★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]  (อ่าน 144529 ครั้ง)

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
ชอบเดอะแก๊งค์มากมาย 5555+
รอตามไปเมืองดาหาด้วยคนนะฮะ  :mew1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 29: ฝากรัก

พอรู้ว่าวิธีที่จะทำให้ผมหายจากผลข้างเคียงของคำสาบานทำได้ยังไง พี่อินทร์ก็ไม่รอช้าที่จะหาตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่บินได้เร็วที่สุดทันที แน่นอนว่าการบินลัดฟ้าไปเมืองดาหา หรือโดโฮที่อยู่ในชวาติมอร์อะไรนี่ จะส่งใบลาให้อาจารย์แต่ละวิชา แล้วใส่เหตุผลในการขอลาว่าไปถอนคำสาบานไม่ได้ ผมก็เลยต้องหยุดเรียนเอาดื้อๆ ซึ่ง...หยุดยาวไปเลยเป็นอาทิตย์ เพราะพี่อินทร์บอกว่า...

‘ถอนคำสาบานเสร็จแล้วก็อยู่รอดูผลก่อน ถ้าไม่ได้ผลยังไงจะได้แก้ไขทัน’

…เลยกลายเป็นว่าต้องอยู่ยาวอย่างที่เขาว่า ผมก็ไม่แย้งอะไรหรอก ไม่อยากตายเพราะคำสาบานงี่เง่าในชาติก่อนเหมือนกัน ชาตินี้ได้รักกับเขาแล้ว เรื่องอะไรที่จะต้องตายหนีเขาไปอีกล่ะ

ส่วนพวกคนอื่นๆ ก็ต้องหยุดยาวเช่นกันกับผม ตอนแรกที่ว่าจะมีพี่วิญญูตามติดไปคนเดียว ตอนนี้กลายเป็นว่ามากันครบทีมเลย

และแล้ว...อิเหนาแอนด์เดอะแก๊งก็บินลัดฟ้ากันสู่เกาะชวา

จังหวัดที่เรามุ่งหน้าไปนั้นคือบันดุง ผมเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วในยุคนี้ เมืองดาหาก็คือตำบลหนึ่งในบันดุง และไม่ไกลกันนั้นก็มีเมืองกุเรปัน ซึ่งปัจจุบันเรียกว่ากุราวัน อยู่ในตำบลเมดวน ทั้งสองเมืองอยู่ไม่ห่างกันมาก ผมเองก็จำไม่ได้สักเท่าไรหรอกเพราะกาลเวลามันก็ผ่านมานานมากแล้ว เว้นก็แต่พี่อินทร์ที่ดูเหมือนจะจำทุกอย่างได้ดี

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่พี่อินทร์ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พอเราบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิตรงมาลงยังบันดุง และนั่งรถที่ทางโรงแรมส่งมารับต่อมาถึงยังที่พักปุ๊บ ผมก็ยื่นเอกสารที่เป็นหลักฐานการจองให้กับทางรีเซปชัน พร้อมกับพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นๆ

“เอ่อ...ไอแฮฟทูบุ๊กอะรูมอินยัวร์โฮเทล...”

ไวยากรณ์ถูกหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจให้ได้ แต่ทว่าก็มีใครพูดภาษาพื้นเมืองขึ้นมา ผมหันไปก็เห็นว่าคนพูดมายืนอยู่ข้างๆ ผมแล้ว และคนคนนั้นก็คือ...

“พี่อินทร์...”

ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูว่าเขาจะพูดภาษาอินโดนีเซียได้ แถมคุยกันกับพนักงานรู้เรื่องด้วยนะ

หรือว่าพี่อินทร์จะเคยเรียนภาษามลายู?

จำได้ว่าภาษามลายูคือภาษาประจำชาติอันดับที่สองของอินโดนีเซียรองจากอังกฤษ ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เขาพูดได้ คนอื่นๆ ก็พูดได้ มีแต่ผมเท่านั้นที่ยังคงงุนงงอยู่ แต่ทว่าอึดใจเดียวก็เริ่มฟังรู้เรื่องขึ้นมา

เอ๊ะ... หรือว่าจะคุยภาษาไทย?

ผมสาบานเลยว่าไม่เคยเรียนภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยกับอังกฤษมาก่อน พอหันไปมองหน้าทุกคนอย่างงุนงง พี่บุศย์ก็หัวเราะออกมา

“ไม่ใช่ภาษาไทยหรอกจิ ไม่มีใครพูดไทยทั้งนั้น ไม่ต้องทำหน้างง”

ไอ้ที่บอกไม่ต้องให้ผมทำหน้างงนี่สิ ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ จากนั้นสรัลก็ว่าขึ้น

“ภาษาชวาน่ะ”

ผมยิ่งทำหน้าเหลอหลาเข้าไปใหญ่ ทำให้พี่วิญญูซึ่งมองดูอยู่พูดขึ้นเป็นคนสุดท้าย

“ปัจจุบันภาษาชวามันคือภาษาท้องถิ่นของที่นี่ ในเมื่อกลับชาติมาเกิดแล้ว ทำไมจะพูดภาษาเดิมของตัวเองไม่ได้กันล่ะ จริงไหม”

ตอนนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาพูดกันคล่องปร๋อ ที่แท้ก็เป็นภาษาดั้งเดิมที่พวกเราเคยใช้เมื่อชาติก่อนนั่นเอง แล้วที่จู่ๆ ผมก็ฟังออกเป็นเพราะความทรงจำในอดีตชาติเพิ่งจะกลับมาแหง แต่ว่านะ ที่พวกเขารู้กันอยู่แล้วก็ดูน่าแปลก แต่แล้วก็มีคนอธิบายเพิ่มอีก

“พวกพี่มาเที่ยวบ้านเมืองเดิมกันบ่อยน่ะ มาตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้ จิไม่ต้องแปลกใจหรอก”

เป็นพี่บุศย์นั่นแหละที่อธิบาย ส่วนคนอื่นๆ ก็พยักหน้า ผมก็เลยไม่แปลกใจ พร้อมๆ กับได้รู้พื้นเพฐานะทางบ้านของทุกคนด้วย

เออ บ้านมีตังค์กันทั้งนั้นเลย ก็สมกับที่เป็นลูกหลานของเจ้าเมืองใหญ่ๆ นั่นแหละ เว้นก็แต่ผมที่เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรยังไง เกิดมาชาติใหม่ก็ยังเป็นอย่างนั้น

“อย่ามัวยืนคุยกันอยู่เลย รีบเอาของขึ้นไปเก็บเร็ว เหนื่อยจะแย่”

พี่อินทร์ว่าขัดขึ้นมาก็ไม่มีใครค้าน แต่ขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก จู่ๆ เขาก็โพล่งออกมา

“แต่เดี๋ยวเก็บของเสร็จ กูจะไปข้างนอกกับจิสักหน่อย”

ทุกคนหันมองหน้าเขา ไม่เว้นแม้แต่ผม แล้วก็เป็นผมด้วยที่ถาม

“ไปไหนเหรอครับ”

เขายิ้ม “เดี๋ยวก็รู้เอง”

พูดมาอย่างนี้ก็ไม่มีใครถามต่อ ได้แต่ปล่อยให้พี่อินทร์ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนผมก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพาผมไปไหนเท่านั้น

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ความสงสัยของผมก็ได้รับการไขจนกระจ่าง พี่อินทร์พาผมนั่งรถไปยังแขวงหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของบันดุงสักเท่าไรนัก แต่ก็นับว่าไกลพอสมควรเพราะนั่งรถเป็นชั่วโมงเลย ก่อนที่จะมาหยุดยังที่หมายซึ่งเป็นตลาดร้านรวงชาวบ้านธรรมดาๆ มองเผินๆ เหมือนเป็นพวกตลาดค้าของเก่า แต่ก็ดูแล้วไม่น่าจะใช่แหล่งท่องเที่ยวสักนิด

พี่อินทร์จ่ายเงินเสร็จก็เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่ ก่อนผมจะออกปากถาม

“พาจิมาที่นี่ทำไมเหรอครับ”

เขายกยิ้มพลันคว้ามือผมข้างที่สวมแหวนอยู่ขึ้น

“อยากรู้ไหมว่าทำไมแหวนวงนี้ถึงอยู่มาจนตอนนี้”

แน่สิ ผมต้องอยากรู้ พยักหน้าทันที เขาก็หัวเราะน้อยๆ

“ตามพี่มาสิ พี่จะมาไปดูอะไร”

พี่อินทร์จับมือผมแน่นแล้วออกเดิน ผมก็ก้าวตามไปติดๆ เลย ก่อนที่เราจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านขายของเก่าร้านหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกึ่งบ้านคน

“ที่นี่แหละ”

ผมยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ก้าวเข้าไปด้านในแล้ว ผมเลยต้องก้าวตามพลางมองสำรวจร้านไปด้วย ร้านนี้เป็นร้านขายของเก่าเต็มรูปแบบ มองไปทางไหนก็มีข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนประดับประดาไปทั่วทุกมุมของร้าน ผมปรายตามองไปทั่วก่อนที่สายตาจะหยุดที่เจ้าของร้านซึ่งเป็นคุณลุงวัยห้าสิบกว่าๆ

เขาทักทายพวกเราด้วยภาษาอังกฤษเพราะมองหน้าพวกเราแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนละแวกนี้ แต่พี่อินทร์ดันตอบกลับเป็นภาษาชวา เท่านั้นก็ทำให้เจ้าของร้านชะงักกึก ก่อนที่ผมจะได้ยินเขาพูดว่า...

“อิเหนา...”

ครางออกมาเท่านั้น เขาก็เบิกตาโต มือประนมที่หน้าอกทันควัน

“คุณคือ...คนเมื่อวันนั้น...”

เขาครางออกมาอีก พี่อินทร์ก็ยิ้มรับ

“วันนี้จะมาขอบคุณ” ก่อนที่จะดึงผมให้มาประจันหน้ากับคุณลุงเจ้าของร้านแล้วว่าขึ้นอีก “ข้าได้พบกับยอดดวงใจของข้าแล้ว ขอบน้ำใจวงศ์ตระกูลของเจ้ามากที่ทำหน้าที่เก็บรักษาแหวนวงนี้ให้ข้าเป็นอย่างดี”

ผมมองพี่อินทร์อย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆ เขาก็พูดออกมาเป็นภาษาชวา...แบบโบราณด้วย อะไรไม่ว่า คุณลุงตรงหน้าจะงงเอาน่ะสิที่จู่ๆ ก็มาพูดจาสำนวนลิเก ผมเลยรีบกระตุกเสื้อพี่อินทร์เป็นการใหญ่

“พี่อินทร์ครับ...”

เรียกเขาด้วยเพื่อให้เขารู้ตัว แต่แล้วก็ต้องเงียบไปเมื่ออีกฝ่ายยิ้มออกมา

“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลผมสอนสั่งสืบรุ่นลูกรุ่นหลานมาจะเป็นเรื่องจริง คุณคืออิเหนาแห่งกุเรปันจริงๆ ด้วย”

ผมหันขวับ เบิกตาโพลงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พี่อินทร์ก็ไม่พูดอะไร นอกจากจะยิ้มเท่านั้น

“วันวานได้ฝากฝังไว้ วันนี้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงจึงมาเพื่อขอบคุณ ขอบน้ำใจพวกเจ้ามากที่รักษาคำสัตย์ไว้เป็นอย่างดี”

จากนั้นพี่อินทร์กับคุณลุงคนนั้นก็พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย คุยไปคุยมา คุณลุงก็ร้องไห้ออกมาราวกับว่าตื้นตันใจอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย กระทั่งพวกเขาคุยกันเสร็จและพี่อินทร์พาผมออกจากร้าน ตอนนั้นแหละที่ผมได้มีโอกาสถาม

“มันเรื่องอะไรครับพี่อินทร์ จิไม่เข้าใจเลย”

“จิจำวันที่จิฝันว่าจรกาตายได้ไหม” ผมพยักหน้า พี่อินทร์ก็ว่าขึ้นอีก “หลังจากจรกาตาย จินดาส่าหรีก็นำแหวนวงนี้ส่งคืนสู่กุเรปัน บุษบาและสังคามาระตาได้นำคำสั่งเสียสุดท้ายของพี่ไปบอกแก่เครื่องช่างถมที่ทำแหวนว่าให้รักษาแหวนวงนี้สืบลูกสืบหลานไปจนกว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าของแหวนไปเอา”

“ซึ่งเจ้าของแหวนก็คือ...”

“พี่”

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ขมวดคิ้วมุ่น

“แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าพี่อินทร์คืออิเหนากลับชาติมาเกิด ระลึกชาติได้เหมือนกันเหรอครับ”

“ไม่ได้หรอก” พี่อินทร์ว่า “แต่องค์ประตาระกาหลาได้ประทานพรให้มีตาทิพย์ มองเห็นรัศมีเรืองรองของอิเหนาในชาติใหม่ ลูกหลานของตระกูลนี้ ไม่ว่าใครก็จะสามารถมองเห็นแสงเรืองรองจากตัวพี่ได้ทั้งนั้น แต่หลังจากนี้คงไม่เห็นแล้วล่ะ ภารกิจเสร็จลุล่วงแล้ว”

ผมเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้ แต่ปากก็อดว่าอุบอิบนิดๆ ไม่ได้

“ดีจังเลยนะ มีต้นวงศ์ตระกูลเป็นเทวดา ขออะไรก็ได้สมปรารถนาไปหมด”

“แต่ก็ต้องแลกมากับความเจ็บปวดจากการรอคอยนะ”

พี่อินทร์แทรกขึ้น นั่นสิ...ผมก็ลืมเรื่องนี้ไป พอหันไปมองหน้าเขา เขาก็ยิ้มกว้างออกมาพลางจับมือผมไปกระชับแน่น

“แต่ว่าตอนนี้พี่ได้ความรักที่ฝากความภพข้ามชาติไว้คืนแล้ว รอคอยนานแค่ไหนก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”

ผมอดยิ้มกว้างให้กับคำพูดน่ารักๆ ของเขาไม่ได้เลย

“ถ้างั้น...รักจิไปทุกๆ ชาติเลยนะครับพี่อินทร์”

มือใหญ่ที่กระชับมือผมแน่นนั่นคือคำตอบรับแล้ว ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีแต่ความตื้นตันที่แผ่ซ่านเข้ามาโอบอุ้มหัวใจผมไว้

หวังว่าผมจะถอนคำสาบานได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ แล้วรักกับอิเหนาแบบมีความสุขสักทีนะ...

 

กลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งก็ช่วงเย็นของวันนั้น พี่อินทร์โทรเรียกให้พี่บุศย์ พี่วิญญู แล้วก็สรัลลงมากินมื้อเย็นที่ร้านอาหารของโรงแรม พี่บุศย์ไม่ได้ถามหรอกว่าพวกเราไปไหนมา แต่ออกตัวบอกว่าไม่ได้ออกไปไหนตั้งแต่มาถึงที่โรงแรม เพราะเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยนอนพักกับพี่วิญญูในห้อง ทั้งที่จริงแล้วการขึ้นเครื่องบินจากประเทศไทยมาอินโดนีเซียมันใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าๆ เอง และใช่... มันคือข้ออ้าง เพราะพอพี่บุศย์พูดอย่างนั้น สรัลก็โพล่งขึ้นมาเลย

“นอนหรือทำอะไร บอกมาตรงๆ เถอะพี่บุศย์ ไม่มีใครว่าหรอก ขนาดพี่อินทร์เย้ยังบอกว่าเย้เลย ไม่งั้นทำไมถึงไม่หือไม่อือตอนหนูไปเคาะเรียก”

พี่วิญญูที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอยู่ถึงกับสำลักพรืด ขณะที่พี่บุศย์คว้าเอาทิชชูมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วขว้างใส่สรัลจังๆ

“ดูพูดจาเข้า ตอนเป็นสังคามาระตานี่ ปากไม่มีหูรูดยังไง ชาติใหม่ก็ปากไม่มีหูรูดอย่างนั้น”

สรัลทำหน้าง้ำ สังเกตจากอาการของสรัลแล้ว ดูท่าทางที่พูดมาเมื่อกี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากนั้นพี่บุศย์ก็หันไปยื่นทิชชูแผ่นใหม่ให้พี่วิญญูแล้ว

“เป็นอะไรไหม”

พี่วิญญูพยายามกลั้นสำลัก ปฏิเสธเป็นพัลวัน

“แค่ก...ไม่เป็นไร เราโอเค”

พลันสรัลก็เบ้หน้าเบ้ตาเป็นการใหญ่

“ห่วงกันจริ๊งงง ใช่ซี่ มีคู่แล้ว น้องนุ่งก็ไม่สำคัญหรอก ให้นอนคนเดียวไม่พอ ยังไม่สนใจน้องอีก”

พี่บุศย์ก็เลยว่าเข้าให้ “แล้วจะให้เรามานอนด้วยได้ยังไง เป็นผู้หญิงนะ มานอนกับผู้ชายมันไม่ดี”

“แต่พี่บุศย์ก็ไม่ได้คิดอะไรกับหนูไม่ใช่เหรอ”

“เออ ไม่ได้คิดอะไรมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ แกเป็นผู้หญิงแล้ว จะมาทำตัวตามสบายอย่างนี้ไม่ได้ หัดระวังตัวบ้าง”

สรัลก็ทำหน้าง้ำไปตามระเบียบ บ่นอุบอิบด้วย ส่วนพี่บุศย์พอเหลือบมาเห็นสายตาจับผิดของพี่อินทร์ เขาก็รีบแก้ตัวใหญ่

“แล้วที่ว่าเหนื่อยน่ะ กูพูดจริง ก็เลยชวนวิญนอนพักก็แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไร”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร้~”

พี่อินทร์แกล้งพูดเสียงสูง แต่สายตาก็ยังจ้องจับผิดไม่เลิก ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่บุศย์ออกอาการกระอักกระอ่วนแล้ว พี่วิญญูก็หลบสายตาคนอื่นเป็นการใหญ่ ผมหรี่ตามองยังจับพิรุธได้เลยว่าสองคนนี้ต้องมีซัมธิงอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่อยากจะไปคาดคั้นอะไรให้พวกเขาอึดอัด มันเป็นเรื่องส่วนตัวนี่เนอะ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

“จิอยากถามอะไรทุกคนหน่อย ถามได้ไหมครับ”

ผมโพล่งขึ้นมา เท่านั้นทุกสายตาก็จับจ้องมาทางผมทันที

“อะไรเหรอ”

พี่บุศย์เป็นคนแรกที่ถามขึ้น ผมก็เลยถามเขาเป็นคนแรกเช่นกัน

“พี่บุศย์ช่วยพี่อินทร์เพราะอะไรเหรอครับ จิหมายถึง...ช่วยให้พี่อินทร์มาเจอกับจิในชาตินี้น่ะ”

ถามไปแบบนั้น ทุกคนก็มองหน้ากัน ทำเหมือนไม่อยากพูด แต่ผมก็อ้อนออกมาจนได้

“บอกหน่อย จิอยากรู้”

พี่บุศย์ถอนหายใจ แล้วก็ยอมตอบจนได้

“เพราะพี่ติดค้างอิเหนาไว้...” เขาว่า “ผู้หญิงในสมัยก่อนไม่มีปากมีเสียงมากหรอกนะ มีสิทธิ์เป็นแค่สมบัติของผู้ชาย ก่อนแต่งงานก็เป็นสมบัติของพ่อ พ่อให้แต่งกับใคร จะยกให้เป็นเมียใครก็ต้องทำ แต่การได้ตบแต่งกับอิเหนาก็ทำให้พี่ได้ชีวิตที่อิสระ เหมือนจะเป็นนกน้อยในกรงทองนะ แต่ไม่ใช่ อิเหนาตามใจพี่ดี อยากไปไหนก็ได้ไป ชีวิตที่อิสระและเป็นของเรามันเป็นยังไง พี่ก็ได้รู้ตอนแต่งกับอิเหนานี่แหละ จิไม่ต้องห่วง เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน ไม่ได้มีอะไรกัน”

พี่บุศย์อธิบายแล้วก็ดักคอไว้ด้วยเหมือนรู้ทันว่าผมจะถามอะไรต่อ ผมก็เลยหันไปถามสรัลที่กำลังนั่งจ้วงของกินเข้าปากแทน

“แล้วสรัลล่ะ ทำไมถึงช่วยพี่อินทร์”

“ก็...” สรัลวางช้อนลง ยืดตัวขึ้น “สังคามาระตาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับอิเหนา เป็นถึงน้องชายบุญธรรม ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันตั้งแต่อ้อนแต่ออก โตมาด้วยกัน มีสิ่งใด อิเหนาก็แบ่งปัน ไม่เคยลืมสังคามาระตาสักครั้ง พอเดือดร้อนอะไรก็ย่อมต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ในฐานะน้อง สังคามาระตาทนเห็นพี่ชายทนทุกข์มาตลอดชีวิตไม่ไหวหรอก ยังไงก็ต้องช่วย”

“แล้วสียะตรา...”

พูดยังไม่ทันจบ พี่บุศย์ก็โพล่งขึ้นแล้ว

“นั่นไม่เกี่ยว เป็นแค่เลือดเนื้อเชื้อไขในวงศ์อสัญแดหวา ใครๆ ก็ได้มาเกิดใหม่ มีจิตผูกพันกันตามเดิม แต่ระลึกชาติไม่ได้ ไม่เหมือนพวกพี่ที่ระลึกชาติได้เพราะคำสัญญา จิไม่เคยได้ยินเหรอที่ว่ากันว่าเคยผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน ชาติใหม่ก็จะได้มาพบกันอีก”

ผมก็เข้าใจได้ทันควัน ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่ของพวกเขาก็คงจะเป็นเหล่ากษัตริย์ลูกหลานของวงศ์อสัญแดหวากลับชาติมาเกิดเหมือนกันล่ะมั้ง แต่แค่ระลึกชาติไม่ได้เท่านั้นเอง

พลันผมก็นึกถึงใบหน้าของใครอีกคน จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาไม่ทันคิด

“ถ้าอย่างนั้นที่จินตะหราวาตีกลับมาเกิดแล้วระลึกชาติได้ เหตุผลก็คงเป็นเพราะรักอิเหนาล่ะมั้ง ชาตินี้ถึงตามมาอีก”

เท่านั้นทุกคนก็เงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันแล้วจับจ้องมาที่ผม ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่หลุดปากพูดอะไรออกมา

แย่ละ ดันทำบรรยากาศเสียจนได้...

ผมก็เลยเฉไฉด้วยการว่าแห้งๆ

“คือ...จิหลุดปากน่ะครับ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ แหะๆ”

แต่พี่บุศย์ก็ตอบให้อยู่ดี

“จินตะหราวาตีกลับมาเกิดใหม่เพราะได้ให้สัญญากับอิเหนาไว้ว่าจะช่วยเหลือ” จากนั้นก็ถอนหายใจ “แต่มันก็ดันผิดคำพูดซะก่อน เลยไม่ได้ไปกันต่อ”

“เพราะผิดสัญญาก็เลยมีรอยฟ้าผ่าเหมือนกับจิเหรอครับ”

ผมถามเพราะนึกขึ้นได้ว่าพี่จิณห์ก็เลยต้องมาถอนคำสาบานเหมือนกัน แต่พี่วิญญูที่นั่งฟังอยู่ก็โพล่งขึ้น

“คำสัญญาแรงปรารถนามันไม่เท่ากับคำสาบานหรอก ผิดสัญญาไม่ทำให้มีผลข้างเคียงถึงชีวิต แต่จินตะหราวาตีคงจะไปสาบานอะไรเอาไว้อีกอย่าง เลยทำให้มีรอยแบบที่จิกับพี่มีน่ะ”

ผมพยักหน้า จากนั้นพี่อินทร์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้น

“มันไปสาบาน...” พลันหันมามองหน้าผม “ว่าชาตินี้จะทำให้พี่รักมันให้ได้ก่อนเจอจิ แต่มันทำไม่ได้ก็เลยแพ้ให้กับคำสาบานของตัวเอง”

ผมเม้มริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมพี่จิณห์ถึงได้รู้เรื่องการถอนคำสาบาน ทว่า...คำพูดของพี่อินทร์เมื่อครู่ก็ทำให้ผมเอะใจขึ้นมา

“แล้วพี่อินทร์รู้ได้ยังไงว่าจะเจอจิเมื่อไร”

เขายิ้มให้น้อยๆ “ไม่รู้หรอก”

“อ้าว”

“แต่องค์ประตาระกาหลาได้ตรัสไว้กับดวงจิตของพี่ว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร พี่จะได้เจอกับจิเอง ซึ่งนั่นก็คือตอนจิเข้ามหา’ลัย แล้วได้เป็นน้องรหัสของไอ้บุศย์”

เท่านั้นผมก็เข้าใจเลย... องค์ประตาระกาหลารอให้ผมอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ก่อนนี่เอง คงกลัวว่าลูกหลานตัวเองจะถูกข้อหาพรากผู้เยาว์ล่ะสินะ

คิดเองก็หัวเราะเองอยู่คนเดียว พี่อินทร์ย่นคิ้ว ถามผมเสียงขุ่นอย่างไม่จริงจังนัก

“หัวเราะอะไรน่ะ ให้พี่รู้ด้วยสิ”

ผมไม่บอกเขาหรอก ความคิดเมื่อกี้น่าอายจะตาย เฉไฉไปถามพี่วิญญูแทนแล้วกัน

“พี่วิญญูล่ะครับ ทำไมชาตินี้ถึงกลับมาเกิดแล้วระลึกชาติได้ล่ะ”

พี่วิญญูชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก พลันยิ้มกว้างออกมา

“ก็เพราะพี่ต้องตาต้องใจจรกาไง ชาตินี้เลยจะมาเอาเป็นคู่ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นจะไปตามสตอล์กเกอร์บุศย์ทำไม ที่ไปตามก็เพราะรู้ว่าจิเป็นน้องรหัสนี่แหละ เลยจะหาทางเข้าหา”

พี่อินทร์หันขวับอย่างรวดเร็ว คว้าผมไปกอดแน่น ปากก็ขู่พี่วิญญูไปด้วย

“หาเรื่องไม่ได้กลับไทยแล้วมึงน่ะ พูดจาแบบนี้อยากโดนฝังกลบอยู่บนเกาะชวาล่ะมั้ง”

ทุกคนหัวเราะออกมากับความขี้หึงของพี่อินทร์ทันที รู้ก็รู้กันอยู่ว่าพี่อินทร์พูดเล่น ต่อให้ชาตินี้เขาตั้งใจมาตามผม แต่ตอนนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เพราะพอพี่อินทร์ขู่จบ พี่วิญญูก็ส่งสายตาหยอกล้อไปให้พี่บุศย์ที่ทำหน้าดุน้อยๆ แต่ก็อมยิ้ม

ยังไงสองคนนี้ก็มีซัมธิงกันแน่ๆ

บุษบากับวิหยาสะกำ...ไม่ได้กันในวรรณคดี ไม่ได้กันในชาติที่แล้ว แต่ต้องได้กันในชาตินี้แน่ๆ จิระฟันธง!

 

กว่าจะกินข้าวกันเสร็จ กว่าจะเมาท์มอยหอยสังข์ ไหนจะถูกชวนไปเล่นไพ่ที่ห้องพี่สรัลอีก ผมก็แทบหมดแรง กลับเข้าห้องตอนหัวค่ำหน่อยๆ สรัลก็ดันวางแพลนไว้ว่าจะชวนทุกคนไปนั่งรถแท็กซี่เที่ยวดูเมืองตอนกลางคืนอีก พี่บุศย์แย้งว่าออกไปไหนตอนกลางคืนมันอันตราย แต่สรัลก็อยากจะไปให้ได้ มีแรงสนับสนุนจากพี่อินทร์อีกที่อ้างว่าไปกันหลายคนไม่เป็นไร สุดท้ายพี่บุศย์ก็ต้องพ่ายแพ้ ยอมแต่โดยดี

ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถึงจะมาถอนคำสาบานของผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่อยากเที่ยวนะ ได้ออกนอกประเทศพร้อมกับเดอะแก๊งทั้งที ยังไงก็ต้องอยากเปิดหูเปิดตากันอยู่แล้ว

“ล้างเท้าด้วยนะจิ ใส่ผ้าใบทั้งวัน เท้าเหม็นแล้วมั้ง”

พี่อินทร์ร้องบอกหลังจากเห็นผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ผมทำปากยื่นใส่เขา

“แต่จิเมื่อยแล้วอะ อยากจะนอนแล้ว”

พี่อินทร์เลยเดินมาบีบจมูกผมไม่แรงนัก “ไม่ยอมล้างเท้า เดี๋ยวจะโดนตี จะล้างไม่ล้าง?”

“พี่อินทร์อยากให้จิล้าง พี่อินทร์ก็อุ้มจิไปที่ห้องน้ำสิ”

ผมแกล้งว่าอย่างนั้น เขาก็ยิ้มกว้างเลย

“ได้ ดื้อนักใช่ไหม เดี๋ยวจะโดนดี หาเรื่องไม่ได้ออกจากห้องน้ำแบบเดินตรงๆ ซะแล้ว”

สิ้นเสียง เขาก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ถอดถุงเท้าให้ผม ก่อนจะถลกขากางเกงขึ้น ผมก็สนุกนะที่ได้แกล้งเขาแบบนี้ แต่แล้วความสนุกนั้นก็หายไปเมื่อจู่ๆ พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา

“จิ...”

“ครับ?”

“รอยพวกนี้มันลามมาถึงหน้าแข้งแล้วนี่”

พอผมเหลือบมองก็เห็นว่ารอยฟ้าผ่ามันเกือบจะถึงข้อเท้าอยู่แล้ว ก่อนที่ผมจะรีบพูดเมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่อินทร์ไม่สู้ดีนัก

“ไม่ต้องห่วงนะพี่อินทร์ จะไปถอนคำสาบานกันอยู่แล้ว เดี๋ยวจิก็...”

...หาย

ตั้งใจจะพูดแบบนี้ แต่จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมา เลยต้องรีบเงยหน้าขึ้น พี่อินทร์เองก็เหลือบมองผมทันควันเหมือนกัน

“เป็นอะไรน่ะจิ”

“จิ...หน้ามืดน่ะครับ”

ผมบอกไปตามตรง ก็มันหน้ามืดจริงๆ ตาก็ลายด้วย เพดานที่กำลังมองอยู่ตอนนี้หมุนวิ้งๆ เลย เท่านั้นพี่อินทร์ก็ลุกขึ้นมานั่งข้างผมอย่างรวดเร็ว

“นอนลงก่อน พักแป๊บนึง จะได้หายมึนหัว”

เขาจับผมเอนตัวลงนอนราบไปบนฟูก ผมหลับตา ความรู้สึกหมุนเคว้งเหมือนบ้านหมุนยังคงอยู่ ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงพี่อินทร์ดังขึ้นจากข้างๆ

“หน้าซีดมากเลยนะจิ ไหวไหมเนี่ย”

“อื้อ จิไหว...”

ผมครางแผ่ว แต่พี่อินทร์ไม่เชื่อหรอก สิ้นเสียงผม หน้าผากก็มีฝ่ามืออุ่นๆ มาวางทาบทับไว้แล้ว

“ตัวร้อนด้วยแฮะ สงสัยจะเป็นไข้ เดี๋ยวพี่เอายาให้กินนะ”

ผมพยักหน้า พี่อินทร์ก็รีบลุกไปค้นกระเป๋าสัมภาระหายาปฏิชีวนะที่พกมา พอได้ยามาอยู่ในมือเรียบร้อย เขาก็รีบมาประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง

“กินยาก่อนนะ แล้วค่อยนอน วันนี้ไม่ต้องไปไหนแล้ว พักก่อน”

ผมยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี รับยากับแก้วน้ำจากมือเขาเรียบร้อย พี่อินทร์ก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไปที่ห้องน้ำ ให้เดานะ เขาคงจะเอาไปชุบน้ำแล้วมาเช็ดตัวผมนั่นแหละ แต่ทว่าพอผมกำลังจะเอายาใส่ปาก พลันก็มีของเหลวบางอย่างหยดแหมะลงมาบนฝ่ามือพอดี

ผมชะงักมือ เหลือบมองแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่ามันเป็นสีแดง

นี่มัน...เลือด!?

“พี่อินทร์...”

ผมร้องเรียกพี่อินทร์ทันที เขาหันมาแล้วก็ทำหน้าตกใจสุดขีด รีบเข้ามาประคองผมโดยเร็ว

“จิ นี่มัน...”

ผมตั้งสติได้ก็รีบปลอบเขาเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่นตูมไปมากกว่านี้

“น่าจะเป็นเลือดกำเดาไหลธรรมดา จิไม่สบายนี่เนอะ กินยาแล้วนอนคงหาย”

แต่พี่อินทร์ไม่คิดว่ามันคือเลือดกำเดาไหลธรรมดา เขามีสีหน้าเครียดก่อนจะแย่งเอาแก้วน้ำกับยาในมือผมไปวางไว้ยังโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็ถลกเสื้อผมขึ้นสูง เท่านั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม

“นี่มันไม่ใช่เลือดกำเดาไหลธรรมดาแล้วจิ”

เขาว่า พลันหันไปเก็บสัมภาระข้าวของ ปล่อยให้ผมมองตามอย่างงุนงง

“พี่อินทร์ทำอะไรครับ”

“เราจะไปถอนคำสาบาน...เดี๋ยวนี้!”

ไม่รอให้ผมตอบรับอะไรทั้งนั้น เขารีบพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วหันหันออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว พี่บุศย์กับพี่วิญญูที่อยู่ข้างห้องได้ยินเสียงตึงตังก็เปิดประตูออกมาดู พอเห็นว่าพี่อินทร์กำลังประคองผมอยู่ก็รีบร้องถามทันควัน

“เฮ้ยๆ มึงจะไปไหน”

พี่อินทร์หันไปมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“รอไม่ได้แล้ว”

“รออะไรไม่ได้”

พี่บุศย์ย่นคิ้วถาม ตอนนี้สรัลที่อยู่ห้องถัดไปก็โผล่หน้าออกมาดูด้วยแล้วเช่นกัน ก่อนที่สรัลจะร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“เฮ้ยจิ!”

คราวนี้ทั้งพี่บุศย์กับพี่วิญญูก็พากันตกใจเมื่อเห็นว่าหน้าผมมีเลือดกำเดาไหลเปรอะ

“จิ! เป็นอะไรน่ะ”

กลายเป็นว่าแตกตื่นกันทั้งคณะ ผมก้มหน้าไม่ให้เลือดมันไหลย้อนกลับเข้าไปพลางว่าเสียงแผ่ว

“จิเลือดกำเดาไหลน่ะครับ”

“ไอ้อินทร์ พาน้องมันไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อน”

พี่บุศย์รีบร้องบอก พี่วิญญูก็จะเข้ามาช่วยประคองผมด้วย แต่พี่อินทร์กลับกอดผมไว้แน่น มือข้างหนึ่งคว้าแขนพี่วิญญูที่ก้าวเข้ามาแล้วว่าเสียงดัง

“กูรอไม่ได้แล้ว ไอ้วิญ พากูไปที่เมืองดาหาเดี๋ยวนี้!”

---------------------------------------

วันนี้มาดึกนิดนึง

แจ้งไว้ล่วงหน้านะคะว่าพรุ่งนี้หนูแดงไม่อัปเน้อ พอดีได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร Creative writing ให้น้องๆ นศ.ที่มหา'ลัยแห่งนึงเลยจะไม่ว่างทั้งวัน อาจจะได้อัปแค่ตัวอย่าง

ตัวอย่างมาพรุ่งนี้นะจ๊ะ




ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งานเข้าชาวแก๊งค์แล้วจ้า~

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
แงงงง น้องจิ จะหายแล้ว อดทนอีกนิดนึงนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รีบพาหนูจิไปดาหาด่วนเลย ว่าแต่ว่า ดาหานี่ ไกลไหมอ่ะ  :angry2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
จะทันม้ายยยยยย   :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
แด่อิพี่อินทร์ในตอนนี้ ...  :z6: นี่แหน่ะ  :laugh: นับวันชักจะเยอะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
โอยย ตอนนี้น้ำตาซึมตามอิเหนา  :monkeysad:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
จะแก้ได้ไหมเนี้ย อย่าเป็นอะไรไปนะลูก

ออฟไลน์ เฉื่อย

  • UNCOMMON AS NORMAL.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านได้แค่ไม่กี่ตอนแต่สนุกมากค่ะ
จรกาแบ๊วๆขั้นสุด
เมียสาธารณะที่แท้ทรู

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
อ่านได้6-7ตอน
แต่รำคาญความแด๊ะแด๋ของพระเอกขั้นสุด...แบบสุดๆอ่ะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ม่ายยยยย
น้องจิคนงามของเค้าต้องไม่เป็นอะไร
รีบเลยอิเหนา รีบๆๆๆๆๆ
 :mew2:

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :a5: งานเข้าเดอะแก๊งแล้วจร้าาาา

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หวังว่าจะถอนคำสาบานได้สำเร็จนะ ลามมาถึงข้อเท้าขนาดนี้แล้วกลัวว่าจิจะอาการหนักก่อนไปถึงเมืองดาหาจริงๆ

ปล.อิพี่อินทร์นี่พอปกติแล้วก็บ้าเหมือนเดิม ไม่สิต้องบอกว่าบ้ามากกว่าเดิมมากกว่า

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
นว้องจิทนไว้ก่อนนน อย่าพึ่งเป็นอะไรนะ  :hao7:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
 ขอให้ถอนคำสาบานได้อย่างราบรื่นนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
น้องจิๆๆๆๆ ไม่นะ :serius2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

Chapter 30: ถอนสาบาน

“ไป! พาจิไปเดี๋ยวนี้เลย!”

พี่อินทร์โวยวายเสียงดังลั่นไปหมด สองแขนก็กอดผมไว้แน่น ทำท่าจะอุ้มไปลงลิฟต์ให้ได้ เสียงของเขาดังขนาดที่ว่าห้องอื่นๆ ต้องเปิดประตูออกมาดูกันหมด พี่บุศย์เห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามารั้งเขาเอาไว้

“แต่อันดับแรก มึงต้องพาน้องมันไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อน”

ผมก็คิดเหมือนกับเขาเหมือนกัน ตอนนี้หน้าผมเปียกชื้นไปด้วยเลือดกำเดาหมดแล้ว ส่วนสรัลก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องตัวเอง ก่อนจะออกมาพร้อมกับม้วนทิชชูให้ผมได้เช็ดหน้า

“กูรอไม่ได้แล้วไอ้บุศย์” พี่อินทร์ท้วง สีหน้าเขาดูไม่ดีเลย

“กูรู้ แต่ตั้งสติก่อนได้ไหมไอ้อินทร์ พาจิเข้าห้องก่อน”

พี่อินทร์ทำท่าเหมือนจะไม่ฟัง ผมก็เลยหันไปมองเขา

“พาจิเข้าห้องก่อนนะพี่อินทร์ จิอยากเช็ดหน้าก่อน”

สายตาที่เขามองมายังผมดูลังเลไปเล็กน้อย ผมรู้ว่าเขาไม่ฟังหรอก เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผม พี่อินทร์ไม่รอช้าที่จะทำอยู่แล้ว ผมเลยต้องขอร้องเขาอีกครั้ง

“นะพี่อินทร์ จิเริ่มหน้ามืดแล้ว ขอเข้าไปนั่งพักก่อนนะครับ”

พอบอกไปอย่างนี้ พี่อินทร์เลยต้องยอมพาผมกลับเข้าไปนั่งพักในห้องจนได้ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าภายในห้องของผมกับพี่อินทร์มีคนอื่นๆ อยู่ด้วยพร้อมหน้าพร้อมตา พี่อินทร์ช่วยเอาน้ำแข็งห่อผ้าขนหนูมาประคบที่ดั้งจมูกให้ผม ส่วนพี่บุศย์ก็กอดอกมองอย่างครุ่นคิดเมื่อถูกเพื่อนสนิทตัวเองถาม

“แล้วพวกมึงจะให้กูพาจิไปได้เมื่อไร”

“บางทีกูว่าที่จิเลือดกำเดาไหลอาจจะไม่ใช่เพราะผลข้างเคียงของคำสาบานก็ได้นะไอ้อินทร์ น้องมันอาจจะไม่สบาย แทนที่จะพาไปถอนคำสาบาน ตอนนี้กูว่าพาน้องมันไปหาหมอก่อนดีไหม ทั้งหน้ามืด ทั้งเวียนหัว แถมตัวร้อนอีกไม่ใช่หรือไง กูกลัวว่าน้องมันจะตายเพราะไม่สบายมากกว่าคำสาบานอีกนะตอนนี้”

พี่วิญญูกับสรัลพยักหน้ารับเป็นลูกคู่ ผมเองก็อยากจะคิดว่ามันเป็นเพราะร่างกายผมอ่อนแอเลยไม่สบายเหมือนกัน แต่พอพี่อินทร์ได้ยินอย่างนั้น เขาก็หันไปมองหน้าเพื่อนตัวเองพร้อมกับว่าเสียงเครียด

“มึงคิดว่าที่จิเป็นอย่างนี้เพราะไม่สบายธรรมดาเหรอ คิดว่าไอ้รอยฟ้าผ่าที่มันลามมาจนจะถึงข้อเท้านี่เป็นเพราะไม่สบายหรือไง!”

ยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง ดูก็รู้เลยว่าหัวเสียมาก เพราะเขาไม่พูดเปล่า ยังวางผ้าห่อน้ำแข็งในมือลงกระแทกบนโต๊ะเต็มแรง มิหนำซ้ำยังมาถลกขากางเกงผมขึ้นให้คนอื่นๆ ดูอีก

“แต่ถึงอย่างนั้นมึงก็ต้องใจเย็นๆ ก่อน มันไม่ใช่ว่าจู่ๆ นึกจะไปก็ไปได้ เราจองรถกันไว้พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ใจเย็นๆ ไอ้อินทร์ นอนพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปกันแต่เช้า”

พี่บุศย์พยายามปลอบให้ใจเย็นลง ซึ่งผมก็เห็นด้วยเพราะในความเป็นจริงแล้ว พวกเราได้วางแผนกันว่าจะให้ไกด์ส่วนตัวที่ได้ดีลไว้เป็นคนขับรถพาไปที่เมืองดาหาในวันพรุ่งนี้ แต่พี่อินทร์คงไม่อยากรอแล้ว ทันทีที่พี่บุศย์พูดจบ สีหน้าของเขาก็ดูเต็มไปด้วยหลายๆ อารมณ์มากกว่าเดิม

“มึงจะต้องให้กูรออะไรอีก จิไม่ไหวแล้วนะเว้ย”

พี่บุศย์เหลือบมามองทางผมเป็นเชิงถามว่า ‘ไม่ไหวเหรอ’ ผมก็เลยรีบโพล่งขึ้น

“จิยังไหวนะพี่อินทร์ พี่อินทร์ใจเย็นๆ ก่อน”

พูดเท่านั้น พี่อินทร์ก็ตวัดดวงตามามองผมขวับเลย สีหน้าเขาในตอนนี้ทั้งดูโกรธ ทั้งดูก็รู้ว่าเป็นห่วงผม ก่อนที่เขาจะว่าเร็วๆ

“จิไม่ไหวแล้ว เชื่อพี่”

ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงมากเลยพูดแบบนั้น แต่ผม...

“จิยังไหว...”

“ไม่ไหวแล้วจิ รอยที่หน้าอกมันไม่ใช่รอยแดงๆ แล้วนะ มันเริ่มดำแล้ว!”

พอผมทำท่าจะดื้อ พี่อินทร์ก็เสียงดังใส่เลย ผมสะดุ้งไปเล็กน้อย ตกใจที่ถูกเขาดุแบบนี้ แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่

รอยมันเริ่มดำ...

หมายความว่า...?

ผมถลกชายเสื้อของตัวเองขึ้นเพื่อดูรอยที่หน้าอกทันที ก่อนจะเห็นว่ารอยฟ้าผ่าซึ่งปกติจะเป็นรอยสีแดง ตอนนี้กลายเป็นสีดำแล้ว มันไม่ได้ดำแบบมีใครมาขีดเขียนด้วย ดำเหมือนกับว่ามันฟกช้ำจากข้างใน และนั่นก็ทำให้ทั้งผม รวมถึงคนอื่นๆ พากันเบิกตาโต

“จิ...”

สรัลครางออกมา สีหน้าตกใจยิ่งกว่าใคร ขณะที่พี่บุศย์กับพี่วิญญูมีสีหน้าเครียดไปฉับพลัน

“พี่อินทร์...”

ผมเองก็ตกใจ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน แต่สัญชาตญาณของผมก็ทำให้ต้องเรียกชื่อเขาออกไป พี่อินทร์ทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นตรงหน้าผม สีหน้าเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลอย่างชัดเจน

“แล้วแบบนี้ จิจะให้พี่รอได้ยังไงอีก”

ผมเข้าใจเขาขึ้นมาในตอนนี้ รู้ตัวเองทันทีเลยว่ารอไม่ได้แล้วเหมือนกัน ทุกคนไม่พูดอะไรอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่พี่บุศย์จะทำลายความเงียบ

“วิญ ตอนที่วิญผิดคำสาบาน อาการมันเป็นยังไงบ้าง”

ไม่ได้พูดกับพี่อินทร์ แต่หันไปถามพี่วิญญู

“มันก็...มีรอยฟ้าผ่าสีแดงๆ ขึ้นแบบจินี่แหละ เริ่มจากหน้าอกแล้วมันก็ลามไปที่แขนที่ขา”

“แล้วมันมีอาการอื่นๆ อีกไหม”

“อาการอื่นๆ ยังไง”

“เหมือนกับที่จิเป็นเนี่ย มีไข้ เลือดกำเดาไหล รอยเปลี่ยนสี”

พี่วิญญูส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่มี ตอนที่เรารู้ตัวว่ามีรอยพวกนี้ก็รีบหาสาเหตุเลย ไม่ได้ปล่อยให้มันนานจนลามไปทั้งตัวแบบนี้”

ผมเม้มริมฝีปาก เหลือบมองหน้าพี่อินทร์ที่กำลังส่งสายตาดุมาให้ผมเล็กน้อย มองดูก็รู้ว่าเขากำลังตำหนิที่ผมมีอะไรแล้วไม่ยอมบอก จนสุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงียบและรอฟังพี่วิญญูเท่านั้น

“แล้ววิญรู้ได้ไงว่าตอนนั้นเป็นเพราะคำสาบาน”

“เรื่องบางอย่างที่คนเฒ่าคนแก่พูด ถ้าไม่มีเค้าโครงความจริงก็คงไม่มีคำกล่าวกันมาถึงปัจจุบันหรอก ครอบครัวเราถึงจะระลึกชาติกันไม่ได้ แต่ก็เชื่อเรื่องการรักษาสัจจะนะ ปู่กับย่าชอบพูดบ่อยๆ ว่าอย่าไปสาบานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะการสาบานให้ฟ้าผ่าตายหรือมีอันเป็นไปอะไรแบบนั้น เราเลยจะเชื่ออะไรแบบนี้มากหน่อยน่ะ”

เท่านี้ก็รู้แล้วว่าทำไมพี่วิญญูถึงรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรได้เร็ว แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับอาการของผมแล้ว เพราะตอนนี้นอกจากจะตัวร้อน ผมยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ สลับกันขึ้นมาเหมือนเป็นไข้ไม่มีผิดเพี้ยน การที่จู่ๆ ก็นั่งสั่นงันงกนั่นทำให้พี่อินทร์รีบคว้ามือผมไปจับอย่างรวดเร็ว

“จิเป็นอะไร”

“จิ...หนาว”

หนาว...แต่ตัวร้อนและฝ่ามือทั้งสองข้างมีเหงื่อออกจนเปียกชื้น พี่อินทร์รีบเดินไปคว้าผ้าห่มมาห่อตัวผมทันที ก่อนจะกอดไว้แน่น ผมเม้มริมฝีปาก พยายามไม่ให้ฟันกระทบกัน แต่ก็ทำได้ไม่ดีสักเท่าไรนัก อาการแบบนี้สร้างความกังวลใจให้คนอื่นๆ อีก

“กูรอให้ถึงเช้าไม่ไหวแล้ว กูจะพาจิไปถอนคำสาบานเดี๋ยวนี้”

พี่อินทร์ว่าออกมาอีกครั้ง คราวนี้รู้เลยว่าใครก็ห้ามเขาไม่ได้ทั้งนั้น พี่บุศย์มองหน้าผมแล้วถอนหายใจออกมา

“กูก็รอไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

“งั้นเดี๋ยวเราบอกรีเซปชันให้เรียกแท็กซี่ให้”

พี่วิญญูโพล่งขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้พี่บุศย์หันไปบอกกับสรัล

“สรัล เตรียมข้าวของที่จำเป็นที พวกผ้าห่มที่เราพกมา เราเอาผ้าห่มของโรงแรมออกไปไม่ได้ หยูกยาอะไรพวกนี้พกมาด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยไอ้อินทร์พาจิลงไปข้างล่าง เตรียมเสร็จแล้วรีบตามลงมา”

สรัลพยักหน้ารับคำแล้วหายออกจากห้องไป ปล่อยให้พี่บุศย์พยักหน้าเรียกพี่อินทร์ซึ่งยังคงกอดผมแน่น

“ไปไอ้อินทร์ ไม่ต้องรอแล้ว รีบพาจิไปถอนคำสาบานเดี๋ยวนี้เลย”

 

ไม่แน่ใจว่าเหล่าเทวดาบนสวรรค์ไม่อยากให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อหรือเปล่า เพราะพี่วิญญูที่ลงไปติดต่อรีเซปชั่นให้เรียกรถแท็กซี่ให้อยู่นานสองนานไม่สามารถเรียกรถได้สักที ไม่ว่ารีเซปชั่นจะติดต่อไปยังศูนย์ไหนๆ ก็ไม่มีรถขับรถยอมรับงานนี้สักคน จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะคนขับทุกคนไม่ให้เหตุผลเลยว่าทำไมถึงไม่ไป ทั้งที่เมืองดาหาก็ไม่ได้ไกลจากบริเวณที่เราพักมากนัก ใช้เวลาขับรถไม่นานก็ถึง

พี่อินทร์ดูจะเครียดมากกว่าใคร เพราะพอเรียกแท็กซี่ไม่ได้ พี่บุศย์ก็ขอจ้างรถของโรงแรมให้ไปส่ง แต่รถก็ดันเสียกะทันหัน พอจะไปเช่ารถก็ปรากฏว่าร้านเช่ารถต่างๆ ปิดแล้ว บางร้านยังไม่ปิด แต่ถ้าจะเช่า รถที่ได้เร็วที่สุดก็คือรุ่งเช้า พูดง่ายๆ ว่าไม่มีหนทางไหนที่จะพาผมไปที่นั่นได้เลยนอกจากเดิน และแน่นอนว่าผมเดินไม่ไหว

พี่อินทร์กอดผมที่ห่อผ้าห่มปิกนิกของสรัลไว้แน่น ตาก็มองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปด้วย ขณะที่พี่บุศย์กับพี่วิญญูพยายามเสิร์ชหาข้อมูลร้านเช่ารถและติดต่อไป พวกเขาบอกว่าไม่ว่ายังไงคืนนี้ก็จะต้องพาผมไปที่นั่นให้ได้

ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว ความหวังของพวกเราที่จะไปที่เมืองดาหาก่อนเช้าแทบเป็นศูนย์ ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันนอกจากพยายามจะแข็งใจไว้ ก่อนที่เสียงของพี่บุศย์ที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่จะดังขึ้น

“มีรถให้เราเอาไปใช้คืนนี้ได้อยู่คันนึง แต่ไม่มีแอร์ กูตอบตกลงไปแล้ว”

เท่านั้นความหวังอันริบหรี่ของพวกเราก็ประกายวาบขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วจะได้รถเมื่อไร”

พี่อินทร์ถามอย่างร้อนรน พลันพี่บุศย์ก็สวนขึ้นมา

“อีกครึ่งชั่วโมง เตรียมตัวออกเดินทางกันได้เลย”

 

สี่ทุ่ม... พวกเราออกจากโรงแรมกันตอนสี่ทุ่มพอดี

รถที่ได้มาเป็นรถแวนเจ็ดที่นั่ง พี่วิญญูรับหน้าที่เป็นคนขับเพราะเขาพอจะรู้ทางอยู่บ้าง ตอนที่เขามาถอนคำสาบาน เขาก็ไปที่หน้าเมืองดาหาและขับรถไปเองเหมือนกัน พี่บุศย์นั่งข้างๆ เพื่อช่วยดูทาง ผมกับพี่อินทร์นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารตอนกลาง ส่วนสรัลนั่งอยู่ด้านหลังสุดพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น คอยช่วยพี่อินทร์ดูแลผมอย่างเต็มที่

ในตอนนี้...ผมเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็หน้ามืดจนไม่สามารถนั่งตัวตรงได้ พี่อินทร์จับให้ผมนอนตักเขา สองแขนก็กอดผมไว้แน่นเพราะผมสั่นเทาไปทั้งร่าง...มากกว่าเดิม

ใช่ มันมากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน พี่อินทร์ก็เอาไฟฉายจากโทรศัพท์คอยส่องดูรอยบริเวณหน้าแข้งผมไปด้วย

“อีกคืบนึงจะถึงข้อเท้าแล้ว”

เขาพึมพำเหมือนพูดคนเดียว แต่จริงๆ แล้วได้ยินกันทั้งรถ ผมใจไม่ดีเอาเสียเลย แต่ก็รู้ว่าคนที่ใจไม่ดียิ่งกว่าคือพี่อินทร์ เขากระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้พี่วิญญูต้องโพล่งขึ้นมา

“ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว”

เหมือนจะใกล้ แต่ก็ไม่เชิงสักเท่าไรนัก ตอนนี้แค่วินาทีเดียวก็นานมากแล้วสำหรับความรู้สึกของพี่อินทร์

“มึงขับเร็วกว่านั้นได้ไหมวะ”

“ขับเร็วกว่านี้ก็เหาะแล้วไอ้อินทร์ ใจเย็นๆ”

พี่บุศย์พูดแทนพี่วิญญู พี่อินทร์ก็เลยเงียบไป แต่ก็ยังกระสับกระส่ายอยู่ดี ขณะที่ผมก็ชักจะเริ่มเปิดตาไม่ไหว พอปิดเปลือกตาลง พี่อินทร์ก็เขย่าตัว

“อย่าหลับนะจิ”

“...”

“อย่าหลับนะขอร้อง พี่ใจไม่ดี”

เขาคงกลัวว่าถ้าผมหลับแล้ว ผมจะหลับตลอดไป ผมก็เลยฝืนตัวเองไว้พลางบอกเขาเสียงแผ่ว

“จิไม่หลับครับ พี่อินทร์ไม่ต้องห่วง”

เขาบีบมือผมแน่น แต่ถึงผมจะพูดอย่างนั้น เอาเข้าจริงการฝืนตัวเองไม่ให้หลับมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เลย เพราะตอนนี้ร่างกายของผมไม่ปกติเลยสักอย่าง พอเริ่มนิ่งไป พี่อินทร์ก็จะเขย่าตัวผมให้ตื่นทุกครั้ง แล้วก็เป็นแบบนี้มาตลอดทางจนกระทั่งพี่วิญญูว่าขึ้น

“เข้าเขตเมืองดาหาแล้ว”

“มึงจอดเลยไอ้วิญ รีบจอด จิจะได้ถอนคำสาบาน”

พี่อินทร์รีบโพล่งขึ้น แต่พี่วิญญูก็ไม่จอดเลยสักนิด

“จอดไม่ได้”

“ทำไม” คนข้างตัวผมกระชากเสียง

“จอดตรงนี้ก็ถอนคำสาบานไม่ได้ สาบานไว้ที่ไหนก็ต้องไปถอนคำสาบานที่นั่น จำได้ไหม”

ทุกคนเงียบ พยายามตีความหมายที่พี่วิญญูพูด แล้วก็เป็นพี่บุศย์ที่เข้าใจเป็นคนแรก

“วิญหมายความว่า...”

“ต้องไปถอนคำสาบานตรงจุดที่จิสาบานไว้”

เท่านั้นพวกเราก็รู้สึกถึงเรื่องยุ่งยากขึ้นมาทันที

ไปถอนคำสาบานยังจุดที่ผมเคยสาบานไว้ มันผ่านมาหลายร้อยปีแล้วนะ ใครจะไปจำได้กัน!

แล้วก็พี่อินทร์ที่โวยวายขึ้นมาเป็นคนแรก

“งั้นมึงรีบหาเลยไอ้วิญว่าจิสาบานไว้ตรงไหน!”

พี่วิญก็กระชากเสียงกลับ “กูจะไปรู้เหรอ เรื่องแบบนี้ต้องให้เจ้าตัวดูเอง”

“แล้วแฟนกูจะไปรู้ไหม ตอนนี้แค่จะลืมตาขึ้นก็ไม่ไหวแล้ว ตอนมึงไปถอนคำสาบาน มึงรู้ได้ยังไงว่ามึงสาบานไว้ตรงไหน!”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอ้า! แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าหน้าประตูเมืองดาหาที่มึงนอนตายอยู่ที่ไหน”

“กูก็ขับรถวนๆ แบบนี้แหละ แล้วมันก็จะมีความรู้สึกนึงขึ้นมาว่าคือที่ตรงนี้ ไอ้นั่นแหละที่กูบอกว่าน้องจิจะต้องดูเอง”

พี่อินทร์สบถคำหยาบคายออกมาสารพัด ไม่ว่าอะไรๆ ในตอนนี้ก็ดูจะขัดใจเขาไปเสียหมด จนพี่วิญญูพูดขึ้นมาอีกครั้งนั่นแหละ เขาถึงพอจะสงบสติอารมณ์ลงได้

“แต่ไม่ต้องห่วง เจ้าตัวจะรู้เอง ดวงจิตมันจะผูกพันอยู่กับสถานที่ ถ้าจิรู้สึกว่าตรงไหนทำให้เอะใจก็รีบบอกพี่เลยนะ พี่จะได้จอด”

ผมครางรับเสียงแผ่ว พี่อินทร์เลยพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงเขาไว้ ส่วนผมก็พยายามจะเปิดเปลือกตาขึ้นมอง สายตาในตอนนี้พร่าเลือนไปหมด ผมเห็นภาพข้างนอกรถไม่ชัดเลยสักนิด พี่วิญญูก็ขับรถไปเรื่อยๆ กระทั่งพวกเราเริ่มออกห่างจากเขตเมือง รอบข้างเป็นที่ดินรกร้าง มีหญ้ามีป่าเป็นระยะ จนกระทั่งถึงบริเวณหนึ่ง ผมก็รู้สึก...

“เมืองดาหา...”

ผมครางออกมา เท่านั้นพี่วิญญูก็เบรกรถทันที

“เมื่อกี้จิว่าอะไรนะ”

“งานอภิเษก...จัดตรงนี้”

ผมบอก ทุกคนมองออกไปนอกรถ มันเป็นถนนที่มีแต่ที่ดินรกร้างทั้งสองฝั่ง ผมเห็นไม่ชัดหรอก แต่พอจะรับรู้ได้ และพอบอกไปอย่างนั้น สรัลที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก

“นายแน่ใจเหรอว่าที่นี่”

ผมพยักหน้า เมื่อกี้นี้จู่ๆ มันก็มีความรู้สึกหนึ่งแล่นวาบเข้ามาในหัว พร้อมกับเสียงบางอย่างที่กระซิบบอกกับผมว่าบริเวณนี้แหละที่เป็นสถานที่ซึ่งเคยใช้จัดงานอภิเษกสมรสระหว่างจรกาและบุษบาล่ะ

“รีบพาจิลงจากรถเร็ว”

ไม่มีใครถามอะไรต่ออีกแล้ว พี่บุศย์เร่งปุ๊บ พี่อินทร์ก็รีบพยุงผมลงจากรถปั๊บ แต่ในจังหวะนั้นเองที่จู่ๆ ผมก็เจ็บหน้าอกขึ้นมา ทำให้ส่งเสียงครางขณะที่พี่อินทร์กำลังประคองผมอยู่

“ไหวไหมจิ”

ผมส่ายหน้าน้อยๆ “จิเจ็บ...”

เจ็บ...

เจ็บที่หน้าอก เจ็บจนจุก มันแน่น หายใจไม่ออก

ผมยกมือกุมที่หน้าอกตัวเอง ก่อนที่จะไอโขลกออกมาระลอกใหญ่ ของเหลวบางอย่างเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก มันเป็นน้ำลายผสมกับเลือดที่กระเด็นมาเปรอะเปื้อนผ้าห่มซึ่งห่อตัวผมอยู่จนเกิดเป็นรอยดวงๆ

พี่อินทร์เห็นแล้วก็กอดผมไว้แน่น กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ

“แข็งใจไว้นะจิ อีกนิดเดียวจะหายแล้ว”

ผมพยายามฝืนตัวเอง ก้าวตามการประคองของพี่อินทร์ ก่อนที่จะร้องบอกเขาว่าตรงนี้...

ตรงนี้...แผ่นดินตรงนี้แหละที่ผมคุกเข่าสาบานตนต่อเหล่าเทวดาว่าจะไม่ญาติดีกับอิเหนาล่ะ

พี่อินทร์พยุงผมลงนั่งให้แผ่นหลังพิงเขาเอาไว้ จังหวะที่นั่งลงไป พลันเสียงหนึ่งก็ดังลั่นในหัวผม

‘อิเหนา...ข้าขอสาบาน... ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ข้าก็จะไม่มีวันญาติดีกับเจ้า หากข้าผิดคำพูดแล้วไซร้ ขอให้องค์เทพเทวาลงทัณฑ์ด้วยอสุนีบาตจนสิ้นใจ ขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ขอสาบาน!’

มันคือเสียงลั่นวาจาของผมในอดีตชาติ ผมเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้า ขณะที่พี่อินทร์ช่วยจับผมยกมือขึ้นพนม

“ถอนคำสาบานเร็วเข้าจิ เร็ว”

เขาเร่งมา ผมเลยพยายามตั้งสติ ว่าออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่ว

“ผม...ระตูจรกา บัดนี้ได้เกิดชาติใหม่และได้กระทำผิดคำสาบานที่ว่าจะไม่ญาติดีกับอิเหนา แต่ตอนนี้รักอิเหนาเข้าให้แล้ว จึงอยากขอ...แค่ก!”

จู่ๆ ก็ไอออกมาอีกครั้ง แล้วก็หยุดไม่ได้เลย ไอจนหน้าดำหน้าแดง เจ็บหน้าอกไปหมด พี่อินทร์ร้องเรียกผมเป็นการใหญ่

“จิ...อดทนไว้จิ ตั้งสติ...ตั้งสติไว้”

จริงๆ แล้วคนที่ควรตั้งสติควรเป็นเขามากกว่า เขาร้อนใจยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมเลยพยายามที่จะกลั้นไอแล้วพูดต่อ

“ผม...แค่กๆ อยากขอ...แค่ก...ขอวิงวอนให้เหล่าเทวาเมตตา ผมขอ...ขอ...”

พูดได้ถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกทั้งร้อนวูบ ทั้งเย็นวาบขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกายเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จู่ๆ ก็วูบพิงพี่อินทร์ไปแวบหนึ่ง แต่เขาก็เขย่าตัวผมให้รู้สึกตัวอีกครั้ง

“ขอถอนคำสาบาน พูดเร็ว!”

ไม่ใช่แค่เขย่าด้วย เขาร้องเร่ง ผมเลยกัดฟัน พยายามจะพูด

“ขะ...ขอ...แค่กๆ”

แล้วก็ไอออกมา พี่อินทร์กอดผมไว้แน่น มือก็ถึงขากางเกงผมขึ้นก่อนจะสบถออกมา

“ฉิบ! จิรีบพูดเร็ว!”

ให้เดานะ รอยฟ้าผ่ามันคงลามไปทั่วทั้งตัวผมแล้ว ผมก็พยายามจะพูด แต่ตั้งสติไม่ได้เลย ร่างกายก็อ่อนแรงยิ่งกว่าเดิมจนควบคุมไม่ได้ วินาทีนั้นเองที่ผมได้ยินเขาพึมพำอะไรบางอย่าง

“แลกด้วยอะไรก็ได้ จะยอมแลกทุกอย่าง ให้เขาเลิกรักผมก็ได้ แต่ขอให้จิระมีชีวิตอยู่ ได้โปรด...องค์ประตาระกาหลา จะผีห่าซาตานที่ไหนก็ได้ ช่วยคนรักของผมด้วย...อย่าให้เขาตาย ช่วยเขาด้วย...”

พี่อินทร์เริ่มพูดไม่เป็นภาษา ละล่ำละลักไปหมด ผมเลยสูดหายใจเข้าปอด ฝืนเปล่งเสียงออกมาในวินาทีนั้น

“ขอ...ถอนคำสาบานว่าจะไม่ญาติดีกับอิเหนา ผมรักเขา...อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป...”

พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็พร่าเลือนทันควันเหมือนมีแสงสว่างวาบประกายเข้ามาในดวงตาจนทำให้มองอะไรไม่เห็น และไม่ใช่แค่ดวงตาเท่านั้นที่พร่าเลือน หัวของผมก็เลือนรางไปหมด เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงของพี่อินทร์ที่ร้องโวยวายขึ้น

“จิ! จิระ! อย่าหลับนะ!”

พี่อินทร์...

จิไม่ไหว...แล้ว

 

กลิ่นยาและกลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาลเป็นสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ผมยังคงงุนงงกับภาพที่เห็นอยู่

เพดานสีขาว... บรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนไป...

พอพลิกตัวก็เห็นว่าที่แขนของตัวเองมีสายห้อยระโยงรยางค์อยู่ มันเป็นสายน้ำเกลือ...

โรงพยาบาลจริงๆ ด้วย...

มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

นอนนิ่งคิดไปชั่วครู่ แต่เหมือนสมองจะไม่ทำงานสักเท่าไรเพราะผมจำไม่ได้เลยว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอนนี้รู้แต่เพียงว่าลำคอแห้งผากไปหมด

ผมค่อยๆ ดันตัวขึ้น อยากจะดื่มน้ำเต็มแก่ แต่ไม่เป็นผลสักเท่านักเพราะร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด ทว่าพอผมนิ่งไป พลันก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

“พี่บุศย์! พี่วิญ! จิรู้สึกตัวแล้ว!”

“จิระ!”

จากนั้นก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้นมา พริบตาเดียว รอบตัวผมก็มีคนมายืนรายล้อม ผมมองหน้าแต่ละคนก่อนที่จะนึกสงสัย

พี่บุศย์... พี่วิญญู… สรัล...

เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่?

แต่ไม่มีใครให้คำตอบผมเลย ทุกคนดูอลหม่านไปหมด แถมเสียงพี่วิญญูก็ดังขึ้นแทรกความคิดผมด้วย

“รู้สึกตัวแล้วจริงๆ ด้วย! รีบเรียกหมอเลยบุศย์ สรัลรีบโทรไปบอกไอ้อินทร์ด่วนเลย ไม่ต้องกินแล้วข้าวน่ะ รีบกลับมาก่อน”

ทั้งสองคนรีบทำตามที่เขาว่าอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ได้แต่นิ่งงัน กะพริบตาปริบ มองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความงุนงง ก่อนที่พี่บุศย์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ผมมากที่สุดจะเป็นคนทำลายความเงียบขึ้น

“จิ! ได้ยินที่พี่พูดไหม”

ผมพยักหน้าช้าๆ เท่านั้นสีหน้าตื่นตระหนกของพี่บุศย์ก็ดูโล่งใจขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่จนสุดท้ายก็ต้องโพล่งออกไปจนได้

“จิ...อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“โรง’บาลน่ะ”

“โรง’บาล?”

“อืม”

“แล้วป้ากับลุงจิ...”

คิดว่าถ้าผมเข้าโรงพยาบาล ป้ากับลุงของผมจะต้องมาเฝ้าเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่พี่บุศย์กลับส่ายหน้า

“ป้ากับลุงจิอยู่ที่ไทย ใจเย็นๆ นะจิ อาจจะสับสนหน่อยๆ เพราะจิหลับไปหลายวัน พักก่อนนะ”

ผมก็อยากจะพักอยู่หรอก แต่ที่เมื่อกี้เขาบอกว่าลุงกับป้าผมอยู่ที่ไทย มันหมายถึงอะไร

“ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยเหรอครับ”

พอถามไปอย่างนั้น พี่บุศย์ก็พยักหน้า

“อืม โรง’บาลที่อินโดนีเซีย”

โรงพยาบาลในอินโดนีเซียงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ผมย่นคิ้วไปเล็กน้อย มองภาพทั้งสามคนกระโดดโลดเต้นดีใจกันไปมาไม่หยุด ในหัวก็มีคำถามเต็มไปหมด ก่อนที่ประตูห้องจะถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือของ...

“จิ!”

...ใครบางคน

แวบแรกผมนึกว่าหมอเพราะเมื่อกี้พี่บุศย์กดปุ่มเรียกไป แต่คนที่โผล่เข้ามานั้นก็ทำให้ผมต้องย่นคิ้ว ขณะที่เขาพุ่งพรวดมาที่ผม ก่อนคว้าแขนไปจับพลางเลิกแขนเสื้อขึ้น

“หายแล้ว!”

เขาว่าด้วยน้ำเสียงดีใจสุดกำลัง และก่อนที่ผมจะได้ถามอะไร ท่อนแขนใหญ่ก็รวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น

“จิหายแล้ว! คำสาบานหายไปแล้ว!”

ผมเกร็งตัวแข็ง ดวงตาเบิกโพลงโดยอัตโนมัติด้วยความตกใจ พอตั้งหลักได้ก็ดันร่างของคนตรงหน้าออก มองใบหน้าหล่อที่ระบายยิ้มจนเต็มก่อนจะแทรกขึ้น

“พี่...”

“ว่าไงจิ ว่าไง”

เขารีบถามก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยซ้ำ ขณะที่ผมได้แต่ย่นคิ้วยู่จนรู้สึกตัวเลยว่าตอนนี้คิ้วเป็นปมไปแล้ว เห็นเขาดีใจที่ผมรู้สึกตัวขนาดนั้น ผมก็ไม่กล้าพูดอะไร กระทั่งเขาจับไหล่ผมทั้งสองข้างให้หันไปมองแล้วถามซ้ำ

“ว่าไงจิ มีอะไรครับตัวเล็ก”

ตัวเล็ก...

คำนั้นทำให้ผมชะงักไปครู่ คำสรรพนามแทนตัวนี้ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าจะถามออกไปไหม แต่สุดท้ายก็อดทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เอ่ยเสียงแหบแห้งถามออกไปจนได้

“พี่...”

“...”

“...เป็นใครครับ”

“แน่ะ ตื่นมาปุ๊บก็เล่นมุกปั๊บเลย เล่นมุกเป็นคนความจำเสื่อมนี่เอาท์มากนะจิ ไม่เอาๆ เลิกเล่น”

เขาว่ายิ้มๆ แต่ผมสาบานเลยว่าผมไม่ได้เล่นมุก ผมไม่รู้จักเขาจริงๆ และพอผมนิ่ง รอยยิ้มบนหน้าของเขาก็ค่อยๆ เจื่อนลง

“เอาจริงดิ”

“...”

“จำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอ”

ผมส่ายหน้า เขาดูเหมือนจะมีสีหน้าดีขึ้น แต่ทว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปหลังจากนั้นก็ทำให้เขาต้องนิ่งงัน

“ไม่ใช่จำไม่ได้นะครับ แต่...”

“...”

“ผมไม่รู้จักพี่เลยต่างหาก”

เขา...เป็นใครกันนะ

--------------------------------

เมื่อวานว่าจะอัป แต่สังขารไม่ไหวมากๆ เลยยกยอดมาวันนี้แทนนะคะ

อ่านแล้วไม่ต้องใจบาง มันก็ไม่ได้ดราม่าขนาดน้านนน มีคอเมดี้สลับกันไปเป็นระยะค่ะ มันกำลังเข้าปมสุดท้ายของเรื่องละ แม่ๆ คนไหนที่หมั่นไส้ปี้อินทร์ที่บอกเลิกนว้องจิไปคราวโน้น ตอนนี้ถึงเวลาเอาคืนแล้วค่ะ 555

ฝากกำลังใจไว้ด้วยเน้อ


ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เอ้า งานเข้าแล้วละพี่อินทร์เอ้ย น้องจำทุกคนได้หมดยกเว้นตัวเองนี่คงไม่ใช่เพราะตอนนั้นพูดไปหรอกนะว่าขอให้จิหาย จะยอมแลกกับการที่น้องไม่รักก็ได้น่ะ แต่ก็ยังดีนะที่ถอนคำสาบานได้แล้วหลังจากนี้คงขึ้นกับฝีมือของอิพี่อินทร์ล้วนๆแล้วละ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เอ้า พี่อินทร์งานเข้าละเหวย สู้ๆเข้านะ

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
เราว่าองค์ประตาระกาหลา แกล้งลูกหลานตัวเองเล่นซะมากกว่า 555 พี่อินทร์จีบน้องใหม่ซิ เริ่มต้นใหม่นะจะได้ไม่ต้องทำอะไรอ้อมโลกอีก

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เอาแล้วไง อินทร์ดันไปพูดว่าแลกกับอะไรก็ได้ให้จิเลิกรักก็ได้ ก็เลยเป็นอย่างนี้ไง

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปวดตับอีกแล้ว น้องจิหาย นังเหนา แกนั่นแหละ รีบไปถอนสาบานด่วนเลย  :m16:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
นว๊องจวิ รอดแล้ว~ :hao5:  ตอนนี้คือเวลาแกล้งพี่อินทร์คืนแล้ว~ อิอิ :hao7:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แง่ะ ก็พี่อินทร์ดันพูดไปว่าจะยอมแลกทุกอย่าง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด