บทที่ 7
แสงสว่างของเขมทิวา
”พี่เขม!!!”เสียงแหลมร้องเรียกคนที่เปิดรถลงมาลั่น ดวงตาหวานด้วยคอนแทคเลนส์สีอ่อนถลึงมองคนเป็นพี่ด้วยความโกรธ “ทำไมพี่โกหกหนู”
“เบ็ตตี้...”เขมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเห็นน้องสาวต่างแม่มายืนเท้าเอวขึ้นเสียงในเขาตรงหน้า “เบ็ตตี้มีอะไรครับ”
“พี่สัญญาว่าสิ้นเดือนจะโอนเงินให้หนู”ใบหน้าที่มอง ๆ ดูก็น่ารักดีนั้นบูดบึ้ง เสียงที่พูดออกมาก็กังลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร “สิ้นเดือนแล้วพี่ก็ไม่โอนให้ คนขี้โกหก”
ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองสาวน้อยที่กำลังโวยวายใส่ตนด้วยสายตาเรียบเฉย เขาเหนื่อยใจมากเกินพอที่จะพูดอะไรออกไปกับคนที่ไม่คิดจะฟัง
บางทีเขาอาจจะตามใจน้องสาวคนนี้มากเกินไป
“พี่เคยไม่ให้อะไรเบ็ตตี้ด้วยเหรอครับ”เขมเอ่ยขึ้นหลังจากสาวเจ้าเงียบเสียงลงไปพักหนึ่ง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่มองน้องสาวที่เขารักด้วยความผิดหวัง “ตั้งแต่เล็กจนโต อะไรที่เบ็ตตี้อยากได้ เคยไม่ได้ด้วยเหรอครับ”
“มีตั้งหลายอย่างที่พี่ได้ไป แต่หนูได้แค่มองมัน”เบ็ตตี้เถียงกลับเสียงแข็ง เธอได้ทุกอย่างจากผู้เป็นแม่ก็จริง แต่กับทั้งคุณย่าและคุณพ่อ พี่ชายงี่เง่าน่ารังเกียจของเธอกลับได้อะไรจากพวกเขาไปมากมาย โดยเฉพาะช่วงผลสอบออก “หนูไม่อยากโดนเปรียบเทียบกับพี่ เรื่องแค่นี้พี่ก็ให้หนูไม่ได้”
เขมขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปิดประตูรถไป ใจของเขาเริ่มแกว่งเมื่อสายตาคนโดยรอยเริ่มมองมาที่เขากับน้องสาว
“เบ็ตตี้ พี่ว่าเราไปหาที่คุยกันดีกว่าครับ”เขมแย้มรอยยิ้มบางเบาก่อนจะยื่นมือไปหาสาวน้อยที่ยังคงสีหน้าบึ้งตึงตรงหน้า
“หนูไม่ไป”เด็กสาวปัดมือที่ยื่นมาหาเธอออกไปอย่างไม่ใยดี “ทำไม พี่อายเหรอไง คนขี้โกหกอย่างพี่อายเป็นด้วยหรือไง”
เขมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่อยากให้คนมองน้องสาวเขาไม่ดี ไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นเด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจ แต่เหมือนน้องสาวคนดีนั้นไม่คิดที่จะเข้าใจเขาเลย ไม่แม้แต่จะทำความเข้าใจสักนิด
“ไปครับ เบ็ตตี้ เราไปคุยกันที่อื่น”เขมยังคงคำพูดเดิมไม่เปลี่ยน เขาพยายามส่งสายตาให้คนเป็นน้องมองรอบข้างที่เริ่มหันความสนใจมาที่พวกเขากันเรื่อย ๆ
“หนูบอกว่าไม่ไปไง”เจ้าหล่อนตวาดกลับเสียงลั่น “หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมหนูต้องหาที่คุยลับตาคนด้วย”
“เบ็ตตี้ พี่บอกว่าไปคุยที่อื่น”เสียงที่นุ่มนวลกระด้างขึ้นเมื่อสาวน้อยตรงหน้ายังไม่คิดจะเอะใจฟังคำของเขา
“ไม่!!”เธอยังคงตอบกลับพี่ชายคำเดิมด้วยเสียงที่ดังขึ้นไปอีก
“พี่ว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้วดีกว่าครับน้องเขม”ต่ายที่ลงมาจากรถเมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ยขัดขึ้น ดวงตาสีดำคู่นั้นมองเด็กสาวที่ดูจะมั่นใจในความคิดตัวเองซะเหลือเกินด้วยแววตาว่างเปล่า “เห็นอยู่ว่าเขาไม่ฟังน้องหรอก”
เบ็ตตี้ตวัดสายตามองคนที่เข้ามาสอดเรื่องระหว่างเธอกับพี่ชาย ดวงตาคู่เรียวสวยนั้นหรี่มองคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วกระตุกยิ้มหยัน
“เหอะ”สาวเจ้าแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเชิดหน้ามองคนที่มาเจ๋อเรื่องของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต “พี่ก็หน้าตาดีนะคะ แต่ไม่น่าตา... มาเลือกคนของพี่เขมเป็นแฟนเลย จะเป็นเกย์ทั้งทียังจะเป็นเกย์เสียชาติเกิดอีก”
“พี่คิดว่าการที่พี่สนใจใคร รักใคร ชอบใคร จะเป็นแฟนกับใคร มันก็เป็นเรื่องของพี่นะครับ”เสียงทุ้มชวนฝันเอ่ยออกมานิ่ม ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง “ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาขอความเห็นของน้อง จริงไหม”
มันแปลง่าย ๆ ว่าอย่าเสือก เจ้าชายก็พูดซะยาวเลย
ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางยี่ห้อดังบิดเบี้ยวไม่น่าดู เจ้าหล่อนถลึงตามองคนที่ฉีกหน้าเธอด้วยความโกรธเกรี้ยว
“พวกเกย์สกปรก เข้าข้างกันไปสิ”คำพูดที่พ่นออกมาจากเรียวปากบางนั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้สีหน้าของพี่ชายต่างแม่ของเธอเปลี่ยนสีได้ “น่าขยะแขยง”
“พอแล้ว เบ็ตตี้”น้ำเสียงของเขมทิวาแฝงความเครียดขึงเช่นเดียวกับแววตา เขาไม่รู้ว่าเบ็ตตี้ได้รับการฝังหัวมาจากใคร แต่เพศทางเลือกไม่ใช่สิ่งที่ผิด และไม่ได้น่ารังเกียจ
ยังไม่ทันที่เบ็ตตี้จะโต้อะไรกลับมาอีก เสียงหม้อกระทบพื้นก็ดังขึ้น โดยที่เจ้าหม้อนั่นกระดอนอยู่ที่พื้นตรงหน้านี่เอง
“นี่ แม่เพชรน้ำหนึ่ง”คนสวยประจำร้านข้าวต้มเท้าเอวเอาทัพพีชี้หน้าสาวแท้ที่หน้าเริ่มซีดลง “หล่อนจะมารีดไถคนดี ๆ หน้าร้านฉันเพื่อ?? หน้าไม่อาย”
“รีดไถอะไร”เบ็ตตี้รวบรวมความกล้าโต้เถียงกลับไป “มันสัญญาว่าจะให้เอง แต่ก็เป็นไง โกหกไง คนกลับกลอกแบบนี้เรียกคนดีหรือไง”
“โอ้ยยย แม่หนูคนงาม แม่นางฟ้านางสวรรค์ หล่อนมาจี้ขอเงินพี่ชายที่เช้าต้องเรียน บ่ายทำกิจกรรม เย็นมาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ค่าหอ ค่ากินอยู่ ค่าไฟ ค่าข้าวก็ต้องจ่ายเอง ไม่เรียกว่ารีดไถจะให้เรียกอะไรยะ”นะ ลูกชายใจสาวของเจ้สวยก้าวฉับ ๆ มายืนจังก้าอยู่ข้าง ๆ สาวน้อยที่เขาหมั่นไส้อย่างแรงกล้า “อ้อ ต้องเรียกว่ามาขอส่วนบุญสินะ”
“แก!!!”เด็กน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาราวกับไข่ในหินมีหรือจะสู้ลูกแม่ค้าที่ถูกเลี้ยงมาด้วยลำแข้งได้ “ไอ้กระเทยโรคจิต”
“ต๊าย ด่าได้แค่นี้หรือยะหล่อน นี่ แม่เพชรน้ำหนึ่ง พ่อแม่หล่อนไม่ให้เงินค่าขนมหรือไงยะ ถึงแบกหีเหม็นเน่านี่มาขอพี่ชายถึงนี่น่ะ”ดวงตาเรียวที่กรีดอายไลน์เนอร์เสียจนคมกริบหลุบมองกระโปรงนักเรียนสีกรมที่ถูกพับจนสั้นเกินงามแล้วถอนหายใจเฮือก
“เสียแรงที่เรียนโรงเรียนดี ๆ ซะจริง”
“พี่นะ พอเถอะครับ”เขมที่ทนเห็นน้องสาวถูกด่าว่าไปมากกว่านี้ไม่ได้ก้าวเข้าโอบน้องเอาไว้ในอ้อมแขน “เบ็ตตี้ยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างไปบ้าง แต่เขาไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายนะครับ”
เมื่อมีที่พึ่ง เด็กน้อยที่ทำตัวอวดเก่งก็ซุกตัวไปในอ้อมแขนของพี่ชายหลบหน้าซุกเข้าหาที่กำบังอันยิ่งใหญ่ของเธอ แม้ว่าก่อนหน้านี่เธอจะด่าว่าคน ๆ นี้เสีย ๆ หาย ๆ มาไม่น้อย
”พี่กดเงินมาเตรียมไว้ให้เบ็ตตี้แล้วนะคะ”เขมเอ่ยกับน้องสาวที่ขอบตาแดงเรื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบกลับบ้านนะคะ เดี๋ยวมืดมากแล้วคุณน้าจะเป็นห่วงเอา”
เขมทิวาส่งเงินที่หยิบออกมาให้น้องด้วยรอยยิ้ม เบ็ตตี้เองก็รู้แล้วว่าพี่ชายของเธอหายเคืองแล้ว ถึงกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่เขาพูดกับเธอเสมอ
“ค่ะ...”มือเล็กรับเงินมาแล้วกอดคนเป็นพี่แน่น ๆ ไปอีกที “ขอบคุณนะคะพี่”
“เบ็ตตี้ครับ”เสียงของคนที่ยืนเงียบมาพักใหญ่เอ่ยขึ้นแหวกความเงียบ เขามองพี่น้องที่ยืนกอดกันกลมด้วยความเฉยชา “น้องรู้ไหมว่าทำไมพี่ชายของน้องถึงห้ามไม่ให้น้องพูด ให้ไปคุยกันที่อื่น”
“...”ความเงียบคือคำตอบที่รณกฤตคาดเอาไว้แล้ว และไม่แปลกใจที่จะได้รับมันมา
“เพราะพี่ชายของน้องต้องการปกป้องน้องไงครับ อยากให้น้องเป็นเด็กที่น่ารักในสายตาทุกคน ไม่อยากให้ใครมาว่า มาคิดลบกับน้อง แต่น้องไม่เคยเห็นค่าของมัน”น้ำเสียงที่สั่งสอนเด็กสาวนั้นถึงจะเรียบเฉย แต่ก็นุ่มนวลไม่แฝงแววตำหนิเอาไว้ “เก็บไปคิดนะครับว่าคำพูดที่น้องสาดออกมามันดีแล้วใช่ไหม แต่พี่ของบอกไว้เลย การพูดกล่าวหาคนอื่นในที่สาธารณะไม่ได้ทำให้น้องดูเท่ ดูน่านับถือหรอกนะครับ”
เบ็ตตี้เหลือบตามองเขมที่ยังคงยิ้มให้เธออย่างอบอุ่นไม่เปลี่ยน ก่อนจะผละออกไปซ้อนมอ’ไซค์ของเพื่อนที่จอดรออยู่ไม่ห่าง
“กลับดี ๆ นะคะ เบ็ตตี้”เขมทิวามองตามหลังน้องสาวไปจนลับสายตาก่อนจะหลังมาก้มหัวลงขอโทษทุกคน “ต้องขอโทษที่ทำให้วุ่นวายนะครับ”
“เขม”เสียงของหญิงวัยกลางคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเขาดังขึ้นจากหน้าร้าน “เลิกงานวันนี้ เจ้ว่าเราคงต้องคุยกัน”
“ครับ”เขมตอบรับเสียงเบา ก่อนจะหันไปหารุ่นพี่ที่ยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล “ฝากน้องตะวันด้วยนะครับ”
“เดี๋ยวห้าทุ่มครึ่งพี่มารับ”ต่ายส่งยิ้มมุมปากให้คนที่ทำหน้าจ๋อย สายตามองคาดโทษเอาไว้ แต่เขาจะยังไม่พูดอะไร
ให้ผู้ใหญ่พูดน่าจะดีกว่า
“หนุ่มมาตอนห้าทุ่ม”ยังไม่ทันที่รณกฤตจะเปิดประตูกลับขึ้นรถ เสียงของเจ้สวยก็แทรกขึ้นมาก่อน “วันนี้เจ้จะปิดร้านเร็ว อบรมเด็กโง่สักหน่อย”
คำว่า ‘โง่’ กระแทกเต็มหน้าเขมทิวาที่ยิ้มแห้งพูดอะไรไม่ออกอยู่ตรงกลาง
“ได้ครับ ผมจะมาให้ตรงเวลา”รอยยิ้มเย็นถูกส่งให้ก่อนร่างสูงจะพาตัวขึ้นรถแล้วขับออกไปพร้อมลูกหมาน้อย
ต่ายมองข้าวหลังผ่านกระจกหน้า เมื่อเขาพาตัวเองมาห่างจากระยะสายตาของเขมที่มองตรงมาไม่ขาดแล้วก็ตบไฟเลี้ยวจอดข้างทาง มือขวาควานหามือถือที่หย่อนเอาไว้ในกระเป๋าเพื่อนโทรหาใครคนหนึ่ง ส่วนมือซ้ายกันเอื้อมไปเกาหัวเจ้าตัวเล็กที่ดูจะชอบนอนเป็นพิเศษ
“คุณน้าครับ...”รณกฤตบอกเล่าเรื่องราวบางอ่านผ่านสายโทรศัพท์ไปให้คนปลายสายได้ฟังหลังจากที่คน ๆ นั้นขานรับในสาย “จะปล่อยไว้อย่างนี้จริง ๆ เหรอครับ”
“มันคงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ...”เสียงจากปลายสายตอบรับมาแผ่วเขา น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นแฝงอารมณ์หลากหลายจะยากจะกล่าว “ขอบใจนะ ต่าย”
“ครับ”
การทำงานภายใต้การคาดโทษของคนในใจและผู้มีพระคุณนั้นทำให้รอยยิ้มที่เจิดจ้าของเจ้าตัวหม่นลงไปบ้าง แต่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้...
“น้องเขมเครียดอะไรเหรอคะ”สาวสวยขาประจำเอ่ยทักขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเอาข้างต้มร้อน ๆ มาเสิร์ฟ “วันนี้ดูหน้าเศร้า ๆ นะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”เขายกยิ้มให้กว้างขึ้น หมายมั่นจะกลบความรู้สึกในใจให้ได้
“ยิ้มแต่ปาก ตาไม่ยิ้มเลย แบบนี้จะทำให้หลาย ๆ คนเป็นห่วงเอานะคะ”คำที่ได้รับกลับมาทำเอาเขมตัวแข็งทื่อ เขาลืมคิดไปเลยว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้มีแค่ที่ริมฝีปาก...
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ขอบคุณนะครับ”แววตาที่เริ่มมีรอยยิ้มทำให้สาวเจ้าส่งยิ้มกลับมาให้ ก่อนจะหันมาสนใจอาหารมื้อเย็นของเธอ
เขมสูดลมหายใจลึก ทิ้งความไม่สบายใจ ความกังวลใจที่มีไว้ข้างหลังแล้วลุยงานตรงหน้าอย่างเต็มที่
วันนี้เจ้สวยปิดร้านเร็วอย่างที่ลั่นไว้ เพียงสี่ทุ่มกว่าก็เริ่มเก็บของเข้าหลังร้านแล้ว ลูกค้าจะมาซื้อก็ได้แต่ใส่ถุงกลับบ้านไปและซื้อได้ถึงแต่ก่อนที่อาร์ตจะมายกหม้อไปล้าง
ทุกอย่างเสร็จสิ้นตอนสี่ทุ่มห้าสิบ เก้าอี้ทั้งหมดถูกยกขึ้นวางคว่ำบนโต๊ะ พื้นถูกขัดถูจนสะอาดเรียบร้อย
“กลับก่อนนะครับเจ้”อาร์ตยกมือไหว้เจ้านายคนสวยของเขา “ไปก่อนนะพี่นะ เขม”
“ครับ”เขมส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ทั้งสองที่พากันกลับไป เพียงแค่สีหน้าของทั้งคู่ดูก็พอจะรู้ว่าดีใจไม่น้อยที่วันนี้ได้เลิกเร็ว
ผิดกับเขา... แน่สิ ก็เขากำลังจะขึ้นเขียนโดนคนที่เขานับถือคนนึงเชือด
“เฮ้อ คิดถึงน้องตะวันจัง”คิดถึงแสงสว่างดวงน้อยที่มาสาดส่องให้กับชีวิตที่ค่อนข้างจะมืดมนไปสักหน่อยของเขา
“ไม่ต้องถอนหายใจ มานั่งนี่เลย”เขียงเชือดเขมทิวาในวันนี้คือโต๊ะในสุดของร้านที่มีพัดลมจ่ออยู่ “เดินมา”
เขมเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กคอตกตรงหน้าเจ้านายที่เตรียมจะเทศน์เต็มที่
“หยู๊ดดดด”นะถลามากลางวงก่อนที่คุณแม่ของเขาจะเริ่มเอ่ยปาก “รออาหารตาสุดแซ่บของหนูก่อนค่ะ หม่อมแม่ขาาา”
“ขาไก่หรือขาหมู ห๊ะ อิลูก”เจ้สวยยกมือขึ้นผลักหัวฟีบ ๆ ของลูกชายใจสาวน้อยวัยใสด้วยแรงที่ไม่เบา “มึงไม่ต้องมาแรด นั่นผัวน้องมึง”
“ขอหนูเก็บไปฝันหน่อยก็ไม่ได้”นะทำท่าสะบัดสะบิ้งหน้างอ แต่กับผู้ชายวัยเบญจเพสสูงร้อยแปดสิบมันก็คงไม่ได้น่าดูมากนัก... “ขอยืมหน้าไปพ่นน้ำนิสสสสเดียวเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย เนอะ น้องเขม”
“อ เอ่อ... พี่เขาไม่ใช่แฟนผมนะครับ”แล้วก็ไม่ได้เป็นผัวด้วย...
“โอ้ย อายอะไร น่า บอกพี่หน่อย ใหญ่ป่ะ ๆ”คำถามที่ทำเอาเขมหน้าแดงก่ำ เขาจะไปรู้ได้ยังไงกันบ่ะว่าอะไรใหญ่แค่ไหน “บอกหน่อยซี่~”
“ผมใช้ไซส์ 56 ครับ”เสียงนุ่มทุ้มตอบคำถามดังมาจากข้างหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะมานั่งอยู่ข้างรุ่นน้องร่วมสถาบัน “ผมไม่ได้มาสายใช่ไหมครับ”
ทุกคนหันไปมองนาฬิกาที่เข็มสั้นชี้เลข 11 เข็มยาวและเข็มวินาทีชี้ที่เลข 12
ตรงเวลาเป๊ะ ไม่ขาด ไม่เกิน...
“พ่อรูปหล่อในฝันเอ็งมาแล้ว อย่ามาเสือกขัดข้าอีกล่ะ ไอ้ลูกหมี”หญิงแท้คนเดียวในวงสนทนาหันไปดักคนลูกชายเอาไว้ แล้วจึงหันกลับมาจ้องหน้าคนที่เธอมองเหมือนลูกอีกคน “รู้ใช่ไหมว่าที่ทำวันนี้มันผิด”
“ครับ”เขมรับคำโดยดี เขาผิดที่ตามใจน้องมากเกินไป
“เจ้รู้ว่าเธอรักน้องสาวเธอมาก”เสียงของเจ้สวยนั้นแฝงความเข้าใจเอาไว้เต็มเปี่ยม “การตามใจกันจนเกินความพอดี มันจะทำให้เด็กคนนั้นเสียคนเอา”
เธอมองเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย มองเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววสับสนนั่นแล้วยิ้มบางออกมา
“รู้ไหม ความรักน่ะมันไม่ได้หมายถึงการให้ในสิ่งที่มีกับคนที่ตัวเองรักเสมอไปหรอกนะ”ดวงตาที่มีริ้วรอยแห่งวัยเหลือบไปมองลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตน “แต่ความรักน่ะ มันคือการทำให้คนที่เธอรักเป็นคนดีมาจากข้างใน ถ้าเขาเป็นคนดี เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปกางปีกปกป้องเขา ไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับตัวเองเพื่อให้กับเขา เพราะเขาจะมีความเข้าใจ มีความเห็นใจผู้อื่นอยู่ภายในใจ และเขาจะรู้จักคำว่าพอ”
“ตอนเด็ก ๆ เบ็ตตี้เขาเป็นเด็กที่น่ารักมากนะครับ... แต่นับวันเขาก็ยิ่งเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย”น้ำเสียงของเขมฟังดูเศร้าหมอง ยิ่งคิดถึงวันวานที่ผ่านมา ก็ยิ่งรู้สึกเศร้า...
วันนี้เขาได้รู้แล้ว ว่าเด็กผู้หญิงที่เอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาล้างแผลให้เขาคนนั้น ได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนวันวานแล้ว
“มันยังไม่สายที่เธอจะดึงเด็กคนนั้นให้กลับมาเข้าร่องเข้ารอยไม่ใช่เหรอ”เจ้สวยยื่นมือมาตบหลังมือของเขมเบา ๆ “การที่เธอเติบโตมาเป็นเด็กดีแบบนี้ได้ แสดงว่าพื้นฐานครอบครัวของเธอคงไม่แย่นัก เด็กคนนั้นก็แค่มีแต่คนตามใจ ไม่มีคนรั้งหลังเอาไว้จนยั้งตัวเองไม่อยู่เท่านั้นเอง”
“ค่อย ๆ ล้อมกรอบเขาให้กลับมาอยู่ในลู่ทางที่สมควรก็พอจะเป็นไปได้อยู่”ต่ายเอ่ยเสริมขึ้นมาหลังจากนั่งฟังเงียบ ๆ มาพักใหญ่ “การให้เงินไปแบบนั้น โดยที่เขาไม่ต้องพยายามอะไรเลย มันไม่สมควร รู้ใช่ไหม”
“ครับ...”
“ยื่นมือมา”คำสั่งเด็ดขาดจากเจ้าของร้านข้าวต้มสั่งลูกจ้างของเธอ ก่อนที่เธอจะตีฝ่ามือขาว ๆ ไปเพี๊ยะใหญ่ “อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าไม่อยากให้เด็กนั่นดูแย่ในสายตาคนอื่นไปมากกว่านี้ เธออย่าไปทำร้ายเขาอีก”
ฝ่ามือนุ่มขึ้นสีแดงจากการถูกตี แต่คนโดนตีก็ไม่คิดจะโต้เถียงอะไร สิ่งที่หญิงตรงหน้าพูดนั้นถูกแล้ว
เขากำลังทำร้ายเบ็ตตี้...
“เจ้รู้ว่าเธอเป็นเด็กเชื่อฟัง เลยพูดให้ได้คิด”มือสากจากการตรากตรำทำงานมานานยื่นมาจับมือเล็กที่ยังเรียบเนียนไม่มีรอยด้านเอาไว้ “เก็บไปคิดล่ะ วันนี้ไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบคุณนะครับ เจ้สวย”คำขอบคุณที่ออกมาจากใจนั้น ผู้รับย่อมยินดีรับเอาไว้
“ดึงประตูลงให้ด้วยล่ะ”เจ้สวยยิ้มให้กับสองหนุ่มที่กำลังลุกขึ้น “พ่อหนุ่มก็ดูแลน้องดี ๆ เป็นแฟนกันก็เตือน ๆ กันบ้าง”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่แฟนหรอกครับ”แต่อนาคตไม่แน่เหมือนกัน “แต่ผมจะคอยเตือนน้องแน่นอน ขอบคุณ”
ต่ายจูงมือเขมไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“น้องตะวันล่ะครับ”เขมถามหาเจ้าตัวน้อยที่เขาคิดถึง เมื่อมองหาทั่วรถแล้วไม่เห็นมัน
“อยู่ที่ห้องพี่”ต่ายตอบกลับมาเรียบ ๆ “ตะวันเล่นจนหลับไปแล้ว วันนี้เขมก็ไปนอนห้องพี่แล้วกัน”
“...”ริมฝีปากสีซีดอ้า หุบ อ้า หุบ พูดอะไรไม่ออก
ไปนอนห้องพี่ต่าย!!!
ใจเอย จงเต้นเบาลงที
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อะไรน้าาา น้องเขทจะไปนอนห้องพี่ต่ายเหรอคะะะ
หม่ำเลยยยยยย
อุ๊ // มุดลงใต้เตียง