Ep. 14
[รบ]
ผมทำงานที่ร้านแบล็คแพ็คมาได้ครบหนึ่งเดือนแล้วครับ
ใจจริงผมก็ไม่อยากจะข้ามวันเวลาที่ผ่านมาให้คุณคนอ่านพลาดไปหรอก แต่มันไม่มีอะไรตื่นเต้นให้เล่าเลยสักนิด เอ่อ...ถ้าจะให้พูดจริงๆ ล่ะก็...มันก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดกับผมอยู่บ้างสองสามครั้ง
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องบนเตียงของผมกับไอ้ธนูหมดเลย
เอ่อ...พูดมาถึงขนาดนี้แล้วแสดงว่าผมต้องเล่าใช่มั้ย งั้นก็เอาแบบคร่าวๆ ก็แล้วกันนะครับ
มันจะมีบางวันที่ไอ้ธนูมันเอาแต่ใจอยู่บ้าง เราจำเป็นที่จะต้องจบลงที่ในร้านกลางวันแสกๆ บริเวณชั้นสองบ้าง ห้องน้ำบ้าง ซอกหลืบแถวๆ หลังร้านบ้าง (โอย นี่ผมต้องเล่าจริงๆ เหรอ) ผมไม่รู้ว่าผมยอมแม่งได้ยังไง แต่มันก็มีวิธีที่ปลุกกระตุ้นผมในแบบของมัน
มันชอบเดินมาแอบบีบสะโพกผม...
ทีแรกผมนึกว่ามันแกล้ง ที่ไหนได้แม่งเดินวนมาแต๊ะอั๋งอยู่นั่น ผมด่าจนไม่รู้จะด่ายังไง แต่พอเราอยู่กันสองต่อสอง ในที่ที่ไม่มีสายตาของผู้คน...ธนูมันก็ดึงตัวผมเข้าไปหาเลย
จากนั้นผมก็...ยอม
ผมเองก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าบางทีผมก็ชอบความตื่นเต้น ชอบท่ายืนในซอกหลืบไม่ก็เซ็กส์ด่วนๆ ในห้องน้ำ แต่ผมสาบาน...ที่ผ่านมาผมไม่เคยจัดการกับใครในที่ที่ผมโดนธนูจัดการ มันแปลกใช่มั้ยครับที่ผมมานิยมชมชอบมันทีหลังน่ะ
โชคดีที่ธนูเองก็ดูกาลเทศะ ไม่ได้มีความต้องการตลอดเวลา ถ้าวันไหนทางไม่สะดวก อย่างเช่นลูกค้าล้นร้านงานล้นมือ หรือมีเพื่อนๆ ของเราเดินอยู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง วันนั้นไอ้ธนูกับผมก็จะอดกันไป
แต่มันก็จะมีบางวันเช่นเดียวกันที่ผมกับมันไปลงเอยที่โรงแรม
หากเป็นโรงแรมล่ะก็...ในหัวของผมจะไม่มีคำว่าเซ็กส์ด่วนๆ อยู่เลย เพราะธนูมันจัดให้ผมทุกรูปแบบ ละมุนเนิบนาบลามไปจนถึงเร่าร้อนรุนแรง อาจเพราะสถานที่เป็นใจรวมไปถึงเรามีเวลากันเยอะ ถึงได้มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบเกิดขึ้น
นั่นแหละครับคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้น่าหวั่นวิตกเลย ร้านกำลังไปได้สวยและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ธนูจะตัดความกังวลไปได้หากร้านยังรักษาระดับอยู่ เพราะพ่อของมันไม่ได้กำหนดนี่ว่าว่าร้านต้องได้กำไรเท่าไหร่ถึงจะยังคงสภาพเป็นร้านของธนูต่อไป
เพราะฉะนั้น...กำไรห้าบาทสิบบาทผมก็จะนับ
ส่วนเรื่องของผมกับเพื่อนๆ เราไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับพวกเอกดนตรี แม้ในตอนแรกๆ จะมีท่าทีอึดอัดต่อกันอย่างเห็นได้ชัด แต่เพื่อนมันก็เหมือนผม เมื่อได้สัมผัสอีกมุมหนึ่งของคนพวกนี้...ความชังน้ำหน้าก็เริ่มลดลงมาจนในที่สุดก็อยู่ในระดับเพื่อนที่รู้จักกันและร่วมงานกัน
ธนูมันก็ดูแลผมดีอย่างที่มันเคยพูดกับเพื่อนผม แถมเพื่อนๆ ของมันก็ไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย ฉะนั้นเพื่อนของผมจึงไม่ตั้งข้อสงสัยอะไรใดๆ อีก ตอนนี้ทุกคนจึงหันมาให้กำลังใจไอ้ชู้ตที่ยังคงต้องไปเฝ้าอาการแม่ของมันอยู่...ซึ่งข่าวล่าสุดก็คือแม่ของมันอาการดีขึ้นมาก อาจจะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็จะได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว
วันที่ผมกับคนอื่นๆ รู้ข่าวแม่ของชู้ต...ทุกคนดีใจมากที่แม่ของมันกำลังจะได้กลับบ้าน ตอนที่กำลังคุยกันอยู่ ธนูมันเดินผ่านมาได้ยินพอดี มันกวักนิ้วเรียกผมยิกๆ ให้ผมเข้าไปคุยกับมันส่วนตัว สีหน้าของมันกังวลไม่น้อย
‘แม่ชู้ตหายดีแล้ว...มึงกับเพื่อนจะลาออกจากร้านกูไปป่ะเนี่ย’
ยิ่งคบมัน...ภาพความน่ากลัวของมันก็ยิ่งหายไปจากความทรงจำ อาจเป็นเพราะมันไม่เคยแสดงท่าทางน่ากลัวออกมาใส่ผม และแม่งก็ชอบทำใส่คนอื่นน่ะ
‘เป็นแฟนเจ้าของร้านมันลาออกได้ด้วยเหรอ’
พอได้ยินคำตอบของผม ไอ้ธนูมันก็ทำสีหน้าอุ่นใจ มันขยี้ศีรษะของผมแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะเดินเลี่ยงไป...ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มตามหลังมัน
ครับ...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างผมกับธนูไม่ได้มีแค่นั้น มันจะมีบางครั้งที่มันแอบหงุดหงิดบ้างที่ผมตัวติดกับเพื่อน แต่พอไปง้อ...แป๊บเดียวแม่งก็หาย (บางทีผมก็ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวนิดหน่อย) หึงผมกับลูกค้า (อันนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ) หึงผมกับไอ้การ์ด (อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าแม่งเกิดขึ้นได้ยังไง) แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ...การเล่นอินสตาแกรมของผม
ผมไม่ได้อัพรูปมานานก็เพราะมัน...มันคนเดียวเลย
‘อย่าเข้าไอจีนะ’
‘เลิกเล่นไอจีเหอะ’
‘มึงจะอัพรูปให้ใครดู ถ้าอยากให้กูเห็นก็ส่งมาให้กูดูคนเดียวสิวะ’
‘ไม่ชอบคนที่เข้ามาเมนต์ให้มึงอ่ะ’
มันเอาแต่ย้ำเรื่องการเล่นไอจีของผมซะจนผมนึกสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมต้องเข้าไปส่องดูไอจีของตัวเองว่ามันมีอะไรผิดปกติ แต่ไม่ว่าจะหายังไง ผมก็ไม่เจอต้นตอที่ทำให้ธนูระแวงขนาดนี้
จนกระทั่งวันนี้...วันที่ผมอัพสตอรี่ถ่ายตัวเองแบบบูมเมอแรงว่าทำงานอยู่ที่เดิม (แน่นอนว่าผมหวังประชาสัมพันธ์ร้านแบล็คแพ็คในทางอ้อม) ใครบางคนก็ทัก Direct message เพราะสตอรี่อันนั้น
ผมคิดว่า...ผมไม่น่าเข้าไปเช็กดูเลย
nateenatee :
น่ารักมือของผมสั่นอย่างลนลาน...เข้าใจแล้วว่าทำไมธนูมันถึงระแวงการเล่นแอปไอจีของผมนักหนา บางทีมันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าพี่นทีติดตามผมอยู่
แม้ในใจจะตื่นกลัวและตกใจ แต่ก็อดรู้สึกนับถือธนูมันไม่ได้ที่ควบคุมอารมณ์ได้นานขนาดนี้ เพราะปกติแม่งคงโยนมือถือทิ้งไปแล้ว...ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
ธนูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม...ส่งสายตามามองด้วยความงุนงงว่าทำไมผมถึงมีอาการแปลกๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
ผมถอนหายใจ ถ้าเริ่มทำตัวมีความลับตอนนี้ ผมก็คงจะมีความลับตลอดไป ซึ่งมันไม่ดีต่อความสัมพันธ์ของเราแน่นอน
“สัญญามาก่อนว่าจะไม่หัวร้อน” เราอยู่ในร้านไอศกรีมกลางแจ้งที่ถึงแม้คนจะเดินผ่านไปผ่านมาน้อยเนื่องจากเป็นเวลาสายๆ แต่นั่นมันก็ไม่มากพอสำหรับการเป็นหลักประกันว่าธนูมันจะไม่กล้าอาละวาด
“อืม” เสียงของมันเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมเชื่อว่าในใจมันคงเดาออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง
มือของผมเลื่อนโทรศัพท์ของผมไปให้มันดู หน้าจอยังเป็นข้อความจากพี่นทีอยู่เลย
มันมองหน้าผม...จากนั้นก็กดบล็อกพี่นทีอย่างรวดเร็วแล้วส่งโทรศัพท์คืนผม
“มึง...” ผมพึมพำอย่างไม่พูดออกบอกไม่ถูก ธนูในตอนนี้แม่งน่ากลัวกว่าตอนโวยวายซะอีก เพราะมันไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย “คือ...”
“...”
“มึงโอเคนะ”
“ดูมือกูสิ” มันยกมือที่สั่นอยู่ให้ผมได้ดู สีหน้าของมันแดงก่ำแต่ก็ถือว่ามันสะกดกลั้นอารมณ์ได้ดีมาก “กูไม่อยากงี่เง่าใส่มึง เพราะมันไม่ใช่ความผิดของมึง”
“กูเพิ่งรู้ว่าพี่เขากดติดตามกู”
“กูรู้นานแล้ว” มันผลักชามไอศกรีมส่งมาให้ผม “กูโกรธ กูโมโห แต่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับมึงนะ...วางใจได้”
ยังไงผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี...
“มึงระบายออกมาได้นะ” ผมค่อยๆ พูดออกมา “มึงเก็บเอาไว้มานาน มันดูไม่ใช่มึงเลยว่ะ”
“มันน่ากลัว...กูย้ำกับมึงหลายครั้งเพราะมันน่ากลัว”
“กูอาจจะรับไหวก็ได้”
มันหยิบมือถือของผมขึ้นมา...ทำท่าจะเขวี้ยงแต่ก็ไม่เขวี้ยง หัวใจของผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะถ้ามันเขวี้ยงทิ้งไป มันก็จะกลายเป็นอะไรที่เกินสิ่งที่ผมคาดคิดเอาไว้จนเกินไป
“มึงรับไม่ไหวหรอก” มันถอนหายใจในที่สุด วางมือถือของผมลงกับโต๊ะที่เดิม “ดูจากแววตาเมื่อตะกี้...กูก็รู้แล้ว”
มันไม่ใช่ว่าผมรับไม่ไหว...แต่ผมตกใจต่างหาก
ผมลอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย มันรู้ว่ามันจะออกอาการแบบนี้ มันถึงได้พยายามข่มทุกทางเพื่อให้มันเป็นปกติมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่มันทำ...มันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย
มันทำเพื่อผม...
ผมขยับฝ่ามือไปเกาะกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วยิ้ม “เห็นมั้ยว่ากูไม่ได้ตอบอะไรพี่คนนั้นเลย”
“เห็น”
“สบายใจแล้วใช่มั้ย”
ดวงตาของมันขยับขึ้นมามองผม จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก “กูชอบที่มึงบอกกูทุกอย่าง”
“เพราะกูรู้ไงว่ามึงจะเป็นยังไง” ผมตอบ “ถ้ากูปิดบังเอาไว้...มึงคงเขวี้ยงมือถือกูทิ้งแน่ๆ”
“อืม”
“...”
“กูคงทำงั้น”
แม่งไม่ได้มีความคิดว่าช่วงนี้ข้าวยากหมากแพงเลยสักนิด...
“อย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปคุยกับมัน อย่าไป...มองหน้ามัน” ธนูกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ “เข้าใจมั้ย”
ผมพยักหน้าเบาๆ...ทดเอาไว้ในใจว่าห้ามให้คนที่ชื่อนทีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับธนูเด็ดขาด
แต่ก็นะ...เหมือนสวรรค์จะไม่ฟังคำวิงวอนของผม
ไม่สิ...เหมือนพี่นทีมันจะไม่ยอมให้กลายเป็นแบบนั้น
ตอนที่ผมกับธนูกลับมายังร้านในเวลาบ่าย...สถานการณ์ในร้านก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
เมื่อเพื่อนๆ ของธนูเห็นว่าธนูมันกลับมา สีหน้าพวกมันโล่งใจชนิดที่ว่าผมนึกว่ามันเห็นพ่อพระมาโปรดยังไงยังงั้น
พี่นที...คือแขกที่เข้ามาเยี่ยมในบ่ายวันนี้
เขามองธนูยิ้มๆ ก่อนจะตวัดสายตามามองผม ธนูตวัดสายตาหันมามองผมพร้อมส่งสัญญาณ ผมจึงถอยหลังกรูดจนหลังเกือบไปชิดติดประตูหน้าร้าน
ไอ้เบียร์มันเคยแซวผมผมว่าผมเป็น ‘คนกลัวผัว’
กูแค่เกรงใจเฉยๆ!
หัวใจผมเต้นแรงไม่หยุด ไม่ใช่เพราะพี่นทีมีความละม้ายคล้ายคลึงธนูอยู่หลายส่วน แต่เป็นเพราะที่ผ่านมา...ธนูมันย้ำกับผมหลายรอบว่าคนคนนี้คือคนที่ผมห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด พอได้มาเจอตัวจริงอีกครั้งมันก็อดรู้สึกหน่วงหนักในหัวใจไม่ได้
กลัวฉิบหายว่าธนูจะหลุดจากอารมณ์ที่มันข่มเอาไว้อยู่
“สิ่งที่กูกลัวเหมือนจะจริงแฮะ” พี่นทีพูดกับน้องชายต่างแม่ “กูนึกว่ารบจะเป็นของเล่นแก้เบื่อของมึง...แต่กูมาเห็นกับตาแล้ว ดูเหมือนว่ารบจะเป็นมากกว่าของเล่นของมึงสินะ”
“การ์ด” เสียงธนูดังมากซะจนคนถูกเรียกอย่างการ์ดถึงกับสะดุ้งโหยง “วันนี้พื้นดูสะอาด”
ธนูก้มตัวลง...ถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่ง...
“เหมาะกับการถอดรองเท้าเดิน”
...จากนั้นก็โยนใส่พี่นที
พี่นทีเอียงคอหลบได้ แต่มีสีหน้าขุ่นเคืองไม่น้อย มีแต่ผมคนเดียวที่ตกใจกลัวจนแทบจะเอายกเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ของธนูดูเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ดี
ทุกคนพร้อมเข้าไปรุมพี่นทีชนิดที่ว่าแค่รอคำสั่งธนูเท่านั้น...
“กวนตีนนะมึง”
“ที่นี่ไม่ต้อนรับ”
“กูเป็นลูกค้า”
“มึงเป็นลูกค้าที่เป็นแบล็คลิสต์”
“กูแค่จะมาดูหน้า...” พี่นทีหันมาหาผม ผมค่อยๆ อาศัยเสาที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ ช่วยให้ผมหลบพ้นสายตาของเขา “มึงคงเล่าเรื่องของกูให้เขาฟังเยอะเลยสินะ” ท้ายประโยคเขาหันไปคุยกับธนู
รองเท้าอีกข้างของธนูลอยไปยังจุดจุดเดิม...คราวนี้โดนอกของพี่นทีเต็มๆ
“ไอ้เหี้ย” ใบหน้าของพี่ชายธนูไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่แล้ว
“จะกลับไม่กลับ...ถ้ามึงไม่กลับ กูไม่หยุดอยู่แค่รองเท้าแน่”
ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าสิงพี่นทีถึงได้กล้าเข้ามาในร้านนี้คนเดียวโดดๆ เมื่อเห็นว่าอยู่ไปก็มีแต่จะเป็นภัยกับตัวเอง ผมจึงเห็นเขาลุกขึ้นยืนในเวลาต่อมา
เท้าของผมขยับอย่างรู้หน้าที่ตัวเอง แต่พี่นทีก็ไม่วายมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพอดี
เวรกรรม นี่ผมอุตส่าห์พยายามเลี่ยงอย่างสุดๆ แล้วนะ
“ทำไมไม่ตอบดีเอ็ม”
ผมไม่กล้าตอบ...หางตาของผมมองเห็นธนูกำลังจะพุ่งตรงเข้ามากระชากพี่ชายของตัวเองอยู่รอมร่อ ผมไม่อยากให้ร้านซึ่งกำลังไปได้ดีต้องกลับมาพังอีกครั้งเพราะอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของธนู...
...ผมจึงเลือกที่จะเดินหนีไปแทน
ไม่รู้ว่าคนที่ถูกผมเมินจะทำหน้ายังไง...แต่ดูเหมือนบรรยากาศในร้านจะกลับมาสงบอีกครั้งเมื่อเขาคนนั้นเดินจากไป
ธนูหายใจหอบ...มันดูโกรธจัดแต่พยายามที่จะไม่ระบายความโกรธนั้นออกมา มันเดินมาจับไหล่ผมพร้อมกับบีบแน่นจนใบหน้าของผมเหยเก ในที่สุดมันก็ปล่อยผม
“ขอโทษ” มันกระซิบ “และก็...ขอบคุณมาก”
ใครบ้างจะไม่รู้จักแฟนตัวเอง และใครบ้างจะไม่เข้าข้างแฟนตัวเอง...
“ก็กูเป็นแฟนมึง”
“ขอไปยิม” มันบอกผม “ไม่ไหว...รู้สึกอยากต่อยใครสักคน เอ๊ย กระสอบทราย”
“โอเค”
ธนูหอมแก้มผมเร็วๆ แล้วรีบเดินจากไป...การ์ดค่อยๆ ขยับมาคุยกับผม ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้
“มันคุมอารมณ์เก่งขึ้นเยอะเลย สงสัยคงเป็นเพราะมีความรัก”
“จริงๆ แล้วมันกลัวว่ามึงจะไม่ชอบมัน” ก้องเข้ามาเสริม “เวลาที่มัน...โกรธเกินไป”
“ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็นเลย” ผมบอกเพื่อนๆ ของธนู พวกมันมองตากันแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“อย่าเห็นเลยดีกว่า”
“ขืนเป็นแบบนั้นร้านคงพัง...ขายต่อไม่ได้แน่ๆ”
แม้แต่ตัวธนูเองยังบอกว่ามันน่ากลัว...ฉะนั้นผมจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าไม่ควรไปกระตุ้นต่อมโมโหขีดสุดของธนู กระทั่งทดลองเฉยๆ ก็ไม่ควรจะไปลอง ธนูมันบอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องนี้ มันคงกลัวจริงๆ ว่าผมจะรับไม่ได้ในสิ่งที่มันซุกซ่อนเอาไว้
จริงๆ แล้ว...ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นผมคงต้องพิจารณาตัวเอง
เพราะมันแปลว่าผมยังไม่สามารถทำให้มันไว้วางใจได้มากพอ
[ธนู]
ผมไม่เคยคาดคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถข่มอารมณ์โกรธได้นานถึงขนาดนี้
เพราะผมรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนใคร...เกิดมามีของรักของหวงไม่กี่สิ่ง (แถมบางชิ้นแม่งก็ใหญ่เท่าดวงจันทร์ซะด้วย...ไม่สิ มันคือดวงจันทร์นั่นแหละ) การที่ผมหวั่นกลัวว่าจะเสียของที่ผมรักมากที่สุดไปย่อมเป็นอะไรที่ทำให้ผมหวาดระแวง โมโหและหงุดหงิดได้ง่าย แต่ถ้าผมแสดงออกให้รบเห็นออกไปล่ะก็...มันต้องชิ่งหนีผมแน่
ฉะนั้นแทนที่ผมจะระบายอารมณ์กับกระสอบทราย...ผมจึงเลือกมาระบายกับต้นตอที่ทำให้ผมผิดปกติแบบนี้ ไอ้นทีขับรถออกจากร้านไปได้ไม่ถึงห้านาที ผมก็ขี่มอ’ไซค์ของผมไล่ตามจากนั้นก็ปาดหน้าให้มันหยุดรถของมันซะ
พอผมทำแบบนั้น...รถของพวกไอ้นทีก็มาล้อมหน้าล้อมหลังผมเต็มไปหมด
แปลว่ามันไม่ได้มาคนเดียวตั้งแต่แรก มันมาพร้อมกับพรรคพวกของมันนั่นเอง
ที่เคยขู่เอาไว้สงสัยแม่งไม่จำ...
“มึงลงมา” ผมเดินไปทุบกระจกรถฝั่งที่นทีมันขับ “ลงมา...เดี๋ยวนี้”
พวกของมันก้าวเท้าเข้ามา...พอเห็นว่าเจ้านายของมันลงจากรถ พวกมันก็แค่หยุดรอคำสั่งว่าจะเอายังไงกับผมต่อดี
ตอนนี้ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สามารถทำลายได้แม้กระทั่งรถทุกคันที่อยู่ตรงหน้า
นทียืนกอดอก เอนหลังพิงรถจ้องหน้าผม...
“คนนี้...กูให้ไม่ได้” ผมตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ “มึงได้ทุกอย่างจากกูไปแล้ว แต่คนนี้กูขอ มึงห้ามยุ่ง...ห้ามยุ่งเด็ดขาด”
นทีโบกมือไล่พวกของมันให้ขยับถอยห่างออกไปไกลๆ
“ก็ยังไม่คิดจะทำอะไรเลย” มันตอบผมกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่ม
ความนิ่งของมันทำเอาอารมณ์ผมคุกรุ่น “มึงแน่ใจนะ”
“ไม่รู้สิวะ” มันยักไหล่ ท่าทางยียวน “แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่าเขารู้สึกเหมือนกันกับมึง”
“...”
“แต่กูก็เห็นมันหลบกูแล้ว...ทั้งหลบตาและก็หลบหน้า ท่าทางมึงจะเลี้ยงมันมาดีมาก”
“มันเป็นแฟนกู”
นทีสะอึกไปเล็กน้อย “แฟน?”
“ใช่” ผมตอบก่อนจะกระชากคอเสื้อมันเข้ามา “กูจะบอกมึงเอาไว้...ทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงเอาไป กูไม่เคยนึกเสียดายมันเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่ถ้ามึงมายุ่งกับรบ...หรือทำอะไรมันแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็...”
“...”
“พี่ชายต่างแม่กูก็ฆ่าได้”
นทียกมืออีกครั้งเพื่อห้ามลูกน้องของมันไม่ให้เข้ามาช่วย ผมสะบัดคอเสื้อมันทิ้งอย่างไม่ปราณี พร้อมกับเดินหนีไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ผมคงจะชกหน้าก่อนพูดคุยไปแล้ว แต่พอมาคบกับรบเต็มตัว รบทำให้ผมมีเหตุผลมากขึ้น ทั้งๆ ที่ใจผมน่ะอยากชกหน้าพี่ชายคนนี้จะตายห่า เพราะอะไรน่ะเหรอครับ...
ผมยังจำได้ดีอยู่เลย ตอนที่รบแม่งด่าผมฉิบหายเรื่องที่ว่าผมไปบุกรังไอ้นที มันบอกว่าผมให้ผมคิดได้เองว่าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง...ไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลังอย่างมันเลยสักนิด
มันทำให้ผมใจเย็นลง...ทั้งๆ ที่มันก็อยู่เฉยๆ
แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเสือร้ายในตัวผมมันจะออกมาตอนไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรบ...และก็ไอ้คนที่มเพิ่งจะไปขู่มาล้วนๆ
เรื่องนี้แม่งคือจุดอ่อนของผมจริงๆ
[รบ]
ธนูหายไปนานเกินกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้
ตอนร้านปิดมันก็ยังไม่กลับมา...แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ได้ไปที่อื่นนอกจากยิม เพียงแต่ว่าวันนี้อาจจะใช้เวลานานหน่อยเพราะมันบอกว่ามันโคตรจะหงุดหงิด
ผมก็เลยตอบไปแต่เพียงว่า ‘อย่าไปเข้าใกล้อาม่าอาอึ้มก็แล้วกัน’
เย็นวันนั้นผมจึงตัดสินใจกลับบ้านเร็วเพราะธนูบอกว่าให้กลับบ้านได้เลยไม่ต้องรอมัน หลังจากเช็กจนแน่ใจว่ามันไม่ได้ไปบุกรังของใครที่ไหน ผมจึงยอมกลับแต่โดยดี
ตอนที่ผมกลับมา...บ้านผมก็ไฟดับหมดแล้ว รันกับแดดดี้คงหลับอยู่ ฉะนั้นผมจึงไขกุญแจอย่างเงียบเชียบที่สุด
“ต้องให้พ้นสายตาของธนูก่อน...ถึงจะยอมคุยใช่มั้ย”
ผมสะดุ้งจนทำพวงกุญแจหล่นลงกับพื้น...มีเงาดำตะคุ่มอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านของผม
เวรเอ๊ยยยยยยยยยยยย ทำไมต้องเป็นคนคนนี้ด้วยวะ
ผมมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่...แต่ไอ้พี่นทีเร็วกว่าผมเพราะมันเดินมาคว้าไหล่ของผมหมับ
“ก็จับตัวได้นี่หว่า...ไม่เห็นจะมีไฟช็อตอะไร”
ลำตัวของผมสะบัดมือใหญ่นั้นออก “อย่ามายุ่งกับผม”
“ออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”
“ผมไม่...”
“คุณพ่อกับน้องสาวดูน่ารักมากนะ สองคนนี้เขาเคยมีประสบการณ์กับพวกมาเฟียป่ะ”
ผมชักสีหน้าใส่ไอ้นที (เลื่อนขั้นให้กลายเป็นศัตรูเป็นที่เรียบร้อย) รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งที่มันใช้แดดดี้กับน้องสาวมาข่มขู่ผม แต่ก็นั่นแหละ...ตอนนี้มันทั้งรู้ที่อยู่ผมแถมยังรู้อีกว่าผมมีครอบครัวอยู่ในบ้าน จะให้ผมทำอะไรได้อีก
“คุณ เอ่อ พี่...”
“เลือกสักอัน”
“มึงห้ามมายุ่งกับครอบครัวกู”
อีกฝ่ายดูประหลาดใจนิดๆ ที่ผมเลือกใช้สรรพนามแบบนั้น...แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“เข้าใจแล้วว่าทำไมธนูมันถึงชอบ...มึง” มันใช้สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “สงสัยแม่งเบื่อความอ่อนหวาน เลยเปลี่ยนมาเป็นความรุนแรงป่าเถื่อน”
“หุบปาก” ผมผลักมัน
มันคว้าข้อมือผม “ออกไปคุยกัน”
“ไม่ได้”
“นี่ไม่ได้ยินคำขู่ที่กูเคยพูดไปเหรอ”
โว้ยยย หงุดหงิดฉิบ “ก็ได้”
ผมกัดฟันตอบรับ เดินนำมันออกมาจากข้างหน้าประตูบ้านเพื่อออกมาทางประตูรั้ว ผมมองดูแสงไฟจากห้องของรันกับแดดดี้ ทั้งคู่ยังคงหลับสนิทอยู่...
ผมจะลองเล่นตามเกมแม่งไปก่อน...ถ้ามีโอกาสสลัดตัวเองให้หลุดออกมาเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที
ธนู...กูขอโทษจริงๆ
[ มีต่อนะคะ ]