★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]  (อ่าน 144100 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เริ่มต้นกันใหม่

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :pig4:

ต้องเหนื่อยใจกว่าจะได้รัก
แต่ต้องทุกข์ใจหนัก ..ไม่ใช่แค่เพียงไม่รัก  แต่ยังไม่รู้จักแม้ได้พบหน้า

..เอ๊า สู้ๆ เพ่อินทร์สายเปย์ เทมาให้หมด

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
จะเลิกรักได้ ก็ต้องลบความทรงจำสิน้อ

มาๆๆ  มาเริ่มกันใหม่

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ไม่นะ  :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 31: นว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊

หลังจากที่ผมถามคำถามนั้นไป ห้องทั้งห้องก็เข้าสู่ภาวะเดดแอร์ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ แต่คนที่ดูจะช็อกหนักที่สุดเหมือนจะเป็นพี่คนนั้น...ใช่ คนที่ผมบอกว่าไม่รู้จักเขานั่นแหละ

“จิ ไม่รู้จักไอ้อินทร์มันจริงๆ เหรอ”

พี่บุศย์ทำลายความเงียบขึ้นมาจนได้ ผมหันไปมองเขาพลันพยักหน้า

“แต่รู้จักเรา?”

เป็นสรัลที่แทรกพลางชี้นิ้วไปที่ตัวเอง ผมเลยพยักหน้าอีกครั้ง

“แล้วก็รู้จักพี่วิญญูด้วย?”

ผมพยักหน้าอีก เท่านั้นทั้งสี่คนก็มองกันด้วยสายตาที่...ดูสับสนและมึนงง แต่คนที่ดูท่าจะสับสนมากกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็นผมมากกว่า ใครจะบอกผมได้บ้างว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

“เอางี้จิ พี่ขอถามอะไรหน่อยเพื่อความแน่ใจ ตอบตามความจริงโอเคไหม รู้สึกยังไงให้ตอบอย่างนั้น”

พี่บุศย์พูดขึ้นมาอีกแล้ว ผมยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อรอคำถามจากเขา พลันเขาก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“จิรู้จักพี่ได้ยังไง”

“พี่บุศย์เป็นพี่รหัสจิ รู้จักกันตั้งแต่ตอนรับเพื่อนใหม่แล้วครับ”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางคนข้างๆ “แล้วสรัลล่ะ”

“รู้จักตอนงานเฟรชชี่ไนท์ ตอนนั้นสรัลมาช่วยดึงผมออกจากกลุ่มคน ก็เลยคบกันเป็นเพื่อนต่างคณะ”

พูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยอารมณ์แบบว่า ‘ไม่จริงน่า’ จากนั้นพี่บุศย์ก็ชี้ไปที่พี่วิญญู

“แล้ววิญล่ะ รู้จักได้ยังไง”

“คนนี้...ตามสตอล์กเกอร์จิเพราะจะจีบจิ”

ผมว่าไปตามตรง ซึ่งก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา กระทั่งพี่บุศย์ถามอีก

“จิสนิทกับวิญไหม”

ผมนิ่งคิดไปเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนกับว่า...

“สนิทนะครับ”

ใช่ ผมรู้สึกอย่างนั้น แต่พอเจออีกคำถาม

“สนิทกันได้ยังไง จำได้ไหม”

ผมกลับตอบไม่ได้...

นั่นสิ สนิทกับพี่วิญญูได้ยังไง ผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ยิ่งถูกถามว่า...

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าพี่รหัสของสรัลคือไอ้อินทร์?”

ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าพรืด... ไม่รู้เลย ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

“รู้หรือเปล่าว่าทำไมตัวเองถึงมาที่อินโดนีเซีย”

ผมส่ายหน้าอีก พี่บุศย์เลยว่าด้วยสีหน้าจริงจัง

“คำถามสุดท้ายนะจิ... รู้จักอิเหนากับจรกาไหม แล้วรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?”

จู่ๆ เขาก็ถามอะไรแปลกๆ ออกมา อันนี้ผมจำได้นะ จำได้แม่นเลย!

“จิรู้” พูดเท่านี้ ทุกคนก็ดูมีสีหน้าดีขึ้น แต่พอผมบอกว่า “มันเป็นเนื้อหาที่จิเรียนเทอมนี้น่ะครับ ตามเนื้อหาในวรรณคดีคืออิเหนากับจรกาไม่ถูกกัน อิเหนาไปแย่งบุษบากลับคืนจากจรกาที่ไปขอหมั้นหมายกับนางบุษบา อดีตคู่หมั้นตัวเองไว้ พี่บุศย์ถามทำไมเหรอ”

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน แล้วทั้งห้องก็เงียบไปอีกครั้ง ผมเห็นแล้วก็สับสนที่อารมณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปไวขนาดนี้ อีกทั้งยังสับสนเรื่องที่จู่ๆ ก็ไปสนิทกับพี่วิญญูโดยไม่รู้เหตุผล ไม่รู้ว่าผู้ชายคนที่ผมไม่รู้จักคือพี่รหัสของสรัลทั้งที่ความรู้สึกมันบอกว่าผมสนิทกับสรัล แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่อินโดนีเซียยังไง มันดูแปลกมากที่ความทรงจำในระหว่างนั้นหายไป หายแบบหายไปเลย ไม่รู้สึกเลยว่ามันคุ้นเคยแต่อย่างใดด้วย

จนในที่สุดก็เป็นผมบ้างที่อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกไปบ้าง

“ใครพอจะบอกจิได้บ้างครับว่านี่มันเรื่องอะไร”

“จิ...จำเรื่องของเราไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ”

คนที่ให้คำตอบผมไม่ใช่พี่บุศย์เหมือนเคยแล้ว แต่เป็นพี่คนที่ผมบอกว่าไม่รู้จัก เขาเดินมาหยุดข้างเตียง มองหน้าผมด้วยสายตาที่...ที่เจ็บปวด?

ผมมั่นใจว่าเขามองผมด้วยสายตานั้น ยิ่งเขาเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วบีบแน่น ผมก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขามากขึ้น ไม่อยากตอบเลยนะว่าใช่...ผมจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้ ความจริงแล้วต้องบอกด้วยว่าผมไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ แต่คำตอบที่ถนอมน้ำใจที่สุดก็คงจะเป็นการพยักหน้า

“ชื่อพี่ก็ไม่รู้จักเหรอ” เขาถามยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้า ผมจำใจพยักหน้าไปอีกครั้ง เขาเลยว่าเสียงแผ่ว “พี่ชื่ออินทร์ คุ้นไหม”

คำตอบของผมคือการพยักหน้าอย่างเดียวแล้วล่ะทีนี้ คนอื่นๆ ดูมีสีหน้าแย่ยิ่งกว่าพี่...พี่อินทร์ใช่ไหม อือ นั่นแหละ แต่คนตรงหน้าผมยังคงยิ้มให้อยู่

“ไม่เป็นไร จำพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรามาเริ่มกันใหม่ก็ได้”

เริ่มกันใหม่ เขาพูดอย่างกับว่าผมกับเขา...

“เราเป็นแฟนกันเหรอครับ”

ถึงผมจะจำเขาไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่เข้าใจอะไรๆ รูปแบบการพูดและการปฏิบัติต่อผมมันพิเศษมากจนใครๆ ก็ดูออก พี่อินทร์พยักหน้าให้ ผมก็ต้องหันไปหาพี่บุศย์เพื่อขอคำยืนยัน

“จริงเหรอครับพี่บุศย์”

พี่บุศย์พยักหน้า ก่อนที่สรัลจะรีบเอาโทรศัพท์มาให้ดู

“พี่อินทร์เป็นเดือนมหา’ลัย ส่วนนายเป็นคิวท์บอย ตอนคบกันมีแต่คนโพสต์รูป นี่ไง หลักฐานยืนยัน”

เป็นรูปคู่ของผมกับพี่อินทร์ในอิริยาบถต่างๆ ผมไม่อยากจะเชื่อนักหรอก แต่พอพี่อินทร์ยื่นโทรศัพท์มือถือของผมให้

“ในโทรศัพท์ของจิก็มีรูปเรานะ”

ผมก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะนอกจากเขาจะรู้รหัสปลดล็อกโทรศัพท์ของผมแล้ว ยังมีรูปเซลฟี่ของเขากับผม แล้วก็รูปอื่นๆ ที่ดู...ค่อนข้างจะสนิทสนมกันมากอยู่เต็มแกลลอรี่ไปหมด

ผมเป็นแฟนกับเขาจริงๆ...

“จริงๆ แล้ว เราอยู่ด้วยกันด้วยนะ”

พี่อินทร์ว่ามาอีก ใบหน้าหล่อๆ ของเขายังคงมีรอยยิ้มบางๆ ผมมองแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาจนต้องว่าเสียงแผ่ว

“ขอโทษนะครับ ผมจำอะไรไม่ได้เลย”

เหมือนจะได้ยินเสียงหายใจของทุกคนดังออกมาพร้อมๆ กัน ผมรู้ว่าการที่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขามันทำให้คนอื่นๆ หนักใจ แต่ผมยังคงสงสัยอยู่อีกเรื่อง

“แล้วเรามาทำอะไรกันที่อินโดนีเซีย เที่ยวเหรอ”

คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นเราจะมาที่นี่ทำไม

“น้องจิ จริงๆ แล้วพวกเราพาน้องจิมาถอนคำสา...”

พี่วิญญูทำท่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่พี่อินทร์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ใช่ เรามาเที่ยว พี่บอกเราว่าจะพามาเที่ยว แต่จิไม่สบายหนัก สลบไปตอนกำลังไปเที่ยวกันอยู่ เลยมาอยู่ที่นี่”

ผมพยักหน้ารับ พอจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้ แต่ก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้

“ผมไม่ได้หัวกระแทกพื้นหรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรงใช่ไหมครับ”

พี่อินทร์พยักหน้ารับ ผมเลยถามต่อ

“แล้วทำไมผมถึงจำพี่ไม่ได้”

ไม่มีใครให้คำตอบผมแล้ว มีแต่ความเงียบเข้าครอบงำ กลายเป็นว่าคำถามของผมเป็นหมัน และดูท่ามันจะไม่ได้รับคำตอบอีกแล้ว

 

ผมพักอยู่ในโรงพยาบาลอีกไม่กี่คืนก็กลับไปพักที่โรงแรม หมอบอกว่าผมเป็นไข้ แล้วก็ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หัวของผมก็ไม่ได้กระแทกด้วย สมองทำงานปกติดีทุกอย่าง ดังนั้นความทรงจำของผมเกี่ยวกับพี่อินทร์ที่หายไปจึงไร้สาเหตุว่ามันหายไปได้ยังไง และดูท่าก็ไม่มีใครอยากจะเล่าให้ผมฟังด้วย พอผมเปิดปากพูดทีไร ใครต่อใครก็มักจะถามผมด้วยคำถาม ‘จิเชื่อเรื่องการระลึกชาติได้หรือกลับชาติมาเกิดไหม’ ทุกที

โอเค ไม่ถามแล้วก็ได้ถ้าทุกคนจะเฉไฉไปคุยเรื่องไร้สาระแบบนั้น ระลึกชาติหรือกลับชาติมาเกิดใหม่อะไรกัน มันก็แค่ความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ ซึ่งแน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ผม

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าการที่รู้ว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชายซึ่งเป็นเดือนมหาวิทยาลัยชื่ออินทร์ ก็คือการที่ผมย้ายจากหอเก่ามาอยู่หอใหม่สุดหรูหรา...กับเขา

แม่เจ้าโว้ย! ค่าเช่าเดือนเท่าไรเนี่ย!

ต้องมานั่งคำนวณเงินที่ได้สำหรับใช้จ่ายแต่ละเดือนเลย จริงๆ ก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าผมอยู่กับเขา แต่ไม่คิดว่าจะอยู่หอราคาแพงหูฉี่แบบนี้ไง มาโล่งใจก็ตอนที่เขาบอกว่า...

“ไม่ต้องห่วง พี่เป็นคนจ่ายค่าห้องอยู่แล้ว เราตกลงกันแต่แรกอย่างนี้”

ถึงจะเกรงใจเขาที่เป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอย่างนั้น แต่ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ผมสบายใจไปเยอะ ที่ไม่สบายใจในตอนนี้ก็คือ...ผมเริ่มอึดอัดแล้วล่ะ

ทันทีที่เครื่องแลนด์ดิ้งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พวกเราก็มุ่งตรงกลับหอทันที ตอนแรกมันก็ไม่อึดอัดหรอกเพราะตอนเรากลับมามันมากันหลายคน แต่พอแยกเข้าห้องใครห้องมันปุ๊บ อึดอัดทันที

ผมกับพี่อินทร์...ในฐานะแฟนทั้งที่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาด้วย มันแบบ...น่าอึดอัดนะ

“ไม่ต้องเกร็งหรอกจิ ทำตัวตามสบายเหมือนตอนที่จิเคยอยู่คนเดียวได้เลย ตอนนี้อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เดี๋ยวก็ชินเองแหละ คิดว่าพี่เป็นรูมเมทคนนึงก็ได้”

พี่อินทร์โพล่งขึ้นทำลายความเงียบ หมายจะให้ผมสบายใจ ผมวางกระเป๋าลง พยักหน้าให้เขาพร้อมกับตอบรับเสียงแผ่ว เขาหัวเราะน้อยๆ ให้ผมที่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงส่วนไหนของห้องดี ก็รู้แหละว่าผมอยู่กับเขาจริงๆ เพราะข้าวของเครื่องใช้ของผมอยู่ในห้องนี้เพียบเลย แต่ความรู้สึกคือ...มันไม่ใช่ห้องผมน่ะ

“เอางี้ อันดับแรก จิเอาของไปเก็บก่อนแล้วกัน”

เขาพยายามทำให้ผมผ่อนคลาย พอผมพยักหน้า เขาก็ยื่นถุงซิปที่บรรจุของบางอย่างมาให้

“อันนี้เป็นของของจิ หมอให้ถอดออกตอนนอนอยู่โรง’บาล”

ในนั้นมันเป็นนาฬิกาข้อมือกับ...แหวน?

เป็นแหวนทองโบราณๆ น่ะ อันนี้ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าได้มาตอนไหน แต่ก็รับมาถือไว้แล้วตรงไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ยืนงกๆ เงิ่นๆ อยู่ครู่

“เอ่อ...พี่อินทร์ครับ”

“หืม?”

“ตู้เสื้อผ้าของผมตู้ไหนเหรอ”

ผมไม่มั่นใจ เขาก็เลยทำท่าจะชี้ แต่ก็ไม่ชี้ เล่นลิ้นเสียอย่างนั้น

“เรียกแทนตัวเองว่า ‘ผม’ พี่ไม่บอกหรอกนะ”

เท่านั้นผมก็หันมองขวับเลย ขณะที่เขาเลิกคิ้วสูง

“สงสัยอะไรเหรอ”

“คือผม...”

“หืม? ผมอีกแล้ว”

เขาพูดมาอย่างนี้ ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะถาม

“ปกติแล้วผมเรียกแทนตัวเองกับพี่อินทร์ว่าอะไรเหรอครับ”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็ว่าหน้าระรื่นออกมา “ปกติแล้วจิจะเรียกแทนตัวเองว่า ‘หนู’”

หา?

“แล้วก็เรียกแทนพี่ว่า ‘ป่าปี๊’”

ใช่เรอะ!?

ผมเผลอทำหน้าไม่เชื่อใส่เขามั้ง พี่อินทร์ก็เลยยกนิ้วชี้ขึ้นมาพลางว่า

“เอางี้ ฟอร์เอ็กแซมเปิ้ล” เขาเว้นไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าปอด แล้วก็... “นว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊หิวข้าวหรือยังกั๊บ ป่าปี๊หิวแย้ว อยากกินนว้องจุง งื้อ~”

ทำเสียงสองแล้วก็เอาทำท่าแด๊ะแด๋ๆ ผิดจากท่าทางปกติที่ผมเห็นแบบลิบลับเลย ทำเอาผมอดเบ้หน้าออกมาไม่ได้ ขณะที่เขากลับมาทำท่าทางปกติ

“ปกติแล้วเราคุยกันแบบนี้”

กูว่าไม่ใช่มั้ง!

แต่เขาทำสีหน้าจริงจังเลย ผมก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงเราคุยกันแบบนี้จริงหรือเปล่า แต่บอกตามตรงนะ สายตาที่เขามองมามันดูก็รู้อะว่าเขาไม่ได้โกหกแน่ๆ แต่...ไม่รู้ทำไมว่าผมไม่มั่นใจ

“แล้ว...ผมก็เรียกแทนตัวเองว่าหนูเหรอ”

พี่อินทร์พยักหน้า ผมก็เลยลองพูดออกไปบ้างเผื่อว่าจะคุ้น

“ป่าปี๊...”

“หืม?”

“หนูหิวข้าวแล้ว”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก เงยหน้าพลางว่ายิ้มๆ

“ฟิน~”

เอ๊ะ?

“อยากให้จิเรียกพี่แบบนี้มานานแล้ว”

เอ้า! ตกลงปกติไม่ได้เรียกกันแบบนี้เรอะ!?

รับรองได้เลยว่าตอนนี้หน้าผมมีเครื่องหมายคำถามอันโตแปะอยู่ ผมว่าผมไม่น่าจะเรียกแทนตัวเขากับตัวเองแบบนี้อะ คิดว่านิสัยตัวเองไม่น่าจะมุ้งมิ้งแบบนี้ แต่พี่อินทร์กลับทำให้ผมรู้สึกผิดด้วยการถามออกมา

“จิคิดว่าพี่โกหกเหรอ”

“คือ...”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ จิจำพี่ไม่ได้นี่เนอะ จำไม่ได้ว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหน จำไม่ได้ว่าพี่กับจิรักกันยังไง จำไม่ได้ที่...”

“ตู้เสื้อผ้าหนูอยู่ไหนเหรอครับป่าปี๊”

เออ เอาก็เอา ไม่งั้นก็พูดให้ผมรู้สึกผิดอยู่นั่นแหละ และพอพูดไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ชี้นิ้วไปที่ตู้ข้างๆ

“ตรงนั้นครับ”

ผมเลยได้รู้สักทีว่าตู้เสื้อผ้าของตัวเองอยู่ตู้ไหน เฮ้อ... ยุ่งยากจริงวุ้ย!

 

พอจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย ท้องก็เริ่มหิว พี่อินทร์ชวนผมไปกินข้าว แต่จะให้ไปกับเขาสองคน ผมก็อึดอัด ยังปรับตัวไม่ได้น่ะ ผมก็เลยบอกเขาไปตามตรงว่าอยากให้คนอื่นๆ ไปด้วย เขาก็ไม่ขัด โทรชวนทุกคนให้ไปกินข้าวด้วยเหมือนกับระหว่างเขาและผมไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมกับพี่อินทร์ลงไปหาพี่บุศย์กับสรัลที่รออยู่ข้างล่างของหอ พี่อินทร์นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ก็เลยบอกผม

“เดี๋ยวป่าปี๊ขึ้นไปเอากระเป๋าตังค์ก่อนนะครับ หนูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

ผมพยักหน้า พี่อินทร์หายไปจากตรงนั้น แต่สิ่งที่ดูผิดแปลกไปก็คือ...สีหน้าของพี่บุศย์กับสรัล

“เมื่อกี้ไอ้อินทร์มันเรียกแทนตัวเองว่าอะไรนะ”

แล้วเขาก็ถามขึ้นมาด้วย ผมก็เลยตอบให้

“ป่าปี๊ครับ”

เรียวคิ้วสวยของเขาย่นยู่เลย ก่อนที่สรัลจะถามขึ้นมา

“แล้วเรียกแทนนายว่าอะไรนะ”

“หนู...”

ผมว่าไปอย่างนี้ ทั้งสองคนก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่าน ผมก็อยากจะถามเหมือนกันว่ามีอะไรแปลกเหรอ แต่ไม่ทันจะได้ถาม พี่อินทร์ก็กลับลงมาแล้ว

“ปะ ไปกันเถอะ หิวจะแย่แล้ว มาครับหนู ป่าปี๊พาข้ามถนนนะ”

คว้ามือผมไปจับเสียอย่างนั้นอะ ผมก็เกร็งอยู่ไม่น้อย แต่สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นสีหน้าแปลกๆ ของพี่บุศย์กับสรัลที่ดูเหมือน...ไม่รู้สิ ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรจนกระทั่งมาถึงร้านข้าว พวกเรานัดเจอพี่วิญญูกันที่นั่น เขามาถึงก่อนใครเพื่อน พอพวกเรานั่งประจำที่กันเรียบร้อย พี่อินทร์ก็คว้าเมนูมาให้ผมดู

“หนูอยากกินอะไรครับ ป่าปี๊สั่งให้ หนูกินกระเพราะหมูสับไข่ดาวไม่สุกมากไหม ของชอบหนูนี่”

ของชอบผมจริงๆ แต่ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนี้ก็ได้นะ อึดอัดมากเลย แต่ผมก็เกรงใจเขา เพราะเขาบอกว่าเรารักกันมาก ถ้าผมพูดอะไรออกไปมันจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา แค่ผมจำเขาไม่ได้มันก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ผมก็เลยปล่อยไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น

“ว่าไงครับ ตกลงกินอะไรดี”

“งั้นหนูเอาที่ป่าปี๊สั่งให้ก็ได้ครับ”

ผมตอบรับไป พี่อินทร์ก็หันไปเขียนรายการอาหารยุกยิกลงในกระดาษทันที จังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของคนอื่นๆ ที่มองมา

พี่บุศย์กับสรัลน่ะมองแปลกๆ มาตั้งแต่อยู่ที่หอแล้ว แต่คนที่มองด้วยสายตาแปลกๆ ระคนสีหน้าเหยเกคือพี่วิญญู มิหนำซ้ำไม่มองเปล่าด้วย ยังจะโพล่งขึ้นมา

“เมื่อกี้เหมือนได้ยินอะไรแหม่งๆ เรียกแทนตัวเองกันว่าอะไรนะ”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็เอะใจขึ้นมา

เอ...หรือว่าผมจะไม่ได้เรียกเขาแบบนั้น?

“งงอะไรของมึง ก็เรียกกันตามปกติ ทำเป็นไม่ชินไปได้”

พี่อินทร์โพล่งขึ้นมาอย่างนี้ เท่านั้นพี่วิญญูก็ขมวดคิ้วมุ่น

“แต่กูรู้สึกเหมือนกับว่ามึงกับน้องจิไม่ได้...”

“แล้ววิญจะกินอะไรเหรอ สั่งเร็วเข้า สรัลจะได้สั่ง”

พี่บุศย์แทรกขึ้นมาทั้งที่พี่วิญญูยังพูดไม่จบเฉยเลย แถมสรัลก็สำทับ

“ใช่ๆ รีบสั่งเร็วพี่วิญ หนูหิวจะตายอยู่แล้ว”

พี่วิญญูเลยต้องรับเอากระดาษกับปากกามาจากพี่อินทร์แล้วจดรายการอาหารลงไปแล้วบ่นพึมพำ

“เป็นผ้าขาวแท้ๆ” จากนั้นก็หันมามองพี่อินทร์ “ไอ้ตอแหล”

ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ด่าพี่อินทร์อย่างนั้น พี่อินทร์ก็ดูไม่มีท่าทีสะทกสะท้านด้วย ลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าคนพวกนี้กำลังรวมหัวกันปิดบังอะไรผมอยู่ แล้วความคิดของผมก็มลายหายไปเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผมคว้าช้อนกับส้อมมาเตรียมจะเขี่ยใบกระเพราะออก ทว่าพี่อินทร์ก็ดึงจานของผมไปแล้ว พอหันไปมองก็เห็นว่าเขากำลังตักใบกระเพราจากจานผมไปใส่จานตัวเองอยู่ ผมเลยอดถามไม่ได้

“ป่าปี๊ทำอะไรครับ”

“หนูชอบกินผัดกระเพราแต่ไม่กินใบกระเพราไม่ใช่เหรอ ป่าปี๊ก็เอาออกให้อยู่นี่ไง”

ผมชะงัก มองหน้าเขาที่กำลังส่งยิ้มให้ผมอยู่

เขารู้... แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็รู้ แต่...ผมกลับจำเขาไม่ได้เลย

“อะ เอาออกหมดละ”

เขาเลื่อนจานคืนมาให้ผม ผมได้แต่พึมพำเบาๆ

“ขอบคุณครับ”

ตักข้าวเข้าปากได้คำหนึ่ง มือใหญ่ก็วางแหมะลงมาบนหัวผมเบาๆ

“กินเยอะๆ นะนว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊”

ทำเสียงสองแสลงหูมาก แต่ไม่รู้ทำไมตอนได้ยินเขาพูดประโยคนี้ ในใจผมกลับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด

ถึงอย่างนั้น...ผมก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี จำไม่ได้ว่าเคยรัก จำไม่ได้ว่าเคยผูกพัน แม้แต่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาก็ไม่มี นอกจากความอุ่นวูบวาบที่แล่นพล่านขึ้นมาเมื่อครู่ แต่แทนที่จะทำให้ผมรู้สึกดี มันกลับทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก

เรากินข้าวเสร็จในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมกลับเข้าห้องมาพร้อมพี่อินทร์ เขาเดินไปวางข้าวของที่พกติดตัวไปด้วยลงบนโต๊ะ ทำท่าเหมือนจะไปอาบน้ำ แต่ผมก็เรียกเขาไว้ก่อน

“ป่าปี๊”

เขาหันมามอง เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ผมอึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดออกไป

“ขอโทษนะครับที่หนูจำอะไรไม่ได้เลย”

“จำอะไรไม่ได้เหรอ”

“จำไม่ได้ว่า...เอ่อ...” ไม่แน่ใจว่าควรพูดดีไหม แต่พอเขาเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ ผมก็จำต้องตอบ “จำไม่ได้ว่าป่าปี๊กับหนูรักกัน”

พูดไปก็รู้สึกไม่ดีไป ผมรู้ว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ดีด้วย แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมากลับเป็นทางตรงกันข้าม

“จำป่าปี๊ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ” พลันก็ประคองใบหน้าผมขึ้นให้สบตาเขา ขณะที่เขาว่าออกมาทีละประโยค “ถ้าหนูจำป่าปี๊ไม่ได้ ป่าปี๊ก็จะจีบหนูใหม่ ถ้าหนูจำไม่ได้ว่ารักป่าปี๊ ป่าปี๊ก็จะทำให้หนูรักใหม่เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องเครียดด้วย ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ทำใจให้สบายนะครับ”

ผม...สบายใจจังเลย ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ผมก็สบายใจขึ้นมาก

ความจริง...เป็นนว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนกัน

ผมพยักหน้ารับ เขาก็ถามออกมา

“ขอป่าปี๊กอดหนูหน่อยได้ไหม”

คงจะรู้ว่าถ้าผลีผลามกอดผมคงจะโดนผมผลักอีกแน่ ผมก็เลยอนุญาตเขา เท่านั้นอ้อมแขนใหญ่ก็โอบรัดร่างผมไว้แน่น พลันก็มีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นข้างหู

“เรามาเริ่มกันใหม่ก็ได้ ขอแค่หนูไม่เป็นอะไรก็พอ”

ไม่เป็นไร... เขาหมายความว่ายังไง

จะยังไงก็ไม่รู้ล่ะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมตะขิดตะขวงใจเพราะในตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าผมเป็นคนยังไง

เขา...เป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก แล้วก็คงจะรักผมมากเหมือนกันถึงได้ไม่ยอมแสดงท่าทีเป็นกังวลใดๆ ที่ผมจำเขาไม่ได้ออกมาอีกเลยตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล

ผม...จะพยายามไม่ทำให้เขาเสียใจ

พลันความคิดของผมก็มลายหายไปเมื่อจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา

“มีอะไรเหรอครับป่าปี๊”

พี่อินทร์ใช้เวลากลั้นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละจากอ้อมกอดมามองหน้าผม

“จริงๆ แล้วเวลาเรียกพี่ว่าป่าปี๊ แล้วจิเรียกแทนตัวเองว่าหนูมันก็น่ารักดีนะ”

เห?

“แต่พอแล้วดีกว่า ตอนนี้จิเป็นผ้าขาวอย่างที่ไอ้วิญมันบอก เลิกแกล้งแล้ว เรียกแทนตัวเองว่าจิ เรียกพี่ตามปกติเถอะเนอะ”

เอ้า! ตกลงไม่ได้เรียกป่าปี๊กับหนูจริงๆ ใช่ไหม!

ก็ว่าแล้วว่าทำไมมันแปลกๆ ก็หลงเรียกหนูๆ ป่าปี๊ๆ อยู่ตั้งนาน โธ่เอ๊ย! ตอแหลอย่างที่พี่วิญญูว่าจริงๆ ด้วย

แฟนผมเป็นคนแบบนี้เหรอวะเนี่ย!

-----------------------------------

ตอนเต็มมาแล้วววว ใครว่าดราม่า ไม่มี้!!!

ใช่ ไม่มีตอนนี้ แต่เดี๋ยวก็มา ดราม่าสุดท้ายละค่ะ เดี๋ยวก็จบเรื่องละ 555

ช่วงนี้หนูแดงไม่ค่อยสบายนะคะ เป็นหวัด อาจจะมาช้าบ้าง รอกันก่อนเน้อ

ฝากกำลังใจไว้ให้กันด้วยนะจ๊ะ


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เรื่องนี้เกิดจากแก นังเหนา ไป ไปอินโดอีกรอบ  :angry2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มาม่่่่าใกล้พร้อมเสริ์ฟละฮับ~555

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ไม่มีแล้วใช่มั้ยดราม่า หวั่นใจลึกๆ   
ในมุมของเรา เราว่าจิลืมไปก็ดีนะ จะได้เริ่มต้นใหม่กับอินทร์ เริ่มต้นแบบที่ไม่มีเรื่องชาติที่แล้วมาเกี่ยว แล้วจิจะกลับมารักอินทร์ก็เพราะอินทร์ยังมั่นคง

ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
หนูจิ ผ้าขาวที่ใส่อะไรลงไปก็จะได้อย่างนั้นนะคะ ^^

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ก็อย่างที่คนเขาพูดกันจากเป็นดีกว่าจากตาย อีกอย่างจิแค่ลืมแต่ไม่ได้เกลียด หลังจากนี้ก็ร่วมกันสร้างแต่ความทรงจำดีๆขึ้นมาใหม่

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เกลียดการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสของอิพี่อินทร์มาก น้องจำไม่ได้ก็เอาข้อมูลผิดๆมาใส่หัวน้อง สมกับที่พี่วิญด่าตอแหลจริงๆนั่นแหละ ฮ่าๆๆ แต่แบบนี้ก็ดีนะเหมือนเริ่มต้นกันใหม่หมด จิจะได้ไม่มานั่งยึดกับอดีตว่าเมื่อก่อนอิเหนาเคยทำยังงั้นยังงี้แล้วก็เกิดความลังเลใจอีกจีบกันใหม่หมดก็ดี ก็หวังว่าดราม่าสุดท้ายจะไม่หนักเท่าไหร่น้า

ปล.หายไวๆนะคะหนูแดง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เห็นน้องจำไม่ได้ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะป่าปี๊ แต่ก็ดีแล้วที่ให้น้องลืม มาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
หมั่นไส้ป่าปี๊ แหม มีฟิน

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
มองบนแล้วอยากจะพูดแบบเดียวกะวิญ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องจิหายไปไหน :m15:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เอ่อ ถ้าได้นั่งร่วมโต้ะกินข้าว คงจะมองบนจนตากลับ แน่ๆเลย อิป่าปี๊เอ้ยยย

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 32: จิระคือผ้าขาว

ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากที่เรากลับมาไทย ผมก็พยายามจะเรียนรู้ตัวตนของพี่อินทร์นะ เพราะดูจากท่าทางแล้ว ก่อนที่ผมจะจำอะไรไม่ได้ ผมกับเขาคงจะรักกันมากทีเดียว ไม่อย่างนั้นใครต่อใครในมหาวิทยาลัยคงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันหรอก ยิ่งผมค้นดูพวกโพสต์ต่างๆ จากสื่อโซเชียลมีเดียของกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันบางกลุ่มก็พบว่าช่วงนั้นผมกับพี่อินทร์ค่อนข้างเป็นคู่ที่หวานกันมากคู่หนึ่งเลยทีเดียว

ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมต้องจำให้ได้ว่าเคยรักเขามากแค่ไหน แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยก็ตาม

แต่ก็ใช่ว่าผมจะฝืนหรือกดดันตัวเองให้จำเขาได้ แบบนั้นมันยากไป ผมเริ่มจากการเรียนรู้ลักษณะนิสัยของแฟนตัวเองก่อนมากกว่า

พี่อินทร์เป็นผู้ชายที่ทั้งป็อปปูล่าร์ แล้วก็มีเพื่อนฝูงเยอะ คนมาชอบก็เยอะ นิสัยดี ใจดี มนุษยสัมพันธ์ดี เอาใจแฟนเก่ง ขี้เล่น เรียกได้ว่าเป็นแฟนที่ดีเลยล่ะ

ยอมรับนะว่าอยู่กับเขาแล้วผมสบายใจ เวลาหงุดหงิดมาจากไหน พอมาเจอหน้าเขา ความหงุดหงิดก็หายไปเพราะความร่าเริงขี้เล่นของเขาทุกที อีกอย่างที่เขาทำให้ผมสบายใจมากๆ ก็คือการที่เขาไม่เคยกดดันผมเรื่องที่ผมจำเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แทบไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ มีแต่ผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา และพอผมขอโทษที่จำเขาไม่ได้เมื่อไร เขาก็มักจะบอกว่า...

“พี่เคยบอกแล้วไงว่าขอแค่จิไม่เป็นอะไร พี่ยอมได้ทั้งนั้น ไม่ต้องคิดมากหรอก เริ่มต้นกันใหม่ก็ได้”

...ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจหรอก แต่คำว่า ‘เริ่มต้นกันใหม่ก็ได้’ มันทำให้ผมสบายใจทุกครั้งเลย

พี่อินทร์...เป็นผู้ชายที่นิสัยน่ารักดีนะ

และเพราะเขาใจดีแบบนั้น ผมเลยไม่อยากทำให้เขาต้องเสียใจ พยายามรื้อฟื้นความทรงจำตัวเองด้วยการสำรวจสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องทุกวัน เผื่อว่าไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้วจะจำขึ้นมาได้บ้าง

วันนี้ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกติตอนอาบน้ำ...

ที่อ่างล้างหน้าจะมีตู้สำหรับใส่ของใช้เล็กๆ อยู่ตู้หนึ่ง ผมเปิดออกมาดูเพราะจะหายาสีฟันหลอดใหม่ พี่อินทร์บอกว่าพวกข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับใช้ในห้องน้ำจะเก็บไว้ในตู้นี้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้มีแค่ของที่พี่อินทร์บอก แต่ดันมี...

“ถุงยาง?”

ผมหยิบกล่องเล็กๆ นั่นมาถือไว้ในมือแล้วขมวดคิ้วยู่ ก่อนจะเหลือบไปมองขวดพลาสติกบรรจุน้ำสีใสข้างใน แค่เห็นชื่อยี่ห้อสินค้า ผมก็รู้แล้วว่ามันคือเจลหล่อลื่น เท่านั้นความร้อนบางอย่างก็แล่นพล่านไปทั่วใบหน้าผมทันที

ผะ...ผมกับพี่อินทร์เคยมีอะไรกัน?

มันต้องอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมีของแบบนี้ติดห้องไว้ทำไม อะไรไม่ว่า ทั้งสองอย่างมันแกะใช้แล้วด้วยเถอะ

แล้วแบบนี้...ใครอยู่บน ใครอยู่ล่างล่ะ?

จริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมากังวลเลยนะ ผมเป็นแฟนกับเขา อยู่ด้วยกันแบบนี้ ยังไงก็ต้องหนีไม่พ้นเรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่อีก เรื่องธรรมดาจะตายไป

แต่ผมก็สลัดความสงสัยนั้นออกจากหัวไม่ได้เลย โคตรอยากรู้ว่าใครอยู่ตำแหน่งไหน เลยรออยู่ห้องจนกระทั่งเขาเลิกเรียนแล้วกลับมาถึง พอเห็นเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยจนมานั่งเล่นที่โซฟา ผมเลยออกปากชวนคุยด้วยเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจริงๆ

“พี่อินทร์ จิขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

ตอนนี้รู้แล้วว่าจริงๆ ผมเรียกแทนตัวเองกับเขาว่ายังไง ไม่ใช่ ‘ป่าปี๊’ กับ ‘หนู’ อย่างที่เคยถูกหลอกแน่นอน ส่วนพี่อินทร์ก็เหลือบมอง เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ผมก็อึกๆ อักๆ ไป ไม่รู้จะถามดีไหม จนเขาต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“มีอะไรเหรอจิ”

เอาวะ ถามก็ถาม อยากรู้ก็ต้องถามสิ!

“เราคบกันมานานเท่าไรแล้วครับพี่อินทร์”

แต่ดันเปิดเรื่องขึ้นมาแบบนี้แทน พี่อินทร์ก็ตอบมาตามตรง

“อืม ก็เกือบจะครบเทอมแล้วเหมือนกันนะ ประมาณสามสี่เดือนได้ ทำไมเหรอ”

ผมนิ่งไป ไม่แน่ใจว่าควรถามต่อไหม หรือจริงๆ ไม่ควรจะถาม ควรปล่อยเบลอไปดี แต่ก็สงสัยอะ อุปกรณ์มันพร้อมอยู่อย่างนั้น ผมว่ายังไงๆ ก็ต้องมีอะไรกันแน่นอน ไม่ได้คบกันเป็นแฟนแค่สถานะเฉยๆ แน่

“แล้วเราแบบว่า...มีอะไรกันด้วยหรือเปล่าครับ”

ในที่สุดก็ถามออกไปจนได้ พี่อินทร์เลิกคิ้วสูงกว่าเดิมเลยที่จู่ๆ ก็เจอคำถามที่ไม่คาดคิด เขาวางโทรศัพท์ในมือลงทันที จ้องหน้าแล้วถามผมกลับ

“ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้”

“ก็จิเห็นถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่นอยู่ในตู้ข้างกระจกที่ห้องน้ำ”

ผมบอกไปตามตรง เท่านั้นพี่อินทร์ก็หัวเราะออกมา

“อ๋อ ที่แท้ก็เพราะของพวกนั้น” พอหยุดหัวเราะก็ตอบเสียงดังฟังชัด “อืม เรามีอะไรกัน”

ผมใจเต้นระส่ำเลย นึกภาพไม่ออกเลยว่าผมกับเขาจะ...ทำกันยังไง

เออ ถึงจะรู้ว่าเป็นแฟนกัน แต่เพราะผมจำไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกนะเรื่องนี้ แล้วก็ไม่คิดจะพูดถึงอีกแล้วด้วย ทว่าดูเหมือนพี่อินทร์อยากจะพูดถึงมั้ง เขายิ้มขำๆ ออกมาแล้วถามผม

“ให้ทายว่าใครรุกใครรับ”

เป็นเรื่องที่ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมนิ่งไปครู่ ดูจากกายภาพแล้ว ท่าทางน่าจะ...

“จิน่าจะเป็นรับไหมครับ”

...คิดว่างั้นนะ พี่อินทร์เขาตัวใหญ่กว่าผม โดยคอมมอนเซ้นส์แล้ว คนตัวใหญ่กว่าจะต้องเป็นฝ่ายรุกถูกไหมล่ะ

ทว่าพอผมพูดไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้ผมรอ ก่อนจะเดินไปคุ้ยอะไรบางอย่างจากตู้เสื้อผ้า พลันกลับมาพร้อมกับ...

“ชุดนอนไม่ได้นอน”

อะ...อะไรวะนั่น?

ผมมองชุดมุ้งๆ มีชายพลิ้วๆ ลูกไม้ระบายแล้วก็หลุดเบ้หน้าออกมา ขณะที่พี่อินทร์ถามผมอีก

“ให้ทายว่าใครใส่ชุดนี้”

ผมค่อนข้างมั่นใจในตัวเองเลยว่าไม่ใช่ผมที่ใส่แน่ ผมเลยส่ายหน้ารัวๆ

“จิคิดว่าจิไม่น่าจะใส่นะครับ”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็ส่งเสียง “ปิ๊งป่อง~ ถูกต้องนะคร้าบ เพราะชุดนี้น่ะ พี่ใส่เอง”

หา!?

ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เขาบอกว่าเขาใส่เหรอ?

ทำหน้าไม่เชื่อออกไปเลย พี่อินทร์ก็ร้องบอกผมใหญ่

“ไม่ต้องตกใจๆ ไม่ต้องอ้าปากหวอด้วย จิบอกเองไม่ใช่เหรอว่าชอบแบบนี้”

ใช่เหรอวะ? ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าตัวเองมีรสนิยมแบบนี้

“เท่านี้ก็รู้แล้วเนอะว่าใครรุกใครรับ“

เขาทำให้ผมต้องอึ้งงันไปอีกระลอก งั้นก็แสดงว่า...ผมรุกเหรอ?

เหวอกินไปเลย พี่อินทร์ก็หัวเราะใหญ่

“ไม่เชื่อเหรอ ให้พี่ลองใส่ให้ดูไหม”

ถึงจุดนี้แล้ว อะไรๆ ก็ต้องลองแล้วล่ะ เผื่อจะจำขึ้นมาได้บ้าง

และพอผมพยักหน้า พี่อินทร์ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ผมมองเขา...แบบ...ผู้ชายร่างใหญ่อะ มีกล้ามเป็นมัดๆ เลย แต่ใส่ชุดนอนไม่ได้นอน เห็นแล้วก็...โลกนี้มันเป็นอะไรไปหมดแล้ววะ

ผมค่อนข้างงุนงงกับรสนิยมของตัวเองด้วยเหมือนกันนะ งงกว่าก็คือพี่อินทร์นี่แหละ ยอมตามใจรสนิยมผมไปได้ยังไง แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร พี่อินทร์ก็มาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้ว

“เวลาที่เรามีอะไรกัน จิก็จะชอบทำแบบนี้กับพี่ตลอด”

“ทำอะไรเหรอครับ”

“มานี่สิ เดี๋ยวพี่บอก แต่ต้องโดนเนื้อโดนตัวกันหน่อยนะ”

โดนเนื้อโดนตัว... คงไม่เป็นอะไรมั้ง ยังไงผมก็เคยมีอะไรกับเขาอยู่แล้ว นี่มันก็แค่การสาธิต ไม่ใช่จะทำกันจริงๆ สักหน่อย ผมก็เลยคลานเข้าไปหาเขา เขาคว้าตัวผมให้เข้าไปใกล้

“คร่อมพี่ไว้แบบนี้ ส่วนมือก็จับตรงนี้”

พลันรั้งเอวผมให้แทรกเข้าไปกลางหว่างขาของเขา จากนั้นก็ดึงมือของผมไปจับกับชุดตรงช่วงหน้าอก

“แล้วยังไงต่อครับ”

“จากนั้นพี่ก็จะดิ้น”

หา!?

“แล้วจิก็จะฉีกทึ้งอย่างทารุณ”

เรื่องจริงเรอะ!?

ชักไม่แน่ใจแล้วว่าใช่หรือเปล่าเพราะก่อนหน้านั้นเขาก็แกล้งหลอกผมเรื่องคำเรียกแทนตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่พอเขาพูดขึ้นมา

“อยากลองทำดูไหม เผื่อจะจำได้นะ”

ผมจะไปปฏิเสธได้ยังไงล่ะ แต่ประเด็นคือยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับเลย เขาก็ดิ้นพล่านๆ ทำเป็นขัดขืนแล้ว

“อั๊ย! อย่านะคุณจิระ~ อร๊าง~ คุณจิระ ม่าย~”

ท่าทางแด๊ะแด๋ส่ายไปส่ายมา ท่าทางตอแล้ตอแหลของเขาทำให้ผมนิ่งงันไปชั่วครู่ ผมก็ตั้งใจจะฉีกทึ้งชุดนอนไม่ได้นอนแหละ แต่พอเห็นแล้วก็...

“พี่อินทร์ครับ”

“หืม?”

เขาชะงักบ้าง มองหน้าผม ขณะที่ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะบอกเขา

“หยุดสักแป๊บได้ไหมครับ”

“ทำไมเหรอ”

“จิจะอ้วก”

คลื่นไส้ฉิบหาย อะไรของแม่งวะเนี่ย กูว่าพอเถ๊อะ!

พี่อินทร์หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเลย ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ากำลังถูกเขาแกล้งหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ก็แกล้งผมไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ชักไม่ไว้ใจแล้วล่ะ

“พี่อินทร์พูดจริงปะเนี่ย จิทำแบบนี้กับพี่อินทร์จริงเหรอ”

เขาเบาเสียงหัวเราะลง พยักหน้ารัวๆ “อื้ม ทำจริงสิ”

“แน่ใจเหรอครับ จิว่าไม่มั้ง”

ไม่แน่นอน ผมว่าผมไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างนี้แน่นอน แต่ทว่าพี่อินทร์ก็ดันว่าด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ถ้าจิไม่ทำแล้วจะมีชุดนี้อยู่ในห้องเราได้ยังไง จิเป็นคนบอกพี่เองว่าอยากให้พี่ใส่ มันถึงมาอยู่ในห้องของเราเนี่ย”

“แต่จิว่าจิไม่น่ามีรสนิยมแบบนี้...”

“เพราะจิจำไม่ได้ไงเลยคิดว่าไม่ใช่ แต่พี่จำได้นะ”

เขามีเหตุผล ผมเลยเถียงต่อไม่ออก

หรือว่า...ผมจะมีรสนิยมแบบนี้จริงๆ?

ชักไม่แน่ใจตัวเองแล้ว อยากรู้ขึ้นมาเลยว่าอะไรดลใจให้ผมมีรสนิยมแบบนี้ขึ้นมา

ให้เขาใส่ชุดนอนไม่ได้นอนแล้วผมก็ไปดึงทึ้งเนี่ยนะ เอาจริงดิ!?

ผมเหลือบมองพี่อินทร์ พยายามจะจับพิรุธเขานะว่าเขาหลอกผมหรือเปล่า แต่เขาดันนิ่งอะ...นิ่งมากจนผมเชื่อไปแล้วเรียบร้อยว่าผมมีรสนิยมอย่างนี้จริงๆ

“อยากลองฉีกทึ้งไหม”

แล้วเขาก็ถามขึ้นมาอีก ผมกลืนน้ำลายเอื้อก ลังเลไปครู่

เอาไงดีวะ...

แต่แล้วก็...

“อื้อ ลองอีกทีก็ได้ เผื่อจิจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

เท่านั้นพี่อินทร์ก็...

“อร๊าย~ คุณจิร้า~ ม่าย~”

กูว่ากูไม่ไหว!

ผมจับไหล่เขาแล้วรีบบอกเร็วๆ

“พี่อินทร์ จิจะอ้วกจริงๆ พอเถอะครับ”

ไหว้แล้ว ขอร้อง อย่าทำอะไรแบบนี้อีก กูรับไม่ได้!

พี่อินทร์ก็หัวเราะร่วนเลย คราวนี้หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลด้วย ผมมองหน้าเขา เขาก็เอามือมาบีบๆ แก้มผม

“หนูคลื่นไส้จนต้องทำหน้ากระรอกใส่พี่เลยเหรอครับตัวเล็ก” ก่อนจะเฉลยออกมา “จริงๆ แล้ว จิไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้หรอก พี่แกล้ง”

หา!?

ผมเบิกตาโต เขาก็อธิบายต่อ

“ชุดนี้พี่ซื้อมาตอนที่เราจะมีอะไรกันครั้งแรก ตอนแรกกะว่าจะให้จิใส่ แต่จิไม่ยอมใส่ พี่ก็เลยเอามาใส่เล่น”

รสนิยมแปลกๆ นี่สรุปแล้วเป็นของมึงสินะ!

หลุดด่าเขาในใจเสียอย่างนั้นอะ ผมเลยมุ่ยหน้าใส่เขาเป็นการใหญ่

“แล้วมาหลอกจิเนี่ยนะ”

“พี่เห็นว่าเวลาเราเชื่อที่พี่พูดแล้วมันน่ารักดี”

“นิสัยไม่ดี ไม่กลัวจิโกรธหรือไง”

“กลัวสิ แต่ก็อดใจไม่ให้แกล้งไม่ไหว ใครจะไปรู้ว่าจิจะเชื่อพี่ล่ะ”

คราวนี้เอามืออีกข้างมาดึงแก้มผมด้วย จากนั้นก็ส่ายไปส่ายมา บอกตามตรงว่าผมก็หงุดหงิดน้อยๆ เหมือนกัน แต่พอเห็นท่าทางอารมณ์ดีของเขาแล้ว ผมก็หลุดยิ้มออกมา

ถึงเขาจะขี้แกล้ง แต่มันก็ตลกดีเหมือนกันนะ

“จิจำอะไรไม่ได้ก็เหมือนจิเป็นผ้าขาวอย่างที่พี่วิญญูว่านั่นแหละครับ พี่อินทร์พูดอะไร บอกอะไร จิก็เชื่อหมดนั่นแหละ ตอนนี้ไม่ใช่ผ้าขาวแล้วมั้ง ขมุกขมัวเลอะเทอะเพราะพี่อินทร์ป้อนข้อมูลมั่วๆ ใส่หัวจิหมดแล้วเนี่ย”

พอตัดพ้อไปอย่างนี้ พี่อินทร์ก็หยุดบีบแก้มผม ว่ายิ้มๆ ให้เท่านั้น

“ถึงพี่จะทำจิเปื้อนเพราะข้อมูลต๊องๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่จะไม่ป้อนให้จิเด็ดขาด”

“อะไรเหรอครับ”

“พี่จะไม่ป้อนข้อมูลว่าจิรักพี่แค่ไหน เพราะถ้าจิจะรักพี่อีกครั้ง พี่ก็ขอให้จิรู้สึกกับพี่ด้วยตัวของจิเอง”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็นิ่งงัน นี่แหละที่ทำให้ผมสงสารเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้นะว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย เขารู้... รู้อยู่เต็มอกด้วย แต่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเลยเป็นสิ่งที่ทำให้ผมพยายามจะค้นหาความรู้สึกที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นยังไง เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าผมไม่ได้อยากทำให้เขาเจ็บปวด

“แล้ว...อยากลองทำอย่างที่เคยทำจริงๆ ไหม”

จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมา เรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์

“ทำอย่างที่เคยทำคือทำแบบไหนเหรอครับ”

รู้สึกไม่ไว้ใจเขาขึ้นมา พี่อินทร์คงรู้ทันความคิดผมมั้ง เขาถึงได้รีบดักคอ

“ไม่ใช่ว่าพี่ชวนให้เรามามีอะไรกับพี่ในตอนนี้หรอกนะ”

“แล้ว?”

“พี่แค่อยากจะถามจิว่าอยากลองจูบกับพี่ดูไหม”

สิ้นเสียง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมก็เต้นระส่ำ รู้สึกตัวขึ้นมาในตอนนี้ว่าผมยังคงอยู่ในท่าเดิม ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน อันที่จริงแล้วผมควรจะตอบปฏิเสธ แต่สายตาที่เขามองมามันทำให้ผมคล้อยตามอย่างไม่น่าเชื่อ

“ว่าไงจิ อยากจูบกับพี่ไหมครับ”

ผมพยักหน้าช้าๆ เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยิ้มออกมา

“พี่จะอ่อนโยนนะ”

สิ้นเสียง เขาก็ประคองใบหน้าผมให้โน้มลงไปหาเขา ลมหายใจอุ่นๆ ของเราสัมผัสซึ่งกันและกันก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนไปแนบสนิท

เขาค่อยๆ ขบเม้มริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่จะใช้ปลายลิ้นแทรกเข้ามาด้านใน เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นผมอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง

ผมยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าเราเคยทำอะไรแบบนี้กัน แต่จูบครั้งแรกหลังจากที่ผมสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับเขาไปมันช่าง...ดีมากเหลือเกิน มันทำให้ช่องท้องของผมปั่นป่วนวูบวาบไปหมดเหมือนกับมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวบินว่อนอยู่ในนั้น

ผมยังไม่ได้ตกหลุมรักเขานะ แต่จูบนี้มันรู้สึกดีจริงๆ...

พอริมฝีปากของเราสองคนผละออกจากกัน ผมก็พบว่าเขากำลังมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู ไม่นานนัก ผมก็ได้ยินในสิ่งที่ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมา

“พี่รักจินะ”

“...”

“รัก... รักมาตลอด ไม่ว่าจะเกลียดพี่หรือไม่รู้สึกอะไรกับพี่ พี่ก็รักจิเสมอ”

ฉับพลันผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา...

แน่ล่ะว่าต้องเศร้าเรื่องที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาดูน่าสงสารละเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่อง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่ามีความรู้สึกหนึ่งแวบขึ้นมา

เขารอผมมานานแล้ว...

ไม่มีเหตุผลเลย แต่รู้สึกแบบนี้ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น นอกเสียจากจะยิ้มบางๆ

“ลุกไหม ถ้าไม่ลุก จะดึงทึ้งชุดนอนไม่ได้นอนก็ได้นะ เผื่อจิอยากจะเปลี่ยนรสนิยม”

เท่านั้นผมก็กระเด้งตัวผึงเลย เขาหัวเราะใหญ่ ส่วนผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องบอกเมื่อเห็นเขาถอดชุดนอนไม่ได้นอนออกจากตัว

“เอาชุดมุ้งไปทิ้งเลยนะพี่อินทร์ อย่าให้จิเห็นอีก”

“ทำไมล่ะ ไม่เซ็กซี่เหรอ”

“เซ็กซ์เสื่อมล่ะสิไม่ว่า ถ้าพี่อินทร์ไม่เอาไปทิ้ง จิจะเอาไปทำผ้าขี้ริ้ว”

พอบอกไปอย่างนี้ พี่อินทร์ก็เดินมาหาผม กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“รับทราบครับ”

พลันฝังจมูกลงมาที่แก้มผมเบาๆ จากนั้นก็ผละไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ปล่อยให้ผมมองตามหลังเขาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ผุดพรายขึ้นมา

ผูกพัน...

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองผูกพันกับเขาขนาดนี้กันนะ?

-----------------------------------

กลับมาแว้ววว ช่วงนี้หายไปหลายวันเพราะไม่สบายหนักค่ะ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนัก ที่ไหนได้ ซมเลย ;w;

ตอนนี้ยังไม่หายดี แต่พรุ่งนี้จะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้เน้อ อย่าเพิ่งหนีหายกันปายยย อยู่ด้วยกันก่อนนะคะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เล่นใหญ่ตลอด

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
โฮกกกกกกกก สงสารพี่อินทร์อ่ะ ทำไมจากคนบ้ากลายเป็นคนน่าที่น่าเห็นใจขนาดนี้ไปได้ ;-;

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โว้ยยยยย นี่ซึมจริงๆรึเปล่าคะพี่อินทร์ทำไมแด๊ะแด๋ขนาดนี้หาา เกลียดความผีบ้าของอิพี่มันจริงๆโว้ย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จิจะจำได้ไหมเนี่ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ข้อมูลแต่ละอย่างที่ป้อนเข้าหัวหนูจิ  :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด