ความลับ
หลังจากที่ทำงานเสร็จก็เดินมาหาอะไรกินที่มินิมาร์ทแถวซอยหน้าคอนโด สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว วันนี้ยังไม่โดนข้าวสักเม็ด จมอยู่กับโปรเจ็คที่ต้องรีบทำให้เสร็จจนมารู้ตัวอีกทีก็เลยมื้อกลางวัน เย็น มาซะแล้ว
อากาศหลังฝนตกนี่โคตรหนาวให้ตาย
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดย้วยสีซีดกับกางเกงขายาวรองเท้าแตะฟองน้ำยืนสั่นอยู่หน้าตู้อาหารแช่แข็ง พร้อมกับเสียงสบถในหัวที่มีไม่ขาดนั่นคือผมเอง
กรุงเทพปีนี้แม่ง ฝนตกบ่อยกว่าปีก่อนๆ ชนิดที่ว่าเทียบกันไม่ติด
เลือกเอามาม่าทะเลเมนูประจำยื่นให้พนักงานอุ่นอย่างสิ้นคิด ของกินมีแต่แบบเดิมๆ หลับตาจิ้มยังถูกว่ามีอะไรบ้าง
เสร็จแล้วก็เดินไปหยิบน้ำยี่ห้อที่กินด้วยความเคยชินอีกเช่นกัน
นายอาทิตย์ หรือไอ้ซันที่เพื่อนเรียกกันคือชื่อของผม ที่อายุ 21 มาได้สามวันแล้ว เรียนคณะนิเทศศาสตร์เอกภาพยนตร์ ผลการเรียนคงที่ คะแนนไม่ถึงกับระดับท็อป แต่ก็ไม่ได้ห่วย หน้าตาเจ๊กๆแบบที่กำลังเป็นที่นิยมของสาวสมัยนี้บวกกับส่วนสูงเกินมาตรฐานที่ทำเอาฮอตระเบิด
อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ พวกสาวๆรุ่นน้องในคณะพูดมาแบบนี้อ่ะ
จ่ายเงินเอามาม่ามานั่งกินที่เก้าอี้ติดกระจกร้าน น้ำซุปร้อนๆกับอากาศภายนอกหนาวๆช่างคอนทราสท์แต่ก็ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก พาให้นึกถึงฉากในหนังอาร์ตเรื่องหนึ่ง คิดไว้ว่าจะเอาไปใส่ในงานครั้งหน้าถ้ามีพล็อตเรื่องคล้ายๆแบบนี้
กินไปเพ้อไปเสร็จแล้วก็เอาขยะไปทิ้ง เตรียมเดินกลับคอนโดในใจก็คิดแต่ว่า ถึงเตียงเมื่อไหร่จะนอนยาวเป็นตายให้ถึงวันมะรืน
แต่เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางสายตาดันเหลือบไปเห็นคนคุ้นตาผ่านทางกระจกร้านกาแฟที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเข้าพอดี
หน้าเรียวขาว ผมดำสนิทตัดกับสีปากแดงก่ำแบบนี้เคยเห็นที่ไหนนะ
เร็วเท่าความคิดขายาวๆก็พาตัวเองขึ้นบันไดเดินเข้าไปในร้านซะแล้ว ใครคนนั้นที่คุ้นตา กำลังนั่งสัปหงกกอดผ้าห่มอยู่ดูน่าสงสาร
ผมถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พลางมองหน้าคนหลับไปด้วย
เมื่อได้มองใกล้ๆจากความรู้สึกที่คุ้นหน้าก็กลายเป็นนึกออกได้เลาๆ เพื่อนต่างคณะที่เรียนวิชารวมด้วยกันสมัยปีหนึ่ง
จะว่าไป ขนตาสีอ่อนที่ลู่แนบกับแก้มขาวนั้น ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็น่ามองจริงๆ
แต่มองเพลินๆก็ต้องสะดุ้งตามเมื่อคนที่ถูกมองอยู่โพล่งลืมตาขึ้นแถมมองมาที่ผมด้วยท่าทางนิ่งไม่แสดงอารมณ์ มองเฉยอยู่อย่างนั้น เป็นผมเองที่ยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างกระดาก รู้สึกอายที่เมื่อกี้ไปจ้องหน้าคนอื่นเสียขนาดนั้น
“เอ่ อ วะ หวัดดี” เอ่ยทักออกไปเสียงสั่น ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจะต้องประหม่าขนาดนี้ คนถูกทักยังคงนั่งมองตาไม่กระพริบ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางเลยหัวเราะออกมาเก้อๆ
ให้ตายเถอะว่ะ
ไม่เคยคุยกับผู้ชายแล้วประหม่ามาก่อนเลย
อาทิตย์ มึง เป็นบ้าอะไรวะ
ตั้งสติแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เรา เอ้อ เราไปก่อนนะ” รีบลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินออกไป แต่กลับโดนคนที่นั่งนิ่งมาตลอดคว้าเสื้อยืดด้านหลังไว้ ผมที่ถูกดึงหันไปมองด้วยใจระทึก
ระทึกเพื่ออะไรก็ไม่รู้
“ไปนอนด้วยได้มั้ย” น้ำเสียงโมโนโทนของคนที่จับเสื้อถาม
“ฮะ ..” เหมือนปฏิกิริยาตอบรับโดยไม่รู้ตัว เมื่อกี้มัวแต่มองปากสีเข้มนั้นไม่ได้ฟังเลย
“ขอไปนอนด้วยได้มั้ย?”
.
.
.
.
ผมกำลังทำอะไรอยู่ ถามตัวเองก็ไม่ได้คำตอบ
นึกย้อนกลับไปเมื่อกี้นี้ ตอนที่ผมยังอึ้งอยู่ อีกคนกลับพูดด้วยเสียงโมโนโทนอย่างเดิม
‘เมทหนีออกจากบ้าน ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ ไม่มีกุญแจบ้าน’
‘เราชื่อไพลิน เอาบัตรประชาชนไปก็ได้นะ นายจะได้สบายใจ’
แค่สี่ประโยคเท่านั้น แค่สี่ประโยคมารู้ตัวอีกทีก็พาเด็กหอบผ้าห่มติดมาบ้านด้วยคนหนึ่งซะแล้ว...
ตามประสาคอนโดหรู ห้องที่นี่เป็นแบบเปิดโล่งกว้างๆ แบ่งเป็นสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยชัดเจน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ชั้นลอยเป็นส่วนที่ผมใช้นอน ตรงส่วนนั่งเล่นรกกว่าที่อื่นเพราะผมใช้มันทำงาน อุปกรณ์ในการเรียนต่างๆวางเกลื่อน อย่างกล้องตัวที่ตั้งอยู่ก็ราคาหลายแสน
นี่ถ้าอีกคนที่พามาเป็นโจร ผมคงต้องล้มละลายในการปล้นครั้งเดียวแน่
แล้วถ้าหน้าแบบนี้เป็นโจรขึ้นมาจริงล่ะ ปล้นอย่างเดียวไม่เท่าไหร่ ถ้าปล้น แล้วฆ่าด้วย...
ชิบหาย....
ผมรีบอาบน้ำและไล่เรื่องราวสะระตะออกไปจากหัว
เพราะเรียนเกี่ยวกับอะไรแบบนี้ด้วยหรือเปล่าทำให้ผมเป็นคนที่ชอบจินตนาการเรื่องบ้าบอได้เป็นตุเป็นตะ หลายๆเรื่องก็ปัญญาอ่อนเอามากๆด้วย
ใส่เสื้อผ้าเสร็จเดินเช็ดผมออกมาก็ยังเห็นอีกคนนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิมที่ให้นั่ง ในมือถือรีโมททีวี เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนที่ตั้งใจดูโฆษณามากขนาดนี้ครั้งแรก ปกติทุกคนมักจะเปิดหนีเวลาเจอโฆษณาหรือเปล่า
“จะเที่ยงคืนแล้ว นายจะนอนเลยมั้ย”
“อือ นอนเลยก็ได้” อีกคนตอบรับ ปิดทีวี เดินตามมา ก็เป็นครั้งแรกอีกน่ะแหละที่จะต้องนอนกับคนที่เพิ่งเจอกันวันแรก
แล้วจะนอนหลับเหรอ ...
คำตอบคือ ไม่
สายตาที่เริ่มปรับให้ชินกับความมืดกระพริบมองร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงเคียงกัน
จะทำยังไงดีล่ะ นอนกับคนไม่สนิทจะหลับลงง่ายๆได้ยังไง
เหล่มองคนที่นอนอยู่ด้านซ้าย ก็นอนนิ่งกอดผ้าห่มที่พกมาด้วยอย่างสงบ มีแค่ความเคลื่อนไหวพะเงิบๆของผ้านวมที่ทำให้รู้ว่าอีกคนยังหายใจอยู่
มือใหญ่งุ่นง่านควานหาโทรศัพท์ที่ซุกไว้ใต้หมอนออกมากดพิมพ์ข้อความ
: ชาวี กูนอนไม่หลับว่ะ
ทักแชทไปไม่ถึงครึ่งนาที เพื่อนสนิทก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
: วีก็พอมั้ง สัด
: ทำไม
: กลัว
: กลัวไรวะ พิมพ์ยาวๆกูไม่รู้เรื่อง
: กูให้คนอื่นมานอนด้วยที่ห้อง ตอนนี้กูเลยนอนไม่หลับเนี่ย
: เอ๊า คนอื่นไหน
: นอนอยู่ที่ไหน
: นอนข้างกูเนี่ย
: มึงจำคนคณะจิตวิทยาตอนสมัยเรียนจิตมนุษย์ได้ป่ะ ตอนปี1คนที่ตัวขาวๆ เหมือนผู้ดีๆ
: เคยจับได้ทำงานกลุ่มด้วยกันครั้งหนึ่ง
: ผู้ชาย
: ที่ชอบใส่เสื้อลายสก็อต?
: เออ มั้ง
: มั้งพ่อง
: เสื้อลายสก็อตไม่รู้จักเหรอ
เสื้ออะไรแม่งก็เหมือนๆกันหมดไม่ใช่เรอะ!
: เออ เสื้อลายสก็อต ที่ยิ้มหวานๆอ่ะมึงจำได้ยัง
: กูคิดว่ากูนึกออกละ ไพลิน?
: เออ เค้าชื่อไพลิน
: เค้ามานอนกับมึงได้ไงวะ
: เค้าขอมานอนด้วย
: วี กูเริ่มกลัวว่ะ เค้าจะทำไรกูเปล่าวะ ไม่กล้าหลับแล้วเนี่ย
: เค้าไม่ทำไรมึงหรอก เชื่อกู
: ถ้าตื่นมาตอนดึกปาดคอกูทำไงอ่ะ
: เพ้อเจ้อไอ้สัด
: นอน
: เค้าอ่ะควรกลัวมึง ไม่ใช่มึงไปกลัวเค้า
: เอ๊า นี่กูเพื่อนมึงไงวี กูเอง
: แดกเอ็มร้อยแล้วนอนไปจะได้หายฟุ้งซ่าน
: ไม่คิดจะห่วงกูเลยย
: มึงน่ะอย่าทำอะไรเค้าล่ะ กูขี้เกียจไปประกันตัว
โหะ! ดูมันพิมพ์
แม่งเห็นเพื่อนเป็นคนยังไงเนี่ย ทำไมไม่เป็นห่วงผมเลยวะ
ถึงผมจะตัวสูงผิวแทนแต่ไม่ใช่ว่าจะสู้คนนะเว้ย
พอเพื่อนไม่คุยด้วย ผมก็เลยกอดโทรศัพท์ไว้แนบอก พลิกซ้ายทีขวาที่อยู่ไม่สุข เริ่มมีความคิดว่า จะโทรหาเพื่อนสักคนเพื่อขอไปค้างที่ห้องคืนหนึ่งได้มั้ย
ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนี้ด้วยวะ การเป็นคนดีนี่มันอยู่ยากจริงๆนะ
"นอนไม่หลับเหรอ..."
