Chapter 31: นว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊
หลังจากที่ผมถามคำถามนั้นไป ห้องทั้งห้องก็เข้าสู่ภาวะเดดแอร์ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ แต่คนที่ดูจะช็อกหนักที่สุดเหมือนจะเป็นพี่คนนั้น...ใช่ คนที่ผมบอกว่าไม่รู้จักเขานั่นแหละ
“จิ ไม่รู้จักไอ้อินทร์มันจริงๆ เหรอ”
พี่บุศย์ทำลายความเงียบขึ้นมาจนได้ ผมหันไปมองเขาพลันพยักหน้า
“แต่รู้จักเรา?”
เป็นสรัลที่แทรกพลางชี้นิ้วไปที่ตัวเอง ผมเลยพยักหน้าอีกครั้ง
“แล้วก็รู้จักพี่วิญญูด้วย?”
ผมพยักหน้าอีก เท่านั้นทั้งสี่คนก็มองกันด้วยสายตาที่...ดูสับสนและมึนงง แต่คนที่ดูท่าจะสับสนมากกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็นผมมากกว่า ใครจะบอกผมได้บ้างว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
“เอางี้จิ พี่ขอถามอะไรหน่อยเพื่อความแน่ใจ ตอบตามความจริงโอเคไหม รู้สึกยังไงให้ตอบอย่างนั้น”
พี่บุศย์พูดขึ้นมาอีกแล้ว ผมยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อรอคำถามจากเขา พลันเขาก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“จิรู้จักพี่ได้ยังไง”
“พี่บุศย์เป็นพี่รหัสจิ รู้จักกันตั้งแต่ตอนรับเพื่อนใหม่แล้วครับ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางคนข้างๆ “แล้วสรัลล่ะ”
“รู้จักตอนงานเฟรชชี่ไนท์ ตอนนั้นสรัลมาช่วยดึงผมออกจากกลุ่มคน ก็เลยคบกันเป็นเพื่อนต่างคณะ”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยอารมณ์แบบว่า ‘ไม่จริงน่า’ จากนั้นพี่บุศย์ก็ชี้ไปที่พี่วิญญู
“แล้ววิญล่ะ รู้จักได้ยังไง”
“คนนี้...ตามสตอล์กเกอร์จิเพราะจะจีบจิ”
ผมว่าไปตามตรง ซึ่งก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา กระทั่งพี่บุศย์ถามอีก
“จิสนิทกับวิญไหม”
ผมนิ่งคิดไปเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนกับว่า...
“สนิทนะครับ”
ใช่ ผมรู้สึกอย่างนั้น แต่พอเจออีกคำถาม
“สนิทกันได้ยังไง จำได้ไหม”
ผมกลับตอบไม่ได้...
นั่นสิ สนิทกับพี่วิญญูได้ยังไง ผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ยิ่งถูกถามว่า...
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าพี่รหัสของสรัลคือไอ้อินทร์?”
ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าพรืด... ไม่รู้เลย ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“รู้หรือเปล่าว่าทำไมตัวเองถึงมาที่อินโดนีเซีย”
ผมส่ายหน้าอีก พี่บุศย์เลยว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“คำถามสุดท้ายนะจิ... รู้จักอิเหนากับจรกาไหม แล้วรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?”
จู่ๆ เขาก็ถามอะไรแปลกๆ ออกมา อันนี้ผมจำได้นะ จำได้แม่นเลย!
“จิรู้” พูดเท่านี้ ทุกคนก็ดูมีสีหน้าดีขึ้น แต่พอผมบอกว่า “มันเป็นเนื้อหาที่จิเรียนเทอมนี้น่ะครับ ตามเนื้อหาในวรรณคดีคืออิเหนากับจรกาไม่ถูกกัน อิเหนาไปแย่งบุษบากลับคืนจากจรกาที่ไปขอหมั้นหมายกับนางบุษบา อดีตคู่หมั้นตัวเองไว้ พี่บุศย์ถามทำไมเหรอ”
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน แล้วทั้งห้องก็เงียบไปอีกครั้ง ผมเห็นแล้วก็สับสนที่อารมณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปไวขนาดนี้ อีกทั้งยังสับสนเรื่องที่จู่ๆ ก็ไปสนิทกับพี่วิญญูโดยไม่รู้เหตุผล ไม่รู้ว่าผู้ชายคนที่ผมไม่รู้จักคือพี่รหัสของสรัลทั้งที่ความรู้สึกมันบอกว่าผมสนิทกับสรัล แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่อินโดนีเซียยังไง มันดูแปลกมากที่ความทรงจำในระหว่างนั้นหายไป หายแบบหายไปเลย ไม่รู้สึกเลยว่ามันคุ้นเคยแต่อย่างใดด้วย
จนในที่สุดก็เป็นผมบ้างที่อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกไปบ้าง
“ใครพอจะบอกจิได้บ้างครับว่านี่มันเรื่องอะไร”
“จิ...จำเรื่องของเราไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ”
คนที่ให้คำตอบผมไม่ใช่พี่บุศย์เหมือนเคยแล้ว แต่เป็นพี่คนที่ผมบอกว่าไม่รู้จัก เขาเดินมาหยุดข้างเตียง มองหน้าผมด้วยสายตาที่...ที่เจ็บปวด?
ผมมั่นใจว่าเขามองผมด้วยสายตานั้น ยิ่งเขาเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วบีบแน่น ผมก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขามากขึ้น ไม่อยากตอบเลยนะว่าใช่...ผมจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้ ความจริงแล้วต้องบอกด้วยว่าผมไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ แต่คำตอบที่ถนอมน้ำใจที่สุดก็คงจะเป็นการพยักหน้า
“ชื่อพี่ก็ไม่รู้จักเหรอ” เขาถามยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้า ผมจำใจพยักหน้าไปอีกครั้ง เขาเลยว่าเสียงแผ่ว “พี่ชื่ออินทร์ คุ้นไหม”
คำตอบของผมคือการพยักหน้าอย่างเดียวแล้วล่ะทีนี้ คนอื่นๆ ดูมีสีหน้าแย่ยิ่งกว่าพี่...พี่อินทร์ใช่ไหม อือ นั่นแหละ แต่คนตรงหน้าผมยังคงยิ้มให้อยู่
“ไม่เป็นไร จำพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรามาเริ่มกันใหม่ก็ได้”
เริ่มกันใหม่ เขาพูดอย่างกับว่าผมกับเขา...
“เราเป็นแฟนกันเหรอครับ”
ถึงผมจะจำเขาไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่เข้าใจอะไรๆ รูปแบบการพูดและการปฏิบัติต่อผมมันพิเศษมากจนใครๆ ก็ดูออก พี่อินทร์พยักหน้าให้ ผมก็ต้องหันไปหาพี่บุศย์เพื่อขอคำยืนยัน
“จริงเหรอครับพี่บุศย์”
พี่บุศย์พยักหน้า ก่อนที่สรัลจะรีบเอาโทรศัพท์มาให้ดู
“พี่อินทร์เป็นเดือนมหา’ลัย ส่วนนายเป็นคิวท์บอย ตอนคบกันมีแต่คนโพสต์รูป นี่ไง หลักฐานยืนยัน”
เป็นรูปคู่ของผมกับพี่อินทร์ในอิริยาบถต่างๆ ผมไม่อยากจะเชื่อนักหรอก แต่พอพี่อินทร์ยื่นโทรศัพท์มือถือของผมให้
“ในโทรศัพท์ของจิก็มีรูปเรานะ”
ผมก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะนอกจากเขาจะรู้รหัสปลดล็อกโทรศัพท์ของผมแล้ว ยังมีรูปเซลฟี่ของเขากับผม แล้วก็รูปอื่นๆ ที่ดู...ค่อนข้างจะสนิทสนมกันมากอยู่เต็มแกลลอรี่ไปหมด
ผมเป็นแฟนกับเขาจริงๆ...
“จริงๆ แล้ว เราอยู่ด้วยกันด้วยนะ”
พี่อินทร์ว่ามาอีก ใบหน้าหล่อๆ ของเขายังคงมีรอยยิ้มบางๆ ผมมองแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาจนต้องว่าเสียงแผ่ว
“ขอโทษนะครับ ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
เหมือนจะได้ยินเสียงหายใจของทุกคนดังออกมาพร้อมๆ กัน ผมรู้ว่าการที่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขามันทำให้คนอื่นๆ หนักใจ แต่ผมยังคงสงสัยอยู่อีกเรื่อง
“แล้วเรามาทำอะไรกันที่อินโดนีเซีย เที่ยวเหรอ”
คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นเราจะมาที่นี่ทำไม
“น้องจิ จริงๆ แล้วพวกเราพาน้องจิมาถอนคำสา...”
พี่วิญญูทำท่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่พี่อินทร์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ใช่ เรามาเที่ยว พี่บอกเราว่าจะพามาเที่ยว แต่จิไม่สบายหนัก สลบไปตอนกำลังไปเที่ยวกันอยู่ เลยมาอยู่ที่นี่”
ผมพยักหน้ารับ พอจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้ แต่ก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้
“ผมไม่ได้หัวกระแทกพื้นหรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรงใช่ไหมครับ”
พี่อินทร์พยักหน้ารับ ผมเลยถามต่อ
“แล้วทำไมผมถึงจำพี่ไม่ได้”
ไม่มีใครให้คำตอบผมแล้ว มีแต่ความเงียบเข้าครอบงำ กลายเป็นว่าคำถามของผมเป็นหมัน และดูท่ามันจะไม่ได้รับคำตอบอีกแล้ว
ผมพักอยู่ในโรงพยาบาลอีกไม่กี่คืนก็กลับไปพักที่โรงแรม หมอบอกว่าผมเป็นไข้ แล้วก็ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หัวของผมก็ไม่ได้กระแทกด้วย สมองทำงานปกติดีทุกอย่าง ดังนั้นความทรงจำของผมเกี่ยวกับพี่อินทร์ที่หายไปจึงไร้สาเหตุว่ามันหายไปได้ยังไง และดูท่าก็ไม่มีใครอยากจะเล่าให้ผมฟังด้วย พอผมเปิดปากพูดทีไร ใครต่อใครก็มักจะถามผมด้วยคำถาม ‘จิเชื่อเรื่องการระลึกชาติได้หรือกลับชาติมาเกิดไหม’ ทุกที
โอเค ไม่ถามแล้วก็ได้ถ้าทุกคนจะเฉไฉไปคุยเรื่องไร้สาระแบบนั้น ระลึกชาติหรือกลับชาติมาเกิดใหม่อะไรกัน มันก็แค่ความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ ซึ่งแน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ผม
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าการที่รู้ว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชายซึ่งเป็นเดือนมหาวิทยาลัยชื่ออินทร์ ก็คือการที่ผมย้ายจากหอเก่ามาอยู่หอใหม่สุดหรูหรา...กับเขา
แม่เจ้าโว้ย! ค่าเช่าเดือนเท่าไรเนี่ย!
ต้องมานั่งคำนวณเงินที่ได้สำหรับใช้จ่ายแต่ละเดือนเลย จริงๆ ก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าผมอยู่กับเขา แต่ไม่คิดว่าจะอยู่หอราคาแพงหูฉี่แบบนี้ไง มาโล่งใจก็ตอนที่เขาบอกว่า...
“ไม่ต้องห่วง พี่เป็นคนจ่ายค่าห้องอยู่แล้ว เราตกลงกันแต่แรกอย่างนี้”
ถึงจะเกรงใจเขาที่เป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอย่างนั้น แต่ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ผมสบายใจไปเยอะ ที่ไม่สบายใจในตอนนี้ก็คือ...ผมเริ่มอึดอัดแล้วล่ะ
ทันทีที่เครื่องแลนด์ดิ้งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พวกเราก็มุ่งตรงกลับหอทันที ตอนแรกมันก็ไม่อึดอัดหรอกเพราะตอนเรากลับมามันมากันหลายคน แต่พอแยกเข้าห้องใครห้องมันปุ๊บ อึดอัดทันที
ผมกับพี่อินทร์...ในฐานะแฟนทั้งที่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาด้วย มันแบบ...น่าอึดอัดนะ
“ไม่ต้องเกร็งหรอกจิ ทำตัวตามสบายเหมือนตอนที่จิเคยอยู่คนเดียวได้เลย ตอนนี้อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เดี๋ยวก็ชินเองแหละ คิดว่าพี่เป็นรูมเมทคนนึงก็ได้”
พี่อินทร์โพล่งขึ้นทำลายความเงียบ หมายจะให้ผมสบายใจ ผมวางกระเป๋าลง พยักหน้าให้เขาพร้อมกับตอบรับเสียงแผ่ว เขาหัวเราะน้อยๆ ให้ผมที่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงส่วนไหนของห้องดี ก็รู้แหละว่าผมอยู่กับเขาจริงๆ เพราะข้าวของเครื่องใช้ของผมอยู่ในห้องนี้เพียบเลย แต่ความรู้สึกคือ...มันไม่ใช่ห้องผมน่ะ
“เอางี้ อันดับแรก จิเอาของไปเก็บก่อนแล้วกัน”
เขาพยายามทำให้ผมผ่อนคลาย พอผมพยักหน้า เขาก็ยื่นถุงซิปที่บรรจุของบางอย่างมาให้
“อันนี้เป็นของของจิ หมอให้ถอดออกตอนนอนอยู่โรง’บาล”
ในนั้นมันเป็นนาฬิกาข้อมือกับ...แหวน?
เป็นแหวนทองโบราณๆ น่ะ อันนี้ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าได้มาตอนไหน แต่ก็รับมาถือไว้แล้วตรงไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ยืนงกๆ เงิ่นๆ อยู่ครู่
“เอ่อ...พี่อินทร์ครับ”
“หืม?”
“ตู้เสื้อผ้าของผมตู้ไหนเหรอ”
ผมไม่มั่นใจ เขาก็เลยทำท่าจะชี้ แต่ก็ไม่ชี้ เล่นลิ้นเสียอย่างนั้น
“เรียกแทนตัวเองว่า ‘ผม’ พี่ไม่บอกหรอกนะ”
เท่านั้นผมก็หันมองขวับเลย ขณะที่เขาเลิกคิ้วสูง
“สงสัยอะไรเหรอ”
“คือผม...”
“หืม? ผมอีกแล้ว”
เขาพูดมาอย่างนี้ ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ปกติแล้วผมเรียกแทนตัวเองกับพี่อินทร์ว่าอะไรเหรอครับ”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ว่าหน้าระรื่นออกมา “ปกติแล้วจิจะเรียกแทนตัวเองว่า ‘หนู’”
หา?
“แล้วก็เรียกแทนพี่ว่า ‘ป่าปี๊’”
ใช่เรอะ!?
ผมเผลอทำหน้าไม่เชื่อใส่เขามั้ง พี่อินทร์ก็เลยยกนิ้วชี้ขึ้นมาพลางว่า
“เอางี้ ฟอร์เอ็กแซมเปิ้ล” เขาเว้นไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าปอด แล้วก็... “นว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊หิวข้าวหรือยังกั๊บ ป่าปี๊หิวแย้ว อยากกินนว้องจุง งื้อ~”
ทำเสียงสองแล้วก็เอาทำท่าแด๊ะแด๋ๆ ผิดจากท่าทางปกติที่ผมเห็นแบบลิบลับเลย ทำเอาผมอดเบ้หน้าออกมาไม่ได้ ขณะที่เขากลับมาทำท่าทางปกติ
“ปกติแล้วเราคุยกันแบบนี้”
กูว่าไม่ใช่มั้ง!
แต่เขาทำสีหน้าจริงจังเลย ผมก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงเราคุยกันแบบนี้จริงหรือเปล่า แต่บอกตามตรงนะ สายตาที่เขามองมามันดูก็รู้อะว่าเขาไม่ได้โกหกแน่ๆ แต่...ไม่รู้ทำไมว่าผมไม่มั่นใจ
“แล้ว...ผมก็เรียกแทนตัวเองว่าหนูเหรอ”
พี่อินทร์พยักหน้า ผมก็เลยลองพูดออกไปบ้างเผื่อว่าจะคุ้น
“ป่าปี๊...”
“หืม?”
“หนูหิวข้าวแล้ว”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก เงยหน้าพลางว่ายิ้มๆ
“ฟิน~”
เอ๊ะ?
“อยากให้จิเรียกพี่แบบนี้มานานแล้ว”
เอ้า! ตกลงปกติไม่ได้เรียกกันแบบนี้เรอะ!?
รับรองได้เลยว่าตอนนี้หน้าผมมีเครื่องหมายคำถามอันโตแปะอยู่ ผมว่าผมไม่น่าจะเรียกแทนตัวเขากับตัวเองแบบนี้อะ คิดว่านิสัยตัวเองไม่น่าจะมุ้งมิ้งแบบนี้ แต่พี่อินทร์กลับทำให้ผมรู้สึกผิดด้วยการถามออกมา
“จิคิดว่าพี่โกหกเหรอ”
“คือ...”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ จิจำพี่ไม่ได้นี่เนอะ จำไม่ได้ว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหน จำไม่ได้ว่าพี่กับจิรักกันยังไง จำไม่ได้ที่...”
“ตู้เสื้อผ้าหนูอยู่ไหนเหรอครับป่าปี๊”
เออ เอาก็เอา ไม่งั้นก็พูดให้ผมรู้สึกผิดอยู่นั่นแหละ และพอพูดไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ชี้นิ้วไปที่ตู้ข้างๆ
“ตรงนั้นครับ”
ผมเลยได้รู้สักทีว่าตู้เสื้อผ้าของตัวเองอยู่ตู้ไหน เฮ้อ... ยุ่งยากจริงวุ้ย!
พอจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย ท้องก็เริ่มหิว พี่อินทร์ชวนผมไปกินข้าว แต่จะให้ไปกับเขาสองคน ผมก็อึดอัด ยังปรับตัวไม่ได้น่ะ ผมก็เลยบอกเขาไปตามตรงว่าอยากให้คนอื่นๆ ไปด้วย เขาก็ไม่ขัด โทรชวนทุกคนให้ไปกินข้าวด้วยเหมือนกับระหว่างเขาและผมไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมกับพี่อินทร์ลงไปหาพี่บุศย์กับสรัลที่รออยู่ข้างล่างของหอ พี่อินทร์นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ก็เลยบอกผม
“เดี๋ยวป่าปี๊ขึ้นไปเอากระเป๋าตังค์ก่อนนะครับ หนูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
ผมพยักหน้า พี่อินทร์หายไปจากตรงนั้น แต่สิ่งที่ดูผิดแปลกไปก็คือ...สีหน้าของพี่บุศย์กับสรัล
“เมื่อกี้ไอ้อินทร์มันเรียกแทนตัวเองว่าอะไรนะ”
แล้วเขาก็ถามขึ้นมาด้วย ผมก็เลยตอบให้
“ป่าปี๊ครับ”
เรียวคิ้วสวยของเขาย่นยู่เลย ก่อนที่สรัลจะถามขึ้นมา
“แล้วเรียกแทนนายว่าอะไรนะ”
“หนู...”
ผมว่าไปอย่างนี้ ทั้งสองคนก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่าน ผมก็อยากจะถามเหมือนกันว่ามีอะไรแปลกเหรอ แต่ไม่ทันจะได้ถาม พี่อินทร์ก็กลับลงมาแล้ว
“ปะ ไปกันเถอะ หิวจะแย่แล้ว มาครับหนู ป่าปี๊พาข้ามถนนนะ”
คว้ามือผมไปจับเสียอย่างนั้นอะ ผมก็เกร็งอยู่ไม่น้อย แต่สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นสีหน้าแปลกๆ ของพี่บุศย์กับสรัลที่ดูเหมือน...ไม่รู้สิ ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรจนกระทั่งมาถึงร้านข้าว พวกเรานัดเจอพี่วิญญูกันที่นั่น เขามาถึงก่อนใครเพื่อน พอพวกเรานั่งประจำที่กันเรียบร้อย พี่อินทร์ก็คว้าเมนูมาให้ผมดู
“หนูอยากกินอะไรครับ ป่าปี๊สั่งให้ หนูกินกระเพราะหมูสับไข่ดาวไม่สุกมากไหม ของชอบหนูนี่”
ของชอบผมจริงๆ แต่ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนี้ก็ได้นะ อึดอัดมากเลย แต่ผมก็เกรงใจเขา เพราะเขาบอกว่าเรารักกันมาก ถ้าผมพูดอะไรออกไปมันจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา แค่ผมจำเขาไม่ได้มันก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ผมก็เลยปล่อยไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น
“ว่าไงครับ ตกลงกินอะไรดี”
“งั้นหนูเอาที่ป่าปี๊สั่งให้ก็ได้ครับ”
ผมตอบรับไป พี่อินทร์ก็หันไปเขียนรายการอาหารยุกยิกลงในกระดาษทันที จังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของคนอื่นๆ ที่มองมา
พี่บุศย์กับสรัลน่ะมองแปลกๆ มาตั้งแต่อยู่ที่หอแล้ว แต่คนที่มองด้วยสายตาแปลกๆ ระคนสีหน้าเหยเกคือพี่วิญญู มิหนำซ้ำไม่มองเปล่าด้วย ยังจะโพล่งขึ้นมา
“เมื่อกี้เหมือนได้ยินอะไรแหม่งๆ เรียกแทนตัวเองกันว่าอะไรนะ”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็เอะใจขึ้นมา
เอ...หรือว่าผมจะไม่ได้เรียกเขาแบบนั้น?
“งงอะไรของมึง ก็เรียกกันตามปกติ ทำเป็นไม่ชินไปได้”
พี่อินทร์โพล่งขึ้นมาอย่างนี้ เท่านั้นพี่วิญญูก็ขมวดคิ้วมุ่น
“แต่กูรู้สึกเหมือนกับว่ามึงกับน้องจิไม่ได้...”
“แล้ววิญจะกินอะไรเหรอ สั่งเร็วเข้า สรัลจะได้สั่ง”
พี่บุศย์แทรกขึ้นมาทั้งที่พี่วิญญูยังพูดไม่จบเฉยเลย แถมสรัลก็สำทับ
“ใช่ๆ รีบสั่งเร็วพี่วิญ หนูหิวจะตายอยู่แล้ว”
พี่วิญญูเลยต้องรับเอากระดาษกับปากกามาจากพี่อินทร์แล้วจดรายการอาหารลงไปแล้วบ่นพึมพำ
“เป็นผ้าขาวแท้ๆ” จากนั้นก็หันมามองพี่อินทร์ “ไอ้ตอแหล”
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ด่าพี่อินทร์อย่างนั้น พี่อินทร์ก็ดูไม่มีท่าทีสะทกสะท้านด้วย ลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าคนพวกนี้กำลังรวมหัวกันปิดบังอะไรผมอยู่ แล้วความคิดของผมก็มลายหายไปเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผมคว้าช้อนกับส้อมมาเตรียมจะเขี่ยใบกระเพราะออก ทว่าพี่อินทร์ก็ดึงจานของผมไปแล้ว พอหันไปมองก็เห็นว่าเขากำลังตักใบกระเพราจากจานผมไปใส่จานตัวเองอยู่ ผมเลยอดถามไม่ได้
“ป่าปี๊ทำอะไรครับ”
“หนูชอบกินผัดกระเพราแต่ไม่กินใบกระเพราไม่ใช่เหรอ ป่าปี๊ก็เอาออกให้อยู่นี่ไง”
ผมชะงัก มองหน้าเขาที่กำลังส่งยิ้มให้ผมอยู่
เขารู้... แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็รู้ แต่...ผมกลับจำเขาไม่ได้เลย
“อะ เอาออกหมดละ”
เขาเลื่อนจานคืนมาให้ผม ผมได้แต่พึมพำเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
ตักข้าวเข้าปากได้คำหนึ่ง มือใหญ่ก็วางแหมะลงมาบนหัวผมเบาๆ
“กินเยอะๆ นะนว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊”
ทำเสียงสองแสลงหูมาก แต่ไม่รู้ทำไมตอนได้ยินเขาพูดประโยคนี้ ในใจผมกลับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด
ถึงอย่างนั้น...ผมก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี จำไม่ได้ว่าเคยรัก จำไม่ได้ว่าเคยผูกพัน แม้แต่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาก็ไม่มี นอกจากความอุ่นวูบวาบที่แล่นพล่านขึ้นมาเมื่อครู่ แต่แทนที่จะทำให้ผมรู้สึกดี มันกลับทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก
เรากินข้าวเสร็จในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมกลับเข้าห้องมาพร้อมพี่อินทร์ เขาเดินไปวางข้าวของที่พกติดตัวไปด้วยลงบนโต๊ะ ทำท่าเหมือนจะไปอาบน้ำ แต่ผมก็เรียกเขาไว้ก่อน
“ป่าปี๊”
เขาหันมามอง เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ผมอึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดออกไป
“ขอโทษนะครับที่หนูจำอะไรไม่ได้เลย”
“จำอะไรไม่ได้เหรอ”
“จำไม่ได้ว่า...เอ่อ...” ไม่แน่ใจว่าควรพูดดีไหม แต่พอเขาเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ ผมก็จำต้องตอบ “จำไม่ได้ว่าป่าปี๊กับหนูรักกัน”
พูดไปก็รู้สึกไม่ดีไป ผมรู้ว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ดีด้วย แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมากลับเป็นทางตรงกันข้าม
“จำป่าปี๊ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ” พลันก็ประคองใบหน้าผมขึ้นให้สบตาเขา ขณะที่เขาว่าออกมาทีละประโยค “ถ้าหนูจำป่าปี๊ไม่ได้ ป่าปี๊ก็จะจีบหนูใหม่ ถ้าหนูจำไม่ได้ว่ารักป่าปี๊ ป่าปี๊ก็จะทำให้หนูรักใหม่เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องเครียดด้วย ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ทำใจให้สบายนะครับ”
ผม...สบายใจจังเลย ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ผมก็สบายใจขึ้นมาก
ความจริง...เป็นนว้องจิตัวเย็กๆ ของป่าปี๊ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนกัน
ผมพยักหน้ารับ เขาก็ถามออกมา
“ขอป่าปี๊กอดหนูหน่อยได้ไหม”
คงจะรู้ว่าถ้าผลีผลามกอดผมคงจะโดนผมผลักอีกแน่ ผมก็เลยอนุญาตเขา เท่านั้นอ้อมแขนใหญ่ก็โอบรัดร่างผมไว้แน่น พลันก็มีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นข้างหู
“เรามาเริ่มกันใหม่ก็ได้ ขอแค่หนูไม่เป็นอะไรก็พอ”
ไม่เป็นไร... เขาหมายความว่ายังไง
จะยังไงก็ไม่รู้ล่ะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมตะขิดตะขวงใจเพราะในตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าผมเป็นคนยังไง
เขา...เป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก แล้วก็คงจะรักผมมากเหมือนกันถึงได้ไม่ยอมแสดงท่าทีเป็นกังวลใดๆ ที่ผมจำเขาไม่ได้ออกมาอีกเลยตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล
ผม...จะพยายามไม่ทำให้เขาเสียใจ
พลันความคิดของผมก็มลายหายไปเมื่อจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา
“มีอะไรเหรอครับป่าปี๊”
พี่อินทร์ใช้เวลากลั้นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละจากอ้อมกอดมามองหน้าผม
“จริงๆ แล้วเวลาเรียกพี่ว่าป่าปี๊ แล้วจิเรียกแทนตัวเองว่าหนูมันก็น่ารักดีนะ”
เห?
“แต่พอแล้วดีกว่า ตอนนี้จิเป็นผ้าขาวอย่างที่ไอ้วิญมันบอก เลิกแกล้งแล้ว เรียกแทนตัวเองว่าจิ เรียกพี่ตามปกติเถอะเนอะ”
เอ้า! ตกลงไม่ได้เรียกป่าปี๊กับหนูจริงๆ ใช่ไหม!
ก็ว่าแล้วว่าทำไมมันแปลกๆ ก็หลงเรียกหนูๆ ป่าปี๊ๆ อยู่ตั้งนาน โธ่เอ๊ย! ตอแหลอย่างที่พี่วิญญูว่าจริงๆ ด้วย
แฟนผมเป็นคนแบบนี้เหรอวะเนี่ย!
-----------------------------------
ตอนเต็มมาแล้วววว ใครว่าดราม่า ไม่มี้!!!
ใช่ ไม่มีตอนนี้ แต่เดี๋ยวก็มา ดราม่าสุดท้ายละค่ะ เดี๋ยวก็จบเรื่องละ 555
ช่วงนี้หนูแดงไม่ค่อยสบายนะคะ เป็นหวัด อาจจะมาช้าบ้าง รอกันก่อนเน้อ
ฝากกำลังใจไว้ให้กันด้วยนะจ๊ะ