Chapter 29: ฝากรัก
พอรู้ว่าวิธีที่จะทำให้ผมหายจากผลข้างเคียงของคำสาบานทำได้ยังไง พี่อินทร์ก็ไม่รอช้าที่จะหาตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่บินได้เร็วที่สุดทันที แน่นอนว่าการบินลัดฟ้าไปเมืองดาหา หรือโดโฮที่อยู่ในชวาติมอร์อะไรนี่ จะส่งใบลาให้อาจารย์แต่ละวิชา แล้วใส่เหตุผลในการขอลาว่าไปถอนคำสาบานไม่ได้ ผมก็เลยต้องหยุดเรียนเอาดื้อๆ ซึ่ง...หยุดยาวไปเลยเป็นอาทิตย์ เพราะพี่อินทร์บอกว่า...
‘ถอนคำสาบานเสร็จแล้วก็อยู่รอดูผลก่อน ถ้าไม่ได้ผลยังไงจะได้แก้ไขทัน’
…เลยกลายเป็นว่าต้องอยู่ยาวอย่างที่เขาว่า ผมก็ไม่แย้งอะไรหรอก ไม่อยากตายเพราะคำสาบานงี่เง่าในชาติก่อนเหมือนกัน ชาตินี้ได้รักกับเขาแล้ว เรื่องอะไรที่จะต้องตายหนีเขาไปอีกล่ะ
ส่วนพวกคนอื่นๆ ก็ต้องหยุดยาวเช่นกันกับผม ตอนแรกที่ว่าจะมีพี่วิญญูตามติดไปคนเดียว ตอนนี้กลายเป็นว่ามากันครบทีมเลย
และแล้ว...อิเหนาแอนด์เดอะแก๊งก็บินลัดฟ้ากันสู่เกาะชวา
จังหวัดที่เรามุ่งหน้าไปนั้นคือบันดุง ผมเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วในยุคนี้ เมืองดาหาก็คือตำบลหนึ่งในบันดุง และไม่ไกลกันนั้นก็มีเมืองกุเรปัน ซึ่งปัจจุบันเรียกว่ากุราวัน อยู่ในตำบลเมดวน ทั้งสองเมืองอยู่ไม่ห่างกันมาก ผมเองก็จำไม่ได้สักเท่าไรหรอกเพราะกาลเวลามันก็ผ่านมานานมากแล้ว เว้นก็แต่พี่อินทร์ที่ดูเหมือนจะจำทุกอย่างได้ดี
ไม่สิ...ไม่ใช่แค่พี่อินทร์ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พอเราบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิตรงมาลงยังบันดุง และนั่งรถที่ทางโรงแรมส่งมารับต่อมาถึงยังที่พักปุ๊บ ผมก็ยื่นเอกสารที่เป็นหลักฐานการจองให้กับทางรีเซปชัน พร้อมกับพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นๆ
“เอ่อ...ไอแฮฟทูบุ๊กอะรูมอินยัวร์โฮเทล...”
ไวยากรณ์ถูกหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจให้ได้ แต่ทว่าก็มีใครพูดภาษาพื้นเมืองขึ้นมา ผมหันไปก็เห็นว่าคนพูดมายืนอยู่ข้างๆ ผมแล้ว และคนคนนั้นก็คือ...
“พี่อินทร์...”
ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูว่าเขาจะพูดภาษาอินโดนีเซียได้ แถมคุยกันกับพนักงานรู้เรื่องด้วยนะ
หรือว่าพี่อินทร์จะเคยเรียนภาษามลายู?
จำได้ว่าภาษามลายูคือภาษาประจำชาติอันดับที่สองของอินโดนีเซียรองจากอังกฤษ ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เขาพูดได้ คนอื่นๆ ก็พูดได้ มีแต่ผมเท่านั้นที่ยังคงงุนงงอยู่ แต่ทว่าอึดใจเดียวก็เริ่มฟังรู้เรื่องขึ้นมา
เอ๊ะ... หรือว่าจะคุยภาษาไทย?
ผมสาบานเลยว่าไม่เคยเรียนภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยกับอังกฤษมาก่อน พอหันไปมองหน้าทุกคนอย่างงุนงง พี่บุศย์ก็หัวเราะออกมา
“ไม่ใช่ภาษาไทยหรอกจิ ไม่มีใครพูดไทยทั้งนั้น ไม่ต้องทำหน้างง”
ไอ้ที่บอกไม่ต้องให้ผมทำหน้างงนี่สิ ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ จากนั้นสรัลก็ว่าขึ้น
“ภาษาชวาน่ะ”
ผมยิ่งทำหน้าเหลอหลาเข้าไปใหญ่ ทำให้พี่วิญญูซึ่งมองดูอยู่พูดขึ้นเป็นคนสุดท้าย
“ปัจจุบันภาษาชวามันคือภาษาท้องถิ่นของที่นี่ ในเมื่อกลับชาติมาเกิดแล้ว ทำไมจะพูดภาษาเดิมของตัวเองไม่ได้กันล่ะ จริงไหม”
ตอนนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาพูดกันคล่องปร๋อ ที่แท้ก็เป็นภาษาดั้งเดิมที่พวกเราเคยใช้เมื่อชาติก่อนนั่นเอง แล้วที่จู่ๆ ผมก็ฟังออกเป็นเพราะความทรงจำในอดีตชาติเพิ่งจะกลับมาแหง แต่ว่านะ ที่พวกเขารู้กันอยู่แล้วก็ดูน่าแปลก แต่แล้วก็มีคนอธิบายเพิ่มอีก
“พวกพี่มาเที่ยวบ้านเมืองเดิมกันบ่อยน่ะ มาตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้ จิไม่ต้องแปลกใจหรอก”
เป็นพี่บุศย์นั่นแหละที่อธิบาย ส่วนคนอื่นๆ ก็พยักหน้า ผมก็เลยไม่แปลกใจ พร้อมๆ กับได้รู้พื้นเพฐานะทางบ้านของทุกคนด้วย
เออ บ้านมีตังค์กันทั้งนั้นเลย ก็สมกับที่เป็นลูกหลานของเจ้าเมืองใหญ่ๆ นั่นแหละ เว้นก็แต่ผมที่เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรยังไง เกิดมาชาติใหม่ก็ยังเป็นอย่างนั้น
“อย่ามัวยืนคุยกันอยู่เลย รีบเอาของขึ้นไปเก็บเร็ว เหนื่อยจะแย่”
พี่อินทร์ว่าขัดขึ้นมาก็ไม่มีใครค้าน แต่ขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก จู่ๆ เขาก็โพล่งออกมา
“แต่เดี๋ยวเก็บของเสร็จ กูจะไปข้างนอกกับจิสักหน่อย”
ทุกคนหันมองหน้าเขา ไม่เว้นแม้แต่ผม แล้วก็เป็นผมด้วยที่ถาม
“ไปไหนเหรอครับ”
เขายิ้ม “เดี๋ยวก็รู้เอง”
พูดมาอย่างนี้ก็ไม่มีใครถามต่อ ได้แต่ปล่อยให้พี่อินทร์ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนผมก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพาผมไปไหนเท่านั้น
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ความสงสัยของผมก็ได้รับการไขจนกระจ่าง พี่อินทร์พาผมนั่งรถไปยังแขวงหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของบันดุงสักเท่าไรนัก แต่ก็นับว่าไกลพอสมควรเพราะนั่งรถเป็นชั่วโมงเลย ก่อนที่จะมาหยุดยังที่หมายซึ่งเป็นตลาดร้านรวงชาวบ้านธรรมดาๆ มองเผินๆ เหมือนเป็นพวกตลาดค้าของเก่า แต่ก็ดูแล้วไม่น่าจะใช่แหล่งท่องเที่ยวสักนิด
พี่อินทร์จ่ายเงินเสร็จก็เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่ ก่อนผมจะออกปากถาม
“พาจิมาที่นี่ทำไมเหรอครับ”
เขายกยิ้มพลันคว้ามือผมข้างที่สวมแหวนอยู่ขึ้น
“อยากรู้ไหมว่าทำไมแหวนวงนี้ถึงอยู่มาจนตอนนี้”
แน่สิ ผมต้องอยากรู้ พยักหน้าทันที เขาก็หัวเราะน้อยๆ
“ตามพี่มาสิ พี่จะมาไปดูอะไร”
พี่อินทร์จับมือผมแน่นแล้วออกเดิน ผมก็ก้าวตามไปติดๆ เลย ก่อนที่เราจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านขายของเก่าร้านหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกึ่งบ้านคน
“ที่นี่แหละ”
ผมยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ก้าวเข้าไปด้านในแล้ว ผมเลยต้องก้าวตามพลางมองสำรวจร้านไปด้วย ร้านนี้เป็นร้านขายของเก่าเต็มรูปแบบ มองไปทางไหนก็มีข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนประดับประดาไปทั่วทุกมุมของร้าน ผมปรายตามองไปทั่วก่อนที่สายตาจะหยุดที่เจ้าของร้านซึ่งเป็นคุณลุงวัยห้าสิบกว่าๆ
เขาทักทายพวกเราด้วยภาษาอังกฤษเพราะมองหน้าพวกเราแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนละแวกนี้ แต่พี่อินทร์ดันตอบกลับเป็นภาษาชวา เท่านั้นก็ทำให้เจ้าของร้านชะงักกึก ก่อนที่ผมจะได้ยินเขาพูดว่า...
“อิเหนา...”
ครางออกมาเท่านั้น เขาก็เบิกตาโต มือประนมที่หน้าอกทันควัน
“คุณคือ...คนเมื่อวันนั้น...”
เขาครางออกมาอีก พี่อินทร์ก็ยิ้มรับ
“วันนี้จะมาขอบคุณ” ก่อนที่จะดึงผมให้มาประจันหน้ากับคุณลุงเจ้าของร้านแล้วว่าขึ้นอีก “ข้าได้พบกับยอดดวงใจของข้าแล้ว ขอบน้ำใจวงศ์ตระกูลของเจ้ามากที่ทำหน้าที่เก็บรักษาแหวนวงนี้ให้ข้าเป็นอย่างดี”
ผมมองพี่อินทร์อย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆ เขาก็พูดออกมาเป็นภาษาชวา...แบบโบราณด้วย อะไรไม่ว่า คุณลุงตรงหน้าจะงงเอาน่ะสิที่จู่ๆ ก็มาพูดจาสำนวนลิเก ผมเลยรีบกระตุกเสื้อพี่อินทร์เป็นการใหญ่
“พี่อินทร์ครับ...”
เรียกเขาด้วยเพื่อให้เขารู้ตัว แต่แล้วก็ต้องเงียบไปเมื่ออีกฝ่ายยิ้มออกมา
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลผมสอนสั่งสืบรุ่นลูกรุ่นหลานมาจะเป็นเรื่องจริง คุณคืออิเหนาแห่งกุเรปันจริงๆ ด้วย”
ผมหันขวับ เบิกตาโพลงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พี่อินทร์ก็ไม่พูดอะไร นอกจากจะยิ้มเท่านั้น
“วันวานได้ฝากฝังไว้ วันนี้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงจึงมาเพื่อขอบคุณ ขอบน้ำใจพวกเจ้ามากที่รักษาคำสัตย์ไว้เป็นอย่างดี”
จากนั้นพี่อินทร์กับคุณลุงคนนั้นก็พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย คุยไปคุยมา คุณลุงก็ร้องไห้ออกมาราวกับว่าตื้นตันใจอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย กระทั่งพวกเขาคุยกันเสร็จและพี่อินทร์พาผมออกจากร้าน ตอนนั้นแหละที่ผมได้มีโอกาสถาม
“มันเรื่องอะไรครับพี่อินทร์ จิไม่เข้าใจเลย”
“จิจำวันที่จิฝันว่าจรกาตายได้ไหม” ผมพยักหน้า พี่อินทร์ก็ว่าขึ้นอีก “หลังจากจรกาตาย จินดาส่าหรีก็นำแหวนวงนี้ส่งคืนสู่กุเรปัน บุษบาและสังคามาระตาได้นำคำสั่งเสียสุดท้ายของพี่ไปบอกแก่เครื่องช่างถมที่ทำแหวนว่าให้รักษาแหวนวงนี้สืบลูกสืบหลานไปจนกว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าของแหวนไปเอา”
“ซึ่งเจ้าของแหวนก็คือ...”
“พี่”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ขมวดคิ้วมุ่น
“แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าพี่อินทร์คืออิเหนากลับชาติมาเกิด ระลึกชาติได้เหมือนกันเหรอครับ”
“ไม่ได้หรอก” พี่อินทร์ว่า “แต่องค์ประตาระกาหลาได้ประทานพรให้มีตาทิพย์ มองเห็นรัศมีเรืองรองของอิเหนาในชาติใหม่ ลูกหลานของตระกูลนี้ ไม่ว่าใครก็จะสามารถมองเห็นแสงเรืองรองจากตัวพี่ได้ทั้งนั้น แต่หลังจากนี้คงไม่เห็นแล้วล่ะ ภารกิจเสร็จลุล่วงแล้ว”
ผมเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้ แต่ปากก็อดว่าอุบอิบนิดๆ ไม่ได้
“ดีจังเลยนะ มีต้นวงศ์ตระกูลเป็นเทวดา ขออะไรก็ได้สมปรารถนาไปหมด”
“แต่ก็ต้องแลกมากับความเจ็บปวดจากการรอคอยนะ”
พี่อินทร์แทรกขึ้น นั่นสิ...ผมก็ลืมเรื่องนี้ไป พอหันไปมองหน้าเขา เขาก็ยิ้มกว้างออกมาพลางจับมือผมไปกระชับแน่น
“แต่ว่าตอนนี้พี่ได้ความรักที่ฝากความภพข้ามชาติไว้คืนแล้ว รอคอยนานแค่ไหนก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”
ผมอดยิ้มกว้างให้กับคำพูดน่ารักๆ ของเขาไม่ได้เลย
“ถ้างั้น...รักจิไปทุกๆ ชาติเลยนะครับพี่อินทร์”
มือใหญ่ที่กระชับมือผมแน่นนั่นคือคำตอบรับแล้ว ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีแต่ความตื้นตันที่แผ่ซ่านเข้ามาโอบอุ้มหัวใจผมไว้
หวังว่าผมจะถอนคำสาบานได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ แล้วรักกับอิเหนาแบบมีความสุขสักทีนะ...
กลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งก็ช่วงเย็นของวันนั้น พี่อินทร์โทรเรียกให้พี่บุศย์ พี่วิญญู แล้วก็สรัลลงมากินมื้อเย็นที่ร้านอาหารของโรงแรม พี่บุศย์ไม่ได้ถามหรอกว่าพวกเราไปไหนมา แต่ออกตัวบอกว่าไม่ได้ออกไปไหนตั้งแต่มาถึงที่โรงแรม เพราะเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยนอนพักกับพี่วิญญูในห้อง ทั้งที่จริงแล้วการขึ้นเครื่องบินจากประเทศไทยมาอินโดนีเซียมันใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าๆ เอง และใช่... มันคือข้ออ้าง เพราะพอพี่บุศย์พูดอย่างนั้น สรัลก็โพล่งขึ้นมาเลย
“นอนหรือทำอะไร บอกมาตรงๆ เถอะพี่บุศย์ ไม่มีใครว่าหรอก ขนาดพี่อินทร์เย้ยังบอกว่าเย้เลย ไม่งั้นทำไมถึงไม่หือไม่อือตอนหนูไปเคาะเรียก”
พี่วิญญูที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอยู่ถึงกับสำลักพรืด ขณะที่พี่บุศย์คว้าเอาทิชชูมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วขว้างใส่สรัลจังๆ
“ดูพูดจาเข้า ตอนเป็นสังคามาระตานี่ ปากไม่มีหูรูดยังไง ชาติใหม่ก็ปากไม่มีหูรูดอย่างนั้น”
สรัลทำหน้าง้ำ สังเกตจากอาการของสรัลแล้ว ดูท่าทางที่พูดมาเมื่อกี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากนั้นพี่บุศย์ก็หันไปยื่นทิชชูแผ่นใหม่ให้พี่วิญญูแล้ว
“เป็นอะไรไหม”
พี่วิญญูพยายามกลั้นสำลัก ปฏิเสธเป็นพัลวัน
“แค่ก...ไม่เป็นไร เราโอเค”
พลันสรัลก็เบ้หน้าเบ้ตาเป็นการใหญ่
“ห่วงกันจริ๊งงง ใช่ซี่ มีคู่แล้ว น้องนุ่งก็ไม่สำคัญหรอก ให้นอนคนเดียวไม่พอ ยังไม่สนใจน้องอีก”
พี่บุศย์ก็เลยว่าเข้าให้ “แล้วจะให้เรามานอนด้วยได้ยังไง เป็นผู้หญิงนะ มานอนกับผู้ชายมันไม่ดี”
“แต่พี่บุศย์ก็ไม่ได้คิดอะไรกับหนูไม่ใช่เหรอ”
“เออ ไม่ได้คิดอะไรมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ แกเป็นผู้หญิงแล้ว จะมาทำตัวตามสบายอย่างนี้ไม่ได้ หัดระวังตัวบ้าง”
สรัลก็ทำหน้าง้ำไปตามระเบียบ บ่นอุบอิบด้วย ส่วนพี่บุศย์พอเหลือบมาเห็นสายตาจับผิดของพี่อินทร์ เขาก็รีบแก้ตัวใหญ่
“แล้วที่ว่าเหนื่อยน่ะ กูพูดจริง ก็เลยชวนวิญนอนพักก็แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไร”
“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร้~”
พี่อินทร์แกล้งพูดเสียงสูง แต่สายตาก็ยังจ้องจับผิดไม่เลิก ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่บุศย์ออกอาการกระอักกระอ่วนแล้ว พี่วิญญูก็หลบสายตาคนอื่นเป็นการใหญ่ ผมหรี่ตามองยังจับพิรุธได้เลยว่าสองคนนี้ต้องมีซัมธิงอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่อยากจะไปคาดคั้นอะไรให้พวกเขาอึดอัด มันเป็นเรื่องส่วนตัวนี่เนอะ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“จิอยากถามอะไรทุกคนหน่อย ถามได้ไหมครับ”
ผมโพล่งขึ้นมา เท่านั้นทุกสายตาก็จับจ้องมาทางผมทันที
“อะไรเหรอ”
พี่บุศย์เป็นคนแรกที่ถามขึ้น ผมก็เลยถามเขาเป็นคนแรกเช่นกัน
“พี่บุศย์ช่วยพี่อินทร์เพราะอะไรเหรอครับ จิหมายถึง...ช่วยให้พี่อินทร์มาเจอกับจิในชาตินี้น่ะ”
ถามไปแบบนั้น ทุกคนก็มองหน้ากัน ทำเหมือนไม่อยากพูด แต่ผมก็อ้อนออกมาจนได้
“บอกหน่อย จิอยากรู้”
พี่บุศย์ถอนหายใจ แล้วก็ยอมตอบจนได้
“เพราะพี่ติดค้างอิเหนาไว้...” เขาว่า “ผู้หญิงในสมัยก่อนไม่มีปากมีเสียงมากหรอกนะ มีสิทธิ์เป็นแค่สมบัติของผู้ชาย ก่อนแต่งงานก็เป็นสมบัติของพ่อ พ่อให้แต่งกับใคร จะยกให้เป็นเมียใครก็ต้องทำ แต่การได้ตบแต่งกับอิเหนาก็ทำให้พี่ได้ชีวิตที่อิสระ เหมือนจะเป็นนกน้อยในกรงทองนะ แต่ไม่ใช่ อิเหนาตามใจพี่ดี อยากไปไหนก็ได้ไป ชีวิตที่อิสระและเป็นของเรามันเป็นยังไง พี่ก็ได้รู้ตอนแต่งกับอิเหนานี่แหละ จิไม่ต้องห่วง เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน ไม่ได้มีอะไรกัน”
พี่บุศย์อธิบายแล้วก็ดักคอไว้ด้วยเหมือนรู้ทันว่าผมจะถามอะไรต่อ ผมก็เลยหันไปถามสรัลที่กำลังนั่งจ้วงของกินเข้าปากแทน
“แล้วสรัลล่ะ ทำไมถึงช่วยพี่อินทร์”
“ก็...” สรัลวางช้อนลง ยืดตัวขึ้น “สังคามาระตาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับอิเหนา เป็นถึงน้องชายบุญธรรม ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันตั้งแต่อ้อนแต่ออก โตมาด้วยกัน มีสิ่งใด อิเหนาก็แบ่งปัน ไม่เคยลืมสังคามาระตาสักครั้ง พอเดือดร้อนอะไรก็ย่อมต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ในฐานะน้อง สังคามาระตาทนเห็นพี่ชายทนทุกข์มาตลอดชีวิตไม่ไหวหรอก ยังไงก็ต้องช่วย”
“แล้วสียะตรา...”
พูดยังไม่ทันจบ พี่บุศย์ก็โพล่งขึ้นแล้ว
“นั่นไม่เกี่ยว เป็นแค่เลือดเนื้อเชื้อไขในวงศ์อสัญแดหวา ใครๆ ก็ได้มาเกิดใหม่ มีจิตผูกพันกันตามเดิม แต่ระลึกชาติไม่ได้ ไม่เหมือนพวกพี่ที่ระลึกชาติได้เพราะคำสัญญา จิไม่เคยได้ยินเหรอที่ว่ากันว่าเคยผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน ชาติใหม่ก็จะได้มาพบกันอีก”
ผมก็เข้าใจได้ทันควัน ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่ของพวกเขาก็คงจะเป็นเหล่ากษัตริย์ลูกหลานของวงศ์อสัญแดหวากลับชาติมาเกิดเหมือนกันล่ะมั้ง แต่แค่ระลึกชาติไม่ได้เท่านั้นเอง
พลันผมก็นึกถึงใบหน้าของใครอีกคน จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาไม่ทันคิด
“ถ้าอย่างนั้นที่จินตะหราวาตีกลับมาเกิดแล้วระลึกชาติได้ เหตุผลก็คงเป็นเพราะรักอิเหนาล่ะมั้ง ชาตินี้ถึงตามมาอีก”
เท่านั้นทุกคนก็เงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันแล้วจับจ้องมาที่ผม ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่หลุดปากพูดอะไรออกมา
แย่ละ ดันทำบรรยากาศเสียจนได้...
ผมก็เลยเฉไฉด้วยการว่าแห้งๆ
“คือ...จิหลุดปากน่ะครับ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ แหะๆ”
แต่พี่บุศย์ก็ตอบให้อยู่ดี
“จินตะหราวาตีกลับมาเกิดใหม่เพราะได้ให้สัญญากับอิเหนาไว้ว่าจะช่วยเหลือ” จากนั้นก็ถอนหายใจ “แต่มันก็ดันผิดคำพูดซะก่อน เลยไม่ได้ไปกันต่อ”
“เพราะผิดสัญญาก็เลยมีรอยฟ้าผ่าเหมือนกับจิเหรอครับ”
ผมถามเพราะนึกขึ้นได้ว่าพี่จิณห์ก็เลยต้องมาถอนคำสาบานเหมือนกัน แต่พี่วิญญูที่นั่งฟังอยู่ก็โพล่งขึ้น
“คำสัญญาแรงปรารถนามันไม่เท่ากับคำสาบานหรอก ผิดสัญญาไม่ทำให้มีผลข้างเคียงถึงชีวิต แต่จินตะหราวาตีคงจะไปสาบานอะไรเอาไว้อีกอย่าง เลยทำให้มีรอยแบบที่จิกับพี่มีน่ะ”
ผมพยักหน้า จากนั้นพี่อินทร์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้น
“มันไปสาบาน...” พลันหันมามองหน้าผม “ว่าชาตินี้จะทำให้พี่รักมันให้ได้ก่อนเจอจิ แต่มันทำไม่ได้ก็เลยแพ้ให้กับคำสาบานของตัวเอง”
ผมเม้มริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมพี่จิณห์ถึงได้รู้เรื่องการถอนคำสาบาน ทว่า...คำพูดของพี่อินทร์เมื่อครู่ก็ทำให้ผมเอะใจขึ้นมา
“แล้วพี่อินทร์รู้ได้ยังไงว่าจะเจอจิเมื่อไร”
เขายิ้มให้น้อยๆ “ไม่รู้หรอก”
“อ้าว”
“แต่องค์ประตาระกาหลาได้ตรัสไว้กับดวงจิตของพี่ว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร พี่จะได้เจอกับจิเอง ซึ่งนั่นก็คือตอนจิเข้ามหา’ลัย แล้วได้เป็นน้องรหัสของไอ้บุศย์”
เท่านั้นผมก็เข้าใจเลย... องค์ประตาระกาหลารอให้ผมอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ก่อนนี่เอง คงกลัวว่าลูกหลานตัวเองจะถูกข้อหาพรากผู้เยาว์ล่ะสินะ
คิดเองก็หัวเราะเองอยู่คนเดียว พี่อินทร์ย่นคิ้ว ถามผมเสียงขุ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“หัวเราะอะไรน่ะ ให้พี่รู้ด้วยสิ”
ผมไม่บอกเขาหรอก ความคิดเมื่อกี้น่าอายจะตาย เฉไฉไปถามพี่วิญญูแทนแล้วกัน
“พี่วิญญูล่ะครับ ทำไมชาตินี้ถึงกลับมาเกิดแล้วระลึกชาติได้ล่ะ”
พี่วิญญูชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก พลันยิ้มกว้างออกมา
“ก็เพราะพี่ต้องตาต้องใจจรกาไง ชาตินี้เลยจะมาเอาเป็นคู่ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นจะไปตามสตอล์กเกอร์บุศย์ทำไม ที่ไปตามก็เพราะรู้ว่าจิเป็นน้องรหัสนี่แหละ เลยจะหาทางเข้าหา”
พี่อินทร์หันขวับอย่างรวดเร็ว คว้าผมไปกอดแน่น ปากก็ขู่พี่วิญญูไปด้วย
“หาเรื่องไม่ได้กลับไทยแล้วมึงน่ะ พูดจาแบบนี้อยากโดนฝังกลบอยู่บนเกาะชวาล่ะมั้ง”
ทุกคนหัวเราะออกมากับความขี้หึงของพี่อินทร์ทันที รู้ก็รู้กันอยู่ว่าพี่อินทร์พูดเล่น ต่อให้ชาตินี้เขาตั้งใจมาตามผม แต่ตอนนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เพราะพอพี่อินทร์ขู่จบ พี่วิญญูก็ส่งสายตาหยอกล้อไปให้พี่บุศย์ที่ทำหน้าดุน้อยๆ แต่ก็อมยิ้ม
ยังไงสองคนนี้ก็มีซัมธิงกันแน่ๆ
บุษบากับวิหยาสะกำ...ไม่ได้กันในวรรณคดี ไม่ได้กันในชาติที่แล้ว แต่ต้องได้กันในชาตินี้แน่ๆ จิระฟันธง!
กว่าจะกินข้าวกันเสร็จ กว่าจะเมาท์มอยหอยสังข์ ไหนจะถูกชวนไปเล่นไพ่ที่ห้องพี่สรัลอีก ผมก็แทบหมดแรง กลับเข้าห้องตอนหัวค่ำหน่อยๆ สรัลก็ดันวางแพลนไว้ว่าจะชวนทุกคนไปนั่งรถแท็กซี่เที่ยวดูเมืองตอนกลางคืนอีก พี่บุศย์แย้งว่าออกไปไหนตอนกลางคืนมันอันตราย แต่สรัลก็อยากจะไปให้ได้ มีแรงสนับสนุนจากพี่อินทร์อีกที่อ้างว่าไปกันหลายคนไม่เป็นไร สุดท้ายพี่บุศย์ก็ต้องพ่ายแพ้ ยอมแต่โดยดี
ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถึงจะมาถอนคำสาบานของผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่อยากเที่ยวนะ ได้ออกนอกประเทศพร้อมกับเดอะแก๊งทั้งที ยังไงก็ต้องอยากเปิดหูเปิดตากันอยู่แล้ว
“ล้างเท้าด้วยนะจิ ใส่ผ้าใบทั้งวัน เท้าเหม็นแล้วมั้ง”
พี่อินทร์ร้องบอกหลังจากเห็นผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ผมทำปากยื่นใส่เขา
“แต่จิเมื่อยแล้วอะ อยากจะนอนแล้ว”
พี่อินทร์เลยเดินมาบีบจมูกผมไม่แรงนัก “ไม่ยอมล้างเท้า เดี๋ยวจะโดนตี จะล้างไม่ล้าง?”
“พี่อินทร์อยากให้จิล้าง พี่อินทร์ก็อุ้มจิไปที่ห้องน้ำสิ”
ผมแกล้งว่าอย่างนั้น เขาก็ยิ้มกว้างเลย
“ได้ ดื้อนักใช่ไหม เดี๋ยวจะโดนดี หาเรื่องไม่ได้ออกจากห้องน้ำแบบเดินตรงๆ ซะแล้ว”
สิ้นเสียง เขาก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ถอดถุงเท้าให้ผม ก่อนจะถลกขากางเกงขึ้น ผมก็สนุกนะที่ได้แกล้งเขาแบบนี้ แต่แล้วความสนุกนั้นก็หายไปเมื่อจู่ๆ พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา
“จิ...”
“ครับ?”
“รอยพวกนี้มันลามมาถึงหน้าแข้งแล้วนี่”
พอผมเหลือบมองก็เห็นว่ารอยฟ้าผ่ามันเกือบจะถึงข้อเท้าอยู่แล้ว ก่อนที่ผมจะรีบพูดเมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่อินทร์ไม่สู้ดีนัก
“ไม่ต้องห่วงนะพี่อินทร์ จะไปถอนคำสาบานกันอยู่แล้ว เดี๋ยวจิก็...”
...หาย
ตั้งใจจะพูดแบบนี้ แต่จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมา เลยต้องรีบเงยหน้าขึ้น พี่อินทร์เองก็เหลือบมองผมทันควันเหมือนกัน
“เป็นอะไรน่ะจิ”
“จิ...หน้ามืดน่ะครับ”
ผมบอกไปตามตรง ก็มันหน้ามืดจริงๆ ตาก็ลายด้วย เพดานที่กำลังมองอยู่ตอนนี้หมุนวิ้งๆ เลย เท่านั้นพี่อินทร์ก็ลุกขึ้นมานั่งข้างผมอย่างรวดเร็ว
“นอนลงก่อน พักแป๊บนึง จะได้หายมึนหัว”
เขาจับผมเอนตัวลงนอนราบไปบนฟูก ผมหลับตา ความรู้สึกหมุนเคว้งเหมือนบ้านหมุนยังคงอยู่ ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงพี่อินทร์ดังขึ้นจากข้างๆ
“หน้าซีดมากเลยนะจิ ไหวไหมเนี่ย”
“อื้อ จิไหว...”
ผมครางแผ่ว แต่พี่อินทร์ไม่เชื่อหรอก สิ้นเสียงผม หน้าผากก็มีฝ่ามืออุ่นๆ มาวางทาบทับไว้แล้ว
“ตัวร้อนด้วยแฮะ สงสัยจะเป็นไข้ เดี๋ยวพี่เอายาให้กินนะ”
ผมพยักหน้า พี่อินทร์ก็รีบลุกไปค้นกระเป๋าสัมภาระหายาปฏิชีวนะที่พกมา พอได้ยามาอยู่ในมือเรียบร้อย เขาก็รีบมาประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง
“กินยาก่อนนะ แล้วค่อยนอน วันนี้ไม่ต้องไปไหนแล้ว พักก่อน”
ผมยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี รับยากับแก้วน้ำจากมือเขาเรียบร้อย พี่อินทร์ก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไปที่ห้องน้ำ ให้เดานะ เขาคงจะเอาไปชุบน้ำแล้วมาเช็ดตัวผมนั่นแหละ แต่ทว่าพอผมกำลังจะเอายาใส่ปาก พลันก็มีของเหลวบางอย่างหยดแหมะลงมาบนฝ่ามือพอดี
ผมชะงักมือ เหลือบมองแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่ามันเป็นสีแดง
นี่มัน...เลือด!?
“พี่อินทร์...”
ผมร้องเรียกพี่อินทร์ทันที เขาหันมาแล้วก็ทำหน้าตกใจสุดขีด รีบเข้ามาประคองผมโดยเร็ว
“จิ นี่มัน...”
ผมตั้งสติได้ก็รีบปลอบเขาเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่นตูมไปมากกว่านี้
“น่าจะเป็นเลือดกำเดาไหลธรรมดา จิไม่สบายนี่เนอะ กินยาแล้วนอนคงหาย”
แต่พี่อินทร์ไม่คิดว่ามันคือเลือดกำเดาไหลธรรมดา เขามีสีหน้าเครียดก่อนจะแย่งเอาแก้วน้ำกับยาในมือผมไปวางไว้ยังโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็ถลกเสื้อผมขึ้นสูง เท่านั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
“นี่มันไม่ใช่เลือดกำเดาไหลธรรมดาแล้วจิ”
เขาว่า พลันหันไปเก็บสัมภาระข้าวของ ปล่อยให้ผมมองตามอย่างงุนงง
“พี่อินทร์ทำอะไรครับ”
“เราจะไปถอนคำสาบาน...เดี๋ยวนี้!”
ไม่รอให้ผมตอบรับอะไรทั้งนั้น เขารีบพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วหันหันออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว พี่บุศย์กับพี่วิญญูที่อยู่ข้างห้องได้ยินเสียงตึงตังก็เปิดประตูออกมาดู พอเห็นว่าพี่อินทร์กำลังประคองผมอยู่ก็รีบร้องถามทันควัน
“เฮ้ยๆ มึงจะไปไหน”
พี่อินทร์หันไปมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รอไม่ได้แล้ว”
“รออะไรไม่ได้”
พี่บุศย์ย่นคิ้วถาม ตอนนี้สรัลที่อยู่ห้องถัดไปก็โผล่หน้าออกมาดูด้วยแล้วเช่นกัน ก่อนที่สรัลจะร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ้ยจิ!”
คราวนี้ทั้งพี่บุศย์กับพี่วิญญูก็พากันตกใจเมื่อเห็นว่าหน้าผมมีเลือดกำเดาไหลเปรอะ
“จิ! เป็นอะไรน่ะ”
กลายเป็นว่าแตกตื่นกันทั้งคณะ ผมก้มหน้าไม่ให้เลือดมันไหลย้อนกลับเข้าไปพลางว่าเสียงแผ่ว
“จิเลือดกำเดาไหลน่ะครับ”
“ไอ้อินทร์ พาน้องมันไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อน”
พี่บุศย์รีบร้องบอก พี่วิญญูก็จะเข้ามาช่วยประคองผมด้วย แต่พี่อินทร์กลับกอดผมไว้แน่น มือข้างหนึ่งคว้าแขนพี่วิญญูที่ก้าวเข้ามาแล้วว่าเสียงดัง
“กูรอไม่ได้แล้ว ไอ้วิญ พากูไปที่เมืองดาหาเดี๋ยวนี้!”
---------------------------------------
วันนี้มาดึกนิดนึง
แจ้งไว้ล่วงหน้านะคะว่าพรุ่งนี้หนูแดงไม่อัปเน้อ พอดีได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร Creative writing ให้น้องๆ นศ.ที่มหา'ลัยแห่งนึงเลยจะไม่ว่างทั้งวัน อาจจะได้อัปแค่ตัวอย่าง
ตัวอย่างมาพรุ่งนี้นะจ๊ะ