จ๊าก!
เสียงเบาๆดังมาจากทางด้านหลัง ผมหันคอไปมองช้าๆ หน้าของไพลินภายใต้เสียงสลัวๆหันมาทางผม ดวงตาสะลืมสะลือพยายามจ้องมอง
...ละเมอ?
ละเมอหรือเปล่าวะ
"หรือฝันร้าย" เขาพูดต่อเมื่อผมไม่ได้ตอบ
อ่า โอเค พูดกับผมสินะ ไม่ได้ละเมอนะ
"ปกติเรานอนตอนกลางวัน มันเลยไม่ค่อยง่วง"
กับผีดิ
แม่ง อยากนอนจะตายอยู่แล้ว แต่ต้องลืมตาค้างเพราะกลัวนายเนี่ยแหละ
ผมพลิกตัวหันหนีแบบเนียนๆ เอาจริง เขาดูกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะฝันว่าคุยอยู่กับผมก็ได้
แปะ
ผมสะดุดเมื่อสัมผัสบางอย่างกดลงที่ศีรษะ พอคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าคือมือเรียวๆข้างหนึ่ง วางแปะอยู่บนหน้าผาก ผมเบิ่งตาค้าง
เอาจริงๆตกใจจนแทบกรี๊ด
นึกว่ามือผี
"ชู่ว นอนๆ นอนนะ ไม่มีอะไรหรอก"
เดี๋ยววว
ชู่ว คืออะไร!
"แค่ฝันร้ายเอง"
"แค่ความฝันน่ะ..."
เสียงที่ฟังดูทุ้มคือเสียงของผู้ชาย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกสะลึมสะลือตามเหมือนโดนรมยา
มือบางลูบศีรษะให้เบาๆ เป็นจังหวะเนิบๆ ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมวอ้วนโง่ๆที่พอโดนลูบหัวก็เคลิ้มตาจะปิด
มันเป็นแบบนั้นเลย
หนังตาที่หนักอึ้งนี้
เสียงโมโนโทนพูดขึ้นอีก
"แค่ฝันร้ายเอง นอนนะ นอนๆ"
อะ...
"One two
Buckle my shoe..."
ไม่
อย่า หลับ น....ะ
"Three four
Knock at the door
Five six
Pick up sticks...
Seven...eight ..."
ไม่ ไหว แล้ว...แข็งแกร่ง
แข็...งแก...ร่งเกิน ไป...
.
.
.
.
วันเสาร์อาทิตย์ควรจะเป็นวันที่ผมได้นอนโง่ๆอยู่บนเตียง ไม่ใช่แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพราะเสียงโหวกเหวกของอาม่าตึกข้างๆ
เดี๋ยว
มันใช่เหรอวะ
ผมอยู่คอนโดในย่านที่ค่อนข้างถือว่าหรูหรามากนะ จะมีเสียงอาม่าที่ไหนมาตะโกนโหวกเหวกได้ยังไงกัน
รีบกระเด้งตัวออกจากเตียงเหมือนโดนน้ำร้อน เอามือลูบหน้าสองสามครั้งก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ผมพาคนแปลกหน้ามานอนด้วยที่ห้อง
และตอนนี้หมอนั่นหายไปแล้ว
เวร...กล้อง
รีบวิ่งลงจากชั้นลอย มองลงไปห้องนั่งเล่นด้านล่าง อุปกรณ์การเรียนยังถูกวางอย่างระเกะระกะอยู่ที่เดิม
นึกว่าจะหายไปหมดแล้ว...
“ตื่นแล้วเหรอ หัวฟูเชียว” เสียงทักมาจากโซฟาหน้าทีวี ผมผวาเฮือก หันไปมอง
เสียงอาม่าที่ผมได้ยินที่จริงแล้วคือเสียงจากโทรทัศน์
ส่วนไพลินอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวของผมกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า
อยู่ดีๆก็รู้สึกผิดที่ในตู้มีแต่เสื้อลายกราฟิกโง่ๆขึ้นมา ถึงเขาจะใส่มันออกมาแล้วดูเหมือนเสื้อตามนิตยสารก็เถอะ
“นึกว่านายกลับไปแล้วซะอีก”
“กลับได้ยังไง เมทยังไม่ติดต่อกลับมาเลย เราไม่มีกุญแจบ้าน” พูดถึงตรงนี้ก็ทำหน้าหงอยบ่าตก ผมเห็นท่าทางแบบนั้นก็ไปไม่เป็น
ปากเบ้ๆนั่นคือจะร้องไห้หรือเปล่า
...อย่านะ ผมยิ่งแพ้น้ำตาคนอยู่
“เอ่อ แล้วหิวหรือเปล่า เดี๋ยวเราทำอะไรให้กิน” พอได้ยินคำว่าของกิน คนก็ยืดตัวตรงทันที ตาโตๆเป็นประกายหันมามองผม
น่ารัก...
เอ๊ะ!
ไม่สิ
ผมชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักได้ยังไง
อาทิตย์ มึงบ้าไปแล้ว
“หิว”
“งั้น ขอแปรงฟันแป้ปนึง เดี๋ยวมาทำข้าวเช้าให้”
“โอเค”
แต่ไอ้ท่าทางยิ้มโชว์ฟันซี่เล็กๆทั้งปากแบบนั้นมันก็น่ารักจริงๆน่ะแหละ
ชิบ...
ผู้ชายที่ไหนมันน่ารักกันล่ะโว้ย!
“อาทิตย์อยู่คนเดียวเหรอ”
“อ่าห้ะ” ผมส่งเสียงในลำคอตอบ ความสนใจจดจ่ออยู่กับมือเรียวที่จับตะเกียบคีบช้ินซูชิอย่างคล่องแคล่วตรงหน้า
ไพลินคงจะชอบกินซูชิมาก เพราะท่าทางตอนที่ผมโทรสั่งดีใจเหมือนเด็กๆ คนนั่งเคี้ยวแต่ละคำอย่างช้าๆก่อนกลืน แตกต่างจากผมที่ใช้มือหยิบแล้วยัดทั้งชิ้นเข้าปาก
ในตอนแรกก็คิดว่าจะทำอาหารให้เขานั่นแหละ แต่พอดูของสดในตู้เย็นก็พบว่า ไม่มีอะไรพอที่จะทำเป็นอาหารได้เลยสั่งซูชิมากินแทน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าข้าวนั่นใส่สารพิเศษอะไรคนถึงยิ้มจนลักยิ้มขึ้นที่ข้างแก้มขนาดนั้น
เลี้ยงง่ายดีว่ะ
น่ารั—- แฮ่ม!
“ไม่เหงาเหรอ ทำไมไม่อยู่กับแฟนอ่ะ” สักพักถึงเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมส่ายหัว
“ไม่มีแฟน”
“แค่เรียนก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ไพลินยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำตอบ เจิดจ้าจนผมต้องหยีตามอง
“เหรอ ดีจัง”
“หือ?”
“เปล่าๆ คือเห็นด้วย ห้องนายโคตรรก”
“อย่าพูดสิ อาย”
“ไม่ต้องอายหรอก บ้านเรารกกว่าบ้านซันอีก”
“เรียกว่าอะไรนะ”
“ซัน... เอ่อ ขอโทษๆ”
“ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย เรียกเถอะ เรียกได้”
อยากให้เรียก
“ซันใจดี” คนชมเปาะ
ผมยื่นมือไปหยิบเมล็ดข้าวที่ข้างมุมปากแดงๆเข้าปากตัวเองอย่างลืมตัว ไพลินมองการกระทำของผมแล้วยิ้มออกมา
ยิ้มหวานๆแบบที่คนใช้แรงงานมาเห็นก็คงจะชื่นใจ
กลับเป็นทางนี้เองที่หน้าร้อนวาบ
ผมแม่ง แพ้ของน่ารักแน่เลยว่ะ
...ก็เล่นใช้ตากลมๆจ้องเป๋งเสียงขนาดนั้น ใครมันจะใจร้ายด้วยลงวะ
วันทั้งวันผมไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เพราะเอาแต่คอยมองตัวขาวๆของคนร่วมห้อง
ไพลินมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับสัตว์เล็กๆดี เขานอนนิ่งๆอยู่บนโซฟาได้เป็นเวลานาน โดยไม่ทำอะไรเลย
อ่อ ไม่สิ หมายถึง นอนนิ่งๆมองผมเช็คฟุตเทจงาน
พอถึงตอนบ่ายก็ไม่ไหวแล้ว คนตาจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็ยังพยายามตั้งคอมอง
“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วให้ดู” ผมบอกเขาก็ส่ายหน้ากับแขนส่งเสียงอู้อี้
“อยากเห็นตอนทำนี่”
“ใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้าแล้ว”
“เดี๋ยวเราต้องรอโทรศัพท์ เผื่อจั๊มโทรมา” ไพลินที่ตาร่ำจะปิดแต่ยังมีกะใจชูโทรศัพท์ขึ้นเหนือหัว
“เอาวางไว้เดี๋ยวดูให้ ไปนอนข้างบนไป” ผมเอาโทรศัพท์ของอีกคนมาถือไว้ มองคนค่อยๆเดินสะลึมสะลือขึ้นบันไดชั้นลอย
มารู้สึกตัวว่าใกล้ค่ำตอนที่พักสายตาบิดขี้เกียจเผลอหยิบโทรศัพท์ใกล้ตัวขึ้นมากดดูเวลา
บางคนใช้ชีวิตยังไงโดยปราศจากระบบล็อครหัสโทรศัพท์มือถือกันนะ
พอผมกดดูภาพแมวน้ำบนพื้นหลังก็เข้าหน้าเมนูหลักได้ง่ายๆ ยังไม่ทันกดปิดหน้าจอ แรงสั่นครืดพร้อมชื่อคนโทรเข้าปรากฏขึ้น
‘จั๊ม’
กำลังจะผุดลุกแต่ความคิดที่แล่นมากระทันหันทำให้หยุดอยู่กับที่ นิ้วโป้งขวาปัดไปทางซ้ายอย่างจงใจ
ที่ทำอยู่แม่งแย่ก็ใช่
แต่ไม่อยากปลุกคนกำลังนอนเฉยๆหรอก
ไม่ใช่ว่าอยากให้อยู่ด้วยนานขึ้นอีกนิดเสีย
หน่อย...
เออ
ยอมรับก็ได้ว่าอยากให้อยู่ด้วย
.
.
.
.
ผมนั่งมองคนนอนหลับอยู่กับฟูก เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ เขาเป็นคนผิวขาว นึกถึงคำเปรียบเปรยก็คงจะบอกว่า ขาวเหมือนไข่ปอก แก้มเนียน ขนตาสีอ่อน
ทุกอย่างในตัวดูจะประกอบขึ้นจากอะไรนุ่มนวลไปเสียหมด
คนขดตัวจนขายาวๆแทบจะแนบกับอก ท่านอนเหมือนเด็กน่าเอ็นดู
ลองยื่นมือไปเขี่ยผมด้านหน้า คนหลับก็ขมวดคิ้วลืมตาตื่น
“ไปหาข้าวเย็นกินกัน” ผมบอกคนกระพริบตามอง
“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ” ลูกแมวงัยเงียถามเลยพยักหน้าตอบคำ
“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ไว้ทำต่อพรุ่งนี้ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว หิว”
“ซันอยากกินอะไร เราเลี้ยงเอง” เขาใช้น้ำเสียงกระตือรือร้น
“หือ ไม่เอา เลี้ยงทำไม”
“ถือว่าเป็นค่าที่ให้เรามานอนด้วยไง”
“ไม่ได้คิดว่าเป็นค่าอะไรสักหน่อย”
“น่านะ” คนช้อนตามองจากบนฟูก เสื้อยืดคอกว้างหล่นลงเกือบตกจากหัวไหล่ขาว
ชิบ...
ผมมั่นใจว่าเขาต้องรู้แน่ๆว่าไอ้ท่าทางมองตาแป๋วกับเสียงอ้อนวอนนั่นมันรุนแรงต่อใจคนมองมากแค่ไหน ถึงได้ขยันงัดออกมาใช้เหลือเกิน
“โอเค”
ผมแพ้
.
.
.
.
ไพลินที่ได้เลี้ยงบะหมี่ผมเดินฉีกยิ้มอารมณ์ดีตลอดทางกลับอพาร์ตเมนต์ ต้องคอยดึงสายฮู้ดเอาไว้ตอนที่จะไปชนกับพวกวัยรุ่นบนถนนคนอื่นเข้า
“อะ จั๊ม!?”
ผมหันไปมองตาม คนกำลังยิ้มจนตาเป็นรูปโค้ง กระโดดกวักมือให้คนที่นั่งอยู่หน้าร้านอาหารข้างทางฝั่งตรงข้ามถนน
ผมถูกจับลากไปกับเขาด้วย จนมายืนอยู่หน้ากลุ่มเพื่อนของผู้ชายวัยรุ่นที่ถูกเรียกว่าจั๊ม รู้แหละว่าคนไหน ก็เห็นรูปตอนที่โทรเข้ามาน่ะนะ
“หายไปไหน ไม่รับโทรศัพท์เลย แถมไม่โทรกลับหาเราด้วย”
“มึงสิ หายไปไหน กูกลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แถมวันนี้โทรหา มึงก็ไม่รับโทรศัพท์”
“หือ โทรหาตอนไหนน่ะ” ไพลินไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่าพอหันมามอง ผมก็ยักไหล่ส่งสีหน้าไม่รู้เหมือนกันไปให้
“ไม่ได้โทรมาเลย”
ผู้ชายคนที่ถูกเรียกว่าจั๊มหยุดสายตาอยู่ที่ผมสักพัก ก่อนจะหันไปหาเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง ยื่นมือมาวางบนศีรษะ
“งั้นก็ขอโทษละกันที่อยู่ๆหายไป แล้วนี่ มึงจะกลับบ้านกับกูมั้ย”
ผมมือกระตุก
เกือบคว้าเอาแขนขาวๆของคนที่ยืนอยู่ด้านข้างไว้แล้วอย่างลืมตัว
“กลับสิ คิดถึงเตียงที่บ้านจะแย่ นายนะ ก็รู้ว่าฉันไม่มีกุญแจ ยังทิ้งกันได้”
“ก็ใครบอกให้มึงทิ้งซองขนมไว้บนโซฟากันล่ะ คนทำความสะอาดมันก็โมโหเป็นน่ะสิ”
สัตว์เล็กๆพอเจอเจ้าของก็เหมือนจะลืมเพื่อนเล่นข้างทางอย่างผมโดยสมบูรณ์
ผมจำไม่ค่อยได้หรอกว่าโดนบอกลายังไง เหมือนว่าขอบคุณที่ให้มาอาศัยนอนด้วย แล้วก็ชมว่าผมเป็นคนดีมากให้เพื่อนของเขาฟังยกใหญ่
แต่ไม่เห็นจะดีใจเลยแหะที่ถูกชม
ผมไม่ได้ใจดีกับใครที่ไหนก็ได้สักหน่อย