเร่งด่วน" ก็นะ คนมันรวยอะนะ ไม่ทำงานก็ยังมีกินมีใช้ตลอดทั้งชาติเลย

"แล้วที่คุณอยากให้เด็กๆ ไปอยู่ที่คอนโดของคุณช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมจะบอกเด็กๆ ให้นะครับ พวกแกคงไม่งอแงหรอก"

ที่ไม่งอแง เพราะมีผมอยู่ด้วยนี่แหละ ขืนแยกให้สองแฝดอยู่กับพ่อเขาและพวกบอดี้การ์ดตามลำพังสิ เด็กๆ ได้ร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดแน่ จากที่ดูแล้วแต่ละคนไม่น่าจะเลี้ยงเด็กเป็นนะผมว่า แถมเพิ่งเคยเห็นหน้าคลุกคลีกันแค่สี่ห้าวัน จะให้ไปอยู่ด้วย เด็กๆ คงไม่แฮปปี้แน่

.....................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 14:39:39 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


ตอนนี้ผมกับลูกย้ายมาอยู่ที่ห้องชุดสุดหรูนี้ได้ 2 วันแล้ว จะเรียกว่าย้ายมาอยู่ก็คงไม่ถูกนัก เรียกมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวน่าจะเหมาะกว่า แล้วก็เป็นสองวันที่น่าเบื่อมากสำหรับผม งานบ้านอะไรก็ไม่ได้ทำ เพราะที่นี่เขามีแม่บ้านที่จะเข้ามาทำความสะอาดให้ประจำ อาทิตย์ละ 2 วัน คือวันจันทร์ กับวันศุกร์ ส่วนงานแปลผมก็เร่งทำจนส่งต้นฉบับให้หมดแล้ว รอทำเรื่องต่อไปอีกในเดือนถัดไป เพราะกำลังอยู่ในช่วงทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์อยู่

"คุณเติร์กมีอะไรให้ป้าช่วยรึเปล่าคะ?" ผมทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่แถวนี้อยู่หลายครั้งแล้ว ป้าแกไม่เห็นก็แปลกแล้ว

"คือ....ผมหิวข้าวครับ ป้าแดงพอจะมีอะไรให้ทานบ้างครับ แหะๆๆ"

"มีพายสับปะรดค่ะ แต่ยังทำไม่เสร็จ รอแป๊บนะค่ะคุณเติร์ก เดี๋ยวป้าจะเร่งทำให้ค่ะ"

"โอเค ขอบคุณครับป้า" ผมยิ้มให้ป้าแกแล้วเดินลูบท้องตัวกลับไปที่โซฟา คงเป็นเพราะตอนเช้าผมกินไปนิดเดียว ไหนตอนกลางวันก็ยังไม่ค่อยเจริญอาหารอีก พอบ่ายมาท้องไส้มันเลยส่งเสียงร้องครวญครางแบบนี้ เหตุผลที่กินน้อยน่ะเหรอ ก็เพราะอาหารที่นี่ เขาจะกินกันแบบยุโรป ไม่ก็อเมริกันไงครับ ผมที่ไม่ชอบขนมปัง ไข่ดาว หรืออะไรจืดๆ แบบนี้ก็เลยกินได้ไม่มากสักเท่าไหร่ แบบผมนี่ต้องส้มตำ ไก่ย่าง หมูน้ำตก ลาบอีสาน ผัดเผ็ด กระเพรา หรืออะไรก็ได้ที่มันรสจัดสักหน่อย รสชาติฝรั่งแบบนี้ผมกระเดือกได้แค่วันสองวันแรกเท่านั้นแหละครับ ไม่ใช่ป้าเขาทำไม่อร่อยนะครับ แต่มันไม่ใช่รสชาติที่ผมชอบไง

'อดทนอีกนิดนะเติร์กเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว' ผมสะกดจิตตัวเอง

15 นาทีผ่านไป ท้องก็ร้องขึ้นเรื่อย น้ำย่อยก็เริ่มเล่นงานหนักขึ้นทุกที ผมเลยเดินเข้าไปดูว่ามันอบเสร็จรึยัง ปรากฏว่ามันเสร็จแล้ว หอมเชียว!!

"โอ๊ะ!! ร้อนๆๆ" ซี๊ดดดด ผมสูดปากแล้วเอามือที่เพิ่งจับขนมมาแตะที่ติ่งหูตัวเอง

"ตะกละ!!"

"อะไร ก็คนมันหิวนี่หน่า' ผมเลิกสนใจเจ้าของห้อง แล้วใช้ปากเป่าพายสับปะรด ฟู่ววววว ฟู่วววว สองสามที แล้วจัดการเอามันเข้าปากเลยครับ

'อ้าาาาา นี่มันสวรรค์ของผู้หิวโหยชัดๆ" หันมองซ้ายมองขวาไม่มีใคร ผมเลยยัดพายในมือใส่ปากหมดเลย ไม่สนใจมันแล้วว่าจะติดคอรึเปล่า

พอหันไปมองตรงบาร์น้ำอีกที ก็เห็นเจ้าของห้องกำลังมองอยู่

"อะแค๊กๆๆ" ขนมติดคอ ผมรีบเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วเทน้ำดื่ม

'เกือบตาย เพราะความตะกละ เอ๊ย!! เพราะความหิวของตัวเองเลยไอ้เติร์กเอ๊ย'

'แล้วนี่อีก จะมองอะไรกันนักหนา ไม่เคยเห็นคนหิวรึไง?' ลำคาญคนจะกินก็มายืนจ้อง ไม่กงไม่กินมันแล้วก็ได้วะ

'เชอะ!!'

ผมเดินผ่านบาร์หน้าตรงห้องครัวออกไปหาเด็กๆ ที่กำลังนอนกลางวันอยู่ดีกว่า

'เป็นเด็กนี่ก็ดีเหมือนกันเนอะ ตื่นมาถ้าหิวก็ได้กิน ไม่ต้องติดอะไรมาก'

"ไม่กินต่อแล้ว?" สาบานได้ว่านี่คือคำถามปกติ ไม่ใช่คำเยาะเย้ย หรือเย้าแหย่แต่อย่างใด??

ผมส่ายหัวหลุกหลิกใส่ ไม่กล้าตอบ จะว่าหิว มันก็หิวอยู่นั่นแหละ แต่จะให้กินแล้วมีคนมองแบบนี้มันก็กินไม่ลง ถ้าเป็นอยู่บ้าน ผมคงต้มมาม่า ไม่งั้นก็ทำอะไรง่ายๆกิน ไปแล้วครับ ติดที่ว่านี่มันไม่ใช่บ้านของตัวเองไง ไหนจะเตาแก๊สที่มีแต่ปุ่มอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมดอีก เกิดใช้ไปใช้มาแล้วของเขาพัง หรือระเบิดบึ๊มขึ้นมา ก็ต้องซื้อใช้เขาอีก ไม่คุ้ม ไม่คุ้ม ผมว่านะ

จะว่าไปก็คิดถึงเจ๊สิตาขึ้นมาเหมือนกัน ถ้าเจ๊อยู่ด้วยตอนนี้จะเป็นยังไงนะ ผมนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเธอจะเอาสองแฝดหนีไปอีกรึเปล่าถ้าไรอันหาพวกเขาเจอแล้ว

ตั้งแต่เธอจากไปอย่างกระทันหันเมื่อสามปีก่อน เพราะหกล้มในห้องน้ำ ผมที่ไม่เคยมีลูกกับเค้าก็แทบทำอะไรไม่ถูก ไหนจะอาการตกเลือดของเธออีก ดีที่บ้านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก ทำให้เด็กๆ คลอดออกมาอย่างปลอดภัย ส่วนพี่รหัสผม เธอถึงมือหมอแล้ว แต่ก็ไม่สามารถอยู่ดูแลลูกๆ ของเธอได้อยู่ดี เด็กตัวน้อยๆ ต้องอยู่ในตู้อบเป็นอาทิตย์เพราะมีอาการตัวเหลือง

ผมจัดการงานศพของเธอเงียบๆ เพราะไม่รู้จักญาติๆ ของเธอเลย รู้แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของพี่รหัสผมท่านเสียไปตั้งแต่ตอนประสบปัญหาจากวิกฤตฟองสบู่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ผมวิ่งวุ่นเข้าๆ ออกๆ ระหว่างโรงพยาบาลกับวัด ยังจำได้ว่าก่อนเธอเสีย เด็กๆ สองคนพากันร้องไห้จ้า สะอึกสะอื้นทั้งคนพี่คนน้อง ขนาดผมเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกยังอดมองภาพเหล่านั้นไม่ได้เลย ภาพที่คนเป็นแม่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หน้าซีดขาว มีสายระโยงระยางห้อยอยู่ ส่วนลูกๆ ก็ร้องอ้อแอ้อยู่บนอก จำได้ว่าตอนนั้นเธอเหนื่อยจนแทบไม่มีมีแรงอยู่ แต่ก็ยังขอคุณหมอให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้าย ผมมองไปนำ้ตาก็ไหลไป เธอฝากผมดูแลลูกๆ ของเธอด้วย เพราะไม่รู้จะฝากไว้กับใครแล้ว ส่วนสมุดพกประจำตัวคุณแม่ก็ให้ใส่ชื่อผมลงไปได้เลย ผมรับปากเพราะนี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้เธอได้ จากนั้นไม่กี่วินาทีเครื่องตรวจชีพจรก็ส่งสัญญานเป็นเสียงเดียว แล้วเธอก็จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกเลย นี่คือความทรงจำสุดท้ายของผมกับแม่ของเด็กๆ

ผมไม่ได้ดราม่าอะไรกับชีวิตหรอกครับ ตอนนี้ผมมีครอบครัว มีเด็กๆ สองคน แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ดีซะอีกที่พี่สิตาให้ผมดูแลเด็กๆ มันทำให้ชีวิตผมดูมีสีสัน แล้วก็มีคุณค่าขึ้นเยอะเลย

'เสียงโทรศัพท์มือถือสั่น ถูกับโต๊ะในห้องนั่งเล่น ดังทืดๆ ทืดๆ'  ดีนะที่ผมหันไปเจอพอดี เพราะช่วงเวลากลางวันที่เด็กๆ นอนผมจะปิดเสียง แล้วเปิดสั่นไว้ เอาง่ายๆ คือเปิดสั่นแทบจะตลอดเวลานั่นแหละถ้าผมนั่งแปลงานด้วย ไม่อยากให้อะไรมารบกวนสมาธิสักเท่าไหร่

"ฮัลโหลครับแม่"

"เด็กๆ กำลังนอนกลางวันอยู่ครับ ยังไม่ตื่นเลย เอาไว้ถ้าพวกเขาตื่นแล้วผมจะคอลหานะ ครับๆ หวัดดีครับแม่"

แม่ผมโทรมาหาตลอดตั้งแต่วันนั้น ถ้ารู้ว่าไรอันจะคุยด้วยง่ายแบบนี้ ผมไม่เสียเวลาไปแอบนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเหมือนวันนั้นหรอก

ผมว่าใจจริงเขาก็อยากเอาลูกเขากลับไปต่างประเทศอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ติดที่เด็กๆ ขาดผมไม่ได้ (ส่วนผมก็ขาดเด็กๆ ไม่ได้เหมือนกัน) เขาก็เลยให้ผมอยู่ดูแลลูกของเขาต่อ แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทั้งทีรูปเอยก็หล่อแล้ว แล้วก็รวยขนาดนี้ จะมัวมาเสียเวลา แล้วก็เสี่ยงทำเด็กอุ้มบุญทำไม เป็นผมถ้ารวยขนาดนี้ ถึงไม่ได้หล่อมาก ผมจะคงแต่งงานมีลูกเองแบบธรรมชาติไปนานแล้วครับ

'เอ๊ะ!! หรือว่าเขามีเมีย แต่เมียเขามีลูกไม่ได้ เลยต้องทำแม่อุ้มบุญ อันนี้น่าคิดเหมือนกันนะ'


.................


"เด็กๆ ครับ อยากเล่นน้ำกันไหมครับ?" ที่ถามเพราะเห็นเด็กๆ อยากเล่นตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ติดที่ว่าแดดแรง เดี๋ยวเด็กๆ จะไม่สบาย ผมเลยสัญญาว่าตอนเย็นๆ จะพามาเล่น ซึ่งสระว่ายน้ำก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอกครับ เป็นสระของคอนโดเรานี่เอง แหมก็โครงการของมหานครซะอย่าง จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันได้ยังไง พื้นที่ตั้ง 9 ไร่  ประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม มหานครสแควร์สวนสาธารณะกลางแจ้ง มหานครเทอร์เรซซึ่งเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์สุดหรูของคนรุ่นใหม่ ที่ประกอบไปด้วยสวนสวยร่มรื่นและระเบียงกระจายอยู่ทั่วบริเวณร้านอาหาร คาเฟ่ตามชั้นต่างๆ และกูร์เมต์

แถมตอนเย็นแบบนี้ ที่สระว่ายน้ำก็มีแต่สาวๆ สวยๆ เยอะซะด้วยซิ บางคนนี่อกเป็นอก เอวเป็นเอว ขอดซะยิ่งกว่านางแบบวิคเตอเรีย ซิคเคทซะอีก

"ไปครับแอสตัน ออสติน ไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกันครับ" น้ำกับเด็กเป็นของคู่กัน ผู้หญิงสวยๆ กับชายหนุ่มหล่อๆ ก็คงเช่นกัน (เหรอ?)


จากนั้นไม่เกินห้านาที พวกเราสามคนพ่อลูกก็มายืนอยู่ข้างสระ ตามด้วยบอดี้การ์ดนอกเครื่องแบบอีกสองคน นี่ขนาดอยู่ในคอนโดส่วนตัวก็ยังต้องมีคนคอยติดตามนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ผมโยนห่วงยางของสองแสบลงไปในสระ แล้วตามด้วยเจ้าตัวอ้วนสองคนที่ดีดดิ้นตีมือ ตีเท้ารออยู่แล้ว ที่นี่มีทั้งสระเด็กแล้วก็สระผู้ใหญ่ครับ สมกับราคาเค้าแหละ

ส่วนผมถึงจะทำงานอยู่กับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ดูขี้ริ้วขี้เหร่นะจะบอกให้ ถึงหุ่นจะไม่เหมือนนายแบบ แต่ก็ไม่ได้ขี้ก้างนะเออ ดูจากตอนลงสระ สาวๆ แถวนั้นยังมองอยู่เลย อิอิ แอบภูมิใจเล็กน้อย

"นี่เธอดูคนนั้นสิ อย่างกับนายแบบแม็กกาซีนหลุดมาแหนะ" หูผมเริ่มผึ่งแล้วสิครับ

'เขินนนนนน' เพราะแถวนี้ส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง มีผู้ชายสี่ห้าคนเองรวมผม

"แดดดี้มา แดดดี้ๆ ฮิๆๆ"

'เพล้ง!!!' เสียงเหมือนกระจก หรือแก้วอะไรสักอย่างแตก??



 'เปิดตัวยิ่งกว่าพระเอกฮอลิวูดซะอี๊ก' หุ่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวคร้ามแดดที่กลายเป็นสีแทน กับกางเกงว่ายน้ำสีดำ

'เอ่อ!! เอ็งหล่อ แต่แค่นี้ก็ต้องข่มกันด้วยวุ้ย!!' ว่าแล้วเชียวทำไมสาวๆ ถึงส่งเสียงดังกรี๊ดกร๊าดกันเชียว

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า ออสตินอยากไปว่ายน้ำตรงนู้นฮับ" มือป้อมๆ ชี้ไปตรงสระผู้ใหญ่ที่มีสาวๆ พวกนั้นอยู่

"แอสตันก็อยากไปฮับแดดดี้ ฮิๆ" พอสนิทกันเข้าหน่อยก็อ้อนเชียวนะ

"พวกหนูยังไปเล่นตรงนั้นไม่ได้นะครับ มันลึก เกิดจมน้ำไปแล้วใครจะช่วยครับ?"

"แดดดี้ฮับ ให้แดดดี้ช่วย แดดดี้เก่ง โตขึ้นมาออสตินจะตัวโต แล้วก็เก่งๆ เหมือนแดดดี้ อิอิ"

"ช่ายยยย แดดดี้เท่ห์ โตขึ้นมาแอสตันก็จะหล่อเหมือนแดดดี้ด้วย อิอิ"

เหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในอก อะไรก็แดดดี้ๆ

ใช่สิ๊!!เดี๋ยวนี้พอมีพ่อใหม่แล้ว แทบจะไม่ได้ยินคำว่าป่าป๊าๆ เลย...

"มองอะไรคุณ?" ผมถาม

"เปล่า?"

แหนะ!! ยังมาบอกว่าเปล่าอีก ทั้งที่เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลยว่ามอง

ผมเลิกสนใจฝรั่งตรงหน้าแล้วอุ้มออสตินขึ้นขี่คอ

"แดดดี้ฮับแอสตันอยากขี่คอบ้าง ฮิๆๆๆ" ไรอันยกแอสตันขึ้นขี่คออย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวเผลอกรี๊ด และหัวเราะออกมาเสียงดัง

"ป่าป๊าฮับ เอาสูงขึ้นอีกฮับ สูงขึ้นอีกกกกก ฮิๆๆ" เด็กๆ แข่งกันเหมือนตอนเล่นอยู่ที่สวนน้ำกับไอ้พัต เพราะไอ้หมอนี่คนเดียวที่ทำให้ลูกผมชอบเล่นอะไรแผลงๆ มวยปล้ำบ้างล่ะ ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดบ้างล่ะ ไม่เหมือนผมอย่างมากก็แค่ขี่ม้าชิงเมืองเอง แต่คนเล่นด้วยก็คือพี่ธันนะ รายนั้นสุภาพ แล้วก็ดูอบอุ่นกว่าไอ้พัตเยอะ จะว่าไปตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหายหัวไปหลายวันแล้ว

เล่นกันแบบนั้นเกือบชั่วโมง ผมก็เริ่มหมดแรง เพราะเด็กๆ เล่นอยากเล่นขี้ม้าชิงเมืองกัน ผมเลยเล่นด้วย แต่ไม่อยากบอกเลยว่า บนบกกับในน้ำมันเหนื่อยต่างกันนะจะบอกให้ ผมนี่หอบเป็นหมาหอบแดดเลย

พวกเราเลยพากันขึ้นมานั่งเล่นอยู่ริมสระแทน แอสตัน กับออสตินก็นั่งเล่นของเล่นอยู่ใกล้ๆ ชีวิตแบบนี้ก็สุขสบายดีนะครับ แต่ผมไม่ชิน ไม่ชินกับคนรับใช้รอบตัว กับบอดี้การ์ดคอยคุมอยู่ตลอดเวลาแบบนี้



"หน้าบูด!!" 

'เหอะ!! แล้วไงล่ะ

"เด็กๆ ครับ เราขึ้นไปอาบน้ำกันเถอะครับ เดี๋ยวตอนค่ำๆ เราจะไปกินไอศครีมกัน ใครอยากไปบ้างเอ่ย?"

"แอสตันนนนฮับ / ออสตินฮับบบบ" เด็กพากันลุกขึ้น ผมเลยอุ้มแอสตัน แล้วให้ไรอันอุ้มออสตินตามขึ้นไป

พวกเราใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัว 1 ชั่วโมง ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว ได้ฤกษ์เคลื่อนขบวนสักที เหตุผลที่มาห้างวันนี้เพราะของใช้เด็กๆ กำลังจะหมดแล้ว ผมเลยพาเด็กๆ ออกมาเปิดหูเปิดตาด้วยซะเลย อยู่แต่ในห้องก็อุดอู้เกินไป

มองจากในลิสต์รายการก็จะมี น้ำยาล้างขวดนม แป้งเด็ก นมผง (อันนี้เปลืองที่สุด เพราะเด็กๆ กินจุ) ส้มเขียวหวาน สำลี แชมพูเด็ก แล้วก็สบู่เหลวของเด็ก

"เด็กๆ หิวกันไหมครับ?"

"ฮับ / ฮับ"

"อยากกินอะไรดีครับวันนี้?"

"ไอติมมมมม"

"ไอติมน่ะได้กินแน่ๆ ครับเด็กๆ แต่ต้องกินข้าวก่อน กินอะไรดีครับเย็นนี้?"

"อาหางญี่ปุ่งฮับ!!" แอสตัสตอบ ส่วนแฝดคนน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย

เด็กๆ ชอบกินซูชิกันครับ ไข่ม้วน พิซซ่าญี่ปุ่น ข้าวหน้าปลาไหลย่าง ปลาซาบะย่างซีอิ๊วก็ชอบกิน แต่เมนูปลาแบบนี้ต้องคอยป้อน ไม่งั้นก้างติดคอเด็กๆ แน่

"แล้วคุณล่ะ อยากกินอะไรครับ?"

"อาหารญี่ปุ่นก็ได้" ผมเลยพยักหน้าแล้วเดินไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ว่า โดยมีคนตัวโตกว่าอุ้มออสตินตามมา

"กี่ท่านคะ?"

"4 ครับ รวมเด็กๆ"

"งั้นเชิญที่โต๊ะทางนี้เลยนะคะ" พนักงานก็พามาที่โต๊ะพร้อมยื่นเมนูอาหารให้

"เด็กๆ ครับ เอาอะไรดีวันนี้ ข้าวหน้าปลาไหลย่างไหมเอ่ย?" ผมอยากให้ลูกกินปลาเยอะๆ ครับจะได้ฉลาดๆ ถึงมันจะกินยากสักหน่อยก็ช่างมันเถอะครับ

"ฮับ แอสตันจะเอาปลาหลาย กับนี่ๆๆๆ"  แอสตันชี้ลงที่ชุดกุ้งทอด

"งั้นขอเป็นข้าวหน้าปลาไหลย่าง กับเทมปุระกุ้ง 1 ชุดครับ"

"คุณ..ถึงตาคุณสั่งแล้ว"

"ซาชิมิ 1 ชุดครับ" จากนั้นพนักงานก็ทวนรายการ บลาๆๆ จากนั้นรออีกไม่นานอาหารที่สั่งก็มา

"อย่าเพิ่งเล่นมือถือครับเด็กๆ อาหารมาแล้ว กินข้าวกันก่อนเร็ว" ผมไม่ค่อยให้ลูกเล่นมือถือ หรือแท็บเล็ตนะบอกเลย แต่พอมาอยู่กับไรอัน รายนี้ชอบเอานั่นเอานี่มาล่อ จนเด็กๆ เสียนิสัย อย่างแท็บเล็ตนี่แหละตัวดี ที่ทำให้เด็กๆ ติดงมแงม

"มาอ้าปากครับแอสตัน อ้ำ!!!" ผมจัดการบิเนื้อปลาที่ไม่มีก้างใส่ในช้อนแล้วป้อนเด็กๆ พร้อมกับข้าวสวย

"ต่อไปก็ออสติน อ้าปากครับลูก อย่าเพิ่งสนใจมือถือ ไม่งั้นป่าป๊าจะยืด แล้วไม่ให้ดูอีกนะครับ" ร่างป้อมๆ ก็รีบวางแท็บเล็ตแล้วเงยหน้าขึ้นมากินทันที

"เอ้ามองอะไรคุณ กินสิ หรืออยากให้ผมป้อนเหมือนเด็กๆ?" ร่างสูงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้าเร็วๆ แทน

'อะไรของเขา?'

ป้อนให้สองแฝด คนละคำ พอเด็กๆ เคี้ยว ผมก็คีบใส่ปากตัวเองบ้าง จนพวกเราอิ่มหมีพีมันกันเสร็จแล้วก็ได้ฤกษ์เคลื่อนพลไปร้านไอติมของเด็กๆ ต่อ จากนั้นก็ตามด้วยซื้อของใช้จำเป็นกัน

"ป่าป๊าฮับ ออสตินอยากกินอันนี้ แฮร่ๆ"

"แอสตันก็อยากได้อันนี้ฮับป่าป๊า" เด็กสองคนยิ้มยิงฟันจนเห็นครบทั้งฟันที่ขึ้นมาใหม่กับเหงือกแดงๆ

"แน่ใจนะครับว่าจะกินขนมข้างในมันจริงๆ ถ้าไม่กินป่าป๊าจะตีนะ" ต้องขู่ไว้ก่อน เพราะครั้งก่อนซื้อไปก็ไม่กินกัน แต่ที่ซื้อเพราะอยากได้หุ่นยนต์ที่ติดตรงด้านหน้ากล่อง ผมก็เคยเป็นตอนเด็กๆ แต่ต้องห้ามเดี๋ยวจะเสียนิสัยแบบผมตอนเด็กๆ ไง

"ฮับ / ฮับ" ผมหยิบให้คนละกล่อง กล่องละ 59 บาทเอง แต่ต้องฝึกให้พวกเขาประหยัด รักษาของ แล้วก็รู้จักรู้คุณค่าของมันด้วย

"เย้....... / เย้......."

ได้ของครบหมดแล้ว พวกเราเลยเข็นรถไปจ่ายเงิน แต่คนเข็นรถอย่างไรอันกลับหยุดรถที่มุมของเล่น ไม่ใช่เพราะมันลดราคา แต่เพราะเด็กๆ มองตามมันตาละห้อยต่างหาก ผมมองหน้าสองแฝด แล้วมองหน้าคนเป็นพ่อพร้อมกับขมวดคิ้ว

"คุณ..เข็นไปจ่ายเงินเลย เด็กๆ เพิ่งได้ของเล่นใหม่เมื่อเดือนที่แล้วเอง ไม่ต้องซื้อ"

"แต่ลูกผมอยากได้" เออ..รู้ แต่จะซื้อให้ทุกอย่างที่เขาอยากได้ก็ไม่ได้นะ เดี๋ยวลูกเสียนิสัย ผมส่ายหัวกับคนขี้เห่อ แล้วก็ขี้ตามใจลูกสุดๆ แบบเขา

"รู้ครับ แต่ถ้าคุณตามใจลูกไปหมดแบบนี้ เดี๋ยวโตขึ้นมาเด็กๆ จะเสียนิสัยเอานะ" คนตัวสูงมองเด็กๆ สองคนสลับกับของเล่นในมือ ผมเลยเดินไปหยิบจากมือ แล้วเอากลับเข้าไปวางไว้ในชั้นเหมือนเดิม

"ผมตกลงกับเด็กๆ แล้วว่าจะซื้อให้สามเดือนครั้ง หรือแล้วแต่กรณี คุณอย่ามาทำให้เด็กๆ เหลิงสิ" ผมอธิบาย

"วันนี้แอสตัน กับออสติน กินไอติมกับได้ขนมกับของเล่นนั่นมาแล้ว ป่าป๊ากับแดดดี้ไม่มีเงินแล้ว โบ๋เบ๋..เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมาซื้อกันใหม่เนอะ มากินไอติมด้วย..นะครับ" เด็กๆ แม้จะเสียใจ แต่ก็ยอมตกลง

พวกเราเลยเข็นของไปจ่ายเงิน แล้วจะได้กลับสักที

'ผมว่าตัวเองขี้บ่น แล้วก็ดูแก่ขึ้นอีกเป็นสิบปี ตั้งแต่มีลูกชายคนที่สาม'

เหนื่อยเพิ่มขึ้นด้วย เพราะต้องคอยอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้อีก ไม่เหมือนลูกก็เหมือนไหมแบบนี้!!!
 


---------
TBC

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนุกหนานๆ  :ling3: :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

Fallen DESTINY! !
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 6







"ขอโทษนะครับ นี่มันไม่ใช่ทางไปโรงเรียนของเด็กๆ นะครับ" ผมถามเพราะกลัวว่าจะมาผิดทาง แล้วต้องเสียเวลาไปกับรถติดอีก

"ถูกแล้วครับ โรงเรียนxxxx ไปทางนี้" คริส ที่เป็นเลขาของไรอันตอบ

"ผมว่าเรากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่รึเปล่าครับ คือเราจะไปโรงเรียนสาธิตxxxกันไม่ใช่เหรอครับ"

"ไม่ครับ"

อ้าว!!!

"คือนายอยากให้คุณหนูทั้งสองเรียนโรงเรียนxxxxน่ะครับ"

แล้วทำไมไม่มีใครบอกผมสักคำว่าจะมาโรงเรียนนี้ อย่างน้อยผมจะได้แต่งตัวให้ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ดูเหมือนภารโรงแบบนี้

ไอ้เติร์กไม่เข้าใจ!!

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อวานไรอันถามว่า "เด็กๆ ที่นี่ ที่ประเทศไทยเนี๊ยะเขาเริ่มเข้าเรียนกันตอนอายุเท่าไหร่" ผมเลยตอบเขาไปว่า "สักสามขวบกว่าก็เข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาลกันได้แล้ว"

จากนั้นไรอันหยุดคิดไปนิดนึงแล้วถามต่อว่า "แล้วทำไมคุณไม่ให้เด็กๆเข้าเรียนสักทีในเมื่อมันถึงเกณฑ์แล้ว"

ความจริงผมก็ไปดูโรงเรียนแถวๆ นี้มาบ้างแล้วนะสามสี่โรงเรียน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาที่ไหนดี เพราะเด็กๆ ตั้งสองคน ขืนให้เรียนโรงเรียนแบบลูกมหาเศรษฐี ผมไม่ต้องขายไตส่งลูกเรียนเลยเหรอ แต่เหตุผลหลักๆที่ยังตัดสินใจเลือกไม่ได้เพราะ แต่ละที่ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไง

หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ ไรอันเลยให้ผมแจกแจงว่าแต่ละโรงเรียนมีข้อดียังไงข้อเสียยังไง ส่วนมากก็มีแต่ข้อดี ข้อเสียแทบไม่มี เลยทำให้เลือกยากไปอี๊กกกก!!! นี่ผมทั้งปรึกษาแม่ ปรึกษาคุณรัน (เพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอกันที่สวนน้ำ) คือเอาเป็นว่าปรึกษาหลายคนเลยล่ะครับเรื่องที่จะให้แอสตัน กับออสตินเข้าโรงเรียนเนี๊ยะ

สรุปแล้วเราตกลงกันว่าจะให้เด็กเรียนโรงเรียนสาธิตxxx ใกล้บ้าน เพราะที่นั่นการเรียนการสอนเขาก็ดีติดอันดับอยู่ แถมลูกสาวฝาแฝดของคุณรันก็เรียนที่นี่ด้วยเหมือนกัน จะได้ฝากให้ช่วยดูแลสองแฝดในช่วงแรกๆ ด้วย แล้วจู่ๆ ก็มาเปลี่ยนกระทันหันแบบนี้ ไม่คิดจะปรึกษาผมสักนิดเลยรึไง ผมก็ป่าป๊าคนหนึ่งของเด็กๆ นะ


"ลงมา" เอ่อๆๆ ลงแล้ว ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างนั้นเลยนิ

 ไม่ใช่ว่าผมจะอะไรมากมายหรอกนะ แต่ไอ้ค่าเทอมของโรงเรียนนี้ใครๆ เขาก็รู้กันว่ามันไม่ใช่ถูกๆ เลย

นี่ถ้าไรอันไม่ใช่คนจ่าย แล้วผมให้ลูกเรียนที่นี่ คงมีรถขายรถ มีบ้านขายบ้านกันเลยนะ

"สวัสดีค่ะ มิสเตอร์เบิร์นสใช่ไหมคะ"

"ครับ"

"งั้นเชิญทางนี้ค่ะ" อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งเป็นคนออกมาต้อนรับ แล้วก็เดินนำพวกเรามายังห้องผู้อำนวยการโรงเรียน

ผ.อ ของที่นี่ยังดูไม่แก่มากอย่างที่คิดแหะ ทีแรกก็นึกว่าจะสักประมาณห้าสิบกว่าๆ เฉียดหกสิบแต่ที่นี่น่าจะสักสามสิบปลายๆ เกือบสี่สิบได้มั้ง ดูแล้วน่าจะเป็นคนใจดี เพราะหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตลอด ยิ้มตั้งแต่ที่พวกเราเดินเข้ามากันแล้ว

ผ.อ ก็พูดถึงทัศนวิสัยของโรงเรียน บลาๆๆ ไอ้ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ เลยได้แตรนั่งฟังอยู่เฉยๆ แล้วให้ไรอันเป็นคนคุย พอตกลงอะไรกันเสร็จผู้อำนวยการก็พาพวกเราเดินชมรอบๆ บริเวณโรงเรียน แต่ไม่ได้เข้าไปดูคุณครู หรือมาสเตอร์เขาสอนหรอกนะ เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนการเรียนการสอนของเด็กๆ

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง คุณเขาก็ได้ข้อสรุปว่าจะให้เด็กๆ เข้าเรียนที่นี่เลยในอีกสองอาทิตย์ถัดไป ซึ่งจะว่าไปมันก็เร็วอยู่นะสำหรับเด็กๆ แต่ผมว่าก็ดีเหมือนกัน แอสตัน กับออสตินจะได้อ่านออก เขียนได้เร็วๆ แล้วก็จะได้มีเพื่อนเยอะๆ ด้วย


"คุณ" ผมสะกิดเรียกไรอันขณะเดินออกมาจากห้องคอมพิวเตอร์

"คุณว่า....โรงเรียนนี้มันไม่แพงไปเหรอ"

"ไม่แพง ผมจ่ายไหว" ผมนี่พูดไม่ออกเลยครับ ลืมไปว่าระดับไรอันแล้ว ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก เทอมละเป็นแสนก็ยังไหว

ที่แรกฟังจากคนอื่นบอกมา ว่ามันแพงอย่างงั้นอย่างงี้ นี่ก็คิดว่าไม่น่าจะเกินสามสี่หมื่นหรอกมั้ง แต่พอมาได้ยินกับหู ได้เจอกับตัวถึงรู้ว่ามันแพงมาก แพงเวอร์วังอลังการ

มาคิดๆ ดูถ้าเรียนโรงเรียรสาธิตxxxที่ผมว่า ก็จ่ายได้ตั้งสองปีเลยนะ แต่นี่เทอมเดียวตั้งเจ็ดแปดหมื่น มันไม่แพงเกินไปหน่อยเหรอสำหรับเด็กเตรียมอนุบาล ลองมาคำนวณดูแล้ว ปีๆหนึ่งก็จะตกราวๆ สามแสนสอง เพราะต้องจ่ายสองคน แล้วถ้าขึ้นประถมมา มันไม่ขึ้นเป็นแสนเลยเหรอ

สมัยผมอยู่อนุบาล ยังเรียนแค่โรงเรียนวัดด้วยซ้ำ แต่พอโตขึ้นมาหน่อย พ่อถึงให้นั่งรถรับส่งนักเรียนไปเรียนในตัวอำเภอ แต่ค่าเทอมก็ไม่ได้แพงหูดับตับแลบขนาดนี้นะ แพงขนาดต้องขายไตส่งลูกเรียนเลยนั่นแหละ ถ้าไม่รวยจริงๆ



"แล้วนี่เราจะไปไหนต่อ" ผมถาม

"ไปห้องการเงิน"

"อ่อ.. เมื่อกี้ผมได้ยิน ผู้อำนวยการเขาพูดถึงเรื่องชุดนักเรียน กับชุดพละด้วย แต่เราคงต้องมาซื้อกันวันอื่น เพราะไม่ได้พาสองแสบมาด้วย" เกิดซื้อไปแล้วคับ หรือหลวมเป็นฮิบฮอป ลูกผมก็ดูตลกแย่นะสิ

"ไม่เป็นไร ไว้ให้คริส กับแซมมาซื้อให้" ผมพยักหน้า เป็นอันว่าตกลง

"แล้วคนที่ผมเจอเขาวันแรกที่คอนโดคุณล่ะ เขาไปไหนแล้วล่ะ" ผมหมายถึงคนที่เป็นคนคุยกับผมเรื่องเด็กๆ แล้วก็สัญญาบ้าบอขอเจ๊สิตา

"กลับไปแล้ว"

"อเมริกาอะนะ" ไรอันพยักหน้า

สงสัยคงกลับไปหลังจากดำเนินการเรื่องเปลี่ยนนามสกุลของเด็กๆ เสร็จนั่นแหละ ก็ดีเหมือนกันนะเด็กๆ ได้ใช้นามสกุลของไรอัน แสดงว่าโตขึ้นมาก็จะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกหลายพันล้าน ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่นครับ



"จ่ายค่าเทอมให้เด็กชายอติวัฒน์ กับอติวิทย์ เบิร์นส ครับ"

"320,000 บาทค่ะ" ไรอันตะหวัดปากกาเช็นต์ลงไปบนสมุดเช็ค

"รบกวนเซ็นต์เอกสารนี่ด้วยนะค่ะ"

หลังจ่ายอะไรต่อมิอะไรเสร็จ พร้อมรับเอกสารการจ่ายเงินท่อนล่างกลับคืนมา พวกเราก็เดินกลับมาที่รถ จะว่าไปก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อยแหะที่สองแฝดโตขึ้นอีกขั้นแล้ว ต่อไปผมก็จะต้องตื่นมาแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนให้แต่เช้า พอตอนเย็นก็มารับกลับบ้านพร้อมสอนการบ้านให้ อิอิ

"กลับเลยไหมครับนาย" ไรอันพยักหน้า

"เอ่อนี่คุณ ผมว่าจะคุยกับคุณหลายครั้งแล้ว เรื่องบอดี้การ์ด" ผมกระซิบบอก

"ผมว่าคุณลองลดจำนวนบอดี้การ์ดให้เหลือสักคนสองคนดีไหม เพราะตอนนี้เราไปไหนมาไหนก็เป็นจุดเด่น มีแต่คนมองเต็มไปหมดเลยนะ คุณไม่รู้สึกเหรอ"

"ก็รู้สึก"

"อ้าว! แล้วทำไมคุณยังให้พวกเขามาด้วยเป็นกระพรวนแบบนี้ล่ะ" ผมนิ่งคิดไปนิดนึงก่อนจะถามต่อ "หรือว่าคุณมีศัตรูคู่อาฆาตเยอะ เลยต้องป้องกันตัวไว้ก่อน"

"เปล่า ผมไม่มีศัตรูที่ไหน"

"แล้ว...." ว่าจะถามต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ก็ต้องม้วนลิ้นกลับเข้าไปเหมือนเดิม เพราะเจ้าตัวมองหน้า แล้วก็ขมวดคิ้วใส่

เอ่อๆ!! ไม่ถามแล้วก็ได้วะ!!

พวกเรานั่งเงียบกันมาจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน พอล้อรถแล่นเข้าสู่ตัวบ้านปุ๊บ ผมก็เดินไปรับเด็กๆ จากบ้านป้าภามาปั๊บเลย

"หิวไหมครับเด็กๆ"

"ฮับ/ฮับ"

ผมหอมแก้มสองแฝดคนละข้าง แล้วเดินไปชงนมให้ จากนั้นก็ปล่อยแอสตัน กับออสตินกำลังเอ็นจอยกับขวดนมของพวกเขาไป ส่วนผมก็ขนผ้าไปซักไง ไม่ได้ซักมาหลายวันแล้ว ขืนไม่ซักวันนี้มีหวังคงไม่มีใส่กันแน่ทั้งพ่อทั้งลูกเลย

ก่อนอื่นต้องแยกผ้าขาว กับผ้าสีก่อน สีจะได้ไม่ตกใส่กัน

"มองอะไรคุณ" ไม่เคยเห็นคนซักผ้ารึไง

"ทำไมไม่ใช่เครื่องซักผ้า" ไรอันถาม

ผมว่าเป็นคำถามที่ดีนะ มามะ...เดี๋ยวพี่เติร์กจะเหลาให้ฟัง

"คือเสื้อผ้าของเด็กมันมีเศษข้าว เศษอะไรติดอยู่ด้วย ถ้าใช้เครื่องก็ออกไม่หมด แถมเสื้อขาวไม่กี่ตัวแบบนี้ ซักมือเองจะสะอาดแล้วก็เร็วกว่าอีก"

"แล้วทำไมไม่เอาไป Laundry"

"ร้านแบบนั้นมันก็สะดวกดีนะ แต่ผมอยากทำให้ลูกเองมากกว่า มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนิ ใช่ไหม" ไรอันจะเข้าใจไหมวะกับคำว่าเหลือบ่ากว่าแรง

ว่าอยู่แล้วเชียว ต้องไม่เข้าใจแน่ๆ

"เหลือบ่ากว่าแรงคือ...." คืออะไรดีวะ อธิบายยากเหมือนกันแหะ

"คือ คำเปรียบเปรย หมายถึง มันไม่ยากเกินไปที่จะทำนิ อะไรประมาณแหละคุณ" พออธิบายเสร็จ ไรอันก็พยักหน้า

ผมเลยจัดการเอาผ้าขาวที่ซักเสร็จแล้วมาบิดให้หมาดอีกที แล้วเอาไปตากกับราวตากผ้า

"แหนะ!! แอบมองกางเกงในของคนอื่น โรคจิตเหมือนกันนะเราอะ" ผมแหย่พ่อคนหน้ามืน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ

"โอเคๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้"  คนอะไรเล่นด้วยแล้วไม่สนุกเลย สู้เล่นกับไอ้กันย์ หรือไอ้พัตก็ไม่ได้

"ผมเห็นว่ามองอยู่นานแล้ว กางเกงในผมมันมีอะไรเหรอคุณ" ผมหันกลับไปสำรวจที่ราวตากอีกที มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประลาดนะ แค่มันสีแสบตาไปหน่อยแค่นั้นเอง แบบสีส้ม สีแดงงี้ แต่ก็ใช่ว่าสีอื่นที่ดูซอฟท์ลงกว่านี้ของไอ้เติร์กจะไม่มีนะ อย่างสีดำ  สีเทา สีน้ำตาล หรือสีกรมท่าก็มี สีขาวยังมีเลย แต่สีขาวแบบนี้มันดูแลรักษายากไง ฝนตกทีถ้ามันไม่แห้ง รามันก็ขึ้นไง แหะๆ


ไรอันส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วก็เดินกลับเข้าไปเล่นกับลูกต่อ

'คนอะไรแปลกประหลาด!!'

พอตากผ้าเสร็จ ผมเดินกลับเข้าไปดูสองแฝดว่าทำอะไรกันอยู่ เห็นเด็กๆ กำลังระบายสีพวกมาสไรเดอร์อยู่ ผมเลยเอามือถือขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นตัวเอฟสีน้ำเงินเพื่อติดตามโลกโซเชี่ยลกับเขาดูสักหน่อย

ฟีดแรกเห็นไอ้กันย์แท็กรูปพ่อบ้านใจกล้าจากต่างประเทศมาให้ เป็นรูปที่เจ้าตัวแต่งตัวคล้ายโงกุน ในเรื่องดราก้อนบอล แล้วใช้ปากกาหมึกเขียนติดกระดาษแผ่นใหญ่บักเอ๊กว่า My wife said "If I get 1 million LIKE...our son named GOHAN"

สงสัยคุณพ่อบ้านจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ดราก้อนบอล นะเนี๊ยะ "ฮึๆ"

เอาอีกละ มองอีกละ วันนี้ทั้งวันจะไม่ทำอย่างอื่นนอกจากมองคนอื่นใช่ไหม มองดีๆ จะไม่ว่านะ แต่นี่มองอย่างกับเห็นตัวประหลาด พี่เติร์กไม่โอเคครับ น้องอั้น!!

ผมเลื่อนดูฟีดอีกนิดหน่อย จากนั้นก็จัดการออกแอพพลิเคชั่น เดินเข้าครัวไปหาอะไรกินแทน


มันน่าอึดอัดนะโว้ยยยย!! จะทำอะไรจะเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนจับตาดูเนี๊ยะ!!!



---------------------
------------------
-------------
-------
---
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:32:22 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


---------------------
------------------
-------------
-------
---



ผ่านมาเป็นอาทิตย์หลังจากที่พวกเราสามพ่อลูกไปนอนคอนโดของไรอันวันนั้น จำได้ว่าวันนี้เด็กๆ มีนัดกับคุณหมอเพื่อฉีดวัคซีนโรคหัดกับคางทูมนี่หน่า ผมเลยจัดการปลุกเด็กๆ ให้ตื่นมาอาบน้ำ กินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงมาเตรียมสมุดฉีดวัคซีน

จำได้ว่าครั้งก่อนเก็บไว้ตรงลิ้นชักโต๊ะตัวนี้นี่หน่า

อ๊ะ!! เจอละ


"แอสตันครับ ออสตินครับ อยู่ไหนเอ่ย ป่าป๊าพร้อมนะครับ เราจะไปหาพี่สาวคนสวยกันแล้วนะครับ ออกมาหาป่าป๊าเร็ว"

"เอ้...เด็กดื้อไปหลบอยู่ไหนนะ" ผมแกล้งทำเป็นหาไม่เจอไปงั้นแหละครับ ความจริงก็พอรู้อยู่หรอกว่าแอบอยู่หลังประตูกัน เพราะเห็นเท้าเล็กๆ ของใครสักคนนี่แหละโผล่ออกมา

ผมเลยค่อยๆ ย่องไปช้าแล้ว "แบร่..... เจอแล้ว...อยู่นี่เอง" สองแสบตกใจ ทำตาโต คงคิดว่าผมคงหาไม่เจอแล้วแน่ไง

"มาครับ ไม่เล่นแล้ว เดี๋ยวพี่สาวคนสวยจะรอ" สองหน่อไม่ขยับตัวออกมาเลย บทจะงอแงก็งอแงเสียจนไม่รู้จะทำยังไง

"ป่าป๊าฮับ แอสตัน กับออสตินไม่อยากไปหาพี่สาวคนสวยฮับ" เด็กๆทำหน้าหงอย

"ทำไมครับ ไหนลองบอกป่าป๊าสิ"

"เพราะ พี่สาวคนสวยทำให้แอสตัน กับออสตินเจ็บตรงนี้ๆ" เด็กน้อยชี้ตรงก้น

"แต่ถ้าแอสตัน กับออสตินไม่ฉีดยา ก็จะป่วยบ่อยนะครับ เล่นน้ำก็ไม่ได้ เล่นสะพานลื่นก็ไม่ได้ แถมยังต้องกินยาขมๆ อีก จะเอาแบบนั้นเหรอครับ"

เด็กๆ ส่ายหัว แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่างจากซอกประตูเลย พอดีกับเสียงกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้นพอดี ผมเลยบอกให้เด็กๆ อยู่ตรงนี้ก่อน แล้วเดินลงไปเปิดประตูให้ไรอันเข้ามา

วันนี้เจ้าตัวแต่งตัวสบายๆ ด้วยเชิ้ตสีขาว กับกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบสีขาวตุ่นเข้ากับเสื้อ

 ส่วนผมน่ะเหรอก็ใส่คล้ายๆ กันนะ เสื้อเชิ้ตยี่ห้อเดียวกัน ตัวนี้พี่ธันซื้อให้ตอนปีใหม่ปีที่แล้ว แต่ทำไมผมใส่แล้วมันไม่ดูดีแบบนั้นวะ ดูเหมือนคนตัดอ้อยกลายๆ

"มารับเด็กๆ ไปฉีดวัคซีน" ผมรู้แล้วครับ เพราะเมื่อวานผมนี่แหละเป็นคนบอกเขาเองว่า วันนี้เด็กๆ ต้องไปรับวัคซีน ถ้าอยากไปด้วยก็ให้มาหาที่บ้านตอน 8 โมง เพราะหมอนัดตอน 9 โมงครึ่ง

"เด็กๆ อยู่ไหน?"

"กำลังงอแงอยู่ในห้องครับ คุณลองเข้าไปคุยกับพวกเขาดูสักหน่อยไหม?" ผมหมดหนทางจะกล่อมละ บอกตรงๆ ไม่ว่าจะเอาอะไรมาล่อก็งอแงลูกเดียว เป็นแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว พอบอกว่าจะพาไปหาคุณหมอคนสวย ก็ส่ายหัวปฏิเสธทันที แล้วก็หนีไปหลบอยู่ในห้องเลย

หายเข้าไปไม่ถึงห้านาที แอสตัน กับออสตินก็ถูกอุ้มออกมาคนละข้าง ตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้อง สงสัยคงจะอ้อนแดดดี้ของพวกเขาเสร็จแล้ว พูดก็พูดเลยนะ ตั้งแต่มีแดดดี้นี่นะ รู้สึกว่าลูกผมจะขี้อ้อนขึ้นเยอะเลย หัวเล็กๆ กับผมสีน้ำตาลเข้มกำลังซบอยู่ที่บ่ากว้าง เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว

ข้าวของอะไรก็เตรียมเสร็จหมดแล้ว ผมเลยถือตะกร้าเดินนำออกไปก่อนเลย จากนั้นก็ปล่อยสามพ่อลูกเขาอุ้มกันขึ้นรถตามมา ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแผนกกุมารเวช ของโรงพยาบาลxxxxx เลยเวลานัดไปนิดนึง แต่ก็นะ ต้องเข้าใจสภาวะรถติดของกรุงเทพมหานคร แถมเด็กๆ ก็ยังไม่ให้ความร่วมมืออีก

เจ้าตัวยุ่งสองคนทำหน้าตาเลิกลักทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กคนอื่นร้องไห้จ้า อุตส่าห์อดทนไม่ร้องไห้ตั้งแต่อยู่บ้าน จะมาร้องตอนนี้ไม่ได้นะครับสองแฝด อายเขา!!

 เด็กฝรั่งฝาแฝดสองคนพากันมองเด็กคนนั้นทีคนนี้ที จะร้องตามแหล่ไม่ร้องแหล่อยู่แล้ว ไรอันเลยพาออกมายืนตรงมุมตู้ปลา แล้วพูดอะไรไม่รู้กันอยู่สามคนพ่อลูก จนเด็กๆ พยักหน้าแล้วหยุดเบ้ปาก เห็นอย่างนั้นผมเลยเดินเข้าไปติดต่อกับฝ่ายทะเบียน แล้วยื่นใบนัดให้คุณพยาบาลดู

วัคซีนที่เด็กๆ มาฉีดวันนี้คือวัคซีนพื้นฐาน หรือวัคซีนจำเป็นที่ต้องฉีดให้ตามตารางจนกว่าอายุจะครบ 15 ปี ส่วนวัคซีนเสริมที่พ่อเขาจะให้ฉีดด้วยนั้น ถามว่ามันจำเป็นไหม คุณหมอบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ฉีดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ถ้าสามารถฉีดเพิ่มได้ก็จะดี เด็กๆ จะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันแล้ว

ก่อนอื่นเด็กๆ ต้องไปชั่งน้ำหนัก กับวัดส่วนสูงก่อน ผมจูงแขนแอสตัน ส่วนไรอันก็จูงแขนออสตินไปตรงเครื่องชั่งน้ำหนัก

แอสตันชั่งได้ "15 กิโล"  จากนั้นก็ตามด้วยน้ำหนักของแฝดคนน้องอย่าง ออสติน ซึ่งพ่อเขาอุ้มวางลงบนตราชั่งเองกับมือ

"14.5 กิโล" ก็ไม่ต่างกันมาก ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

 พอชั่งน้ำหนักเสร็จผมก็จัดการวัดส่วนสูงให้เด็กๆ มันจะเป็นที่วัดส่วนสูงแบบแผ่นกระดาษสติ๊กเกอร์ลายน่ารักๆ อย่างคุณยีราฟที่ติดอยู่กับฝาผนัง จากนั้นเราก็เอาไม้บรรทัดหรืออะไรทาบลงกับหัวเด็ก แล้วก็ดูตามส่วนสูงตามแผ่นสติ๊กเกอร์นั่นเลย

"วัดส่วนสูงก่อนนะครับลูก จะได้รู้ว่าตัวโตแค่ไหนแล้ว ใกล้จะเป็นหนุ่มเหมือนป่าป๊าแล้วรึยัง"

"เอ้ายืนตรงๆ ก่อนครับ อย่ากระดุกกระดิก" ซึ่งเป็นไปได้ยากที่สองหน่อจะอยู่นิ่ง

"โอ้ออสตินดูสิครับ แอสตันสูงขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้ 101 เซนติเมตรแล้ว ไหนออสตินลองมาวัดดูสิครับว่าจะสูงกว่ารึเปล่า"

"101 เซนติเมตรเหมือนกัน โตเร็วนะเนี๊ยะทั้งสองคนเลย" 

นั่งรอไม่นานคุณพยาบาลก็เรียกชื่อ "ด.ช. อติวัณณ์ และ ด.ช. อติวิชญ์ พัฒนสกุลค่ะ (นามสกุลผมเอง ซึ่งมันยังคงเป็นแบบนั้น เพราะไม่ได้ไปแจ้งฝ่ายระเบียนว่าเปลี่ยนนามสกุลแล้ว แต่ผมว่าคงไม่จำเป็นหรอกมั้ง)"

ผมอุ้มแอสตันเข้าไปห้องตรวจก่อน แล้วให้ไรอันอุ้มออสตินรออยู่ที่หน้าห้องตรวจเลย จากนั้นคุณหมอ หรือกุมารแพทย์ก็ใช้แอลกอฮอลเช็ดตรงสะโพก พอเข็มจิ้มลงไปที่เนื้อนุ่มๆ ปุ๊บ แอสตันตกใจน้ำตาคลอนิดหน่อย แต่ก็ไม่ร้องแหะ ผมนี่ลุ้นแทบตาย ดีแล้วครับที่ไม่ร้องเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่งั้นคงต้องปลอบกันอีกนาน หลังจากนั้นก็เป็นคิวของพ่อหนูน้อยออสตินต่อ

พอออกจากห้องมาเจ้าตัวแสบก็ไม่มีทีท่าว่าจะร้องเลยสักแอ๊ะ แค่ตาแดงๆเฉยๆ สงสัยคงได้กำลังใจดีจากพ่อของเขา

"เก่งมากเลยครับเด็กดีของป่าป๊า" หัวทุยของสองแฝดถูกหอมไปคนละทีเพื่อเป็นการปลอบใจ ไม่แปลกหรอกครับที่เด็กๆ จะร้องไห้กัน ขนาดผู้ใหญ่ตัวโตๆ อย่างผมยังกลัวเลย

สมุดพกเล่มเล็กของเด็กๆ เขียนว่า วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) เข็มที่ 2 (คือพวกเขายังไม่ได้ฉีดตอนอายุ 2 1/2 ปี เพราะวันที่นัดฉีดนั้นสองหน่อไม่สบายพอดี ผมเลยขอเลื่อนคุณหมอออกไปก่อน)

"แดดดี้ฮับแดดดี้ สวนสัตว์มีสิงโตสีขาวไหมฮับ?"

"อื้ม มีเสือดำด้วย"

"เย้......... / เย้.........."

"เดี๋ยวก่อนนะครับ...เกี่ยวกับไรกับสิงโตกับเสือดำครับเด็กๆ"

"เราจะไปสวนสัตว์กันไง" ไรอันตอบแทนลูก

"งั้นที่เด็กๆ ไม่ร้องไห้ตอนฉีดยาเมื่อกี้ เป็นเพราะว่าคุณบอกว่าจะพาพวกเขาไปสวนสัตว์งั้นเหรอ?"

"อื้ม"

"แต่ผมไม่ได้เตรียมหมวกอะไรมาให้เด็กๆ เลยนะ เกิดแดดร้อนแล้วไม่สบายขึ้นมาจะทำไง?" ไม่ต้องว่าถ้าเกิดแดดร้อนหรอก มันร้อนอยู่แล้วประเทศไทยน่ะ แถมเพิ่งฉีดวัคซีนมาผมกลัวเด็กๆ จะไม่สบาย

"เดี๋ยวไปซื้อเอาข้างในก็ได้"

"คุณนี่นะ ชอบสปอยลูกจนเกินไป ถ้าเด็กๆ ดื้อขึ้นมาแล้วเอาไม่อยู่ อย่ามาโทษผมนะ"



ใช้เวลาฝ่ารถติดไปอีก 1ชั่วโมง และแล้วตอนนี้พวกเราก็มาถึงสวนสัตว์แล้ว จ่ายเงินค่าเข้าชมเสร็จสรรพ ผมก็มองหาร้านขายของที่ระลึกทันที เพราะแถวนั้นน่าจะมีหมวกแก๊บใบเล็กๆ ให้สองแฝดใส่กันแดดกัน

'อ๊ะนั่นไง'

"คุณ เดี๋ยวคุณไปซื้อน้ำให้เด็กๆ หน่อยสิ เผื่อเด็กๆ กระหายน้ำ เดี๋ยวผมจะพาพวกเขาไปดูหมวกแก๊บตรงโน้น" ผมชี้ไปที่ร้านตรงจุดขายของที่ระลึก

"อะ" เขายื่นเงินมาให้

"ไม่เอา ผมจะใช้เงินของผมซื้อให้ลูกบ้าง ถึงไม่ได้รวยเหมือนคุณก็เหอะ" พูดจบผมก็จูงแขนเด็กๆ ออกไป ไม่ได้หยิ่งนะ แต่ช่วงนี้เขาจ่ายค่านั่นค่านี่ ซื้อนั่นซื้อนี่ให้เด็กๆ เยอะแล้ว วันก่อนก็ซื้ออ่างพลาสติกที่เอาไว้แช่น้ำให้เด็กๆ ส่วนเมื่อวานก็ชุดใหม่ให้เด็กๆ ตั้ง 5-6 ชุด แต่ละชุดก็ใช่จะถูกๆ แบรนด์เนมทั้งนั้น ไหนจะรองเท้า กับของเล่นอีก

"เด็กๆ ครับเอาใบไหนดี แบบนี้ หรือแบบนี้?" ความจริงมันก็มีอยู่หลายแบบนะ แบบธรรมดาที่ผมหยิบออกจากที่แขวนมา กับแบบที่มันเป็นหัวสัตว์ต่างๆ เช่นเสือ สิงโต หรือช้าง

"แอสตันจะเอาอันนี้" ชี้ไปที่หมวกที่มีหน้าเสือโคร่งติดอยู่ข้างบน

"ออสตินเอาอันเน้....."

สรุปหมวกที่เด็กๆ ซื้อมาก็คล้ายๆกัน จะต่างกันก็แค่ ของแอสตันเป็นเสือโคร่ง ส่วนของออสตินเป็นเสือขาวแค่นั้นเอง

ผมก็ว่ามันน่ารักดีนะ เหมาะกับเด็กดี :)

"โอเค ไหนลองสวมดูสิว่าจะใส่ได้รึเปล่า?" ผมเอาหมวกวางลงกับหัวของสองหน่อ แล้วขยับนิดขยับหน่อย ปรับที่เลื่อนให้มันพอดีกับหัวน้อยๆ แล้วก็เป็นอันเสร็จ

"ปะ..ไปจ่ายเงินกันครับ"

"ทั้งหมด 2 ใบ 518 บาทค่ะ" ผมพยักหน้าให้คนขายแล้วหยิบเงินจากกระเป๋าออกมาจ่าย

"ไปกันครับเด็กๆ แดดดี้รอแล้ว" ฝรั่งหนึ่งเดียวยืนตากแดดรออยู่ตรงหน้าร้านแล้วครับตอนนี้ คงคิดว่าจะตากแดดให้ผิวแทนขึ้น หรือไม่งั้นก็กำลังอ่อยแม่สาวน้อยพวกนั้นแน่ๆ

"มาให้ป่าป๊าถ่ายรูปเสือน้อยหน่อยครับ" ผมให้เด็กๆ ยืนอยู่ตรงป้ายสวนสัตว์

"1 2 3 ยิ้ม"  แชะ!!

"ทำมืองี้ แบบป่าป๊านี่ครับ" แล้วแอสตัน กับออสตินชูมือขึ้นสองนิ้วตามที่ผมทำเดะเลย

"คุณ!!" ผมเรียก "อยากถ่ายรูปกับเด็กๆ ไหม?"

ผมอาสาให้ เพราะผมกับลูกถ่ายด้วยกันบ่อยแล้ว แต่ไรอันคงยังไม่ได้ถ่ายกับสองแฝดเลยสักรูปตั้งแต่เจอกัน

"ไปสิคุณ ไม่ต้องเขินหน่า" ผมผลักเจ้าตัวเบาๆ ให้ไปยืนใกล้ๆ เด็กๆ

"ยิ้มหน่อยสิ ถ่ายรูปกับลูกนะคุณ ไม่ได้ถ่ายบัตรประชาชน" แค่นี้ก็ต้องให้บอก

"นี่ยิ้มอย่างนี้" ผมฉีกยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุดให้ จนเจ้าตัวกระตุกยิ้มที่มุมปากตาม แต่ผลที่ได้รับคือ

"ตลก!!" อะไรคือความดีงาม คนอุตส่าห์ช่วย แบบนี้เขาเรียกทำคุณ บูชาโทษชัดๆ

เอ่อใช่สิ ผมทำอะไรก็ดูไม่ดีอยู่แล้วนิ แล้วไง..ใครแคร์ล่ะ??

กดถ่ายไปสองสามช็อต แล้วก็ถ่ายเด็กๆ ต่ออีกนิดหน่อยจนพอใจ จากนั้นพวกเราก็เริ่มเคลื่อนพล เดินเข้าไปใช้บริการรถรางต่อ เหตุผลที่ใช้รถรางเพราะ ไม่มีปัญญาเดินครับ มันกว้างเกิน ขืนเดินสิ มีหวังขาลากแน่

พวกเราเดินดูตั้งแต่กรงเสือโคร่ง เสือชีตาร์ พูม่า เสือขาว ไปจนถึงสิงโต แล้วก็ตามด้วยสิงโตขาว ช่วงนี้เสือขาว กับสิงโตมันตกลูก อย่างละสองตัว เด็กเลยตื่นเต้นที่ได้เห็นลูกตัวน้อยๆ ของมัน ปกติเคยเห็นแต่ในทีวีตามสารคดี แต่ตอนนี้เห็นของจริง เด็กๆ เลยชอบใจกันใหญ่เลย

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า แอสตันไม่เห็น ป่าป๊าอุ้ม" คือผมก็อยากอุ้มนะ แต่เมื่อกี้ไม่รู้ว่าก้มลงอุ้มเด็กๆ ผิดท่าหรือว่ายังไงไม่รู้ หลังเลยเคล็ด ตอนนี้จะขยับตัวยังยากเลย ลำบากจริงเกิดเป็นไอ้เติร์กเนี๊ยะ!!

"ไหวไหม?" ไรอันถาม

"ไหวววววว" ผมยักคิ้วให้ แล้วก้มลงอุ้มแอสตัน "โอ๊ยยยยย!!" เชี่ยๆ เจ็บ ซี๊ดดดดดด

"มาผมอุ้มให้...ทั้งสองคนเลย" บอกเลยว่าเสียหน้าชิบหาย อุตส่าห์จะโชว์ความแมนให้เด็กๆ ดู แต่ที่ไหนได้หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ความแมนที่ไอ้เติร์กสะสมมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา พัง พังไปหมดแล้ว

'ไอ้หลังนี่ก็นะ จะเจ็บวันไหนก็ไม่เจ็บ ดันมาเจ็บวันนี้ซะได้' คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย แต่ทำอะไรไม่ได้

"งั้นผมถือกระเป๋ากับน้ำดื่มพวกนี้ให้"

"ไม่เป็นไร เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ!!" ผมตะหวัดมองคนพูดอย่างรวดเร็ว ดีหน่อยที่เขาไม่ได้มีเจตนาเยอะเย้ยหรืออะไร แต่ก็นะผมก็ผู้ชายคนหนึ่งไง จะให้เอาเปรียบคนอื่น ไอ้เติร์กทำไม่ได้!!!

"เอามาเหอะหน่าคุณ กระเป๋านั่นไม่ได้หนักอะไรมาก ผมไม่ได้อาการสาหัสเหมือนโดนสิบล้อทับสักหน่อย" เขาเหลือบมองนิดๆ แล้วส่งกระเป๋าเป้ให้

"แดดดี้ฮับ ลูกมันอยู่ตรงโน้นนน" ออสตินชี้ไปที่ลูกเสือขาวที่กำลังเล่นกันอยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่

"ไหนแอสตันไม่เห็น แดดดี้ฮับแอสตันไม่เห็น" ไรอันเลยพาเด็กๆ ขยับเดินเข้าไปอีกนิด ให้มันตรงกับโขดหินที่มันหลบอยู่

"ตรงโน้นก็มี" ผมชี้ ส่วนเด็กก็มองตาม ตาสีเขียวเทาสอบคู่เบิกโตขึ้นอีก

"The lions" แอสตันส่งเสียง เด็กๆ รู้จักครับตัวนี้ เพราะในหนังสือนิทานก็มี เรื่องเดอะไลอ้อน คิง ไงครับ เด็กๆ มีทั้งสมุดภาพระบายสี แล้วก็สมุดนิทานเรื่องนี้ด้วย

"ใช่ครับ เดี๋ยวเราจะไปดูทีโมน กับพุมบ้ากัน แต่ทีโมนนี่คือตัวอะไรนะครับ บอกป่าป๊าหน่อยสิครับ บอกให้แดดดี้ก็ได้เผื่อแดดดี้ไม่รู้จัก"

"ทีโมน คือ หมานายฮับแดดดี้ ส่วงพุมบ้าคือ หมูมีเขี้ยว อย่างนี้!!"ออสตินพูดเสียงสูง แล้วใช้มือทำเขี้ยวให้เหมือนเจ้าพุมบ้าในตัวการ์ตูน

"หึๆๆ" นี่ผมไม่ได้ตาฝาด หรือหูมีปัญหาใช่ไหมครับ เมื่อกี้ไรอัน ยิ้มแล้วก็หัวเราะเบาๆ พอเจ้าตัวเห็นผมมองอยู่ จากที่ยิ้มๆ เลยหุบยิ้มเฉยเลย

"ป่าป๊าฮับแอสตันหิวน้ำาา"

"ออสตินก็หิวววววว" ผมเลยเปิดน้ำที่ไรอันซื้อมาเมื่อกี้ให้สองหน่อกิน เสียงกินน้ำดังอึกๆๆ เด็กๆคงจะร้อนแล้วก็กระหายน้ำมาก ดูได้จากเสียงที่กิน

"เอานี่ของคุณ ผมเปิดให้แล้ว" เขาหันมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่มีเก้าอี้ หรือโต๊ะให้เด็กๆ นั่งเลย

"แอสตันครับ ออสตินครับ ลงมาเดินเองก่อนไหมครับ"

"ม่าย / ม่าย" เด็กๆ ปฏิเสธแล้วเอาแขนรวบคอไรอันแน่นขึ้นอีก เห็นไหมครับ พอจะดื้อก็ดื้อจนไม่สนใจอะไร เป็นเพราะหมอนี่แหละที่ตามใจบ่อยๆ

"มาๆ ผมป้อนให้" ช่วยไม่ได้นี่หว่า

"เอ้ากินสิคุณ ไม่ต้องทำซึ้งขนาดนั้น ผมเห็นแก่ที่คุณช่วยอุ้มเด็กๆ หรอก" ไรอันหันมาสบตา แล้วค่อยๆ ก้มลงดูดน้ำจากขวด

"ขอบคุณ"

"เออ...อื้ม" เหมือนร้อนๆ ที่แก้ม

"ป...ไปครับเด็กๆ เราไปดูเพื่อนๆ ของซิมบ้ากันดีกว่า" ผมรีบเดินนำสามพ่อลูกนั้นออกมาก่อนเลย

ทำตัวไม่ถูกครับ แบบว่ามัน......ดูมุ้งมิ้งไปนิดนึง

"ป่าป๊าฮับ เพื่อนของซิมบ้าอยู่ตรงโน้นนนนฮับ"

"อ้าวเหรอ แหะๆๆ" หน้าแตกอีกแล้วไหมล่ะ

กรงนี้เป็นสัตว์จำพวก หมาไน กับ สัตว์ตระกูลเสือ เช่น แมวลายหินอ่อน เสือปลา แล้วก็เสือไฟ ผมอ่านจากป้ายที่เขาติดไว้

"ร้อนไหมครับ?" ผมถามเด็กๆ แต่คนเป็นพ่อพยักหน้าด้วยนี่คืออะไร? คุณพระ!! บอกไอ้เติร์กที อย่าให้เติร์กคิดไปเอง ได้โปรดดดดด

ผมหยิบทิชชูจากกระเป๋า แล้วเช็ดให้เด็กๆ ตามขมับ ตามหน้า จากนั้นก็ว่าจะเก็บเข้ากระเป๋าอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เห็นสายตาสีเขียวอมเทาอีกคู่มองตามตาละห้อย

ผมมองทิชชูในมือ สลับกับฝรั่งตรงหน้าที่มีแต่เหงื่อเม็ดโตๆ อยู่เต็มไปหมด ไหนจะอกเอย อะไรเอยก็เปียกชุ่มไปหมดแล้วตอนนี้ น่าสงสารจริงพ่อคู้ณ!!

'เอาวะ คิดซะว่าเช็ดก้นให้ลูกละกัน??"

"มือหนัก!!" ผมถลึงตาใส่ แล้วอยากบอกว่า 'เช็ดให้ก็บุญแล้วโว้ยยยย อย่าพูดมาก'

"Are you hungry?" ไรอันถามเด็กๆ เป็นภาษาอังกฤษ แล้วถามว่าเด็กตอบได้ไหม

'หึ!!' จะไปตอบได้ไงเล่า ก็เพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงเดือน แถมภาษาแม่ของเด็กๆ ที่พูดมาตั้งแต่เกิดก็เป็นภาษาไทยอีก โรงเรียนก็ยังไม่ได้ไป แอสตัน กับออสตินคงจะฟังเข้าใจหรอก

"แดดดี้พูดว่าอะไรนะครับเมื่อกี้ ไหนใครฟังออกบ้างยกมือขึ้น?" เด็กๆ เงียบกริบนอกจากนั้นก็มีส่ายหน้าประกอบ บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า 'ไม่เข้าใจโว้ยยยยย' อันนี้ผมตอบแทนเด็กๆ

"เมื่อกี้แดดดี้ของแอสตัน กับออสตินถามว่า อาร์ ยู ฮังกรี้? แปลว่า หิวกันรึยังครับ ไหนลองพูดตามป่าป๊าสิครับพี่ อาร์-ยู-ฮังกรี้"

"อา ชู่ อังกี้" แอสตันพูด

"แล้วออสตินล่ะครับ ไหนลองพูดสิ ถามป่าป๊าหน่อยสิครับว่าหิวไหมครับเป็นภาษาอังกฤษ"

"อา ชู่ อังกี้" ผมเลยหันไปยักคิ้วถามพ่อฝรั่งของเด็กๆ ว่าแบบนี้ไหวไหมแบบนี้ เค้าก็ส่ายหัว

"เอาหน่าคุณ เด็กๆ เพิ่งจะสามขวบเอง ค่อยๆ สอนทีละคำ ทีละประโยคก็ได้ เพราะภาษาไทยบางคำเด็กๆ บางคนก็ยังพูดไม่ชัดเลย มันต้องใช้เวลา เดี๋ยวเข้าโรงเรียนคุณครูเขาก็สอนเองแหละ ส่วนอยู่บ้านคุณกับผมก็ค่อยๆ สอนพวกเขาไง" ผมอยากให้ลูกค่อยๆ พัฒนาเรื่องพวกนี้ไปทีละนิดดีกว่า ไม่อยากไปกดดันพวกเขา จากที่ว่าจะได้ กลัวว่าลูกจะกลัวไปเสีย เหมือนผมตอนเด็กๆ เวลาถึงชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษทีไร ก็จะชอบหนีเรียนบ้าง หรือแกล้งป่วยบ้าง เพื่อที่จะได้ไปนอนอยู่ในห้องพยาบาลจนหมดคาบเรียน เพราะถูกคุณครู กับครูพี่เลี้ยงกดดัน

"โอเค เก่งมากครับเด็กๆ สรุปหิวกันรึยังครับ ถ้าหิว ให้ตอบว่าเป็นภาษาอังกฤษยังไงนะครับ?"

"เยสสสสสส / เยสสสสส" สองหน่อพูดขึ้นพร้อมกัน เพราะผมเคยสอนแล้ว แถมมันก็ง่ายเนอะ สั้นๆ เอง

"เก่งมาก งั้นไปครับเราไปหาอะไรกินตรงร้านขายของตรงนั้นดีกว่าครับ เสร็จแล้วจะได้ไปดูปลาฉลาม กับนีโม่น้อยกันต่อ"

พวกเราเดินตรงเข้าไปตรงซุ้มขายของ ในสวนสัตว์แบบนี้ของขายก็ไม่เหมือนข้างนอกด้วยสิ ผมก็ลืมนึก เด็กน้อยสองคนเลยได้กินขนมคุกกี้บิสกิต กับคลับแซนวิชหมูหยองทูน่าแทน

"แล้วคุณล่ะ ไม่กินเหรอ?" ผมถามไรอัน "กินเหมือนผมไหม ผมจะไปซื้อฮอตดอกตรงมุมโน้น?" ไรอันพยักหน้า แล้วดึงอกเสื้อตัวเองขึ้นลง ให้ลมมันผ่านเข้าไป ตอนนี้เที่ยงกว่าๆ แล้ว ฝรั่งแบบเขาคงจะร้อนไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดผมยังร้อนจนแทบสุกเลย แถมแต่ละวันก็ทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ พอมาเจออากาศแบบนี้เข้าเลยหมดสภาพเลย แต่ก็ยังถือว่าดูดีนะผมว่า แบบนี้ดูเซ็กซี่ดีออก เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบเนื้อเห็นไปถึงไหนต่อไหน ถึงว่าแม่ค้าที่ขายแซนวิชเมื่อกี้ไม่มองเงินที่ผมยื่นให้เลย

หลังจากซื้อฮอตดอกเสร็จ ผมก็แบ่งให้แอสตัน กับออสตินคนละไม้ ส่วนพวกผมก็กินที่เหลือจากเด็กๆ นี่แหละครับ จัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จก็นั่งรอรถรางที่จะพาเราไปอควาเรี่ยมต่อ ยังดีที่จุดรอรถมีร่มไม้ แถมลมก็พัดมาเป็นครั้งด้วย ดีกว่าตอนกินข้าวหน่อยนึง

"ป่าป๊าออสตินอยากกินไอติมตรงโน้นฮับ"

"แล้วแอสตันล่ะครับอยากกินไหมครับ"

"ฮับ" เจ้าตัวตอบสั้นๆ เพราะกำลังงอนอยู่ เรื่องมีอยู่ว่า สองพี่น้องเล่นกันนี่แหละครับ แต่เกิดทะเลาะกัน ออสตินเลยเอาของเล่นเขวี้ยงใส่พี่ เป็นรถแบ็คโฮลคันเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นผมไปหน่อยนึง แต่มันก็หนักเอาเรื่องอยู่ไง เลยทำให้หน้าผากขวาของแอสตันโน ฟังถูกแล้วครับ หน้าผากของแอสตันสุดหล่อของเราโน กำลังจะเบ้ปากร้องไห้อยู่แล้วเชียว ถ้าไรอันไม่เอามือไปแตะปากแล้วบอกว่า

"ชู่วววววว ห้ามร้องครับ"

"เมื่อกี้ออสตินทำพี่เจ็บตัว รู้ไหมครับว่าต้องทำยังไง?" เจ้าตัวพยักหน้า แล้วทำท่าจะเบ้ปากร้องตามอีกคน แต่ผมไม่ยอมให้พ่อเขาเข้ามาปลอบไง คนทำผิดต้องขอโทษเป็น ไม่งั้นเด็กๆจะเสียนิสัย

"ว่าไงครับคนเก่งของป่าป๊า อย่าร้องนะครับ"

"ป่าป๊าไม่ได้ว่าออสตินสักหน่อย แค่จะถามเองว่าคนทำผิด แล้วต้องทำยังไง?" เจ้าตัวยุ่งขยี้ตานิดหน่อย แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาแฝดพี่

"ขอโทษฮับ...ดีกันนะ" เจ้าตัวส่งนิ้วก้อยออกไปง้อ

"น้องมาขอโทษแล้ว แล้วแอสตันล่ะครับหายโกรธน้องรึยัง" เจ้าตัวยืนมองแฝดน้องนิดหน่อยแล้วพยักหน้าเบาๆ

"ป่าป๊าบอกหลายครั้งแล้วใช่ไหมครับว่า เป็นพี่น้องกันต้องรักกัน ห้ามต่อยตีกัน ความแข็งแรงไม่ได้มีไว้รังแกคนอื่น แล้วมีไว้ทำไมครับ ไหนตอบให้ป่าป๊าชื่นใจหน่อยสิครับทั้งสองคน?"

"มีไว้ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าฮับ / มีไว้ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าฮับ"

"ดีมากครับ งั้นถ้าครั้งหน้าทะเลาะกันจนเจ็บตัวแบบนี้อีก จะยอมให้ป่าป๊าทำโทษใช่ไหมครับ?" สองหน่อพยักหน้า

"สรุปไม่โกรธกันแล้วนะครับ งั้นเราไปซื้อไอติมกันดีกว่าครับ เดี๋ยวรถรางจะมาแล้ว เร็วครับ" ผมจูงแขนออสติน ส่วนไรอันก็จูงแขนแอสตันที่ยังติดอ้อนคุณพ่อเขาอยู่

"เด็กๆ เอาแบบไหนครับ แบบนี้หรือแบบนี้?" ผมหยิบไอติมแท่งรสช็อกโกแลต กับไอติมสีแดงเขียวรูปแตงโมงผ่าซีกเป็นสามเหลี่ยมมาให้เด็กๆ ดู

"ออสตินเอาอันนี้ฮับ" เจ้าตัวชี้แล้วเอาลิ้นเล็กๆ เลียริมฝีปาก คงอยากกินเต็มแก่แล้ว ยิ่งร้อนๆแบบนี้ด้วยแล้ว กินอะไรเย็นๆ มันคือความฟินที่สุด ผมว่าผมเข้าใจนะ

"แล้วแอสตันล่ะครับ?"

"เอาอันนี้ฮับ" สองแฝดเลือกเหมือนกัน ผมเลยหยิบขึ้นมาอีกอันแล้วเดินไปจ่ายตังค์ จากนั้นก็จัดการแกะเจ้าไอติมรูปแตงโมออกจากซองให้เด็กๆ

"เดี๋ยวก่อน ป่าป๊าซื้อให้แล้วต้องทำยังไงก่อนครับ?"

"ขอบคุณฮับ / ขอบคุณฮับ" พอได้ไอติมคนละแท่ง เจ้าตัวก็จัดการเขมือบมันลงท้องเลยทันที ทั้งดูดทั้งเลียจนแก้มเลอะไปหมด ผมกับไรอันเลยจูงแขนพาไปนั่งกินตรงจุดที่รอรถราง วันนี้คุณพ่อคุณแม่คนอื่นก็พาเด็กๆ มาเที่ยวกันเยอะพอสมควรเลย ขนาดว่าไม่ใช่วันหยุดเสาร์อาทิตย์นะนี่

"โอ๊ะ!!" เสียงแอสตันอุทาน เพราะไอติมของเจ้าตัวตกลงกับพื้น
ผมกับไรอันเลยยืนมองว่าเจ้าตัวจะทำยังไงต่อ แต่ก็ไม่ทำยังไง ว้าเสียดายจังเลยนึกว่าจะได้เห็นพ่อหนูน้อยเป่าปี่อีกแล้วซะอีก แต่แล้วคนทำผิดเมื่อกี้ก็ยื่นไอติมของตัวเองมาให้ แล้วพูดว่า "ให้!!"

'ผมเข้าใจนะว่านี่คือการง้อเหรอออสติน?'

"ออสตินให้" เจ้าตัวยื่นไอติมที่ถูกกัดเหลือแค่ครึ่งเดียวให้แอสตัน แต่แอสตันกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

"น้องให้ ทำไมแอสตันถึงไม่เอาครับ?" ผมถาม

"ออสตินจะไม่ได้กิน" อ้อ หมายความว่าถ้าเจ้าตัวเอา แล้วน้องก็จะไม่ได้กินสินะ

"งั้นทำไงดีครับ?"

"แบ่งกันกินฮับ" ผมยิ้มจนไม่รู้จะยิ้มยังไง ไรอันก็ยิ้ม

ออสตินกัดไอติมหนึ่งคำก่อนจะยื่นให้แอสตันกัดหนึ่งคำ ป้อนกันอยู่อย่างนั้นจนหมด ความจริงมันก็เหลืออยู่ไม่เยอะแล้ว กัดกันคนละคำสองคำก็หมดแล้วล่ะครับ

"มาครับ มาล้างมือที่แด๊ดดี้ครับ เดี๋ยวมือเหนียว"

"ก้มลงอีกนิดนึงครับ เดี๋ยวกางเกงเปียก" พอล้างมือเสร็จรถรางสีชมพูลายสิงโตกับช้างสีฟ้าก็แล่นมาเทียบพอดี พวกเราเลยยกโขยงกันขึ้น พนักงานหรือคนขับก็เริ่มบรรยายว่าส่วนไหนเป็นอะไรบ้าง

"โซนนี้เป็นสัตว์แอฟฟิกันครับ ก็จะมี......บลาๆๆ" เสียงพนักงานขับพากษ์

"แดดดี้ครับ นกฮับ นกตัวโต" แอสตันตาโต เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ตัวนี้เลย

"เขาเรียกว่า Ostrich (ออส-ทริช) ครับ หมายถึงนกกระจอกเทศ" ไรอันก้มลงสอนลูก เพราะคนไม่เยอะ มีแต่พวกเรากับอีกครอบครัวที่อยู่ด้านหน้าสุดเลย

"ไหนออกเสียงซิ ออสทริช"

"ออด-ทิด / ออด-ทิด" ก็พอได้อยู่นะเออ จากนั้นรถรางก็แล่นผ่านบ้านของเจ้าคอยาว ลายสีส้มน้ำตาล

"โหหหหหห ยีราฟ" ออสตินทำตาโตจ้องไม่กระพริบเลย

"คอย๊าวยาว" แอสตันพูดขึ้นบ้าง

"ภาษาอังกฤษเค้าเรียกเจ้าตัวนี้ว่ายังไงครับ ถ้าตอบได้เดี๋ยววันหลังแดดดี้จะพามาเที่ยวอีก"

"จี-ราฟ!! / จี-ราฟ!!" เด็กๆ ตอบเสียงดัง จนคนแถวนั้นพากันยิ้มตาม บ้างก็ว่าน่ารัก บ้างก็ว่าฉลาด มีชมไรอันด้วยว่ารูปหล่อ แต่ส่วนใหญ่จะชมเด็กๆมากกว่า

"Very good"

"ถึงแล้วครับอควาเรี่ยมของเรา ที่นี่ก็มีปลามากถึง xxx ชนิด บลาๆๆ" ผมจัดการอุ้มแอสตันลง ไรอันอุ้มออสตินลงจากรถ

พอเดินเข้าไปข้างในก็เจอหุ่นมาสคอสคุณเต่า กับคุณปลาดาวออกมาเต้นดุ๊กดิ๊กๆ ต้อนรับเด็กๆ พวกเรายื่นตั๋วเข้าชมให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในอุโมงค์ที่ทำคล้ายทางลอดใต้น้ำ ทำให้เห็นตัวปลาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แถมตอนนี้ยังมีการแสดงโชว์ให้อาหารปลาใต้น้ำอีกด้วย เด็กๆ มองตามตลอดเลย เพราะไม่เคยเห็น

"ป่าป๊าดูนั่นครับ...ฉลาม" ออสตินชี้ ส่วนแอสตันตอนนี้กำลังจ้องเขาให้อาหารปลากระเบนตัวโตอยู่

"แด๊ดดี้ฮับ ปลาตัวนี้เหมือน จานบินเลย" ลูกผมรู้จักจานบินจากในการ์ตูนครับ แต่ไม่รู้จักปลากระเบน ไว้คราวหน้าต้องหาสารคดีโลกใต้น้ำให้ดูเยอะๆ ซะแล้วล่ะ แล้วก็ลดการดูการ์ตูนลง

กว่าจะออกจากอวาเรี่ยมมาก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เด็กก็รู้สึกเหนื่อยแล้วด้วย ผมกับไรอันเลยนั่งรถรางกลับออกมาตรงทางเข้า จากนั้นก็อุ้มเด็กๆ ขึ้นรถกลับบ้าน ตอนนี้เด็กน้อยสองคนผลอยหลับไปแล้วครับ ดีนะเนี๊ยะที่เตรียมคาร์ซิทมาด้วย ไม่งั้นคงนอนไม่สบายกัน














..................................


TBC

ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้สองคุณพ่อ กับสองแสบ แอสตันกับออสตินด้วยนะครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:33:22 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1



Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 7






Darling, I will be loving you ’til we’re 70
Baby, my heart could still fall as hard at 23
I’m thinking ’bout how people fall in love in mysterious ways

Maybe just the touch of a hand
Well, me—I fall in love with you every single day
And I just wanna tell you I am






พวกเรากลับมาถึงบ้านประมาณบ่ายสี่โมงเย็น หันไปมองด้านหลังเห็นเด็กน้อยสองคนกำลังหลับอุตุอยู่บนคาร์ซิท ผมเลยจัดการปลดเข็มขัดคาดคาร์ซิทออกแล้วปลุกให้พวกเขาตื่น  เพราะถ้าไม่ปลุกตอนนี้ คาดว่าตกกลางคืนมาคงจะถามคำถามกันแจ้วๆๆ แน่

แอสตันลืมตาตื่นแล้ว แต่ยังสะลืมสะลืออยู่หน่อยๆ ผมเลยปล่อยให้เจ้าตัวหายง่วงอีกสักหน่อยแล้วขยับเข้าปลุกออสตินต่อ "ออสติน ตื่นเร็วครับตัวแสบ"

รายนี้ขี้เซากว่าพี่ชายเยอะเลย เขย่าปลุกกี่ทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมเลยลองบิดแก้มดูว่าจะตื่นไหม

"โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ป่าป๊าแค่จับเบาๆ เอง" จริงจริ๊งสาบานเลย ว่าบิดแก้มย้วยๆ นั่นเบาๆเอง ลูกใคร ใครก็รัก ผมไม่ทำให้ลูกเจ็บหรอก

"โอ่โอ๋ นิ่งเตะๆ น้าาา ก็ใครใช้ให้หนูขี้เซา ปลุกยังไงก็ไม่ตื่นขนาดนั้นล่ะครับ ป่าป๊าก็เลยอดใจไม่ไหวน่ะสิ"

ปากน้อยๆ สีแดงเบ้ออก จากนั้นน้ำตาใสๆ ก็เริ่มไหลออกมา เห็นแล้วก็สงสาร

"ไม่ร้องครับ...เดี๋ยวแดดดี้ตีป่าป๊าคืนให้" อ้าว!! ตีผมทำไม

"ป๊าบ!! นี่แหน่..ชอบแกล้งลูก" 

เสียงดีดังป๊าบนั่นไม่ได้ตีถูกมือผมสักนิดเดียว เพราะเจ้าตัวเอามือตัวเองมาวางทับไว้เลยกลายเป็นว่าเขาตีมือตัวเอง แต่พ่อหนูน้อยขี้แยนี่สิครับ เห็นผมถูกตีเข้า แทนที่ว่าจะหยุดร้องกลับร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก เอาซะสะอึกสะอื้นใหญ่เลย เอาใจยากเนอะลูกใคร

"ร้องไห้อีกทำไมครับ หืม? ไหนบอกป่าป๊าสิ"

"ฮึกๆๆๆ! ก็แดดดี้ตีป่าป๊า ฮึกๆ"

"เงียบก่อนครับเด็กดี เงียบก่อนนะ...นี่ไงครับป่าป๊าไม่เห็นเจ็บเลย แดดดี้ก็แค่ตีเบาๆ เอง ป่าป๊าเป็นลูกผู้ชายอดทน ตีนิดเดียวไม่เจ็บหรอกครับ นี่ไงครับป่าป๊าลองตีแดดดี้แล้ว"

"แดดดี้เจ็บไหมครับ"  ไรอันส่ายหน้า

"เห็นไหมครับ แดดดี้ไม่เห็นเจ็บเลย"

ปกติสองหน่อก็ไม่ได้งอแงอะไรมากมายนะครับเวลาตื่นนอน แต่วันนี้เด็กๆ ไม่ได้นอนกลางวันด้วยไง มานอนเอาอีกทีก็บ่ายแก่ๆ แล้ว แถมยังนอนไม่พออีก

ผมพยักหน้าให้ไรอันอุ้มแอสตันเข้าไปในบ้านก่อน แล้วตัวเองค่อยอุ้มออสตินตามเข้าไปทีหลัง

"ไปสิคุณ มัวมองอะไรอีก"

"คุณตีผม"

"อ้าว ก็ไหนว่าไม่เจ็บไง" นี่ก็ตีไม่แรงแล้วนะ

"เจ็บ" ไรอันทำเสียง แล้วแกล้งเหลือบมองมือตัวเองที่ตอนนี้ขึ้นเป็นรอยแดงเป็นปื้นเลย

อะไรวะ ตีแปะเดียวขึ้นเป็นรอยขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่ม้างงง คณิตินขมวดคิ้วมองมือขาวคร้ามแดดสลับกับมือตัวเอง

อะไรจะผิวบอกบาง ผิวผู้ดีขนาดนั้นวะ "เอ่อๆๆ ถ้าติดใจนักเดี๋ยวให้ตีคืนก็ได้" เรื่องแค่นี้เอง..ทำหน้าอย่างกับจะเป็นจะตาย

"ไปสิคุณ ลูกจะร้อน"

"แอสตันร้อนไหมครับ" ไรอันถาม

"ไม่ร้อนฮับ" ไรอันยิ้มกว้างที่ลูกเหมือนจะเป็นใจ

"โอเคในเมื่อแอสตันไม่ร้อน แล้วคุณล่ะ ต้องการอะไรอีก" มายืนทำตัวน่าสงสารทำไม๊ ไอ้เติร์กไม่เข้าใจ

"ผมไม่ได้อยากตีคุณ" ไรอันหยุดเว้นคำพูด "แต่ผมอยากกัดคุณ"

"เห้ย!! ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเด็กๆ เห็นแล้วทำตาม" มากัดเกิดอะไร เป็นพวกซาดิสม์รึไงวะเนี๊ยะ

"ไม่ได้จะกัดตอนนี้"

"จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ไปๆๆ คุณนี่ชักจะบ้าไปกันใหญ่ละ" คณิตินเปิดประตูนรถอีกฟากแล้วเดินดุ่มเข้าบ้านไป ในใจก็คิดเกี่ยวกับคำพูดของพ่อของสองแฝดเมื่อกี้นี้

ต้องโรคจิตแน่ๆ เลย!!



------

เสียงกริ่งหน้าบ้านดัง ใครมันมาแต่เช้าวะเนี๊ยะ "อ้าว..มึงเองเหรอ"

"เออ!!"

"อะไรวะ?? งั้นก็เข้ามาก่อนๆ" มันเป็นอะไรของมันมาถึงก็ทำหน้างอคอหักใส่เพื่อน หรือว่าเมาเครื่อง นอนไม่พอหรือว่าอะไร

"จะเอากาแฟหรืออะไรร้อนๆ ไหม เดี๋ยวกูไปชงมาให้"

"มึงไม่ต้องมาเนียนเลยไอ้เติร์ก" ชะอุ่ย!!

"ตอบกูมา ที่มึงไม่รับสาย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ เพราะมึงติดผู้ชายใช่ไหมไอ้เติร์ก?"

 "ติดผู้ชงผู้ชายอะไร มึงเอาที่ไหนมาพูด" นี่เพื่อนไหมทำไมต้องร้ายใส่แบบนี้

"ยังอีก ยังจะปฏิเสธอีก แล้วฝรั่งที่นั่งหัวโด่อยู่โน้นอะใคร?" มันบุ้ยปากไปทางไรอันที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องนั่งเล่น

"เป็นพ่อแท้ๆ ของสองแฝด"

"ห๊ะ??"

"มึงจะเสียงดังทำไมเนี๊ยะ อยู่ใกล้กันแค่นี้"

"ก็กูตกใจ แล้วเป็นไงมาไงเขาถึงมาอยู่นี่ได้วะ?"

"ที่ถามนี่เป็นห่วง หรืออยากเผือกเอาดีๆ"

"เออๆ ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ"

"แล้วไม่โกรธกูแล้วไง"

"ยังโกรธอยู่ แต่ถ้ามึงไม่เล่ากูจะโกรธหนักกว่านี้ เร็ว!!"

ผมก็จัดการเล่าให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้น ว่าเจอเขาได้ยังไง เขาต้องการอะไร เป็นจังหวะเดียวกับที่ไรอันมองมาพอดี มันจะคิดว่าผมพาผู้ชายเข้าบ้านรึเปล่าวะ

แต่เราไม่ได้ทำอะไรผิดนิหว่า จะกลัวทำไม?

"มึงเป็นอะไรเนี๊ยะ หลุกๆ หลิกๆ มีพิรุธ?"

"เปล๊าาาาาาา"

"เสียงสูงไปนะ" ไอ้กันย์ยิ้ม "คายออกมาไอ้เติร์ก อย่าให้กูต้องเอามือล้วงลงไปในลำคอมึงนะ" โหดจริง กับเพื่อนเนี๊ยะโหดตลอด

 ลืมบอกไปครับไอ้ที่มันยืนเท้าสะเอวจ้องผมอยู่ตอนนี้ มันชื่อไอ้กันย์ครับ เกิดเดือนกันยา แม่เลยตั้งชื่อว่ากันย์ มีน้องสาวชื่อพฤศจิกาพี่ชายชื่อธัน หรือธันวา ชื่อฟังดูคุ้นๆ กันไหมครับ?


ใช่แล้วครับมันเป็นน้องชายของพี่ธัน หรือลุงธันของเด็กๆ นั่นแหละครับ กลับมาที่ไอ้กันย์ก่อนนะครับ รำคาญมันจริง มาแง้วๆ ใส่แต่เช้า นี่เด็กๆ ต้องไปแต่งตัวไปโรงเรียนให้นะ ดีที่ว่าวันนี้ผมตื่นเช้า ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าผมจะถ่อสังขารลุกมาเปิดประตูรับมัน

"คายออกมานะน้องเติร์ก!!" น้องพ่องมึง กูเกิดหลังมึงแค่ไม่กี่เดือนเอง

"ก็ไม่มีอะไร๊ แค่เขามาหาลูกเขาก็แค่นั้นเอง พ่อมาหาลูกไม่ผิดใช่ไหมมึง?"

"ก็ไม่ผิด แต่ที่ผิดน่ะ..คือมึง ผิดปกติเหรี้ยๆ"

"เห้ย!! ไอ้กันย์" ไม่ทันละ มันวิ่งขึ้นไปที่ห้องผมแล้ว ไอ้ห่านี่มันเร็วจริงๆ จมูกก็ดียิ่งกว่าหมาซะอีก

"เป็นไง เจออะไรไหม?" ผมยิ้มเย้ยใส่หลังจากที่มันเดินลงบันไดมา

"เอ่อ อย่าให้กูรู้นะมึง กูจะป่าวประกาศให้ทั่วเลย"

"เดี๋ยวๆ นี่กูไปเหยียบตาปลามึงรึเปล่าเนี๊ยะ ทำไมมึงดูเหมือนแค้นกูจัง?"

"เปล่า กูแค่อยากแกล้งมึงเฉยๆ ฮ่าๆๆๆ" ไอ้กรวกกกก!! ไอ้ห่าราก!! ก็นึกว่าโกรธจริง ที่แท้ก็เล่นละคร

"กูว่ามันไม่ธรรมดาแล้วล่ะ น้องเติร์ก" มันทำสายตาท่ากรุ้มกริ่ม

"อะไร?"

"ก็สายตาที่เขามองมึงไง กูดูออก"

"ดูออกกับผีมึงสิ ปะๆ เข้าไปข้างใน...เอ่อ แล้วไหนล่ะของฝากกู กับลูกกู?"


"อะนี่ของมึง แล้วนี่ก็ของลูกมึง"


"ไอ้เหรี้ย!! โยนมาได้ ถ้ากูรับไม่ทันทำไงเนี๊ยะ?"

"ก็ไม่ทำไงไง มันก็แค่ตุ๊กตาหมี ถึงตกมามันก็ไม่แตกหรอก" เอาอีกละ ตุ๊กตาหมีอีกละ

"ทำไมมีชอบซื้อตุ๊กตาหมีให้ลูกกูจังหะ เดี๋ยวลูกกูก็ได้กลายเป็นตุ๊ดหรอก ซื้อมาอยู่ได้แทบทุกครั้ง" จนตอนนี้เต็มตู้โชว์ จนไม่มีที่เก็บแล้วเนี๊ยะ

"ก็มันน่ารักดี อีกอย่างเด็กผู้ชายเล่นตุ๊กตาหมี เขาว่าโตมาแล้วจะจิตใจดีนะมึง" มันเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจัง?

"เขาของมึงน่ะใคร?" ผมอ่านหนังสือบทความมาตั้งเยอะทำไมไม่เห็นรู้เลย

"ก็เขานี่ไง ฮ่าๆๆๆ" มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แล้วหัวเราะเสียงดัง


"แบบมึงเนี๊ยะนะจิตใจดี ถุย!!"


"ก็ดีในระดับหนึ่งแหละวะ ไม่งั้นมึงไม่คบกับกูมาได้นานขนาดนี้หร๊อก" ก็จริง มีผม ไอ้กันย์ แล้วก็ไอ้พัตนี่แหละที่ยังคบกันเหนียวแน่นมาตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว

"เอ่อๆ แล้วสรุปเด็กผู้ชายเล่นตุ๊กตาหมีไม่กลายเป็นตุ๊ดแน่นะมึง?" ผมถามย้ำ

"ก็เออดิ ดูอย่ากูนี่ มีเป็นคอลเลคชั่นเลยตั้งแต่เด็ก ยังไม่เห็นเป็นตุ๊ดเลย" ก็จริงของมัน ไม่ตุ๊ดแต่โคตรจะเจ้าชู้เลยขอบอก

"ปะ เข้าไปข้างในกัน ผัวมึงมองมาทางนี้หลายครั้งละ" ผมตบหัวมันไปทีนึง โทษฐานที่มันพูดไปเรื่อย พูดไม่คิดเดี๋ยวเด็กๆ ได้ยินจะเป็นเรื่องอีก ยิ่งขี้สงสัยอยู่


"แล้วแฝดไปไหน"

"ก็กำลังจะบอกอยู่เนี๊ยะว่า ให้มีงรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวไปตามสองแสบลงมาให้ แต่นานหน่อยนะเพราะวันนี้เด็กๆไปโรงเรียนวันแรก ต้องแต่งตัวให้ก่อน"

"อ้าวเหรอ กูไม่รู้เลย นี่กูไม่อยู่มาไม่กี่อาทิตย์เองนะเนี๊ยะ"

"เออๆ รออยู่ตรงนี้แหละ อ่อลืมไป มึงนี่ไรอันนะ พ่อของสองแฝดที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ แล้วก็นี่ไอ้กันย์ เพื่อนผม"

"คุยกันไปก่อนนะ ขอขึ้นไปดูเด็กๆก่อน"

"ส่วนมึง ห้ามถามอะไรไปเรื่อยกับไรอันอะ" ผมหันไปกระซิบมันเบาๆ



------------



"เด็กๆ ทำไมไม่ลงไปข้างล่างกันครับ ใกล้จะได้เวลาไปโรงเรียนแล้วนะ ไหนลองหมุนตัวอีกครั้งสิครับ ป่าป๊าจะได้ดูว่าสุดหล่อของป่าป๊าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง"

"โอเค เรียบร้อยแล้ว งั้นไปกันเถอะครับ เดี๋ยวแดดดี้จะรอนาน"

"มาเร็วๆ ครับ แอสตัน ออสติน สายแล้วนะ เดี๋ยวคุณครูจะดุเอาน้าาาา" สองหน่อพากันหยุดอยู่กับที่ ทำหน้าหงอย กำชายผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มของโรงเรียนไว้จนแน่น

"เกิดอะไรขึ้นครับ ไหนลองบอกป่าป๊าสิครับ" ระหว่างที่ผมรอคำตอบจากเด็กๆ ไรอันก็เดินกลับมาตามพอดี คงเห็นว่าพวกเรายังไม่ออกมาสักที

"ป่าป๊าฮับ" ผมหันมามอง "ออสตินไม่อยากไปโรงเรียนฮับ" พูดจบเจ้าตัวก็เบ้ปาก น้ำตาไหลเป็นสายเลย

"โอ๋ๆ อย่าร้องนะครับ เงียบก่อนครับ ฮืบ!!"

"นั่นแหละ เก่งมากครับ" ผมก็เอาผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มสีฟ้าที่เด็กๆใส่นี่แหละครับเช็ดน้ำตาให้ เพราะทิชชูแถวนี้ไม่มี

"รู้ไหมครับ ถ้าแอสตัน กับออสตินไม่ไปโรงเรียน พอนานวันเข้า เขาก็งอกออกมาจากหัวเหมือนเจ้าตัวที่เราดูในทีวีเมื่อวานเลยนะ" ผมหมายถึง ควายป่าที่เด็กๆดูในสารคดีน่ะครับ

"ทำไมฮับ" แอสตันถาม

"ก็เพราะว่า เด็กๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่รู้วิชา เขียนหนังสือก็ไม่ได้ อ่านอะไรก็ไม่ได้ไงล่ะครับ"

"แต่แอสตัน ฮึกๆ กับออสตินอ่าน ก.ไก่ ได้แล้ว" โถๆ พ่อหนูน้อยออสตินของผมสะอึกสะอื้น พูดไม่เป็นคำเลย

"นับ 1-20 ก็ได้แล้ว" แอสตันตอบบ้าง ดีหน่อยที่รายนี้ไม่ขี้แยเท่าน้องชาย เลยหยุดร้องไห้ก่อน

เห้ออออเอาไงดีวะเนี๊ยะ จะตอบว่าไงดี เมื่อวานก็ยังคุยกันรู้เรื่องอยู่เลยว่าอยากไปโรงเรียน อยากมีเพื่อนเล่นเยอะๆ แต่เช้านี้ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะเนี๊ยะ คณิตินเกาหัว

เอาใหม่.....

"ไหนลองตอบป่าป๊าสีครับว่า 2+6 เท่ากับเท่าไหร่เอ่ย ถ้าตอบได้ป่าป๊าก็จะไม่ให้ไปโรงเรียน" เด็กๆ เงียบ มองหน้าสบตากันไปมา

"เงียบแบบนี้แสดงว่าไม่รู้กันใช่ไหมครับ" สองแสบพากันพยักหน้า

"งั้นก็แสดงว่ายังไม่รู้วิชาเลย แล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือด้วย เขาจะได้ไม่งอกรู้ไหมครับ" ตอนเด็กๆ ผมเคยถูกแม่หลอกแบบนี้เหมือนกันครับ เลยต้องจำใจไปโรงเรียน ตอนนั้นอายุก็น่าจะประมาณแอสตัน กับออสตินเนี๊ยะมั้งครับ

"ปะ..ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวเพื่อนใหม่รอ" สองหน่อเริ่มลังเล "เอ๊...ไหนเมื่อวานใครบอกว่า อยากเจอเพื่อนใหม่ อยากจะเอาของเล่นไปกับเพื่อนใหม่น้าาาา"

"ป่าป๊าว่าเพื่อนใหม่ต้องมีของเล่นมาอวดแอสตัน กับออสตินเหมือนกันแน่ๆ เลย เผลอๆ อาจมีรถบังคับ กับหุ่นยนต์ยอดมนุษย์ตัวใหญ่กว่าของพวกเราอีกน้าาาา"

"นี่คุณ" ผมหันไปสะกิดไรอัน แล้วกระซิบบอกเบาๆ "ช่วยหน่อย อย่ายืนมองเฉยๆ สิ"

จากนั้นเจ้าตัวก็ก้มลงกระซิบอะไรกันก็ไม่รู้กับสองแสบ แล้วเปิดโทรศัพท์มือถือหาอะไรไม่รู้อยู่สักพัก แล้วเอาให้เด็กๆดู

"ตกลงไหม?" เด็กๆพยักหน้า "ปะ..ไปกันได้แล้วครับ ตอนเย็นค่อยกลับมาเอาของขวัญกัน"

ของขวัญอีกแล้ว? นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่ให้ไรอันเป็นคนคุยกับเด็กๆเนี๊ยะ

"ไปกันครับ ป่านนี้เพื่อนๆ คงรอแอสตันกับออสตินกันแล้วล่ะ แล้วก็นี่ปีโป้ นมเม็ด แล้วก็เยลลี่เอาเก็บเอาไว้กินตอนกลางวันนะครับ" สองหน่อพยักหน้า

"ส่วนนี่ก็นมนะครับ ถ้าหิวก็เอาออกมาให้คุณครูตัดใส่ขวดนมให้เลยนะครับ ป่าป๊าเอาใส่ให้ในกระเป๋าคนละ 2 กล่อง โอเคไหมครับ" เด็กๆ พยักหน้า แล้วเดินตามพ่อเขาไปที่รถ

ผมได้แจ้งคุณครูไว้แล้วครับว่าเด็กๆ ยังติดขวดนมกันอยู่ ตอนช่วงนอนกลางวันอาจจะต้องรบกวนคุณครูช่วยตัดนมกล่องใส่ในขวดนมให้เด็กๆ ด้วย ส่วนอย่างอื่นที่เอาใส่ในกระเป๋าให้ไปด้วยคงจะเป็นผ้าขนหนูที่สองแสบชอบเอามาจับตอนกินนม กับตลับดินสอ ยางลบของแต่ละคน อ้อ!! มีสีไม้กับสีเทียนให้ด้วยคนละกล่อง อันนี้ผมซื้อให้ใหม่เลยเผื่อจะได้เอาไประบายกับเพื่อนๆ ในห้อง

วันแรกของการไปโรงเรียนของเด็กๆ ก็มักจะยุ่งๆ แบบนี้แหละครับ  ตอนเด็กๆ ใครเคยเป็นแบบนี้บ้างครับ ไม่อยากไปโรงเรียน หรืออยากให้ถึงวันเสาร์-อาทิตย์เร็วๆ  สารภาพมาซะดีๆ ผมนี่ยกมือขึ้นคนแรกเลย เพราะตอนเด็กๆผมคนหนึ่งแหละที่เกลียดการไปโรงเรียนที่สุด เพื่อนก็ชอบแกล้ง คุณครูก็ดุ๊ดุ

ไปโรงเรียนแรกๆ นี่ร้องไห้ประจำเลย เรียกได้ว่าเป็นโฮมซิกกันเลยทีเดียว คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ เป็นเอามาขนาดว่าคุณครูอนุบาล หรือชั้นเด็กเล็กที่เราเรียกกันแซวพ่อแซวแม่ว่า ขี้แยเหลือเกิน ร้องไห้ไม่หยุด ขนาดครูไปห้องน้ำ ยังจะตามไปด้วยเลย

แต่พอมีเพื่อนใหม่ ขี้คร้านจะพูดถึงโรงเรียนไม่หยุด อยากให้ถึงวันจันทร์เร็วๆ งี้ ฮ่าๆๆ

"เอ่อคุณ แล้วไอ้กันย์เพื่อนผมล่ะ"

"กลับไปแล้ว" ผมพยักหน้าคาดเข็มขัด



พอถึงโรงเรียน พวกเราก็จูงมือสองแฝดลัดไปตามทางซีเมนต์กับตัวหนอนที่ปูเป็นทางไปจนถึงสนามเด็กเล่น แล้วก็ห้องของเด็กเตรียมอนุบาล

จะว่าไปเด็กน้อยฝรั่งที่นี่ก็มีหลายคนอยู่นะจากที่เห็น.....

"สวัสดีคุณครูก่อนสิครับเด็กๆ" แอสตันกับ ออสตินยกมือขึ้นประนม ก้มหัวสวัสดีคุณครูประจำชั้นแล้วก็ขยับเข้ามาเกาะขาผมกับไรอันใหญ่เหมือนเดิม


"สวัสดีครับน้องแอสตัน น้องออสติน มาครับเดี๋ยวคุณครูจะพาไปรู้จักเพื่อนๆ แล้วก็เอากระเป๋าไปเก็บกันนะครับ" คุณครูประจำชั้นเป็นผู้หญิงครับ ชื่อครูพิม

"ป่าป๊า....." สองพี่น้องเงยหน้ามอง หน้าตากำลังเริ่มปริ่ม สงสารก็สงสารนะ แต่ถ้าไม่แข็งใจ แอสตัน กับออสตินก็จะไม่รู้หนังสือกันสักที ผมเลยสะกิดให้ไรอันเข้าไปพูดกับลูกบ้าง เพราะขืนผมเข้าไปปลอบตอนนี้ เด็กๆ ต้องร้องไห้หนักกว่าเดิมแน่

"เข้าไปเล่นกับเพื่อนๆ แล้วตอนเย็นๆ กลับมาเอาของรางวัลจากแดดดี้นะครับคนเก่ง" ไรอันขยี้ผมลูกเบาๆ ก้มเช็ดน้ำตาให้

"กลับกันเถอะ" ไรอันบอก

"ขอผมแอบดูลูกอีกนิดได้ไหมคุณ ผมกลัวเด็กๆ จะร้องไห้จัง"

"งั้นไปแอบดูตรงโน้นไหม ตรงนี้เดี๋ยวเด็กๆ ออกมาเล่นกับเพื่อนๆ แล้วจะเห็นเอา" ผมพยักหน้าแล้วเดินตามออกมา

"อย่าร้องไห้นะ" ไรอันบอก

"ไม่ร้องหรอกหน่า ผมไม่ใช่เด็กๆ คุณนั่นแหละปล่อยมือผมออกได้แล้ว ไม่ต้องจูง" ไรอันหันมามองมือตัวเองแล้วปล่อยมืออีกคนออก ปล่อยให้ต่างคนต่างเดินตามกันออกมาจากหน้าศูนย์เด็กเล็ก

"ผมว่าเรายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้ก็ได้นะ มีพุ่มไม้บังอยู่เด็กๆ คงไม่เห็นหรอก"

"อื้ม"





-------------------------
---------------------------
----------------------------///////
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:34:03 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


-------------------------
---------------------------
----------------------------///////





"นี่คุณ..ช่วยหยุดมองผมสักชั่วโมงก่อนได้ไหม"

"ทำไม" นี่ยังต้องบอกอีกเหรอว่าทำไม

"คือ..ผมไม่มีสมาธิ"

"แล้วทำไมถึงไม่มีสมาธิ"

"ก็คุณเล่นจ้องผมอยู่อย่างนี้เป็นชั่วโมงแล้ว ใครบ้างมันจะทำตัวเป็นปกติได้" ไรอันพริบตาพริบๆ แล้วหยิบหนังสือนิตยาสารตกแต่งบ้านบนโต๊ะมาอ่าน คณิตินเลยถอนหายใจออกเฮือกใหญ่แล้วก้มหน้าแปลงานต่อ

ผ่านไปได้ไม่ถึงสิบนาที เจ้าตัวก็หันกลับมาจ้องเหมือนเดิม "นี่คุณ ถ้าจะแอบดูขนาดนั้น ผมว่าคุณกลับมาทำแบบเดิมเถอะ"

"ทำได้เหรอ?"

"ผมประชด!!"

"ก็ผมไม่มีอะไรทำ" ไรอันตอบ

"คุณก็กลับไปคอนโดคุณ หรือไม่งั้นก็ไปเดินช็อปปิ้งสิ"

"เติร์กอยากไปเหรอ"

"เปล่า"

"แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณเรียกผมว่ายังไงนะ"

"คุณ" ไรอันตอบ

"ไม่ใช่สิ เมื่อกี้ที่ผมได้ยินมันไม่ใช่แบบนี้นิ" ไรอันยิ้ม

"ยิ้มทำไม"

"เติร์ก....ผมเรียกคุณว่าเติร์กกกก" คณิตินเบิกตาโต อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก หันไปมองเลขาส่วนตัวของไรอัน อย่างคริส กับแซม รายนั้นก็ทำหน้าเฉยๆ ไม่รับรู้อะไร

"เออ...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" คณิตินลุกพรวดพราดจ้ำฝีเท้าออกไป

"เดี๋ยวก่อนเติร์ก ห้องน้ำไปทางนั้นไม่ใช่เหรอ" คณิตินวิ่งจากอีกทางหนึ่งไปอีกทาง เพราะทางที่เขาวิ่งไปทีแรกมันคือห้องครัว ไม่ใช่ห้องน้ำ

"นายแกล้งคุณเติร์กแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ สงสารเขา" คริสพูด

"หึๆ แกล้งนิดเดียวเอง แต่ก็น่ารักดีนิ นายว่าไหม?" เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่กำลังตกใจแล้ววิ่งเข้าไปหลบในรังของตัวเอง




---------------------
--------------------------
------------------------------
-----------------------------------



"ป่าป๊า...../ แดดดี้........" ตอนนี้บ่ายสามโมงเกือบบ่ายสี่โมงแล้ว พวกเรามารับสองแสบกลับบ้านกัน ดูจากปฏิกริยาแล้ว น่าจะได้เพื่อนหลายคนเลยทีเดียว เพราะเห็นโบกไม้โบกมือบ๊ายบายเพื่อนกันใหญ่เลย

"เป็นไงบ้างครับเด็กๆ ได้เพื่อนเยอะไหมเอ่ย"

"เยอะเลยฮับ" ผมทำตาโตล้อเลียนเด็กๆ

"มีใครบ้างครับ ไหนลองเล่าให้ป่าป๊า กับแดดดี้ฟังหน่อยสิครับ"

"มีแม็กกี้ เจฟฟ์ มอส  แอนนี่ มินนี่กับมิวนิคครับป่าป๊า สองคนนี้เป็นแฝดเหมือนพวกเราเลย ฮิๆ" ออสตินเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว แตกต่างจากตอนเช้าก่อนออกจากบ้านเยอะเลย

"แล้วเล่นกับใครสนุกสุดครับในจำนวนเพื่อนที่ว่ามานี้" ผมหาเรื่องคุยกับเด็กๆ จะได้รู้ว่าวันแรกของลูกๆเป็นไงบ้าง

"แม็กกี้ กับเจฟฟ์ฮับ" ออสตินตอบ

"แล้วแอสตันล่ะครับ"

"แม็กกี้ กับเจฟฟ์เหมือนกันฮับ"

"อื้ม งั้นก็แสดงว่าพรุ่งนี้ไปโรงเรียน หนุ่มน้อยของป่าป๊าจะไม่ร้องไห้ก่อนไปโรงเรียนแล้วใช่ไหมครับ"

"ฮับ/ฮับ" เด็กๆ ตอบเสียงดังฟังชัด แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้อาจจะระริกกระรี้อยากไปโรงเรียน แต่พรุ่งนี้อาจจะขี้เกียจก็ได้ใครจะไปรู้ใช่ไหมครับ

"หิวกันรึยังครับ"

"ฮับ/ฮับ"

"งั้นเราแวะหาอะไรกินที่ห้างกันดีกว่านะครับ วันนี้ป่าป๊าจะให้ไอศครีมสองลูกเลย เป็นรางวัลให้เด็กดี"

"เย้......./ เย้....."


-------- ร้านอาหารบุฟเฟต์ชื่อดัง ที่เน้นผักและความสดของวัตถุดิบ


"ป่าป๊าฮับป่าป๊า ร้านนี้แอสตันเคยมา"

"ใช่ๆ ออสตินก็จำได้"

"โห...แล้วจำได้ไหมครับว่าครั้งก่อนมากับใคร"

"มากับลุงธันฮับ" ตอบเสียงดังพร้อมเพรียง

"ถูกต้องครับ ว่าแต่ถามถึงลุงธันทำไมครับ คิดถึงลุงธันกันเหรอครับ" เด็กๆ พยักหน้า

"ตอนนี้ลุงธันทำงานหนักมาก แล้วก็ยุ่งมากเลย เลยไม่ค่อยมีเวลามาหาแอสตัน กับออสติน เอางี้ดีไหมครับ ถ้าวันนี้แอสตัน กับออสตินกินข้าวเยอะๆ ทานผักเยอะๆ ป่าป๊าจะให้คุยกับลุงธันแบบเห็นหน้าให้หายคิดถึงเลย เอาไหมครับ"

"ฮับ/ฮับ"

"โอเค งั้นตอนนี้ก็ลงมือทานได้แล้วครับ เดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน" เด็กๆ ไม่ใช้มีดกับส้อมหรอกครับ ผมให้ใช้ช้อนกับส้อมที่พ่อแม่ให้ติดตัวตั้งแต่เกิดมานั่นแหละครับ สะดวกดี เอาไว้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยสอนการใช้อุปกรณ์พวกนี้

สองหน่อหยิบกิน จนซอสเอย มายองเนสเอยเลอะรอบริมฝีปากไปหมด ดีนะเนี๊ยะที่ชุดนักเรียนเขามีผ้ากันเปื้อนมาให้ด้วย ไม่งั้นผมคงต้องเสียเวลาขยี้ชุดขาวพวกนี้อีกนานเลย

"เอาล่ะ ทานหมดแล้วก็เช็ดมือ เช็ดปากก่อนนะครับ เดี๋ยวป่าป๊าโทรหาลุงธันแป๊บ" ที่บอกว่าโทรก็คือคอลไลน์ไปนั่นแหละครับ ป่านนี้ลุงธันของเด็กๆ คงยังไม่กลับหรอก เพราะงานสำนักพิมพ์เยอะจะตาย

รอสายไม่นานก็มีการตอบรับ  "ฮัลโหลพี่ธัน" ผมโบกมือทักทาย

"อ้าวว่าไง คิดถึงพี่รึไงถึงคอลมา" ธันวายิ้มแป้น เพราะปกตินับครั้งได้ที่อีกฝ่ายจะโทรมาหาตัวเองก่อน

"ก็นิดนึง"

"หึๆๆ ดีใจนะเนี๊ยะตอบแบบนี้ แล้วตอนนี้อยู่ห้างเหรอ เด็กๆ อยู่ไหน"

"ก็อยู่ด้วยกันนี่แหละครับ เห็นบ่นคิดถึงลุงธันๆ เลยคอลหานี่แหละ"

"โธ่ ก็นึกว่าคิดถึงกันจริงๆ นะคนเรา" ธันวาทำท่าน้อยใจ

"ก็คิดถึง ไม่คุยละๆ ให้เด็กๆ คุยดีกว่า" คณิตินจัดการหาที่วางมือถือ ดีที่ว่าเคสมือถือแบบนี้มันตั้งได้ ไม่งั้นคงหาที่วางยาก

เสียงเด็กๆ ก็คุยกับคุณลุงคนโปรดังเจื้อยแจ้วๆ ผมก็หันไปตอบแทนบ้าง แต่จะว่าไปพี่ธันกับไรอันยังไม่เคยเจอกันเลยแหะ สงสัยต้องนัดให้เจอกันสักวัน จะได้รู้จักกันไว้ เพราะไหนๆก็จะได้เจอกันอยู่แล้วไม่วันใดก็วันหนึ่ง



"ไหนขอลุงธันคุยกับป่าป๊าหน่อยสิครับคนเก่ง"

"ป่าป๊าฮับลุงธันจะคุยด้วยฮับ" ออสตินบอก

ผมบิดจอมือมาทางตัวเอง แล้วมองตัวเองในจอ ผมว่าทุกคนก็เป็นเวลาคอลคุยกับเพื่อนหรือกับใครสักคน ต้องสังเกตดูตัวเองว่าสภาพเป็นไงบ้าง โอเคไหม

"อ้วนขึ้นเหรอเติร์ก" นั่นไงว่าละ

"ไม่รู้สิพี่ แต่คงใช่แหละ ดูแก้มสิขึ้นมาเป็นลูกเลย"

"ไม่ได้ละตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจะควบคุมอาหารละ ต้องกินคลีน แล้วออกกำลัง หุ่นจะได้กลับมาฟิตแบบเดิม"

"หึๆ แต่พี่ว่าแบบนี้ก็น่ารักดีนะ น่ารักกว่าตอนมีกล้ามอีก"

"โห่..ไม่เอาหรอก แบบนี้สาวที่ไหนจะมาสน" คณิตินยังหน้างอกังวลกับรูปร่างของตัวเอง

"อะไรคุณ" ไรอันชะโงกหน้ามาส่องในจอมือถือ แล้วก็จ้องธันวาเขม็ง จากนั้นก็ผละออกไป

"เออ..พี่ธัน ผมว่าเอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่ดีกว่านะ ตอนนี้ขอพาเด็กๆ ไปตักไอติมก่อนดีกว่า เดี๋ยวร้านเขาจะปิดก่อนจะได้กิน แหะๆ"

คณิตินกดวางสาย แล้วหันกลับมาจ้องคนข้างๆ "แอสตันครับ ออสตินครับเราไปกันเถอะ กลับบ้านกัน"


------------


"นายครับ จะให้ผมเอาของที่สั่งมาให้คุณหนูเลยรึเปล่าครับ" แซมถาม เพราะตอนนี้เรากลับมาถึงบ้านกันแล้ว ส่วนสองแฝดก็กำลังทำการบ้านอยู่

"วันนี้คุณครูสอนอะไรไปบ้างครับ ไหนลองเล่าให้ป่าป๊าฟังหน่อยสิครับเด็กๆ"

"คุณครูสอนกอไก่ กับเอ บี ซี ดีฮับป่าป๊า แต่แอสตัน กับออสตินท่องได้แล้ว คุณครูเลยให้หัดเขียนฮับ" แอสตันตอบ

"เก่งจังเลยเนอะ ลูกป่าป๊าเนี๊ยะ แล้วคุณครูให้การบ้านมารึเปล่าครับ" เด็กพยักหน้า แล้วค้นเอาหนังสือเรียนออกมา

ความจริงมันก็เป็นหนังสือเรียนของเด็กเล็กปกติอะนะ ที่ตรงด้านซ้ายบนจะมีรูปการ์ตูน แล้วด้านล่างจะมีตัวอักษรเส้นปรุให้เด็กๆ ไว้เขียนตาม

"งั้นก็ลงมือทำเลยครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะสอน"

ผ่านไปอีกห้านาที "ป่าป๊าฮับป่าป๊าแอสตันเขียนถูกไหมฮับ" เจ้าตัวบิดหนังสือมาให้ดู

"เกือบถูกแล้วครับ มานี่ครับเดี๋ยวป่าป๊าจับมือเขียนก่อน แล้วบรรทัดถัดไปแอสตันค่อยเขียนเอง โอเคไหมครับ"

"ฮับ"

"ตัวนี้อ่านว่าอะไรนะครับสองแสบ"

"ด. เด็ก ต้องนิมนต์"

"ถูกต้องครับ ตัวนี้มันต้องวงกลมหัวมันก่อน ให้หัวมันอยู่ด้านในแบบนี้เห็นไหมครับ แล้วค่อยลากมันลงมาทางซ้ายแบบนี้ จากนั้นก็ลากมันขึ้นไปตามเส้นแบบนี้ แล้วก็ลากมันลงมาแบบนี้ เสร็จแล้วครับ"

"ป่าป๊าฮับออสตินไม่เห็น"

"ที่ไม่เห็นเพราะออสตินมัวอมปลายดินสอแล้วดูทีวีไงครับ งั้นปิดก่อนเนอะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยดู" ออสตินดูอาลัยอาวรณ์ยอดมนุษย์ฮุลตร้าแมนมาก จนผมต้องทำหน้าขึงขังขู่

"กลับมานั่งที่ก่อนครับ ป่าป๊าจะสอนเขียน ไหนออสตินเขียนถึงตัวไหนแล้วครับ" พูดจบเจ้าตัวก็เดินต้วมเตี้ยมๆ กลับมานั่งเก้าอี้ เอาหนังสือกลับมาวางบนโต๊ะเขียนหนังสือเหมือนเดิม ลืมบอกไปครับว่าผมซื้อชุดเก้าอี้เขียนหนังสือแบบนี้ให้เด็กๆ ไว้นานแล้วครับ นานพอที่เจ้าสองหน่อจะอ่าน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูกได้นั่งแหละครับ เพราะหัดท่องกอไก่ ถึงฮอ.นกฮูกจากโต๊ะนี้เหมือนกัน

ใครเคยดูเด็กน้อยฝรั่งที่ท่องฮาร์คอร์กอไก่ในยูทูปบ้างครับ นั่นแหละครับแอสตันกับอิสตินเป็นแบบนั้นเลย ดีหน่อยที่ไม่สะบัดจนหัวจะหลุดแบบนั้น แล้วก็ฟังดูฉะฉานกว่าแค่นั้นเองครับ แต่เด็กน้อยในคลิปก็น่ารักดีนะครับ ผมเห็นแล้วก็ตกหลุมรักเลย กดรีเพลย์ดูไปตั้งหลายครั้ง

"นี่ครับนาย" แซมกลับมาพร้อมกล่องกระดาษมีรู ใบเกือบเท่ากล่องลังเบียร์

"อะไรอะคุณ"

"เห้ย!!" มันคือลูกหมาครับ กำลังนอนหลับอุตุอยู่ในกล่อง

"นี่อย่าบอกนะว่านี่คือของขวัญของเด็กๆ ที่คุณสัญญากับเด็กๆ ไว้ตอนเช้า"

"อื้ม" คณิตินเอามือตบหน้าผากตัวเองอย่างจนปัญญา อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

"น่ารัก" แอสตันบอก ส่วนออสตินก็กำลังยืนมองเจ้าก้อนสามสีตาแป๋ว "หูยาว อิอิ อิอิ" มันก็ต้องหูยาวสิ เพราะมันเป็นหมาพันธุ์บีเกิ้ลนี่หน่า

"ชอบไหมครับ" ไรอันถาม แล้วเอาเจ้าสี่ขาตัวน้อยออกมา

"คุณ!!!"

"ไม่ต้องมายิ้ม รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังให้ท้ายลูก ชอบตามใจลูกแบบนี้สักวันเด็กๆ จะเหลิง"

"ผมแค่อยากให้ลูกหยุดร้องแล้วไปโรงเรียน" จะบ้าตายไอ้เติร์กไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายดี

"แต่คุณหาวิธีอื่นก็ได้นิ ไม่ใช่วิธีนี้ ไม่รู้ล่ะครั้งหน้าจะซื้ออะไรให้เด็กๆ บอกผมด้วยนะ เพราะผมไม่อยากทำตัวเหมือนพ่อแม่รังแกฉัน" ไรอันพยักหน้า จะเข้าใจไม่เข้าใจก็แล้วแต่เหอะ ไว้ผมอารมณ์ดีกว่านี้ค่อยอธิบายเรื่องพ่อแม่รังแกฉันให้เขาฟังอีกที

"ลูกกำลังจะสี่ขวบ แล้วความรับผิดชอบก็ยังไม่มี ไหนจะขนหมาที่อาจทำให้เป็นภูมิแพ้อีก"

"ลูกไม่เป็นหรอกเชื่อผม" คณิตินกรอกตาไปมากับคำว่าเชื่อผมนี่แหละ แต่ก็เอาเหอะเพราะไหนๆก็ซื้อมาแล้ว จะให้เอาไปคืนก็คงไม่ได้ แถมสองแฝดก็ดูจะชอบมันไม่น้อยด้วย

"พลีส.....นะเติร์ก ให้ลูกเลี้ยงเถอะ เดี๋ยวผมช่วยลูกเลี้ยงเอง"

เหอะ!! แล้วไอ้เติร์กจะคอยดูว่าจะช่วยกันเลี้ยงจริงรึเปล่า

"ป่าป๊าฮับ ดูสิฮับมันเลียมือออสตินด้วย ฮิฮิ"

"สงสัยมันจะหิวแล้วมั้งครับ" พูดจบสองหน่อก็วิ่งเข้าไปในห้องนอน แล้วกลับออกมาพร้อมขวดนมคนละขวด

"เห้ยๆ ไม่ได้นะไม่ได้ เอานมให้มันแบบนี้ไม่ได้นะเด็กๆ"

"ทำไมฮะ" แอสตันถาม

"เราให้นมมันกับถ้วยเล็กๆ ก็ได้ครับ แต่ถ้าแอสตันกับออสตินเอาขวดนมให้มันแบบนี้ แล้วพวกหนูจะเอาขวดนมที่ไหนใช้ครับ" สองหน่อมองหน้ากันไปมา แล้วกระซิบกัน

"แอสตันไม่กินขวดนมก็ได้ฮับ"

"ออสตินก็เหมือนกันฮับ แฮ่ๆ" เด็กๆ แลบลิ้นยิ้มหวาน

"แล้วจะกินนมยังไงครับไหนบอกป่าป๊าซิ"

"แก้วฮับ/แก้วฮับ" เด็กๆ วิ่งไปหยิบแก้วพลาสติกที่ใช้ตักน้ำแปรงฟัน บ้วนปากมา

"แน่ใจนะครับว่าจะยกขวดนมนี่ให้น้องหมา แล้วจะกินนมกับแก้วแทน"

"ฮับ/ฮับ"

"งั้นถ้าวันไหนที่แอสตัน กับออสตินร้องไห้หาขวดนม ป่าป๊าจะให้แดดดี้เอาน้องหมาไปคืนนะครับ โอเคไหม"

"ฮับ/ฮับ"

"โอเค งั้นป่าป๊าให้เลี้ยง" เด็กยิ้มแป้นดีใจ "แต่ทั้งสองคนต้องช่วยกันดูแลมันนะครับ เพราะมันยังเล็กอยู่ ยังกินข้าว กินนมไม่เป็น ตกลงไหมครับ" สองหน่อพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

"ส่วนคุณ ดูแลเรื่องที่หลับที่นอน กับกะบะถ่ายหนักถ่ายเบามันเลยนะ เรื่องนี้ผมจะไม่ช่วยเด็ดขาด" ไรอันยักคิ้ว

"แล้วมันมีชื่อรึยัง"

"ยัง เดี๋ยวให้ลูกตั้ง"

"เรียกมันว่า แม็กกี้" แอสตันตอบ ส่วนออสตินก็ยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

"แต่นั่นมันเป็นชื่อเพื่อนใหม่ของลูกไม่ใช่เหรอครับ" สองหน่อพยักหน้า

"เออ...ป่าป๊าว่าเอาชื่ออื่นดีกว่าไหม ชื่อนี้เป็นไง มูมู่" แอสตันส่ายหน้า บอกว่าไม่ชอบชื่อนี้อย่างแรง

"งั้นเอาชื่อนี้ไหมล่ะ สามสี" เพราะมันมีสามสีไง

 แต่เด็กๆ ก็ส่ายหน้าอีก แม้แต่ไรอันยังไม่เห็นด้วย  ทำไมล่ะ ชื่อสามสีมันไม่ดีตรงไหน ออกจะเข้ากับตัวมันดีออก

"แล้วมันเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย" ผมถาม แล้วเข้าไปพลิกดูก้นมัน

"เป็นผู้ชาย" จะให้ชื่อว่าอะไรดีน้าาา

"บัดดี้ ให้มันชื่อบัดดี้" ผมพยักหน้าเห็นด้วย เพราะโตมามันจะได้เป็นเพื่อนกับเด็กๆ

"บัดดี้ๆ" เด็กๆ ดีใจ พากันเรียกชื่อเจ้าหมาน้อยกันใหญ่

"ลองจับมันดูสิครับ" ไรอันบอก "จับแบบนี้ เบาๆ แบบนี้" แอสตันกับออสตินเอามือลูบหัวกับลำตัวหมาน้อยเบาๆ

"อ๊ะๆ อย่าเพิ่งหอมมันนะครับ ให้แดดดี้อาบน้ำให้มันก่อน แล้วค่อยหอมมัน"

"ไปสิคุณ เอามันไปอาบน้ำก่อน"

"เดี๋ยวผมพามันไปอาบน้ำให้ครับนาย" คริสว่า

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกับลูกทำเอง"

"งั้นเดี๋ยวพวกผมไปซื้อกะบะนอน กับกะบะฉี่ให้มันนะครับ" ไรอันพยักหน้า แล้วอุ้มเจ้าบัดดี้ สมาชิกใหม่ของบ้านออกไปทำความสะอาดหน้าบ้าน ส่วนแอสตัน กับออสตินก็ตามไปติดๆ

เห้อออออ....หลังจากนี้มาคอยดูกันครับว่า ระหว่างหมากับคน อันไหนจะซนกว่ากัน ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่อนุญาติให้สองแสบเลี้ยง



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:34:39 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Fallen DESTINY
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 8






How would you feel if I told you I loved you?
It’s just something that I want to do
I’ll be taking my time, Spending my life
Falling deeper in love with you.
So tell me that you love me too






"เด็กๆ เรียกยายภาสิครับ ยายภาไปไหนเอ่ย บ้านช่องเงียบเลย"

"ยายภาฮับบบบ ออสตินมาหา เปิดประตูให้ออสตินโหน่ย"

"แอสตันก็มาหาด้วยฮับยายภา"

"ป่าป๊าฮับยายภาตื่นสาย" ออสตินว่า

"งั้นออสติน กับแอสตันรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวป่าป๊าเข้าไปปลุกยายภาก่อน"

"ฮับ/ฮับ" ผมให้เด็กๆ รออยู่ตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แต่จะว่าไปก็แปลกๆ อยู่นะ ปกติป้าพาน่าจะตื่นแล้วนะเวลานี้ หรือว่าแกจะตื่นแล้วแต่เอ็นหลังแล้วเผลอหลับไปอีก

"ป้าภา เห้ย!! ตกใจหมด คุณตามมาทำไม หื้ม?"

"เห็นว่าไปนานแล้ว เลยมาตาม"

"นานอะไร ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย"

"แล้วป้าภาไปไหน"

"ไม่รู้.....กำลังเดินหาอยู่เนี๊ยะ"

"ป้าภา ป้าภาครั....." ผมรีบวิ่งเข้าไปในครัว เห็นป้าภานอนหมดสติอยู่ตรงเตาแก๊ส

"ป้าภา ป้าภาครับ ได้ยินผมไหมครับ"

"มาเดี๋ยวผมช่วยอุ้ม"

"เด็กๆ ครับอย่าขวางแดดดี้ครับ" ไรอันรีบอุ้มวิ่งไปที่บ้าน "มาหาป่าป๊านี่เร็ว"

"ป่าป๊าฮับ ยายพาเป็นอะไรฮับ" แอสตันถาม

"ยายภาเป็นลมครับ"

"แล้วแดดดี้จะพายายพาไปไหนครับ"

"ไปโรงพยาบาลครับ ยายพาไม่สบายต้องไปหาคุณหมอ ไปเร็วครับเด็กๆ" ไม่รู้ว่าป้าภาแกจะเป็นอะไรมากรึเปล่า เพราะปกติแกก็เป็นโรคเบาหวาน ความดันอะไรพวกนี้อยู่แล้วด้วย แถมตอนไรอันอุ้มขึ้นมาเห็นตรงหัวแกแตกด้วย สาธุขออย่าให้ป้าภาแกเป็นอะไรร้ายแรงเลยนะครับ ผมใจคอไม่ดีจัง

"เอารถออก" แซมกับคริสรีบวิ่งไปสตาร์ทรถ

"คุณพาป้าภาไปโรง'บาลก่อนเถอะ เดี๋ยวผมกับลูกจะนั่งแท็กซี่ตามไป ขอปิดบ้านก่อน" ผมรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าเงินมา ล็อคประตูบ้านอะไรเสร็จสรรพก็กดโทรเรียกศูนย์แท็กซี่ให้มารับ


"ป่าป๊าฮับ ยายภาหัวแตก"

"เป็นห่วงยายภาเหรอครับ" สองหน่อพยักหน้า

"งั้นถ้ายายภาฟื้นขึ้นมา แอสตัน กับออสตินเป่าแผลให้ยายพาเลยนะครับ ยายภาจะได้หายเร็วๆ"

"ฮับ/ฮับ"

แท็กซี่เคลื่อนมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ผมจ่ายเงินแล้วรีบพาเด็กๆ เข้าไปตรงจุดประชาสัมพันธ์


"เด็กๆ ใส่หน้ากากอนามัยนี่ก่อนครับ" ผมไม่อยากให้ลูกไม่สบาย เพราะในโรงพยาบาลแบบนี้มีแต่คนป่วย เลยป้องกันไว้ก่อน

กำลังว่าจะเข้าไปถามตรงประชาสัมพันธ์แต่เห็นไรอันกับพวกคริสก่อน ผมเลยจูงแขนเด็กๆ เข้าไปหา

"เป็นไงบ้างคุณ"

"หมอกำลังดูอาการอยู่ อีกเดี๋ยวคงออกมา" พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พร้อมกับเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา

"ป้าของผมเขาเป็นไงบ้างครับคุณหมอ"

"น้ำตาลในเลือดแกต่ำ เลยทำให้หมดสติไปน่ะครับ คราวหลังอย่าทิ้งให้คนแก่อยู่คนเดียวอีกนะครับ เพราะถ้ามาถึงมือหมอช้าอาจเป็นอันตรายได้"

"ครับ" ผมตอบรับคำ ในใจก็โทษตัวเอง เพราะเมื่อวานมัวแต่ยุ่งกับเจ้าบัดดี้กัน เลยไม่ได้ไปดูป้าภาเลย

"งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะให้บุรุษพยาบาลเขาพาคนไข้ไปพักดูอาการสักคืน สองคืนก่อน"

"ขอบคุณครับคุณหมอ" ผมยกมือไหว้คุณหมอ จากนั้นก็ตามพนักงานเปลขึ้นลิฟต์ไป

"ไม่มีอะไรแล้ว คุณจะกลับไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าป้าภาเอง

"อื้ม งั้นเดี๋ยวผมดูแลเด็กๆ ให้" ผมยิ้มให้บางๆ แล้วหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกโล่งอกที่ป้าพาไม่ได้เป็นอะไรมาก ปกติก็เห็นแกแข็งแรงดีอยู่

"แอสตัน ออสตินครับ เดี๋ยวคืนนี้นอนกับแดดดี้นะครับ ป่าป๊าจะอยู่เฝ้ายายภา"

"ฮับ/ฮับ" ผมหมดห่วงเด็กๆ เพราะอย่างน้อยไรอันก็ทำอะไรเป็น พาเด็กๆ อาบน้ำได้

"ให้ผมเอาเสื้อผ้ามาให้ไหม" ไรอันถาม

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปเอาตอนเย็นเองก็ได้ จะได้ทำกับข้าวไว้ให้คุณ กับเด็กๆ  ด้วย" ไรอันยิ้ม

"ไม่ต้องยิ้ม ผมแค่อยากทำให้เด็กๆ เฉยๆ ส่วนคุณน่ะมันก็แค่ แค่.... (แค่อะไรดีวะ)"

"เอ่อนั่นแหละ ผมแค่ทำให้ลูกแล้วของมันเหลือเลยทำเผื่อให้เฉยๆ"

"ป้าแกปลอดภัยแล้ว คุณก็กลับไปสิ" ไปเลย ชิ้วๆ

"น่ารัก"

"ห๊ะ??"

"เวลาเขินแล้วน่ารัก" คณิตินตาโต พูดไม่ออก มองตามคนที่เพิ่งพูดป่วนเขาไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:35:10 โดย รักเจ้าเอย »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

---------------


"นางอำภา สิริโชครับยาค่ะ" คณิตินเดินไปรับยา แล้วก็จ่ายเงิน

"เท่าไหร่เติร์ก เดี๋ยวป้าเอาเงินคืนให้"

"ไม่เท่าไหร่เองครับ ผมใช้สิทธิประกันผู้สูงอายุของป้าภาจ่าย เลยเสียไม่กี่บาทเองครับ" ดีนะที่ผมซื้อประกันผู้สูงอายุพวกนี้ให้แม่กับป้าภาไว้ ไม่งั้นคงต้องจ่ายเยอะเหมือนกัน เพราะโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้อะไรก็แพง ยิ่งแอดมิทด้วยยิ่งแล้วใหญ่

"แต่ป้าไม่ต้องคืนให้เติร์กนะครับ มันไม่กี่บาทเอง ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ป้าช่วยดูแลเด็กๆ ให้ตอนผมติดธุระนะครับนะ"

"ขอบใจนะลูกที่ดูแลคนแก่อย่างป้า ป้าขอให้เติร์กขอป้าเจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปนะลูก บุญค้ำบุญชู" อำภาน้ำตาไหล เพราะถ้าไม่มีคณิตินกับเด็กๆ ชีวิตนี้ของเธอก็คงไร้สีสัน ไร้ความหมาย เหมือนอยู่รอเวลาไปวันๆ เท่านั้น

คณิตินสวมกอดหญิงแก่ไร้ลูกเต้าคนนี้ ไม่ใช่เพราะแค่สงสาร แต่เพราะรู้สึกอยากตอบแทนแล้วก็ดูแลให้เหมือนญาติคนหนึ่ง  เพราะหากไม่มีป้าอำภาแล้ว ชีวิตเขาตอนนั้นคงจะล้มลุกคลุกคลานพอสมควร ไหนจะต้องทำงาน แล้วไหนจะต้องเป็นคุณพ่อมือใหม่อีก


-----------


"ป้านอนตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอายามาให้ คราวหลังถ้ายาใกล้จะหมดบอกผมนะครับ ผมจะได้ไปเอาให้"

"จ้าพ่อคูณ"

"แล้วก็นี่ครับน้ำผลไม้ กับน้ำตาลกลูโคสแบบเม็ด วันหลังถ้าป้าภารู้สึกใจสั่น มือสั่น หรือรู้สึกผิดปกติก็รีบเอามากินได้เลยนะครับ ผมจะวางไว้ในตระกร้านี้นะครับ"

"จ้า"

ความจริงผมจะให้หมอติดเครื่องวัดระดับน้ำตาลในร่างกาย (Continuous Glucose Monitor: CGM) ให้แต่ป้าแกด้วย แต่แกปฏิเสธไม่เอาเด็ดขาด พูดยังไงก็ไม่ยอม ผมกับคุณหมอเลยไม่รู้จะทำไง ที่ให้ติดเพราะคุณหมอท่านแนะนำว่า ไอ้เจ้าเครื่องนี้มันดีมาก สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำโดยที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ซึ่งเจ้าเครื่องวัดนี้จะถูกติดตั้งไว้ใต้ผิวหนัง และจะส่งสัญญาณเตือนหากระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติ ผมว่าป้าแกคงกลัวที่ต้องฝังไอ้เจ้านี้ลงใต้ผิวหนังด้วยนั่นแหละ เลยไม่ยอมให้ติดเด็ดขาดเลย

"งั้นเดี๋ยวผมไปตามพี่มะขิ่นก่อนนะครับ จะได้ให้แกมาอยู่เป็นเพื่อน"

เรื่องของเรื่องก็คือ คุณหมอบอกว่าไม่อยากให้ทิ้งคนไข้ไว้บ้านตามลำพัง แล้วยิ่งคนไข้ไม่ติดเครื่องวัดระดับน้ำตาลแบบนี้ ก็จะไม่มีทางรู้ว่าตัวเองน้ำตาลต่ำ และอาจทำให้หมดสติหรือเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ก็ได้

ผมเลยคุยกับป้าภาว่าจะจ้างคนมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนค่าใช้จ่ายผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ตอนแรกป้าแกก็ปฏิเสธอีกนั่นแหละครับ แต่ผมบอกว่าถ้าไม่ให้จ้างคนมาอยู่เป็นเพื่อน ป้าภาก็ต้องย้ายไปอยู่กับผมที่บ้าน ซึ่งแกก็ไม่ยอมอีก สุดท้ายผมเลยอ้างว่าที่จ้างพี่มะขิ่นเพราะจะได้ให้แกดูแลสองแฝดด้วย เพราะยิ่งโตยิ่งซนขึ้น

อีกอย่างผมก็สงสารพี่มะขิ่นแกด้วย เห็นแกไปเป็นคนใช้ให้บ้านยัยคุณนายท้ายซอยแล้วโดยเขาด่า เขาว่าสารพัด แถมเงินเดือนก็ได้น้อยอีก ที่รู้มานี่ไม่ใช่ไปเผือกเรื่องของเขาหรอก ก็ป้าน้อยข้างบ้านยัยคุณนายแกมาเล่าให้ฟังว่า ขนาดกางเกงในเปื้อนประจำเดือนก็ยังต้องได้สักให้ลูกสาวคุณนายเลย เห้ออออ....ชีวิตคนเรา ทำบุญมาไม่เท่ากันเนอะ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกันไปนั่นแหละ เพื่อนร่วมโลก

สงสัยกันใช่ไหมครับว่าทำไมชื่อพี่มะขิ่นถึงชื่อแปลก ก็จะไม่แปลกได้ไงล่ะครับ ก็แกเป็นคนพม่า ที่เข้ามาทำงานบ้านเรา ดีนะที่ผมแอบถามแกแล้วว่าไปลงทะเบียนต่างด้าวแล้วรึยัง แกบอกว่าลงแล้วเรียบร้อย ผมถึงได้เบาใจแล้วก็จ้างนี่ไงครับ

แต่จะพูดก็พูดนะครับ ชื่อแกดูน่ากลัวไปสักหน่อยเนอะ ทำให้นึกถึง มะขิ่น ในเรื่องลัดดาแลนด์ ที่ถูกฝรั่งเจ้าของบ้านฆ่าหันศพยัดตู้เย็นเลย พูดแล้วก็ขนลุก บรื้ยยยยย.....


"พี่มะขิ่นครับ พี่มะขิ่น"

"ขาน้องเต๊อะ" ได้ยินชื่อใหม่ผมแล้วจะเป็นลม ต้องหายาพารามากินอีกสักสิบเม็ด ไม่ว่าจะสอนกี่ครั้ง พี่มะขิ่นแกก็เรียกได้แค่นี้แหละครับ ไอ้เติร์กล่ะเพลีย....

"คือผมจะบอกว่า ถ้าทำตรงนี้เสร็จก็ไปดูป้าภาได้เลยนะครับ ส่วนกับข้าวเดี๋ยวผมทำเองครับ"

"ค่ะน้องเตอะ" มะขิ่นยิ้มกว้าง แล้วเดินลัดไปบ้านป้าภา

ผมให้เงินเดือนพี่มะขิ่นอีกเท่าหนึ่งของบ้านยัยคุณนายท้ายซอย เพราะแกช่วยดูแลป้าภา แล้วว่างๆ ก็มาช่วยทำความสะอาดบ้านผมด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ดูแลป้าภานั่นแหละครับ

ตกเย็นมาผมก็พาเด็กๆ ไปเยี่ยมป้าภา ให้เด็กๆ อยู่กับคนแก่บ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้ช่วยขัดเกลาให้เป็นคนอ่อนโยน อันนี้ผมคิดคนเดียวนะ

"ยายภาาาาาา" สองหน่อยวิ่งเข้าไปหาป้าภาที่นอนผิงหมอนอ่านหนังสือธรรมมะอยู่ที่โซฟาหวาย

"ว่าไงครับ" เด็กหัวเราะชอบใจที่ถูกลูบหัว

"ยาภากินยารึยังฮับ" แอสตันถาม

"กินแล้วครับ แล้วแอสตัน กับออสตินล่ะครับกินข้าวเย็นรึยังครับ"

"ยังฮับ" อันนี้ออสตินเป็นตอบ

"งั้นอยู่กินกับยายไหมครับ วันนี้พี่มะขิ่นทำผัดมะเขือยาวใส่หมู กับมันปลาทอด"

"มะเขือยาว คืออะไรฮับ" ป้าภาหัวเราะหึๆๆ เพราะเด็กๆช่างขี้สงสัยจริงๆ

"มะเขือยาว คือต้นที่เราช่วยปลูกกันครั้งก่อนไงครับ จำได้ไหมครับ"

"โอ๊ะ??" เด็กๆ ทำตาโต นึกออกแล้วว่าครั้งก่อนตอนป่าป๊าไม่อยู่พวกเขาช่วยยายภาปลูกต้นไม้ พรวนดินแล้วก็รดน้ำต้นไม้

"มาเดี๋ยวยายพาไปดู มันออกลูกแล้ว สีสวยๆ ทั้งนั้นเลย" ป้าภาจูงแขนหลานๆ ไปหลังบ้าน

"อู้ววววว สีสวย" เด็กนั่งยองๆ จ้องมะเขือยาวตาโต ใช้นิ้วชี้จิ้มๆ พวกมะเขือจนลูกมันแกว่งไปแกว่งมา จนพี่มะขิ่นหน้าแดงแล้วแดงอีก

"เออ...แอสตัน ออสตินครับ มาดูต้นนี้ที่ป่าป๊าดีกว่าครับ ป่าป๊าจะให้ดมว่ามันหอมไหม" เด็กๆ ลุกจากตรงนั้นมาดูต้นผักชี้ที่ผมว่า

"ลองดมดูสิครับว่าหอมไหม"

"เหม็น!!" แอสตัน กับออสตินบอก

คือผมไม่ได้แกล้งลูกนะแค่อยากรู้ว่าพวกเขาจะชอบรึเปล่าแค่นั้นเอง สรุปคือเด็กๆ ไม่ชอบผักชีเหมือนผมเลยแหะ อย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นลูกป่าป๊า นี่ออสตินนี่ยิ่งแล้วใหญ่ได้กลิ่นแล้วทำท่าจะอ๊วกทันทีเลย

"มาครับป่าป๊าเอามันทิ้งแล้ว งั้นเรามาช่วยกันพรวนดินต้นไม้ให้ยายภากันดีกว่าครับ เสร็จแล้วค่อยไปทานข้าวกัน"

"เอ๊ะ...ส้อมพรวนดินอยู่ตรงไหนน้าาา" ผมแกล้งถามไปงั้นแหละครับ เพราะขี้เกียจเดินไปเอา

"อยู่ตรงโน้นฮับ" มือขาวๆป้อมๆ ชี้ไปที่ชั้นวางอุปกรณ์ทำสวน

"แอสตัน กับออสตินช่วยไปเอามาให้ป่าป๊าได้ไหมครับ ป่าป๊าปวดหลังลูกไม่ขึ้นเลย โอ๊ยๆๆๆ เจ็บ"

"ฮับ/ฮับ" เด็กๆ วิ่งไปเอาส้อมพรวนดินจากตะกร้าบนชั้นวางมาให้

"งั้นลงมือทำกันเลยครับ อย่าให้ส้อมมันโดยลำต้นมันนะครับเด็กๆ เดี๋ยวมันจะตาย" เด็กๆ ก็เข้าใจนะสงสัยครั้งก่อนป้าภาจะสอนแล้ว

ดูสิทำหน้าจริงจังกันเชียว...ขยันเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะนี่ :)

"นั่นพ่อเขามาตามแล้วนั่น" ป้าภาบอก

"นึกว่าหายไปไหนกัน"

"ไม่ได้หายไปไหน ผมพาเด็กๆ มาเยี่ยมป้าภา เลยอยู่คุยกันต่อนิดหน่อย คุณมีอะไรรึเปล่า หรือว่าหิวแล้ว" ไรอันส่ายหัว

"ไม่ได้หิว แต่ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว"

"คนเดียวที่ไหน แซม กับคริสก็อยู่ ไหนจะเจ้าบัดดี้อีกตัว ปะกลับเข้าไปในบ้านกันดีกว่าครับเด็กๆ เย็นแล้วเดี๋ยวยุงจะกัด"

"ป่าป๊าฮับ" ออสตินเรียก

"ครับ?"

"สงสารแดดดี้ แดดดี้กินข้าวคนเดียว" เอ่อจริง ลืมบอกเขาไปเลยว่าวันนี้ผมกับเด็กๆ จะกินข้าวเป็นเพื่อนป้าภา เอ๊ะหรือว่าจะชวนเขาด้วยอีกคน แต่ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านซะด้วยสิ ถ้าชวนไรอันอีกคนจะน่าเกลียดไปไหมนะ

"งั้นก็ให้พ่อเขาอยู่กินข้าวกับเราสิลูก กินกันหลายคน อร่อยดี" ป้าภาเอ่ยชวน

"ขอบคุณครับ" อำภายิ้มเอ็นด ใครจะคิดล่ะว่าชาตินี้จะมีลูกมีหลานเป็นต่างชาติกับเขา

"งั้นผมไปเอากับข้าวบ้านจากโน้นมานะครับ เด็กๆ รออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวป่าป๊ามา" สองหน่อพยักหน้า

"ไปแอสตัน ออสติน เดี๋ยวยายจะเปิดการ์ตูนให้ดู"



"แอบพาเด็กๆ หนีมากินข้าวที่นี่ ไม่ชวนผมเลยนะ"

"ก็ป้าภาแกชวน ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แต่ป้าแกก็ชวนคุณแล้วนิ" ผมเดินเข้าไปในครัว หยิบทัพเพอร์แวร์ออกมาใส่อาหารที่ทำไว้แล้ว

"ถ้าป้าภาไม่ชวน คุณจะชวนผมไหม"

"ไม่อะ" ไรอันทำหน้าจ๋อย "ก็ผมไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน จะชวนได้ไง มันน่าเกลียด" ฝรั่งตัวโตค่อยยิ้มออกมาได้หน่อยเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

"วันนี้คุณทำของโปรดผม" ไรอันยิ้ม

"ใครบอก มะกะโรนีนี่เด็กๆ ก็ชอบกิน ไม่ใช่คุณคนเดียวสักหน่อย"

"ก็เหมือนกัน ทำให้ลูก ก็เหมือนทำให้พ่อ" ไม่ใช่แล้วมะ คณิตินส่ายหัว

"หลีกไปหน่อยสิคุณ ผมจะเอากะทะไปแช่น้ำ" ตอนล้างจะได้ล้างง่าย ไม่ต้องเสียเวลาขัด ไรอันกระเถิบถอยออกมาอีกนิดหน่อย พอให้อีกคนผ่าน

"นี่คุณ เป็นอะไรมากเปล่าเนี๊ยะ แปลกๆ ไปนะเราอะ"

"ไม่รู้............รู้แต่ว่าชอบแบบนี้"

"ประสาท" คณิตินส่ายหัวอีกที แล้วหยิบทัพเพอร์แวร์เดินออกมา

"คริส แซม พวกผมจะไปกินข้าวที่บ้านป้าภานะ ส่วนกับข้าวของพวกคุณ ผมแบ่งไว้ให้แล้วในตู้กับข้าว ถ้าจะกินก็เอาออกมาอุ่นได้เลยนะ"

"ขอบคุณครับคุณเติร์ก" ไรอันยิ้มกับตัวเอง อาจเป็นเพราะแบบนี้ล่ะมั้งที่ทำเขาชอบอยู่กับคนๆ นี้ ดูเรียบๆง่ายๆ เป็นธรรมชาติ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แถมยังรักลูกเขามากๆด้วย



"เดี๋ยวพี่มะขิ่นเอาไปจัดใส่จานให้ค่ะคุณเตอะ"

"ขอบคุณครับ" ทัพเพอร์แวร์มีสามชั้น ดังนั้นกับข้าวเลยมีสามอย่าง อย่างแรกก็มะกะโรนีไก่ อย่างที่สองยำวุ้นเส้นหมูยอ (อันนี้ผมอยากกิน) แล้วก็อย่างสุดท้ายเป็นผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้หมูสับ

"ป้าภานั่งเลยครับ เดี๋ยวผมตักข้าวให้"

"แอสตันครับ ออสตินครับปิดทีวีก่อนครับ ได้เวลากินข้าวแล้ว" สองหน่อปิดทีวีแล้ววิ่งตามกลิ่นกับข้าวมาที่โต๊ะอาหาร

"หูววววว เยอะแยะเลย" พอปีนขึ้นมาบนเก้าอี้ได้ก็ทำตาโตขึ้นมาทันที เพราะกับข้าวเย็นนี้แน่นเต็มโต๊ะไปหมดเลย ขนาดผมยังคิดเลยว่าจะกินกันหมดไหม

เพราะนอกจากที่ผมทำมา ก็จะมีปลาทับทิมทอด กับน้ำจิ้มสามรส ผัดมะเขือยาวใส่หมู แล้วก็น้ำพริกปลาทูที่ป้าภาเป็นคนทำ กินกับผักลวกนี่เข้ากั๊นเข้ากัน

"มาครับเดี๋ยวป่าป๊าตักให้ แอสตันกับออสตินจะเอาอะไรครับ"

เด็กๆ ไล่ดูทีละอย่าง เพราะเลือกไม่ถูก "แอสตันเอาอันนี้ฮับ" เจ้าตัวชี้มาที่มะกะโรนีไก่ของโปรด

"แล้วออสตินล่ะครับ"

"เอานี้ นี้แล้วก็นี้ฮับ" เจ้าเสือน้อยออสตินคงจะหิว เลยชี้ไปหลายอย่างเลย ทั้งมะกะโรนี ปลาทอด แล้วก็ยำวุ้นเส้น

"แต่ยำวุ้นเส้นนี่มันเผ็ด ป่าป๊าว่าออสตินคงกินไม่ได้หรอก หรือว่าจะลองชิมดูก่อน" ออสตินพยักหน้า ใจจริงผมก็อยากให้เด็กๆ หัดกินเผ็ดดูบ้างนะครับ จะได้กินเป็น เวลาไปโรงเรียนหรือที่ไหนจะได้ไม่ลำบาก

"แอสตันลองชิมดูไหมครับ" รายนี้กินง่ายเลยพยักหน้ารับคำ

"ค่อยๆ กัดคำเล็กๆ ก่อนนะครับ ถ้าไม่ไหวก็ไม่กิน"

"เป็นไงบ้างครับเผ็ดไหม" เจ้าตัวพยักหน้าทำปากฮู้ฮ้าๆ จนพวกเราพากันหัวเราะกันใหญ่

"เอาน้ำไหมครับ เดี๋ยวป่าป๊าไปเอามาให้"

"เดี๋ยวพี่มะขิ่นไปเอาให้ค่ะคุณเตอะ"

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเอาเองดีกว่า พี่มะขิ่นจะได้ไปทานข้าว เสร็จแล้วค่อยมาเก็บที่หลังก็ได้ครับ"

"ขอบคุณค่ะคุณเตอะ"

"อะนี่ครับคนเก่ง" ออสติน กับแอสตันปากเจ่อแดง รีบรับน้ำไปกินดังอึกๆๆ "พอก่อนครับ พอก่อน เดี๋ยวจะอิ่มน้ำไปซะก่อน"

"งั้นกินมะกะโรนีนี่ครับจะได้หายเผ็ด"

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า แดดดี้ยังไม่ได้กินเลยฮะ" ผมหันไปมอง แล้วหันกลับมาหาเด็กๆว่าพวกเขาต้องการอะไร "ป่าป๊าตักให้แดดดี้หน่อยสิฮะ แดดดี้หิว" แอสตันบอก

"อ้าวคุณ ทำไมไม่ตักกินเองล่ะ"

"ผมรอเติร์ก"

"ไม่เห็นต้องรอเลย ท้องก็ไม่ได้ติดกันสักหน่อย" คณิตินตอบไม่เต็มเสียง

"อยากกินมะกะโรนีจัง" ไรอันแค่พูดเหมือนเปรยๆ แต่ไอ้เติร์กได้ยินไง เลยจำต้องตักให้ เพราะมันอยู่ตรงหน้าเขาพอดี แต่จะว่าไป แขนยาวขนาดนั้นก็เอื้อมถึงไหม ไม่เห็นต้องให้เขาเป็นคนตักให้เลย

"ป้าภายิ้มอะไรครับ หรือว่าอยากกินมะกะโรนีเหมือนกัน"

"กินเถอะจ๊ะ ป้าชอบกินน้ำพริกพวกนี้มากกว่า เรานั่นแหละมัวบริการคนนั้นคนนี้ เมื่อไหร่จะได้กินกับเขาสักที" พูดยังไม่ทันจบ ก็มีแขนยาวๆ ตักน้ำพริกปลาทูมาให้ พร้อมกับเครื่องเคียง แตงกวาเอย มะเขือเปราะเอย

"กินสิ ผมตักมาให้แล้ว" รู้ได้ไงวะ ว่าเขาอยากกินน้ำพริก

"ผมเห็นคุณมองถ้วยน้ำพริกมาตั้งนานแล้ว เลยรู้"

"ขอบคุณ" ไรอันยิ้มกว้าง ส่วนคณิตินอก็ก้มหน้ากินทำทีเป็นไม่สนใจ

หลังอาหารคาว ป้าภาเอาบัวลอยเผือกออกมาให้ทุกคนกินล้างปาก เด็กน้อยสองคนพูดไม่หยุดว่าบัวลอยอร่อย จนถูกป้าภาแซวว่าอะไรบ้างจะไม่อร่อยสำหรับสองหน่อ

จบมื้อเย็นที่แสนอร่อย ผมนี่เติมข้าวไปตั้งสองจานแหนะ จากที่ว่าจะควบคุมอาหารๆ แต่พอเจอของชอบของตัวเองเท่านั้นแหละ ลืมไปหมดเลยว่าตัวเองจะลด ดีที่ว่ามื้อนี้มีแต่อาหารคลีนซะส่วนใหญ่ อย่างปลาทอดนี่ก็ย่อยง่าย ไม่อมน้ำมัน กินได้!!
น้ำพริกปลาทู กับผักลวกนี่ก็คลีน กินแล้วไม่อ้วน
ส่วนผัดถั่วงอกนี่ก็คลีน เพราะล้างน้ำไปตั้งหลายน้ำ ไม่คลีนได้ไง หึๆๆๆ
ส่วนมะกะโรนี ผมไม่ได้กินนะเออ แบบนี้ไม่อ้วนแน่ เชื่อสิ

กลับมาถึงบ้าน ผมก็จัดการต้อนสองแสบไปอาบน้ำ เพราะมอมแมมมาทั้งวันแล้ว ไหนจะช่วยป้าภาพรวนดินผักสวนครัว รั้วกินได้เมื่อตอนเย็นอีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงตอนวิ่งเล่นกันตอนผมทำกับข้าวนะ


"คุณ...จะทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่กลับอีกเหรอ" ผมถามไรอัน "นี่ผมไม่ได้ไล่นะ แต่มันดึกแล้วผมจะพาลูกเข้านอนแล้ว"

"ก็ไปสิ"

"ปะ..เดี๋ยวผมไปส่ง จะได้ไปปิดประตูรั้วด้วย" คณิตินลุกขึ้นยืน

"อื้อออออ" ไรอันส่ายหัว

"อ้าว ทำไมล่ะ"

"ผมจะส่งลูกเข้านอนด้วย"

"แต่มันดึกแล้วนะคุณ พวกบอดี้การ์ดของคุณเขาจะได้พักด้วย"

"คริส กับแซมรอได้ ไม่ต้องห่วง" ผมไม่ได้ห่วงแต่ผมอยากพักแล้วต่างหาก นี่ก็ไม่เข้าใจอะไรเลยเนอะ

"แต่ผมว่าพวกเขาคงอยากพักแล้วล่ะ ทำงานมาทั้งวันแล้ว"

"พวกนายอยากกลับไปพักแล้วรึยัง"

"ยังครับนาย" คริสกับแซมตอบขึ้นพร้อมกัน

"โอเคๆ งั้นก็ตามมาครับ" ไอ้เติร์กหมดข้อโต้แย้ง เพราะวันนี้เขาโดนดาเมจอะไรไม่รู้ต่อมิอะไรโจมตีจนมืนไปหมดแล้ว ไม่อยากเถียงอะไรอีก อยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว

ห้องนอนของเด็กๆ เป็นทาสีฟ้าอ่อนๆ ติดดาว พระจันทร์ รูปโลกจนเต็มเพดานไปหมด ทำให้เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศ ส่วนด้านนอกผมเอาโมบายไปแขวนติดไว้ตรงเพดานระเบียง เวลาลมมาจะส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ ตอนมันกระทบกัน ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้วครับ นอกจากพวกตุ๊กตาอีกนิดหน่อยที่เด็กๆ ติด ต้องเอามากอดด้วยตอนนอนตลอดแค่นั้นเอง


"เย้!! วันนี้แดดดี้มาส่งเข้านอนด้วย คิๆ" สองหน่อพากันดีใจใหญ่

"วันนี้เอาเรื่องอะไรดีครับ?" ผมถาม

"พิอ็อกคิโอ" แอสตัน กับออสตินตอบ แต่ก็มีไม่กี่เรื่องหรอกครับที่เด็กๆ ชอบฟัง อย่างเจ้าหนูน้อยพิน็อคคิโอก็หนึ่งแล้ว สองก็จะเป็นซิมบ้าเจ้าป่านี่แหละครับที่ฟังบ่อยสุด

"อะฮึหื้ม..." ต้องปรับเสียงก่อน

แต่จะว่าไปก็เขินๆเหมือนกันแหะ ปกติเล่าให้แค่เด็กๆฟัง  "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศอิตาลี  มีชายชราช่างแกะสลักไม้คนหนึ่ง เขาไม่มีลูก และอยู่คนเดียวตามลำพัง ตื่นเช้ามาก็ทำงาน ตกเย็นมาก็กินข้าว อาบน้ำแล้วก็เข้านอนคนเดียวด้วยความเหงา จนมาวันหนึ่งเขาได้นำไม้มาแกะสลักเป็นหุ่น และตั้งชื่ตุ๊กตาไม้ตัวนั่นว่า "พิน็อคคิโอ"

ผมเหลือบตามองอีกคนที่ตั้งใจฟังประหนึ่งเป็นเด็กน้อยอีกคน แล้วเล่าต่อ

"จนค่ำคืนหนึ่งนั้น นางฟ้าสีน้ำเงินใจดีองค์หนึ่งได้มองเห็นความเดียวดายของชายชรา จึงนึกสงสาร อยากให้ชายชรามีความสุข จึงเสกให้เจ้าตุ๊กตาไม้พินอคคิโอมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยบอกว่า เขาจะเหมือนมนุษย์เมื่อเป็นเด็กดี แต่ถ้าวันไหนที่พิน็อคคิโอพูดโกหก เมื่อนั้นจมูกของเขาก็จะยาว ยาวขึ้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นการลงโทษเด็กไม่ดี

อยู่มาวันหนึ่งโชคไม่ดีก็มาถึงพิน็อคคิโอ แมวกับหมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ผู้ไม่ชอบเด็กน้อย ได้คิดแผนร้าย โดยจะนำเขาไปขายให้กับเจ้าของโรงละครหุ่นกระบอก พวกมันหลอกล่อพินอคคิโอให้หนีโรงเรียนไปเที่ยวที่โรงละคร พินอคคิโอหลงเชื่อจึงตามไป แรกๆ เขาสนุกจนลืมทุกอย่าง... หลายวันผ่านไป พินอคคิโอเหนื่อยมากเพราะถูกบังคับให้แสดงทั้งวัน นางฟ้าสีน้ำเงินก็ปรากฏกายขึ้น พินอคคิโอขอให้นางฟ้าช่วย แล้วบอกว่าตัวเองถูกจับตัวมา ทันใดนั้น! จมูกของเขาก็ยาวขึ้น! เพราะพูดโกหก นางฟ้าจึงเตือนให้พินอคคิโอพูดความจริง

พอกลับมาถึงบ้าน พิน็อคคิโอรู้ข่าวจากนกพิราบว่า พ่อของเขาพายเรือตามหาเขาและถูกฉลามยักษ์กลืนเข้าไป เขาจึงตัดสินใจถ่อแพออกทะเลไปช่วยพ่อ ในที่สุดเขากับพ่อก็ออกมาได้สำเร็จ ทันใดหูและหางลาของพินอคคิโอก็หายไปเพราะเขาทำความดี ตั้งแต่นั้นมา พิน็อคคิโอ ก็กลายเป็นเด็กชายที่น่ารัก ขยันขันแข็ง ไปโรงเรียนทุกวันและไม่เคยพพูดโกหก สองพ่อลูกจจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา"

"ป่าป๊าฮับป่าป๊า แอสตันไม่โกหก จมูกของแอสตันก็จะไม่ยาวใช่ไหมฮับ?"

"ใช่ครับ แต่ถ้าวันใดที่แอสตัน กับออสตินโกหก นอกจากจมูกจะงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หางกับหูลาก็จะงอกขึ้นมาด้วยนะครับ" เด็กๆ พยักหน้า แล้วดูดนิ้มหัวแม่มือต่อ

"เอาล่ะ ได้เวลานอนแล้วครับเด็กดี" ผมกู๊ดไนท์คิสเบาๆ ที่หน้าผากของสองแฝด จากนั้นไรอันก็ก้มลงหอมแก้มลูกบ้าง พวกเราปิดไฟเดินออกจากห้อวนอนเด็กๆ มา


"ทีนี้ก็ตาคุณละ กลับไปได้แล้วครับ ผมจะได้ไปอาบน้ำเข้านอนสักที"

"โอเค งั้นฝันดีนะเติร์ก"

"อื้ม ฝันดี" ผมเดินมาส่งฝรั่งสามคนตรงหน้าบ้าน ตอนนี้ระแวกนี้เขาปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงบางบ้านที่ยังมีไฟดวงเล็กๆ ในห้องอยู่

ไรอันเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่ด้านหลัง ส่วนแซมเลยสตาร์ทรถทันทีที่เจ้านายเขาขึ้นมานั่ง เสียงเครื่องยนต์ดังแท็ดๆๆ ติดกันอยู่สองสามครั้ง ผมเลยเดินไปเคาะกระจกถาม


"รถเป็นอะไรคุณ"

"ไม่รู้ แต่มันสตาร์ทไม่ติด" ไรอันตอบ

"รถเป็นอะไรแซม" ไรอันถามเลขา พ่วงบอดี้การ์ดคนสนิท

"ไม่รู้เหมือนกันครับนาย เดี๋ยวพวกเราลงไปดูสักครูนะครับ"

คริสกับแซมก้มดูเครื่องรถ หยิบๆจับๆ อยู่ไม่นาน แล้วก็ปิดกระโปรงรถเสียงดังปึ้ง จากนั้นก็กลับมาสตาร์ทรถใหม่ครั้ง เสียงเครื่องยนต์ดังแท๊ดๆๆๆ บรื้น เหมือนว่าจะติดในตอนแรก แต่ก็ดับลงอีกครั้ง

"นายครับ สงสัยเราคงต้องเรียกช่างเขามายกไปแล้วล่ะครับนาย" คณิตินตาโต ก็เมื่อตอนเช้ามันยังดีๆ อยู่เลย แถมรถราคาตั้งเป็นล้าน จะมาเสียปุ๊บปั๊บอย่างเงี๊ยะอะเหรอ ไอ้เติร์กว่าไม่ใช่อะ

"รถเสียจริงปะเนี๊ยะคุณ เมื่อเช้ามันยังดีๆ อยู่เลยนะ"

"ไม่เชื่อเติร์กลองไปสตาร์ทดูสิ ผมจะโกหกทำไม" ไรอันออกมาข้างนอกรถ

"แล้วพวกคุณจะทำยังไงต่อ"

"เดี๋ยวผมกับคริสโทรตามช่าง แล้วค่อยตามไปดูอีกครับ ถ้าซ่อมทันจะได้กลับมารับนาย แต่ถ้ามันไม่ทันคงต้อง อื้มมมม....."

"โอเค เอาเป็นว่าตอนนี้เรียกอู่ซ่อมรถก่อน แต่เวลานี้เขาจะยังเปิดกันอยู่อีกเหรอ เพราะนี่ก็ปาไปสี่ทุ่มกว่าละนะ"

"แล้วถ้าอู่ปิด หรือเขาซ่อมไม่เสร็จพวกคุณก็นอนกันที่นี่แหละ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมที่นอนไว้ให้" คณิตินรวบรัด

"ไม่เป็นไรครับคุณเติร์ก ถึงตอนนั้นพวกผมเรียกแท็กซี่กลับคอนโดเอาก็ได้ครับ"

"เอ่อจริง งั้นก็เรียกอู่เขามาเอารถไปซ่อม จากนั้นพวกคุณก็นั่งรถแท็กซี่กลับกันไง ทำไมถึงคิดไม่ได้ตั้งแต่ทีแรกนะ"

"ผมไม่นั่งรถแท็กซี่"

"อ้าว!! แล้วคุณจะกลับยังไง"

"ก็ไม่ต้องกลับไง ผมไม่ชอบนั่งรถแท็กซี่เพราะไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศมัน ได้กลิ่นแล้วเวียนหัว" คณิตินมองหน้า แล้วลูบคางตัวเองพลางคิดสะระตะโน่นนั่นนี่

มันก็จริงอะนะ น้ำหอมปรับอากาศของรถบางคันเขาเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วยิ่งรถที่จอดตากแดดด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แถมแท็กซี่บางคันเอาอาหารมากินในรถบ้าง ผู้โดยสารเอาของที่มีกลิ่นฉุนเข้ามาในรถด้วยบ้าง กลิ่นมันเลยผสมปนเปกันไปหมด นึกแล้วก็เวียนหัวจะอ๊วกแทน

"โอเคๆ งั้นพวกคุณก็นอนนี่เลยแล้วกัน ส่วนคุณไว้พรุ่งนี้ค่อยให้คริส หรือไม่ก็แซมกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้ คืนนี้ก็ใส่ของผมไปก่อนแล้วกัน ตัวก็ไม่ต่างกันมาก"

"พวกคุณก็เหมือนกันนะ คริส แซม ยืมของผมใส่ก่อนนะคืนนี้ แต่ชั้นในคงต้องกลับด้านเอ ด้านบีแทน หึๆๆๆ" คณิตินแกล้งแซวสองบอดี้การ์ด

"ไม่เป็นไรครับคุณเติร์ก พวกผมนั่งรถแท็กซี่กลับกันได้ครับ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาใหม่"

"เอางั้นเหรอ?"

"ครับ"











----------TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 14:35:43 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 9






Darling, hold me in your arms the way you did last night
And we’ll lie inside for a little while here, oh
I could look into your eyes until the sun comes up
And we’re wrapped in light and life and love
Put your open lips on mine and slowly let them shut
For they’re designed to be together
With your body next to mine, our hearts will beat as one
And we’re set alight, we’re afire love






"มีอะไรคริส"

"คือ..ผมจะถามว่านายทำอะไรให้คุณเติร์กเขาไม่พอใจรึเปล่าครับ ผมเห็นหน้าตูมมาตั้งแต่เช้าแล้ว" ไรอันเหลือบมองคนทำหน้าประหลาด จะว่าหน้างอก็ไม่ใช่ จะคิดหนักก็ไม่เชิง

ย้อนกลับไปเมื่อคืน...........

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองอาบน้ำเสร็จเร็ว หรืออีกฝ่ายอาบช้ากันแน่ พอขึ้นมาก็เห็นเจ้าตัวกำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาในห้องแล้ว แต่จะว่าไปคนตรงหน้าเขาก็หุ่นใช้ได้เหมือนกันนะ ถึงจะดูย้วยๆ ไปบ้าง แต่ช่วงอกกับต้นแขนยังพอมีมัดกล้ามอยู่ แสดงว่าเมื่อก่อนคงดูแลตัวเองไม่น้อยเลยทีเดียว

คณิตินส่องดูหุ่นตัวเองในกระจก หมุนซ้ายหมุนขวา ลูบเจ้าก้อนไขมันตรงหน้าท้องเบาๆ

"คุณ!!" ไรอันตกใจหันมาตามเสียงเรียก

"คุณว่าหุ่นผมตอนนี้ดูน่าเกลียดไหม"

เขาไล่ดูตั้งแต่บนยันล่าง ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่ว่าจะเป็นลำคอเอย ลาดไหล่เอย ลงมาอีกนิดก็เป็นส่วนหน้าอก ไหปลาร้า หน้าท้อง แล้วก็บั้นเอวที่ตอนนี้มีผ้าขนหนูสีขาวมัดเป็นปมติดไว้ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่อยู่แล้ว ไรอันเผลอกลืนน้ำลายไปตั้งสองสามทีแล้ว ถ้าขืนเจ้าตัวยังมายืนลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้เขาว่าคงไม่ดีแน่ เผลอๆ เขาอะจะกลายร่างจากเจ้าชายเป็นมนุษย์หมาป่าแล้วกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อตอนนี้เลยก็ได้

"อะฮึ่ม!!" ไรอันกระแอมเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ตัว

"เร็วสิคุณ มองอยู่นั่นแหละผมรอคำตอบอยู่นะ" ไรอันหายใจเข้าแล้วก็หายใจออกช้าๆ หลุบตามองลงต่ำก็ยิ่งไม่ได้เพราะ ต่ำลงมาอีกนิดก็คือสะโพก กับปลีน่องที่ตัวเขาคิดว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองจับสะโพกกลมดูสักครั้ง ส่วนปลีน่องนั่นก็นะ เขาเองก็ไม่รู้ทำไมถึงอยากลองกัดมันดูสักครั้งแปลกไหมล่ะ

ให้ตายสิ!! เขาคิดอะไรเลยเถิดขนาดนั้นวะเนี๊ยะ!!

"ผมว่า..ไปแต่งตัวก่อนดีกว่าไหม แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากัน"

"เอางั้นเหรอคุณ?" ไรอันรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ปกติเขาก็ไม่ใช่คนหื่นอะไรขนาดนั้น แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พอเข้าใกล้ป่าป๊าของสองแฝดทีไร ภูมิต้านในตัวเองกลับลดลงต่ำขึ้นเรื่อยๆ เลย ให้ตายสิ!!

"โอเค เดี๋ยวผมแต่งตัวเสร็จคุณต้องให้คำตอบผนะ"

"อื้ม" ไรอันตอบสั้นๆ เพราะตายังมองตามอีกฝ่ายไปอยู่เลย เขาใช้สองมือลูบหน้าตัวเอง ถ้าไม่ทำแบบนี้เขาคงควบคุมตัวเองไม่ได้แน่ ความรู้ที่ผุดขึ้นมาตอนนี้คือ หมั่นเขี้ยว บอกถูกเหมือนกัน ยิ่งสายตากับคำพูดก่อนจะเดินไปแต่งตัวอะนะ หื่มมมมมม!! จะยั่วเขาไปถึงไหน

คณิตินหยิบบ็อกเซอร์จากในตู้ออกมาใส่ แล้วรีบเดินออกมาจากมุมตู้เสื้อผ้า เสื้อกล้ามตราห่านสีขาวย้วยๆ กับกางเกงบ็อกเซอร์สีขาวออกตุ่นๆ ตั้งใจว่าจะเอาไปทิ้งตั้งนานแล้วแต่ตัดใจไม่ลงเพราะผ้ามันใส่สบาย เลยทิ้งไม่ลงแล้วก็ใส่มาจนถึงทุกวันนี้

"เสร็จละ ไหนล่ะคำตอบผม" ไรอันไม่ทันได้ฟังเพราะมัวแต่มองชุดนอนที่อีกฝ่ายใส่

"คุณ!!" คณิตินสะกิดเรียกจนอีกฝ่าย

"อืมมมมม..ก็ไม่ดูน่าเกลียดนะ" ไรอันใช้มือจับคางตัวเองแล้วเพ่งสติไปยังเป้าหมายอีกครั้ง แต่จะว่าไปเขาก็มีความอดทนดีเยี่ยมไปเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ก็นะ........

"ผมว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะกลับมาออกกำลังกายแล้วล่ะ" เห็นตัวเองในกระจกทีไรก็นึกถึงแหนมป้าย่นทุกที

"เป็นเพราะไอ้เจ้าความขี้เกียจนี่แหละ ไม่ได้ๆ ไอ้เติร์กต้องกลับมาฟิต ไม่งั้นสาวที่ไหนจะมามอง" คณิตินสะกดจิตตัวเองแล้วเอาชายเสื้อที่เลิกขึ้นเมื่อกี้ลง

"เอ่อลืมไป" ไรอันตกใจ เพราะมัวคิดอะไรเพลินๆอยู่ "ผมว่าคุณคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าบ้านผมไม่มีที่นอนปิคนิคเลย ดังนั้นคืนนี้คงต้องได้นอนด้วยกัน คุณคงไม่ว่าอะไรเนอะ"

ยังไม่ทันได้พยักหน้าหรือตอบอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน "หรือว่าจะเอาผ้าห่มไปปูนอนข้างล่าง แต่ผมว่าไม่ดีหรอก เพราะผ้าห่มมันไม่หนาพอ เดี๋ยวจะปวดหลังอีก ดังนั้นผมเป็นเจ้าของบ้าน ต้องเสียสละให้แขก แล้วตัวเองไปนอนโซฟาสิถึงจะถูก"

"งั้นก็รอแปปนะคุณ เดี๋ยวผมไปเอาผ้าห่มก่อน" คณิตินกระวีกระวาดวิ่งไปรื้อผ้าห่มอีกผืนจากในตู้มา

"ไม่ต้องๆ เติร์ก นอนด้วยกันก็ได้ ผมโอเค"

"อิอิ ผมนึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าคุณต้องพูดแบบนี้ ใจดีเหมือนกันนะเราอะ อิอิ" คณิตินหยอก

"ปกติเวลาเพื่อนผมมานอนบ้านก็จะนอนด้วยกันแบบนี้แหละ มากสุดก็สามคนนอนเบียดกันบนเตียงเลย ดังนั้นคุณไม่ต้องห่วงว่าผมจะนอนละเมอแล้วเผลอไปกอดคุณหรอกนะ เพราะขนาดสามคนยังนอนมาแล้ว แล้วนับประสาอะไรกันคนสองคน ถึงเตียงมันจะไม่ได้ใหญ่เท่าคอนโดคุณ แต่ก็ขนาดควีนไซส์เหมือนกันนะครับคุณอั้น  คึๆๆ" ไรอันอดยิ้มกับความทะเล้นของอีกฝ่ายไม่ได้ ไปๆมาๆเขาได้ชื่อใหม่มาเฉยเลย ถึงชื่อมันจะฟังดูแปลกๆ เหมือนอั้นอะไรสักอย่างก็เหอะ

"มาครับ เข้านอนกัน" คณิตินตบที่นอนเบาๆ ดังปุๆๆสองสามที  "มาสิคุณ ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเองหน่า"

'คนกันเอง ฟังแล้วดูดีแหะ' ไรอันก้าวขายาวๆ สองสามก้าวก็ถึงที่นอนแล้ว

"งั้นผมปิดไฟหัวเตียงแล้วนะคุณ ฮ้าวววววว ฝันดีนะคุณ"

"อื้ม ฝ้นดีเหมือนกัน"



ใช้เวลาไม่นานก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกเบาๆ คณิตินหลับไปแล้วแต่แขกของบ้านอย่างเขานี่สิยังนอนไม่หลับ มีอย่างที่ไหนเจ้าของบ้านหลับก่อนแขก เขาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ แถมยังกรนเบาๆ กล่อมนอนอีก

ไรอันลืมตาขยับตัวพลิกซ้ายพลิกขวา พลิกแล้วพลิกอีก ยังไงก็นอนไม่หลับ ในหัวมีแต่ภาพของคนที่กำลังนอนหลับฝันดีอยู่ข้างเขาตอนนี้อยู่เต็มไปหมด จนทำให้อะไรๆ ที่เคยสงบนิ่งตื่นขึ้นมาตามกลไกของร่างกาย

ไรอันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำแบบนี้อยู่นับสิบยี่สิบครั้งกว่ามันจะสงบ

'ต้องอดทน ต้องอดทน' เขาท่องอยู่อย่างนี้จนเกือบจะหลับไปอยู่แล้วเชียวถ้าเจ้าตัวไม่เอามือวางทับลูกชายเขา

'ถึงตอนนี้จะมาโทษผมไม่ได้นะเติร์ก  เพราะคุณมันหาเรื่องเอง'




.....................




คณิตินเดินไปกำชับกับพี่เลี้ยงของสองแฝด หอมแก้มเจ้าจอมดื้อทั้งสองคนแล้วก็เดินออกจากบ้านมาขึ้นรถ เห็นหน้าเจ้าของมันทีไรก็อดนึกถึงสภาพของตัวเองตอนตื่นมาเมื่อเช้าไม่ได้ ทั้งทีอากาศก็ไม่ได้หนาว แอร์ก็เปิดเบาๆ แต่ทำไม๊ทำไมไอ้เติร์กถึงไปขดตัวอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่ายได้ก็ไม่รู้ หนำซ้ำไม่พอยังมือสองข้างก็ดันเอาไปวางอยู่ตรงหว่างขาของเขาอีก แต่ที่ตกใจที่สุดคงเป็นปากกับซอกคอของตัวเองตอนเดินสะลือสะลือเข้าห้องน้ำมา เพราะมันทั้งบวมเจ่อ แล้วก็เป็นรอยอย่างชัดเจน ถ้าคิดในทางวิทยาศาสตร์คงเป็นเพราะแมลงกัด แต่มาคิดๆ ดูอีกที แมลงกัดเป็นรูปแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ไอ้เติร์กถึงจะเป็นคนโสด แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เดียงสา บริสุทธุ์ผุดผ่องหรอกนะ ถึงจะไม่รู้ว่านี่มันคล้ายกับรอยอะไร

"ยังไม่หายหงุดหงิดอีกเหรอ?"

"ใครหายเร็วขนาดนั้นก็บ้าละ ตื่นมาสภาพยิ่งกว่าโดนข่มขืนซะขนาดนั้น ดีนะไม่ได้อยู่นอกร่มผ้า นี่ผมถามจริงเหอะ สรุปนี่คุณเป็น...งั้นเหรอ?"

"เป็นอะไร?"

"ก..ก็เป็นไอ้นั่นน่ะ" ไรอันยังขมวดคิ้วไม่เข้าใจ จนอีกฝ่ายต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกไปว่า "ก็แบบนั้นน่ะ ที่เค้าฮิตเป็นกันตอนนี้อะ แบบชายก็ได้หญิงก็ดีอะ"

"ไบเซ็กส์ชวล?"

"อื้ม" คณิตินตอบรับในลำคอ จะให้เขาพูดออกไปตรงๆ ก็เกรงใจไหมเล่า เห็นอย่างนี้ไอ้เติร์กก็เป็นคนมีมารยาทแล้วก็ขี้เกรงใจมากนะครับ แต่เอาเหอะ ในเมื่อถามออกไปแล้ว ก็พูดออกไปให้มันจบๆเลยเหอะ จะได้รู้ๆ กันไปเลย

"ก็เป็นนะ ในสื่อต่างประเทศเขาก็พูดถึงกันอยู่ หรือคุณไม่ได้เข้าไปดู" นี่เป็นประโยคยาวอีกประโยคที่ไรอันพูดกับอีกฝ่าย เขาก็คิดว่าคณิตินจะรู้แล้วเสียอีกเพราะสื่อในอเมริกาเกือบทุกสื่อเลยก็ว่าได้ที่เล่นข่าวนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมีข่าวกับใครเลยก็ว่าได้มั้ง สื่อถึงสงสัยกัน แต่ในเมื่อพวกเขาสงสัยแต่ตัวเขาเองไม่ตอบ ก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว และเขาเองก็ไม่อยากให้รู้นั่นเอง

คณิตินส่ายหัวทันทีที่ฟังจบ เขาจะไปรู้เรื่องราวของอีกฟากโลกได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นแค่พ่อบ้านแล้วก็คนแปลนิยายธรรมดาเอง เรื่องกอสซิปอะไรก็ไม่ค่อยได้ติดตามกับเขา แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยอยู่ออฟฟิศยังพอรู้นะ เพราะมีเจ๊พิงค์กับบรรดาพนักงานเขาเมาท์กัน แต่ตอนนี้อะเหรอ อย่าว่าแต่ข่าวหรือเล่นเฟซบุ๊คเลย ไลน์เพื่อนสนิทก็แทบจะไม่ได้ตอบ จนโดนมันด่าไม่รู้จะกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

"งั้นรอยที่ซอกคอก็...." ไรอันพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับขับ Porche 911 สีขาวขับแล่นทะยานออกไป เส้นทางกรุงเทพมหานคร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 35 มุ่งตรงไปยังจังหวัดราชบุรี และมีจุดหมายปลายทางคือ อัมพวา

"คุณชอบผมงั้นเหรอ?" ในที่สุดเขาก็พบทางสว่าง จนไรอันแอบยิ้มกับตัวเองแล้วกลับไปทำหน้าคนขับรถเหมือนเดิม

"แล้วคิดว่าใช่ไหมล่ะ?" ไรอันตอบยียวน

'คนเขาถาม ก็ตอบไม่ใช่ให้มาย้อนถามแบบนี้สิ' คณิตินบ่นกับตัวเองเบาๆ คิ้วไม่หนาไม่บางเริ่มขมวดกองกันจนเป็นปม

"เอาหน่า เดี๋ยวก็รู้เองแหละ อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลย ตอนนี้คุณมาช่วยผมดูทางดีกว่าเพราะผมคิดว่าเราเริ่มหลงทางแล้วล่ะ"

ก็ได้วะ รู้ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ ถ้าชอบแล้วยังไงไม่ชอบแล้วยังไง ไอ้เติร์กก็ยังเป็นไอ้เติร์ก ไม่ได้กลายเป็นใครที่ไหนสักหน่อย

"แล้วรถคุณมีจีพีเอสรึเปล่า ผมว่าเราเปิด GPS เอาเถอะ ง่ายดี" ไรอันพยักหน้า ตาก็เสมองไปยังถนนข้างหน้า ส่วนมือก็พลางชี้ระบบนำร่องให้ตุ๊กตาหน้ารถอย่างคณิติน เปิดเชื่อมต่อจีพีเอสหน้ารถ จนระบบมันทำงาน

นี่อยากถามอยู่เหมือนกันว่ามีระบบนำทางขนาดนี้ทำไมไม่ใช้แต่แรก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เอาตามตรงเลยนะ ผมเป็นพวกไม่ค่อยจำถนนหนทางกับเขาสักเท่าไหร่ เพราะปกติจะใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือไม่ก็เป็นคนตุ๊กตาหน้ารถให้คนอื่นมากกว่า ถ้าจะให้จำคงต้องใช้เวลาและความเคยชินสักหน่อย

'ขับตรงไปโดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 325 จากนั้นให้เลี้ยวขวาที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 325 สมุทรสงคราม-บางแพ'

"เอ้าคุณ ได้ยินไหมน่ะ" เขาบอกให้เลี้ยวขวา" รถสปอร์ตหรูรีบหักพวงมาลัยเลี้ยวทันที

ตายๆๆ ไอ้รถคันหลังมันจะด่าไหมวะเนี๊ยะ ก็พี่แกจะเลี้ยวก็เลี้ยวมันซะตอนนั้นเลย

'ตรงไปประมาณ 6 กิโลเมตร ที่หลักกิโลเมตรที่ 36-37 ให้เลี้ยวซ้ายเข้า อ.อัมพวา จากนั้นให้ตรงไป'

บอกเลยว่าตอนนี้ใจไอ้เติร์กเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวอิรถคันเมื่อกี้มันขับตามมาเอาเรื่องจริงๆ ยิ่งได้ดูข่าวที่ลุงขับรถหัวร้อน จอดรถแล้วเอาไม้เท้ามาฟาดกระจกรถรถอีกคนจนตก เขาก็ยิ่งกลัวไปใหญ่ เหลือบมองกระจกซ้าย หันไปมองข้างหลังก็ไม่มี เห้ออออ!! โล่งอก นึกว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่อัมพวานี่ซะแล้ว

"คุณ..ขับช้าๆ ก็ได้ บ้านแม่นมของคุณมันไม่ได้หนีไปไหนหรอก เชื่อสิ"

เหตุผลที่พวกเราต้องขับรถถ่อมาถึงอัมพวากัน เพราะเมื่อหลายวันก่อนคุณเขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากครอบครัว บอกให้แวะไปเยี่ยมแม่นมของเขาด้วย  เพราะไหนๆ ก็มาอยู่ประเทศไทยได้เกือบๆ เดือนแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าต้องไปเป็นเพื่อนเขาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่แค่นั้นเอง

'เจอธนาคารนครหลวงไทยแล้ว ให้ขับตรงไป' อีเจ๊ในจีพีเอสบอก

'ข้ามสะพานสูง จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าวัดอัมพวันฯ' พวกเราขับตามทางมาเรื่อยๆ ก็เห็นป้ายบอกว่า 'อำเภออัมพวายินดีต้อนรับ'

"แล้วทีนี้เอาไงต่อ?" ผมถาม จากนั้นไรอันก็เปิดเก๊ะหน้ารถ ค้นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

"คุณช่วยดูหน่อยสิว่ามันอยู่ตรงไหนจากที่นี่?" บอกเลยว่า 'ชิบหายแล้ว!!' ไอ้เติร์กยิ่งชำนาญเรื่องพวกนี้อยู่

"เดี๋ยวแป๊บนึงนะคุณ อะนี่ไงตลาดน้ำ จากนี้ตรงไปอีกจนถึงวัด......." วัดอะไรวะ ตัวหนังสือก็อ่านยากชิบ

"นี่มันตัวอะไรอะคุณ ผมอ่านลายมือแม่คุณไม่ออก"

"ตัวยู"

'งั้นก็ Wat Klong Chula' มีไหมวะชื่อนี้แถวนี้ วัดคลองชูลา ไม่ใช่ละๆ ต้องเป็นวัดคลองจุฬาไหม

"งั้นคุณเปิดจีพีเอสแล้วหาวัดคลองจุฬานะ เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา" เทคโนโลยีสมัยนี้ดีจะตาย
 
"ผมสะกดชื่อมันไม่ถูก"

"อ้าว!! แล้วใครเป็นคนสะกดให้คุณตอนขามา"

"แม่ผม" จบกัน แผนที่ก็สุดแสนจะงง แล้วสมมุติถ้าไม่มีจีพีเอสจะทำยังไงกันล่ะทีนี้ ต้องขอบคุณคนที่สร้างอินเทอร์เน็ต กับคนที่คิดค้นกูเกิ้ลแมปสินะ

"เออๆ เดี๋ยวผมหาในมือถือผมให้ รอแป๊บ"

'วัดคลองจุฬา' แป๊บเดียวก็ขึ้นแผนที่ในกูเกิ้ลแมป ผมก็หุบๆ กางๆ หน้าจอมือถือ กลัวว่ามันจะมีวัดอื่นที่ชื่อคล้ายๆ กันอีก หรือไม่งั้นแม่ของหมอนี่ก็น่าจะเขียนผิด

"งั้นเดี๋ยวคุณขับไปตามที่ผมบอกนะ" ความจริงมันก็ไม่ได้หายาก แต่แผนที่มันเขียนให้งงเองต่างหาก คุณแม่นะคุณแม่ ลูกคุณแม่เป็นฝรั่งนะครับ เขียนแผนที่แบบนี้แล้วถ้าเกิดหลงขึ้นมาจะทำยังไง ถึงลูกชายคุณแม่จะพูดไทยได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนแถวนี้เขาจะกล้าคุยกับชาวต่างชาติทุกคนนะครับ

ใช้เวลาไม่นาน พวกเราก็มาถึงวัดที่ว่า

"แล้วแม่คุณบอกว่ายังไงต่อ"

"บอกว่าให้ไปถามหากำนันแย้ม เดี๋ยวเขาจะเป็นคนพาเราไปเอง" แสดงว่ามันต้องเป็นบ้านที่อยู่ในซอกในซอยลึกแน่ แต่บ้านกำนันอยู่ไหนล่ะทีนี้ เพราะแม่ของหมอนี่ไม่ได้เขียนระบุไว้ด้วยสิ


ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


"คุณๆ จอดถามชาวบ้านแถวนี้ก่อนไหมว่าบ้านกำนันแย้มอยู่ตรงไหน" ไรอันพยักหน้า

"สวัสดีครับป้าครับ  คือผมจะไปบ้านกำนันแย้มครับ ไม่ทราบคุณป้าพอจะบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่ามันอยู่ตรงไหนครับ"

"อ้อ ครับตรงไปตามถนนนี้เลยจ๊ะพ่อหนุ่ม ประมาณสามสี่ร้อยเมตรแล้วจะเจอบ้านกำนันอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายเขียนไว้ตรงหน้าบ้านอยู่"

"ขอบคุณครับคุณป้า" ผมยกมือไหว้

"ได้ยินแล้วใช่ไหมคุณ"

"อื้ม"

"ได้ยินแล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ ขับไปสิ" นี่ก็ต้องให้บอกตลอด

ดีนะที่บ้านกำนันอยู่ติดถนนหลักของหมู่บ้านเลย พวกเราเลยจอดรถตรงหน้าบ้านมันนั่นแหละ แต่จอดให้มันชิดรั้วมาหน่อยจะได้ไม่ขวางทางคนอื่นเขาสัญจรไปมา

บ้านของกำนันเป็นบ้านไม้กึ่งปูน คือด้านบนจะเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกสูงปกติ แต่ด้านล่างถูกต่อเติมออกมานิดหน่อยให้เป็นอิฐผสมปูน คงเป็นเพราะความเก่าแก่ของบ้าน บวกกับแถวนี้น้ำท่วมบ่อย เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำ บ้านไม้แบบนี้ก็เลยต้องมีการใช้ปูนผสมเพื่อทำให้โครงสร้างมันแข็งแรงมั่นคงขึ้น มองไปตตรงหน้าหัวกระไดมีตุ่มน้ำสีแดงอิฐใบไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ ทำให้นึกถึงที่บ้านผมเหมือนกันแหะ มีแบบนี้เดะเลย น่าจะเอาไว้ล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน

ดูจากรอบๆ ตัวบ้านแล้วก็ร่มรื่นดี คิดว่าเจ้าของบ้านน่าจะชอบธรรมชาติ เพราะมีผลหมากรากไม้ปลูกไว้เต็มเลย  แต่แบบนี้ยุงก็น่าจะเยอะไปด้วยแหะ พวกเราชะโงกมองสำรวจรอบบ้านไม่นานก็ได้ยินเสียงหมาเห่าดังโฮ่งๆๆ พร้อมกับเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาแว่วๆ แต่ไม่ค่อยเป็นคำสักเท่าไหร่


"สวัสดีครับ มีใครอยู่บ้านบ้างไหมครับ คือผมมาหากำนันแย้มครับ" ผมตะโกนถาม

"นังแก้วเองไปดูสิว่าใครมา" เสียงผู้หญิงน่าจะมีอายุแล้วดังขึ้นไกลๆ
ไม่นานเจ้าของบ้านก็เดินออกมา แต่คิดว่าน่าจะเป็นลูกสาวของกำนันซะมากกว่า เพราะยังสาว แล้วก็สวยอยู่

"สวัสดีครับ คือ พวกเรามาหากำนันแย้มครับ"

"มีธุระอะไรกับพ่อรึเปล่าจ๊ะ" เสียงเพราะแหะ

"พวกเราจะมาขอรบกวนให้กำนันพาไปที่บ้านป้า...แม่นมคุณชื่ออะไรนะ?" ประโยคหลังผมหันกลับมาถามไรอัน

"ชื่อพุดซ้อน" ไรอันตอบ

"ชื่อป้าพุดซ้อนครับ พอดีเพื่อนผมเขามาตามหาแม่นมเขานะครับ"

"งั้นก็เข้ามารอพ่อบนบ้านก่อนจ๊ะ พอดีพ่อไปประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านจ๊ะ อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะกลับมา" พวกเราก็เดินตามลูกสาวกำนันเข้าไปยังตัวบ้าน แต่ดูเหมือนเจ้าสี่ขาสีขาวจุดดำ กับเพื่อนของมันจะไม่ค่อยชอบพวกเราสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากมาดมๆ กลิ่นแล้วยังส่งเสียงขู่ตามมาอีกเล็กน้อย จนเจ้าของบ้านเขาต้องหยิบก้อนดินก้อนหินแถวนั้นเขวี้ยงใส่ มันถึงจะยอมหยุด

"ตามมาสิคุณ มันไปแล้ว" นี่ก็นะ ยืนนิ่งให้หมามันแง่งๆ ใส่อยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่านิ่งเพราะกลัวจนขยับขาไม่ออกหรือนิ่งเพราะอะไร

คณิตินเกาหัวยิกๆ ไม่เข้าใจกับผู้ร่วมทาง

"พวกเขามาหาพ่อจ๊ะแม่" ผมยกมือไหว้เมียพ่อกำนัน ตามด้วยไรอันที่ยกมือขึ้นประนมเหมือนกัน ผมก็สองจิตสองใจว่าจะตักน้ำที่ตุ่มตรงหน้าล้างเท้าดีรึเปล่า เพราะกลัวทำไม่ถูกเขาจะด่าเอา

"ไม่ต้องล้างก็ได้จ๊ะพ่อหนุ่ม ขึ้นมาเลย ขึ้นมาข้างบนบ้านก่อน"

"ขอบคุณครับ"

"กินน้ำกินท่ากันก่อนพ่อหนุ่มมากันเหนื่อยๆ"

"ผมไม่เหนื่อย" ผมถลึงตาใส่ แล้วกระซิบบอกพร้อมกับตักน้ำในขันยื่นให้ "มันเป็นแค่คำเปรียบเปรย เชื้อเชิญตามมารยาทการรับแขก เข้าใจไหมคุณ?"
คณิตินกระซิบบอก ส่วนไรอันพยักหน้ารัวๆ แต่ยังจ้องน้ำในขันตาไม่กระพริบอยู่

"เขาเรียกน้ำลอยดอกมะลิ ให้ดื่มแค่น้ำมันเฉยๆ ส่วนดอกมะลิน่ะไม่ต้องกิน เพราะเขาเอาไว้ให้ความหอมสดชื่นเวลากินเฉยๆ" พูดจบไกด์จำเป็นก็เอาขันน้ำขึ้นมาแตะริมฝีปากแล้วดื่มอึกๆๆ ให้ดูก่อน จะได้รู้ว่ามันสะอาดแล้วก็กินได้อย่างที่ว่าจริงๆ

"กินสิคุณ" ฝรั่งตัวโตหันมามองครู่หนึ่งแล้วถึงจะยกขึ้นดื่มตาม

"เป็นไง หอมชื่นใจอย่างที่บอกไหม?"

"อร่อย" เห็นไหมล่ะ เชื่อไอ้เติร์กเหอะ อะไรก็ดี

"ชอบเหรอพ่อหนุ่ม" เมียพ่อกำนันถาม

"ครับ"

แหมทีอย่างนี้ยิ้มออกเชียวนะ ทีก่อนหน้านั้นยังทำหน้าอย่างกับถูกบังคับให้กินยาขมอยู่เลย

"ที่นี่เขาจะตวงน้ำฝนเก็บไว้ดื่มกัน ส่วนไอ้ที่หอมๆ ก็เพราะดอกมะลิอย่างที่พ่อหนุ่มคนนั้นว่านั่นแหละ"

"ที่นี่ยังกินน้ำฝนกันอยู่เหรอครับ ดีจัง"

"จ๊ะ พ่อกำนันเขาชอบ บอกว่าเย็นสดชื่นดี อยากกินเมื่อไหร่ก็แค่ไปตักขึ้นมาจากโอ่งเอง" ผมหมุนขันในมือเล่น แบบนี้ที่บ้านผมก็มีเหมือนกันนะ แต่จะขนาดใหญ่กว่าหน่อยนึง ทางเหนือเขาเรียก "สลุง" เอาไว้ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อย ใส่ของไปวัด แต่ถ้าเล็กลงมาแบบนี้ก็จะเอาไว้ตักน้ำกินกันปกติเหมือนที่นี่แหละ ส่วนใหญ่ที่บ้านผมทางเหนือเขาจะตักน้ำเก็บไว้ในหม้อน้ำดินเผาซะมากกว่า เพราะมันเก็บความเย็นไว้ได้ดี เวลากลับมาเหนื่อยๆ ร้อนๆ ดื่มแล้วจะได้ชื่นใจ แต่บางที่ก็เอาเก็บไว้ในน้ำต้น เวลาจะกินทีก็เทใส่ในขันเล็กๆ เท่ากำปั้นแค่นั้นเอง

"คุณเขาจะให้พ่อพาไปบ้านป้าพุดซ้อนน่ะจ๊ะแม่" ลูกสาวกำนันบอกอีกที

"สงสัยพ่อหนุ่มคงจะมาเสียเที่ยวกันแล้วล่ะ"

"อ้าว ทำไมครับ" ผมนี่ก็นะ นอกจากจะขี้สงสัยแล้วก็ยังปากไวอีก

"เพราะแกเพิ่งเสียไปเมื่อปีกลายนี้เอง ฉันกับพ่อกำนันยังไปงานศพแกมาอยู่เลย"

"ป้าแกเสียเพราะอะไรเหรอครับ"

"แกเป็นมะเร็ง แต่กว่าจะตรวจเจอก็ระยะสุดท้ายแล้ว จะรักษาด้วยคีโมก็ไม่ได้ เพราะเกล็ดเลือดต่ำ เลยต้องอยู่กับมันจนสิ้นใจนั่นแหละ" ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเพราะไม่ได้รู้จักมักจี่รู้จักกับเขา

"คุณ..โอเคไหม?" ไรอันพยักหน้าเบาๆ

"แล้วพ่อหนุ่มไม่รู้เลยเหรอว่ายายพุดซ้อนเขาไม่สบาย แล้วก็เสียไปนานแล้ว" คณิตินได้ยินเลยสะกิดให้ไรอันตอบ

"ไม่รู้ครับ เพราะนมขอกลับมาอยู่บ้านได้หลายปีแล้ว แล้วก็ไม่ค่อยติดต่อมาเลย

"เอาเถอะพ่อหนุ่ม อย่าคิดมาก เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเกิดมาแล้วย่อมตายเหมือนกันทุกคน ขึ้นอยู่ว่าใครมันนะตายก่อนตายหลังเท่านั้นเอง"

"ครับ"

"อ้าวนั่นไงพ่อกำนันมาพอดี" พวกเรายกมือไหว้ชายแก่ผมสีดอกเลา นุ่งเสือผ้าฝ้ายบางๆ สีขาวออกครีม นุ่งกางเกงขายาวสีน้ำเงินเลื่อม มัดผ้าขาวม้าติดเอว หน้าตาดูขึงขัง แต่ทว่ามีรอยยิ้มอยู่ข้างในตา ทีแรกดูภายนอกอาจดูเหมือนคนดุๆ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าแกเป็นคนที่ใจดีอยู่พอสมควร เพราะมุมปากหยักยิ้มอยู่ตลอดเวลา

"เอ่อหวัดดีๆ"

"พวกเขามาหาพ่อน่ะจ๊ะ บอกว่าตามหาบ้านป้าพุดซ้อนจ๊ะ"

"เอ้อ..." กำนันบิดขี้เกียจ ถอดผ้าขาวม้าที่พันเอวออก

"เองเหรอพ่อหนุ่มหน้ามน เป็นอะไรกับนังซ้อนมันล่ะ ถึงได้มาตามหากันถึงที่นี่" กำนันเอ็นหลังลงกับหมอนสามเหลี่ยมใบโต แล้วยกน้ำในขันที่ลูกสาวเพิ่งเอามาให้ดื่ม

"ไม่ใช่ผมครับ แต่เป็นคนนี้ครับ" คณิตินชี้ไปที่คนข้างๆ

"อ้อ พ่อฝรั่งตาน้ำข้าวนี่หรอกเหรอ ที่แรกก็นึกว่าเองซะอีก"

"ไม่ใช่ครับ แหะๆๆ"

"แล้วพ่อฝรั่งเขาเป็นอะไรกับนังซ้อนมันล่ะ?"

"ตอบเขาไปสิคุณ" ผมสะกิดบอก

"เธอเป็นแม่นมของผมครับ"

"อ้าวเหรอ งั้นเองก็เป็นลูกนังวิมล ที่นังซ้อนมันไปเป็นพี่เลี้ยงให้นะสิ"

"ครับ"

"ทีแรกนึกว่าฝรั่งตาน้ำข้าวที่ไหนมาบ้านซะอีก ที่แท้ก็คนกันเอง ดีๆๆ แม่เองกับนังซ้อนมันเก่ง ถึงสอนลูกฝรั่งให้พูดไทยกับเขาเป็น" กำนันพูดไปก็เอาผ้าขาวม้าพัดไล่ยุงไป "แล้วนี่แม่เองเป็นไงบ้างล่ะพ่อหนุ่ม สบายดีไหม"

"สบายดีครับ ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับร้านดอกไม้ที่เพิ่งเปิดใหม่อยู่ครับ"

"เอ่อดีๆ สองผัวเมียช่วยกันทำมาหากิน กิจการเงินทองจะได้รุ่งเรือง ส่วนเรื่องนังซ้อน มันเสียไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้ว เมียข้าได้บอกพวกเองไปแล้วใช่ไหม?"

"ครับ" พวกเราตอบขึ้นพร้อมกัน

"ถึงพวกเองไปที่บ้านมันตอนนี้ก็ไม่มีคนอยู่หรอก เพราะลูกสาวมันแต่งงานแล้วก็ย้ายตามผัวไปอยู่นครชัยศรีโน้น นานทีถึงปีหนถึงจะกลับมากับเขาทีหนึ่ง ตอนนี้เลยปล่อยบ้านทิ้งไว้ แล้วฝากให้ข้าดูแลนี่แหละ"

"แต่ก่อนตายมันได้ฝากจดหมายไว้ให้เองกับแม่เองด้วยฉบับนึง เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้"

"โอ๊ย!!! จิ๊ๆๆๆ" กำนันแย้มหนิ่วหน้า เอามือทาบลงกับบั้นเอว "แค่โรคของคนแก่อีกอย่างหนึ่ง อย่าสนใจเลย"

เข้าไปไม่นานกำนันแกก็ออกมา พร้อมกับจดหมายฉบับเล็กๆ "เอ้า มารับไปสิพ่อฝรั่ง อ่านเป็นกับเขาไหมนะภาษาไทยน่ะ?"

"อ่านออก เขียนได้อยู่จ๊ะ"

"แม่เจ้าโว้ย!! ไอ้นี่มันปรับตัวเข้ากับคนที่นี่เก่งซะจริง มีพูดจ๊ะพูดจ๋ากับเขาเป็นด้วย" กำนันแย้มหัวเราะชอบใจ

"ว่าแต่ลืมถาม เองชื่ออะไรนะพ่อหนุ่ม ข้าเองก็จำไม่ได้ละ มันนานเกิน เจอเองครั้งล่าสุดก็ตอนเองตัวนิดเดียว"

"ชื่อไรอันครับ"

"แล้วเองล่ะพ่อหนุ่ม" กำนันหันมาถามผม

"ผมชื่อเติร์กครับพ่อกำนัน"

"อุ๊บ๊ะ!! เด็กๆ สมัยนี้ชื่อมันช่างเรียกยากกันซะจริง งั้นข้าเรียกเจ้าฝรั่งนี่ว่า "ไอ้ทิด" ละกันเพราะตอนเด็กๆ ข้าเคยเห็นมันบวชหน้าไฟให้ยายมันอยู่ คงเรียกไอ้ทิดได้อยู่หรอก ใช่ไหมพ่อทิดอั๋น?"
จะหัวเราะก็ไม่ได้ สงสารก็สงสารอยู่หรอก เพราะอยู่ดีก็ได้ชื่อใหม่ พร้อมคำนำหน้านามมาเฉยเลย

"แล้วเองล่ะพ่อหนุ่ม เคยบวชกับเขาไหม?"

"ไม่เคยครับพ่อกำนัน"

"แล้วชื่ออะไรนะพ่อ เมื่อกี้ข้าฟังไม่ค่อยถนัด หูมันก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว"

"ชื่อเติร์กครับ"

"นี่ก็เรียกยากพอกัน งั้นเอางี้ ข้าเปลี่ยนชื่อให้เองใหม่ เอาเป็นชื่อ พ่อเติมละกัน เป็นมงคลดี แถมชื่อยังใกล้เคียงกับชื่อเก่าของเองด้วย" มงคลตรงไหนวะ ไอ้เติร์กไม่เข้าใจ

"ครับ แหะๆๆ"

"เอ่อดีๆๆ"

"อะไรคุณ จิ้มอยู่นั่นแหละ?" ผมกระซิบถามไรอัน

"ทำไมถึงเรียกว่าทิด ผมไม่เข้าใจ" ไรอันถาม

"คนสมัยก่อนที่อายุ 50 - 60 ขึ้นไปเขาจะเรียกลูกเรียกหลานตัวเองที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้วหนึ่งพรรษาว่า ไอ้ทิด หรือ พ่อทิด โดยเฉพาะคนภาคกลาง ภาคอีสาน แล้วก็ภาคตะวันออก คำว่าทิด เป็นคำที่กร่อนมาจากคำว่า บัณฑิต ที่หมายถึงผู้รู้ หรือแก่เรียน ในสมัยนั้นเวลาจะเรียนต้องเรียนจากวัด หรือบวชเรียน ส่วนคนธรรมดาที่ไม่ได้บวชเรียน แต่ถูกเรียกว่าทิด เพราะเขาสอบนักธรรมตรีได้ เช่น ทิดมาก หรือ ทิดมี"

"แล้วชื่อคุณล่ะ ทำไมกำนันถึงเรียกว่า พ่อเติม" นี่ก็ช่างสงสัยจริงวุ้ย พอๆ กับสองหน่อที่บ้านเลย

"ไม่ได้ยินเหรอ เมื่อกี้พ่อกำนันเพิ่งบอกไปอยู่หยกๆ ว่ามันเป็นมงคลดี เลยตั้งให้ คนสมัยก่อนชื่อบุญเติมมีออกเยอะแยะ ก็เพราะมันเป็นชื่อดี เป็นชื่อที่เป็นมงคลกับตัวคนนี่แหละ เข้าใจไหม"

"ครับ เข้าใจ" แต่ไอ้เติร์กไม่เข้าใจครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ไอ้ทิดของพ่อกำนันถึงพูดคงพูดครับ ฟังแล้วขนหนาวลุก บรื้ยยยยยย!!!

ผมสะบัดหน้าไปมานิดหน่อยแล้วถามคนข้างๆ ว่าจะเอายังไงต่อ สรุปคือพวกเราว่าจะกลับกันเลย เพราะมาถึงที่แล้วก็ไม่มีคนอยู่ แต่ยังดีที่ได้จดหมายฝากไว้ อีกอย่างผมก็เป็นห่วงลูกด้วย ถึงจะมีพี่เลี้ยงอยู่ด้วยแต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ห่วงหาอาทรลูกอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ

"จะกลับกันแล้วเหรอพ่อทิด พ่อเติม ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนล่ะ" กำนันเกาพุงเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน

"ขอบคุณครับพ่อกำนัน แต่พวกผมไม่รบกวนดีกว่าครับ อยากกลับบ้านเร็วๆ เพราะคิดถึงลูกๆ แล้วล่ะครับ"

"อ้าว แล้วไม่พามาด้วยล่ะ?"

"ก็อยากพามาด้วยอยู่ครับ แต่ต้องไปโรงเรียน พวกผมเลยมากันสองคนนี่แหละครับ" กำนันแย้มพยักหน้า ส่งเสียอื้มๆ ในลำคอ "งั้นพวกผมลาเลยนะครับพ่อกำนัน สวัสดีครับ"

"เอ้อ....งั้นก็โชคดี เดินทางปลอดภัยนะพ่อทิด พ่อเติม บุญรักษา"


เปิดประตูรถ คาดเข็มขัด และแล้วพวกเราก็ได้ฤกษ์กลับบ้านสักที ป่านนี้แอสตัน กับออสตินคงคิดถึงป่าป๊าจะแย่แล้ว หรือไม่งั้นก็คงกำลังนอนกลางวันกันอยู่ตอนนี้

"แถ๊ดๆๆๆๆ" เสียงสตาร์ทรถดัง อยู่สองสามครั้ง

"รถเป็นอะไรอะคุณ?"

"น้ำมันหมด"

"ห๊ะ" ตกใจจริงๆ ครับ กำลังจะกลับกันอยู่ดีๆ แต่น้ำมันดันมาหมดซะได้ นี่ก็อีกคนขับรถยังไงไม่รู้ว่าน้ำมันหมด

"รถสตาร์ทไม่ติดเหรอพ่อทิศ พ่อเติม" พ่อกำนันถาม

"เปล่าครับ คือรถน้ำมันมันหมดครับพ่อกำนัน"

"งั้นก็ขึ้นมารอบนเรือนก่อน เดี๋ยวข้าจะให้ไอ้มะยมมันไปซื้อให้"

"ไอ้มะยม ไอ้มะยมโว้ย...?"

"มาแล้ว มาแล้วจะตา เรียกซะเสียงดังลั่นบ้านเชียว" อ้อ...ไอ้มะยมคือ เด็กน้อยหัวจุกที่มายืนลับล่อๆ แอบดูพวกเราคุยกับกำนันเมื่อครู่นั่นเอง

"เองไปซื้อน้ำมันที่บ้านยายแม้นมาให้พี่เขาหน่อยเร็ว เดี๋ยวฝนจะตกก่อนจะไม่ได้กลับกัน"

แต่ผมว่าไม่ทันแล้วล่ะครับ เพราะได้ยินเสียงน้ำตกกระทบกับแผ่นสังกะสีดังโป๊กๆ ปั๊กๆ แล้ว เป็นอันว่าพวกเราคงต้องติดฝนอยู่ที่นี่จนกว่าฝนจะหยุดตก แล้วค่อยไปซื้อน้ำมันใส่แกลอนมาเติม
มองออกไปนอกชานบ้านเห็นแต่สายฝนตกลงมาจนมืดฟ้ามัวดินอย่างกับฟ้าจะรั่ว
ตกห่าใหญ่ขนาดนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะหยุดล่ะวะเนี๊ยะ

"เพราะตานั่นแหละ พูดถึงฝน ฝนก็ตกเลยเห็นไหมล่ะ?"

"บ๊ะไอ้นี่นิ นี่เองว่าข้าปากอัปมงคลเหรอไอ้หลานคนนี้ เดี๋ยวข้าเผ่นกระบานให้เลยนิ ไปๆ ไปช่วยยายเองรอน้ำฝนโน้น"

"งั้นก็รอจนกว่าฝนหยุดตกก่อนนะพ่อทิศ พ่อเติมแล้วค่อยไปซื้อน้ำมัน"

"ครับพ่อกำนัน"

สองชั่วโมงผ่านไป ตอนนี้ก็ห้าโมง เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย ไม่รู้ว่าที่กรุงเทพฯ ฝนจะตกรึเปล่านะ ใจไอ้เติร์กประหวัดไปถึงสองหน่อที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่รู้ว่าจะดื้อจะซนรึเปล่า จะถามหาป่าป๊ากับแดดดี้มันบ้างรึเปล่านะ

"พ่อกำนันครับ ปั๊มน้ำมันที่เราจะไป มันอยู่ไกลจากนี่ไหมครับ?" เพราะถ้าไม่ไกลผมจะได้เดินกางร่มเดินไปซื้อเอง ถึงฟ้ามันตะร้องนิดหน่อยก็ช่างมัน

"โหพ่อ ถ้าจะไปปั๊มก็โน้นแหละถนนใหญ่โน่น ส่วนร้านน้ำมันที่ข้าจะให้ไอ้มะยมไปซื้อมาให้น่ะ มันเป็นปั๊มหลอดในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ข้าว่าร้านมันคงปิดไปแล้วล่ะ พวกเองคงได้นอนที่นี่กันแล้วล่ะพ่อหนุ่ม"

"ว่าไงพ่อทิด เอ็งนอนที่นี่ได้ไหม บ้านข้ามันบ้านนอกนะโว้ย" กำนันพูดหยอก

"ผมยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พ่อเติมของพ่อกำนันเลยครับ"

"อุ๊บ๊ะ..พวกเองสองคน พูดอย่างกับเป็นคู่รักกันเลยนะ"

"เออะ..ไม่ใช่ครับๆ พ่อกำนัน พวกเราเป็นเพื่อนกันครับ" ผมรีบโบกมือปฏิเสธ

"อ้าวเหรอ ข้าก็นึกว่าพวกเองเป็นแฟนกันซะอีก เห็นไอ้ทิดมันมองเองสายตาหยาดเยิ้มตั้งแต่ตอนที่เองอธิบายชื่อให้มันฟังแล้ว"

คณิตินหันไปสบตาไอ้ฝรั่งข้างๆ อย่างรวดเร็ว แต่เจ้าตัวก็ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเขาเลย เขาว่าแทนที่จะปฏิเสธ กลับยิ้มรับซะงั้น

"เอ่อๆๆ นั่นมันเรื่องของพวกเองสองคน ไปเคลียร์กันเอาเอง ว่าแต่เองเถิดพ่อเติม นอนที่นี่ได้รึเปล่า?"

"ได้ครับพ่อกำนัน ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายครับ"

"ดีๆ งั้นเดี๋ยวกินข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปอาบน้ำอาบท่ากัน เดี๋ยวข้าจะให้เด็กๆ มันเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน"

"ขอบคุณครับพ่อกำนัน" พวกเรายกมือไหว้

มื้อค่ำเมียพ่อกำนัน กับลูกสาวทำน้ำพริกปลาทู กับผักลวกมาให้แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วง กลัวว่าไอ้ทิศของพ่อกำนันจะกินเผ็ดไม่ได้ เลยต้องทำไข่เจียว แล้วก็ปลาทูทอดมาให้อีกสองตัว

"เป็นไงคุณ เผ็ดไหมน้ำพริกปลาทู?"

"เผ็ด แต่อร่อย"

"อร่อยแล้วทำไมไม่กินเยอะๆ ล่ะ เมียพ่อกำนันเขาอุตส่าห์ทำมาให้คุณโดยเฉพาะนะนั่น" ไรอันส่ายหัว สูดหายใจเข้าออกๆ ฮู่ฮ้าๆ จนหน้าดำหน้าแดงไปหมด แต่จะไม่กินเลยก็กลัวจะเสียน้ำใจคนทำ

ตอนนี้ไม่ว่าจะปากเอย ท้องเลยเหมือนจะมีไฟลุกเสียให้ได้ แถมเหงื่อก็ไหลเต็มไปหมด ตั้งแต่ขมับ กกหู จอน ลามมาจนถึงหลัง ไรอันใช้หลังมือเช็ด จนพ่อกำนันสงสาร เลยยื่นผ้าขาวม้าไล่ยุงให้เช็ด

ส่วนเมียพ่อกำนันก็ยิ้มชอบใจ ยื่นน้ำในขันมาให้ เพราะกลัวว่าจะร้องไห้คาสำรับข้าวไปซะก่อน เสียงหัวเราะหึๆ ดังเป็นระยะๆ ฝรั่งมาบ้าน แล้วกินกับข้าวได้ขนาดนี้ เจ้าของบ้านที่ไหนล่ะจะไม่ชอบใจบ้าง บรรยากาศค่ำนี้ช่างอบอุ่นเสียจริง เห็นอย่างนี้แล้วไอ้เติร์กก็คิดถึงบ้านขึ้นมาเลยนะเนี๊ยะ

"อะ กินนี่สิคุณ จะได้หายเผ็ด" คณิตินยื่นลูกอมรสนมของเด็กๆ ที่ติดอยู่ในกระเป๋ากางเกงให้ ถึงมันจะรูปร่างหน้าตาไม่น่ากินแล้วก็เหอะ แต่ก็น่าจะช่วยให้หายเผ็ดไปพลางๆ ก่อน เพราะมันมีกรดอะไรสักอย่างที่ทำให้บรรเทาอาการเผ็ด



ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1



หลังจากอาหารมื้อสุดพิเศษแล้ว คณิติน ไรอัน แล้วก็กำนันแย้มก็ออกมานั่งคุยกันตามประสาผู้ชายอยู่ด้านนอกเรือนชานจนถึงประมาณทุ่มกว่าๆ

ฟ้าหลังฝนทำให้บรรยากาศแถวนี้ดูชุ่มฉ่ำขึ้นกว่าเดิม แถมยังได้กลิ่นดิน กลิ่นดอกอะไรสักอย่างลอยตามลมมาด้วย บ้านเขาที่เชียงใหม่ก็ประมาณนี้แหละ ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ห่างไกลจากความเจริญเกือบๆ 40 กิโลเห็นจะได้ เลยสัมผัสถึงความเป็นชนบทได้อย่างชัดเจน เผลอๆ อาจจะมากกว่าที่นี่ด้วยซ้ำ เพราะชาวบ้านที่นั่นจะใช้ชีวิตสมถะกว่า ถึงหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน แต่วิถีชีวิตก็ต่างกันอยู่พอสมควร ชาวบ้านแถวนี้ใช้ชีวิตอยู่กับไร่สวน ค้าขาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นสวนส้มโอ สวนมะพร้าว สวนเงาะ สวนมะม่วง แต่แถวๆ บ้านผมจะทำทั้งเรือกสวนไร่นา ร้านค้าก็มี แต่น้อยกว่าแถวนี้ เลยทำให้ดูมีความลูกทุ่งมากกว่า

ตะเกียงเจ้าพายุที่ได้จากกำนันมายังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางความมืดแบบนี้คงต้องระวังสัตว์มีพิษไว้ให้มาก ถึงอย่างนั้นขาสองข้างของพวกเราค่อยๆ เดินลัดเลาะผ่านใต้ถุนมาทางหลังบ้าน ผ่านแปลงผักสวนครัว แล้วเดินไปตามทางอีกนิดหน่อยจนถึงตุ่มใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ มีไม้กระดานตอกกับเสาไม่เล็กไม่ใหญ่ทำหน้าที่เป็นที่วางของ เช่น ขันน้ำ ที่วางสบู่ ยาสีฟัน แชมพูหรือแม้แต่มีดโกน ถัดไปอีกนิดเป็นเสาไม้ไผ่ที่ใช้เป็นที่ตากผ้าขาวไว้

ชีวิตลูกทุ่งแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อดี

"ที่นี่เสียงแมลงกลางคืนร้องกันเยอะดีนะ ที่บ้านผมไม่มีเลย"

"มันจะมีได้ไง บ้านคุณกับประเทศไทยมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ ที่นั่นเขาพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ส่วนประเทศไทยยังย่ำอยู่ที่เดิมอยู่เลย"

"เอ้าจะมัวมองทำไมคุณ ถอดเสื้อผ้าสิ เดี๋ยวยุงก็ได้หามไปหรอก" ผมเร่ง เพราะใส่ผ้าขาวม้าของตัวเองเสร็จแล้ว แต่อีกคนยังยืนกินลมชมวิว สูดอากาศบริสุทธิ์ไม่เสร็จเลย ความจริงเราอาบกันบนบ้านก็ได้ แต่ลูกสาวกำนันกำลังอาบอยู่ แล้วไหนจะเมียพ่อกำนันกับเจ้าเปี๊ยกมะยมอีก ผมกับไรอันเลยลองเปลี่ยนบรรยากาศลงมาอาบข้างล่างตามที่กำนันแนะนำบ้าง

"ผมใส่ผ้านี่ไม่เป็น" ไรอันชูผ้าขาวม้าสีขาวสลับแดงมาให้

แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกซะด้วย คณิตินเกาหัวแกร๊กๆ อยู่สองสามทีแล้วตัดสินใจแกะปมผ้าขาวม้าตัวเองออก ถึงมันจะดูโล่งๆ ไปนิดแต่ก็ยังดีที่ข้างในยังมีกางเกงในเหลืออยู่ ไม่งั้นจ้างสักร้อยสักพันไอ้เติร์กไม่อาบด้วยหรอก

อย่าคิดมากเติร์ก มีก็มีเหมือนกัน!!! คณิตินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า 'รีบๆ อธิบาย จะได้รีบๆ อาบให้มันเสร็จๆ

"งั้นคุณทำตามผมนะ"

"อื้ม"

"เอามันทาบลงกับเอวแบบนี้ จะด้านขวาหรือซ้ายก็ได้แล้วแต่คุณถนัด ทำแบบนุ่งผ้าเช็ดตัวนั่นแหละ" 

"พันกับรอบเอวเราแบบนี้ จากนั้นก็เอาชายที่เหลือมันขมวดกันแล้วเหน็บกับเอวแบบนี้ เข้าใจไหม?"

"เข้าใจครับ" ไรอันทำเองอย่างตั้งใจ ถึงดูเงอะงะไปบ้างก็นะคนมันไม่เคยนี่หว่า

คนอะไรขนาดใส่ผ้าขาวม้าธรรมดามันก็ยังดูเซ็กซี่ ทำได้ยังไงวะ คณิตินเหลือบมองอีกฝ่ายเงียบๆ ผิวในร่มผ้าขาวนวลเนียน ผิวนอกร่มผ้าออกแทนๆ คล้ำแดดหน่อยๆ กล้ามก็ไม่ได้ดูบึกบึนจนน่ากลัว ช่วงอกเอยอะไรเอยก็ดูดีเป็นวีเชฟ หน้าท้องก็ดูลีนๆ แต่ว่าก็ว่าเหอะ ผมล่ะกลัวผ้าขาวม้ามันจะหลุดจริงๆ

"เห้ย!!" พูดลิ้นยังไม่ทันเข้าปาก ชายผ้าที่ขมวดกันเป็นปมก็ค่อยๆ หลุดออกมาทีละนิดๆ ดีนะที่ไอ้เติร์กช่วยคว้าไว้ได้ทันอยู่ ไม่งั้นล่ะมึงเอ๊ย...ได้มีเห็นทิดน้อยกันแน่ๆ!!

เห้อออออ...โล่งอก

"เติร์ก?" อะไร?

"คุณช่วยเอามือออกจากผ้าผมก่อนได้ไหม คือ.......มัน......." ไอ้เติร์กฟังยังไม่ทันจบก็รู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร

ก็ว่าอยู่ว่าทำไมตรงนั้นมันถึงดูแข็งๆ เป็นก้อนๆ แหะๆ เค้าขอโทษ

"เออ...คือว่า...ผมกลัวมันหลุด ไม่ได้ตั้งใจจะ..จะจับมันนะ"

ตายๆ ตั้งแต่เกิดมาไอ้เติร์กยังไม่เคยได้สัมผัสของใครเลย รู้ไปถึงไหนอายเขาไปถึงนั่นไหมล่ะ
พอๆ เติร์กตั้งสติ!! อย่ามอง อย่าคิด ตั้งสติแล้วก็ทำจิตใจให้สงบ

"เหน็บแบบนั้น..ผ้าคุณก็หลุดสิ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามคุณนะจะบอกให้ อย่าเข้าใจผิดเชียว"

"อื้ม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนิ"

"แล้วก็ห้ามมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วย ห้ามเลย!!"

ไรอันยกมือขึ้นสองข้างบอกว่ายอมแพ้ แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมเสียเปรียบในเมื่ออีกฝ่ายจับของเขาไปแล้ว เขาก็ต้องทำให้มันเท่าเทียมสิ ถูกไหม?

"มองอะไรของคุณน่ะ"

"ก็มองไปเรื่อยแหละ ก็แถวนี้มีอะไรน่ามองล่ะ" ไอ้เติร์กหันมองซ้ายขวาก็มีแต่ความมืดแล้วก็ต้นไม้กับท่าน้ำอยู่ถัดออกไป

"ก็ไม่เห็นมีอะไร"

"ก็ใช่ไง" ถึงตอบแต่นั้นแต่ไรอันก็ยังไม่ละสายตาไปจากคนที่ยืนว่าเขาอยู่ฉอดๆ "คุณลวนลามผม"

"อะรายๆ คุณ!! ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ" พูดแบบนี้ไอ้เติร์กไม่โอนะจะบอกให้

"ไม่จริง คุณตั้งใจ แถมแตะโดนของไปเยอะแล้วด้วย" ไรอันตอบเสียงจริงจังกึ่งกระเซ้า

"เยอะย้งเยอะแยะอะไร แตะลงไปแค่ปลายนิ้วเอง"

"นั่นไงแสดงว่าคุณตั้งใจ คุณ...อื้อออออออ" อย่าเสียงดังสิว๊อยเดี๋ยวคนบนบ้านพ่อกำนันเขาก็สงสัยเอาหรอกส่าแค่มาอาบน้ำกันเองทำไมต้องเสียงดังกันด้วย

"เอ่อๆๆ จะคิดยังไงก็เรื่องของคุณเหอะ แต่ผมยังยืนยันคำเดิมคือ ไม่ได้ตั้งใจ" พูดจบก็หันหน้าหนีไปอีกทางทันที กลัวว่าถ้าขืนต่อล้อต่อเถียงกันนานกว่านี้เขาต้องฆ่าหมอนี่ตายแน่ ปกติก็ไม่เห็นเป็นคนแบบนี้ ไหงวันนี้เป็นแบบนี้ไปได้นะ

"เติร์ก....." ไร้เสียงตอบรับ "โกรธเหรอที่ผมล้อ" ไรอันชะโงกหน้ามาถาม

"เปล่า" ไอ้เติร์กแค่เริ่มหนาวแล้วขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว เลยไม่อยากตอบแค่นั้นเอง

"ถ้าไม่ได้โกรธก็หันมาอาบด้วยกันเหมือนเดิมสิ"
คืออาบแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไหม ต่างคนต่างอาบ จะเสร็จเร็วๆ

"ถ้าไม่หันมาผมจะคิดว่าคุณเขินที่เราอาบน้ำด้วยกันนะ" เอาอีกละ ทำไมเป็นคนแบบนี้นะวันนี้

"เออๆ ไม่ขงไม่เขินอะไรทั้งนั้นแหละ อาบไปดิ"

"สอนผมทำใหม่อีกทีสิ เอาแน่นๆ แบบของคุณเลย"

"ถามจริง คุณเป็นคนยังไงกันแน่เนี๊ยะ บทจะพูดมากก็พูดมาก บทจะไม่พูดก็เงียบซะจนคนเดาความคิดไม่ถูก"

"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" ไรอันยิ้มฝ่าความมืดกับแสงจากตะเกียงเจ้าพายุ

"อยากนุ่งเป็นก็มองมาที่มือผมนี่ ไม่ต้องมองหน้า" คณิตินค่อยๆ แกะผ้าของตัวเองออกอีกที แล้วขมวดกันเป็นปม จากนั้นก็ค่อยๆเหน็บมันลงไปกับเอว หันไปทางไรอัน รายนั้นก็กำลังมองอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ช่างเป็นนักเรียนที่น่ารักเอ็นดูซะจริง ถ้าไม่นับคำพูดกับสายตาล้อเลียนเมื่อครู่ล่ะก็นะ

"เอ่อ อย่างนั้นแหละ" กว่าจะสอนได้  แล้วก็กว่าจะใส่เป็น

เสียงตักน้ำจากตุ่มราดลงกับตัวดังซ่าๆ มือสองข้างของคณิตินจัดการฟอกสบู่แล้วเอามาถูลงกับตัวตัว จะว่าไปอาบน้ำแบบนี้ก็ได้ฟีลเหมือนกันแหะ" (ฟีลธรรมชาติ กับบรรยากาศลูกทุ่งไง คิดอะไรกัน?)

"ผมว่าคุณผูกปมผ้าขาวม้าคุณใหม่สักหน่อยไหม มันจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่แล้วน่ะ" ไอ้เติร์กไม่ได้ตั้งใจมองนะ แต่ไม่อยากให้มันหลุดจนตัวเองเป็นตากุ้งยิงนะเออ

"ผมผูกมันหลายครั้งแล้วนะ" ก็มันยังไม่ดีไง

"มานี่เดี๋ยวผมผูกให้ ส่วนคุณน่ะอยู่เฉยๆ ห้ามกระดุกกระดิกนะ แล้วก็ขอบอกเลยว่าไม่ใช่การหลอกแต๊ะอั๋ง หรือลวนลามใดๆทั้งสิ้นนะขอบอก" ไรอันพยักหน้า แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการให้ ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่เฉยๆ ก้มมองคนที่กำลังคุกเข่าทำผ้าขาวม้าให้

มองจากมุมนี้แล้วมันชวนให้คิดลึกเนอะ ไม่ใช่แค่ไรอันคิด คนผูกผ้าขาวม้าให้นี่ก็คิด แต่จะทำไงได้วะ คณิตินผูกให้อย่างรวดเร็วตาไม่มองผ้าขาวม้าที่ตัวเองผูกเลยสักนิด

'แปะ!! แปะ!'

"คุณ! ผมบอกว่าห้ามกระดุกกระดิกไง"

"ยุงเยอะ"

"ทนเอาหน่อย  เห้ย!!" ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนแต่เป็นเสียงของเขาเองนั่นแหละที่ตกใจ เพราะมือดันไปเกี่ยวเข้ากับไอ้ทิศน้อยเข้าอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่ความผิดเขานะบอกเลย

คนนั่งคุกเข่าชะงักมือค้าง แล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตาเจ้าของมันอีกครั้งก็พบว่าเจ้าของมันก็กำลังตกใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าตอนนี้คือ ไอ้สิ่งที่ตัวเองเพิ่งแตะไปเมื่อกี้ถึงสองครั้งสองครามันกำลังผงาด โผล่หัวขึ้นมา

"ห้ามว่าผมนะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ใครใช้ให้คุณปลุกมันขึ้นมาตั้งสองครั้งแบบนี้"

"เออ...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย"

"ผ้าเสร็จแล้ว งั้นก็อาบกันเหอะ เดี๋ยวมันจะดึก แหะๆ" พูดจบคณิตินก็หันมาอีกฟากหนึ่ง แล้วจ้วงตักน้ำจากตุ่มอาบโดยเร็ว เสียงน้ำตกใส่ตัว กระทบกับพื้นซีเมนต์หยาบๆ ดังซ่าๆ ประกอบกับเสียงจิ้งหรีดเรไร กับแสงไฟริบรี่ของตะเกียง แม่งเอ๊ย !!ทำให้มันดูอิโรติคขึ้นไปอี๊ก

คิดไปในท้องก็ปั่นป่วนเหมือนมีตัวอะไรบินขึ้นบินลงอยู่สักร้อย จนต้องสะบัดหัวเรียกสติตัวเองกลับมาเหมือนเดิม

เอาวะ..เหลือแค่สระผมอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว ส่วนเนื้อตัวขัดบ้างไม่ขัดบ้างวันเดียวก็คงไม่เป็นไร

"รีบๆ อาบสิคุณ ไม่หนาวรึไง?"

"ไม่หนาว ผมชอบอากาศแบบนี้ เย็นสบายดี ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนกรุงเทพฯ"

"ก็แหงสิ ที่นั่นมันมีแต่รถรา มีแต่ควัน และมลพิษนี่หน่า อะนี่ ถูสบู่ด้วย" คณิตินส่งสบู่ตรานกแก้วก้อนสีเขียวให้

"ผมรอคุณใช้เสร็จก่อน"

"ผมเสร็จแล้ว คุณก็ใช้ต่อสิ"

ไรอันใช้มือฟอกสบู่เสร็จก็เอากลับมาวางไว้ที่เดิม ไอ้ตาไม่รักดีของเขาก็ช่างหาเรื่องให้เจ้าของมันเสียจริง ยังไม่พอตะเกียงเจ้าพายุก็ช่างเป็นใจให้คนจิตใจอกุศลซะเหลือเกิน จากที่แสงริบรี่ก็พลันสว่างขึ้นมาจนมองเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนขึ้น อย่างคนที่กำลังโก้งโค้งขัดข้อเท้าของตัวเองอยู่ตรงหน้าเขานี่ไง

ตาสีเขียวอมเทาของเขาไล่มองจากปลีน่องแข็ง ไต่ขึ้นไปตามขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็เป็นต้นขา แล้วก็ไปหยุดตรงบั้นท้ายที่ดูเหมือนจะงอนงามกว่าทุกครั้งที่มอง ไรอันแอบกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ร่างกายจากที่สงบนิ่งก็พลันร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกแล้ว

"ทำอะไรน่ะคุณ ถ้าไม่รีบอาบผมจะขึ้นไปก่อนแล้วนะ" ไรอันสะดุ้ง ยืนเก้ๆ กังๆ เสียงจ้วงตักน้ำจากตุ่ม ราดลงกับตัวอีกห้าหกครั้ง "คุณ..ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?"

"ใกล้แล้ว"

"เอ่อลืมบอกไป ว่าให้คุณซักกางเกงในด้วยเลยนะ พรุ่งนี้เช้าจะได้มีใส่กลับ" วงเล็บถ้ามันแห้งทันนะ



 
---------------------------------
TBC

ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1


Fallen DESTINY !!
ป่าป๊ากำมะลอ คุณพ่อจำเป็น

ตอนที่ 10





Honey, now take me into your loving arms
Kiss me under the light of a thousand stars
Place your head on my beating heart
I’m thinking out loud
That maybe we found love right where we are



เมื่อกี้กำนันบอกให้ไอ้มะยมเอาไฟฉายมาให้ เพราะกลัวว่าพวกเราจะมองไม่เห็นทางตอนลุกไปฉี่กลางดึก ไอ้เติร์กน่ะไม่ปวดฉี่กลางดึกกลางดื่นแบบนั้นหรอก หัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับจนถึงเช้าเลย แต่พ่อทิศของกำนันนี่สิ

จะว่าไปคนแถวนี้เขาก็เข้านอนเร็วเหมือนกันนะ สามทุ่มสี่ทุ่มก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ทำให้นึกถึงชีวิตที่เชียงใหม่ อำเภอบ้านเกิดของเขาถือว่าเป็นอำเภอที่อยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควรเลยนะ ตั้งเกือบสี่สิบกิโล ถ้าเรียกให้ถูกก็บ้านนอกนั่นแหละ แต่เรียกดูดีขึ้นมาหน่อยก็ชนบท ที่นั่นสองสามทุ่มก็เงียบเชียบอย่างกับเที่ยงคืนตีหนึ่ง เพราะชาวบ้านเหน็ดเหนื่อยจากการทำไร่ทำนา ค่ำมาก็กลับบ้าน ภรรยาก็หุงหาอาหารมาเตรียมไว้ให้ จากนั้นนั่งล้อมลงกินข้าวด้วยกัน พอค่ำมาอีกนิดก็พากันอาบน้ำเข้านอน พักผ่อนสำหรับทำงานในวันถัดไป ชีวิตแบบนี้ถ้าคนสมถะก็อยู่ได้นะ แต่คนที่มีชีวิตติดหรู ชอบแสงสีคงอยู่ไม่ได้หรอก

"คิดถึงเด็กๆ เนอะคุณ" คณิตินเอ่ยขึ้นมาหลังจากล้มตัวลงนอนได้สักครู่ใหญ่

"อื้ม ป่านนี้คงนอนกันแล้วมั้ง"

"ไอ้พัต กับไอ้กันย์บอกว่างอแงนิดหน่อยตอนกลับจากโรงเรียนเพราะไม่เจอเราสองคน"

"เป็นธรรมดา พวกเขาคงตกใจที่สองคนนั้นไปรับ แล้วไหนจะกลับมาบ้านไม่เจอพวกเราอีก อดทนอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นค่อยพาเด็กๆ ไปทานข้าวข้าวนอกเพื่อเป็นการไถ่โทษก็ได้" คณิตินพยักหน้าในความมืด

"เอ่อเกือบลืม กลับจากที่นี่ผมจะต้องกลับบ้านที่เชียงใหม่สักสองสามวันนะคุณ แม่ไม่สบาย เลยว่าจะลงไปเยี่ยมท่านสักหน่อย"  พอดีกับที่เฮียต๊อด พี่ชายเขาบวชก่อนเบียดพอดี ความจริงมันก็เบียดมานานแล้วเหอะ แต่พ่อกับแม่ไม่รู้ เอ๊ะ!! หรือว่ารู้วะ แต่ก็นะธรรมดาของผู้ชายเนอะ

"แล้วอาการท่านเป็นยังไงบ้าง?" คณิตินขนหนาวลุกซู่คล้ายกับมีตัวอะไรบินอยู่ในท้อง คนอะไรนอกจากหล่อแล้ว เวลาถามแบบนี้แล้วเสียงก็ดูอบอุ่นไปอีก นี่ถ้าไอ้เติร์กเป็นผู้หญิงแล้วถูกถามด้วยเสียงแบบนี้คงใจละลาย ขนาดเป็นผู้ชายแท้ๆ ขนหนาวยังลุกเลย ให้ตายสิ..ถ้าเกิดไอ้เติร์กเกิดหวั่นไหวกับพ่อทิศของกำนันขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบเนี๊ยะ!!!

"เติร์ก!!"

"หา?" คณิตินตกใจ

"ผมถามว่า อาการท่านเป็นไงบ้าง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม แม่ของคุณน่ะ"

"อื้ม...อาการก็ไม่หนักหรอกคุณ โรคคนแก่นั่นแหละ แล้วก็เป็นหวัดด้วยเพราะเริ่มเข้าหน้าฝนแล้ว แถมปีนี้ยังหนาวเร็วกว่าทุกปีอีก ร่างกายคนแก่เลยปรับไม่ทัน"

"ไว้เราค่อนไปหาซื้อวิตามิน กับยาบำรุงไปให้ท่านกัน หรือว่าจะเอาโสมดี?"

"งื้อ......." คณิตินส่ายหัว เพราะคนอย่างคุณนายแดงไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากวุ่นวาย ขืนซื้อโสมไปก็ไม่กิน ขนาดว่าไอ้เติร์กซื้อใบแป๊ะก๊วยเป็นแคปซูล กับแคลเซียมส่งไปให้เมื่อปีที่แล้วอย่างละสองกระปุกใหญ่ จนถึงตอนนี้ยังไม่หมดเลย แล้วถ้ารู้ว่าซื้อของแพงมาให้อีก มีหวังคงโดนบ่นจนหูชาแน่
 

"แล้วใครบอกว่าผมจะชวนคุณไปด้วย ผมอาจจะไปกับลูกสามคนก็ได้"

"คุณไม่ใจร้ายทิ้งผมให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียวหรอก เชื่อสิ" คณิตินเบ้ปาก ทำมาเป็นรู้จักตัวเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองอีก









ลมกลางคืนพัดเบาๆ มองไปข้างนอกก็มืดแสนมืด

'โอ๊ะ!! หิ่งห้อย สงสัยบินเข้ามาตรงหน้าต่าง' หันไปหาอีกคนก็เห็นว่าเขาก็กำลังจ้องมองเจ้าแมลงเรืองแสงนี้อยู่เหมือนกัน

คณิตินเกาแก้มอย่างประหม่า เพราะดันเผลอคิดไปถึงฉากนิยายที่เพิ่งแปลจบไป

เป็นตอนที่พระเอกกับ นางเอกถูกตามล่าจากคนร้าย จนต้องเข้ามาขอหลบในบ้านของสองตายายกลางป่า แถมคืนนั้นพระเอกก็สารภาพรักกับนางเอก โดยมีฝูงหิ่งห้อยเป็นพยานนับร้อยๆ ตัวอีก 

ไม่ได้ๆ ไอ้เติร์กต้องรีบจุนสติตัวเอง แต่ไม่ว่ายังไงเขาวกกลับคิดถึงเรื่องนี้อีกจนได้ นี่แหละนะเค้าว่าคนแปลนิยาย หรือคนแต่งนิยายมักจะมีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ่อยๆ เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้แหละ


"เออ...ความจริงที่นี่เขาดังเรื่องชมหิ่งห้อยมากเลยนะคุณ เขาว่ามาอัมพวาต้องมาเที่ยวตลาดน้ำแล้วก็นั่งเรือชมหิ่งห้อยในตอนกลางคืน ถ้าไม่ทำอย่างที่ว่าสดงว่ามาไม่ถึง" ไปได้สวยเชียวไอ้เติร์กเอ๊ย ต่อๆเลย

"ผมก็เคยได้ยินแม่พูดถึงอยู่ แต่ไม่เคยเห็นจริงๆ เลยสักครั้ง"

"ใช่คุณคนเดียวซะที่ไหนที่ไม่เคยเห็นมันเกาะกันเป็นฝูงแบบนั้น ผมคนหนึ่งแหละที่ไม่เคยเห็น แต่แบบเดี่ยวๆ หรือสองสามตัวแบบนี้ก็เคยเห็นอยู่นะ แถวๆบ้าน"

เคยอ่านเจอในหนังสือเขาบอกว่าที่ไหนมีหิ่งห้อยอยู่แสดงว่าที่นั่นมีระบบนิเวศที่ดี เพราะเจ้าหิ่งห้อยนี่แหละจะเป็นตัวปรับสมดุลของระบบนิเวศ ตัวอ่อนของมันมีลักษณะเป็นตัวหนอนที่ถูกใช้เป็นตัวห้ำ หรือแมลงที่กินพวกศัตรูพืชเป็นอาหาร เช่นพวกหอยเล็กๆ หอยเชอรี่ กิ้งกือ

หลังจากที่ผ่านระยะดักแด้มาแล้ว พวกมันก็จะเข้าสู่ช่วงเจริญเติบโตเต็มที่ มีปีกแข็งๆ ที่สามารถบินได้ และเริ่มจับคู่ผสมพันธุ์ แล้วก็ออกมาขยับปีกส่องแสงเฉพาะตอนหัวค่ำ ไปจนถึงตอนสามสี่ทุ่มพวกมันถึงจะค่อยๆ หายไป

"ตอนเด็กๆ แม่ผมชอบเล่าให้ฟังว่า หิ่งห้อยเป็นแมลงที่นำความรักความคิดถึงของชายหนุ่มที่เสียชีวิต กลับมาหาหญิงสาวคนรักในช่วงกลางคืน"

"แล้วทำไมต้องเป็นหิ่งห้อยล่ะ เป็นสัตว์อย่างอื่นไม่ได้เหรอ"

"เดี๋ยวสิ กำลังจะเล่าให้ฟังเนี๊ยะ"  ไรอันหัวเราะหึๆๆเบาๆ แล้วพยักหน้าตอบ เพราะกลัวคนเล่าจะขัดใจ

"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่า เพราะหิ่งห้อยคือเทพธิดาแห่งความหวัง แล้วความหวังของคู่รักสองคนนี้ก็คือการได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนกลางคืนเท่านั้นก็ตาม"

"เป็นเรื่องเล่าที่น่ารักดี"

"แน่นอน ผมฟังมันทุกคืนก่อนนอนด้วยนะจะบอกให้เรื่องนี้อะ" คณิตินพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ แล้วล้มตัวลงนอน

"ขยับมาทำไมคุณ ผมจะตกที่นอนอยู่แล้วเนี๊ยะ!!"

"หนาวววว"

"หนาวบ้าอะไร ร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว"

"พูดไม่เพราะ เดี๋ยวลูกพูดตาม"

"เอ่อๆ ขอโทษ แต่คุณช่วยเอามือของคุณออกไปจากตัวผมก่อนได้ไหม มันอึดอัด"

"แต่ผมไม่อึดอัด" ไรอันกระชับกอดขึ้นอีกแล้วขยับหมอนให้ชิดกันจนตอนนี้แทบไม่มีช่องว่างเลยก็ว่าได้

"คุณรู้ใช่ไหมว่าผมคิดยังไงกับคุณ" ไรอันกระซิบข้างหูจนคณิตินตัวขนลุกซู่ไม่กล้าขยับตัว เพราะอีกนิดเดียวก็จะแตะซอกคอกันอยู่แล้ว

"ดังนั้นทำตัว ทำใจให้ชินซะนะ ยังไงคุณก็หนีผมไม่พ้นหรอก"

คณิตินพูดไม่ออก แม้แต่จะผลักอีกฝ่ายออกก็แทบไม่มีแรง เสียงตึกตักๆ บอกกับตัวเองได้ดีเลยว่า .............ฉิบหายแล้วไอ้เติร์กกกกกก!!!




...........................................



ออฟไลน์ รักเจ้าเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

เอกอีเอ๊กเอ๊ก......เสียงไก่ขันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ถ้ามันขันตัวเดียวไอ้เติร์กจะไม่ว่าเลย แต่นี่ไก่ชนของกำนันที่เลี้ยงอยู่หลังบ้านพากันขันต่อๆ กันจนถึงเช้า แล้วจะให้ไอ้เติร์กข่มตาหลับต่อได้ยังไง คิดดู แถมยังได้ยินคำพูดประโยคนั้นก้องอยู่ในหูทั้งคืนอีก กว่าหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง


คณิตินลุกมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนไรอัน ขณะแปรงไปก็นึกถึงความฝันเมื่อคืนไป เมื่อคืนเขาฝันว่าได้จูบกับใครสักคน จูบนั้นมันทั้งหวาน แล้วก็เหมือนจริงมาก ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมา จนมีแฟนคนแรก แล้วก็ลากยาวมาถึงตอนนี้ ไอ้เติร์กเชื่อได้เลยว่า จูบเมื่อคืนเป็นจูบที่ดีที่สุด แล้วก็เรียกร้องที่สุดเหมือนกัน หรือว่าเขาจะถูกหลักหลับอีกแล้ว? แต่ปากก็ไม่ได้ช้ำนะ งั้นก็แสดงว่าไม่ได้จูบกับใครจริงๆ หรือว่าจูบวะ??

คิดยังไงก็คิดไม่ตก คณิตินเลยรีบบ้วนปาก ล้างหน้าทำธุระส่วนตัวอะไรให้เสร็จ จากนั้นก็ลงมาช่วยลูกสาวกับเมียกำนันทำกับข้าว ความจริงก็ไม่มีอะไรให้ทำหรอก นอกจากไปอยู่ชวนเขาคุยซะมากกว่า

เช้านี้พี่ไกร สามีพี่แก้วจะออกไปเก็บส้มโอที่สวนด้วย ใจจริงไอ้เติร์กก็อยากไปกับเขานะ ถ้าไม่ติดว่าต้องกลับไปหาลูก ไอ้เติร์กคงจะขอตามไปด้วยแน่ๆ อยากไปเก็บผลมัน อยากไปชิมมันสดๆ ตรงนั้นเลย คงได้บรรยากาศดี

"ตื่นมาไม่ปลุกผมเลยนะ" เสียงหอมฟ๊อด

"เห๊ย!!" คณิตินรีบดีดตัวออกมาเพราะตกใจ พอเห็นคนทำแล้วก็โล่งอก นึกว่าแถวนี้จะมีโรคจินซะแล้ว

"มาหอมผมทำไมเนี๊ยะคุณ" คณิตินกระซิบ ส่วนไรอันยืนยิ้มแฉ่ง ถัดออกไปก็เห็นกำนันยืนยิ้ม แล้วยกนิ้วให้

คณิตินมองหน้านั่งตัวโตข้างๆ สลับกับกำนัน นี่คงไม่ใช่ว่าไรอันไปฟังคำแนะนำอะไรของกำนันมาอีกแล้วนะ ถึงได้ทำตัวแปลกๆ แบบนี้ แล้วนี่ก็อีกคนทำไมเชื่อคนง่ายนักก็ไม่รู้ ไอ้เติร์กไม่เข้าใจ

"กำนันบอกว่าถ้าชอบใครรักใคร ให้แสดงออกไปเลย เพราะคนบางคนเขาไม่รู้" คณิตินเอามือตบหน้าผากตัวเองอย่างจนปัญญา ยากจะหาคำใดมาตอบ เพราะตอบยังไงก็ต้องเข้าตัวเองอยู่วันยังค่ำ

"แล้วกำนันบอกอะไรคุณอีก ไหนลองว่ามาสิ"

"กำนันบอกว่า คนบางคนจะรู้สึกเขินเวลาถูกสารภาพรักหรือถูกแสดงความรัก แล้วคุณก็คือหนึ่งในนั้นที่เวลาเขินแล้วชอบแกล้งหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อน" คณิตินตาเหลือกกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมกำนันช่างเสี้ยมซะจริง รู้ก็รู้อยู่ว่าพ่อทิศของกำนันเขาไม่ใช่คนบ้านเรา แทนที่จะสอนสิ่งดีๆ ให้ ดันสอนอะไรให้ก็ไม่รู้

"หวานกันแต่เช้าเลยนะคู่นี้"

"ไม่..อื้ออออ" ก่อนที่จะได้แก้ต่างอะไร ตัวเขาเองก็ถูกลากออกมาข้างนอกแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ

"อะไรของคุณ อยู่ดีๆก็ปิดปาก แล้วลากคนอื่นออกมาแบบนี้"

"ก็คุณมองเมียคนอื่น พูดกับเมียของคนอื่นแล้วทำตาหวานเยิ้มใส่" คณิตินแทบจะลมจับเสียตรงนั้นเลย อะไรคือคำว่ามองเมียคนอื่นแล้วทำตาหวานเยิ้มใส่ เขาทันได้ทำตอนไหนกัน??

"มันใช่ที่ไหนล่ะ คนเขาคุยกันถูกคอก็ต้องคุยไปยิ้มไปสิ ใครจะหน้าตายแบบคุณกันล่ะ" อันนี้ไอ้เติร์กพาล ความจริงหลังๆ มานี่ไรอันก็ยิ้มขึ้นเยอะแล้ว แต่เขาไม่พอใจอะ อยู่ดีๆ มาทำให้เขาอับอายคนอื่นทำไม แล้วต่อไปกำนันไม่หาว่าเขากับไรอันเป็นอะไรถึงไหนต่อไปแล้วเหรอ คณิตินสบัดหน้าหนี เอามือกอดอก ใครจะว่าไงก็ช่าง ตินนี้ไอ้เติร์กกวุดหงิด ไอ้เติร์กงอน

"แล้วถ้าผมยิ้มให้คุณทุกวัน คุณจะรู้สึกดีกับผมมากขึ้นไหม" เดี๋ยวๆๆๆ เขาว่านี่มันคนละประเด็นกันไหมหรือยังไง ไอ้เติร์กงง

"ตอบสิ"

"ก็ๆๆ...ไม่รู้โว้ยยยย!!!" คณิตินกระทืบเท้า เดินจ้ำเอ้าขึ้นเรือนไป ถามอะไรแปลกๆ ถ้ายิ้มให้กันอย่างเดียวแล้วเขารู้สึกดีต่อกันเพิ่มขึ้น ป่านนี้คนทั้งโลกเขาก็ได้กันหมดแล้วไหม


---------------------



สายมาแล้ว คณิตินยังทำหน้าบูดอยู่ ไรอันเลยต้องระเห็ดไปอยู่กับกำนันแทน เพราะไม่กล้าสู้หน้าอีกคนเท่าไหร่ เขายังแปลกใจตัวเองอยู่เลยว่าอะไรทำให้เขาทำบ้าแบบนั้นออกไป มาคิดมาคิดไปแล้ว คงเป็นเพราะคำว่าหึงคำเดียวเลยที่ทำให้เขากล้าหอมแก้ม กล้าแสดงความเป็นเจ้าของแล้วก็ลากอีกคณิตินออกมาโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง

ไรอันมันเป็นคนบ้า บ้าแล้วก็โง่มากๆ ด้วย เขารู้แค่นี้แหละ ก็ตอนนั้นมันหึงนี่หว่า

"นี่พ่อทิศ ถ้าทะเลาะกันก็ไปง้อเขาสิ มัวมาถอนหายใจออก เห้อๆๆแบบนี้เขาก็ไม่หายงอนหรอก"

"พ่อกำนันว่าผมจะง้อยังไงดีครับ"

"เป็นยายแจ่มเมียข้าสมัยก่อนอะเหรอ คงจับมาฟัดอีกสักรอบ แล้วค่อยง้อทีหลัง เพราะแบบนี้นี่แหละ ข้าถึงมีลูกหลานเยอะแยะขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ แต่สำหรับแฟนเองข้าไม่รู้หรอกโว้ย มันคนละคนกัน เองไม่ลองไปคิดดูล่ะว่ามันมีจุดอ่อนที่ตรงไหน จะได้เอามาใช้ถูก"

"กรูกกรู๊ววววๆๆ" เสียงกำนันผิวปากตามนกเขาที่เลี้ยงไว้ แล้วเปิดกรงเอาอาหารให้

"เอ้าเอง เป็นอะไรไปอีก ทำไมไม่กินข้าว หรือว่าถูกพิษรักเข้ารุมเร้าอีกตัวอีกตัวแล้ว..มาๆ เดี๋ยวข้าหาเมียใหม่ให้เองนะ หรือว่าเองจะรอง้อเมียเอง แต่ข้าว่ามันคงไม่กลับมาแล้วล่ะ อย่าง้อเลย"  ไรอันส่ายหัวกับกำนัน แล้วลุกเดินเข้าไปในห้องที่นอนเมื่อคืน เห็นคณิตินกำลังเก็บของ

ไรอันหันมองซ้าย แลขวา ไม่รู้ตะเริ่มจากตรงไหนดี เลยได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ทำหน้าหงอยใส่

"เห้ออออออ"

"ตรวจดูของในกระเป๋าคุณสิว่าขาดอะไรอีกไหม สายแล้วจะได้กลับากที" สุดท้ายก็เป็นเขานี่แหละที่ใจอ่อน ยอมยกโทษให้ อะไรวะ ไม่ยุติธรรมเลย

คณิตินจัดอะไรเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่ไปลากำนันกับเมียแค่นั้นเอง เพราะตอนนี้ก็สายแล้ว ไอ้มะยมกินข้าวกินปลาเสร็จก็แต่งตัวไปโรงเรียน ส่วนพี่แก้วก็แต่งตัวตามสามีเข้าไปในสวน เห็นว่าวันนี้เขาจะมาเหมามะพร้าวแก่ไปทำกะทิด้วย เลยต้องไปเช้าหน่อย ปกติจะไปเกือบๆ เที่ยง เอาข้าวกลางวันไปส่งให้พี่ไกร

"พวกเราลาละนะครับพ่อกำนัน ขอบคุณนะครับสำหรับที่พักแล้วก็การต้อนรับที่อบอุ่นแบบนี้"

"อื้ม ไว้ว่างๆ ผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมคนแก่แถวนี้บ้างนะพวกเอ็ง แล้วก็นี่.." กำนันเอาชะลอมสานใส่ส้มโอกับมะพร้าวน้ำหอมให้ นอกจากนี้ยังมีข้าวเกรียบว่าวกับปลาทูแม่กลองที่เขาว่าหน้างอคอหักอีก ข้าให้พ่อไกรเตรียมไว้ให้แต่เช้าแล้ว แบ่งๆ กันไปกินบ้าง เหลือไว้ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีคนกินมันหรอก"

พวกเรารีบยกมือไหว้ไม่ทัน ไม่คิดว่ากำนันจะเตรียมของฝากให้กลับด้วย มาพักบ้านเขา กินนอนบ้านเขายังไม่พอ ยังหอบของเขากลับอีก

"แล้วก็นี่ข้าทำให้ไอ้แฝดลูกเอ็งสองคนด้วย บอกพวกมันว่าตากำนันฝากมาให้ ไว้ครั้งหน้าอยากได้ตัวโตกว่านี้ก็ให้มาเที่ยว ที่นี่ยินดีต้อนรับพวกเอ็งเสมอ" คณิตินรับเอาตั๊กแตนที่สานจากใบมะพร้าวมา ดูๆ แล้วตัวมันยังเขียวสดอยู่เลย แสดงว่ากำนันต้องตื่นมาทำให้ตั้งแต่เช้าแน่ๆ

"ขอบคุณครับพ่อกำนัน แค่นี้พวกเราก็ไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจพ่อกำนันแล้วครับ"

"เอาหน่า ขนๆ ไปเหอะ ข้าให้เพราะอยากให้ เพราะเห็นว่าพวกเอ็งเป็นลูกเป็นหลาน แต่ถ้าพวกเอ็งเกรงใจ ไว้คราวหน้าก็พาเจ้าแฝดมาเยี่ยมข้าสิ เห็นรูปมันเมื่อคืนแล้วก็อยากเห็นตัวเป็นๆ คงจะน่ารักน่าชัง แล้วก็ดื้อมากเลยสิท่า"

"ครับ ดื้อพอสมควรเลย เอาไว้ว่างๆ พวกเราจะพาสองแสบมาเยี่ยมนะครับ" ยกมือประณมไหว้ขอบคุณกำนันอีกครั้ง



--------------------



"ไหนวันนี้เวรใครให้อาหารเจ้าบัดดี้ครับเด็กๆ"

"ออสตินฮับ" เจ้าตัวยกมือขึ้น แล้วหยิบถุงอาหารที่แบ่งไว้ให้เป็นมื้อๆให้เจ้าบัดดี้ตัวแสบ

ความจริงผมกับไรอันกลับมาถึงบ้านเกือบสิบเอ็ดโมง เพราะรถติดมาก ไหนจะแวะซื้อของฝากอีก เดี๋ยวก็ว่าจะพาเด็กๆออกไปหาอะไรกินข้างนอกดีกว่า เป็นการปลอบใจที่จู่ๆ ป่าป๊ากับแดดดี้ก็หายไป

"งั้นก็เอาให้เลยครับ เดี๋ยวเราต้องจะออกไปกันแล้ว" พ่อหนูน้อยออสตินเทอาหารเม็ดใส่ถ้วยให้คู่หูส่วนน้ำของเก่ายังมีเหลืออยู่ เลยไม่ต้องให้แล้ว

"เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าตังค์ก่อนนะคุณ ฝากดูเด็กๆ ด้วย"

"นี่ลูกหมู อย่าเอาขนมให้มันบ่อยสิครับ หมามันกินขนมเยอะไม่ได้นะ เข้าใจไหม" เดี๋ยวนะไรอันเรียกลูกว่าลูกหมูงั้นเหรอ จะว่าน่ารักก็น่ารักนะ แต่แอสตัน กับออสตินไม่ได้อ้วนขนาดนั้นนะ จะเรียกชื่อลูกทั้งทีทำไมไม่เรียกให้มันเท่ห์ๆ หน่อยนะ

"แดดดี้ไม่เอา ออสตินไม่ใช่หมู"

"ใช่สิๆ ออสตินอ้วน เหมือนหมูเลย แล้วก็กินเยอะด้วย" แอสตันว่า

"ไม่ใช่!!"

"ใช่"

"ไม่ใช่"

"หยุดดดดดด ห้ามเถียงกันครับ ทั้งสองคนเลย"

"ไหนเถียงกันเรื่องอะไรครับบอกป่าป๊าสิ" คณิตินหันไปถาม แต่ก็ไม่มีใครตอบโดยเฉพาะออสตินที่กอดอกทำหน้ามุ่ยอยู่ตรงข้ามกับพี่ชายฝาแฝด

"ถ้าไม่มีใครบอก งั้นวันนี้กินข้าวกันสองคนนะ ป่าป๊ากับแดดดี้จะออกไปกินข้าวด้วยกันข้างนอก"

"ว่าไงครับแอสตัน ออสติน ไหนใครบอกว่าเป็นพี่น้องกันต้องรักกันไงครับ"

"ก็แอสตันว่า ว่าออสตินอ้วนเหมือนหมูฮับป่าป๊า"

"จริงไหมครับแอสตัน" เจ้าตัวพยักหน้าแบบไม่เกรงกลัวว่าจะถูกทำโทษเลยสักนิด ชักเริ่มดื้อละ

"ออสตินฟังป่าป๊านะครับ เด็กๆ วัยนี้เขาก็อ้วนจ้ำม่ำน่ารักกันทั้งนั้นครับ แต่พอโตขึ้นเราก็ออกกำลังกายเยอะๆ ไงครับ เดี๋ยวมันก็ผอมเอง ไม่เชื่อถามลองถามแดดดี้ดูสิครับว่าจริงไหม"

"อื้ม จริง ตอนเด็กๆ ป่าป๊าเขาก็อ้วนแบบนี้แหละ แต่พอโตมาก็อ้ว..โอ๊ย!!" คณิตินชูมือขึ้นบอกว่า 'ขืนพูดว่าเขาอ้วนอีกทีจะตีให้เนื้อเขียวเลยคอยดู'

"อะไรฮับแดดดี้"

"พอดีมดกัดครับ เดี๋ยวว่างๆ แดดดี้ว่าจะจัดการมันเอง เอาให้ดื้อไม่ออกเลย" คณิตินลูบหลังคอตัวเอง เพราะรู้สึกร้อนๆทหนาวๆ ยังไงชอบกล

"แล้วป่าป๊าอ้วนไหมฮับตอนเด็กๆ" ผมเห็นหน้าเจ้าหมูอ้วน เอ๊ย..ออสตินแล้วก็สงสารลูก ตัวเองชอบกินนั่นกินนี่ แต่ก็กลัวอ้วน เวรกรรม..เด็กอายุเท่านี้กลัวอ้วนแล้วเหรอ?

"ความจริง..ป่าป๊าก็ไม่อ้วนเท่าไหร่นะตอนเด็กๆ"
 ไรอันยักคิ้วถามว่า 'ใช่เหร๊อออออ ที่ว่าไม่อ้วนเท่าไหร่น่ะ' คิ้วไอ้เติร์กเลยยิ่งกระตุกคูณสองเข้าไปอีก รู้งี้ไม่น่าหายโกรธเรื่องที่บ้านกำนันเลยโว้ย

"เอารูปให้ลูกดูสิ จะได้รู้ว่าอ้วนไม่อ้วน" นี่ก็ขยี้จัง ไอ้เติร์กยอมรับก็ได้ว่าตอนเด็กๆ อ้วนแล้วก็อ้วนมากด้วยเหมือนพรีเซ็นเตอร์ซีอิ๊วขาวตาเด็กสมบูรณ์เลยพอใจยัง?

รู้งี้ไม่น่าเอาอัลบั้มรูปตัวเองตอนเด็กออกมาวางไว้ในห้องนั่งเล่นเลย พลาดไปแล้วจริงๆ

"ป่าป๊าว่าเรากลับมาที่หัวข้อเดิมไหม ส่วนเรื่องป่าป๊าเอาไว้เราค่อยไปคุยกันทีหลังเนอะ" คณิตินหันไปพยักหน้าขอความคิดเห็นกับเด็กๆ ซึ่งลูกเองก็พยักหน้าตอบตกลง จะมีก็แต่คนบางคนเท่านั้นแหละที่ยังยิ้มล้อเลียนอยู่

เกลียดจริงๆ โว๊ย ไอ้เติร์กเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ เพราะมันดูเหมือนตัวเขาตกเป็นเบี้ยล่าง สู้ยังไงก็สู้ไม่ไหว!! คอยดูเถอะสักวันไอ้เติร์กจะเอาคืนให้ได้ คอยดู

"สรุปคือ เด็กอายุเท่าแอสตัน กับออสติน ป่าป๊าว่าอ้วนนิดนึงก็กำลังดีเลยนะ ดีกว่าผอมเหมือนเด็กขาดสารอาหาร แต่ถ้าโตมาแล้วใครอยากหุ่นดีๆ ก็ค่อยออกกำลังกายเอา โอเคไหมครับ" เด็กสองคนพยักหน้า

"ส่วนแอสตันคราวหลังต้องไม่แซวน้องว่าอ้วนแล้วนะครับ มันไม่น่ารักเลยรู้ไหม ออสตินก็ด้วย อย่าขี้งอนให้มันมากรู้ไหมครับ เพราะผู้ชายเขาไม่ค่อยขี้งอนกัน" ไรอันยิ้มล้อเลียน เพราะความจริงเขาเองก็เพิ่งหายงอนเจ้าตัวไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง แหะๆ

อะไรวะ!! วันนี้ทำไมไอ้เติร์กแพ้ทัังขึ้นทั้งล่องตลอดเลยวะเนี๊ยะ!!!

"แล้วก็เรื่องให้ขนมน้องหมา ห้ามให้มันเยอะนะครับเด็กๆ"

"ทำไมล่ะฮับป่าป๊า" แอสตันถาม

"ก็เพราะว่า ถ้าเจ้าบัดดี้มันกินขนมเยอะ มันก็จะไม่สบาย แล้วก็ตายเอาได้ไงครับ"

"แล้วทำไมออสตินกินขนมเยอะแล้วไม่เป็นอะไรเลยล่ะฮับ" เอาอีกละ เดี๋ยวก็ได้งอนกันอีก

"เพราะว่า เจ้าบัดดี้มันตัวเล็กกว่าเรา ดังนั้นถ้าเราให้ขนมมันเยอะๆ มันก็จะเป็นเบาหวานตาย เด็กๆ รู้ไหมครับว่าในขนมมันมีน้ำตาล ถ้าคนกินหวานเยอะก็จะเป็นเบาหวาน ส่วนน้องหมา..ถ้ากินเยอะก็จะเป็นเบาหวานได้เหมือนกันไงครับ" สองแสบพากันฟังตาแป๋วเลย สงสัยจะไม่เข้าใจ

"เอางี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวป่าป๊าจะสรุปให้ฟังใหม่ คือถ้าเราให้ขนมน้องหมาเยอะเกินไป หรือบ่อยเกินไปจะทำให้น้องหมาไม่สบาย แล้วก็ตายโอเคไหมครับ ดังนั้นถ้าแอสตันกับออสตินอยากให้เจ้าบัดดี้มันอยู่กับเราไปนานๆ ก่อนจะให้ขนมมันแอสตัน กับออสตินต้องมาถามป่าป๊า หรือแดดดี้ก่อนนะครับว่าให้ได้ไหม โอเคไหมครับ"

"ฮับ/ฮับ"

จะว่าดีมันก็ดีนะครับที่ไรอันพูดเรื่องนี้กับเด็กๆ ขึ้นมา เพราะขืนเด็กๆ ยังเอาขนมให้หมาแบบนี้อีก ผมว่าวันข้างหน้าเจ้าบัดดี้มันต้องป่วยตายเพราะเบาหวานแน่ๆ ลองเปรียบเทียบดูนะครับ ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนเอง ตัวมันโตขึ้นมาก มากจนน่ากลัว เรียกได้ว่าโตไปพร้อมกับเจ้าของมันเลยทีเดียว จากน้องหมาก็เริ่มพัฒนา จนกลายร่างเป็นน้องหมูแล้ว 



--------------


"เด็กๆ ง่วงนอนกันรึยังครับ" แอสตัน กับออสตินพยักหน้า ปากก็หาวไปด้วย  เพราะตอนนี้มันเลยเวลาเข้านอนของเด็กมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้ว

คืนนี้สองแสบใส่ชุดนอนใหม่ลายลีลัคคุมะ ที่เป็นของฝากจากญี่ปุ่นของอาธันสุดหล่อ ฝากอากันย์มาให้เด็กๆ แล้วก็มีรองเท้ายี่ห้อดังฝากให้เขาด้วย จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ได้เจอเจ้าตัวเลยแหะ มีแต่ไลน์ที่ยังคุยกันบ้าง คอลหากันบ้าง แต่ก็นั่นแหละ งานเจ้าตัวก็ยุ่ง ต้องเข้าร่วมงานหนังสืออีกช่วงนี้ แถมบางครั้งโทรมาไอ้เติร์กก็ไม่ได้รับ เลยกลายเป็นว่าช่วงนี้เราแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย

"มาครับเดี๋ยวป่าป๊าห่มผ้าให้" ช่วงนี้เด็กๆ หัวถึงหมอนปุ๊บก็นอนปั๊บเลยโดยไม่ต้องเล่านิทาน สงสัยจะเหนื่อยจากที่โรงเรียนมาแล้ว เลยหลับง่ายกว่าปกติ

"แอสตันมีอะไรครับ มองหาใครเอ่ย"

"แล้วแดดดี้ล่ะฮับป่าป๊า"

"แดดดี้อยู่นี่ครับ" ไรอันโผล่มาพอดี "นอนได้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปบ้านคุณยาย" ไอ้เติร์กบอกกี่ครั้งแล้วว่าเด็กๆ เคยชินกับการเรียกว่าย่ามากกว่า นี่ก็เถียง จะให้เรียกว่าคุณยายให้ได้ มันจะอะไรนักหนากับแค่คำว่าย่ากับยายเนี๊ยะดูสิลูกสับสนหมด



"เด็กๆ หลับไปแล้วก็ออกไปสิคุณ" คณิตินปิดไฟหัวเตียง แล้วก็ออกมาข้างนอก "แล้วนั่นอะไร?" เมื่อกี้เดินเข้ามายังไม่เห็นมีเลย ใครเอาอะไรมาไว้ในห้อง

"คงไม่ใช่ว่าเปิดออกมาแล้วเป็นระเบิดหรอกนะ" ไรอันยิ้มมุมปากอย่างที่เจ้าตัวเคยทำเวลาถูกใจกับอะไรสักอย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขากำลังคิดว่า จะมีใครที่สร้างความหรรษาให้เขาได้อย่างคณิตินอีกไหม คนอะไรบทจะเต็มก็เต็ม แต่บทจะไม่เต็มก็ล้นออกมาจนไม่เหลือมาดคุณป๊าของเด็กๆเลย

"กระเป๋าเสื้อผ้า" ไรอันตอบ

"ของใคร"

"ของผมเอง"

"แล้วเอามาทำไม พรุ่งนี้โน่นเราจะออกเดินทาง"

"ก็ขี้เกียจขับรถมาตอนเช้า" คณิตินเบ้ปากทันที เพราะปกติก็ให้คนอื่นขับให้ตลอด แต่ก็เอาเหอะ ไหนๆ ก็ขนมาแล้วไง จะไล่กลับก็กระไรอยู่

"แล้วเอามาทำไมเยอะแยะ ไปแค่ไม่กี่วันเอง"

"ก็เอามาเผื่อไว้" คณิตินพยักหน้า "ผมไปอาบน้ำแล้วนะคุณ อย่ารื้อค้นห้องผมอะ" ไม่ใช่อะไร เขากลัวไรอันจะเจอหนังสือ FHM หรือไม่ก็อะไรอย่างอื่นที่ไอ้พวกเพื่อนบ้าของเขามันซื้อมาให้ต่างหาก พูดจบคณิตินก็หยิบผ้าเช็ดตัว เดินเข้าห้องน้ำไป

"แล้วไม่ออกกำลังกายเหรอ" เอ่อลืม นี่ถ้าไม่ทักก็ว่าจะผลัดมันไปก่อนแล้วนะเนี๊ยะ

"วันนี้มันดึกแล้วคุณไม่เห็นเหรอ ไว้ค่อยออกพรุ่งนี้ก็ได้เนอะ" พูดไปก็หาวไป วันนี้ไอ้เติร์กไม่ไหวแล้วจริงๆ หนังท้องมันตึง หนังตามันก็เริ่มหย่อนแล้วด้วย

"อ้วน!! แล้วก็ลงพุงด้วย" นี่ได้ยินแล้วถึงกับตื่นจากภวังค์เลยนะ "เอ่อใช่สิใครมันจะไปหุ่นดี หุ่นนายแบบอย่างพ่อคูณกันล่ะ" คณิตินบ่นขมุบขมิบคนเดียว

"แต่ถึงจะอ้วน ก็อ้วนน่ารักนะเว้ย ไม่งั้นคนแถวนี้จะอยากฟัดเหรอ"

"อื่ม ก็จริง" คณิตินทำหน้าเหวอ หลังจากตั้งสติได้ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

....อะไรวะคิดจะตอบก็ตอบกันแบบนี้เลยเหรอ ตรงชิบหายเลย.....

 พอปิดประตูลงกลอนเสร็จ คณิตินก็เอามือกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองอีกครั้ง เสียงก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจยังเต้นตึกตักๆ รัวๆ อยู่เลย

เป็นแบบนี้ไอ้เติร์กจะทำยังไงกับชีวิตดีวะเนี๊ยะ??? ใครก็ได้บอกที





----------------
TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 18:35:33 โดย รักเจ้าเอย »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แคดดี้แดดดี้เจ้าเล่ห์นะสิ

ออฟไลน์ Kuayyai

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เรื่องน่ารักดี เจ้าแฝดน่ารักมาก ชอบ


ออฟไลน์ jpjiraporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนรถเสีย กับ ตอนรถน้ำมันหมดนี่ เป็นแผนของไรอันหรือป่าวเนี่ย  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด