ตอนที่ 1:ลอยกระทงกับซุ้มสอยดาวบรรยากาศอึมครึมจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบ้านเรือนไทยยกใต้ถุนสูงที่รายล้อมไปด้วยต้นเงาะ มังคุด
แสงแดดไม่สามารถลอดผ่านกลุ่มก้อนเมฆหนาทึบส่งผลให้ภายในห้องนอนที่แม้จะเปิดหน้าต่างไม้ทิ้งไว้ ก็ไม่ทำให้ภายห้องมีแสงสว่างเพียงพอต่อสายตา
ผมเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ จัดการเช็คสัมภาระที่จะพกติดตัวขึ้นกรุงเทพอีกครั้ง แล้วจึงพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่พี่ชายคนโตจะมาเคาะประตูเรียกเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทาง
วันนี้ผมมีนัดกับกลุ่มเพื่อนอีกสามคนที่สนามบินประจำจังหวัดเพื่อเดินทางไปสมัครเรียนพิเศษติวเข้มก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เด็กต่างจังหวัดก็เป็นเช่นนี้แหละครับ จะให้หาความเจริญเทียบเท่ากับเด็กเมืองกรุงเห็นทีจะยาก ถ้าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ นอกจากอาศัยความเพียรในการตะบี้ตะบันอ่านหนังสือด้วยตัวเองแล้ว การไปเรียนติวเตอร์ก็ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ผมมั่นใจสำหรับการสอบแข่งขันครั้งสำคัญนี้
จริงๆแล้วจังหวัดที่ผมอยู่ก็มีมหาลัยรัฐบาลประจำภาคใต้ตั้งอยู่ แต่เป็นเพราะคณะที่ผมอยากศึกษาต่อไม่เปิดสอนในวิทยาเขตนี้ และที่สำคัญ ผมหน่ะมีความใฝ่ฝันอยากไปใช้ชีวิตในเมืองศิวิไลซ์ เพราะสิ่งที่เห็นชินตามาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีแต่ป่า เขา ต้นเงาะ ต้นมังคุด ป่ายาง สวนปาล์ม คนงาน รถถีบคันเก่าๆ ชาวบ้านนุ่งผ้าถุงขี่รถเครื่อง ตลาดนัดเช้าทุกวันพุธและเสาร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเชิงเขา เสียงจิ้งหรีด ถนนโล่งๆที่นานๆทีจะมีรถขับผ่านมา ร้านสะดวกซื้อก็ถูกแทนที่ด้วยรถขายของเร่ที่ส่งเสียงดังมาแต่ไกล
บ้านสวนของผมความเจริญพึ่งเข้ามาถึงเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าแม้แต่สัญญาณทีวียังต้องจูนทุกครั้งที่เปลี่ยนช่อง บางครั้งถึงขั้นต้องตบตีโทรทัศน์อยู่สองสามครั้งก่อนภาพหน้าจอจะปรากฏ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ผมใช้วิธีนี้ทุกครั้งเวลาที่นึกฉุนเจ้าตู้สี่เหลี่ยมนั่น
แต่ในเวลานี้ถือว่าเจริญขึ้นมากโข เพราะนอกจากจะไม่ต้องใช้หนวดกุ้งในการรับสัญญาณโทรทัศน์แล้ว บ้านเรือนไทยหลังนี้ยังมีwifi ให้ใช้อีกต่างหาก และตั้งแต่ที่ผมรู้จักโลกไร้พรมแดนอย่างอินเตอร์เน็ตก็ทำให้ความฝันเล็กๆผุดขึ้นในใจว่าอยากจะไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างพวกเน็ตไอดอลหรือหนุ่มสาวหน้าตาดีที่ดูมีชีวิตสวยหรูเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าผมเบื่อชีวิตบ้านนอกแบบนี้หรอกนะครับ อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ผมเองก็รักบ้านเกิดและภูมิใจในสายเลือดตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็เท่านั้น
“ไอ้ยาง เสร็จหรือยังวะ ประเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” เสียงตะโกนเรียกจากหน้าห้องพร้อมกับแรงเคาะประตูสองสามครั้งจากพี่ชายเป็นสัญญาณให้ผมกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปส่องกระจกสำรวจหน้าตาอีกครั้ง ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเดินทางเตรียมตัวออกจากห้อง
“มาแล้วจ้า มาแล้ว” ผมส่งเสียงนำไปก่อนจะคว้าเอาสัมภาระใบเขื่อนขึ้นสะพายหลัง เปิดประตูห้องวิ่งหางกระดิกตรงไปยังโถงกลางบ้าน
“กินข้าวก่อนลูกยาง ป้าเพ็ญคั่วหมูสามชั้นกับทำใบเหลียงผัดไข่ให้แล้ว” คุณป้าวัย60 ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อของผม เอ่ยขึ้นหลังจากที่หันมาเจอผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆพี่ชายที่กำลังจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ให้มันกินแต่สามชั้นเดี๋ยวก็เส้นเลือดอุดตันตาย บอกให้ออกกำลังกายบ้างก็ไม่ยอม ดูตัวมันสิป้าเพ็ญอ้อนแอ้นไม่สมเป็นชาย” พี่ปาล์มทำหน้าเหม็นเบื่อ
“น้องไม่อ้วนเสียหน่อย ลูกปาล์มก็ไปว่าน้อง” ใช่แล้วครับป้าเพ็ญ หุ่นแบบยางเขาไม่เรียกอ้วน พี่ปาล์มแม่งใส่ร้าย
“ป้าเพ็ญพูดถูกยางไม่อ้วน ไม่เห็นต้องออกกำลังกายเลย ไม่ได้อยากมีกล้าม” ผมเบาะปาก
“กูรู้ว่าตุ๊ดอย่างมึงไม่อย่างมีกล้าม แต่สุขภาพหน่ะดูแลหน่อย” ไอ้พี่ปาล์ม ปากเสียอีกแล้ว!!
“ลูกปาล์ม!! ทำไมไปเรียกน้องแบบนั้น”
“ป้าเพ็ญดูพี่ปาล์มว่าน้ำยางอีกแล้ว ยางไม่ได้เป็นตุ๊ด แค่ไม่ชอบผู้หญิงไม่ได้อย่างเป็นผู้หญิงเสียหน่อย”
“กูก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน” พี่ชายไหวไหล่ก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้า
“อ้ะ แดกเข้าไปเยอะๆ สามชั้นมันๆของโปรดมึงเนี้ย แล้วก็เคี้ยวเร็วๆอย่าช้าต้องขับรถไปอีกเกือบชั่วโมง มึงจะตกเครื่องเอา” ปากว่าแต่มือก็เอื้อมไปตักของโปรดให้ผม เพราะผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี ถึงไม่เคยนึกเคืองหรือโกธรเจ้าตัวเลยสักครั้งที่ปากมอม
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่เพราะพ่อผมมีลูกหลายคนหรือมีบ้านเล็กบ้านน้อยหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะพ่อมีพี่น้องหลายคน จริงๆแล้วบ้านที่ผมอาศัยอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่บ้านเดิมของพ่อ เพียงแต่ปลูกอยู่ในบริเวณพื้นที่ของคุณปู่ที่กินเนื้อที่กว่าร้อยไร่ เดิมทีคุณปู่เป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองที่ผันตัวมาเป็นชาวสวนยางก่อนวัยเกษียณ บ้านเดิมของพ่อคือเรือนไทยหลังใหญ่อายุร้อยปีซึ่งตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้าของสวนแห่งนี้ ทุกครั้งที่เข้าออกจะต้องผ่านบริเวณเรือนของคุณปู่เสมอ
ถึงแม้จะเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ก็มีแค่ครอบครัวของผมและคุณปู่ที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆของพ่อ แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวในอำเภอหรือจังหวัดอื่น จะมีก็แต่ป้าเพ็ญที่ย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเองหลังจากที่ลูกๆแยกย้ายกันไปมีครอบครัว ในเมื่อคู่ชีวิตได้จากไป ตัวเองก็หมดห่วงเรื่องลูกๆจึงกลับมาดูแลพ่อแม่และน้องสาวผู้ไม่สมประกอบอย่างป้านวล
พ่อเล่าว่าตอนเด็กๆป้านวลเป็นคนสวยและเรียนดี เป็นหัวโจกในกลุ่มเด็กผู้ชายวัยเดียวกันที่ทโมนเล่นปีนป่ายต้นไม้ แต่เคราะห์ร้ายจมน้ำระหว่างที่เล่นน้ำในลำธารกับลูกๆคนงาน นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ร้ายแรงถึงขั้นชีวิต แต่เพราะหมดสติและสมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะหนึ่งทำให้ป้านวลต้องกลายเป็นคนเชื่องช้าและปากเบี้ยว และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ป้านวลต้องหยุดเรียนอย่างถาวร อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน มีคุณย่าคอยดูแลและสอนงานบ้านงานเรือนให้ทำ ซึ่งป้านวลก็ทำได้ดีและมีความสุขกับชีวิตในทุกวัน
“ปู่จ๋า ย่าจ๋า ยางไปกรุงเทพก่อนนะจ้ะ” ผมให้พี่ชายจอดหน้าบ้านคุณปู่ เพื่อแวะบอกลาท่าน มองหาพ่อตัวเองอยู่ยกใหญ่แต่ได้คำตอบจากคุณย่าว่าพ่อออกไปรับปุ๋ยจากโรงงานในอีกอำเภอ
“รักษาตัวนะไอ้หนูเอ้ย ถึงแล้วส่งข่าวมาบอกทางนี้ให้หายข้องใจด้วย” คุณปู่เอ่ยพร้อมกับลูบหัวผม
“ลูกยางจะไปไหน๋” ป้านวลเอ่ยถามมาเป็นภาษาถิ่น
“ยางจะขึ้นไปกรุงเทพจ้ะป้านวล”
ถึงแม้ว่าจะเกิดและเติบโตที่นี่ แต่ผมและพี่ชายไม่มีใครพูดภาษาถิ่นเลย เพียงแต่ฟังเข้าใจและใช้คำถิ่นในบ้างครั้ง คงเป็นเพราะที่โรงเรียนเพื่อนๆไม่มีใครพูดภาษาใต้กัน การเรียนการสอนในทุกวันคุณครูก็ใช้ภาษากลางในการสื่อสาร จะมีก็แต่เวลาที่ผู้ใหญ่ในบ้านพูดคุยกันก็มักจะใช้ภาษาท้องถิ่น แต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะพูดภาษากลางได้ชัดเจนนะครับ แถวบ้านผมหน่ะ เขาเรียกว่าภาษาทองแดงแหลงไทยไม่ชับ
“หลบมาต่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าครับ ยางไปก่อนนะป้านวล” ผมเอ่ยบอกนวลก่อนหันไปหอมแก้มแกฟอดใหญ่ หลังจากได้ยินเสียงพี่ชายตะโกนเร่งดังมาจากข้างล่างเรือน
.
.
.
.
.
.
ท่าอากาศยานดอนเมือง “แค่สนามบินก็คนเยอะกว่าบ้านเราแล้วนิ กูพึ่งเคยมาที่นี่หนแรกเลย” ไอ้สนกระชับกระเป๋าสะพานหลังของมันให้เข้าที่ ออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด การเดินทางในครั้งนี้มีสมาชิกทั้งหมด 3 คน ประกอบไปด้วย ผม สนธยา และ ตรีจักร และแน่นอนทั้งหมดนี้เป็นเหมือนผม
เอ่อออ…
คงทราบรสนิยมของผมกันแล้วใช่มั้ยครับ แฮ่
เวลารวมทีมด้วยกันทีไรพี่ปาล์มมักจะเรียกพวกเราว่า แก๊งตุ๊ดหัวโบก หึ๋ยยยย มันน่าเตะผ่าหมากพี่ชายตัวเองหนัก!! ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตุ้งติ้งแต๋วแตกอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่สำหรับเพื่อนผมอีกสองคนหรอกนะครับ นั่นหน่ะ ทาแป้งจนหน้าเทาทุกวัน
ในกลุ่มนี้มีแค่ผมและตรีเท่านั้นที่เคยเยือนกรุงเทพมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะชำนาญเส้นทางในเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้นัก แต่ยังโชคดีที่พี่สาวของตรีเรียนอยู่ที่นี่ เลยเป็นธุระจัดการจองที่พักและแนะนำการเดินทางให้พวกเรา ก่อนอื่นเราต้องเรียกแท็กซี่เข้าโรงแรมก่อน รอจนกระทั่งพี่สาวของตรีเลิกเรียนในช่วงบ่าย เจ้าตัวจึงมารับพวกเราไปเที่ยวงานลอยกระทงในมหาลัยที่เธอเรียนอยู่ พรุ่งนี้พวกผมค่อยไปสมัครเรียนพิเศษแถวพญาไทกันครับ
บรรยากาศครึกครื้นแตกต่างจากงานลอยกระทงตามงานวัดในจังหวัดบ้านเกิดอยู่มาก พวกเราทั้งหมดตื่นเต้นกับของกินมากมายที่เหล่านักศึกษาหรือประชาชนทั่วไปนำมาออกร้านขายของ ไหนจะเหล่านักศึกษาหน้าตาดีที่เดินผ่านไปผ่านมาจนพวกเราสะกิดและจิกแขนเพื่อนกันจนเหนื่อย ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเราจะได้พักหายใจหายคอกับความเบิกบานตรงหน้าได้เลย ถ้าให้เปรียบเทียบหน้าตาของคนที่นี่แล้ว ถ้าเดินเรียงหน้ากระดาษมา 10 คน จะมีคนหน้าตาดีผ่านเข้ารอบไปสัก 8 คน แต่ถ้าเป็นที่โรงเรียนผมหน่ะหรอครับ เดินมา10 มีโผล่มาสักคนนี่ถือว่าของแรร์เลยครับ ต้องเป็นคนดังประจำโรงเรียนแน่ๆ
“ไอ้เหี้ยมึงแลคนนั้น เสื้อขาว 2 นาฬิกา” ไอ้สนที่เดินอยู่ข้างๆสะกิดแขนผมยิกๆให้หันไปมองเป้าหมาย
“เขามากับเมีย มึงไม่เห็นหรอ” ผมหันไปมองตามทิศทางที่เพื่อนบอก
“ปากเสียพูดเรื่องเมียทำไม กูให้มองของดี ไม่ใช่ให้มองแมลงหวี่แมลงวัน” ไอ้สนสะบัดเสียงอย่างอารมณ์เสีย
“อยากไปลองสอยดาวกันมั้ยเด็กๆ ซุ้มข้างหน้านี้เอง เสร็จแล้วเราไปซื้อกระทงแล้วไปลอยกัน” พี่ตอง พี่สาวของตรีจักร เป็นสาวสวยผิวสีน้ำผึ้งหน้าคมคายตามแบบฉบับคนทางใต้ เอ่ยชวนพวกเราหลังจากที่เดินเล่นหาของกินได้สักพัก
ซุ้มสอยดาวคงเป็นซุ้มจากทางมหาลัยเพราะสมาชิกประจำซุ้มแห่งนี้แต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา ยืนกันเต็มหน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้า และที่สำคัญ ผู้ชายยกแก๊ง!!
ไอ้สนกับไอ้ตรีเดินนำหน้าผมไปหยุดอยู่หน้าซุ้มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้ผมยืนงงๆอยู่กับน้ำแข็งหลอดสีแดงก่อนจะเดินตามพวกมันไป
“สวัสดีครับน้องๆ สนใจสอยดาวกับพวกพี่ๆมั้ยครับ ใบละ20บาทเองนะ” พี่ชายคนหล่อที่ยืนอยู่หน้าซุ้มเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มสดใส
“ถ้าอยากสอยเดือนใบเท่าไรครับ” โอ้โห้ ไอ้สนมึง
“แหน่ะๆ มาถูกแหล่งแล้วครับคนสวย รางวัลใหญ่ของเราไม่มีแค่จักรยานนะครับ แต่มีรางวัลลอยกระทงร่วมกับเดือนสุดหล่อด้วย” พี่ชายคนหล่อแต่ไม่ค่อยตรงสเป๊กผมเท่าไรเอ่ยโฆษณาอย่างออกรส
“แต่สอยเดือนอาจจะได้ยากหน่อยนะครับเพราะรางวัลใหญ่ที่แถมเดือนมีอยู่ใบเดียว” พี่คนนั้นยังคงยิ้มหว่านเสน่ห์ให้พวกเรา
“ของดูเดือนก่อนได้มั้ยครับ จะได้รู้ว่าคุ้มที่จะเสี่ยงหรือเปล่า” ไอ้ตรีครับ ผมเห็นมันหางกระดิก เลยได้แต่มองบนให้เพื่อนทั้งสองที่ยืนบิดไปมาเป็นเลขแปด ท่าทางประจำเวลาเจอคนหล่อ ต่อให้ผมมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันเหมือนพวกมันทั้งคู่แล้ว แต่ผมเป็นคนที่แทบไม่ออกอาการอะไรเลยถ้าเทียบกับสองคนนั้น แต่ถ้ามีใครรู้ถึงรสนิยมของผมก็คงไม่แปลกใจเท่าไร ต้องโทษรูปร่างผมเลยครับ
“นู้นไงครับ คนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่กับกองตุ๊กตาหมี”
ผมหันไปมองตามที่พี่ชายคนนั้นบอก ก่อนที่ความบังเอิญจะทำให้หัวใจของผมกระตุกหลังจากที่สบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้น
“ไอ้ตรี ซื้อให้กูใบนึง” ผมสะกิดแขนเพื่อนข้างๆอย่างอัตโนมัติ
ตอนแรกผมไม่ได้คิดอยากเล่นกับพวกมันเลยนะครับ เพราะตัวเองไม่ใช่คนที่มีดวงกับการเสี่ยงโชค แต่เพราะพี่ชายคนหล่อที่เป็นเดือนคนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนใจ ลองสักหน่อยวะ ลงทุนยี่สิบบาท
“ถูกใจมึงล่ะสิ ตาวิ้งเลยนะน้องน้ำยาง”
“น้องตัวเล็ก ปากแดงคนนั้น เอาด้วยมั้ยครับ” เอ่อ หมายถึงผมหรอพี่?
พี่คนเดิมที่เอ่ยคำโฆษณาหันมาถามผมหลังจากที่ยื่นกล่องให้ไอ้ตรีกับไอ้สนล้วงไข่กันไปแล้ว
“เอาใบนึงครับ” ผมเอ่ยอ้อมแอ้มก้มหน้าหลบสายตาพี่เขา เห็นแบบนี้ผมก็ขี้อายนะครับ ยิ่งที่นี่ไม่ใช่บ้านนอกที่ผมคุ้นเคยด้วย กลัวจะหลุดทำอะไรเปิ่นๆออกไปให้อายตัวเอง ถึงแม้พี่คนนี้จะไม่ใช่คนที่ทำให้ผมใจกระตุกเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แต่ผมก็แพ้คนหล่อทุกประเภทนั่นแหละครับ อย่าเอาหน้ามาใกล้แบบนี้สิว้อยย
“ยินดีด้วยครับ น้องจับได้กระทง ไอ้ดีนมึงมานี่เลย ขายออกแล้ว” พี่ชายคนนั้นส่งยิ้มปาดใจมาให้หลังจากที่ผมยื่นไข่ที่จับขึ้นมาได้ ไปให้พี่เขาเปิดดูตัวเลขข้างใน แล้วนั่นอะไร ทำไมหันไปเรียกพี่ชายคนนั้น
เหยดเข้พี่ชายคนหล่อเดินหน้ายุ่งพร้อมกระทงในมือมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ไปเลยมั้ย” พี่เขาเอ่ยถามผม หน้าตาดูไม่ได้อยากชวนสักเท่าไร มองไกลๆว่าหน้าดุแล้ว มายืนอยู่ตรงหน้าผมแทบหายใจไม่ทั่วท้อง
“อะ เอ่ออ..ไปไหนครับ”
“ลอยกระทงไง นายจับได้รางวัลบ้าบอนี่”
นี่จับได้กระทง แถมคู่ขา เห้ยยย แถมเพื่อนลอยกระทงด้วยหรอครับ
“ปะ ไปก็ได้ครับ” ใครจะเชื่อ คนไร้ดวงแบบผมก็มีแต้มบุญกับเขาเหมือนกัน แถมยังหงายการ์ดออกมาได้ตรงเวลาเสียด้วย
หลังจากที่ผมตอบตกลง พี่เขาก็ออกตัวเดินนำไปอย่างไม่คิดจะรอผมเลยสักนิด ผมได้แต่เงอะงะทำตัวไม่ถูก แล้วต้องทำยังไงอ่ะ
แล้วเพื่อนผมล่ะ
แล้วนั่นจะรีบเดินไปไหนพี่ เขามีหมดเวลาลอยกระทงด้วยหรอ
ทำไมรีบขนาดนั้น คนก็เยอะ รอผมก่อนสิวะ
“ไอ้ยางงงงง มึงรีบตามเขาไปสิโว้ย” ไอ้สนผลักไหล่ผมให้รีบเดินตามพี่เขาไป
“แล้วพวกมึงล่ะ” ผมยังคงหันรีหันรอ มองตามแผ่นหลังพี่คนหล่อที่เริ่มถูกกลืนหายไปกับฝูงชน
“มึงไปก่อน เสร็จแล้วโทรหากู”
“เออๆๆ” ผมรับปากเพื่อนก่อนจะรีบวิ่งตามพี่เขาไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมงงไปหมดแล้วครับ
แล้วนั่นพี่เขาหายไปไหนแล้วอ่ะ จะไปยิกควายที่ไหนครับพี่ นี่ถ้าไม่หล่อ ไอ้ยางคนนี้ไม่วิ่งตามหรอกนะ
“พี่ครับ พี่” ผมตะโกนเรียกพี่เขาเสียงดังหลังจากที่มองเห็นแผ่นหลังนั้นไกลๆ
“พี่ชายครับ รอผมด้วย” คนก็เยอะ ผมวิ่งชนชาวบ้านเขาไปทั่วแล้ว
“พี่คร้าบบบ โอ้ยย” บทจะหยุดก็หยุดดื้อๆแบบนี้ได้ด้วย ผมบ่นในใจหลังจากที่หน้าผม ชนเข้ากลับแผ่นของพี่เขาเข้าอย่างจัง จมูกจมหายเป็นท่านลอร์ด วอเดอมอร์ไปหรือยังวะ
“เสียงดังทำไม คนมองหมดแล้ว” พี่คนหล่อหันมาดุผม ใบหน้ายังไร้อารมณ์เหมือนเดิม
“ก็พี่เดินเร็วผมกลัวตามไม่ทันอ่ะ ผมพึ่งเคยมาที่นี่ เกิดหลงขึ้นมาก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าเขาลอยกระทงกันที่ไหน” ผมเอ่ยบอกพี่เขาไปตามความจริง เพราะถ้าเกิดหลงขึ้นมา กลายเป็นผมลอยเคว้งคว้างท่ามกลางคลื่นมนุษย์ในนี้เลยนะครับ
“มานี่ รีบลอยจะได้จบๆ” พี่คนหล่อคว้าเอาแขนผมไปจับก่อนจะลาก
ใช่ครับ
ลาก!!! ให้ผมเดินตามเขาไป
ขาพี่แกก็ย๊าวยาววว ส่วนขาผมนี่ก็กะทัดรัดครับ กว่าจะเดินมาถึงจุดที่ให้ลอยกระทง ผมก็หอบหนักจนลืมมโนถึงความโรแมนติกที่พี่แกจับแขนผมไปเลย
“เอ้า อธิษฐาน” พี่คนหล่อยืนกระทงมาให้ผม หลังจากที่เรานั่งยองๆอยู่ริมสระน้ำจุดที่คนไม่หนาแน่น
“พี่ตัดเล็บกับผมใส่ลงไปแล้วหรอครับ”
“ทำไมต้องตัด”
“ก็เขาให้ตัดใส่ลงไป เป็นการลอยเอาสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตเราไงครับ”
“น้องทำเถอะ” พี่เขาเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ถูกบังคับมาแหงๆ หน้าบูดเป็นตูดแบบนี้ แต่ก็ยังหล่อนะ ฮิฮิ
“ผมมีกรรไกรตัดเล็บ” ไหนๆวันนี้ก็ตั้งใจจะมาลอยกระทง เลยพกติดตัวมาด้วย ผมตั้งใจโฟกัสไปที่นิ้วของตัวเองเพราะแสงตรงนี้มีไม่พอให้มองอะไรได้ชัดเจน หลังจากตัดเล็บที่นิ้วก้อยออกมาแล้วจึงหย่อนลงไปในกระทงใบเล็กตรงหน้า
“เอ่อ…พี่ครับ ผมมองผมตัวเองไม่เห็น พี่ช่วยตัดให้ผมทีได้ไหม” ผมทำใจกล้าเอ่ยขอพี่คนหล่อไป หัวผมเกือบเกรียนเลยครับ แล้วการที่จะใช้กรรไกรตัดเล็บตัดผมเกรียนๆนี่ยากมาก
พี่เขาถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะคว้าเอากรรไกรตัดเล็บในมือผมไป
“ก้มหัวมา”
ผมยิ้มกว้างเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะยอมง่ายๆโดยไม่ต้องเอ่ยขออีกครั้ง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พี่คนหล่ออีกนิด แล้วมุดหัวไปตรงหน้าพี่เขา
ดีนะที่เมื่อเช้าผมสระผมก่อนออกจากบ้าน หวังว่าจะไม่มีกลิ่นเหงื่อหึ่งออกมานะ
ต่อให้หัวเกรียนขนาดไหนเรื่องกลิ่นก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อครับ
พี่คนหล่อดึงเส้นผมของผมขึ้นจนรู้สึกคันหนังหัวยิบๆ พี่เขาไม่ได้อ่อนโยนกับผมเลยสักนิด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็นำเศษผมที่ตัดมาแล้วใส่ลงไปในกระทง ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปรับกรรไกรตัดเล็บคืน
“ผมตัดให้พี่บ้าง” ผมเอ่ยบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมือไหว้พี่เขาหนึ่งครั้ง แล้วยกตัวขึ้นนั่งคุกเข่าเพิ่มระดับความสูงให้ตัวเองตัดผมให้พี่เขาถนัดมือ
“เห้ยๆ ไม่ต้อง” พี่คนหล่อดันตัวหนี แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ จะลอยกระทงทั้งทีต้องทำให้ครบตามประเพณีดิพี่
“เฉยๆหน่า ผมตัดนิดเดียว รับรองไม่แหว่ง” ผมจับหัวพี่เขาให้อยู่นิ่ง ไหนๆก็ยกมือไหว้ขอโทษไปแล้ว ขอลามปามหน่อยแล้วกัน ก่อนใช้กรรไกรตัดเล็บเล็มเอาเส้นผมออกมาหน่อยนึง
“นี่ไง นิดเดียวเองครับ” ผมยิ้มกว้างโชว์หลักฐานให้พี่เขาดู เจ้าตัวมองกลับมาด้วยสายตาคาดโทษแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ตัดเล็บด้วยครับ” ผมหันไปคว้ามือพี่เขาไว้หลังจากจัดการหย่อนเอาเศษผมลงในกระทง
“ไม่ต้อง”
“ต้องตัดเล็บด้วยครับพี่”
“เดี๋ยวตัดเอง” ถึงน้ำเสียงพี่แกจะหงุดหงิดแต่ก็ยอมคว้ากรรไกรตัดเล็บไปตัดเอง
ผมยิ้มเมื่อพี่เขายอมทำตามที่บอก รู้สึกถึงบรรยากาศมุ้งมิ้งขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ
“อธิษฐานด้วยครับ” ผมส่งกระทงให้พี่เขาหลังจากที่ตัวเองยกขึ้นท่วมหัวเพื่อขอพร
“หึ มึงนี่มัน ก็ว่าจะไม่พูดคำหยาบกับคนที่ไม่รู้จักแล้วนะ แต่ขอหน่อยเหอะ แม่กูยังไม่จุ้นจ้านกับกูเท่ามึงเลย”
ผมชะงัก มองหน้าพี่เขาพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ นี่ด่าหรือด่าเนี้ย เหอะๆ แทบสะอึกเลยครับ
“แหะๆ พี่ชายก็ ลอยกระทงหนึ่งปีมีครั้งเดียวเองนะครับ”
“เออ เอามาเร็วๆ” พี่คนหล่อเอ่ยตัดรำคาญ แล้วคว้าเอากระทงไปเถิดหัว พึมพำอยู่สองสามคำก็ตวัดสายตาคมมาจ้องผมเหมือนถามว่า พอใจมึงหรือยัง ไอ้เด็กเวร
“งั้นลอยกันเลยนะครับนะ” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนหันไปประคองกระทงร่วมกับพี่เขา แล้วค่อยๆหย่อนมันลงผิวน้ำ แล้วควักน้ำนิดๆเพื่อส่งกระทงอันน้อยลอยออกจากตลิ่ง
เมื่อเห็นว่ากระทงของตัวเองเริ่มลอยห่างออกไปไม่กลับมายังฝั่ง ผมก็หันมายิ้มให้พี่เขาอย่างมีความสุข ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเข้าร่วมประเพณีทุกอย่างที่บ้านเรามี ทั้งสงกานต์ ลอยกระทง ปีใหม่ คริสมาสต์ วาเลนไทน์ ทอดกฐิน ชิงเปรต ผมทำหมดแหละครับ
พี่ชายคนหล่อเองก็มองตามกระทงใบนั้นที่ค่อยๆลอยออกไปจากฝั่งก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งด้วยความบังเอิญ เราหลุดเข้าไปในดวงตาของกันและกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่พี่เขาจะยันตัวขึ้นในขณะที่ผมยังนั่งยองๆ มองตามร่างสูงที่เคลื่อนไหว
“ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อนครับพี่” ผมรีบลุกขึ้นยืน แล้วเรียกพี่เขาไว้ เจ้าตัวหยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะหันมาทางผม
“พี่ชื่ออะไรหรอครับ”
“คงไม่ได้เจอกันอีก ไม่ต้องรู้หรอก ไปล่ะ”
ผมอ้ำอึ้งเอ่ยอะไรไม่ออกอีกเลย ใจก็อยากจะรั้งพี่เขาไว้อีกนิด แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกปฏิเสธขนาดนี้แล้วก็ได้แต่ปล่อยเลยผ่านไป
คิดเสียว่าอย่างน้อยๆ โลกก็เหวี่ยงพี่เขาให้มาใช้เวลาร่วมกับผมแล้ว
ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆที่คนบนฟ้าลิขิตไว้ในวันนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่เหลือผมลิขิตเองก็ได้ฮ่ะ คุณพระจันทร์บนฟ้า
.
.
.
.
.
“พวกมึง กูเปลี่ยนใจสอบเข้าที่นี่ดีกว่าหว่ะ” ผมเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองคน หลังจากที่เดินกลับมาเจอพวกมันอีกครั้ง
“เพ้อเจ้ออะไรของมึงอิยาง หรือเดินสะดุดอะไรเข้าถึงทำให้เปลี่ยนความคิด”
“กูสะดุดเดือนที่นี่เข้าให้แล้วหวะ”
Tbc.
แฮ่~~ สวัสดีค่ะ มือใหมหัดเดินสุดๆเลย
ไม่ชินกับการจัดหน้าเลยค่ะ แฮ่
ไม่แน่ใจว่าอ่านยากหรือป่าว ถ้ายังมีคำผิดหลงเหลืออยู่ต้องขอโทษด้วยค่าา
ฝากน้องน้ำยางหนุ่มน้อยจากปักษ์ใต้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
ผิดพลาดตรงไหน ติชม ได้เลยค่ะ
ขอบคุณมากค่าาา
แล้วเจอกันใหม่นะจ้ะ
