▲..ต้องโทษพระจันทร์☽..▼ #พี่ดีนน้องยาง || ตอนที่15 *24/09/18 [P3]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▲..ต้องโทษพระจันทร์☽..▼ #พี่ดีนน้องยาง || ตอนที่15 *24/09/18 [P3]  (อ่าน 13466 ครั้ง)

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
อ้างถึง

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

ต้องโทษพระจันทร์☽


IF THE MOON KNOW YOUR NAME
DONT BE SURPRISED
CAUSE , IM THE ONE WHO TALK ABOUT YOU
EVERY NIGHT.
.
.
.
.

ผมหน่ะ ทั้งชีวิตก็อยู่แต่บ้านสวน หันไปทางไหนก็เจอแต่ป่ายาง ภูเขา
จะถามหาความเจริญต้องนู้นนน ขี่รถเข้าไปในเมืองเกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะเจอร้านสะดวกซื้อสักแห่ง
อินเตอร์เน็ตก็พึ่งจะเข้าถึงเมื่อเกือบสองปีก่อนนี่เอง
ถ้ามีโอกาส...ผมก็อยากไปเรียนกรุงเทพนะ
ที่นั่นคนหน้าตาดีเยอะแยะไปหมด
ผมอยากไปลองใช้ชีวิตในเมืองใหญ่แบบนั้นดูบ้าง
เคยเห็นพวกเน็ตไอดอลเขาลงภาพกัน
ชีวิตดูดี๊ดี เนอะ

.
.
.
.

#พี่ดีนน้องยาง



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2018 00:22:07 โดย เช้าวันพุธ »

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนที่ 1:ลอยกระทงกับซุ้มสอยดาว


บรรยากาศอึมครึมจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบ้านเรือนไทยยกใต้ถุนสูงที่รายล้อมไปด้วยต้นเงาะ มังคุด

แสงแดดไม่สามารถลอดผ่านกลุ่มก้อนเมฆหนาทึบส่งผลให้ภายในห้องนอนที่แม้จะเปิดหน้าต่างไม้ทิ้งไว้ ก็ไม่ทำให้ภายห้องมีแสงสว่างเพียงพอต่อสายตา

ผมเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ จัดการเช็คสัมภาระที่จะพกติดตัวขึ้นกรุงเทพอีกครั้ง แล้วจึงพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่พี่ชายคนโตจะมาเคาะประตูเรียกเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทาง

วันนี้ผมมีนัดกับกลุ่มเพื่อนอีกสามคนที่สนามบินประจำจังหวัดเพื่อเดินทางไปสมัครเรียนพิเศษติวเข้มก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เด็กต่างจังหวัดก็เป็นเช่นนี้แหละครับ จะให้หาความเจริญเทียบเท่ากับเด็กเมืองกรุงเห็นทีจะยาก ถ้าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ นอกจากอาศัยความเพียรในการตะบี้ตะบันอ่านหนังสือด้วยตัวเองแล้ว การไปเรียนติวเตอร์ก็ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ผมมั่นใจสำหรับการสอบแข่งขันครั้งสำคัญนี้


จริงๆแล้วจังหวัดที่ผมอยู่ก็มีมหาลัยรัฐบาลประจำภาคใต้ตั้งอยู่ แต่เป็นเพราะคณะที่ผมอยากศึกษาต่อไม่เปิดสอนในวิทยาเขตนี้ และที่สำคัญ ผมหน่ะมีความใฝ่ฝันอยากไปใช้ชีวิตในเมืองศิวิไลซ์ เพราะสิ่งที่เห็นชินตามาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีแต่ป่า เขา ต้นเงาะ ต้นมังคุด ป่ายาง สวนปาล์ม คนงาน รถถีบคันเก่าๆ ชาวบ้านนุ่งผ้าถุงขี่รถเครื่อง ตลาดนัดเช้าทุกวันพุธและเสาร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเชิงเขา เสียงจิ้งหรีด ถนนโล่งๆที่นานๆทีจะมีรถขับผ่านมา ร้านสะดวกซื้อก็ถูกแทนที่ด้วยรถขายของเร่ที่ส่งเสียงดังมาแต่ไกล


บ้านสวนของผมความเจริญพึ่งเข้ามาถึงเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าแม้แต่สัญญาณทีวียังต้องจูนทุกครั้งที่เปลี่ยนช่อง บางครั้งถึงขั้นต้องตบตีโทรทัศน์อยู่สองสามครั้งก่อนภาพหน้าจอจะปรากฏ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ผมใช้วิธีนี้ทุกครั้งเวลาที่นึกฉุนเจ้าตู้สี่เหลี่ยมนั่น


แต่ในเวลานี้ถือว่าเจริญขึ้นมากโข เพราะนอกจากจะไม่ต้องใช้หนวดกุ้งในการรับสัญญาณโทรทัศน์แล้ว บ้านเรือนไทยหลังนี้ยังมีwifi ให้ใช้อีกต่างหาก และตั้งแต่ที่ผมรู้จักโลกไร้พรมแดนอย่างอินเตอร์เน็ตก็ทำให้ความฝันเล็กๆผุดขึ้นในใจว่าอยากจะไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างพวกเน็ตไอดอลหรือหนุ่มสาวหน้าตาดีที่ดูมีชีวิตสวยหรูเหล่านั้น


ไม่ใช่ว่าผมเบื่อชีวิตบ้านนอกแบบนี้หรอกนะครับ อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ผมเองก็รักบ้านเกิดและภูมิใจในสายเลือดตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็เท่านั้น   




“ไอ้ยาง เสร็จหรือยังวะ ประเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” เสียงตะโกนเรียกจากหน้าห้องพร้อมกับแรงเคาะประตูสองสามครั้งจากพี่ชายเป็นสัญญาณให้ผมกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปส่องกระจกสำรวจหน้าตาอีกครั้ง ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเดินทางเตรียมตัวออกจากห้อง

“มาแล้วจ้า มาแล้ว” ผมส่งเสียงนำไปก่อนจะคว้าเอาสัมภาระใบเขื่อนขึ้นสะพายหลัง เปิดประตูห้องวิ่งหางกระดิกตรงไปยังโถงกลางบ้าน

“กินข้าวก่อนลูกยาง ป้าเพ็ญคั่วหมูสามชั้นกับทำใบเหลียงผัดไข่ให้แล้ว” คุณป้าวัย60 ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อของผม เอ่ยขึ้นหลังจากที่หันมาเจอผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆพี่ชายที่กำลังจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร

“ให้มันกินแต่สามชั้นเดี๋ยวก็เส้นเลือดอุดตันตาย บอกให้ออกกำลังกายบ้างก็ไม่ยอม ดูตัวมันสิป้าเพ็ญอ้อนแอ้นไม่สมเป็นชาย” พี่ปาล์มทำหน้าเหม็นเบื่อ

“น้องไม่อ้วนเสียหน่อย ลูกปาล์มก็ไปว่าน้อง” ใช่แล้วครับป้าเพ็ญ หุ่นแบบยางเขาไม่เรียกอ้วน พี่ปาล์มแม่งใส่ร้าย

“ป้าเพ็ญพูดถูกยางไม่อ้วน ไม่เห็นต้องออกกำลังกายเลย ไม่ได้อยากมีกล้าม” ผมเบาะปาก

“กูรู้ว่าตุ๊ดอย่างมึงไม่อย่างมีกล้าม แต่สุขภาพหน่ะดูแลหน่อย” ไอ้พี่ปาล์ม ปากเสียอีกแล้ว!!

“ลูกปาล์ม!! ทำไมไปเรียกน้องแบบนั้น”

“ป้าเพ็ญดูพี่ปาล์มว่าน้ำยางอีกแล้ว ยางไม่ได้เป็นตุ๊ด แค่ไม่ชอบผู้หญิงไม่ได้อย่างเป็นผู้หญิงเสียหน่อย”

“กูก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน” พี่ชายไหวไหล่ก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้า

“อ้ะ แดกเข้าไปเยอะๆ สามชั้นมันๆของโปรดมึงเนี้ย แล้วก็เคี้ยวเร็วๆอย่าช้าต้องขับรถไปอีกเกือบชั่วโมง มึงจะตกเครื่องเอา” ปากว่าแต่มือก็เอื้อมไปตักของโปรดให้ผม เพราะผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี ถึงไม่เคยนึกเคืองหรือโกธรเจ้าตัวเลยสักครั้งที่ปากมอม






            ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่เพราะพ่อผมมีลูกหลายคนหรือมีบ้านเล็กบ้านน้อยหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะพ่อมีพี่น้องหลายคน จริงๆแล้วบ้านที่ผมอาศัยอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่บ้านเดิมของพ่อ เพียงแต่ปลูกอยู่ในบริเวณพื้นที่ของคุณปู่ที่กินเนื้อที่กว่าร้อยไร่ เดิมทีคุณปู่เป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองที่ผันตัวมาเป็นชาวสวนยางก่อนวัยเกษียณ บ้านเดิมของพ่อคือเรือนไทยหลังใหญ่อายุร้อยปีซึ่งตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้าของสวนแห่งนี้ ทุกครั้งที่เข้าออกจะต้องผ่านบริเวณเรือนของคุณปู่เสมอ

ถึงแม้จะเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ก็มีแค่ครอบครัวของผมและคุณปู่ที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆของพ่อ แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวในอำเภอหรือจังหวัดอื่น จะมีก็แต่ป้าเพ็ญที่ย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเองหลังจากที่ลูกๆแยกย้ายกันไปมีครอบครัว ในเมื่อคู่ชีวิตได้จากไป ตัวเองก็หมดห่วงเรื่องลูกๆจึงกลับมาดูแลพ่อแม่และน้องสาวผู้ไม่สมประกอบอย่างป้านวล


พ่อเล่าว่าตอนเด็กๆป้านวลเป็นคนสวยและเรียนดี เป็นหัวโจกในกลุ่มเด็กผู้ชายวัยเดียวกันที่ทโมนเล่นปีนป่ายต้นไม้ แต่เคราะห์ร้ายจมน้ำระหว่างที่เล่นน้ำในลำธารกับลูกๆคนงาน นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ร้ายแรงถึงขั้นชีวิต แต่เพราะหมดสติและสมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะหนึ่งทำให้ป้านวลต้องกลายเป็นคนเชื่องช้าและปากเบี้ยว และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ป้านวลต้องหยุดเรียนอย่างถาวร อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน มีคุณย่าคอยดูแลและสอนงานบ้านงานเรือนให้ทำ ซึ่งป้านวลก็ทำได้ดีและมีความสุขกับชีวิตในทุกวัน



“ปู่จ๋า ย่าจ๋า ยางไปกรุงเทพก่อนนะจ้ะ” ผมให้พี่ชายจอดหน้าบ้านคุณปู่ เพื่อแวะบอกลาท่าน มองหาพ่อตัวเองอยู่ยกใหญ่แต่ได้คำตอบจากคุณย่าว่าพ่อออกไปรับปุ๋ยจากโรงงานในอีกอำเภอ

“รักษาตัวนะไอ้หนูเอ้ย ถึงแล้วส่งข่าวมาบอกทางนี้ให้หายข้องใจด้วย” คุณปู่เอ่ยพร้อมกับลูบหัวผม

“ลูกยางจะไปไหน๋” ป้านวลเอ่ยถามมาเป็นภาษาถิ่น

“ยางจะขึ้นไปกรุงเทพจ้ะป้านวล”

ถึงแม้ว่าจะเกิดและเติบโตที่นี่ แต่ผมและพี่ชายไม่มีใครพูดภาษาถิ่นเลย เพียงแต่ฟังเข้าใจและใช้คำถิ่นในบ้างครั้ง คงเป็นเพราะที่โรงเรียนเพื่อนๆไม่มีใครพูดภาษาใต้กัน การเรียนการสอนในทุกวันคุณครูก็ใช้ภาษากลางในการสื่อสาร จะมีก็แต่เวลาที่ผู้ใหญ่ในบ้านพูดคุยกันก็มักจะใช้ภาษาท้องถิ่น แต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะพูดภาษากลางได้ชัดเจนนะครับ แถวบ้านผมหน่ะ เขาเรียกว่าภาษาทองแดงแหลงไทยไม่ชับ

“หลบมาต่อไหร่”

“อาทิตย์หน้าครับ ยางไปก่อนนะป้านวล” ผมเอ่ยบอกนวลก่อนหันไปหอมแก้มแกฟอดใหญ่ หลังจากได้ยินเสียงพี่ชายตะโกนเร่งดังมาจากข้างล่างเรือน
 




.
.
.
.
.
.





ท่าอากาศยานดอนเมือง



            “แค่สนามบินก็คนเยอะกว่าบ้านเราแล้วนิ กูพึ่งเคยมาที่นี่หนแรกเลย”  ไอ้สนกระชับกระเป๋าสะพานหลังของมันให้เข้าที่ ออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด การเดินทางในครั้งนี้มีสมาชิกทั้งหมด 3 คน ประกอบไปด้วย ผม สนธยา และ ตรีจักร และแน่นอนทั้งหมดนี้เป็นเหมือนผม

เอ่อออ…

คงทราบรสนิยมของผมกันแล้วใช่มั้ยครับ แฮ่

เวลารวมทีมด้วยกันทีไรพี่ปาล์มมักจะเรียกพวกเราว่า แก๊งตุ๊ดหัวโบก หึ๋ยยยย มันน่าเตะผ่าหมากพี่ชายตัวเองหนัก!!  ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตุ้งติ้งแต๋วแตกอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่สำหรับเพื่อนผมอีกสองคนหรอกนะครับ นั่นหน่ะ ทาแป้งจนหน้าเทาทุกวัน


ในกลุ่มนี้มีแค่ผมและตรีเท่านั้นที่เคยเยือนกรุงเทพมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะชำนาญเส้นทางในเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้นัก แต่ยังโชคดีที่พี่สาวของตรีเรียนอยู่ที่นี่ เลยเป็นธุระจัดการจองที่พักและแนะนำการเดินทางให้พวกเรา ก่อนอื่นเราต้องเรียกแท็กซี่เข้าโรงแรมก่อน รอจนกระทั่งพี่สาวของตรีเลิกเรียนในช่วงบ่าย เจ้าตัวจึงมารับพวกเราไปเที่ยวงานลอยกระทงในมหาลัยที่เธอเรียนอยู่ พรุ่งนี้พวกผมค่อยไปสมัครเรียนพิเศษแถวพญาไทกันครับ

บรรยากาศครึกครื้นแตกต่างจากงานลอยกระทงตามงานวัดในจังหวัดบ้านเกิดอยู่มาก พวกเราทั้งหมดตื่นเต้นกับของกินมากมายที่เหล่านักศึกษาหรือประชาชนทั่วไปนำมาออกร้านขายของ ไหนจะเหล่านักศึกษาหน้าตาดีที่เดินผ่านไปผ่านมาจนพวกเราสะกิดและจิกแขนเพื่อนกันจนเหนื่อย ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเราจะได้พักหายใจหายคอกับความเบิกบานตรงหน้าได้เลย ถ้าให้เปรียบเทียบหน้าตาของคนที่นี่แล้ว ถ้าเดินเรียงหน้ากระดาษมา 10 คน จะมีคนหน้าตาดีผ่านเข้ารอบไปสัก 8 คน แต่ถ้าเป็นที่โรงเรียนผมหน่ะหรอครับ เดินมา10 มีโผล่มาสักคนนี่ถือว่าของแรร์เลยครับ ต้องเป็นคนดังประจำโรงเรียนแน่ๆ



“ไอ้เหี้ยมึงแลคนนั้น เสื้อขาว 2 นาฬิกา” ไอ้สนที่เดินอยู่ข้างๆสะกิดแขนผมยิกๆให้หันไปมองเป้าหมาย

“เขามากับเมีย มึงไม่เห็นหรอ” ผมหันไปมองตามทิศทางที่เพื่อนบอก

“ปากเสียพูดเรื่องเมียทำไม กูให้มองของดี ไม่ใช่ให้มองแมลงหวี่แมลงวัน” ไอ้สนสะบัดเสียงอย่างอารมณ์เสีย

“อยากไปลองสอยดาวกันมั้ยเด็กๆ ซุ้มข้างหน้านี้เอง เสร็จแล้วเราไปซื้อกระทงแล้วไปลอยกัน” พี่ตอง พี่สาวของตรีจักร เป็นสาวสวยผิวสีน้ำผึ้งหน้าคมคายตามแบบฉบับคนทางใต้ เอ่ยชวนพวกเราหลังจากที่เดินเล่นหาของกินได้สักพัก

ซุ้มสอยดาวคงเป็นซุ้มจากทางมหาลัยเพราะสมาชิกประจำซุ้มแห่งนี้แต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา ยืนกันเต็มหน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้า และที่สำคัญ ผู้ชายยกแก๊ง!!

ไอ้สนกับไอ้ตรีเดินนำหน้าผมไปหยุดอยู่หน้าซุ้มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้ผมยืนงงๆอยู่กับน้ำแข็งหลอดสีแดงก่อนจะเดินตามพวกมันไป

“สวัสดีครับน้องๆ สนใจสอยดาวกับพวกพี่ๆมั้ยครับ ใบละ20บาทเองนะ” พี่ชายคนหล่อที่ยืนอยู่หน้าซุ้มเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มสดใส

“ถ้าอยากสอยเดือนใบเท่าไรครับ” โอ้โห้ ไอ้สนมึง

“แหน่ะๆ มาถูกแหล่งแล้วครับคนสวย รางวัลใหญ่ของเราไม่มีแค่จักรยานนะครับ แต่มีรางวัลลอยกระทงร่วมกับเดือนสุดหล่อด้วย” พี่ชายคนหล่อแต่ไม่ค่อยตรงสเป๊กผมเท่าไรเอ่ยโฆษณาอย่างออกรส

“แต่สอยเดือนอาจจะได้ยากหน่อยนะครับเพราะรางวัลใหญ่ที่แถมเดือนมีอยู่ใบเดียว” พี่คนนั้นยังคงยิ้มหว่านเสน่ห์ให้พวกเรา

“ของดูเดือนก่อนได้มั้ยครับ จะได้รู้ว่าคุ้มที่จะเสี่ยงหรือเปล่า” ไอ้ตรีครับ ผมเห็นมันหางกระดิก เลยได้แต่มองบนให้เพื่อนทั้งสองที่ยืนบิดไปมาเป็นเลขแปด ท่าทางประจำเวลาเจอคนหล่อ ต่อให้ผมมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันเหมือนพวกมันทั้งคู่แล้ว แต่ผมเป็นคนที่แทบไม่ออกอาการอะไรเลยถ้าเทียบกับสองคนนั้น แต่ถ้ามีใครรู้ถึงรสนิยมของผมก็คงไม่แปลกใจเท่าไร ต้องโทษรูปร่างผมเลยครับ

“นู้นไงครับ คนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่กับกองตุ๊กตาหมี”
ผมหันไปมองตามที่พี่ชายคนนั้นบอก ก่อนที่ความบังเอิญจะทำให้หัวใจของผมกระตุกหลังจากที่สบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้น

“ไอ้ตรี ซื้อให้กูใบนึง” ผมสะกิดแขนเพื่อนข้างๆอย่างอัตโนมัติ

ตอนแรกผมไม่ได้คิดอยากเล่นกับพวกมันเลยนะครับ เพราะตัวเองไม่ใช่คนที่มีดวงกับการเสี่ยงโชค แต่เพราะพี่ชายคนหล่อที่เป็นเดือนคนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนใจ ลองสักหน่อยวะ ลงทุนยี่สิบบาท

“ถูกใจมึงล่ะสิ ตาวิ้งเลยนะน้องน้ำยาง”

“น้องตัวเล็ก ปากแดงคนนั้น เอาด้วยมั้ยครับ” เอ่อ หมายถึงผมหรอพี่?

พี่คนเดิมที่เอ่ยคำโฆษณาหันมาถามผมหลังจากที่ยื่นกล่องให้ไอ้ตรีกับไอ้สนล้วงไข่กันไปแล้ว

“เอาใบนึงครับ” ผมเอ่ยอ้อมแอ้มก้มหน้าหลบสายตาพี่เขา เห็นแบบนี้ผมก็ขี้อายนะครับ ยิ่งที่นี่ไม่ใช่บ้านนอกที่ผมคุ้นเคยด้วย กลัวจะหลุดทำอะไรเปิ่นๆออกไปให้อายตัวเอง ถึงแม้พี่คนนี้จะไม่ใช่คนที่ทำให้ผมใจกระตุกเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แต่ผมก็แพ้คนหล่อทุกประเภทนั่นแหละครับ อย่าเอาหน้ามาใกล้แบบนี้สิว้อยย

“ยินดีด้วยครับ น้องจับได้กระทง ไอ้ดีนมึงมานี่เลย ขายออกแล้ว” พี่ชายคนนั้นส่งยิ้มปาดใจมาให้หลังจากที่ผมยื่นไข่ที่จับขึ้นมาได้ ไปให้พี่เขาเปิดดูตัวเลขข้างใน แล้วนั่นอะไร ทำไมหันไปเรียกพี่ชายคนนั้น



เหยดเข้



พี่ชายคนหล่อเดินหน้ายุ่งพร้อมกระทงในมือมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ไปเลยมั้ย” พี่เขาเอ่ยถามผม หน้าตาดูไม่ได้อยากชวนสักเท่าไร มองไกลๆว่าหน้าดุแล้ว มายืนอยู่ตรงหน้าผมแทบหายใจไม่ทั่วท้อง

“อะ เอ่ออ..ไปไหนครับ”

“ลอยกระทงไง นายจับได้รางวัลบ้าบอนี่”

นี่จับได้กระทง แถมคู่ขา เห้ยยย แถมเพื่อนลอยกระทงด้วยหรอครับ
 
“ปะ ไปก็ได้ครับ” ใครจะเชื่อ คนไร้ดวงแบบผมก็มีแต้มบุญกับเขาเหมือนกัน แถมยังหงายการ์ดออกมาได้ตรงเวลาเสียด้วย

หลังจากที่ผมตอบตกลง พี่เขาก็ออกตัวเดินนำไปอย่างไม่คิดจะรอผมเลยสักนิด ผมได้แต่เงอะงะทำตัวไม่ถูก แล้วต้องทำยังไงอ่ะ
แล้วเพื่อนผมล่ะ
แล้วนั่นจะรีบเดินไปไหนพี่ เขามีหมดเวลาลอยกระทงด้วยหรอ
ทำไมรีบขนาดนั้น คนก็เยอะ รอผมก่อนสิวะ

“ไอ้ยางงงงง มึงรีบตามเขาไปสิโว้ย” ไอ้สนผลักไหล่ผมให้รีบเดินตามพี่เขาไป

“แล้วพวกมึงล่ะ” ผมยังคงหันรีหันรอ มองตามแผ่นหลังพี่คนหล่อที่เริ่มถูกกลืนหายไปกับฝูงชน

“มึงไปก่อน เสร็จแล้วโทรหากู”

“เออๆๆ” ผมรับปากเพื่อนก่อนจะรีบวิ่งตามพี่เขาไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมงงไปหมดแล้วครับ

แล้วนั่นพี่เขาหายไปไหนแล้วอ่ะ จะไปยิกควายที่ไหนครับพี่ นี่ถ้าไม่หล่อ ไอ้ยางคนนี้ไม่วิ่งตามหรอกนะ

“พี่ครับ พี่” ผมตะโกนเรียกพี่เขาเสียงดังหลังจากที่มองเห็นแผ่นหลังนั้นไกลๆ

“พี่ชายครับ รอผมด้วย” คนก็เยอะ ผมวิ่งชนชาวบ้านเขาไปทั่วแล้ว

“พี่คร้าบบบ โอ้ยย” บทจะหยุดก็หยุดดื้อๆแบบนี้ได้ด้วย ผมบ่นในใจหลังจากที่หน้าผม ชนเข้ากลับแผ่นของพี่เขาเข้าอย่างจัง จมูกจมหายเป็นท่านลอร์ด วอเดอมอร์ไปหรือยังวะ

“เสียงดังทำไม คนมองหมดแล้ว” พี่คนหล่อหันมาดุผม ใบหน้ายังไร้อารมณ์เหมือนเดิม

“ก็พี่เดินเร็วผมกลัวตามไม่ทันอ่ะ ผมพึ่งเคยมาที่นี่ เกิดหลงขึ้นมาก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าเขาลอยกระทงกันที่ไหน” ผมเอ่ยบอกพี่เขาไปตามความจริง เพราะถ้าเกิดหลงขึ้นมา กลายเป็นผมลอยเคว้งคว้างท่ามกลางคลื่นมนุษย์ในนี้เลยนะครับ

“มานี่ รีบลอยจะได้จบๆ” พี่คนหล่อคว้าเอาแขนผมไปจับก่อนจะลาก

ใช่ครับ

ลาก!!! ให้ผมเดินตามเขาไป

ขาพี่แกก็ย๊าวยาววว ส่วนขาผมนี่ก็กะทัดรัดครับ กว่าจะเดินมาถึงจุดที่ให้ลอยกระทง ผมก็หอบหนักจนลืมมโนถึงความโรแมนติกที่พี่แกจับแขนผมไปเลย

“เอ้า อธิษฐาน” พี่คนหล่อยืนกระทงมาให้ผม หลังจากที่เรานั่งยองๆอยู่ริมสระน้ำจุดที่คนไม่หนาแน่น

“พี่ตัดเล็บกับผมใส่ลงไปแล้วหรอครับ”

“ทำไมต้องตัด”

“ก็เขาให้ตัดใส่ลงไป เป็นการลอยเอาสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตเราไงครับ”

“น้องทำเถอะ” พี่เขาเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ถูกบังคับมาแหงๆ หน้าบูดเป็นตูดแบบนี้ แต่ก็ยังหล่อนะ ฮิฮิ

“ผมมีกรรไกรตัดเล็บ” ไหนๆวันนี้ก็ตั้งใจจะมาลอยกระทง เลยพกติดตัวมาด้วย ผมตั้งใจโฟกัสไปที่นิ้วของตัวเองเพราะแสงตรงนี้มีไม่พอให้มองอะไรได้ชัดเจน หลังจากตัดเล็บที่นิ้วก้อยออกมาแล้วจึงหย่อนลงไปในกระทงใบเล็กตรงหน้า

“เอ่อ…พี่ครับ ผมมองผมตัวเองไม่เห็น พี่ช่วยตัดให้ผมทีได้ไหม” ผมทำใจกล้าเอ่ยขอพี่คนหล่อไป หัวผมเกือบเกรียนเลยครับ แล้วการที่จะใช้กรรไกรตัดเล็บตัดผมเกรียนๆนี่ยากมาก

พี่เขาถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะคว้าเอากรรไกรตัดเล็บในมือผมไป

“ก้มหัวมา”

ผมยิ้มกว้างเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะยอมง่ายๆโดยไม่ต้องเอ่ยขออีกครั้ง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พี่คนหล่ออีกนิด แล้วมุดหัวไปตรงหน้าพี่เขา

ดีนะที่เมื่อเช้าผมสระผมก่อนออกจากบ้าน หวังว่าจะไม่มีกลิ่นเหงื่อหึ่งออกมานะ

ต่อให้หัวเกรียนขนาดไหนเรื่องกลิ่นก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อครับ

พี่คนหล่อดึงเส้นผมของผมขึ้นจนรู้สึกคันหนังหัวยิบๆ พี่เขาไม่ได้อ่อนโยนกับผมเลยสักนิด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็นำเศษผมที่ตัดมาแล้วใส่ลงไปในกระทง ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปรับกรรไกรตัดเล็บคืน

“ผมตัดให้พี่บ้าง” ผมเอ่ยบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมือไหว้พี่เขาหนึ่งครั้ง แล้วยกตัวขึ้นนั่งคุกเข่าเพิ่มระดับความสูงให้ตัวเองตัดผมให้พี่เขาถนัดมือ

“เห้ยๆ ไม่ต้อง” พี่คนหล่อดันตัวหนี แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ จะลอยกระทงทั้งทีต้องทำให้ครบตามประเพณีดิพี่

“เฉยๆหน่า ผมตัดนิดเดียว รับรองไม่แหว่ง” ผมจับหัวพี่เขาให้อยู่นิ่ง ไหนๆก็ยกมือไหว้ขอโทษไปแล้ว ขอลามปามหน่อยแล้วกัน ก่อนใช้กรรไกรตัดเล็บเล็มเอาเส้นผมออกมาหน่อยนึง

“นี่ไง นิดเดียวเองครับ” ผมยิ้มกว้างโชว์หลักฐานให้พี่เขาดู เจ้าตัวมองกลับมาด้วยสายตาคาดโทษแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

“ตัดเล็บด้วยครับ” ผมหันไปคว้ามือพี่เขาไว้หลังจากจัดการหย่อนเอาเศษผมลงในกระทง

“ไม่ต้อง”

“ต้องตัดเล็บด้วยครับพี่”

“เดี๋ยวตัดเอง” ถึงน้ำเสียงพี่แกจะหงุดหงิดแต่ก็ยอมคว้ากรรไกรตัดเล็บไปตัดเอง

ผมยิ้มเมื่อพี่เขายอมทำตามที่บอก รู้สึกถึงบรรยากาศมุ้งมิ้งขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ

“อธิษฐานด้วยครับ” ผมส่งกระทงให้พี่เขาหลังจากที่ตัวเองยกขึ้นท่วมหัวเพื่อขอพร

“หึ มึงนี่มัน ก็ว่าจะไม่พูดคำหยาบกับคนที่ไม่รู้จักแล้วนะ แต่ขอหน่อยเหอะ แม่กูยังไม่จุ้นจ้านกับกูเท่ามึงเลย”

ผมชะงัก มองหน้าพี่เขาพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ นี่ด่าหรือด่าเนี้ย เหอะๆ แทบสะอึกเลยครับ

“แหะๆ พี่ชายก็ ลอยกระทงหนึ่งปีมีครั้งเดียวเองนะครับ”

“เออ เอามาเร็วๆ” พี่คนหล่อเอ่ยตัดรำคาญ แล้วคว้าเอากระทงไปเถิดหัว พึมพำอยู่สองสามคำก็ตวัดสายตาคมมาจ้องผมเหมือนถามว่า พอใจมึงหรือยัง ไอ้เด็กเวร

“งั้นลอยกันเลยนะครับนะ” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนหันไปประคองกระทงร่วมกับพี่เขา แล้วค่อยๆหย่อนมันลงผิวน้ำ แล้วควักน้ำนิดๆเพื่อส่งกระทงอันน้อยลอยออกจากตลิ่ง

เมื่อเห็นว่ากระทงของตัวเองเริ่มลอยห่างออกไปไม่กลับมายังฝั่ง ผมก็หันมายิ้มให้พี่เขาอย่างมีความสุข ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเข้าร่วมประเพณีทุกอย่างที่บ้านเรามี ทั้งสงกานต์ ลอยกระทง ปีใหม่ คริสมาสต์ วาเลนไทน์  ทอดกฐิน ชิงเปรต ผมทำหมดแหละครับ

พี่ชายคนหล่อเองก็มองตามกระทงใบนั้นที่ค่อยๆลอยออกไปจากฝั่งก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งด้วยความบังเอิญ เราหลุดเข้าไปในดวงตาของกันและกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่พี่เขาจะยันตัวขึ้นในขณะที่ผมยังนั่งยองๆ มองตามร่างสูงที่เคลื่อนไหว

“ไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อนครับพี่” ผมรีบลุกขึ้นยืน แล้วเรียกพี่เขาไว้ เจ้าตัวหยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะหันมาทางผม

“พี่ชื่ออะไรหรอครับ”

“คงไม่ได้เจอกันอีก ไม่ต้องรู้หรอก ไปล่ะ”

ผมอ้ำอึ้งเอ่ยอะไรไม่ออกอีกเลย ใจก็อยากจะรั้งพี่เขาไว้อีกนิด แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกปฏิเสธขนาดนี้แล้วก็ได้แต่ปล่อยเลยผ่านไป

คิดเสียว่าอย่างน้อยๆ โลกก็เหวี่ยงพี่เขาให้มาใช้เวลาร่วมกับผมแล้ว

ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆที่คนบนฟ้าลิขิตไว้ในวันนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่เหลือผมลิขิตเองก็ได้ฮ่ะ คุณพระจันทร์บนฟ้า
 


.
.
.
.
.
 


 
“พวกมึง กูเปลี่ยนใจสอบเข้าที่นี่ดีกว่าหว่ะ” ผมเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองคน หลังจากที่เดินกลับมาเจอพวกมันอีกครั้ง

 “เพ้อเจ้ออะไรของมึงอิยาง หรือเดินสะดุดอะไรเข้าถึงทำให้เปลี่ยนความคิด”

“กูสะดุดเดือนที่นี่เข้าให้แล้วหวะ”   






Tbc.

แฮ่~~ สวัสดีค่ะ มือใหมหัดเดินสุดๆเลย
ไม่ชินกับการจัดหน้าเลยค่ะ แฮ่
ไม่แน่ใจว่าอ่านยากหรือป่าว ถ้ายังมีคำผิดหลงเหลืออยู่ต้องขอโทษด้วยค่าา
ฝากน้องน้ำยางหนุ่มน้อยจากปักษ์ใต้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
ผิดพลาดตรงไหน ติชม ได้เลยค่ะ
ขอบคุณมากค่าาา
แล้วเจอกันใหม่นะจ้ะ

 :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2018 20:40:45 โดย เช้าวันพุธ »

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เริ่มต้นได้น่ารักดีค่ะ
ยิ่งบ้านใต้ถุนสูง สวนยาง ต่างจังหวัดที่มีมหาลัยเนี่ย
ภาพจริงมาเต็ม

จะรอติดตามอ่านต่อไปนะคะ ...


ออฟไลน์ missyaoi

  • INDY^^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
รอนะคะ เอ็นดูความแหลงกลางสำเนียงใต้มาก 555555

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

ตอนที่ 2 ดาวประจำใจ
   


ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนของจังหวัดสุราษฏร์ธานีนั้น ยังคงมีฝนตกชุกเนื่องจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านมาปกคลุม บรรยากาศยามเช้าของบ้านสวนเย็นฉ่ำสบายเพราะฝนที่ตกต่อเนื่องตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมปลุกผมให้ตื่น อันที่จริงผมติดนิสัยตื่นนอนแต่เช้าเพราะเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก ตกค่ำทีไรมักไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ สัญญาณรับทีวีในสมัยนั้นก็ไม่เสถียรจะดูแต่ล่ะทีก็นึกรำคาญใจเพราะภาพติดๆดับๆ

กิจกรรมบันเทิงที่พวกเราทำร่วมกันบ่อยๆในครอบครัวคือการเปิดภาพยนตร์สักเรื่องผ่านเครื่องเล่นวีซีดี หรือไม่ก็เปิดวิทยุท้องถิ่นฟังเพลง ถ้านั่งฟังร่วมกับรุ่นใหญ่อย่างปู่และย่า เพลงที่ฟังมักจะเป็นเพลงเก่าอย่างสุนทราภรณ์ แต่ถ้าผมเดินลึกเข้าไปในสวนเจอพี่ๆคนงานนอนพักกลางอยู่ในขนำหลังเล็กๆที่ปลูกไว้ชั่วคราวเพื่อพักผ่อนหลบแดดและฝน ก็จะได้ยินเสียงจากวิทยุทรานซิสเตอร์บรรเลงบทเพลงของนักร้องลูกทุ่งเสียงปักษ์ใต้ชื่อดังอย่าง เอกชัย ศรีวิชัย

แต่หลังจากที่ความเจริญเริ่มเข้าสู่พื้นที่สวนพัฒนะกิจสกุล ชื่อตามนามสกุลผมเลยครับ กิจกรรมที่ผมโปรดปรานที่สุดนั้น แน่นอนว่าเป็นการท่องโลกอินเตอร์เน็ต ปกติถ้าอยู่โรงเรียนแล้วอยากใช้อินเตอร์เน็ตต้องไปห้องสมุด จะมีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ใช่ว่าผมมีโอกาสได้ใช้มันทุกครั้งที่ใจนึกนะครับ เพราะจำนวนที่ให้บริการมีไม่มากพอต่อความต้องการของเด็กๆทั้งโรงเรียน


เมื่อเสาสัญญาณถูกตั้งในพื้นที่ชุมชนใกล้ๆกับสวนของครอบครัว พ่อจึงทำเรื่องให้ทางการมาติดตั้งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตไว้ใช้ภายในสวนแห่งนี้ ผมเลยเริ่มมีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้เมื่อปีก่อนนี่เอง เพราะไม่เห็นถึงความจำในการมือโทรศัพท์มือถือ ในเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ไม่มีสัญญาณ ถ้าเพื่อนๆจะติดต่อก็โทรเข้าเบอร์บ้าน ไปโรงเรียนก็ไม่ต้องติดต่อใคร



   หลังจากตื่นนอนในช่วงเวลาปกติที่มักจะรู้สึกตัวตื่นเองอย่างอัตโนมัติ ผมก็จัดการพับผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อหาอะไรทานในยามเช้า


“อ้าวพ่อ ไม่เจอหน้าหลายวันเลย” ผมเอ่ยทักพ่อด้วยความดีใจ เพราะตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพเมื่อสองวันก่อน ก็พึ่งจะได้เจอหน้าพ่อตัวเองในเช้าวันนี้นี่แหละครับ

“ว่าไง ไอ้ลูกแมว กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” นายหัววัยเกือบ 50 เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์มามองผม

“กลับมาตั้งสองวันแล้ว หน้าพ่อพึ่งจะได้เห็น หายไปไหนมาจ้ะนายหัว” ผมยู่หน้าใส่พ่อหนึ่งที ผมกลับมาวันไหนแกก็ไม่รู้เลย

“พ่อไปประชุมราคายางประจำปีที่ชุมพร แล้วตกลงสมัครเรียนพิเศษเรียบร้อยดีใช่ไหม”


เมื่อเดือนก่อนผมขออนุญาตพ่อ ขึ้นไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพในช่วงปิดเทอมใหญ่ที่กำลังจะมาถึง พ่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการสอบเข้า และผมเองก็ไม่เคยสร้างเรื่องเดือดร้อนหรือเกเรอะไรให้ปวดหัว จึงสามารถไว้ใจผมว่าจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ถ้าต้องไปอยู่ไกลบ้าน

“เรียบร้อยจ้า วันนี้พ่อมีธุระไรต้องทำหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามในขณะที่มือก็ยุ่งอยู่กับการชงโอวัลตินให้ตัวเอง

“ว่าจะเข้าไปดูโรงรีดแผ่นยางเสียหน่อย ถามทำไมรึ”

“ไปดูเสร็จแล้วพ่อไปเที่ยวกับยางนะ ไม่ได้ไปดูหนังด้วยกันนานแล้ว” ผมยิ้มอย่างดีใจ เมื่อเห็นว่างานที่พ่อต้องทำไม่ได้มากมายอะไร น่าจะพอมีเวลาว่างเหลือให้ผมบ้าง

“เอาสิ ชวนเจ้าปาล์มไปด้วยกัน”


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พ่อแทบจะยุ่งวุ่นวายทุกวันตลอดทั้งปี ไม่ใช่ว่าพึ่งเป็นแบบนี้หลังจากขึ้นสานต่องานจากคุณปู่ที่ปลดระวางตัวเองเพราะอายุที่มากขึ้น แต่พ่อเคยเล่าว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยที่เรียนจบกลับมาช่วยงานที่บ้านใหม่ๆแล้ว

นับวันงานที่ต้องสะสางก็มีมากขึ้นทุกที ยังโชคดีที่คนงานที่มีอยู่ รักและให้ความเคารพพ่อและคนในครอบครัวของผม พวกเราอยู่กันแบบพี่น้อง พึ่งพาอาศัยกัน แบ่งปั่นในส่วนที่คิดว่าช่วยเหลือกันได้ แล้วยังมีพี่ปาล์มที่เข้ามาช่วยงานอย่างเต็มตัว

ส่วนตัวผมเองนั่น แต่ไรมาก็ไม่เคยคิดสนใจงานไร่งานสวน ตอนเด็กๆยังมีบ้างที่เล่นซนเป็นลิง ปีนป่าย คลุกดิน เล่นทรายกับพวกลูกคนงานที่อายุไล่เลี่ยกัน แต่พอโตขึ้นหน่อยผมกลับเริ่มสนใจดูแลตัวเอง ไม่ยอมออกไปตากแดด งานสวนเล็กๆน้อยๆอย่างแปลงผักสวนครัวที่ปลูกไว้ใช้ทำกินภายใน ผมก็ไม่ยอมลงไปช่วยรดน้ำพรวดดิน


แฮ่ ~


ผมทำตัวไร้ประโยชน์มากเลยใช่ไหมครับ

พี่ปาล์มมันพูดกรอกหูผมทุกวันว่าเอาแต่นอนกินบ้านกินเมือง เหอะๆๆ

 
แต่พ่อเคยบอกว่าในเมื่อลูกมันไม่มีใจรักที่จะทำ พ่อก็ไม่อยากบังคับฝืนใจ และพ่อก็เข้าใจว่าทำไมผมไม่อยากออกมาตากแดด ถือจอบ ถือเสียม ให้มือพัง เพราะพ่อทราบว่าผมเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อผมไม่เคยทำเรื่องไม่ดีหรือหนักใจให้กัน พ่อก็ไม่คิดจะโทษหรือโกธรในสิ่งที่ผมเป็น

ผมจะรักจะชอบอะไรก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจ ขอแค่อยู่ในสายตา ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และข้อนี้สำคัญเลยครับ คือตัวผมเองต้องมีความสุขกับสิ่งที่เลือก

ถ้ามั่นใจว่าเลือกแล้ว พ่อก็จะสนับสนุนเต็มที่

ไอ้เรื่องที่จะไปบงการชีวิตลูกให้เป็นไปตามกรอบที่สังคมขีดไว้พ่อจะไม่ทำ เพราะพ่อเคยมีประสบการณ์ชีวิตในเรื่องนี้มาก่อน
ยอมทำตามในสิ่งที่คนเขาบอกว่าดี จนชีวิตตัวเองต้องล้มเหลว จึงไม่อยากให้ลูกทุกคนต้องมาเจออะไรแบบนี้


เพราะครอบครัวไม่เคยกล่าวโทษตัวตนของผมเลยสักครั้ง

ไม่เคยต่อว่า

ไม่นึกรังเกียจ

ไม่ถามหาเหตุผลว่าทำไม

ไม่ทำร้ายจิตใจทั้งการกระทำและคำพูด

และสิ่งสำคัญที่ทุกคนมีให้ผมคือความเข้าใจ

ผมจึงรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างสุดหัวใจ และให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่นำความเดือดร้อนอะไรมาทำให้ครอบครัวต้องเป็นทุกข์ ตอบแทนความไว้ใจที่ทุกคนมีให้ผม
   


หลังจากนัดแนะกับพ่อเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงเลี่ยงไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะตามนายหัวไปทานมื้อเช้าที่เรือนไทยร้อยปีของคุณปู่ ปกติแล้วบ้านที่ผมพักอาศัยจะไม่ได้ทำครัวเป็นเรื่องเป็นราวเพราะมีแต่ผู้ชายอาศัยอยู่คือพ่อ พี่ปาล์ม และผม
แล้วอย่าคิดว่าผมจะสบายมีคนคอยดูแลทำความสะอาดบ้านให้นะครับ


หม้ายยยยยย ไม่หอนบายเลยสักหีด เหอะๆ มันแปลว่า ไม่เคยสบายเลยสักนิดครับ


งานบ้านทุกอย่างภายในเรือนนี้ ผมจะเป็นคนทำเสียส่วนใหญ่ครับ เพราะพ่อกับพี่ปาล์มไม่ค่อยว่าง ผมเลยต้องรับหน้าที่นี้ไป หลักๆเลยก็คือ ซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ นานน๊านทีจะมีคนมาช่วย 

แต่ที่เรือนคุณปู่จะมีป้าแม่ครัวคอยดูแล ส่วนงานบ้านหลักๆก็เป็นหน้าที่ของป้าเพ็ญกับป้านวล เรือนไทยร้อยปีตั้งอยู่บริเวณสวนหน้าของพื้นที่ทั้งหมดครับ แต่ก็ต้องเข้ามาเกือบ 100 เมตรจากทางเข้าถึงจะเจอตัวบ้าน
ที่นี่มีทางเข้าออกแค่ทางเดียวนั้นเท่านั้นครับ เพื่อสะดวกแก่การดูแลความปลอดภัย ส่วนบริเวณโดยรอบของพื้นที่สวน ถูกคั่นไว้ด้วยคูขนาดกว้างหนึ่งช่วงแขน

แต่เดิมแนวคูไม่ได้ล้อมรอบที่ดินทั้งหมดหรอกครับ แต่ปู่จ้างให้เขามาขุดเพิ่ม จะได้แบ่งเขตอย่างชัดเจนไปเลยว่าตรงไหนเป็นพื้นที่ของเรา 
 ถัดไปจากเรือนไทยของคุณปู่ก็มีศาลาให้พี่คนงานไว้ทานอาหารและพักผ่อนในบริเวณใกล้เคียง

ถ้ามีใครแวะมาเยี่ยมหรือติดต่อเรื่องค้าขายก็จะใช้เรือนของคุณปู่ในการรับรอง หรือไม่ก็เข้าไปที่โรงรีดยางที่ตั้งอยู่กลางสวน บริเวณนั้นจะมีออฟฟิชขนาดย่อมไว้สำหรับซื้อขายยางด้วยครับ ชาวบ้านแถวนี้ที่เป็นชาวสวนยางรายย่อย บางครั้งเขาก็มาขายน้ำยาง ขายขี้ยางกันที่สวนของครอบครัวผมครับ เพราะในละแวกนี้ไม่มีโรงรับซื้อยางเลย ต้องขับรถไปหลายกิโลถึงจะเจอแหล่งรับซื้อ ซึ่งก็ไม่คุ้มกับค่าน้ำมันหรอกครับ เพราะปกติแล้วจะมีการซื้อขายน้ำยางกันเกือบทุกวัน แต่มีเว้นวางก็ช่วงที่ฝนตกครับ ถ้าถ้าฝนตก ก็จะกรีดยางไม่ได้


โดยปกติแล้ว พี่ ป้า น้า อา ที่ทำงานในสวนแห่งนี้ จะใช้บริเวณศาลาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเรือนคุณปู่ทานอาหารมื้อเช้าและเย็นเท่านั้น ส่วนมื้อกลางวันจะมีคนคอยขับรถกระบะเข้าไปส่งปิ่นโตให้กับคนงานภายในสวน เพราะจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางไปมา มีเวลาเหลือให้เอนกายอีกหน่อยหลังทานอาหาร ก่อนจะเริ่มลุยงานต่อในภาคบ่าย


สำหรับหน้าที่ในส่วนของเสบียงนั้น ผมเองก็มีส่วนช่วยในงานนี้นะครับ แหะๆ


เริ่มทำตัวเป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้วล่ะ ไม่ได้เก่งแต่นอนกินบ้านกินเมืองนะครับ


ผมชอบเข้าไปช่วยป้าเพ็ญและป้าแม่ครัวจัดปิ่นโต แต่ไม่ได้แตะในส่วนของการทำอาหารนะครับ แฮ่

แค่ตักข้าวตักแกงใส่กล่อง ใส่ปิ่นโตเท่านั้นเอง
อ้อ..บางครั้งก็มีติดสอยห้อยตามไปส่งข้าวในสวนด้วยนะ



ทุกวันผมจะมาทานข้าวที่เรือนคุณปู่อย่างน้อยๆหนึ่งมื้อ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ออกไปข้างนอก ผมแทบจะมาสิงอยู่ที่เรือนหลังนี้ทั้งวัน เพราะพ่อกับพี่ปาล์มมีงานให้ทำ ต้องออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ทิ้งให้ผมนั่งเหงาคนเดียว


เช้าวันนี้มีข้าวต้มหมูกับปาท่องโก๋ครับ ของโปรดผมเลย


 “ป้านวล ไปดูหนังกันไหม” ผมเอ่ยชวนหลังจากจัดการข้าวต้มถ้วยโตเสร็จเรียบร้อย

“หนังไอไหร”

“หนังกู้โลก ยิงกันตู้มตู้ม”

“เสียงดังหม้าย” ป้านวลยิ้มตาม ฟังผมพูด

“ดังหรอยเลยจ้า ไปไหมครับ”

“หม้ายไป หนักหู” ปกติแล้วป้านวลไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่ใช่เพราะไม่มีใครอยากพาออกไป แต่เป็นป้านวลเองที่ติดบ้าน
แม้ร่างกายป้านวลจะผิดปกติไปบ้าง แต่ป้ากลับมีส่วนช่วยงานในสวนนี้มากกว่าผมเสียอีก พูดแล้วก็รู้สึกผิด แฮ่ๆ
รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกสองระดับเลยครับ


นอกจากงานทำความสะอาดเรือนที่ป้านวลชื่นชอบเป็นพิเศษแล้ว ยังมีงานสวนครัวที่ป้าชอบถอนวัชพืชและรดน้ำดูแลจนพืชผักจนเจริญเติบโตอย่างสวยงาม บ้านนี้เขามือขึ้นปลุกอะไรก็งอกเงยดีครับ เห็นจะมีก็แต่ผมเนี้ยแหละ ที่มือร้อน ปลูกอะไรก็ตายเสียหมด เหอะๆ
ทำไมเหมือนไอ้ยางคนนี้มันเกิดผิดที่ผิดทางชอบกล
   

หลังจากทานอาหารเช้าและเอนกาย ผึ่งพุงให้อาหารย่อยแล้ว นายหัวดินก็ขอตัวเข้าไปดูโรงรีดยาง ผมจึงบอกลาปู่กับย่าติดสอยตามพ่อไปด้วยกัน หลังจากเสร็จธุระจะได้มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองกันเลย

ที่บ้านผมมีแต่รถคันใหญ่ครับ รถสปอร์ต ซีดานอะไรพวกนั้น ไม่ได้แอ้มเงินบ้านผมเลยครับ เพราะเส้นทางเดินรถภายในสวนใช่ว่าจะเป็นถนนราบเรียบไปทุกจุด เพราะฉะนั้นเลือกซื้อรถที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมดีกว่า จะได้ใช้งานได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวเรื่องรถจะต้องท้องร่องให้เครื่องร่างพัง

ทางเดินรถที่ลึกเข้าไปในตัวสวนเป็นทางขรุขระไม่สม่ำเสมอ ขนาบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ตลอดแนวสุดลูกหูลูกตา ถ้าไม่ไปตามเส้นรถนี้ ผมเองก็หลงเหมือนกันครับ พ่อขับรถตัดผ่านบริเวณสวนปาล์มก่อนที่จะไปเจอแนวสวนยางที่ปลูกไว้ในพื้นที่อีกส่วน รถคันใหญ่สีส้มแสดเคลื่อนไปจอดสนิทอยู่หน้าโรงรีดแผ่นยางขนาดกลาง พ่อดับเครื่องก่อนจะก้าวลงจากรถ ผมจึงตามลงไปด้วยเพราะพ่อต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่
ทุกคนที่บ้านผมไม่มีนิสัยติดเครื่องยนต์ไว้นานๆแล้วนั่งแช่รอในตัวรถ เปลืองน้ำมันครับ 
ถ้าอยากจะนั่งรอในรถก็เปิดกระจก เปิดประตูทนร้อนกันไป



 “วันนี้นึกยังไงเข้ามาถึงนี่หึ ไอ้ยาง” พี่ปาล์มในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนต์สีด่างๆ ที่เอวมีผ้าขามม้าคาดไว้ ตรงกรอบหน้าชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ถึงแม้ว่าจะยังมีฝนโปรยปราย แต่อากาศตอนนี้ถือว่าอบอ้าวเพราะลมไม่พัดผ่าน

“จะพาพ่อไปเที่ยว เลยตามมาด้วย พ่อให้ชวนพี่ปาล์มไปด้วยกัน”

“ไปไหน”

“ดูหนัง กินหนม”

“กินขนมอะไรของมึงอีก” พี่ผมมันทำหน้าปุเลี่ยนอีกแล้วครับ กับเรื่องกินของผมนี่ไม่ได้เลย บ่นทั้งวัน

“ร้านกาแฟในเมือง เค้กอร่อย ยางเคยไปกับเพื่อน จะไปซื้อมาฝากป้าๆด้วย”

“มึงหวานคนเดียวก็พอแล้ว อย่าเอาเบาหวานมาให้พวกป้าๆ กูไม่ไป”

“ไม่ไปก็ดีเลย จะชวนพ่อไปต่อที่ตลาดศาลเจ้า เห็นบ่นอยากกินหอยทอดพอดี”

“รอกูอาบน้ำแปปนึง ถ้าพ่อตรวจงานเสร็จแล้วบอกให้รอกูด้วย”


ผมยิ้มขำ สายตายังคงมองตามพี่ชายที่เดินหน้ายุ่งไปทางรถยนต์อีกคันที่จอดอยู่ เพื่อหยิบเอากระเป๋าสัมภาระที่เจ้าตัวมักจะติดเสื้อผ้าและเครื่องอาบน้ำไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ก่อนจะหายตัวเข้าไปในส่วนของห้องอาบน้ำด้านหลังโรงรีดยาง ผมรู้ว่าพี่ชายเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของทุกคนในครอบครัว จึงแอบเอาเรื่องพ่ออยากกินหอยทอดมาอ้าง จริงๆแล้วพ่อไม่ได้บ่นอยากทานอะไรหรอกครับ ผมขี้หก เอ่อออ หมายถึงโกหกนั้นแหละครับ เพราะถ้าไม่โกหกพี่ปาล์มคงไม่ยอมออกไปด้วยกันแน่ ไหนๆก็ไม่ได้ไปดูหนังด้วยนั้นมานานแล้ว ขอผมแอบบังคับให้เจ้าตัวยอมออกไปด้วยกันหน่อยเถอะ

ไม่รู้ว่าถ้าวันหนึ่งผมต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพจริงๆ จะทำใจรับกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ดีแค่ไหน ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่กับคนมากมาย ไม่เคยต้องเหงาเลย เริ่มจะวิตกไปล่วงหน้าแล้วครับ ทั้งๆที่ผมยังสอบไม่ติดที่ไหนเลยด้วยซ้ำ ฮ่า~







   หลังเสร็จธุระที่โรงรีดยาง พี่ปาล์มก็ทำหน้าที่ลูกชายที่ดีขับรถให้พ่อและน้องชายที่น่ารักอย่างผมนั่ง พี่ปาล์มเป็นคนที่ขับรถเก่งมาก และก็ขับรถเร็วมากเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่มีพ่อหรือผมนั่งด้วยมันจะเหยียบไม่เกินร้อย เพราะเคยเผลอเหยียบคันเร่งเพลิน พ่อด่าหูชาเลยครับ สมน้ำหน้า อิอิ   

เรามุ่งหน้ามายังห้างสรรพสินค้า เมื่อจัดการซื้อตั๋วหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง แต่พวกเรายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลย ผมเลยลากพ่อกับพี่ปาล์มเข้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณโรงภาพยนตร์ จัดการสั่งอาหารให้ทุกคน คนละชุด โดนพี่ปาล์มด่าอีกรอบว่าทำไมไม่ไปกินข้าวเป็นเรื่องเป็นราว ให้พ่อมากินอาหารแบบนี้ทำไม ผมเลยเถียงไปว่ามีเวลาแค่นี้จะให้ไปกินสุกี้ เป็ดย่างหรือยังไงเล่า เลยโดนพี่มันบ่นกลับมาอีกรอบว่าเป็นคนลากคนอื่นมาดูหนังก็ไม่ยอมเช็ครอบหนังล่วงหน้า ถ้าพลาดรอบนี้ต้องรอบถัดไปอีก2ชั่วโมง ถ้าเช็ครอบก่อนออกจากบ้านจะได้มีเวลาทานข้าวเที่ยงที่บ้านเสียก่อน


เฮ้อออออ ขี้บ่นยิ่งกว่าตุ๊ดแบบผมอีกครับ

พ่อยังไม่ว่าอะไรเลย ขำอย่างเดียว แถมกินเบอร์เกอร์หมดแล้วยังต่อด้วยไอศกรีมอีกหนึ่งโคน




   ดูหนังจบผมก็บังคับให้พี่ปาล์มพามาร้านคาเฟ่ที่อยู่ห้างจากห่างสรรพสินค้าราวๆ 15นาทีโดยรถยนต์ ผมชอบร้านคาเฟ่ ชอบร้านกาแฟ ถึงแม้ว่าที่จังหวัดนี้จะมีร้านแบบนี้ไม่เยอะ แต่ก็ยังพอมีร้านบรรยากาศดี ขนมอร่อยๆอยู่บ้าง

บรรยากาศในร้านคึกคักคนแน่นร้านไปหมด โชคดีในจังหวะที่เรามาถึงมีโต๊ะนึงกำลังจะออกไป ผมเลยให้พ่อไปนั่งจองโต๊ะไว้ก่อน ส่วนตัวเองก็คว้าแขนพี่ปาล์มไว้ไม่ให้มันเดินไปรอที่โต๊ะกับพ่อครับ เพราะอะไรหน่ะหรอ?


เพราะผมไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มาครับ ฮ่า


“อยู่กับยางก่อน”

“มึงไม่พกตังมาอีกแล้วใช่มั้ย”

“แฮ่ พี่ปาล์มอยากกินอะไร กาแฟที่นี่อร่อยนะ เอาอเมริกาโน่มั้ย พี่ปาล์มไม่ชอบกินอะไรหวานนี่เนอะ แต่เค้กมะพร้าวอ่อนที่นี่ไม่หวานนะ กินคู่กับกาแฟขมๆน่าจะเข้ากันได้ดี เอาเนอะ เอาเนอะ” รีบชิ่งพูดยาวๆ รัวๆไปก่อนครับ ให้พี่มันเบลอ อย่าเว้นช่วงว่างให้ได้บ่น


“เออๆ จะสั่งอะไรก็เอามา สั่งให้พ่อด้วย อย่าหวาน” พี่ปาล์มพยักหน้าแบบเบื่อๆก่อนจะยื่นกระเป๋าสตางค์ของมันมายัดใส่มือผม แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่พ่อนั่ง






“อเมริกาโน่ร้อนสองที่ คาราเมลปั่นเพิ่มวิปครีม เค้กมะพร้าวอ่อน บานอฟฟี่ แล้วก็ทาร์ตผลไม้ ครบตามที่ลูกค้าสั่งใช่มั้ยครับ” พี่พนักงานหน้าตาดีนำเครื่องดื่มและขนมมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ผมยิ้มรับขอบคุณอย่างมีความสุข ขนมหน้ากินไปหมดเลยยย

“มึงสั่งอะไรมาเยอะแยะ ห๊ะ” เอาอีกแล้วครับ เบื่ออออ

ผมยู่ปากไม่ตอบอะไรกลับ


“พ่อลองชิมกันนี้ อร่อยยยย ยางเคยมากินกับเพื่อน ไม่หวานมากพ่อน่าจะชอบ” พ่อพยักหน้ารับก่อนจะใช้ส้อมจิ้มลงไปบนก้อนทาร์ตผลไม้

“โอ๊ะๆๆ แปปนึงพ่อ ยางลืมถ่ายรูป”

พ่อชหยุดมือไว้ ก่อนถอยออกมาให้ห่างจากเค้ก ผมโดนพี่ปาล์มด่าอีกตามเคย พ่อยังไม่ว่าอะไรผมสักคำเลยนะ ไอ้พี่ปาล์มโว้ยยยย


“ถ่ายรูปกันนะ” ผมยิ้มก่อนจะชูกล้องขึ้น มองหาตำแหน่งเหมาะสมให้โฟกัสหน้าพวกเราทั้งสามคน พ่อขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้มือแกร่งโอบไหล่ของผมไว้ก่อนจะยิ้มให้กล้อง แต่ตากลับหลุดโฟกัส

“มองกล้องตรงนี้นะพ่อ ถ้ามองหน้าจอพ่อจะตาเหล่” ผมชี้ให้พ่อดูตำแหน่งกล้อง หล่อจริงๆเลยครับพ่อผมเนี้ย

“พี่ปาล์ม ขยับมาเหลยเร็วๆ จะได้กินไง” ผมใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดึงแขนพี่ปาล์มให้เข้ามาใกล้ๆ

“โหยยย ขึ้นกล้องนะเราหน่ะ ยิ้มหน่อยเร็วคนหล่อ อย่าเก๊กขรึมอยู่” ผมเอ่ยทั้งขำมองหน้าพี่ชายผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ผมกดถ่ายไปหลายรูปจนพอใจ แล้วจึงปล่อยให้ทุกคนกลับไปดื่มกาแฟกินขนมตามเดิม

พ่อดูจะชอบใจกับรสชาติกาแฟและขนมของที่นี่ เอ่ยชมไม่หยุดแถมยังบอกผมว่าครั้งหน้าให้มาด้วยกันอีก พี่ปาล์มเองก็ดูผ่อนคลายลงจากตอนที่นั่งเกร็งๆ เพราะโต๊ะข้างๆเอาแต่ซุปซิปสะกิดกันใหญ่ให้มองมาทางพี่ชายคนดีของผม ดีเอ็นเอดีก็งี้แหละครับ อิอิ

ก่อนออกจากร้านผมชวนพ่อไปเลือกขนมเพื่อซื้อกลับไปฝากคนที่บ้าน พ่อบังเอิญเจอคนรู้จัก ไปๆมาๆ พ่อเจ้าของร้านรู้จักกับพ่อผมซะงั้น นายหัวดินก็ค่อนข้างกว้างขวางในจังหวัดนี้เหมือนกันนะครับเนี้ย ทำเป็นเล่นไป ผมเลยได้บารมีพ่อกับปู่คุ้มกบาลอยู่บ้าง แต่ก็เปรี้ยวได้แค่ในจังหวัดบ้านเกิดเท่านั้นแหละครับ ออกเขตจังหวัดไปก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว แฮ่



   กลับมาถึงบ้านผมก็แยกย้ายกับพ่อและพี่ปาล์มที่บ้านปู่ ทั้งสองคนจะขออยู่ที่เรือนร้อยปีเพื่อรอทานอาหารค่ำกันก่อน แต่ผมเขมือบขนมไปเยอะมากตอนนี้ยังอิ่มอยู่ เลยขอตัวกลับบ้านมาอ่านหนังสือต่อ

กลางปีหน้าคณะที่ผมเล็งไว้จะเปิดสอบตรงแล้ว ผมมีเวลาอีกไม่มากในการอ่านหนังสือ เพื่อยัดเอาความรู้ที่เรียนมาทั้งหมด คณะและมหาลัยที่ผมอยากเข้าเรียนนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียง แถมคะแนนปีก่อนๆก็ถือว่าสูงทีเดียว เพราะฉะนั้นผมต้องตั้งใจทำให้เต็ม แต่ผลจะเป็นอย่างไรนั้น ถ้าพยายามเต็มที่แล้วผมก็จะไม่เสียใจ


   ผมมีจมอยู่กับตำราเรียนอยู่เกือบ 4 ชั่วโมง หันไปมองนาฬิกาอีกทีก็จะเข้าวันใหม่แล้ว สายตาผมล้าเต็มทีเลยตัดสินใจพอไว้แค่นี้ก่อน อยู่ดีๆก็อยากออกไปรับลมที่ระเบียบสักนิด ห้องนอนของผมไม่มีระเบียงหรอกครับ เรือนไทยหลังนี้มีชานเรือนอยู่ทางด้านหลัง เป็นระเบียงโล่งกว้างๆที่ปกติแล้วจะใช้สังสรรค์บางตามโอกาส หรือไม่ก็เอาไว้ ตากหมอน ตากเบาะ ตากผ้าห่ม เพราะตัวระเบียงตรงนี้ไม่มีหลังคา มีแต่ลานโล่งๆ ที่มองขึ้นไปบนฟ้าก็จะเห็นท้องฟ้าเป็นแผ่นกว้าง ผมรักบ้านสวนในเวลานี้เป็นที่สุด


ลมเย็นๆพัดเอาความชื้นจากภูเขาที่อยู่ลึกเข้าไปในสวน มาปะทะกับใบหน้าผม โชคดีที่มีสายลมคอยช่วยไล่ปัดเป่าเอาเจ้าพวกแมลงและยุงออกไป เพราะถ้าคืนไหนที่อากาศนิ่งสนิทไม่มีลมพัด วันนั้นยุงจะชุมเป็นพิเศษ

ผมลากเก้าอี้หวายมานอนมองดูดาวบนท้องฟ้า ฝนหยุดตกไปนานแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปิดให้ดวงดาวออกมาโชว์ตัว ผมยิ้มออกมาเมื่อหันไปเจอพระจันทร์ที่วันนี้โผล่มาแค่เสี้ยว

ก่อนจะยัดหูฟังเปิดเพลลิสต์ในมือถือฟังเพลงไปพร้อมกับมองไปที่พระจันทร์ดวงนั้น
ผมเกิดราศีกรกฏ เคยอ่านหนังสือเจอมาว่าพระจันทร์เปรียบดั่งเทพประจำตัวของคนที่เกิดในราศีนี้ หลังจากนั้นทุกครั้งที่ผมมองเห็นพระจันทร์ ผมมักจะชอบพูดคุย เล่าเรื่องต่างๆให้ดาวประจำตัวของผมฟัง


“สวัสดีครับ นึกว่าวันนี้คุณพระจันทร์จะไม่โผล่ออกมาเสียแล้ว หายไปหลายวันเลยนะครับ”

“ผมพึ่งอ่านหนังสือจบเลยแวะมาหาทักทายคุณจันทร์ เดี๋ยวจะลืมกันไปเสียก่อน”

“คุณจันทร์ว่าผมจะสอบติดคณะที่หวังมั้ยครับ”

“ผมอยากติดที่นั่น คุณจันทร์ก็รู้เหตุผลของผมใช่มั้ยล่ะ เคยเล่าให้ฟังแล้วเนอะ”

“คุณจันทร์แอบไปดูให้ผมหน่อยสิว่าพี่เขายังอยู่ที่เดิมหรือป่าว”

“ไม่ใช่ว่าซิ่วไปเรียนที่อื่นแล้วนะครับ”

“ฝากกระซิบบอกพี่เขาให้หน่อยได้มั้ย ว่าถ้าเราเจอกันครั้งหน้า อย่าลืมบอกชื่อเขาให้ผมรู้จักล่ะ”

“ผมเองก็จะได้แนะนำตัวให้เขารู้จักบ้างเหมือนกัน”

.
.
.
.
.
.

Tbc.

ยังคงไม่ชินกับการจัดหน้า งื้ออออ
ค้นพบความยากอีกอย่างนึงในการแต่งนิยายคือการคิดชื่อเรื่อง 5555555
ฝากน้องน้ำยางด้วยนะคะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่าาาา
 :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ชอบการเล่าเรื่อง รายละเอียด
รออ่านต่อ นะ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนที่ 3 เครปกล้วยนูเทล่าเพิ่มวิปครีม



   หลังจากเหตุการณ์คืนลอยกระทงในวันนั้นผ่านมาแล้ว 2 ปี ในที่สุดผมก็สามารถสอบเข้าเรียนได้ตามที่วาดหวังเอาไว้ วันนี้เป็นวันที่ผมต้องห่างบ้านเป็นช่วงเวลานานครั้งแรก จะบอกว่าพร้อมก็พูดไม่เต็มปาก เอาเข้าจริงแล้วแอบกังวนไปเสียหมด

กลัวจะร้องไห้กลับบ้าน

กลัวจะคิดถึงทุกคนที่นี่

แต่พี่ปาล์มบอกว่าจะแวะไปหา เพราะยังไงก็ต้องขึ้นไปทำธุระที่กรุงเทพอยู่บ่อยๆ พ่อบอกว่าปิดเทอมเมื่อไรก็ให้กลับมา ถ้ามีวันหยุดติดต่อกันแล้วอยากกลับบ้านก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเดินทางเพราะนายหัวดินคนหล่อจะจัดการให้


หล่อ ใจดี ขี่ปิคอัพ บ้านอยู่ในควน ฮ่าๆๆๆ แกล้งพ่อตัวเองครับ


อ้อ..ในควนหมายถึง สถานที่ครับ คล้ายๆกับ เนินเขา ใกล้เขา อยู่บนเขา ง่ะ จะอธิบายยังไงดีนะ เอาแบบเข้าใจง่ายๆคือบ้านผมเองครับ ฮ่า



วันนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเราทิ้งสวนไว้ให้ป้าแม่ครัวกับพี่ๆคนงานดูแลเพราะตอนนี้ทุกคนขนกันมาส่งผมที่สนามบินประจำจังหวัดกันหมดเลยครับ ร้องไห้แน่ๆ ไอ้ยางเอ้ย



ในช่วงแรกพี่ปาล์มจะไปอยู่กับผมที่หอพักด้วยครับ เห็นมั้ยล่ะว่าต่อให้เราเถียงกันบ่อยแค่ไหน แต่นั้นก็เป็นเรื่องปกติของพี่น้องใช่มั้ยล่ะครับ ไม่ทะเลาะกันผมกลับมองว่าแปลก ดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร

ที่จริงแล้วพี่ชายผมเคยเรียนที่กรุงเทพมาก่อนครับ พ่อเลยให้พี่ปาล์มมาคอยแนะเรื่องการปรับตัวต่างๆ รวมไปถึงการเป็นเด็กหอด้วย ตอนแรกพ่อจะตามไปดูให้แน่ใจว่าหอพักที่ผมอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย เดินทางสะดวกและปลอดภัยพอให้วางใจ แต่เพราะติดธุระที่เลี่ยงไม่ได้เลยอดไปด้วยกัน

ครั้งก่อนที่ผมขึ้นไปมอบตัวกับทางคณะ พ่อก็ไม่ได้มาด้วย เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่งานในสวนกำลังยุ่ง จะทิ้งมากันหมดก็ไม่ได้ แต่จะให้พ่อมากับผมแค่สองคนก็ไม่ได้อีก เพราะพ่อไม่ชินเส้นทางในกรุงเทพยิ่งกว่าผมเสียอีกครับ รายนั้นไม่เคยทนใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพได้เกิน 3 วันเลย
พี่ปาล์มเลยทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้ผมทุกครั้งที่ต้องติดต่อกับทางคณะ เรื่องหอพักพี่ปาล์มก็เป็นคนเลือกให้ครับ พี่ชายคนดีของผมพาเดินรอบบริเวณมหาลัย เข้าตึกนู้น ออกตึกนี้เพื่อหาหอพัก ใช้เวลาอยู่สองวันเต็มๆ ถึงจะได้ที่ถูกใจพี่แก ไม่ใช่เลือกเพราะถูกใจผมหรอกนะครับ ทั้งๆที่ผมเป็นคนอยู่แท้ๆ เฮ้อ


โชคดีที่มหาลัยของผมไม่บังคับว่านักศึกษาชั้นปีที่1 ต้องพักหอในมหาลัยเท่านั้น จริงๆก็คงอยากบังคับ แต่เพราะหอพักมีไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็กใหม่ทั้งมหาลัย ใครๆก็อยากอยู่หอในครับ เพราะราคาถูกกว่าข้างนอกเยอะเลย แต่เพราะหอในคนนอกเข้ามาพักไม่ได้ พี่ปาล์มเลยให้ผมมาอยู่ข้างนอก เมื่อไรต้องขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพจะได้มาพักกับผมได้ และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะแอบมาเช็คตอนไหนก็ได้ครับ เพราะพี่แกเล่นเก็บกุญแจสำรองห้องผมไว้กับตัวเรียบร้อยแล้ว ร้ายกาจมาก


หลายคนคงกำลังคิดว่าถ้ากลัวผมออกนอกลู่นอกทางขนาดนี้ทำไมไม่พักหอในมหาลัยไปเลยล่ะ ในเมื่อปลอดภัยกว่า มีแต่เด็กในมหาลัย จำกัดเวลาเข้าออก และที่สำคัญคือแยกหอพักชายและหญิง


แต่อย่าลืมครับ


ผมชอบผู้ชาย ฮ่า~~~


ไอ้เรื่องจำกัดเวลาเข้าออกนี่ลืมไปได้เลย พี่ปาล์มมันรู้นิสัยผมดีว่าไม่ไปเถลไถลที่ไหน
พี่แกกลัวผมซุกใครไว้ที่ห้องมากกว่าครับ ยิ่งหอชายแล้วด้วย เหอะๆๆ
ผมไม่ได้อ้อร้อขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ไว้ใจโผมมมมมมมม



“อยู่ไกลบ้านก็ดูแลตัวเองดีๆนะลูก ถ้าอยู่ไม่ได้ก็โทรมาหาปู่ ปู่จะมารับ” ผมยิ้มขำกับประโยคน่ารักของคุณปู่ ก่อนจะกอดท่านไว้แน่น

“ถ้ายางเหงา ปู่ขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนยางนะ ห้องยางกว้าง นอนได้หลายคน”

“ทำพรื่อล่ะทีนี้ ปู่พาย่าไปด้วยได้มั้ย” (ทำไงยังดีล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นปู่พาย่าไปด้วยได้มั้ย)

“ได้แล พาไปให้หมดเลย ไปอยู่เป็นเพื่อนยาง” ผมเริ่มอยากร้องไห้ขึ้นมาจริงๆแล้วครับ ปู่หน้าตาจริงจังเพราะกลัวผมเหงา ทั้งๆที่ผมพูดเล่นแท้ๆ แต่แกคงว่าผมเอาจริง

“ปู่ไม่ต้องไปกังวล เดี๋ยวไอ้ยางมันปรับตัวได้ก็ไม่อยากกลับบ้านเราแล้วล่ะ” พี่ปาล์มขัดขึ้นหลังจากที่เห็นสีหน้าเป็นห่วงของปู่กับย่า ดับอารมณ์หวั่นใจของผมไปหมด เล่นเตะตัดขาผมซะงั้น

 “ถ้าพันนั้นลูกปาล์มไม่ต้องแขบหลบเรินมาน้า อยู่ข้างโน่นเป็นเพื่อนน้องก่อน งานแค่สวนหม่าต้องห่วงไม่ ให้ลูกดินดูไป คนงานก็เยอะแยะ” คุณย่ากอดผมไว้แล้วก่อนจะพูดกับพี่ปาล์มว่าไม่ต้องรีบกลับ ให้อยู่กับผมก่อน งานทางนี้ให้พ่อดูแล

“ย่าไม่ต้องเป็นห่วง น้องมันอยู่ได้ เชื่อผมนะ” พี่ปาล์มพูดให้ย่าสบายใจอีกครั้ง
ผมกล่าวลาทุกคนพร้อมอ้อมกอด น้ำตาคลอเบ้าแต่ต้องกลั้นเอาไว้จนแสบคอ จะไม่ยอมให้ไหลออกมา ด้วยกลัวทุกคนเป็นห่วง











   เมื่อมาถึงกรุงเทพเป็นที่เรียบร้อย พวกเราจัดการทำเรื่องเข้าหอพัก วางกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนจะเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยของผมนัก

ตอนแรกผมอยากทานไก่ทอดเกาหลีเป็นมื้อเย็น เคยเห็นหลายครั้งในโซเชี่ยล แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองกินสักที เมื่อเห็นว่ามีร้านไก่ทอดชื่อดังอยู่ในห้างแห่งนี้ ผมจึงลากพี่ชายคนดีของผมไปหน้าร้าน ยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่หลังจากดูเมนูอาหาร พี่ปาล์มก็เดินหนีเลยครับ สุดท้ายจึงมาจบที่ร้านอาหารญี่ปุ่น


ฮือออออ ปีกไก่ทอดราดซอสเกาหลีของผม


“ยางอยากกินไก่ทอด” ผมยังคงบ่นไม่หยุดถึงสิ่งที่อยากกิน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเข้ามานั่งเซ็งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วก็ตาม

“ไปหาดใหญ่เมื่อไร กูจะเหมาหมดร้านให้มึงเลย”

“มันไม่เหมือนกัน”

“เมนูมีแต่ไก่ทอด มึงจะให้กูกินอะไร”

“ก็กินไก่ทอด”

“กูอยากกินข้าว” พี่ปาล์มถอนหายใจ แล้วหยิบแก้วชาเขียวร้อนขึ้นมาจิบ

“ข้าวก็มี ยางเห็นในเมนู”

“กูกินไม่เป็นหรอกข้าวผัดกิมจิ” 

“ข้าวเปล่าก็มี กินกับไก่ไง มีซุปขายด้วย”

“เออๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพามาใหม่”

“เย้ จะกินให้เป็นเก๊าเลย”



หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย พวกเราจึงแวะซื้อของใช้เข้าห้อง ผมไม่ได้พกเสื้อผ้ามามากมายหนัก ปกติอยู่บ้านสวนผมใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น กางเกงยีนส์ขายาวมีแค่ 2 ตัว ใส่ซ้ำใส่วนกันไป อยู่ต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องแต่งตัวมากมายเท่าไรหรอกครับ เพราะวันทั้งวันก็อยู่แต่ในสวน เลยคุยกับพ่อว่าขอเอาเงินเก็บมาซื้อเสื้อผ้าใหม่สัก 4-5ชุด


พรุ่งนี้ผมจะมีวันว่างเหลืออีกหนึ่งวัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มปฐมนิเทศและทำกิจกรรมรับน้อง ส่วนมหาลัยจะเปิดภาคเรียนในอีกสองอาทิตย์ ช่วงนี้ก็เน้นทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมกันไปก่อนครับ ช่วงกลางวันที่ผมไปมหาลัย พี่ปาล์มจะแยกตัวไปทำธุระ เยี่ยมญาติ และพบปะเพื่อนฝูง เพราะเจ้าตัวเคยเรียนที่กรุงเทพมาก่อน เลยมีเพื่อนๆอยู่ที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่


อ้อ..หลังจากที่พี่ปาล์มมาอยู่ได้สองวัน พวกเราก็มีรถใช้ครับ เพราะพี่ปาล์มไปเอารถจากบ้านคุณลุงมาใช้ ผมเองก็มีญาติอยู่ที่กรุงเทพเหมือนกันครับ แต่บ้านคุณลุงอยู่นู้นนนน คนละฝั่งกับมหาลัยของผมเลย และผมไม่ค่อยสนิทกับทางครอบครัวคุณลุงเท่าไร นานๆเจอกันสักครั้งก็แบบนี้แหละครับ ผิดกับพี่ปาล์มรายนั้นจะเข้าหาผู้ใหญ่เก่งกว่าผม บางครั้งพี่ปาล์มก็ทำหน้าที่แทนพ่อกับปู่ ไปมาหาสู่บ้านญาติเพื่อทำธุระให้ เลยสนิทกับญาติผู้ใหญ่มากกว่าผมที่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านสวน


วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผมไม่ต้องเข้ามหาลัย พี่ปาล์มมักจะพาผมไปเที่ยวให้คุ้นชินเส้นทางโดยอาศัยบริการจากขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ รถไฟฟ้า และรถใต้ดิน รถที่ยืมมาจากบ้านลุงนั้น ผมไม่ได้นั่งเลยครับ เหอะๆๆ


ผมได้ไปเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ด้วยนะครับ สนุกมากกกก พี่ชายพาผมนั่งรถไฟฟ้า ขึ้นเรือ แล้วมาต่อรถสามล้อ แวะสักการะองค์ศาลหลักเมือง เพื่อเป็นสิริมงคล พี่ปาล์มบอกว่าเรามาอยู่ไกลบ้านไกลเมือง มาอาศัยอยู่ต่างถิ่น ก็ต้องมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิประจำเมืองให้ท่านคุ้มครอง
ผมเลยถือโอกาสเที่ยวชมความสวยงามของวัดพระแก้ว และวัดต่างๆในบริเวณใกล้เคียง ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นทั้งวัน กลับมาถึงหอพักก็ดึกแล้ว ผมหมดแรงจนหลับสนิทตลอดคืนเลยครับ
     



หลังจากที่ผมเปิดเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ ก็เป็นเวลาที่พี่ชายของผมต้องบอกลากลับบ้านเกิด ผมไม่ได้ไปส่งที่ปาล์มที่สนามบิน แต่มาส่งเจ้าตัวตรงหน้าหอพักแทน เพราะพี่ปาล์มจะนั่งแท็กซี่ไปด้วยตัวเอง ส่วนรถที่ยืมมาก็เอาไปคืนเรียบร้อยแล้วครับ

แล้วผมก็ร้องไห้จนได้ วันที่จากบ้านมายังแค่น้ำตาคลอ แต่วันนี้ร้องไห้เลย พี่ปาล์มถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะดึงผมเข้ามากอดแล้วลูบหัว


“ไม่งอแง เดี๋ยวก็ชิน ปีหนึ่งกิจกรรมเยอะจนมึงไม่มีเวลาเหงาเลยล่ะ แต่ช่วงกลางคืนที่มึงกลับมาอยู่ห้องคนเดียวอาจจะยากหน่อย พอค่ำแล้วมึงจะคิดถึงบ้านเป็นพิเศษ ถ้าเหงาก็โทรมาหากูได้ตลอด เข้าใจไหม”

“อื้อ” ผมซุกหน้าเข้ากับอกแกร่งของพี่ชาย ไม่อยากให้มันกลับไปเลยครับ

“ไว้กูจัดการงานที่สวนเสร็จเมื่อไรจะพาพ่อมาหามึง”

พี่ปาล์มบอกทิ้งท้ายก่อนจะผละออกไปตอนที่รถแท็กซี่ที่เรียกไว้เข้ามารับพอดี




.
.
.
.
.
.





ผ่านมาแล้วสองเดือนกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผมลืมบอกไปว่าผมเรียนทันตะครับ ผมฝันอยากเป็นหมอฟันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว จำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อย ผมกลัวหมอฟันสุดๆ แต่บังเอิญไปเจอคุณหมอใจดีท่านหนึ่งที่มือเบามาก ขูดหินปูนให้ผมไม่เจ็บเลย ผมเลยประทับใจมาจนถึงวันนี้ จนอยากเป็นเหมือนคุณหมอท่านนั้น

ผมมองว่าสุขภาพในช่องปากเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในระบบร่างกายของเราเลยครับ ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่เหมารวมไปถึงบุคลิกภาพที่ดีด้วย และการดูแลสุขภาพช่องปากควรเริ่มดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่วัยเด็ก เพราะถ้าเกิดฝันผุ รากฟันเสียหายขึ้นมา มันไม่สามารถงอกใหม่มาแทนที่ของเดิมได้แล้วล่ะครับ แถมวัยเด็กยังเป็นช่วงอายุที่เกิดปัญหาเรื่องช่องปากไม่แพ้กับผู้สูงอายุเลย ถ้าเด็กๆกลัวการไปหาหมอฟัน ก็จะทำให้ฝังใจจนไม่กล้าไปหาอีกเลย  ผมจึงอยากเป็นหมอฟันที่ดีให้เด็กๆไม่กลัวการมารักษา



อ้อ..!! ยังจำพี่ชายคนหล่อที่ลอยกระทงกับผมในตอนนั้นได้ไหมครับ จนวันนี้ผมยังไม่ได้เจอหน้าคนที่ทำให้ผมอยากเรียนที่นี่เลย




พี่เดือนตาดุคนนั้น หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้



ผมทราบจากพี่ตองว่าพี่เดือนคนหล่อคนนั้นคือพี่ดีน เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคอินเตอร์ ชั้นปีที่3 ในตอนที่เราเจอกันนั้น พี่ดีนยังเป็นเฟรชชี่อยู่เลยครับ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมไม่เจอหน้าเจ้าตัว เป็นเพราะพี่แกจะซิ่วไปเรียนที่อื่นแล้วหรือเปล่า


หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้นนะครับ แฮ่ๆ




ชีวิตของเด็กปี1 มักจะวุ่นวายกับการปรับตัว ทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรมต่างๆ เป็นช่วงที่เนื้อหอมที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ มีแต่คนต้องการตัว ทั้งอาจารย์ ทั้งรุ่นพี่ ทั้งหมดนี้กินเวลาส่วนตัวจนผมแทบไม่มีเวลาวิ่งตามหาคนที่อยากเจอเลยครับ



“วันนี้พอแค่นี้กันก่อนนะครับน้อง รีบกลับบ้านไปพักผ่อน พรุ่งนี้เรามีนัดที่นี่เวลาเดิมนะครับ”

ผมแอบลอบถอนหายใจเมื่อรุ่นพี่ผู้นำเชียร์เอ่ยอนุญาตเลิกประชุม ผมทั้งเหนื่อยและเพลีย จนอยากอาบน้ำแล้วรีบล้มตัวลงนอน โชคดีที่พรุ่งนี้ผมมีเรียนช่วงบ่าย แต่โชคร้ายที่วิชานั้นมีควิซครับ

คืนนี้ผมคงถ่างตาอ่านหนังสือไม่ไหว ขอนอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาอ่านตอนเช้าก็แล้วกัน


ผมบอกลาเพื่อนๆแล้วเดินออกทางประตูด้านข้างมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลกับคณะที่ผมเรียน แล้วยังไม่ไกลจากหอพักของผมด้วย ใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาที อีกอย่างละแวกนี้ก็ไม่เปลี่ยวหรืออันตราย เพราะเมื่อออกมานอกรั้วมหาลัยก็จะเจอร้านค้ามากมายที่เปิดขายจนดึกดื่น




ผมมาหยุดอยู่หน้าร้านเครปเจ้าอร่อย ก่อนจะสั่งเครปสอดไส้นูเทลล่ากับกล้วยหอมโปะด้วยวีปครีมของโปรด เหนื่อยและเพลียแบบนี้ ผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาดน้ำตาลครับ อิอิ



“พึ่งเลิกกิจกรรมหรอจ้ะน้องยาง” พี่มนต์ แม่ค้าขนมเครปครับ ผมมาซื้อบ่อยจนสนิทกับพี่แกแล้ว

“ใช่ครับ หมดแรงเลย ยางต้องการขนมอร่อยๆของพี่มนต์ม๊ากมากกก” ไม่ได้แกล้งชมนะครับ ขนมร้านนี้อร่อยจริงๆนะ

พี่ปาล์มเคยบอกว่าผมเป็นคนช่างฉอเลาะ แต่ปู่บอกว่าผมขี้อ้อน นิสัยแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนใครก็เอ็นดู แต่พี่ปาล์มชอบขัดขึ้นมาตลอดว่า น่ารำคาญ เหอะ!


“ปากหวานแบบนี้พี่เพิ่มวิปครีมให้เป็นพิเศษไปเลย”

“โอ้โห้ พี่มนต์คนสวยใจดีที่สุด” ยิ้มหวานแจกให้เลยครับ รออะไร ถูกใจน้ำยางคนนี้ที่สุด

หลังจากได้เครปหนักเครื่องที่เต็มไปด้วยวิปครีม ผมก็มุ่งหน้ากลับไปยังหอพัก เดินไปด้วยกินไปจนมาหยุดอยู่หน้าห้องตัวเอง ผมใช้มือข้างที่ยังว่างล้วงหากุญแจในกระเป๋าสะพายหลัง แต่ในกระเป๋ามันคงรกเกินไปครับ ของเยอะแยะเต็มไปหมดเลย หาเจ้ากุญแจไม่เจอเสียที



“ไฟล์งานกูส่งให้ไอปีย์ไปแล้ว ไม่ต้องโทรมาแล้วนะไอสัส กูจะนอน”


ผมได้ยินเสียงใครสักคนดังเข้ามาใกล้ๆ แต่ไม่ได้สนใจจะหันไปมอง เพราะกำลังกังวลว่าตัวเองทำกุญแจหล่นหายที่ไหนหรือป่าว ทำไมถึงหาไม่เจอเลยวะ


“อยู่ไหนเนี้ย จำได้ว่าหยิบออกมาแล้วนะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองจนติดนิสัยชอบพูดคนเดียว หลายคนก็เป็นเหมือนกันใช่ไหมครับ ยิ่งเวลาอยู่คนเดียวผมชอบบ่มงึมงำกับตัวเองบ่อยมาก อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน กระเป๋าก็หนัก มือข้างหนึ่งก็ถือขนม มืออีกข้างก็ล้วงหากุญแจ หึ๋ยยย ขัดใจจนอยากเทของในกระเป๋าออกมาให้หมด


“นี่ไง แม่งเอ้ยหาตั้งนาน” เจอแล้วครับ


“อ้าวเห้ย” ง่ะ ทำหลุดมือไปซะงั้น กระเด็นไปด้านหลังเลย



ปึก


แผละ


“โอ๊ะ”


ตอนที่รีบก้มลงไปหยิบกุญแจ ผมว่าผมชนเข้ากับอะไรสักอย่างแฮะ ทั้งหัว ทั้งมือที่ถือขนม



ฉิบหาย



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นี่ฝันอยู่หรือป่าววะ คนที่ตามหามาตลอดสองเดือนทำไมมาโผล่อยู่ตรงหน้า ที่สำคัญ มีวิปครีปจากเครปในมือผม แปะอยู่บนเสื้อช้อปของพี่เขาด้วย !!!




พระเจ้าช่วย กล้วยนูเทลล่า





“เห้ยน้อง อะไรเนี้ย”



ฮือออ แค่เสียงก็รู้แล้วครับว่ากำลังเดือด


“ขะ ขอโทษครับ ผะ ผมไม่ทันเห็นว่าพี่ยืนอยู่” ใจเย็นไว้ไอ้ยาง ฮืออ พึ่งเคยตกใจจนติดอ่าง

“เดี๋ยวผมเช็คให้นะครับ” ผมกังวลกลัวพี่เขาโกธร จนรีบยื่นมือออกไป ตั้งใจจะเช็คคราบสกปรกทั้งมือเปล่า

อ้ะใช่! ผมมีทิชชูเปียกอยู่ในเป้ พอนึกขึ้นได้ก็รีบล่ะมือออกมาควานหาห่อทิชชู่เปียกในกระเป๋า เวลารีบๆร้นๆแบบนี้หาของไม่เจอทุกที ฮือ


นายหัวช่วยน้ำยางด้วย





“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็ซักแล้ว เข้าห้องไปเลยไป” พี่เขาปัดมือผมทิ้ง ตอนที่ผมจะใช้ทิชชูเปียกเช็คออกให้

ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยครับ พี่คนหล่อแต่เกี้ยวกราดก็ไขกุญแจหายเข้าไปในห้องเป็นที่เรียบร้อย


ฮืออออออ โกธรกูแน่ๆ



บทจะเจอกัน ก็ได้เจอแบบดื้อๆอย่างนี้เลยหรอ แต่สถานการณ์ถือว่าโคตรแย่


พล๊อตละครมันก็ชีวิตจริงไอ้น้ำยางตอนเลยล่ะครับ ฮือออ




หลังจากพี่คนหล่อหายเข้าไปในห้อง ผมยังคงยืนซื่อบื้ออยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน จนตั้งสติได้ก็ไขกุญแจเข้าห้อง ขนมในมือไม่มีอารมณ์กินแล้วครับ แช่ตู้เย็นไว้ก่อนแล้วกัน จะกินได้อีกไหมช่างมันครับ ไม่อยากกินแล้ว ฮึกกก


ผมกระวนกระวายใจไม่รู้จะทำยังไง อาการเหนื่อยล้า ง่วงนอนที่มีอยู่ก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนตัดสินใจไลน์ไปหาเดอะแก๊งภูธรของผม
ไม่ได้ครับ ผมต้องการบ่นกับใครสักคน เก็บไว้คนเดียวแบบนี้ไอ้น้ำยางจะเป็นบ้าเอา


Chat Group : บ้านดอนคิ้วท์บอย (3)
[/b]

NamyoungP.
00:15 พวกมึงงงงงงงงงงงง
กูเจอพี่เขาแล้ว
โคตรบังเอิญ อยู่ห้องตรงข้ามกันเลย
เชี้ยยยยย
แล้วกูดันไปก่อเรื่องไว้อีก
ฮืออออออออ


Titeeeee
ฉาวอะไรอิน้ำยาง คนอีนอน 00.17
(โวยวายอะไรน้ำยาง คนจะนอน)
พี่ไหนของมึงหล่าว
(พี่อะไรของมึงอีก)

PineTree
พี่สอยเดือนของมันไง มึงลืมแล้วหรอ 00.18
เชี้ยยยย ถ้าห้องข้างกัน กูจะยุให้มึงปีนระเบียงห้องค่ะ อิยาง
 
Titeeeee
วรั๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย น้องน้ำยางเจอว่าที่ผัวแล้ว 00.18

NamyoungP.
00.20 กูตกใจ
ไม่คิดว่าจะอยู่ใกล้ขนาดนี้
ทำไงดีวะ
พวกมึงว่าพี่เขาจำกูได้ม่ะ


Titeeeee
ถ้ามึงเรียนรู้สกิลอ่อยผู้จากพวกกูไปบ้าง  00.20
คงไม่ได้ยินคำถามโง่ๆจากมึงแบบนี้สินะ
ลุยซิคะ รอนายหัวมึงมาเป่านกหวีดหรือไง
ทำแบบที่อิพายทรีบอกมึงก็ได้นะ
ปีนระเบียงค่ะลูก!!

PineTree
ปีนยังไงล่ะอิผี ห้องมันอยู่ตรงข้ามกัน
แหลงไม่รู้หวันหล่าวหนามึงนิ
(พูดอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้วนะมึง)
กูพึ่งแหลงไปหยกๆ มึงเหิดหน้าขึ้นไปอ่านแลถิ 00.22
(กูพึ่งพูดไปเมื่อกี้ มึงลองเลื่อนขึ้นไปดู)

Titeeeee
อรรถรสมั้ยล่ะ ดีออกกกกก
อิยาง มึงตายหรือยัง
เงียบบบบ 00.23

NamyoungP.
00.24 ให้รุกแบบพวกมึง
กูไม่กล้า
กลัว

PineTree
พวกกูก็รับค่ะ อิเวนนนน 00.24

Titeeeee
ถถถถถถถถถถถถถ 00.24

NamyoungP.
00.24 คนละรุกมั้ย ไอ้สน
ขอตั้งสติก่อน
ไว้กูจะลองเข้าหาพี่เขาด้วยวิธีของกูก็แล้วกัน
ถ้าพลาดเมื่อไร ตามพี่ปาล์มให้กูด้วย
ฮือออออ

Titeeeee
จ้า น้องน้ำยาง
เดี๋ยวพี่สะใภ้คนนี้จะยอมให้สามีกลับไปหาน้องชายทันทีเลย 00.25

PineTree
กูจะแคปหน้าจอส่งไปให้พี่ปาล์มดู 00.25

Titeeeee
อิสัสส หยุด!!!!!!! 00.25



ผมละมือออกจากสมาร์ทโฟนของตัวเอง ก่อนจะมุดตัวลงใต้ผ้าห่ม ในหัวยังคงนึกวนเวียนอยู่กับจังหวะที่เงยหน้าขึ้นไปเจอใบหน้าดุที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของพี่เขา คนที่ผมเฝ้าคิดถึง อยากเจออยู่ทุกวัน

ถึงแม้จะรู้ตัวตั้งแต่เด็กๆว่าไม่มีใจใฝ่หาเพศตรงข้ามอย่างที่ควรจะเป็น แต่ใช่ว่าที่ผ่านมาผมจะเคยตกหลุมผู้ชายคนไหนจนใจสั่นแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกชอบใครสักคนจนอยากพยายามที่จะเข้าใกล้ อยากลองทั้งๆที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง


ใจดวงนี้จะมีสิทธิ์ไหม


แล้วพี่เขาจะรังเกียจคนท่าทางนุ่มนิ่ม ที่ไม่ตุ้งติ้งออกสาว แต่ก็ไม่มาดแมนแบบผู้ชายทั่วๆไปอย่างน้ำยางคนนี้หรือเปล่า


ถ้าไม่ลอง ก็ไม่มีทางรู้


เอาวะ ลุยยย !!!!




Tbc.




ถ้ายังมีคำผิดหลงเหลืออยู่ ขอโืษด้วยนะคะ
ตอนที่ผ่านมายังมีคำผิดโผล่มาอีกจนได้ ไว้เราจะเข้าไปแก้ใหม่นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาและขอบคุณมากๆสำหรับคนที่เข้ามาแสดงความเห็นนะคะ
เราพึ่งหัดเขียนเป็นเรื่องแรก ภาษายังไม่ไม่ไหลลืนเลย แต่เราจะพยายามทำให้ดีขึ้นในทุกๆตอนนะคะ
หวังว่าจะอยู่เป็นกำลังใจให้กันจนถึงตอนจบนะจ้า

ฝากน้องน้ำยางไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ~
 :กอด1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ AevvAewww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารน้ำยางจังเลยค่ะ เจอคนพี่ทีไรคนพี่เกรี้ยวกราดใส่ทุกที เป็นกำลังใจให้และติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ooomukooo

  • AngieAngel
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • AngieAngel

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนที่ 4 ผมชื่อน้ำยางเพราะบ้านทำสวนยางครับ
[/b]



   ผมค่อยๆแง้มประตูห้องตัวเองให้เปิดออกอย่างช้าๆ ด้วยกลัวว่าจะจ๊ะเอ๋เข้ากับเจ้าของห้องฝั่งตรงข้าม เมื่อโผล่แค่หัวออกมาสังเกตการณ์แล้วไม่เจอความเคลื่อนไหวใด ผมจึงค่อยย่องออกมาจากห้อง ก่อนจะปิดประตูกลับคืนด้วยเสียงที่เบาที่สุด นี่ก็ไม่รู้ว่าระวังแบบนี้ไปทำไม ร่างกายมันระแวงจนเป็นไปเองแบบอัตโนมัติ เมื่อออกมายืนอยู่ตรงกลางทางเดินระหว่างห้องตัวเองและห้องของพี่ดีนแล้ว ผมจึงค่อยๆนำถุงคุกกี้ช็อกโกแลตเจ้าอร่อยในมือ ไปแขวนไว้กับกลอนประตูห้องฝั่งตรงข้าม การกระทำของผมถ้าใครมาเห็นคงขำน่าดู เพราะผมระมัดระวังการเคลื่อนไหวตั้งแต่ย่างเท้าออกมาจากห้อง จนนำคุกกี้ไปแขวนไว้ เหมือนถ้าพลาดไปนิดเดียวจะเกิดสัญญาณไฟไหม้ดังสนั่นไปทั้งตึก   


“เจ้านี้อร่อยมาก ยางแบ่งให้พี่ดีนนะ” ผมกระซิบบอกกับบานประตูตรงหน้า ยิ้มจินตนาการว่าถ้าพี่เขาได้กินขนมแล้วจะชอบเหมือนกับผมไหม ก่อนจะค่อยๆย่องออกไปตามทางเดินเหมือนแมวขโมยอยู่สองสามก้าว ก่อนจะวิ่งปรู๊ด 4x100 ลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว


   ผมมาถึงห้องเรียนก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วันนี้ไม่มีเรื่องตอนเช้าครับ แต่สภาพร่างกายตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนอดหลับอดนอน ทั้งๆที่เมื่อวานเรียนและทำกิจกรรมตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น สูบพลังออกจากร่างกายไปจนหมด ถ้าไม่เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดว่าจะเจอใครเข้า เมื่อคืนคงเป็นอีกคืนที่ผมหลับสนิทเหมือนซ้อมตายอย่างที่ผ่านมา


แต่ไม่ใช่เลย


ตาค้างยิ่งกว่ากินกาแฟกดในเซเว่น บวกกับซัดกระทิงแดงไปอีกสองขวด


ผมพยามข่มตาให้หลับยังไงก็ไม่สำเร็จ พลิกตัวไปมาจนแล้วจนรอดก็เผลอหลับไปตอนที่นาฬิกาใกล้ปลุก ถ้าไม่ติดว่าต้องตื่นมาอ่านหนังสือเตรียมควิซ ผมคงโยนมือถือลงข้างเตียงแล้วหลับต่อไปแล้ว


“ทำไมตาเป็นหมีแพนด้าแบบนี้วะ” ฝุ่น เพื่อนร่วมคณะที่ถือว่าเป็นเพื่อนคนแรกของผม เอ่ยทักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ชะโงกหน้ามองหน้ามึนๆของผม


ง่วงจะตายแล้วอยู่ ตอนนี้ผมคิดถึงแต่เตียงที่ห้องครับ


“หวัดดี เรานอนไปนิดเดียวอ่ะ”

“โหย ฟิตหรอ สอบย่อยเอง นี่หวังท็อปเลยหรือไง”

“ฟิตบ้าอะไร เราพึ่งตื่นมาอ่านเมื่อเช้านี่เอง ง่วงเป็นบ้า” ผมเบะปากใส่มัน เข้าโหมดเซฟพลังงานตัวเองอยู่ ไม่อยากพูดคุยกับใครเลยครับ เตียงจ๋า~
 
“ก็นึกว่าตั้งใจอ่านหนังสือไม่หลับไม่นอน” ฝุ่นหัวเราะเบาๆ เอามือมันมาวางไว้บนหัวผมแล้วโยกไปมา

ฮืออ ทำแบบนี้ยิ่งอยากนอน



   ลืมบอกอีกแล้วครับ ว่าผมเข้าเรียนที่มหาลัยแห่งนี้เพียงคนเดียว เพื่อนสนิทอย่างสนธยาและตรีจักรไม่ได้เรียนที่นี่ด้วย
ตรีเรียนต่อที่มหาลัยอีกแห่งในกรุงเทพมหานคร แต่อยู่ห่างจากมหาลัยของผมไปไกลเลยครับ ผมอยู่แถวๆปริมณฑล ส่วนไอ้ตรีมันอยู่ใจกลางเมืองเลย ส่วนสนสอบติดคณะแพทย์ในมหาวิทยาลัยประจำภาคใต้ มันเลยแยกไปอยู่หาดใหญ่คนเดียว แต่ก็ดูมีความสุขไม่ได้เหงาเพราะห่างพวกผมเลยครับ มันบอกว่าเด็กหาดใหญ่ก็แช่บลืม ฮ่า~



หลังจากทำควิซเสร็จแล้วอาจารย์จึงอนุญาตให้แยกย้ายได้ โชคดีที่ควิซครั้งนี้ยังไม่ใช่เนื้อหายาก ไม่งั้นผมตายแน่ๆครับ เทอมแรกในรั้วมหาลัยยังคงเป็นวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน  เหมือนเรียบปรับพื้นฐานเนื้อหาทั้งหมดก่อน แต่ก็เริ่มลงลึกบ้างในบางบท เทอมสองถึงจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทางด้านทันตกรรม ตอนนี้เรายังเรียนรวมกันหลายคณะสายวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ มีบางวิชาที่เรียนรวมกับคณะอื่นอย่าง วิศวะ นิเทศ และ ศิลปกรรม ด้วยครับ


 ตอนนี้มีเวลาเหลืออีกเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนจะเข้าประชุมเชียร์ ผมขอตัวไปงีบก่อนดีกว่า ไม่งั้นตอนเข้าร่วมกิจกรรมผมล้มแน่ๆครับ ผมปลีกตัวจากเพื่อนเพื่อแอบมางีบหลับในห้องสมุดประจำคณะ อดข้าวเย็นไปก่อนแล้วกัน ถ้าหิวค่อยกินขนมที่มีติดกระเป๋า เลิกประชุมแล้วค่อยไปหาอะไรกินทีเดียวเลย


   ถือว่าผมตัดสินใจถูกที่ยอมอดมื้อเย็นแล้วไปงีบเอาแรง เพราะวันนี้ไม่รู้พี่เชียร์ไปหงุดหงิดอะไรมาถึงได้สั่งพวกเราร้องเพลงและบูมไม่หยุดจนตอนนี้หมดสภาพแล้วครับ แฮ่กกก


ถึงแม้ว่าการประชุมเชียร์ในคณะผมไม่ได้เคร่งขัดหรือดุดันอย่างคณะวิศวะ แต่ก็ถือว่าเข้มข้นจนคุยกับชาวบ้านเขาได้เหมือนกันว่าเราก็ผ่านกิจกรรมแบบนี้มาก่อน หลังจากเลิกเชียร์แล้วผมก็อาศัยเส้นทางเดิมจากตึกคณะกลับไปยังหอพัก กะว่าจะแวะเซเว่นใกล้หอ ซื้อข้าวขึ้นไปกินบนห้อง หมดแรงไปร้านขายข้าวแล้วครับ


แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวผ่านประตูร้านสะดวกซื้อ สายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ดีนยืนอยู่หน้าหอพักพร้อมกับถุงคุกกี้หน้าตาคุ้นๆที่กำลังจะลงถังขยะ


ฉิบหาย



“เฮ้ย!!! พี่!!!!” ผมรีบวิ่งไปคว้ามือแกร่งของพี่ดีนไว้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจผม

ฮืออ นั่นมันคุกกี้ของผมนะ

“อะไร” ตาคมดุซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ตวัดมาผมจนตัวแข็งกึก

เกี้ยวกราดอีกแล้ว

“พี่จะทำอะไร” ผมถามเสียงดัง มือยังคงจับแขนพี่เขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ทิ้ง”

“ทิ้งไม่ได้”

“ทำไม อยากกิน?”

“ไม่ใช่ แต่พี่จะทิ้งทำไมอ่ะ” ผมเอ่ยแก้ตัว ใครอยากกินคุกกี้กันเล่า

“ของใครก็ไม่รู้ จะทิ้งก็ไม่แปลก” พี่คนหล่อเลิกคิ้ว ยังคงใช้สายตาแบบเดิมมองผม

 “ของผม ไม่ให้ทิ้ง”

“ของน้อง?”

“ให้พี่” ผมเอ่ยอ่อมแอ้ม ก่อนจะเสยตาหลบไปหนึ่งจังหวะ แหะๆ มันเขินหน่ะครับ ก่อนจะทำใจกล้าหันไปสบตาดุอีกครั้ง

“เอามาแขวนไว้หน้าห้องหรอ”

“ครับ แทนคำขอโทษที่ผมทำเสื้อพี่เลอะ”

“ที่หลังจะให้อะไรใคร เขียนที่มาที่ไปด้วยล่ะ เอามาแขวนไว้ดื้อๆแบบนี้ใครจะกิน”

“ผมกิน”

แหะๆ ขอโทษครับ หลุดปากไปหน่อย แต่ก็คิดตามถ้าจู่ๆมีใครเอาของกินมาแขวนทิ้งไว้ไม่มีที่มาที่ไป แต่ถ้าของกินเหล่านั้นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ บรรจุภัณฑ์ไม่ฉีกขาด ผมก็กินได้หมดแหละครับ เดี๋ยวคนให้เขาจะเสียงน้ำใจ อิอิ

“หึ” ทำไมพี่ทำเสียงแบบนี้ล่ะครับ

“เอ่อ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงพึ่งเอามาทิ้งล่ะครับ” ผมถามกลับไป เพราะคิดดูแล้วจากเวลาที่ผมนำขนมไปแขวนไว้จนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วโมง

“พึ่งเห็นตอนจะลงมาข้างล่าง”

“พึ่งเห็น?” แบบนี้ก็แสดงว่าพี่ดีนไม่ได้ออกไปไหนเลยทั้งวัน

“อื้อ พึ่งตื่น”

“ห๊ะ” ผมเจอพี่ดีนล่าสุดก็เมื่อคืนในช่วงเวลาเดียวกัน นี่ผ่านมาครบ 24 ชั่วโมง อย่าบอกนะว่าพี่หลับน็อครอบ

“เออ”


เหอะๆๆ ไม่หลุดลุคเกี้ยวกราดของตัวเองเลยครับ

“เอ่อ คือ…พี่ลงมาหาอะไรกินหรอครับ”

“อื้อ”

“ถ้าอย่างนั้น ให้ผมเลี้ยงข้าวพี่เป็นการขอโทษอีกครั้งได้ไหมครับ คือพอดีผมพึ่งเลิกประชุมเชียร์ หิวมากเลย ปะ..ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ” เอ่ยชวนไปแล้วก็แทบจะแอบกลั้นหายใจรอคำตอบ ลุ้นจนลืมหายใจเลยครับ

“เอาดิ” เมื่อพี่เขาพยักหน้าตอบรับ ผมก็เผลอหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ






   ตอนนี้พวกเรามานั่งอยู่ในร้านอาหารตามสั่งที่เปิดให้บริเวณจนถึงดึกดื่น ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน ผมยังเลี่ยงที่จะมาทานข้าวที่ร้านนี้เลยครับ เหอะๆ ใจง่ายดีแท้ ไอ้น้ำยาง

“พี่สั่งอะไรดีครับ” ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษจนรายการอาหาร เขียนสั่งข้าวคลุกกระเพราหมูสับ ไข่เจียว ให้ตัวเอง

“ข้าวผัดทะเลพิเศษ แล้วก็ชาเย็น” พี่เขาบอกรายการอาหารที่อยากทานให้ผมจดลงไปในกระดาษ ท่าทีสบายๆของพี่เขาทำให้ผมหายอึดอัดไปได้เยอะเลยครับ

“กินชาเย็นตอนเที่ยงคืนจะนอนหลับหรือครับ”

“ไม่มีผลอะไรหรอก”

ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลุกไปเสียบแผ่นรายการอาหารไว้ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าร้าน ก่อนจะกลับมานั่งลงที่เดิมตรงข้ามพี่เขา

“เอ่อ…พี่จำผมได้หรือป่าวครับ” เพราะไม่อยากให้ระหว่างเรามันเงียบจนน่าอึดอัด จึงพยายามหาเรื่องคุยกับพี่เขา

“จำได้ เสื้อกูยังเป็นคราบขนมมึงอยู่เลย” พี่ดีนกระตุกยิ้มขึ้นมาหน่อยจนผมเชียวสันหลังวาบ คนอะไรท่าทางน่ากลัวฉิบเป๋ง แต่ก็โคตรหล่อเลยครับ ฮือออ

“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เมื่อวาน”

“แล้วเมื่อไร”

“ก็ เอ่อ..” ผมเงียบคำก่อนจะก้มหน้างุด หันไปเล่นหลอดในแก้วเป๊ปซี่ของตัวเอง ใจนึกสับสนว่าควรเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ในคืนลอยกระทงเมื่อสองปีก่อนดีไหม

“ก็อะไร”

“เอ่อ…ลอยกระทง” เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

“หึ”

ผมค่อยๆเหลือบสายตาไปมองพี่เขา ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวทิ้งสายตาไว้ที่ผมอยู่ก่อน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟตรงหน้า ผมจึงทำเป็นหันเหความสนใจไปที่กล่องใส่ช้อนส้อมแทน ไม่กล้าถามแล้วครับ กินก่อนดีกว่า

“จำได้” จู่พี่เขาเอ่ยขึ้นมาจนผมต้องชะงักช้อนในมือที่กำลังเตรียมจะเข้าปาก

“ห๊ะ”

“มึงไง ไอ้เด็กจุ้นจ้านคนนั้น” พี่ดีนตอบให้ผมคล้ายความสงสัย พี่เขาจำผมได้ครับ ผมเผลอยิ้มดีใจออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่

“จริงดิพี่ จำได้จริงๆนะ”

“เออดิ”

“แล้วพี่ชื่ออะไรอ่ะ บอกผมได้หรือยัง” จริงๆผมทราบชื่อพี่เขาจากพี่ตองพี่สาวไอ้ตรีมาแล้วครับ แต่ผมยังอยากให้พี่เขาแนะนำตัวเองให้ผมรู้จักอยู่ดี

“ดีน”

“ผมชื่อน้ำยางครับ” ผมยิ้มกว้าง แนะนำตัวเองให้พี่เขารู้จัก

“หืม ชื่อแปลก ทำไมชื่อน้ำยาง”

“ที่บ้านทำสวนยางครับ”

“เป็นคนใต้หรอ ดูไม่เหมือน” พี่ดีนเลิกคิ้วอย่างสงสัย มือยังคงตักข้าวเข้าปากด้วยท่าที่ดูสบายๆ ทำให้บรรยากาศระหว่างเราไม่เหมือนคนแปลกหน้าที่พึ่งรู้จักกัน


ผมขออนุญาต ดีใจได้ไหมครับ


“ครับ แล้วคนใต้ต้องแบบไหนอ่ะ” ผมเริ่มจะชินแล้วแหละครับ เพราะตั้งแต่เข้ามหาลัยมา ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมแล้วให้แนะนำตัว พอบอกไปว่าเป็นเด็กใต้ ทุกคนแปลกใจกันใหญ่ อาจจะเพราะผมไม่มีผิวสีแทนเหมือนน้ำผึ้งอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจว่าคนใต้ต้องผิวคล้ำ พูดเสียงดัง ถ้าไม่พูดออกมาบางครั้งก็ไม่มีใครรู้เลยครับว่าเป็นคนใต้ เพราะตอนนี้ผมยังติดพูดทองแดงอยู่เลยครับ แฮ่

“ไม่รู้สิ” พี่ดีนไหวไหล่ปล่อยผ่านเหมือนไม่ได้จริงจังอะไร

“แล้วทำไมพี่ถึงชื่อดีนหรอครับ” ผมเองก็แอบสงสัยถึงที่มาที่ไปของชื่อพี่เขาเหมือนกัน

“ตอนเกิดพ่อกูได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคณบดีพอดี ก็ตรงตัว”

อ่อออ พ่อเป็นดีน ลูกเลยชื่อดีน

“แล้วตอนนี้คุณพ่อพี่ดีนเป็นคณบดีอยู่ที่ไหนหรอครับ”

“ไม่ได้เป็นดีนแล้ว เป็นอธิการบดีของมหาลัยเราเนี่ยแหละ”

แค่ก แค่กๆ ผมไอตัวโขกเพราะคำตอบของพี่เขา


ฉิบหายแล้วครับ


นี่ผมแอบชอบลูกชายท่านอธิการบดีมหาลัย แบบนี้ผมจะโดนท่านไล่ออกไหมครับ เกิดพ่อพี่ดีนทราบความจริงว่าผมอยากได้ลูกชายเขา ฮือออ


 “ค่อยๆเคี้ยว ไม่ต้องรีบกิน” พี่ดีนบอกประกอบกับเคลื่อนกล่องใส่กระดาษทิชชูมาให้ผม อยากบอกพี่เขาเหมือนกันครับ ว่าที่ผมสำลักไม่ใช่เพราะรีบเคี้ยวหรอก แต่เพราะพ่อพี่เลย

“แค่กๆ แสบคอ” ผมกินข้าวคลุกกระเพราที่ค่อนข้างเผ็ด สำลักแบบนี้น้ำตาไหลเลยครับ แสบคอไปหมด

“แล้วนั่นทำไมไม่กินใบกระเพรา” เมื่อเห็นว่าอาการของผมกลับมาปกติ พี่ดีนเลยเอ่ยถามขึ้นเมื่อมองมายังจานข้าวของผมที่เขี่ยเอาใบกระเพราและพริกมาไว้ตรงขอบจาน

“ไม่กินครับ” ผมชอบทานกระเพรา แต่ไม่ชอบกินใบมันเท่าไร ชอบแค่ให้มีกลิ่นติดในเนื้อสัตว์เฉยๆ

“สั่งกระเพรา แต่ไม่กินกระเพรา?”

“ก็ไม่ชอบกินผักมีกลิ่นฉุนอ่ะ” ผมยู่ปากเหมือนนึกถึงผักที่ตัวเองไม่ชอบกินอย่าง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม ผักชี

“เลือกกินถึงได้เตี้ยไง” พี่ดีนหัวเราะหึ เหมือนที่เขาชอบทำก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานต่อจนหมด



 เมื่อทานมื้อดึกเสร็จแล้วเราสองคนก็มีเรื่องให้เถียงกันอีกแล้วครับ เพราะพี่ดีนไม่ยอมให้ผมเลี้ยงตามที่บอกตั้งแต่แรก ยืนยันจะจ่ายของตัวเองไม่ให้ผมออกให้เด็ดขาด

“ผมบอกพี่แล้วไงว่าจะเลี้ยงแทนคำขอโทษ”

“กูจ่ายเองได้ ไม่ต้อง” พี่เขาหยิบเงินที่ผมจ่ายค่าข้าวทั้งหมดออกมาจากมือลุงเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะเปลี่ยนเอาเงินค่าข้าวของตัวเองยื่นให้คุณลุง ก่อนจะเอาเงินที่หยิบมาจากคุณลุงยัดใส่มือผม


“แต่ผมตั้งใจจะเลี้ยง”

“ทำงานหาเงินได้แล้วหรือไง จะมาเลี้ยงคนอื่นแบบนี้”

จ่อยเลยครับ ผมแค่อยากขอโทษเองนะ

“แค่ห้าสิบบาทเอง ทำไมต้องว่าด้วย” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างติดเป็นนิสัย

“กูไม่ได้ว่า แค่บอก” 


แต่ช่างมันเถอะครับ ถึงยังไงมื้อนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ดูเหมือนพี่ดีนจะไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด แบบนี้ผมมีลุ้นจะได้ใกล้ชิดทำความสนิทกับพี่เขามาขึ้นแล้วล่ะครับ


“เอ่อ พี่ดีน” ผมเอ่ยรั้งพี่เขาไว้เมื่อเราต่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของตัวเอง

“ไว้เราไปกินข้าวด้วยกันอีกได้ไหมครับ”

เมื่อเห็นว่าพี่ดีนยังคงเงียบไม่ตอบรับคำชวน ผมจึงรีบเอ่ยขยายความอีกหน่อย ให้ที่เขาเห็นใจนิดๆว่าเหตุผลที่ชวนเพราะผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว


“คือผมพึ่งย้ายมาอยู่กรุงเทพยังไม่ค่อยรู้จักที่ไหนเลย กินข้าวคนเดียวแล้วมันเหงาอ่ะพี่ คิดถึงบ้าน”


“เพื่อนไม่คบหรือไง”


“ห๊ะ?” อ้าวฉิบหาย


“กะ ก็เพื่อนผมมันไม่มีใครพักหอพักแถวนี้เลย กลุ่มที่อยู่หอในก็ชอบจับกลุ่มไปด้วยกัน ส่วนคนที่พักที่บ้านก็รีบกลับเพราะกลัวถึงบ้านช้า” มั่วไปก่อนครับ จริงๆเพื่อนกินข้าวผมก็พอมีอยู่หรอก แต่ผมอยากไปกับพี่ดีนอ่ะ


“เออๆ ถ้ากูว่างนะ” พี่ดีนบอกตกลงเหมือนพูดไปอย่างนั้นแหละครับ ผมพอจะดูอาการพี่แกออก แต่เชื่อไอ้ยางเถอะ ลองรับปากมาแบบนี้แล้ว ผมจำแม่นจดลงบัญชีหนังหมา ถ้าพี่แกหายหน้าไปไม่ยอมไปกินข้าวกับผมอีก ผมจะตามติดยิ่งกว่าอึปลาทองให้รำคาญกันไปข้างเลยล่ะครับ ก็พี่เขารับปากแล้วนี่นา ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้นสิครับ ห้ามคืนคำ อิอิ


Tbc.



ขอบคุณที่แวะมาอ่าน แล้วก็ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้นท์นะจ้ะ
ตอนนี้เรามาลงอาทิตย์ล่ะครั้ง แต่ถ้าแต่งได้หลายตอนแล้วจะมาลงถี่กว่านี้นะคะ
เรื่องนี้ไม่ดราม่าจ้า ฟีลเรื่อยๆ มาดูน้องน้ำยางจีบพี่ดีนกันนนน
ขอบคุณค่าาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 02:26:19 โดย เช้าวันพุธ »

ออฟไลน์ ooomukooo

  • AngieAngel
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • AngieAngel
ชอบ ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์แล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนที่ 5 ใครจะไปอยากกินบอระเพ็ด
   



หลังจากแยกย้ายกันไปในคืนนั้น ผมก็ไม่เจอพี่ดีนอีกเลยครับ ผิดจากที่ผมเดาไว้เสียที่ไหนกัน ก็คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ ว่าเราคงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ผมยังคงวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมและการเรียน ตอนนี้จวนใกล้จะจบกิจกรรมรับน้องที่แสนยาวนานแล้วล่ะครับ รุ่นพี่บอกว่าจะปิดท้ายกิจกรรมรับน้องด้วยการรับน้องรวมทั้งมหาลัย โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคณะจะถูกจับคละให้มาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ แล้วทำกิจกรรมตามฐานที่มีรุ่นพี่จากคณะต่างๆตั้งฐานไว้ให้น้องคณะล่ะ 1 ฐาน รับรองว่างานนี้เละเทะครับ หลังจากนั้นก็ปิดท้ายด้วยงานเฟรชชี่ไนท์ โดยมีคอนเสิร์ต มีเพลงให้พวกเราได้ปล่อยผีกันให้เต็มที่ แค่ได้ยินผมก็นับวันรอแล้วล่ะครับ น่าสนุกอ่ะ



และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันสุดท้ายของกิจกรรมรับน้อง พวกเราปีหนึ่งถูกพี่ๆนัดแนะให้มารายงานตัวกันที่หอประชุมกลางของมหาลัยในเวลา 7.30 เป็นเวลาโคตรเช้าของใครหลายๆคน แต่เป็นเวลาปกติสำหรับผมตื่นเช้าอยู่เป็นประจำ
เช้านี้ผมจึงสดชื่นมากๆ ถ้าเทียบกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้


“โคตรง่วงเลยวะ นัดมาตั้งแต่เช้า” ไอ้ฝุ่นครับ มันนั่งหาววอดๆ เอาหัวมาพิงไหล่ผม รอเวลาพี่เขานัดรวมกลุ่มเพราะตอนนี้คนยังมารายงานตัวไม่ครบ


โชคดีที่ผมกับฝุ่นได้อยู่กลุ่มเดียวกัน อย่างน้อยๆมีเพื่อนที่รู้จักอยู่ด้วยกันทั้งวันก็น่าจะอุ่นใจกว่า แล้วกิจกรรมส่วนใหญ่ผมเดาว่าถ้าไม่ทำเป็นกลุ่มใหญ่ก็ให้จับคู่ แบบนี้มีเพื่อนไว้สบายใจกว่าครับ


“เราหิวอ่ะ ฝุ่นหิวมั้ย ไปหาอะไรกินกันตอนนี้จะทันมั้ยวะ” ผมเอ่ยชวนเพื่อนสนิทที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เมื่อเช้าผมตื่นเต้นจนกลัวว่าจะมาไม่ทันเลยไม่ได้กินอะไรรองท้องมาจากห้องเลยครับ ตอนนี้กระเพาะผมเริ่มประท้วงขออาหารแล้ว แง้


“ในกระเป๋าโดราเอมอนมึงไม่มีของกินติดมาเลยหรือไง” ไอ้ฝุ่นยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ผม เอ่ยพึมพำๆ ให้ผมหาของกินในกระเป๋า ปกติผมชอบพกของเผื่อไว้ในกระเป๋าหน่ะครับ ทั้งของใช้ ของกิน เพื่อนเลยเรียกกระเป๋าผมว่ากระเป๋าโดราเอม่อน
มีครึ่งหนึ่งเพื่อนผู้หญิงในคลาสที่เรียนด้วยกัน เกิดปวดท้องประจำเดือนอย่างหนักจนตัวงอ ปรากฏว่าในกระเป๋าผมมียาแก้ปวดท้องประจำเดือนอยู่ด้วยครับ อายโคตร แต่ผมไม่ได้มีประจำเดือนอย่างผู้หญิงหรอกนะครับ อย่าตกใจไป เหอะๆ ผมพกไว้เวลาปวดหัวมากๆแล้วยาพาราเอาไม่อยู่ เลยต้องกินพอนสแตนแทน


“เรามีแค่คิทแคทอันเดียวเอง ไม่อิ่มอ่ะ” ผมลองล้วงหาของกินในกระเป๋าแล้วครับ แต่เจอแค่ห่อช็อกโกแลตรูปร่างบูดเบี้ยวที่เปลี่ยนรูปร่างไปเพราะอากาศร้อน


“ลองขอพี่ประจำกลุ่มดูว่าออกไปซื้อของกินตอนนี้ทันไหม” ฝุ่นมันยอมเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยกมือเรียกพี่ประจำกลุ่ม

“น้องมีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่าค่ะ” พี่คนสวยคนนี้ชื่อว่าพี่ปรางครับ เรียนอยู่คณะวิศวะชั้นปีที่2

“คือเพื่อนผมมันหิวหน่ะครับ เลยจะขออนุญาตออกไปซื้อของกิน”

“ออกไปตอนนี้พี่กลัวว่าจะไม่ทัน แต่ถ้าน้องน้ำยางหิว เดี๋ยวพี่ไปขอขนมปังจากพี่สวัสดิ์การให้นะคะ รอแปปนึงนะ” พี่ปรางหันมายิ้มให้ผมแล้วรีบละออกไปจนผมรั้งไว้ไม่ทัน รู้สึกไม่ดีเลยครับที่ผมได้กินแต่คนอื่นไม่ได้กิน


แต่ผ่านไปสักพักหลังจากที่พี่ปรางไปคุยกับพี่ประธานนักศึกษาผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าคุมกิจกรรมรับน้องในครั้งนี้ ผมก็เห็นพี่ๆสวัสดิ์การนำขนมและนมมาแจกพวกเราคนล่ะชุด


ผมยิ้มดีใจที่เห็นว่าทุกคนก็ได้กินไม่ใช่มีแค่ผม เช้าๆแบบนี้คงไม่มีใครทานมื้อเช้ามาหรอกครับ บางทีพวกพี่ๆเขาอาจจะเตรียมการไว้อยู่แล้ว


หลังจากกินขนมลองท้องกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ๆสันทนาการก็สั่งพวกเราจัดแถวเรียงตามกลุ่มที่แบ่งไว้ โดยมีผ้าสีต่างๆพันไว้ที่คอ กลุ่มของผมได้สีแดงครับ สมาชิกในกลุ่มมีกันทั้งหมด 30คน พี่ประธานนักศึกษารับหน้าที่เป็นพิธีกรเอ่ยต้อนรับและอธิบายรายละเอียดกิจกรรมว่ามีกี่ฐานที่พวกเราต้องเจอ ช่วงเช้าใช้เวลาถึงกี่โมง พักเที่ยงทานข้าวที่ไหน แล้วตอนเย็นหลังจบกิจกรรมฐานสุดท้ายแล้วให้พวกเรากลับมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง หลังจากกล่าวจบก็ได้เวลาเริ่มทำกิจกรรมในฐานแรกกันเลยครับ



ฐานแรกที่กลุ่มผมเจอเป็นฐานของพี่ๆคณะแพทย์และพยาบาล ฐานนี้ถือว่าเบาหน่อย เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลอะเทอะเท่าไร
ผมได้จุกมาบนหัวสองจุก กับรอยอะไรสักอย่างบนใบหน้าที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เห็นเพราะไม่มีกระจกอยู่แถวนี้เลยครับ


ก่อนเริ่มกิจกรรมพวกพี่เขาให้เราฝากของมีค่าต่างๆไว้กับพี่ประจำกลุ่มแล้วเอาไปรวมกันในห้องกิจกรรมนักศึกษา ล็อกประตูปิดตายไว้กันของหาย ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมจึงมีแค่เสื้อผ้ากับรองเท้าเท่านั้นแหละครับ พร้อมลุยเต็มที่


หลังจากผ่านมาสองฐานก็กินเวลาไปจนเกือบหมดช่วงเช้า ผมเลอะเทอะตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยครับ ทั้งสี ทั้งแป้ง ทั้งยางมัดผม สภาพตัวเองเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ดูจากสภาพเพื่อนๆในกลุ่มและไอ้ฝุ่นแล้ว ผมเองคงไม่ต่างกันเท่าไหร่


ฐานสุดท้ายในช่วงเช้ากลุ่มผมมาจบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ครับ เขาลือกันว่าคณะนี้รับน้องได้ถึงพริกถึงขิงที่สุด ผมเองก็แอบลุ้นว่าพี่เขาจะโหดขนาดไหน คงไม่มีแบบไม่พอใจแล้วสั่งวิ่งรอบสนามบอลหรอกนะครับ แบบนั้นผมยอมแพ้เลย ไม่สู้ แฮ่~


ว่าแต่ผมจะได้เจอพี่ดีนที่นี่ไหมนะ


อยากเจอจัง


แต่คิดถึงสภาพตัวเองตอนนี้ ไม่เจอก็ดีครับ 





“สวัสดีครับน้องๆปีหนึ่ง ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ฐานของพวกเราชาววิศวกรรมศาสตร์ โดยในฐานนี้จะแบ่งออกเป็นสามฐาน ฐานแรกจะมีพี่ปีสองเป็นคนคุม ส่วนฐานที่สองและสาม จะเป็นพี่ปีถัดไปตามลำดับ พวกเราจะใช้เวลาในฐานนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ได้เวลาพักทานข้าว ทุกคนทราบ!!” เสียงดุดันของพี่ประจำฐานคณะวิศวะเอ่ยแนะนำรายละเอียดของฐานนี้ให้ฟังอย่างหนักแน่นจนผมแอบจินตนาการถึงการประชุมเชียร์ของคณะนี้ออกเลยครับ แอบขนลุกเบาๆ ทั้งน่ากลัว ทั้งดูขลัง


“ทราบครับ/ค่ะ” เพราะพี่เขาบิ้วอารมณ์พวกเราให้คล้อยตามจนพวกผมต้องเอ่ยตอบรับพี่เขากลับไปอย่างหนักแน่น ตอนนี้ในหัวคิดแต่ว่าไม่ควรทำอะไรให้พี่ๆเขาขัดใจครับ กลัวโดนสั่งวิดพื้น แฮ่


ฐานแรกของคณะวิศวะเป็นการลวงไหแล้วให้ทายของในนั้นให้ถูกครับ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไปต่อฐานถัดไปไม่ได้ครับ ผมเกลียดการล้วงไหเพราะชอบจินตนาการไปถึงสิ่งน่ากลัวต่างๆซึ่งพี่เขาคงไม่เอามาเล่นหรอกครับ แต่ก็อดกลัวไม่ได้ ยิ่งถ้าลวงไปเจออะไรนิ่มๆ เย็นๆนะ ไอ้น้ำยางมีกรี๊ด เพราะผมจะคิดว่ามันคืองูครับ


สุดท้ายผมก็ผ่านด่านแรกมาได้เพราะสิ่งที่ล้วงไปเจอคือเงาะครับ บ้านผมรายล้อมไปด้วยต้นเงาะชนิดที่เกิดมาแล้วได้เจอเงาะเลยแบบนี้ง่ายมากครับ ถือว่าโชคดีไป


ฐานต่อไปเป็นของพี่ปี3


ฐานนี้เราจะต้องจับคู่ คนหนึ่งถูกปิดตาไว้ ให้อีกคนที่มองเห็นอุ้มขึ้นไป โดยมีหมวกกันน็อคติดเข็มไว้แทงลูกโป่งซึ่งผูกไว้บนคานให้แตก จับเวลา 30วินาที คู่ไหนลูกโป่งไม่แตก ต้องได้รับโทษให้เลือกระหว่าง กินน้ำแดงผสมบอรอเพ็ดให้หมดแก้ว หรือ ถูกราดด้วยถังน้ำเย็นผสมน้ำแข็ง ผมคิดไว้แล้วครับว่าถ้าแพ้ ผมยอมหนาวดีกว่าให้กินยาขม ฮือออ


ผมจับคู่กับไอ้ฝุ่นโดยที่ตัวเองเป็นคนถูกปิดตาให้มันแบกขึ้นหลัง ส่วนมันเป็นคนบอกทิศทางให้ผมขยับหัวไปแทงลูกโป่ง ตอนแรกผมคิดว่ามันง่ายครับ แต่สุดท้ายพวกเราก็แพ้ ไม่ทันเวลาที่กำหนด เพราะพวกพี่ๆเขาแกล้งจับเชือกที่ผูกลูกโป่งเหวี่ยงไปมาไม่ให้มันหยุดนิ่ง สรุปแล้วทั้งกลุ่มของผมมีคู่ที่ทำแตกไปแค่ 3 คู่เองครับ ที่เหลือต้องรับบทลงโทษไปตามระเบียบ


ผมเดินมานั่งรอรับโทษ โดนราดด้วยน้ำเย็น บรึ๋ยยยยย


ส่วนไอ้ฝุ่นมันยอมกินน้ำแดงผสมบอระเพ็ดครับ


ระหว่างที่รอพี่เขายกถังมา ผมก็นั่งกอดเข่าเตรียมพร้อม แต่สายตาก็ยังคงชะเง้อมองหาคนที่อยากเจอ


และพี่ดีนก็โผล่มา ….


มาพร้อมกับถังน้ำแข็งที่เตรียมจะราดผม !!



“พี่ขอป้ายชื่อด้วยครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจ้องพี่ดีน เมื่อพี่เขามาหยุดอยู่ตรงหน้า พี่ดีนคงจำผมไม่ได้ เพราะตอนนี้สภาพผมเละเทะมาก เชื่อว่าถ้าพ่อผมมาเห็นตัวเองตอนนี้ก็ไม่รู้หรอกครับว่าผมคือลูก


ผมค่อยๆถอดป้ายชื่อที่คล้องคอออกมา ยื่นมันให้กับพี่เขาโดยไม่พูดอะไร


“น้ำยาง?” พี่ดีนเลิกคิ้วถาม หลังจากเห็นป้ายชื่อ 


ผมดีใจที่พี่เขายังไม่ลืมผม


ไม่เจอหน้ากันเกือบสองอาทิตย์


“พี่ดีน” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อยเพราะไม่อยากโดนราด ถังน้ำที่พี่แกเตรียมมาไม่ใช่ขันเล็กๆเลยครับ มันคือถัง ถังที่มีให้เห็นตามห้องน้ำปั๊มน้ำมัน ฮือออ แข็งแน่ไอ้ยาง


“ทำไมมึงไม่เลือกกินน้ำ” พี่ดีนขมวดคิ้วถาม โดยที่ยังไม่ยกถังน้ำเย็นๆนั้นขึ้นมา


“ผมไม่อยากกิน มันขม”


“ไอ้ดีน มีอะไรหรือเปล่าวะ” เสียงเพื่อนพี่ดีนดังแทรกขึ้นมาหลังจากที่เราเผลอจ้องตากัน คงสงสัยว่าทำไมไม่ยอมราดน้ำใส่ผมสักที


“ไม่มีอะไร” พี่ดีนหันไปบอกเพื่อน ก่อนจะยกเอาถังใบนั้นขึ้นมา เตรียมตัวจะราดผม


“หึ มึงได้ป่วยแน่” หลังจากประโยคนั้นพี่ดีนจัดการเทน้ำลงบนตัวผม สัมผัสแรกที่กระทบลงบนหัวคือเย็นวูบก่อนจะรู้สึกชาไปทั้งตัว น้ำโคตรพ่อโคตรแม่เย็นเลยจ้า ฮือ


แต่ผมรู้สึกว่าปริมาณน้ำที่รดลงบนตัวผมมันไม่เยอะเท่าที่คิดแฮะ



หลังจากที่น้ำในถังหมดไป ผมก็นั่งสั่นงกๆ อยู่กับที่ไม่ลุกไปไหน ไม่ใช่ไม่อยากลุกนะครับ แต่มันสั่นจนขาแข็งลุกไม่ไหวเลยอ่ะ


“รีบลุกไปได้แล้ว” เสียงพี่ดีนนั่นแหละครับ


“ผมลุกไม่ได้” ผมเงยหน้าบอกพี่เขา แขนก็กอดเข่าตัวเองไว้ ปากเริ่มสั่นแล้วครับ


“ยื่นมือมา” ผมยื่นมือให้ตามคำขอ แอบได้ยินพี่เขาถอนใจหายใจด้วยครับ


น้ำที่ราดลงมาล้างเอารอยเลอะเทอะบางส่วนออกไป แต่ดูเหมือนเศษแป้งที่เลอะจะไหลเข้าตาผมแล้วล่ะครับ


“พี่ดีนมีน้ำไหม ผมแสบตา” ผมหลับตาลงทั้งสองข้างเพราะแสบจนลืมไม่ขึ้น ก่อนจะคว้ามือไปมาเพื่อหาตัวพี่ดีนมาจับไว้

“ยืนนิ่งๆ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้”

ไม่นานพี่ดีนก็กลับมาพร้อมกับขวดน้ำดื่ม พี่แกเป็นคนคอยเทน้ำออกจากขวดให้ผมล้างตา หลังจากที่หายเคืองแล้วจึงจัดการใช้น้ำที่เหลืออยู่ในขวดล้างหน้าตัวเองเสียเลย

“เอาผ้าไป” พี่ดีนคว้าเอาขวดเปล่าในมือผมไว้ ก่อนโยนผ้าขนหนูผืนสะอาดมาแปะไว้บนหัวผม แล้วหันหลังเดินหนีไปเฉย ทิ้งผมไว้คนเดียวพร้อมกับผ้าขนหนูกลิ่นหอม



กลุ่มของผมพักทานข้าวกันใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับบริเวณฐานของคณะวิศวะนั่นแหละครับ ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวเพราะเสื้อผ้าอับชื้นไปหมด ไหนจะอากาศร้อนๆตอนเที่ยงแบบนี้อีก เอือดมากเลยครับ เอือดเป็นภาษาใต้ แปลว่า อับ ชื้น แฉะ ประมาณนั้นครับ แฮ่


หลังจากทานข้าวเสร็จก็มีเวลานั่งพัก เข้าห้องน้ำทำธุระ อีกเกือบครึ่งชั่วโมง ผมของผมที่เริ่มแห้งเพราะได้ผ้าขนหนูมาจากพี่ดีนคอยช่วยไว้ ผมจึงยกมือเรียกพี่ปรางพี่ประจำฐานเพื่อจะคืนผ้าผืนนี้กลับไปยังฐานคณะวิศวะก่อนที่เราจะเคลื่อนทัพไปยังฐานถัดไป


“พี่ปรางครับ ผ้าผืนนี้ผมต้องเอาไปไว้ที่ไหนหรอครับ” ผมเอ่ยถาม พร้อมกับมองหาว่าเพื่อนๆคนอื่นนำผ้าขนหนูที่ใช้แล้วไปเก็บไว้ตรงไหน


“หืม ผ้าอะไรจ้ะ” พี่ปรางเลิกคิ้วถาม มองผ้าขนหนูในมือผมเหมือนไม่เข้าใจ


“ผมได้มาหลังจากถูกทำโทษหน่ะครับ พี่ฐานเขาคงเตรียมไว้ให้”


“ไม่มีนะน้องยาง พี่ไม่เห็นน้องคนไหนได้ผ้าเลยสักคน”


“อ้าว หรอครับ”


“เอ๊ะ แต่ผ้าผืนนี้คุ้นๆ” พี่ปรางเอื้อมมือมาหยิบผ้าขนหนูจากมือผมไปกางออก


“น้องน้ำยางได้มาจากพี่ดีนหรอ”


“ใช่ครับ” แปลกแฮะ ทำไมพี่ปรางถึงรู้ว่าเป็นพี่ดีน


“ถ้าอย่างนั้นคงมีแค่น้องยางที่ได้ผ้ามาเช็ดตัวแล้วล่ะจ้ะ ผ้าผืนนี้หน่ะเป็นผ้าของขวัญตอนที่พวกพี่ไปช่วยงานแต่งงานพี่สายรหัสที่จบไปแล้ว พี่ก็มีอยู่ผืนนึง” พี่ปรางยิ้มก่อนจะยื่นผ้าผืนนั่นกลับมาให้ผม


“พี่ปรางเป็นน้องรหัสพี่ดีนหรอครับ”


“ใช่แล้วจ้ะ” พี่ปรางยิ้มตอบรับ “น้องยางต้องไปคืนเจ้าตัวเองแล้วล่ะ”


ผมพยักหน้ารับก่อนจะขอฝากผ้าไว้กับพี่ปรางเพราะเกรงว่าจะทำกิจกรรมไม่สะดวก ผมตั้งใจเอากลับไปซักให้สะอาดก่อนนำไปคืนเจ้าของ


จากที่หนาวๆ ไม่สบายตัว ตอนนี้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาเลยครับ
   




   หลังจากกิจกรรมรับน้องช่วงกลางวันได้จบลง พี่ๆเขาก็ปล่อยให้พวกเรากลับไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้งในเวลา 6โมงเย็น สำหรับกิจกรรมเฟรชชี่ไนท์ ถือว่าเป็นกิจกรรมส่งท้ายหลักจากที่เราเจองานหนักมาตลอด 2 เดือน

ตรีมงานเฟรชชี่ไนท์ในคืนนี้คือ Back to school ครับ หลังจากที่รู้ตรีมงานเฟรชชี่ไนท์ ผมก็โทรไปบอกให้พี่ชายผมส่งชุดลูกเสือมาให้ครับ ฉะนั้นคืนนี้ผมจะเข้าร่วมงานด้วยชุดลูกเสือทีเคยใส่เรียนช่วงมัธยมต้น โชคดีที่ผมไม่ได้โตขึ้นจากเดิมนัก มีแค่ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาหน่อย จำได้ว่าช่วงม.ต้น ผมสูงแค่ 155 เองครับ ส่วนปัจจุบัน ผมสูง 170 ซม. นับว่าไม่เลวครับ เพิ่มขึ้นมา สิบกว่าเซนแหนะ ฮ่าๆๆ 

จากเมื่อก่อนใส่ชุดลูกเสือแล้วกางเกงยาวคลุมเข่า ตอนนี้ใส่แล้วชายกางเกงยาวเหนือหัวเข่าขึ้นมานิดเดียวเองครับ ไม่ได้สั้นจนหน้าเกลียด


แอบตื่นเต้นแหะ ไม่รู้ว่ามีใครแต่งชุดลูกเสือ เนตรนารี เหมือนผมหรือป่าว งานในคืนนี้มีรางวัลให้สำหรับคนที่แต่งตัวได้เข้าตากรรมการด้วยนะครับ ส่วนเกณฑ์และใครเป็นคนตัดสินนั้น ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ


ผมนัดกับกลุ่มเพื่อนไว้ตอน 6โมงเย็น ตรงจุดลงทะเบียน งานในคืนนี้จัดขึ้นตรงลานกิจกรรมขนาดใหญ่กลางแจ้ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกลับหอประชุมกลางที่เรามารวมตัวกันเมื่อเช้าครับ หลังจากสมาชิกมากันครบเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงไปลงทะเบียนเพื่อรับคูปองทานอาหาร โดยแต่ละคนจะได้คูปองมูลค่า 200 บาท เพื่อนำไปแลกซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากเต็นท์ภายในงาน แต่ถ้าใครต้องการใช้มากกว่าจำนวนที่ได้รับสมนาคุณจากมหาลัยแล้ว ก็สามารถใช้เงินสดจ่ายเพิ่มได้ครับ 


ผมชอบบรรยากาศคืนนี้มาเลยครับ ตอนนี้พวกเรารู้จักกันในวงล้อมที่กว้างขึ้นจากเดิม หลังจากได้ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งมหาลัย ไม่ใช่รู้จักกันแค่ภายในคณะของตัวเองอีกต่อไป แล้วก็รวมไปถึงรุ่นพี่จากคณะอื่นๆด้วย มันทำให้ผมชอบสังคมมหาลัยขึ้นมาแล้วล่ะครับ จากตอนแรกที่แอบหวั่นใจกลัวจะเหงาเพราะตัวคนเดียวจากต่างจังหวัด แต่จริงๆแล้วมีหลายคนเลยครับที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเช่นผม ผมได้รู้จักหลายคนที่มาจากจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ ผมเจอคนที่มาจากจังหวัดเดียวกันด้วยนะครับ ดีใจมากก


“มึงคิดออกหรือยังว่าอยากกินอะไร” ฝุ่นมันถามผมหลังจากที่เราเดินวนดูเต็นท์ขายอาหารจนครบ แต่ผมก็ยังเลือกไม่ได้สักทีว่าจะกินอะไรก่อน ใจตอนนี้อยากกินมันทุกร้านเลยครับ


“ฝุ่นอยากกินอะไร เราเลือกไม่ได้ อยากกินทุกอย่างเลย” ผมหันไปขอความเห็นจากเพื่อน ถ้ายังเลือกไม่ได้ งั้นกินตามเพื่อนไปก่อนแล้วกันครับ


“กูอยากกินข้าวมันไก่”


“จะกินข้าวเลยหรอ เดี๋ยวอิ่มนะ” จริงๆผมอยากเก็บเมนูหนักๆไว้กินอย่างหลังครับ ตอนนี้อยากได้ของกินเล่นมาเรียกน้ำย่อยก่อน


“เอ้า ก็จะกินให้อิ่ม จะเอาด้วยไหม กูจะไปต่อแถวล่ะ”


“งั้นเราไปซื้อหมูสะเต๊ะร้านข้างๆแล้วกัน”


เมื่อตกลงกันได้ เราก็แยกย้ายกันไปต่อแถวตามร้านที่อยากทานกันครับ ผมได้หมูสะเต๊ะมา 5 ไม้ กับขนมปังปิ้งมาทานคู่กันอีกสองแผ่น


เพื่อนๆคนอื่นที่เจอกันตรงจุดลงทะเบียนเริ่มแยกย้ายกันไปหามุมของตัวเอง จนตอนนี้เหลือแค่ผมกับฝุ่นแล้วล่ะครับ เมื่อได้อาหารที่ต้องการ ผมกับมันก็เริ่มมองหาโต๊ะที่วางกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณให้พวกเรานั่งทาน ไม่ได้มีโต๊ะประจำว่าเราต้องนั่งตรงนี้ตลอดงานหรอกครับ บรรยากาศเหมือนในตลาดเปิดท้ายขายของเลย


“น้องๆ สองคนนั้นหน่ะ หาที่นั่งหรอ มานั่งตรงนี้ก็ได้” เสียงเรียกดังขึ้นเมื่อผมกับฝุ่นกำลังมองหาที่ลง เป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มงาน ผู้คนเลยมาออกันอยู่ตรงโซนอาหาร หน้าเวทีตอนนี้ยังโล่งอยู่เลยครับ

โชคดีที่มีรุ่นพี่ใจดีเห็นพวกผมสองคนเข้า

และโชคดีไปกว่านั้น เพราะโต๊ะที่ว่านั่นมีพี่ดีนนั่งอยู่ด้วย


เมื่อได้ยินเสียงเรียกให้ไปมาร่วมโต๊ะ ผมกับฝุ่นก็ไม่รีรอเลยครับ รีบเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่ว่านั่น“มาๆ นั่งเลยน้องน้ำยาง” รุ่นพี่คนที่กวักมือเรียกพวกผมเป็นคนเอ่ยชวนให้นั่งตรงเก้าอี้ว่าง

ว่าแต่ทำไมพี่เขารู้จักชื่อผมล่ะครับ

“พี่จำผมได้ด้วยหรอครับ” ผมไม่รอให้ตัวเองสงสัย อยากรู้อะไรก็ถามไปเลยครับ


“จำได้ ชื่อแปลกไม่เคยได้เห็น เห็นครั้งแรกตอนเข้าฐานรับน้องก็สะดุดตากับชื่อเลย เอ้าแล้วอีกคนชื่อฝุ่นใช่มั้ย เด็กคณะกูกรี๊ดมึงกันเพียบ”

ผมพึ่งรู้ว่าเพื่อนผมก็ดังพอตัวเลยนะครับเนี้ย แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไร เพราะฝุ่นมันหน้าตาดีครับ หล่อเหมือนเน็ตไอดอลที่ผมเคยเห็นสมัยที่หัดเล่นอินเตอร์เน็ตเลย อิอิ



โต๊ะที่ผมนั่งด้วยนั่นเป็นรุ่นพี่จากคณะวิศวกรรมทั้งโต๊ะเลยครับ เราทำความรู้จักกัน ทำให้ผมทราบว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มเพื่อนสนิทของพี่ดีน ซึ่งประกอบไปด้วย พี่ปีย์ คนที่เอ่ยชวนให้พวกเรามานั่งด้วยกัน พี่ชัช พี่ไทเกอร์ และพี่ริว คนนี้เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักมากเลยครับ ตัวเล็กๆ สูงกว่าผมแค่นิดเดียวเอง แต่ถ้าเทียบกับสมาชิกในกลุ่มของพี่ดีนแล้ว พี่ริวก็กลายเป็นไซส์มินิเลยครับ


ดูเหมือนช่วงนี้โชคจะเข้าข้างผมบ่อยๆ มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ดีนบ่อยจนผมกลัวว่าแต้มบุญที่ผมสั่งสมมาทั้งชีวิตจะถูกใช้หมดในไม่กี่วัน เมื่อผมบังเอิญได้มานั่งข้างๆพี่เขาที่ไม่สนใจหันมาทักทายอะไรเลย เอาแต่สนใจโทรศัพท์ในมือ


“พี่ดีน สวัสดีครับ” ผมทำใจกล้าเอ่ยทักพี่เขาไปหลังจากรอดูปฏิกิริยาของคนข้างกาย แต่ก็ไม่เป็นผล


“อื้อ มึงอีกแล้วหรอ”

อีกแล้วอะไรกันครับ อย่าพูดเหมือนรำคาญกันแบบนี้สิ ฮือออ

ผมใจหล่นตุ๊บเลยครับ


“พี่ดีนไม่ทานอะไรหรอครับ” ผมยังทำใจดีสู้เสือชวนพี่เขาคุยต่อ พยายามไม่สนใจว่าเจ้าตัวอยากใส่ใจผมหรือป่าว


“ยังไม่หิว”


“พี่ดีนกินหมูสะเต๊ะกับผมไหมครับ ผมซื้อมาหลายไม้เลยนะ” ผมว่าพลางขยับจากหมูปิ้งสีเหลืองเข้าไปใกล้พี่เขาอีกนิด


“ไม่เป็นไร”


อ่า~ มาแบบนี้ผมก็ไปไม่ถูกเลยครับ ได้แค่ขยับจานกลับมาที่เดิม แล้วพยักหน้ากับตัวเองเบา ก่อนจะหยิบหมูสะเต๊ะขึ้นมาป้อนเข้าปาก


ยอมนั่งกินเงียบๆ ไม่ชวนคุยแล้วก็ได้ ตอนนี้ไม่กล้าไปกวนใจพี่เขาต่อแล้วล่ะครับ ผมกลัวใจเสียไปมากกว่านี้


แต่ผ่านไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงพี่ริวเอ่ยชวนพี่ดีนไปหาของกินด้วยกัน พี่ดีนไม่ได้ปฏิเสธอะไร กลับพยักหน้าตอบตกลงแล้วก็หายไปกันไปสองคน ทิ้งให้ผมแอบมองตามทั้งคู่อยู่ห่างๆ


ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า มองหาตัวช่วยที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากความปวดหนึบที่เริ่มคืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจ
แล้วผมก็ได้เจอกับคุณพระจันทร์


ผมยิ้มให้ดวงจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาในใจ


‘มันคงไม่ใช่แบบที่ผมกลัวใช่ไหมครับคุณจันทร์’


‘หวังว่าพี่ดีนยังไม่มีใครในใจนะครับ’


‘อย่าพึ่งตัดโอกาสผม ทั้งๆที่เราพึ่งกลับมาเจอกันอีกครั้งจะได้ไหมครับ’


‘เพราะถ้าพี่เขามีใครอยู่แล้วจริงๆ ผมคงต้องถอยทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มขยับเข้าใกล้เลยสักนิด’




Tbc.



ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ aha_aha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
พี้ดีน ำไมขี้เก๊กนัก ระวังจะโดนดีดนะ!! สงสารน้ำยางอ่า ¥___¥ อุตส่าห์อารมณ์ดีมาทั้งวัน เจอแบบนี้หงอยเลย..

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนที่ 6 อยากขยับเข้าไปให้ใกล้กัน



   “กูจะซื้อของกินเพิ่ม มึงจะไปด้วยไหม”

หลังจากที่พี่ดีนหายไปกับพี่ริว จนตอนนี้ผมทานหมูสะเต๊ะ 5 ไม้ กับขนมปังอีกสองแผ่นหมดไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ยังไม่กลับมา ผมลอบถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะปัดเรื่องวุ่นวายใจนั้นออกไป ไม่สบายใจแบบนี้ต้องกินเท่านั้นครับ ถึงจะเยียวยาผมได้ ไม่รอช้าผมจึงตอบตกลงแล้วลุกไปหาของกินกับไอ้ฝุ่น


ผมได้ลูกชิ้นปิ้งมา 5 ไม้ ขนมเบื้องคละไส้มา 1 กล่อง ขนมครกสีเขียว 1 กล่อง ไข่ปลาหมึกราดน้ำจิ้มซีฟู้ด เบค่อนพันเห็ดเข็มทองมาอีก 3 ไม้ แล้วก็น้ำแตงโมปั่น ซื้อเยอะจนเต็มสองมือ ในขณะที่ไอ้ฝุ่นได้ผัดไทยมาจานเดียวเองครับ


เมื่อได้ของที่อยากทานมาจนครบแล้ว ผมกับฝุ่นก็เดินกลับมายังโต๊ะเดิมที่มีกลุ่มของพี่ดีนนั่งอยู่ แต่ตอนนี้คนที่หายไปก่อนหน้านี้กลับมานั่งที่เดิมแล้วครับ ผมทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง หย่อนก้นลงนั่งตามเดิมก่อนจะจัดแจงวางของกินที่ซื้อมาไว้ตรงหน้า ไม่สนใจจะคุยกับใคร ตอนนี้ขอกินอย่างเดียวครับ แล้วผมจะกลับมาอารมณ์ดี



“มึงไม่กินข้าวหรือไง”

ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆทักขึ้น หลังจากที่ผมจัดการของกินตรงหน้าหมดไปเกือบครึ่ง

“กินอยู่ครับ” ผมหันไปสบตานิดหน่อย ก่อนจะเสหลบกลับมาจ้องอาหารบนโต๊ะแทน กลัวเผลอจ้องไปนานๆแล้วอดใจอยากชวนคุยไม่ได้อีก

“กูหมายถึงข้าว ไม่ใช่ที่มึงกำลังกินอยู่”

“ก็เป็นอาหารเหมือนกันนี่ครับ”

“มึงกวนตีนกูอยู่หรือไงห๊ะ” พี่ดีนขมวดคิ้ว

“ผมไม่ได้กวน แต่ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ” ผมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ใส่อารมณ์หรืออะไรเลย ก็กำลังกินอยู่นี่ไง ไม่ได้นั่งตบยุง ทำตาปริบๆเสียงหน่อย

“มึงจะยัดทั้งหมดนี่ลงท้องไปโดยที่ไม่กินข้าวได้ยังไง”

“เดี๋ยวกินพวกนี้หมด ถ้ายังไม่อิ่ม ผมว่าจะไปซื้อข้าวมาทานครับ”

ปกติแล้วผมชอบทานของกินเล่นมากกว่าทานเป็นอาหารจานหลัก เป็นเพราะชอบกินจุกจิกถ้าเริ่มจากทานข้าวหรืออาหารจานเดียวก่อน ผมจะอิ่มจนทานอย่างอื่นต่อไม่ได้ นี่ก็คิดอยู่ว่าถ้าไม่อิ่มจะไปซื้อผัดไทยมากินเป็นปิดท้าย แอบชิมของไอ้ฝุ่นมา อร่อยมากเลยครับ


“มึงกินไหว” พี่ดีนเลิกคิ้วถาม ดูไม่ค่อยเชื่อว่าผมจะไหว

“ก็..น่าจะไหว”

“กินข้าวนี่กับกู แล้วก็เลื่อนของกินทั้งหมดมึงมาใกล้ๆ กูจะกินด้วย” พี่ดีนจัดการ ขยับเอาข้าวคลุกกะปิที่เจ้าตัวทานอยู่มาไว้ตรงกลางระหว่างผมกับเขา ก่อนจัดแจงขยับเอากินของผมออกห่าง เหมือนจะได้เราจัดการข้าวกล่องนี้ให้หมดก่อนถึงจะข้ามไปยังกล่องอื่นๆได้

“ระวังพริกกับหอมแดง กูคลุกทุกอย่างรวมกันแล้ว”

“ครับ” ผมเอ่ยตอบรับพี่เขาไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของพี่ดีนสักเท่าไร รู้แต่ว่าอาการปวดหนึบตรงหัวใจเริ่มคลายออกจนไม่รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว 

“ดีนอยากกินอะไรเพิ่มหรือเปล่า เราไปซื้อให้เอาไหม จะได้ไม่ต้องแบ่งน้องเขากิน” เสียงพี่ริวเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมกับพี่ดีนเริ่มนำอาหารมาวางรวมกันแล้วแบ่งกันทาน


“ไม่เป็นไร เรากินกับน้องมันก็ได้”

หัวใจผมคลายตัวได้แค่แปปเดียวก็กลับมาบีบตัวจนรู้สึกแน่นหน้าอกอีกครั้ง เมื่อได้ยินสรรพนามที่พี่ดีนใช้คุยกับพี่ริว

มันต่างกับที่พี่เขาคุยกับผม

หรือแม้แต่คุยกับเพื่อนๆคนอื่นในกลุ่ม

ทำให้ความสงสัยของผมก่อนหน้าเริ่มเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพยายามปัดเป่ามันไป

แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้ในเมื่อหูยังได้ยิน ตายังมองเห็น แล้วหัวใจผมก็รู้สึก


แย่แล้วครับ


ผมยังเป็นได้แค่คนรู้จักกับพี่เขา แต่จะมารู้สึกหึงหวงเจ้าตัวแบบนี้ไม่ได้


ผมเก็บเอาความสงสัยนั้นไว้ในใจ ถ้ามีโอกาสค่อยลองสังเกตหรือสืบเอาทีหลังก็ได้ครับ ว่าสองคนนี้มีซัมติ่งรองกันหรือเปล่า ถ้าให้เดาจากความรู้สึกของผม ผมคิดว่าพี่ริวอาจจะชอบพี่ดีน ส่วนพี่ดีนจะชอบพี่ริวไหมนั้น ผมตอบไม่ได้จริงๆครับ

“มึงจะเขี่ยอีกนานไหม กินให้มันดีๆ”

พี่ดีนเริ่มดุผมอีกครั้งหลังจากที่ผมเผลอคิดอะไรไปเรื่อย

เมื่อเราทานอาหารที่กองอยู่ตรงหน้าหมดไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงอาสาเป็นคนนำขยะทั้งหมดไปทิ้ง พี่ดีนเองก็ไม่ว่าอะไร นั่งเฉยให้ผมบริการไม่ได้คิดจะช่วยหรืออะไรเลยครับ แค่พยักหน้าตอบรับนิดๆ เชื่อเขาเลย


“ฝุ่นไปกินไอติมร้านนั้นกัน” ผมเอ่ยชวนฝุ่นไปซื้อไอติมตัดครับ ผมไม่แน่ใจว่าคนกรุงเทพเรียกว่าอะไร แต่ไอติมชนิดนี้ทำให้ผมคิดถึงบ้านสวนมากๆ เพราะทุกวันจะมีรถไอติมขี่ผ่านบริเวณบ้านสวนของผม พร้อมกับเสียงที่ดังออกจากลำโพงเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านรู้ว่ามีของมาขาย

ลักษณะไอติมก็จะเป็นแท่งๆเสียบไม้แล้วห่อด้วยกระดาษ หน้าตาคล้ายๆกับไอติมที่ผมเจอในงานวันนี้เลยครับ

ฝุ่นพยักหน้าตอบตกลง เพราะตอนที่เราเดินเลือกซื้ออาหารผมเห็นไอติมร้านนี้แล้วเอ่ยปากชวนฝุ่นกินไอติมด้วยกันหลังจากทานของคาวเสร็จเรียบร้อย



“มึงจะกินอะไรอีก”


นี่ไม่ใช่พี่ปาล์มครับ แต่เป็นพี่ดีน ผมชะงักเล็กน้อยเพราะประโยคนี้ผมได้ยินจากพี่ชายตัวเองอยู่บ่อยๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนที่ตัวเองแอบชอบด้วย
เหมือนเห็นเงาพี่ปาล์มซ้อนทับพี่ดีนเลยครับ แต่พี่ดีนหล่อกว่า ฮ่า

อย่าไปบอกพี่ปาล์มนะครับ จุ๊ๆไว้ อิอิ


“ไอติมตัดครับ พี่ดีนไปซื้อด้วยกันไหม”

“ไอติมอะไร ไม่เคยได้ยิน”


“ไอติมตัดไง ที่เป็นแท่งๆห่อกระดาษอ่ะ” ผมอธิบายให้พี่ดีนฟังว่าไอติมที่ผมหมายถึงหน้าตาเป็นยังไง


“ไอ้ยางมันหมายถึงไอติมโบราณครับพี่” ฝุ่นเป็นคนช่วยเฉลยหลังจากที่ยืนฟังผมกับพี่ดีนคุยกัน


“อื้อ ไอติมโบราณ ไปด้วยกันไหมครับ” ผมพยักหน้าร้องอ๋อกับตัวเอง เขาเรียกไอติมโบราณ


“ยังไม่อิ่มอีกหรือไง”


“ยังกินได้ครับ”


“ไอ้ยางมันกระเพราหลุมดำครับพี่ กินไปแค่นี้มันไม่รู้สึกอะไรหรอก” ไอ้ฝุ่นขำพร้อมกับกอดคอผมไว้ ตอนนี้เราสองคนยืนค้ำหัวพี่ดีนอยู่ครับ เพราะเตรียมตัวจะไปซื้อของกินเพิ่มแล้ว


“อื้อ” พี่ดีนไม่ถามอะไรต่อ ไอ้ฝุ่นเลยลากผมออกมา ไม่รอให้ผมถามย้ำพี่เขาอีกครั้งว่าจะไปด้วยกันหรือเปล่า



ผมกลับมาพร้อมไอติมรสเผือก ที่ร้านมีให้เลือกหลายรสชาติเลยครับ ผมอยากลองหลายอันเลย แต่กลัวซื้อมาพร้อมกันแล้วมันจะละลายก่อน เลยหยิบมาแค่หนึ่งแท่ง กำลังคิดว่าถ้าหมดแท่งนี้แล้วจะไปซื้ออีกสักอัน


“พี่ดีนกินไหมครับ”

หลังจากที่กลับมานั่งตำแหน่งเดิม ผมจัดการลอกกระดาษที่ห่อไอติมไว้ออก ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าพี่ดีนแล้วเอ่ยชวน ผมยังไม่ได้กินไอติมเลยครับ กลัวกินไปแล้วพี่ดีนจะรังเกียจไม่กล้ากินต่อ แต่ถ้าให้ผมกินต่อจากพี่เขา ผมโอเคนะ จะได้จูบทางอ้อม อิอิ

“ไม่เอา” พี่ดีนตอบกลับมาห้วนๆ ก่อนจะผลักมือผมที่ถือไอติมอยู่ออกห่าง

ผมแอบแบะปากก่อนจะเริ่มจัดการไอติมรสเผือกในมือ


งื้ออออ อร่อยมากเลยครับ ไม่หวานเหมือนเจ้าประจำที่ผมกินที่บ้านสวนเลย อันนี้หวานน้อยกว่ามาก แบบนี้ให้ผมกินมันทุกรสก็สู้ตายฮ่ะ


“ฝุ่น ขอชิมหน่อย”


ผมหันไปขอฝุ่น มันกินรสชาเย็นครับ ผมแอบเล็งอันนี้ไว้เหมือนกัน

มันพยักหน้าอนุญาตก่อนจะยื่นไอติมในมือมันมาตรงหน้าผม ผมจึงก้มลงไปกัดไอติมรสชาเย็นมาหนึ่งคำ อร่อยดีครับ แต่รสชาติชาไม่เหมือนกับชาทางใต้เลย ที่นี่จะออกนมๆมากกว่า แต่ก็อร่อยดีครับ ไม่หวานมาก


“อ๊ะ” ผมยื่นไอติมรสเผือกในมือไปให้ไอ้ฝุ่นลองชิมบ้าง มันกัดไปคำนึงก่อนจะเอ่ยว่าอร่อย


“เราจะไปซื้ออีกแท่ง ฝุ่นเอาด้วยไหม เราไปซื้อให้” หลังจากที่กินของตัวเองหมดไป ผมตัดสินใจแล้วครับว่าจะกินอีกแท่ง ครั้งนี้ลองเป็นรสถั่วแดงแล้วกัน

“กูเอาซาหริ่มแท่งนึง” 

ผมพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะลุกไปซื้อไอติมมาเพิ่ม



“โอ้โห้ น้องน้ำยางกินเก่งมาก” พี่ชัชเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากผมกลับมาพร้อมไอติมสองแท่งในมือ ผมยิ้มเขิน ตอบกลับไปให้พี่เขา ก่อนจะยื่นไอติมรสซาหริ่มให้ฝุ่น


“ปกติมึงกินเยอะแบบนี้” พี่ดีนเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ผมเริ่มกินไอติมแท่งที่สอง

“อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกๆให้พี่แก เพราะตอนนี้ปากไม่ว่างครับ กัดไอติมอยู่


“เดี๋ยวก็นอนไม่หลับ”

ผมเคยได้ยินมาเหมือนกันครับ ว่ามื้อเย็นถ้าทานเยอะเกินไปจะอึดอัดจนนอนไม่หลับ แต่เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ยิ่งอิ่มผมยิ่งหลับสบาย แต่ถ้าไม่อิ่มผมจะทรมานจนนอนไม่หลับครับ ท้องมันจะร้องประท้วงจนต้องลุกมาต้มมาม่า


“ฮึ” ผมส่ายหน้าตอบปฏิเสธพี่ดีนไป เพราะอิ่มแค่ไหนผมก็หลับ

“อร่อยหรือไง”


“อื้อ” ผมพยักหน้าตอบพี่แกอีกครั้ง ไม่ได้สนใจจะตอบดีๆ เพราะตอนนี้ผมมีความสุขกับไอติมในมือมาก


“เห้ย” แต่แล้วผมก็ต้องตกใจเพราะจู่ๆพี่ดีนก็คว้าเอาไอติมในมือผมไปกัดหนึ่งคำใหญ่ๆ


“หวงหรือไง” เจ้าตัวเอ่ยถามโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ยังหน้านิ่งเป็นปกติ ทั้งๆที่ทำผมใจเต้นจนแทบบ้า พี่รู้มั้ยว่าผมเลียไอติมไปทั้งแท่งแล้วเพราะมันเริ่มละลาย

แบบนี้มัน


จูบทางอ้อมชัดๆ


“ปะ เปล่าครับ”

“หมดแท่งนี้ก็พอแล้วได้”

ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจจะกินอีกสักแท่ง แต่พอได้ยินพี่ดีนพูดแบบนั้นผมก็เชื่อฟังพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ

หัวใจผมมันเต้นแรงจนกลัวว่าใครจะได้ยินเพราะประโยคธรรมดาๆนั้น







   หลังจากที่เราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาย้ายที่ครับ ตอนนี้หน้าเวทีเริ่มคึกคักเพราะวงดนตรีประจำมหาลัยกำลังเตรียมตัวเริ่มแสดงคอนเสิร์ต ผมได้ข่าวมาจากเพื่อนผู้หญิงในคณะว่าวงนี้เล่นดีมาก เคยชนะเวทีประกวดระดับประเทศมาแล้วด้วย
จนแล้วจดรอดผมกับฝุ่นก็เกาะติดกลุ่มของพี่ดีนมาจนได้ครับ จากตอนแรกที่คิดว่าทานอาหารเสร็จคงต้องแยกย้ายกันไป หมดเวลาสำหรับผมที่จะได้อยู่ใกล้กับพี่ดีนในคืนนี้แล้ว


ต้องขอบคุณพี่ปีย์ที่เอ่ยชวนพวกเราให้มาด้วยกัน

ระหว่างทางที่เราเดินหาจุดเหมาะบริเวณหน้าเวที พวกผมก็หยุดทางรูปกันเป็นพักๆครับ เพราะมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย กลุ่มของพี่ดีนฮอตสุดๆไปเลย รุ่นน้องเข้ามารุมของถ่ายรูปด้วยเต็มไปหมด ตอนแรกพีดีนไม่ยอมให้ใครถ่ายด้วยเลยครับ แต่ผมแอบเห็นว่าพี่ริสกระซิบบอกอะไรพี่ดีนสักอย่าง สุดท้ายพี่แกก็ตอบรับ ยอมให้ถ่ายรูป แต่ถ้าไม่ยอมยิ้มเลยสักนิด


พอเป็นพี่ริวแล้ว อะไรๆก็ว่าง่ายขึ้นเยอะเลย


ไอ้ฝุ่นเองก็ไม่น้อยหน้าครับ เด็กจาคณะอื่น ทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ขอมันถ่ายรูปหลายคนเลย จนผมต้องไปช่วยถ่ายให้ได้


ผมเองก็มีคนมาขอถ่ายรูปเหมือนกันนะครับ ไม่ยอมให้น้อยหน้าหรอก แต่ผมว่าเขาไม่ได้ขอถ่ายรูปผมเพราะพิศวาสผมเหมือนอย่างที่เข้าหาคนอื่นๆหรอกครับ คงเป็นเพราะชุดที่ผมใส่มาวันนี้มากว่า

ลูกเสือเหล่าเสนา เต็มยศ มีหมวกด้วย

ทั้งงานวันนี้ไม่มีใครมาในชุดลูกเสือแบบผมเลยครับ



ตอนนี้บริเวณหน้าเวที ผู้คนเริ่มหนาแน่นแล้วครับเพราะหลังจากวงดนตรีประจำมหาลัยเล่นจบแล้ว จะเป็นวงตรีชื่อดังที่รุ่นพี่เชิญมาเซอร์ไพรส์พวกเรา แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครทราบครับว่าวงไหนจะมา รุ่นพี่กรรมการนักศึกษาเล่นปิดข่าวเงียบ รอเฉลยตอนเจ้าตัวขึ้นเวทีเลย ผมเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เจอดาราครับ อยากรู้จังว่าใครจะมา หวังว่าจะเป็นวงที่ผมรู้จักนะครับ


พี่ปีย์เป็นแกนนำพาพวกเราทั้งกลุ่มเบียดเข้าไปตรงกลางเพราะคนเริ่มมาออกันเต็มหน้าเวที ใจจริงพี่แกคงอยากใช้อำนาจประธานว้ากปีสามเบียดฝูงชนไปยืนชิดขอบเวที แต่เพราะพี่ดีนเอ่ยรั้งไว้เพราะยิ่งเบียดเข้าไปใกล้เวทีมาเท่าไรยิ่งอึดอัดครับ ผมเดาว่าเจ้าตัวคงไม่ชอบที่คนเยอะๆสักเท่าไร เพราะจากที่สังเกตตอนนี้หน้าเริ่มตูดแล้วครับ

ผมเดินเกาะชายเสื้อไอ้ฝุ่นไว้เพราะกลัวคลาดจากกันเพราะฝูงชน ตอนแรกกะเนียนไปเกาะพี่ดีน แต่พอเห็นว่าพี่ริวยึดเอาแขนพี่ดีนไว้ข้างนึง ผมก็ขอถอยออกมาดีกว่าครับ

ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมปรับเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองบ่อยมากครับ

เดี๋ยวก็ใจเต้นแรงจนหน้าร้อนคล้ายจะเป็นไข้

เดี๋ยวก็อึดอัดอยู่ข้างในเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจของผมไว้ไม่ให้มันเต้น

ผมคิดว่าผมควรจะเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน

ถ้าผมอยู่กับพี่ดีนแค่สองคนมันง่ายกับผมมากกว่าที่จะหาเรื่องเข้าไปใกล้พี่เขา


เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมขอถอยทัพก่อนแล้วกันฮ่ะ ไปสนุกกับดนตรีข้างหน้าดีกว่า


นานๆทีจะได้มีโอกาสปล่อยผีในตัวให้ออกมาโลดแล่น ฮ้า
อดคิดถึงไอ้ตรีกับไอ้สนไมได้เลยแฮะ ถ้ามันสองคนอยู่ด้วยคงสนุกน่าดู
เห็นแบบนี้ถ้าดนตรีเข้าหูผมเต้นลืมตายเลยครับ

แต่ดูเหมือนผมไม่ต้องกังวล หรือเหนียมอายแล้วครับ เพราะทั้งไอ้ฝุ่นแล้วก็เพื่อนกลุ่มพี่ดีนก็เต้นกันจริงจังเหมือนกันครับ จะมีก็แต่พี่ดีนที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ข้างพี่ริว


ผมแอบเหลือบไปมองพี่แกอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนพี่ดีนจะคอยระวังไม่ให้พี่ริวถูกเบียด

เห็นแล้วก็แอบอิจฉา ฮือ ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย



   “เอาล่ะครับ เวลาที่ทุกคนรอคอยได้มาถึงแล้ว เซอร์ไพรซ์จากพวกเราในวันนี้ เป็นของขวัญต้อนรับน้องๆชั้นปีที่หนึ่ง เชิญพบกับ รูม39”

ผมตาโต เขย่งเท้าด้วยความดีใจ วงนี้เป็นวงที่ผมชอบมากๆเลยครับ ติดตามพี่ๆเขามาตั้งแต่ยังโคฟเวอร์เพลงลงยูทูปอยู่เลย

“พี่ทอมมาหรอ ไหนพี่ทอมอ่ะ” ผมกระโดดเกาะหลังไอ้ฝุ่นเพื่อใช้เป็นหลักยึด ก่อนจะยืดสุดตัว

“ โอ๊ย ไอ้ยางเบาๆหน่อย กูหลังจะหัก”

“ก็มองไม่เห็นอ่ะ” ผมตัดพ้อเพื่อนสนิท แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะไหล่มันออกครับ

“มึงมายืนหน้ากูนี่มา” ไอ้ฝุ่นแกะมือผมออกก่อนจะลากให้ไปยืนข้างหน้ามัน

“พี่ทอมมมมม” ผมตะโกนสุดเสียง ท่ามกลางเสียงกรี๊ดยินดีของนักศึกษาในบริเวณนั้น

“เห็นแล้วใช่ไหม” ไอ้ฝุ่นมันกระซิบข้างหูถาม

“อื้อเห็นแล้ว แต่ต้องเขย่งอ่ะ” ผมหันไปตะโกนบอกมัน เพราะตอนนี้พี่บนเวทีเริ่มร้องเพลงกันแล้วครับ เสียงดนตรีดังกระหึ่มยิ่งกว่าเดิม ปลุกความตื่นเต้นในตัวผมขึ้นอีกสามระดับ

“กูต้องอุ้มมึงขี้คอไหมเตี้ย” ไอ้ฝุ่นล้อ ผมเลยตีหัวมันไปเบาๆหนึ่งที ให้อุ้มจริงแล้วมึงจะร้องขอชีวิต เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองหนักใช้ได้เลยครับ

พวกเราสนุกกันสุดๆ ร้องเพลง โบกมือ กระโดด โยกไปตามที่นักร้องบนเวทีเอนเตอร์เทนพวกเรา ผมเขย่งเท้าสลับกับยืนเฉยๆเพราะเริ่มเมื่อย แต่มีความสุขมากเลยครับ

“อ๊ะ” เป็นเพราะเขย่งเท้าอยู่นาน จนเริ่มล้า ผมเลยเผลอเซตัวเกือบจะล้ม โชคดีที่ไอ้ฝุ่นจับผมไว้ทัน


“ยืนดีๆ”
ผมสะดุ้งเพราะเสียงที่กระซิบตรงหูไม่ใช่เสียงเพื่อนสนิทของผมครับ ผมหันขวับไปดูในทันทีที่ได้ยินเสียง แล้วก็เป็นพี่ดีนที่ยืนซ้อนข้างหลังผม พร้อมกับมือที่ยังจับเอวของผมไว้


“ขอโทษครับ ผมเหยียบเท้าพี่หรือเปล่า” ผมตะโกนถามพี่ดีน เพราะเสียงเพลงตอนนี้ดังมาก

พี่ดีนเลิ่กคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจที่ผมพูด ก่อนจะก้มลงให้ผมเอ่ยข้างหู

“ผมเหยียบเท้าพี่หรือเปล่า”

พี่ดีนส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะหันไปสนใจบนเวทีอีกครั้งโดยที่ยังไม่ยอมขยับไปไหน

ผมคิดว่าตอนนี้หูผมต้องแดงขึ้นมาแน่เลยครับ เพราะอุณหภูมิบนใบหน้าเริ่มไม่ปกติ

ผมทำเนียนไม่ยอมขยับออกห่างร่างอุ่นที่ยืนซ้อนทับอยู่ด้านหลัง

ได้ชิดเพียงลมหายใจ

แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน

แค่ช่วงสั้นๆ ผมมีความสุขมากแล้วครับ


 
Tbc.


แอบอยากเห็นคอมเมนท์ แฮ่~ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าจะชอบกันนะคะ


ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สงสารรรร นี่หนูยาง หรือ หนูนก ลู๊กกกก :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ฮือน้ำยางน่ารักกก

ออฟไลน์ aha_aha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
น้องยางน่าร้ากกกกก แต่ก็น่าสงสาร 555 อารมณ์เหวี่ยงไปมาแรงมาก ระวังไบโพล่านะลูก เดี๋ยวพี่ดีนจะกลัว  :hao6:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น้องน้ำยางดูเป็นเด็กซื่อๆ น่ารัก ส่วนคนพี่ทำไมเจ้าช่างขี้เก๊กละเกิน

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

ตอนที่ 7 ทำความรู้จัก




“โคตรมันส์ กูอยากไปผับเลยเนี้ย ตั้งแต่เปิดเทอมมางานเยอะจนกูแทบจะลาออกจากวงการ” พี่ปีย์พูดก่อนกระดกขวดน้ำเปล่าขึ้นดื่ม


“กูว่าหาเวลาไปเที่ยวกันดีกว่าวะ ชวนสองคนนี้ไปด้วย” พี่ชัชพยักหน้าเห็น เสนอความคิด ดูท่าทางแล้วพี่ๆเขาคงสายปาร์ตี้เหมือนกันนะครับ


“ว่าไง ไปได้หรือเปล่า” พี่ปีย์เป็นฝ่ายหันมาเอ่ยชวนผมกับฝุ่น


“ได้เลยพี่ จะไปเมื่อไรอย่าลืมชวนผมสองคนด้วยนะครับ” ไอ้ฝุ่นตอบตกลงทันที ไม่มีหันมาถามความเห็นผมเลยสักคำ


“งั้นวันนี้แยกย้ายเถอะวะ ดึกแล้ว วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”


“เออๆ กลับบ้านไปนอนดีกว่าวะ”


“งั้นผมกับไอ้ยางขอตัวก่อนนะครับพี่ๆ วันนี้ขอบคุณมากเลยฮ่ะ สนุกมากเลย” ฝุ่นรับหน้าที่เป็นตัวแทนเอ่ยขอบคุณ โดยมีผมยืนยิ้มอยู่ข้างๆ


“แล้วกลับกันยังไง ให้กูไปส่งไหม” เป็นพี่ชัชที่หันมาถามพวกเรา


 “ผมขับรถมาครับพี่ เดี๋ยวแวะส่งไอ้ยางที่หอ”


“เออ ขับรถกลับดีๆล่ะ ไว้กูค่อยโทรนัด”


ผมเลิ่กคิ้วแปลกใจ หันมองไอ้ฝุ่นที พี่ชัชที นี่ไปแลกเบอร์ แลกไลน์กันตอนไหนอ่ะ ไวชะมัด ผมยังไม่มีเบอร์พี่ดีนเลยนะ ให้ตายเหอะ ขนาดรู้จักกันมานาน ก่อนไอ้ฝุ่นที่เจอพวกพี่เขาวันนี้เป็นครั้งแรกเสียอีก


“เดี๋ยวกูกลับพร้อมยางก็ได้ อยู่หอเดียวกัน “ จู่ๆพี่ดีนก็เอ่ยขึ้นมาครับ เล่นเอาผมสะดุ้ง


“พี่ดีนติดรถผมไปด้วยกันไหมครับ”


“ไม่เป็นไร เดินได้ใกล้ๆ”


“ว่าไงมึงอ่ะ จะไปกับพี่เขา หรือไปกับกู” ไอ้ฝุ่นเอ่ยถาม เพราะผมยังอึ้งไม่หาย เลยได้แต่ยืนนิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำ


“เอ่ออ” ผมไม่รู้จะตอบยังไงเลยครับ ในเมื่อข้างๆพี่ดีนยังมีพี่ริวยืนอยู่ด้วยแบบนี้


“หอใกล้แค่นี้ ขี้เกียจเดินหรือไง”


“ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไปกับพี่ก็ได้” ผมแบะปากใส่พี่ดีนตรงๆ ไม่ต้องหลบมันแล้วครับ จู่ๆมาแดกดันกันทำไมอ่ะ


“งั้นตามมา” พี่ดีนเอ่ยตัดบท ออกเดินนำไปพร้อมกับพี่ริว ทิ้งให้ผมชักสีหน้าไม่พอใจกับลมกับฟ้า ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ลาพวกพี่ๆที่เหลือกับเพื่อนตัวเอง


ผมเดินตามหลังสองคนนั้นมาเรื่อยๆ โดยทิ้งระยะห่างไม่ให้เดินเสมอกับเขาทั้งคู่

ไม่รู้สิครับ ผมไม่อยากขยับเข้าไปใกล้เลย

รู้สึกหน่วงในใจ


ความรู้สึกของคนที่แอบชอบแล้วหวังที่จะครอบครองมันเป็นแบบนี้นี่เอง
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ แอบชอบ แอบรัก แล้วพึงพอใจกับการได้มองเขาอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ซึ่งไม่ผิดและผมก็นับถือคนเหล่านั้นมากเลยครับที่ยอมเก็บรักไว้ แค่ให้คนที่เราหลงรักมีความสุขโดยที่ตรงนั้นไม่ต้องมีเราก็พอแล้ว
แต่เพราะสำหรับผมหรอครับ

ถ้าลองได้รู้สึกชอบ หรือ รักใคร ผมก็อยากขยับเข้าไปใกล้ แล้วก็หวังให้เขารู้สึกแบบเดียวกันกลับมา

อยากให้ที่ข้างๆเขาเป็นเรา ที่ทำให้เขายิ้มและมีความสุข เหมือนที่เขาเองก็เป็นต้นเหตุของความสุขที่ทำให้ยิ้มได้


มันต้องให้แล้วได้รับกลับคืนมาสิครับถึงจะวินวิน




ตอนแรกผมเข้าใจว่าพี่ริวจะนอนค้างที่ห้องพี่ดีน แต่เปล่าครับ
พี่ดีนแค่เดินมาส่งพี่ริวที่รถ ซึ่งจอดอยู่บริเวณใกล้ๆกับคณะวิศวะ ไม่รู้ว่าพี่ชัชกับพี่ปีย์จอดรถไว้ตรงไหน ทำไมถึงไม่เดินมาพร้อมกัน


ทำไมต้องให้พี่ดีนเดินมาส่ง


ไม่เข้าใจอ่ะ


อิจฉา


ผมเริ่มจะพาลแล้วครับ


ฮือออ ยางขอโทษ



“ให้เราขับไปส่งดีนกับน้องน้ำยางที่หอไหม” พี่ริวเอ่ยถามเมื่อเราเดินมาถึงรถพี่เขา


“ไม่เป็นไร”


“งั้นเรากลับก่อนนะ ขอบคุณที่เดินมาส่ง”


“ขับรถดีๆ ถึงแล้วบอกเราด้วย”


“อื้อ แล้วเราจะโทรหา” พี่ริวยิ้มหวานส่งให้พี่ดีน ก่อนจะหันมาโบกมือบายบายผม ที่ยืนอยู่ห่างๆ


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพี่เขาน่ารักมากเลยครับ


ผมยังแอบเผลอมองบ่อยๆเลย


และถ้าพี่ดีนจะรักจะชอบพี่ริว ผมคงไม่แปลกใจเลยสักนิด





เมื่อรถพี่ริวขับออกไป ผมกับพี่ดีนก็เดินเคียงคู่กันกลับหอไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกอึดอัด เพราะปกติพี่ดีนไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว


“พี่บอกว่าจะมากินข้าวกับผม” จู่ๆผมก็เอ่ยถามขึ้นมา เพราะคิดอะไรไม่ออกและไม่อยากให้มันเงียบจนเกินไป


“กูบอกหรือไง”


“พี่บอกว่าถ้าว่างจะไปด้วยกัน”


“ก็ไม่เห็นมึงมาช่วย”


“อ้าว” ก็พี่เล่นหายไปเลย ใครจะกล้าเข้าไปชวนล่ะครับ เบอร์ติดต่ออะไรก็ไม่มี มีทางเดียวคือเดินไปเคาะประตูห้อง ซึ่งผมยังไม่กล้าขนาดนั้น มันดูลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจนเกินไป


“ก็ผมไม่เจอพี่เลย เบอร์ติดต่อก็ไม่มี”


“เคาะประตูไม่เป็นหรือไง”


“ได้หรอครับ” ผมตาโต เมื่อได้ยินประโยคที่คล้ายกับการอนุญาต


“อื้อ”


“งั้น พรุ่งนี้ไปกินข้าวกันไหมครับ หรือว่าไปดูหนังดี พี่ดีนชอบดูหนังไหม ปกติผมชอบดูหนังมากเลย แต่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ไปดูสักเรื่องเลยอ่ะ”


“ปกติพูดมากแบบนี้หรอ”


“หา?” อ้าววว ผิดอีก


ผมลืมตัวอีกแล้วครับ เวลาอยู่กับพี่เขาสองคนทีไร ผมเผลอลืมตัวตลอด ผิดกับตอนที่มีพี่ริวอยู่ลิบลับ 


“พรุ่งนี้กูกลับบ้าน


“อ้าว” หงอยเลยครับ นึกว่าวันหยุดนี้จะไม่เหงาแล้วเสียอีก ปกติเสาร์อาทิตย์ผมใช้เวลาอยู่คนเดียวเสียส่วนใหญ่ครับ ถ้าฝุ่นมันอยู่หอเหมือนกับผมคงชวนมันไปไหนได้บ้าง


“ไว้วันหลังแล้วกัน” พี่ดีนเอ่ยปิดท้าย เมื่อเราเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง


“ครับ ฝันดีนะพี่”


“อืม”



นึกว่าจะได้ใกล้กันมากกว่าเดิมเสียอีก


สุดท้ายก็ยังย่ำอยู่กับที่
 






.
.
.
.
.
.







ในเช้าวันอาทิตย์ ผมยืนทำตาโตอยู่หลังประตูห้องตัวเอง หลังจากวิ่งมาเปิดประตู ภาพตรงหน้าคือคนที่ผมไม่คิดว่าเขาจะมาเคาะประตูห้องผม


“พี่ดีน”


“ทำอะไรทำไมตัวเปียก” พี่ดีนยังคงหน้านิ่งเหมือนเดิม


“ซักผ้าครับ”


“แล้วทำไมเปียก” สายตาคู่คมยังคงจ้องรอยเปียกเป็นวงกลางตรงหน้าท้องผมจนอดเกร็งไม่ได้ เผลอแขม่วท้องเลยครับ


“ซักมือครับ มันเลยเปียก”


“ทำไมไม่ลงไปใช้เครื่องข้างล่าง” พี่ดีนหมายถึงเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญใต้หอพักครับ ปกติถ้าผ้าไม่เยอะมาก ผมก็ซักเองครับ สะอาดกว่าซักเครื่องด้วย แต่เหตุผลหลักๆคือผมขี้เกียจเดินขึ้นลงบันไดครับ


“ใกล้เสร็จหรือยัง” ดูเหมือนคำถามก่อนหน้านี้พี่แกไม่ได้หวังคำตอบ


“เสร็จแล้วครับ เหลือแค่ตาก”


“รีบอาบน้ำแต่งตัว อีกครึ่งชั่วโมงจะมาเรียก”


“ห๊ะ”


“ก็ชวนไปดูหนังไม่ใช่หรือไง”


“ห๊ะ”


“มึงจะห๊ะอีกนานไหมน้ำยาง”


“ครับ ครับ พี่ดีนไปรอที่ห้องพี่ดีนก่อน เสร็จแล้วผมไปเรียก” หลังจากทำความเข้าใจประโยคของอีกฝ่ายแล้ว ผมก็หลุดยิ้มดีใจ ก่อนจะรีบเอ่ยออกไปอย่างตื่นเต้น กลัวว่าช้าไปกว่านี้ พี่ดีนจะเปลี่ยนใจ


พี่ทำให้ผมนิสัยเสีย คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะครับ




หลังจากอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เบ็ดเสร็จไม่เกิน 20 นาที ผมก็เคาะประตูอยู่หน้าห้องพี่ดีนแล้วครับ พี่แกไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินนำหน้าผมไปสองสามก้าว ก่อนจะมีผมที่วิ่งตามไปยืนข้างกัน ให้พี่เขาหันมามอง ผมจึงส่งยิ้มกว้างตอบกลับไป
ยังไม่ได้ออกจากหอก็มีความสุขแล้วครับ



พอลงมาข้างล่างผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อพี่ดีนเดินมาหยุดข้างรถเบนซ์คันสีขาว ซึ่งที่นั่งสองแถว แต่ผมเห็นที่เปิดประตูแค่แถวหน้า สงสัยจะมีแค่สองประตูมั้งครับ ผมไม่รู้ว่ารุ่นอะไร เพราะไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องรถ แต่รถคันนี้สวยมากเลยครับ เป็นคันที่ผมเคยอยากให้พ่อซื้อ แต่พี่ปาล์มไม่เอาด้วย เพราะใช้ขับในบริเวณบ้านสวนไม่สะดวก


“รถพี่ดีนหรอครับ” ผมเอ่ยถามเมื่อเราทั้งคู่เข้ามานั่งในรถคันนี้ ข้างนอกว่าสวยแล้ว ข้างในสวยยิ่งกว่าอีกครับ ผมหันซ้ายหันขวา ชะโงกไปดูเบาะหลัง อยากได้อ่ะ ขอให้พ่อซื้อรถไว้ใช้อีกคันดีไหมนะ ผมจะได้พลอยนั่งด้วย


“นั่งดีๆ”


“แฮ่ๆ รถสวยมากเลย ผมไม่เคยเห็นคันนี้จอดอยู่ที่หอเลยอ่ะ”


“ไม่ค่อยได้ขับ กลับบ้านถึงจะได้ใช้”


ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปคว้าสายรัดนิรภัยมาคาด


“ทำไมพี่ดีนไม่อยู่บ้านล่ะครับ ปกติคุณพ่อพี่ดีนก็เข้ามหาลัยทุกวันใช่ไหมอ่ะ แบบนี้ก็ติดรถไปกลับพร้อมพ่อก็ได้ ไม่ต้องอยู่หอ” ผมสงสัยว่าทำไมเจ้าตัวไม่อยู่บ้าน เพราะไหนๆ พ่อกับลูกก็เรียนและทำงานที่เดียวกัน ไปกลับด้วยกันน่าจะได้ ไม่เห็นต้องแยกออกมาอยู่คนเดียวให้เหงาเลย


“เวลากูกับพ่อไม่ได้ตรงกัน มหาลัยไม่ใช่โรงเรียน ที่ต้องเข้าเจ็ดโมงครึ่งเลิกสี่โมงเย็น”


เออเนอะ ผมก็ลืมคิดไป


“พ่อพี่ดีนใจดีไหมครับ ผมเคยเจอท่านครั้งเดียวตอนงานปฐมนิเทศ”


“ใจดี”


“แล้วแม่พี่ดีนทำงานที่มหาลัยนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”


“เปล่า”


“แล้วแม่พี่ดีนทำงานอะไรครับ”


“มึงซักประวัติกูอยู่หรือไง” พี่ดีนเคาะนิ้วกับพวงมาลัยตามจังหวะเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดอยู่เบาๆ ในระหว่างที่รถติด ถนนกรุงเทพไม่ว่าจะวันเวลาไหนก็ติดตลอดเลยแฮะ


“ขอโทษครับ” เพราะติดนิสัยพูดไปเรื่อยจนเผลอถามออกไปจนได้ ผมไม่คิดจะละลาบละล้วงหรืออะไรเลยนะครับ สาบานได้ เพียงแต่มันหลุดปากออกไปเอง ลืมคิดไปเลยว่าอาจทำให้เจ้าตัวอึดอัดหรือไม่พอใจ


“แม่กูเป็นหมอ”


“โอ้โห้ เก่งจัง” ผมทำตาโต ปกติไม่ค่อยเจอคนรอบข้างทำอาชีพหมอเลยครับ สำหรับคนต่างจังหวัดแบบผม หมอเป็นอาชีพที่ชาวบ้านอย่างเรานับถือมากๆ ต่อให้คุณหมอคนนั้นอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าคนไข้ที่รักษาก็ไม่สำคัญครับ คนไข้อยากเราๆมักจะยกมือไหว้ทักทายและขอบคุณตลอด เพราะเขาถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยของพวกเราที่อยู่ห่างไกลความเจริญ โรงพยาบาลประจำจังหวัดก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง แต่ล่ะแห่งก็มีคนไข้เยอะจนล้น ไม่เหมือนในกรุงเทพเลยครับ มีโรงพยาบาลเยอะจนผมอยากให้ที่บ้านมีโรงพยาบาลเยอะๆแบบนี้บ้าง


“ตื่นเต้นอะไร มึงก็เรียนหมอไม่ใช่หรือไง”


“ผมเรียนทันตะครับ ไม่ใช่แพทย์”


“ก็หมอเหมือนกัน”


“แล้วพี่ดีนมีพี่น้องไหมครับ” เผลอถามออกไปอีกแล้ว


“ตกลงจะซักประวัติกูจริงๆใช่ไหม”


“ขอโทษครับ ผมแค่ชวนคุยเพลินไปหน่อย”


“มีพี่ชายฝาแฝด”


ตอนแรกก็คิดว่าพี่เขาจะโกธร แต่ดูแล้วเจ้าตัวคงแหย่ผมเล่น


“ห๊ะ พี่ดีนมีแฝดหรอ” เฮ้ยย พี่ดีนมีสองคน หรือไปจีบอีกคนดี 


“ไม่ใช่ มีพี่ชายเป็นฝาแฝด ทำไมมึงเข้าใจอะไรยาก”


“อ้าว ก็พูดไม่เคลียร์นี่” ผมบึนปากใส่ก่อนจะบ่นงึมงำ แต่เชื่อเถอะครับว่าพี่ดีนได้ยิน


“ไม่เคลียร์ตรงไหน” นั่นไง


“ ช่างเถอะครับ แล้วพี่เขาเรียนที่มอเราด้วยหรือเปล่า หรือจบไปแล้วครับ”


“ต่อโทอยู่อังกฤษ”


ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงียบไป ไม่ถามอะไรต่อ กลัวโดนว่าอีกครับ


“ถามแต่กู ไม่เล่าของมึงบ้าง”


หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ จู่ๆพี่ดีนก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงเพลงที่เปิดคลออยู่ ผมแอบยิ้มที่พี่เขาก็อยากฟังเรื่องของผม หรือต่อให้คิดไปเองว่าเขาอยากรู้ก็ช่างเถอะ


“พ่อผมทำเป็นชาวสวนครับ หลักๆก็ทำสวนยางกับสวนปาล์ม แต่ก็มีพวกไม้ผลบ้าง อย่างมังคุด เงาะ ทุเรียน แต่ก็ไม่เยอะเท่ายางกับปาล์มหรอกครับ จริงๆพ่อผมจบวิศวะเหมือนพี่ดีนเลยนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลับไปทำสวนต่อจากคุณปู่ แต่พ่อก็ดูมีความสุขนะครับ”


ผมยิ้มเมื่อคิดถึงคนที่บ้าน ก่อนจะเล่าต่อ


“ผมมีพี่ชายหนึ่งคน คนนี้จบเกษตรมาโดยตรงเลย ตอนนี้ก็ช่วยงานพ่อที่สวน พี่ชายผมหล่อมากเลยนะ พ่อก็หล่อ แม่ผมก็สวย แต่ผมไม่ได้เจอแม่นานแล้ว ตั้งแต่จำความได้แม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เคยเห็นแต่ภาพถ่ายของแม่ พ่อบอกว่า แม่ทะเลาะกับพ่อ เลยงอนกลับไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่เกาะสมุย พ่อยังง้อไม่สำเร็จ แม่เลยไม่ยอมกลับมาที่บ้านสวนเลย พ่อก็ไม่กล้าพาผมไปหาเพราะกลัวตาจะไล่ยิง ผมจำได้ว่าตอนนั้นขำมากที่พ่อเล่าแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าพ่อโผล่ไปหาแม่แล้วจะโดนตาไล่ยิงจริงๆหรือเปล่า


ผมพี่มีสาวด้วยนะครับ พี่สาวผมก็สวยนะ แต่ผมไม่เคยเจอพี่สาวเลย เคยเห็นแต่รูปตอนเด็กๆ น่าจะช่วงที่พี่สาวผมอยู่ชั้นประถม ตอนนั้นก็สวยแล้ว ตอนนี้ต้องสวยมากแน่ๆเลย”


“พูดมากจริงๆด้วย”


“ครับ?” ผมเหมือนได้ยินพี่ดีนพูดอะไรมากๆนะ


“เล่าต่อสิ”


ผมแอบเห็นพี่ดีนอมยิ้มนิดนึงด้วยครับ


“ปกติผมไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่แต่บ้านสวนเลยสนิทกับคนที่บ้านมากๆ ที่บ้านผมคนเยอะมากเลยครับ เยอะจนพี่ดีนต้องตกใจแน่ๆ วันปีใหม่ที่พวกเราฉลองกัน พ่อโทรสั่งโต๊ะจีนให้มาลงที่บ้านเป็นสิบโต๊ะเลยนะ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าที่บ้านสวนจะมีคนอยู่เยอะขนาดนี้ จนวันที่เรารวมตัวกันทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็เป็นพี่ๆคนงานที่คอยช่วยพ่อดูแลสวน”


“แล้วทำไมถึงเลือกเรียนทันตะ”


“อยากเป็นหมอฟันครับ”


“ทำไมรอบนี้ตอบสั้น” พี่ดีนเลิ่กคิ้วแปลกใจที่ผมไม่ต่อประโยคนั้น


“ก็เหตุผลมีแค่นี้อ่ะ”


“ไม่อยากช่วยงานที่บ้านหรือไง”


“ฮึ ไม่เอาอ่ะ ผมไม่ชอบทำสวน” ผมส่ายหน้าปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด


“งานอื่นที่นอกจากทำสวนก็น่าจะมีไม่ใช่หรือไง”


“ก็มีครับ แต่พี่ชายผมดูแลได้หมดแล้ว กระจายกันไปทำอาชีพอื่นบ้าง จะได้หลากหลายไง” ผมยิ้มแฉ่งตอบกลับไป ครั้งนี้เหมือนเราได้คุยกันเยอะกว่าทุกครั้ง


ถึงแม้ว่าจะมีแต่ผมพี่พูดไม่หยุด แล้วพี่ดีนก็เป็นฝ่ายฟังเสียมากกว่า


ต้องขอบคุณถนนกรุงเทพ ที่ถึงแม้จะเป็นวันหยุดแต่เพราะปริมาณรถบนท้องถนน ทำให้การจราจรติดขัด


ผมเลยมีเวลาอยู่กับพี่ดีนมากขึ้นกว่าเดิม 


ใครหลายคนอาจจะหัวร้อนกับเรื่องรถติด


แต่ผมชักจะหลงรักการจราจรกรุงเทพในช่วงเวลานี้แล้วล่ะครับ



Tbc.




เริ่มจะใกล้กันมากกว่าเดิมแล้วค่ะ
อยู่เป็นกำลังใจให้กันก่อนนะจ้า
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ~
ถ้าชอบก็เป็นกำลังใจให้กันผ่านคอมเมนต์ได้เลยนะคะ
พอมาเขียนนิยายเองแล้วเข้าใจเลยว่าเวลาเห็นคอมเมนต์แล้วชื่นใจขนาดไหน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า~ ฝากน้องน้ำยางไว้ในอ้อมใจด้วยนะจ้ะ
จะเบื่อความเรื่อยเปื่อยของเนื้อเรืองกันมั้ยน๊า แฮ่~ [/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2018 17:55:44 โดย เช้าวันพุธ »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เหม็นกลิ่นตัวประกอบ ///มองริวแรงๆแล้วเตรียมดักตบแทนน้ำยาง ให้น้ำยางได้ดีนอย่างใจหมายยยยย :fire: :fire:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ดีนกับพี่ริวนี่ยังไง เพื่อนกันหรือเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ aha_aha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
น้ำยางนี่น่ารักเสมอต้น เสมอปลายมาก ชอบตรงที่จะเอาพี่ดีนให้ได้นี่แหละ 555

ว่าแต่ยังคาใจพี่ริวนะ ตกลงยังงัยอ่า...

ออฟไลน์ เช้าวันพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

ตอนที่ 8 จะใช่เดทหรือเปล่า



   วันนี้พี่ดีนขับรถพาผมมาไกลถึงสยามเลยครับ ปกติผมไม่ค่อยได้มาแถวนี้สักเท่าไหร่ เพราะมหาลัยเราอยู่แถวชานเมือง ชีวิตประจำวันผมก็วนเวียนแค่ มหาลัย หอพัก และห้างสรรพสินค้าแถวๆนั้น


เมื่อวนหาที่จอดรถได้แล้ว พวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อตั๋วหนังก่อนเป็นอย่างแรก หนังที่พวกเราเลือกดูวันนี้เป็นหนังรวมซุปเปอร์ฮีโร่ภาคต่อฟอร์มยักษ์ เมื่อแถวรันถึงคิวพวกเรา ผมจึงรู้ว่าพี่ดีนกดจองบัตรผ่านเว็บไซต์มาเรียบร้อยแล้ว เราแค่ขึ้นมาจ่ายเงินกับรับตั๋ว


“พี่เลือกที่นั่งบนสุดเลยหรอ” ผมตกใจเมื่อเห็นผังที่นั่งของเราจากหน้าจอ ถ้าดูไม่ผิดนั่นมันที่นั่งคู่ซึ่งเป็นโซฟา


“อื้อ”


“เป็นโซฟาหรอครับ”


“อื้อ ทำไม”


“ก็ เปล่าครับ ผมแค่ไม่เคยนั่ง” ใจผมเต้นตุบตับเพราะเรื่องแค่นี้ อ่อนชะมัดเลย


“กูไม่ชอบนั่งแถวอื่นมันอึดอัด ยืดขาไม่ได้”


“อ่อ” ผมพยักหน้า คนขายาวก็ลำบากหน่อยนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอก


 “มึงกินอะไรหรือยัง”


“เมื่อเช้ากินคอนเฟลกกับนมมาแล้วครับ ตอนนี้หิวมากเลย” ผมตอบพร้อมกับทำท่าลูบท้องให้รู้ว่าหิวจริงๆนะ


“อยากกินอะไร”


“ผมไม่ค่อยได้มาแถวนี้ พี่ดีนอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ” ผมคิดไม่ออกจริงๆครับ เพราะไม่ได้อยากทานอะไรเป็นพิเศษ บวกกับแทบไม่รู้เลยว่าที่นี่มีอะไรให้เลือกบ้าง เดาว่ามันต้องเยอะแน่ๆ


“กูกินอะไรก็ได้”


ตอนนี้เราเดินลงมาจากชั้นโรงหนังแล้วครับ เดินลงมาเรื่อยๆโดยยังไม่รู้จุดหมายต่อไป


“อ๊ะ โอเชี่ยนเวิลด์” ผมชี้ป้ายโฆษณาที่อยู่วางอยู่ข้างๆบันไดเลื่อน ได้ยินมานานแล้วครับว่าที่กรุงเทพมี อควาเลี่ยมให้ดูด้วย แต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันคือที่นี่


 “กูให้เลือกร้านข้าว อย่านอกเรื่อง” พี่ดีนดึงแขนผมเบาๆให้เดินตามเขาลงบันไดเลื่อนไป เมื่อผมหยุดยืนตรงหน้าป้ายโฆษณาจนขวางทางคนที่เดินตามหลัง


“อควาเลี่ยมมันอยู่ที่นี่หรอครับ ผมอยากไปอ่ะ” ผมยังติดใจเรื่องเดิมอยู่ เพราะเมื่อลงมาถึงอีกชั้นก็เห็นรูปปั้นเพนกวินวางอยู่ตรงมุมบันไดเลื่อน


“ค่อยมาวันหลัง วันนี้เวลาไม่พอ ตกลงมึงอยากกินอะไร”


“พี่ดีนมาเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ” ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงออกปากชวนพี่เขาไปอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน จริงๆแล้วเวลาที่ผมอยู่กับพี่เขาสองคน มันไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือไม่สนิทใจอยู่เลย ผิดกับเวลาที่พวกเราอยู่รวมกับคนอื่นๆ ผมกลับรู้สึกว่าเราไม่ค่อยเป็นตัวเอง ไม่เหมือนในเวลานี้

 
“มึงไม่คิดจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนบ้างหรือไง” พี่ดีนทำหน้าเซ็งๆ เมื่อได้ยินผมเอ่ยชวน แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับไม่รู้สึกว่าเขารำคาญผม


“ก็อยากมากับพี่ดีนอ่ะ”


“มึงติดกูหรือไง”


“ให้ติดมั้ยอ่ะ ให้ติดก็อยากติดนะ” ผมยิ้มล้อ พูดออกไปโดยไม่รู้สึกเขินเลยสักนิด


“มึงนี่น่ารำคาญจริงๆ”


แล้วผมก็ยิ้มออกมาทุกครั้งที่เขาบ่นว่าผมน่ารำคาญ









“ผมอยากกินชาไข่มุก ร้านที่มันต้องกดจากตู้อ่ะ” ผมบอกพี่ดีนระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านสถานีรถไฟฟ้ามายังฝั่งตรงข้ามพารากอน


“ร้านอะไร”


“อันนี้ครับ” ผมยืนมือถือที่เปิดทวิตเตอร์ค้างไว้ ผมเป็นแฟนตัวยงของแท็ก อร่อยไปแดก เลยนะครับ เป็นไปได้ก็อยากลองมันทุกร้านที่เขาบอกว่าอร่อยเลย


“เอทีเอ็ม?”


“อื้อ พี่ดีนรู้จักมั้ยครับ”


“รู้ แต่มึงไม่คิดจะหาร้านกินข้าวหรือไง” พี่ดีนเริ่มบ่นอีกแล้วครับ


“ก็ ไปซื้อน้ำก่อน แล้วไปหาร้านข้าวกัน ดีไหมครับ”


แฮ่~ นี่ผมเอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่าครับ แต่อยากกินจริงๆนะ ถ้าเข้าร้านข้าวก่อน เดี๋ยวก็อิ่ม อดกินชานมไข่มุกแน่ๆเลย ร้านนี้แถวมหาลัยไม่มีด้วยอ่ะ มันมีที่นี่ที่เดียวใช่มั้ยล่ะครับ แล้วนานๆทีผมจะได้มาแถวนี้ ต้องพลาดไม่ได้


“เออๆ ตามใจมึง”


“พี่ดีนพาไปหน่อยยย” ผมส่งยิ้มกว้างที่พี่เขาใจดี


“อยากกินแต่ไม่รู้ร้านอยู่ไหน?”


“แฮ่ ก็ไม่เคยมา”


“มึงนี่มัน”


“นะ”


“เออๆ อยู่ฝั่งนี้แหละ เดินไปอีกหน่อย”


“คร้าบบบบ” ผมเดินตามพี่ดีนไปติดๆ ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า



เมื่อเดินมาเรื่อยๆ เรามาเจอกับงานอาหารสี่ภาคที่จัดอยู่ตรงกลางถนนในสยามครับ พวกเราเลยตัดสินใจเลือกหาอะไรกินกันที่นี่เลย ดีเหมือนกันครับ ของกินเยอะแยะเลย

แต่ก่อนอื่นต้องไปซื้อชานมก่อน

นี่ทำไมผมหมกมุ่นกับชานมจังเลยน้า







พอมาถึงหน้าร้านชานมก็เจอกับจอตู้คล้ายๆกับเครื่องซื้อตั๋วหนัง ให้เราเลือกกดเมนูที่ต้องการ แต่เพราะผมไม่เคยมาร้านนี้มาก่อน เลยยืนงงๆอยู่ตรงหน้าจอ โชคดีที่ตอนนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ครับ


“สั่งเครื่องดื่มทางนี้ได้นะคะ” เสียงพี่พนักงานดังลอดออกมาจากช่องที่ติดอยู่ข้างๆจอสั่งเครื่องดื่ม


“ผมอยากลองสั่งกับเครื่องตรงนี้ ได้ไหมครับ” ผมยิ้มเอ่ยบอกกับพี่พนักงาน พร้อมกับชี้ไปที่เครื่องข้างๆ”


“เชิญเลยค่ะ” พี่พนักงานใจดียิ้มบอก ผมเลยยิ้มตอบพี่เขาไปอีกครั้ง ก่อนจะหันมาจิ้มหน้าจอทำตามขั้นตอนที่มีบอกอยู่ตรงหน้า


“พี่ดีนเอาอะไรดีครับ”


“มึงกินอะไร” พี่ดีนขยับมายืนซ้อนหลังผม มองเมนูเครื่องดื่มที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


“อืมมม อยากกินมันม่วง แต่ชาเขียวก็น่ากิน หรือว่าเอาชานมดีอ่ะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเหมือนปกติที่ชอบทำ


“มึงจะกินหมดทุกอย่างหรือไง เลือกมาสักอัน”


“พี่ดีนเอาอะไรอ่ะ”


“ชาเขียวแล้วกัน” พี่ดีนว่าก่อนจะจิ้มลงไปบนหน้าจอตรงรายการ 'มัทฉะสตอเบอร์รี่'



"งั้นผมเอามันม่วง"


เมื่อเลือกเครื่องดื่มได้แล้วพวกเราก็ย้ายตัวเองมายืนรอเครื่องดื่มในร้านครับ พึ่งสั่งเกตเห็นว่ามีมุมให้นั่งด้วย โชคดีที่มีที่นั่งว่างพอดี ผมเลยลากแขนพี่ดีนไปนั่งตรงนั้นในระหว่างรอ




ในระหว่างนั่งรอเจ้าเครื่องกลมๆที่ได้รับมาตอนนำใบเสร็จไปจ่ายเงิน พี่พนักงานบอกว่าถ้าเครื่องตัวนี้สั่น ให้นำมารับเครื่องดื่มได้เลย ผมอดทึ่งกับนวัตกรรมอันนี้ไม่ได้ เจ๋งมากเลยอ่ะ


หันซ้ายหันขวานั่งมองพี่ๆหลังเคาท์เตอร์ชงเครื่องดื่มแล้วก็อยากลองทำบ้าง น่าสนุกแฮะ คิดในใจเล่นๆว่าหรือจะลองหาร้านแถวๆมหาลัยสมัครทำงานพิเศษดู จนเจ้าเครื่องกลมๆสีขาวในมือสั่น พร้อมกับพี่ที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์หันมาส่งยิ้มให้ผมพร้อมกับบอกว่า ‘เครื่องดื่มเรียบร้อยแล้วค่ะ’


ผมลุกไปหยิบทั้งสองแก้ว โดยให้พี่ดีนนั่งรออยู่ที่เดิม


 “อื้อออ อันนี้อร่อย” ผมติดนิสัย เวลากินอะไรที่ถูกใจชอบส่งเสียงแบบนี้ออกมาครับ ความรู้สึกเหมือนชีวิตนี้คุ้มค่าแล้วที่ได้เกิดมาเจอของกินอร่อยๆ


“หน้ามึงตลก” พี่ดีนหลุดขำออกมา ตอนที่หันมามองหน้าผมหลังจากที่ได้ยินเสียง


“ชิมไหมครับ เอาหลอดพี่ดีนจิ้มมาก็ได้” ผมหัวเราะไปกับพี่เขาเพราะคิดว่าหน้าตัวเองคงตลกแบบที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ ก่อนจะยื่นแก้วมันม่วงไปตรงหน้าพี่ดีน


“ไม่ต้อง” พี่ดีนดึงมือผมที่จะหยิบเอาหลอดออก ก่อนจะจับข้อมือผมข้างที่ถือแก้วไว้ ดึงเข้าหาตัวเอง แล้วดูดเครื่องดื่มสีม่วงในมือผม


“อร่อยดี แต่หวานไปหน่อย”


ทำแบบนี้อีกแล้วนะครับพี่ดีน


ผมใจเหมือนถูกแช่ในน้ำโซดาเลย


“เอ้า” คราวนี้พี่ดีนยื่นแก้วของตัวเองมาตรงหน้าผมบ้าง “เมื่อกี้บ่นอยากกินชาเขียวไม่ใช่หรือไง”


ผมพยักหน้างึกๆ ก่อนจะสบตากับพี่เขา


ดวงตาคู่เดิมที่สะกดผมไว้ให้จมลึกลงไป


แววตาคู่เดิมที่ผมหลงใหลในคืนวันลอยกระทงของปีนั้น


นัยย์ตาสีนิลที่ผมอยากจับจองเป็นเจ้าของ



“กินดิ” พี่ดีนเลื่อนแก้วมาชนคางผมเบาๆ เมื่อเห็นผมนิ่งไป ปลุกให้ผมตื่นจากความคิดของตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปชิมแก้วของอีกฝ่าย

“อื้อออ อร่อยยยยย”

“หน้ามึงตลกอีกแล้ว”








“เมื่อไหร่มึงจะซื้อเป็นเรื่องเป็นราวสักทีห๊ะ”


หลังจากที่เรานั่งอยู่ในร้านชานมได้ครู่เดียวเพราะคนเริ่มแน่นร้าน จึงย้ายออกมาเดินในงานอาหารสี่ภาค ผมหยุดเกือบทุกร้านที่ผ่าน บ่นงึมงำคุยกับตัวเองว่าจะกินดีไหม ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากขอพี่ดีนหยุดซื้อของกินร้านนู้นร้านนี้จนได้ของกินเล่นมาเต็มมือ


ในขณะที่พี่ดีนยังไม่ได้อะไรสักอย่างเลยครับ ตอนนี้คงเริ่มหงุดหงิดแล้ว


“พี่ดีนไม่อยากกินอะไรหรอครับ” ผมเอ่ยถามเพราะไม่เห็นเจ้าตัวสนใจจะหยุดร้านไหนเลย


“มึงซื้อมาเยอะขนาดนี้จะให้กูอยากกินอะไรอีกล่ะ” แหนะ มีประชด


“ก็อยากกินอ่ะ”


“ร้านต่อไปถ้าไม่ใช่ข้าว กูจะลากคอมึงออกมา”


“งั้นพี่ดีนกินข้าวอะไรดีครับ”


“แล้วแต่มึง”


“แน่ใจนะครับ” เพราะผมกำลังเล็งหอยทอด คิดถึงร้านเจ้าดังในตลาดตัวเมืองสุราษฏร์ขึ้นมาเลยแฮะ


“กูเลือกเอง” พี่ดีนพูดจบก็หันหลังเดินนำผมไปเลยครับ ผมแอบขำเพราะคิดว่าพี่ดีนน่ารักจัง


ถ้าไม่ใจกล้าตามตื้อพี่แกบ่อยๆ คงไม่มีวันได้เห็นมุมนี้ของพี่ดีนแน่ๆครับ



สรุปแล้วร้านสุดท้ายที่พวกเราเข้าคิวรอซื้อคือข้าวหน้าเป็ดเจ้าดัง เราได้ข้าวมาสองจานก่อนจะเดินไปยังจุดบริการโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหาร พวกเราได้แชร์โต๊ะกับนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่นั่งอยู่ก่อน

พี่ดีนจัดแจงวางข้าวหน้าเป็ดไว้ตรงหน้าผมกับตัวเองคนละจาน

“กินข้าวก่อน” แถมไม่ลืมย้ำผมด้วยประโยคนี้

ฟังแล้วอุ่นในหัวใจขึ้นมาเลยครับ อากาศที่ว่าร้อน แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่นกำลังดี







หลังจากที่เราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ใกล้เวลานั่งเข้าฉายครับ พวกเราจึงตกลงกันว่าจะไปนั่งรอบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ เพราะตอนนี้อากาศข้างนอกในช่วงบ่ายแบบนี้ร้อนมากๆเลยล่ะ ผมเห็นพี่ดีนเหงื่อซึมขมับ จนต้องคอยส่องทิชชู่ให้เจ้าตัวซับหน้า แต่ยังดีที่พี่เขาไม่ออกปากบ่นเลยสักนิดทั้งๆที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนขี้ร้อนเสียขนาดนั้น



เมื่อได้เวลาหนังเข้าฉาย ผมขอพี่ดีนไปซื้อน้ำเพราะติดนิสัยต้องถือน้ำเข้าโรงหนังด้วยทุกครั้ง เพราะเจอแอร์เย็นๆแล้วผมชอบไอครับ เลยต้องคอยดื่มน้ำให้หายคันคอ


“กูให้มึงซื้อแค่น้ำเปล่า”


“พี่ดีนไม่อยากกินโค้กหรอ”


“มึงต่างหากที่อยากกิน”


“งั้นเอาน้ำโค้กนะ”


เรายืนตัดสินใจว่าจะซื้อน้ำอะไรอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์จำหน่ายเครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนตร์


“กูบอกว่าเอาน้ำเปล่า วันนี้มึงกินเยอะไปแล้วนะ ปกติกินแบบนี้หรือไง” พี่ดีนเอ่ยดุขึ้นมา แต่ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ครับ เพราะของที่ผมกินเข้าไปวันนี้มีแต่ของทอด แป้ง แล้วก็ขนม ถ้าพี่ปาล์มอยู่ด้วยผมก็คงโดนด่าไม่ต่างกัน เผลอๆโดนหนักกว่านี้อีก


“น้ำเปล่าก็ได้ครับ”


“มึงยังเด็ก แต่ใช่ว่าจะกินอะไรตามปากได้ทุกอย่าง ระวังเรื่องอาหารบ้าง”


“ครับ” ผมเอ่ยตอบรับอย่างเข้าใจ ที่พี่ดีนพูดก็ถูก เพราะผมกินตามใจปากตัวเองจริงๆ แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่กินแล้วน้ำหนักขึ้นง่าย แต่ก็รู้ว่าของที่ชอบกินใช่ว่าจะมีประโยชน์


แล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ดีนถึงบ่นผมเรื่องอาหารการกิน
ผมเดาว่าเพราะคุณแม่พี่ดีนเป็นหมอ คงเข้มงวดเรื่องอาหารอยู่บ้าง ก็เดี๋ยวนี้โรคภัยต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากพฤติกรรมการกินนี่แหละครับ



“ไปซื้อน้ำได้แล้ว”


ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินไปบอกพี่พนักงานว่าขอน้ำเปล่าหนึ่งขวด




เมื่อดูหนังจบแล้วพวกเราตัดสินใจมุงหน้ากลับหอพักเลยครับ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว รีบกลับก่อนรถจะติดไปมากกว่านี้ ส่วนมื้อเย็นค่อยไปหาอะไรกินแถวหอกันครับ เพราะตอนนี้ยังอิ่มกับมื้อกลางวันกันอยู่เลย


ส่วนบรรยากาศในโรงภาพยนตร์กับเก้าอี้ชุดโซฟาแสนโรแมนติกนั้น ไม่มีอะไรเลยครับ เพราะผมกับพี่ดีนต่างจดจ่ออยู่กับหนังตรงหน้า ไม่ได้มีโมเมนต์บังเอิญหันมาซบหน้ากัน เผลอมือแตะกัน อะไรทำนองนั้นเลยครับ แอบเสียดาย


เราเพียงแค่นั่งไหล่ชนกันตลอดทั้งเรื่อง ก็เท่านั้นเอง




.
.
.
.
.
.
.




“ครับแม่” พี่ดีนกดรับสาย เมื่อมีเสียงเรียกเข้าระหว่างที่เราพึ่งขับรถออกจากที่จอดรถ


“ใช่ครับ ดีนเอารถมา”


“แฟ้มสีขาวหรอครับ แปปนึงนะครับ” พี่ดีนเอ่ยกับคนในสาย ซึ่งคงเป็นคุณแม่ของพี่เขา เพราะผมได้ยินตอนที่พี่เขารับสาย


“มึงช่วยกูดูที่เบาะหลังหน่อยว่ามีแฟ้มสีขาวมั้ย” พี่ดีนหันมาบอกกับผม เพราะตอนนี้พี่แกกำลังขับรถอยู่ หันไปดูเองไม่ได้ ก่อนจะเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์มือถือแล้ววางมันไว้บนตัก


ผมหันไปดูตามคำขอของพี่ดีน ก่อนจะเห็นแฟ้มใบนึงวางไว้อยู่ตรงเบาะหลังตำแหน่งเดียวกับฝั่งคนขับ


“อันนี้หรือเปล่าครับ” ผมเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มใบนั้นขึ้นมา ก่อนจะยกมันให้พี่ดีนดู


“ใช่แฟ้มที่มีชื่อโรงพยาบาลติดอยู่ข้างหน้าหรือเปล่าครับ” พี่ดีนหันมามองแฟ้มในมือผม ก่อนจะเอ่ยพูดกับคนในสาย


“ใช่จ้ะ แม่ลืมไว้จริงๆด้วย ดีนแวะเข้าบ้านก่อนได้มั้ยลูก พรุ่งนี้แม่ต้องใช้เอกสารในแฟ้มด้วย”


“ได้ครับ เดี๋ยวดีนเข้าไป”


“จ้ะ ขอโทษนะลูก วันก่อนแม่เอารถไปเช็คสภาพเลยต้องใช้รถดีนไปทำงาน ลืมของทิ้งไว้จนได้”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเจอกันนะครับ”


“จ้า ขับรถดีๆนะลูก”


“ครับแม่”


“เดี๋ยวกูแวะเข้าบ้านก่อนนะ” พี่ดีนหันมาบอกผม หลังจากที่วางสายจากคุณแม่ไป


“พี่ดีนจอดให้ผมลงแถวนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับหอเอง” จู่ๆผมก็คิดว่าตัวเองควรแยกตัวออกมาดีกว่า พี่ดีนคงไม่มีทางเลือกเลยให้ผมติดรถไปบ้านพี่แกด้วย เพราะถ้าให้ขับไปส่งผมที่หอแล้วเจ้าตัวค่อยกลับบ้านคงเสียเวลาหน้าดู


“จะกลับเองทำไม ไปกับกูเนี้ยแหละ”


“แต่พี่ดีนจะกลับบ้าน อาจจะไม่สะดวกพาผมไปด้วย”


“ถ้าไม่สะดวกกูจะบอกให้มึงไปกับกูไหม นั่งเฉยๆไปเถอะ”



“จะดีหรอครับ พาใครก็ไม่รู้เข้าบ้าน” พ่อกับแม่พี่ดีนอาจจะคิดแบบนี้ก็ได้นะ เพราะท่านเองก็ไม่รู้จักผมมาก่อน 







“มึงไม่ใช่คนอื่น ทำไมจะไปไม่ได้”




แต่เพราะคำตอบของพี่ดีน ทำให้ผมเลือกที่จะเงียบไม่ขัดอะไรอีกฝ่าย




ทำได้แค่แอบหันไปลอบยิ้มกับหน้าต่างข้างๆ ในขณะที่มือก็กำหัวเข่าตัวเองไว้แน่น




บ้าชะมัดเลย ใครมันราดโซดาลงหัวใจผมอีกแล้วเนี้ย




Tbc.

รอบนี้มาเร็ว แฮ่~ เพราะอาทิตย์หน้าต้องกลับหาดใหญ่ กลัวเว้นช่วงนานเกินไป
และแวะมาลงวันนี้เลยดีกว่า~
ว่าแต่มันสั้นไปมั้ยหนอ  :hao7:

อยากจะร้องไห้กับคำผิด ก่อนลงแต่ละตอนจะอ่านเช็คก่อนทุกครั้ง
แต่พอลงเสร็จแล้ว กลับมาอ่านซ้ำ ดันเจอคำผิดทุกรอบ แง้ เป็นอะไรของเทอออหืออออ
ขอโทษนะคะ ถ้ามันทำให้เสียอรรถรส เราจะพยายามไม่ตาถั่วบ่อยๆนะ แง้

ตอนต่อไปพี่ดีนพาน้องเข้าบ้านแล้วค่ะ 555555555
จะเป็นยังไงบ้างน้าาา จะเจอใครที่บ้านพี่เขาบ้างน้าาาา

เจอกันตอนหน้าจ้าา


ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ และทุกคนที่ติดตามนะจ้ะ
รักหมดเลออออ~

#พี่ดีนน้องยาง

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2018 18:29:39 โดย เช้าวันพุธ »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด