บทที่ 20 ขอโอกาส
ช่วงนี้คุณหญิงดาหลารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหน้าตาสดชื่นดูอารมณ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาพร้อมน้องสาวที่ไปบ้านรุ่นน้อง ในที่สุดท่านก็เก็บความสงสัยไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารเช้า
“ช่วงนี้เราเป็นอะไรฮึ หน้าระรื่นเชียวหรือว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรกัน”
ชลธารและณัฐธัญต่างหัวเราะคิกคัก “ไอ้...แค่กๆ พี่นเรศกำลังจะได้เมียก็ต้องอารมณ์ดีเป็นธรรมดาครับ” ณัฐธัญไอคอกแค่กหลังจากที่โดนดวงตาดุดันของภรรยาจ้อง
คุณหญิงดาหลาอ้าปากค้างหันไปทางลูกชายที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อน “จริงหรือตานเรศ” ท่านถามย้ำ
“ครับแม่ ตอนนี้กำลังง้อเมียอยู่” นเรศตอบรับเต็มปากเต็มคำจนผู้เป็นมารดายกมือทาบอก
“ตายแล้วไปแอบมีตอนไหนกัน ละ...แล้วเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” ท่านรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อลูกชายที่เอาแต่ทำงาน ถึงแม้จะมีผู้หญิงมาติดบ้างแต่ก็ไม่เคยมีท่าทีจริงจังด้วย แล้วจู่ๆ ก็มีเมียโผล่มาแบบนี้จะไม่ได้คุณหญิงดาหลาตกใจได้ยังไง
“แล้วไม่ได้มีแค่เมียนะครับ” ประโยคต่อมาของณัฐธัญเรียกให้คุณหญิงดาหลาหันไปมองทันที “ตอนนี้คุณแม่ก็กำลังมีหลานเพิ่มอีกคน” จบประโยคท่านก็หันพรึบไปจ้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความตกตะลึง
“ลูกสาวบ้านไหน?”
“ไม่ใช่ลูกสาวค่ะคุณแม่” ชลธารแทรก
“ไม่ใช่ลูกสาว?”
“เป็นลูกชายบ้านศศิพัฒนาเมธีรุ่นน้องชลเองค่ะ เจ้าจันทร์คนที่ชลเคยพูดถึงบ่อยๆ” จบประโยคคุณหญิงดาหลาแทบเป็นลม ลูกชายมีทั้งเมียทั้งลูกโผล่มาในคราวเดียวกันว่าน่าตกใจพอแล้ว นี่ลูกชายของท่านฉุดลูกชายของเขามาทำเมียนี่สิน่าตกใจยิ่งกว่า พ่อแม่อีกฝ่ายไม่เอาปืนไล่ยิงก็ถือว่าบุญหัวแล้ว
“จริงหรือตานเรศ”
นเรศพยักหน้ายืนยัน “จริงครับแม่” ในใจเองเขาก็อดเป็นกังวลกลัวว่ามารดาจะรับไม่ได้กับการที่เจ้าจันทร์มาเป็นเมียเขา แล้วยังเป็นผู้ชายที่ท้องอีก
“ไป...รีบพาแม่ไปคุยกับทางฝ่ายนั้น ตายแล้วบ้านนั้นเขาจะว่ายังไงที่ลูกชายแม่ไปทำลูกชายเขาท้องแบบนั้น” ท่านบ่นงึมงำด้วยความกังวล
“จะว่ายังไงละครับว่าที่พ่อตาก็ไล่ยิงเอาน่ะสิครับ” ว่าจบณัฐธัญก็หัวเราะร่วนภาพนเรศวิ่งหนีกระสุนปืนแวบเข้ามาในความคิดยิ่งกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“สมควรน่ะสิไปทำลูกชายเขาท้องซะขนาดนั้น แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง” ท่านถามเป็นจริงเป็นจัง
“ยังไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะก็ต้องเพ่นป่าราบกันออกมาก่อน”
“ตานเรศพรุ่งนี้พาแม่ไปคุยกับทางนั้นด้วย ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง” นเรศตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาฟัง โดยมีทั้งชลธารและณัฐธัญคอยแทรกพูดเกินจริงเป็นระยะจนโดนคุณหญิงดาหลาฟาดไปตั้งหลายหน “มันน่านักไปทำแบบนั้นกับน้องได้ยังไง ไม่โดนพ่อเขาสั่งตามล่าก็ดีเท่าไหร่ มันน่านัก...” ว่าจบก็ยกมือทำท่าจะตีลูกชายอีกครั้งจนลูกชายตัวโตต้องกระเถิบห่าง “เรานี่ยังไงเห็นน้องโดนมาแล้วทำไมไม่รู้จักจำ โตแต่ตัวจริงๆ” ว่าจบท่านก็เดินหนีไปรู้สึกไม่อยากอาหารตั้งแต่ที่รู้ว่าลูกชายท่านไปทำลูกชายคนอื่นท้องแล้ว ส่วนคนที่ถูกกระทบอย่างณัฐธัญก็ยิ้มแหะไม่กล้าล้อนเรศต่อ
“ไปทำว่าที่สะใภ้ท่านเสียใจสมน้ำหน้าที่โดนคุณแม่โกรธ” ครั้งนี้เป็นชลธารที่ค่อนขอดพี่ชายแล้วเดินรวบช้อนตามมารดาไปอีกคน ปล่อยให้สองหนุ่มที่ทำความผิดทั้งหลายนั่งหน้าซีดกันเพียงลำพัง
“เพราะแกฉันเลยพลอยโดนหางเลขไปด้วย คืนนี้ชลต้องไล่ตะเพิดฉันมานอนหน้าห้องแน่ๆ” ณัฐธัญว่าเสียงเศร้าก่อนจะจ้วงข้าวในจานกินตุนกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับภรรยาคืนนี้
เช้านี้เป็นอีกวันที่เจ้าจันทร์ต้องลุกขึ้นมาโก่งคออาเจียนตั้งแต่เช้าตรู่ แม้อาการจะไม่หนักเช่นหลายวันก่อนที่ยังไม่ได้รับยา แต่เจ้าจันทร์ก็ยังอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมื่อยล้า
“เด็กดีอย่าแกล้งม๊าสิลูก” แม้คำแทนตัวจะทำให้รู้กระดากอายไปบ้าง แต่ถ้านับจากการที่เจ้าจันทร์เป็นคนอุ้มท้องแล้ว เจ้าจันทร์ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเจ้าจันทร์ไม่ใช่แม่ เมื่ออ้วกจนหมดไส้หมดพุงเจ้าจันทร์ก็เดินโซซัดโซเซไปนอนต่อ โดยหวังว่าลูกตัวน้อยจะไม่ดื้ออีก หลับได้สักพักก็รู้สึกถึงมือนุ่มอบอุ่นทาบลงบนหน้าผาก กลิ่นหอมอ่อนๆ ประจำตัวทำให้เจ้าจันทร์รับรู้ได้ทันที “แม่” เสียงครางึมงำพลางดึงมือนุ่มเข้ามาซบ
คุณพิมลรัตน์หัวเราะเบาๆ กับท่าทางออดอ้อนของลูกชาย “แม่ได้ยินเสียงอ้วกเลยขึ้นมาดู ดีขึ้นแล้วหรือยัง” ท่านถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ดีขึ้นมากแล้วครับ” เจ้าจันทร์ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
ดวงตาคนเป็นแม่ทอแววอ่อนแสงแล้วยกมืออีกข้างขึ้นลูบศีรษะเล็ก คุณพิมลรัตน์มองไปนอกหน้าต่างเวลานี้ยังเช้าอยู่มากท่านจึงไม่คิดปลุกลูกชายขึ้นมาทานอาหาร “นอนต่อเถอะลูก เดี๋ยวสายๆ แม่ขึ้นมาปลุก” ท่านกระซิบก่อนจะปล่อยให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนอนต่อ
ช่วงสายคุณชญตว์ออกทำงานแล้วในบ้านจึงเหลือเพียงคุณพิมลรัตน์และลูกชาย ทั้งคู่กำลังช่วยกันล้างจานพลางคุยกันไปตามประสาสองแม่ลูก
“เรื่องเรียนจะทำยังไงต่อลูก มหาวิทยาลัยนี่ก็เปิดแล้วหนึ่งอาทิตย์” ผู้เป็นแม่พูดด้วยสีหน้ากังวล คุณพิมลรัตน์ท่านห่วงลูกชายเมื่อเป็นแบบนี้แล้วคงต้องดรอปเรียนเอาไว้ก่อน “ป่านนี้เพื่อนๆ คงเป็นห่วงที่เราหายมาแบบนี้”
“เจ้าคุยกับเพื่อนไว้แล้วครับว่าจะดรอปเรียนไปก่อน รอคลอดแล้วเลี้ยงลูกอีกสักปีสองปีค่อยกลับไปเรียนต่อ”
“ดีแล้วลูก การเรียนมันไม่มีคำว่าสายเกินไป ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราก็กลับไปเรียนใหม่ได้” เจ้าจันทร์คิดตามคำแม่บอกเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้จึงอดที่น้ำตาจะซึมไม่ได้ ทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่ว่าคนที่รักเราที่สุดคือพ่อกับแม่ ถึงแม้ว่าเราจะทำผิดจะทำพลาดท่านก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเราเสมอ “อะไร ซึ้งคำที่แม่พูดจนน้ำตาไหลเลยหรือไง” ท่านอดที่จะแซวลูกชายที่ทำตาแดงๆ ก้มหน้างุดไม่ได้ ก็ดูทำเข้าน่ารักซะไม่มี
“เจ้ารักแม่นะครับ” เจ้าจันทร์คงมีคำพูดได้เพียงเท่านี้
“จ้า รู้แล้วๆ แต่ถ้าเจ้าคลอดเมื่อไหร่ระวังแม่จะรักหลานมากกว่านะ ฮาๆ อะไรแม่พูดแค่นั้นทำเป็นหน้างอซะแล้ว ดูซิจวักยังอาย”
“แม่...” ก่อนที่เจ้าจันทร์จะโดนผู้เป็นแม่ล้อไปมากกว่านี้หน้าบ้านก็มีเสียงกดกริ่งแทรกขึ้นมา “เดี๋ยวเจ้าไปดูเองครับ” เจ้าจันทร์รีบล้างมือก่อนจะเดินออกไปดูว่าใครมา มือเรียวดึงประตูบานเล็กให้เปิดออกก่อนจะผงะตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีมือใหญ่ยื่นถุงสารพัดมาให้ “...” เจ้าจันทร์มองถุงพลาสติกในมือใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
นเรศในชุดลำลองสบายแต่กลับดูดีได้ทุกเวลายกมือที่ว่างขึ้นเกาศีรษะตัวเองด้วยท่าทางกระดากอาย “แม่พี่บอกว่าคนท้องจะชอบทานอะไรเปรี้ยวๆ” เขาเกริ่น “พี่ไม่รู้ว่าเจ้าชอบทานอะไรบ้าง พี่ก็เลยซื้อมาหลายอย่าง”
“ขอบคุณครับ” เจ้าจันทร์กล่าวแค่นั้นก็ไม่สนใชชายหนุ่มอีก
“แหะๆ พ่อเจ้าอยู่ไหม” เขาทำท่าทางชะโงกหน้ามองหาคุณชญตว์ที่พร้อมจะแจกลูกปืนทุกเวลา
“ไม่อยู่ พ่อไปคลินิก หมดธุระคุณก็กลับไปได้แล้ว” เจ้าจันทร์ออกปากไล่ทันทีถ้าไม่กลัวว่าสิ่งที่กระทำอาจจะกระทบกระเทือนถึงลูก เจ้าจันทร์คงจะใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกแล้วปิดประตูใส่หน้าเขาซะ แต่พอตั้งท่าจะปิดประตูคนตัวโตก็รีบแทรกกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พี่ขอเข้าไปในบ้านด้วยสิ” เขาขออย่างหน้าด้านๆ จนคนฟังต้องขมวดคิ้ว การจะง้อเมียสกิลหน้าด้านต้องจัดมาให้เต็ม เจ้าจันทร์มองนเรศเมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านปล่อยให้อีกฝ่ายปิดประตูแล้วตามเข้ามา นเรศวิ่งตามร่างโปร่งคว้ามือนุ่มนิ่มไว้แล้วถือโอกาสแย่งถุงผลไม้ไปถืออีกครั้ง ไม่วายแอบแต๊ะอั๋งเมียด้วยการจับมือนิ่มไม่ปล่อย
“ปล่อย” เจ้าจันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใบหน้านิ่งๆ แค่นี้ก็เพียงพอให้คนหน้าด้านกลัวเมียจนต้องรีบปล่อยมือเล็กด้วยความเสียดาย และทันทีที่เป็นอิสระเจ้าจันทร์ก็เดินเข้าบ้านไม่สนใจแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีก
“ใครมาหรือลูก” คุณพิมลรัตน์โผล่หน้าออกจากครัวมาถาม “อ้าว ตานเรศเองหรอ” ท่านเลิกคิ้วมองก่อนจะเลิกสนใจปล่อยให้ลูกชายอยู่กับว่าที่ลูกเขย
“...” นเรศยืนกลางห้องรับแขกอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจ้าจันทร์เดินเข้าครัวไปอย่างไม่สนใจเขา สุดท้ายเขาต้องงัดเอาความหน้าหนามาใช้อีกครั้ง เอาวะเป็นไงเป็นกัน คิดได้ดังนั้นก็เดินตามเข้าไปในครัวเบียดร่างเล็กฉวยเอาถุงผลไม้มาจัดใส่จานให้
เจ้าจันทร์ชะงักมือถอนหายใจเฮือกใหญ่สองมือยกขึ้นกอดอกแล้วหันไปเผชิญหน้าชายหนุ่ม
“ตกลงคุณจะเอายังไงว่ามาสิ” ดวงตาโศกจ้องมองเสี้ยวหน้าคมที่พยายามหลบตา คุณพิมลรัตน์ฉวยโอกาสตอนที่ลูกชายของท่านหันไปสนใจว่าที่ลูกเขยหลบออกไปอย่างเงียบเฉียบ
นเรศพยายามทำเป็นสนใจจานผลไม้ที่จัดอยู่เพียงเพราะต้องการรวบรวมความกล้า ความจริงแล้วเขาเป็นคนไม่เคยกลัวใครแต่พอมีเมียเขาต้องยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า นเรศกลัวเมีย
“พี่แค่อยากขอโอกาส” เขาผละจากการจัดผลไม้หันมาเอื้อมมือจับมือเล็กด้วยอาการสั่นเทา “เจ้าจะทำอะไรกับพี่ก็ได้ แต่พี่ขอแค่โอกาสได้อยู่กับเจ้าจันทร์ โอกาสที่พี่จะได้แก้ไขตัวเองใหม่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ขณะที่ดวงตาฉายแววหม่นแสงสบดวงตาโศก
เจ้าจันทร์ไม่ได้สะบัดมือออกจากอุ้งมืออุ่น “ไหนลองบอกเหตุผลสักข้อ ว่าทำไมผมต้องให้โอกาสคนที่ทำร้ายผมอย่างคุณ” ประโยคต่อมาทำให้นเรศสะอึกเหมือนโดนลูกธนูปักกลางอก
“...” เขาเม้มปาก “เพื่อทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ” คำตอบกลับทำให้คนฟังเองที่ต้องชะงัก นเรศไม่ได้มีคำพูดสวยหรูเพียงเพื่อขอโอกาส เขามีเพียงประโยคสั้นๆ ที่เอ่ยมาจากใจที่แท้จริง เขาต้องการให้เจ้าจันทร์เปลี่ยนใจ นเรศสัญญากับตัวเองเขาจะไม่ปล่อยโอกาสครั้งนี้หลุดลอยไป เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกเพื่อเจ้าจันทร์
เจ้าจันทร์เสสายตาหลบเมื่อรู้สึกใจสั่นไหวกับคำกล่าวหนักแน่นของนเรศ “แล้วที่บอกจะยอมทำทุกอย่างทำได้ใช่ไหม” ก่อนจะหันกลับมาถามด้วยสายตาคมกริบ
“จะให้พี่ทำอะไรหรือเจ้าอยากจะทำอะไรกับพี่ก็ได้”
เจ้าจันทร์พยัก “งั้นกราบสิ...กราบผม” จู่ๆ เจ้าจันทร์ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นกว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถหยุดได้แล้ว ริมฝีปากบางจึงเม้มแน่นแม้ว่าเกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่เจ้าจันทร์เป็นคนหนึ่งที่มีนิสัยดื้อเงียบเมื่อกล่าวไปแล้วเจ้าตัวก็อยากจะรู้ว่านเรศจะทำเช่นไรต่อ คนอย่างนเรศจะกล้ากราบเจ้าจันทร์หรือ...เจ้าจันทร์คิดได้ทันทีว่าไม่มีทาง ไม่มีทางที่คนอย่างนเรศจะยอมก้มหัวให้ใคร
สายตาของนเรศที่ควรจะส่อแววความไม่พอใจกลับถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น นเรศไม่รีรอให้เสียเวลาเข่าลูกผู้ชายกระแทกตึงลงต่อหน้าเจ้าจันทร์ สองมือประนมค่อยๆ กราบลงแทบปลายเท้า เจ้าจันทร์ตื่นตะลึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามคำสั่งจนต้องผงะถอยไปหลายก้าว
นเรศค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทั้งที่ยังนั่งทับส้นเท้าตัวเองอยู่ตรงหน้าเจ้าจันทร์ “เจ้าให้โอกาสพี่ได้ไหม” นเรศไม่มีความรู้สึกอายสักนิดที่ต้องก้มกราบเจ้าจันทร์ เขายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างขอแค่เพียงเจ้าจันทร์ให้โอกาสเขาได้แก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไว้
“...” เจ้าจันทร์พูดไม่ออกได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
ดวงตาทั้งสองคู่ต่างสบมองซึ่งกันและกันในระดับที่ต่างกัน คล้ายช่วงเวลาหยุดชะงักเหลือเพียงความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเยิง
“คุณมันบ้า” จู่ๆ น้ำตากร่วงผล็อยจนต้องยกมือขึ้นมาเช็ดลวกๆ เจ้าจันทร์เอาแต่โทษอีกฝ่ายที่ทำตัวโง่งมยอมก้มกราบตัวเอง ยอมทิ้งแม้กระทั่งศักดิ์ศรีละทิ้งความหยิ่งยโสที่เคยมี
นเรศมองดูท่าทางเหมือนเด็กร้องไห้แล้วก็รีบลุกขึ้น เขาจับมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้หยุดการกระทำที่กำลังจะทำให้ดวงตาโศกคู่สวยแดงช้ำ นิ้วมือแกร่งค่อยๆ ปาดเอาน้ำสีใสออกจากใบหน้าหวานแทนด้วยความถนุถนอมที่สุดในชีวิตนี้ เขามองดูดวงตาโศกฉ่ำน้ำแล้วสุดท้ายตัดสินใจดึงร่างโปร่งเข้ามากอด
“ใช่พี่มันบ้าเอง แต่พี่เต็มใจทำเจ้าอย่าคิดว่าเจ้าผิด” เขาพึมพำข้างศีรษะเล็ก ฝ่ามือก็คอยลูบหลังปลอบประโลมอีกฝ่ายที่ยอมยืนนิ่งให้เขากอด แค่นี้หัวใจนเรศก็เหมือนได้รับการรดน้ำหล่อเลี้ยง ตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นกระดอนออกจากอกแล้ว
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่คนที่ร้องไห้ซบอกเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว รีบผละออกจนนเรศแทบปล่อยไม่ทัน สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะอย่างว่องไวเมื่อเจอสายตาดุ นเรศรู้สึกเสียดายไม่น้อยกับร่างนุ่มนิ่มที่ผละออกไป กว่าจะได้กอดแต่ละทีอยากเย็นจนแทบกระอักเลือด แต่เท่านี้ก็ชื่นใจสำหรับเขาแล้ว
“ถึงผมจะให้โอกาสคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะแตะต้องผมได้” คำประกาศต่อมาฟังแล้วนเรศเหมือนโดนค้อนทุบ หัวใจที่ฟองฟูเมื่อครู่เหี่ยวแฟบทันใด
ดวงตาคมกริบค่อยๆ ช้อนมองด้วยท่าทางน่าสงสาร “สักนิดก็ไม่ได้หรอ” น้ำเสียงเขาเจือแววเศร้าเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากเมียตัวเอง
“ไม่!” ว่าจบก็เดินสะบัดหน้าหนีออกไปปล่อยให้นเรศถือจานผลไม้ตามต้อยๆ
เจ้าจันทร์เดินมานั่งบนโซฟาหน้าทีวีหยิบรีโมทเปิดรายการที่ชอบ หูก็แว่วได้ยืนเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามมา นเรศวางจานผลไม้ตรงหน้าเจ้าจันทร์แล้วเดินมานั่งที่โซฟา แต่ยังไม่ทันหย่อนตูดนั่งข้างๆ ร่างโปร่งอย่างที่ใจหวัง ดวงตาโศกก็ทอแววดุดันจนต้องขยับออกห่างเปลี่ยนไปนั่งอีกฝั่งของโซฟาตัวเดียวกันแทน จากนั้นระหว่างคนทั้งคู่ก็มีเพียงเสียงจากรายการโทรทัศน์ หลังจากที่นเรศพยายามชวนเจ้าจันทร์คุยแล้วโดนดุจึงต้องยอมเงียบไป
วันทั้งวันนเรศเอาแต่เดินตามเจ้าจันทร์จนแทบเป็นเงา จะยกเว้นก็แต่เขตหวงห้ามอย่างห้องนอนที่นเรศไม่สามารถเดินตามเข้าไปได้ ดังนั้นในตอนบ่ายเขาจึงได้แต่นั่งเฝ้าหน้าห้องนอนหลังจากเจ้าจันทร์เข้าไปนอนกลางวัน คิดว่าอีกฝ่ายหลับดีแล้วก็ลงมาช่วยคุณพิมลรัตน์ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งขอตัวกลับก่อนที่คุณชญตว์จะกลับมาเอาปืนไล่ยิง
*********************************
นี่เปิดโอกาสให้พ่อพระเอกสุดๆ เลยนะ รีบๆ ทำคะแนนล่ะตานเรศ ไม่งั้นแม่จะกระทืบ :z6:ให้หลงลุมไม่ถูกเลยล่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะคะ