[Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]  (อ่าน 89698 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 หึๆ เดี๋ยวก็ต้องมาตามง้อเจ้าจันทร์เชื่อสิ

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 7 เผชิญหน้า

รถยนต์สีดำเงาวับวิ่งเข้ามาภายในบ้านโมเดิร์นขนาดใหญ่สองชั้นก่อนค่อยๆ จอดสนิทในโรงจอดรถด้านข้าง นเรศเดินเข้าสู่ตัวบ้านไปยังห้องนั่งเล่นด้านหน้ามีสระน้ำสีใสทอแสงระยิบ เขามองดูมารดาและน้องสาวที่กำลังนั่งทำงานอดิเรกกันอยู่เงียบๆ โดยที่มารดาของเขามักจะชำเลืองหางตามองดูลูกสาวสุดรักสุดหวงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังวล

“พี่นเรศ” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ได้มาจากมารดาเงยขึ้นมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพัน ดวงตาของชลธารดูหม่นหมองบีบรัดหัวใจผู้เป็นพี่ชายนักก่อนเธอจะยกรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับเขา

นเรศมองดูรอยยิ้มไม่สดใสร่าเริงนั้นแล้วรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เขายกยิ้มอบอุ่นส่งกลับไปให้ก่อนจะหันไปยกมือไหว้มารดาแล้วตรงดิ่งเข้าสวมกอดหอมแก้มที่เริ่มมีริ้วรอยของวัยเสียฟอดใหญ่

“โผล่มาสักทีนะตานเรศ” ผู้เป็นมารดาฟาดฝ่ามือตีลงบนท่อนแขนแกร่งของลูกชายที่สวมกอดอยู่ข้างเอวอย่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้เจ้าลูกชายตัวดีที่คราวนี้หายหน้าหายตาไปเสียนาน

“โอ๋ คุณแม่อย่างอนไปเลยครับ...พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย” นเรศออดอ้อนมารดาด้วยท่าทางที่ไม่มีใครคาดคิด จนคุณหญิงดาหลายกยิ้มกว้างกับท่าทางของเขา

“ทานอะไรมาบ้างหรือยัง” พอผละจากตัวลูกชายคุณหญิงดาหลาก็ใช้สายตาสำรวจร่างแกร่ง

“รอมาทานฝีมือคุณหญิงดาหลาครับ” นเรศตอบเอาใจมารดาก่อนจะโดนฝ่ามือมีริ้วรอยตามวัยตีดังเพี๊ยะอีกรอบจนต้องแกล้งแสดงสีหน้าบิดเบ้ คุณหญิงดาหลามองดูลูกชายแสดงท่าทางแล้วชวนให้ลงมืออีกสักรอบนักเชียว นเรศมองเห็นวงตาวิบวับของมารดาแล้วก็รีบกระโจนหลบให้ห่างทันที

คุณหญิงดาหลาหรี่นัยน์ตาจ้องลูกชายอย่างจับผิด พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “ปากหวานแบบนี้ไปทำความผิดอะไรมา”

นเรศสะดุ้งแอบขนลุกซู่อย่างคนมีชนักติดหลัง แต่เมื่อมีเสียงฝ่ายอธรรมคอยกระซิบว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิด ริมฝีปากหยักได้รูปก็เผยรอยยิ้มกว้าง ขยับเข้าใกล้มารดาอีกนิด ยื่นฝ่ามือเข้าไปบีบนวดให้คุณหญิงดาหลาอย่างเอาใจซะหน่อย ปากก็เอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน

“ช่วงนี้เป็นไงบ้างชล อาการแพ้ท้องลดน้อยลงหรือยัง” เอ่ยจบก็ผละจากคุณหญิงขยับเข้าใกล้ชลธาร ฝ่ามือหยาบกร้านแตะลงบนท้องนูนเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มแสดงออกถึงความตื่นเต้นแกมประหม่า ประหนึ่งว่าสายใยในท้องที่กำลังถักทอราวกับลูกตัวเอง

ชลธารมองดูใบหน้าอมยิ้มของพี่ชายแล้วได้แต่เสสายตาหลบ ความผิดสายหนึ่งตีตื้นเข้าใส่ ในใจเฝ้าตะโกนร้องอยากขอความเป็นธรรมกับพี่ชาย แต่ชลธารกลับทำได้เพียงเม้มปากเก็บความข่มขื่นไว้ในใจ ก่อนเอ่ยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูสดใส “ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กใจดีลดอาการแพ้ท้องให้ชลค่ะ” รอยยิ้มกว้างถูกยกขึ้นมา

คุณหญิงดาหลาที่เฝ้ามองดูอยู่ เห็นสีหน้าบุตรสาวครุ่นคิดเม้มริมฝีปากคล้ายต้องการบอกบางอย่าง แต่สุดท้ายก้มหน้างุดด้วยความซึมเศร้า หัวใจของคุณหญิงพลันรู้สึกเจ็บหนึบ ปวดร้าวแทบสลายลงตรงนี้ หากว่าลูกเจ็บแล้วคนเป็นแม่กลับเจ็บยิ่งกว่า ถึงแม้เจ็บเจียนตายคุณหญิงดาหลาก็ไม่แสดงความอ่อนแอ ยืนยัดตั้งมั่นแสดงความเข้มแข็งให้ลูกได้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

ดวงตาคลอน้ำสีใสจนต้องแอบหันหน้าหลบซับน้ำตา คุณหญิงดาหลาสูดหายใจก่อนหันกลับมาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนี้เห็นเจ้าลูกชายตัวยักษ์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ว่าอยากทานฝีมือคุณหญิงดาหลา แบบนี้แล้วคุณหญิงดาหลาคงปฏิเสธไม่ได้” ประโยคต่อมาเรียกเสียงหัวเราะคิกจากลูกสาว แต่ลูกชายกับเบ้หน้าเมื่อถูกเรียกเป็นหมียักษ์ “ดูแลน้องล่ะตานเรศ เดี๋ยวแม่ไปเข้าครัวทำอาหารให้ลูกหมียักษ์กับนางฟ้าสุดสวยก่อน” จบประโยคคุณหญิงดาหลาก็ได้ยินเสียงโวยวายจากเจ้าลูกชายตัวดีที่คราวนี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งจริงๆ

อาหารตั้งเรียงรายเต็มโต๊ะโดยเฉพาะอาหารที่คนท้องเห็นแล้วน้ำลายสอ ชลธารลืมความซึมเศร้าหยิบช้อนทานอาหารด้วยความหิว ใบหน้าที่เคยหมองเศร้าเริ่มสดใสขึ้นมาบ้าง นเรศมองดูน้องสาวแล้วยกยิ้ม ตักปลากะพงทอดราดกะทิทรงเครื่องที่ชลธารชอบใส่จานให้ แต่ยังไม่ทันเนื้อปลากะพงได้แตะจานทั้งชลธารและคุณหญิงดาหลาต่างพากันตาเหลือก

ชลธารที่พึ่งยัดข้าวใส่ปากคำโตยกมือห้ามแทบไม่ทัน “อื้อๆ” ชลธารส่งเสียงขณะพยายามเคี้ยวข้าวก่อนรีบกลืน “กินไม่ได้ค่ะ กินไม่ได้” เธอโบกมือเป็นพัลวันอีกมือก็บีบจมูกแน่นส่งสายตาเข็ดขยาดจนนเรศหัวคิ้วหมุน

“น้องทานไม่ได้ แพ้น่ะ”

พอได้ฟังมารดาชี้แจงนเรศก็พยักหน้าหงึกๆ หยิบจานปลากะพงทอดราดกะทิทรงเครื่องออกไปอีกฝั่ง ให้ห่างจากชลธาร “แล้วบนนี้กินอะไรไม่ได้บ้าง” ใบหน้าของนเรศเคร่งเครียดพาให้ดูมีอายุเพิ่มอีกมากโข เขากำลังใช้สายตากวาดมองบนโต๊ะสลับกับมองใบหน้าของน้องสาว

“มีแค่อย่างเดี๋ยวเท่านั้นแหละค่ะ” ชลธารบอกขณะเริ่มกลับไปลงมือทานข้าวอีกครั้ง

“แล้วไม่บอกคุณแม่” น้ำเสียงต่อมาฟังดูคล้ายตำหนิกลายๆ

“แม่ก็ห้ามแล้ว แต่เจ้าตัวบอกของโปรดกินไม่ได้ก็ขอแค่ได้ดู” คุณหญิงดาหลาว่าจบก็หัวเราะสายหนึ่งอย่างขบขันแกมเห็นใจลูกสาว

“เรานี่นะเอาแต่ใจนักเชียว” นเรศตำหนิไม่จริงจังนัก มือก็ใช้ช้อนตักจานที่เห็นว่าชลธารตักบ่อยที่สุดไปวางไว้บนจาน ชลธารเงยหน้าจากจานข้าวฉีกยิ้มรับคำตำหนิก่อนจะทานต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“คุณชลคะ มีคนมาขอพบครับ” ลุงแก่นคนงานในบ้านเดินเข้ามาบอกอย่างลังเล

“ใครคะ?”

“เขาบอกว่าชื่อคุณธัญ...”

เคร้ง!

เสียงช้อนหล่นกระแทกจาน ชลธารก้มหน้างุดรีบใช้มือที่กำลังสั่นระริกรวบช้อน

“เพื่อนเราหรือ พี่ไม่เคยรู้จัก” นเรศเอ่ยถามพลางเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของน้องสาว

“ไม่ค่ะ! ชลไม่รู้จัก ลุงแก่นคะไปบอกเขาว่ามาหาผิดคนแล้วค่ะ” น้ำเสียงสั่นพร่าทั้งยังตะโกนอย่างตื่นตระหนก

คิ้วเข้มขมวดมุ่นก่อนลุกจากเก้าอี้ “ลุงแก่นเขาอยู่ตรงไหน” สายตาดุดันของนเรศคาดคั้นจากลุงแก่นทั้งยังก้าวฉับๆ ออกนำไปก่อนปล่อยให้ลุงแก่นวิ่งตาม

ชลธารตื่นตระหนกหันมามองหน้ามารดาที่หรี่นัยน์ตามามอง แม้ไม่ได้ตามไปแต่ชลธารรู้ว่ามารดาสงสัยแต่ก็เลือกที่จะนั่งนิ่ง เมื่อเธอไม่อยากจะบอกคุณหญิงดาหลาจะไม่คาดคั้นแต่จะรอ รอจนกว่าเธอจะพร้อมแล้วยอมเล่าทุกอย่างเอง ชลธารอยากจะร้องไห้ลนลานลุกขึ้นหวังจะวิ่งตามพี่ชายจนคุณหญิงดาหลาเอ็ด

“ชลท้องแล้วระวังให้มาก” คุณหญิงดาหลาเข้าประชิดลูกสาวด้วยความเร็วเกินวัย ก่อนแตะฝ่ามือลงบนไหล่เป็นเชิงห้ามปราม “ไปกันเถอะ” เอ่ยชวนแล้วก็เดินนำหน้าลูกสาวไป

นเรศกำลังยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่มีความสูงต่ำกว่าเล็กน้อย ใบหน้าของอีกฝ่ายอิดโรยแต่ยังคงหลงเหลือเค้าโครงความหล่อเหลา นัยน์ตาคมกริบจับจ้องมองอีกฝ่าย มีหรือที่เขาจะจำไม่ได้ว่าชายตรงหน้านี้เป็นใคร คนที่เป็นทั้งคู่แข่งและศัตรูของพ่อ ธัญ... หึ

“ไม่ทราบว่าคุณณัฐธัญ ปัทมากรพิมุกข์ มาทำอะไรที่บ้านของผมครับ” น้ำเสียงของเขากดต่ำลงเพื่อควบคุมโทสะ ใบหน้าสวมหน้ากากของนักธุรกิจยกมุมปากเป็นรอยยิ้มแสยะให้อีกฝ่าย

“ผมมาหาชลครับ” ณัฐธัญไม่ใส่ใจกับทาทางหาเรื่องจากชายตรงหน้า ในใจตอนนี้ของเขาต้องการเห็นแค่หน้าชล ผู้หญิงที่เขาหลงรักโดยไม่รู้ตัวและโซ่คล้องใจในตัวของชลธาร

ใบหน้าของนเรศเกร็งขึ้นฉับพลันก่อนตวาดไล่ณัฐธัญอย่างไม่ไว้หน้า “ชลไม่อยู่ กลับไปซะ!”

ใบหน้าที่อิดโรยอยู่แล้วพลันห่อเหี่ยวอย่างสิ้นหวังจนลุงแก่นที่มองดูอยู่รู้สึกเวทนา ณัฐธัญคอตกเตรียมหันหลังจากไป แต่แล้วสายที่เหลือบไปมองภายในบ้านด้วยความหวังครั้งสุดท้ายก็สะดุดเข้ากับร่างหนึ่ง หัวใจที่เหี่ยวแฟบอ่อนแรงก่อนหน้า พลันกระหน่ำรัวเต้นขึ้นมาจนแทบทะลุอก ท่าทีอมทุกข์ก่อนหน้าถูกสลัดทิ้งแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างส่งไปให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในใจ

“ชล” เสียงเบาหวิวหลุดครางชื่อด้วยความยินดีเต็มเปี่ยม แม้ในขณะที่ถูกพี่ชายของชลธารตะโกนขับไล่ไสส่ง

“แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือยังไงว่าให้กลับไป หรือว่าคนจากปัทมากรพิมุกข์มันหน้าด้านหน้าทน คนอื่นไล่เหมือนหมูเหมือนหมาก็ยังไม่ยอมไป หรือต้องให้เอาน้ำมาสาด!” นเรศตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ยิ่งมองเห็นอีกฝ่ายยกยิ้มราวกับยินดีนักหนาที่ได้เห็นหน้าน้องสาวของเขาอารมณ์ยิ่งโหมกระพือยิ่งขึ้น

“นเรศ!” ก่อนที่นเรศจะได้กระชากอีกฝ่ายมากระทืบเสียงคุณหญิงดาหลาก็ปรามขึ้นมาซะก่อน เขาจึงทำได้เพียงแสดงท่าทางไม่พอใจ “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็คุยกันแบบผู้ใหญ่ไม่ใช่เอะอะก็ต่อยตี” แม้ใจความจะบอกลูกชายแต่กลับกระทบไปถึงคนฟังอีกคน

“สวัสดีครับคุณหญิง” ณัฐธัญกระพุ่มมือไหว้

“เข้ามาด้านในก่อนสิ ตาแก่นไปบอกยายช้อยหาของว่างมารับแขก...”

“ไม่ค่ะ เขาจะกลับแล้ว” ชลธารแทรกขึ้นดวงตาฉายชัดถึงความโกรธส่งตรงไปให้ณัฐธัญ

“ชล” ณัฐธัญได้แต่ครางชื่ออีกฝ่ายด้วยดวงตาละห้อย “ผมยอมรับว่าผมผิด...ผมขอโทษ ชลให้โอกาสผมสักครั้ง ผมอยากรับผิดชอบ ผมอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” ณัฐธัญถลาเข้าเกาะกุมมือเล็กของชลธาร ซึ่งทำให้เธอต้องผงะถอยด้วยความตกใจ

“ปล่อยนะ” ชลธารแหวลั่นสะบัดมือออกด้วยความเกลียดชัง

ผลัวะ! ตุบ! ผลัวะ!

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้ากับโหนกแก้มเต็มแรง ใบหน้าของณัฐธัญสะบัดเซถลาลงไปกองกับพื้น เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของนเรศ เขาตามกระหน่ำทั้งหมัดทั้งเท้าใส่จนณัฐธัญรู้สึกร้าวระบมไปทั่วร่าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ตอบโต้พี่ชายของชลธาร เขาทำแค่เพียงปัดป้องเท่านั้น ใบหน้าของณัฐธัญสะบัดตามแรงหมัดอีกครั้งพร้อมเลือดพุ่งออกจากปาก ย้อมใบหน้าหล่อเหลานั้นให้แดงเถือกไปเกือบครึ่ง

ชลธารมองดูชายหนุ่มโดนผู้เป็นพี่ชายของเธอต่อยตีไม่ไหว แม้ว่าจะเกลียดอีกฝ่ายแค่ไหนเธอก็ไม่ต้องการลงโทษเขาแบบนี้ เพราะแบบนั้นเธอก็ใจร้ายไม่ต่างจากที่เคยประณามเขา

“หยุดค่ะพี่นเรศ” เสียงเล็กร้องตะโกนลั่นฝ่าความวุ่นวาย แต่ดูเหมือนพี่ชายที่เลือดขึ้นหน้าไปแล้วจะไม่ได้ยิน ชลธารเหลือบไปมองคุณหญิงดาหลาที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้ลางๆ แต่ผู้เป็นมารดากลับยืนนิ่งไม่สนใจสายตาแกมขอร้องจากเธอ “พี่นเรศคะ หยุดเถอะค่ะ” ชลธารวิ่งเข้าไปยื้อฉุดกระชากท่อนแขนล่ำสันของพี่ชาย

คุณหญิงดาหลาแทบหัวใจวายเมื่อลูกสาววิ่งเข้าไปแล้วถูกลูกหลงเหวี่ยงออกมา “ว้ายชล!” ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นแนบอกพลางร้องด้วยความตกใจ

ความวุ่นวายพลันหยุดชะงัก ณัฐธัญดึงสติได้เป็นคนแรกรีบถลาเข้าไปหาชลธาร เขายื่นมือสั่นระริกลูบไล้ตามร่างเล็กสายตาสำรวจหาบาดแผล ปากเฝ้าเอ่ยถามประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ชลธารเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนบอกธัญสิ” น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ ใบหน้าขมวดมุ่นราวกับอยากจะร้องไห้เสียตรงนั้น

จู่ๆ น้ำตาของชลธารก็ไหลทะลักร่วงผล็อยๆ ยิ่งทำให้ณัฐธัญทำอะไรไม่ถูก เขาดึงร่างเล็กนั้นเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไม่สนใจใคร นิ้วแกร่งยื่นเช็ดน้ำตาออกจากดวงหน้าหวานอย่างอ่อนโยน “ธัญขอโทษ เป็นความผิดของธัญเอง” เขาเอ่ยพลางลูบศีรษะเล็กอย่างปลอบประโลม

“ชล...พี่ขอโทษ” นเรศมองดูภาพตรงหน้าแล้วได้แต่รู้สึกผิด ความผิดนี้เขาโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนผิด ผิดที่ดูแลน้องไม่ดี ผิดที่ทำให้น้องเจ็บ

“หัวใจคนแก่จะวาย” คุณหญิงดาหลายกมือตบอกระรัว “ชลร้องไห้เจ็บตรงไหนบอกแม่สิลูก...ตาแก่นๆ ไปเอารถออกพาชลไปหาลุงหมอ” แล้วทุกคนก็ได้ยินแต่เสียงคุณหญิงดาหลาเรียกใช้ลุงแก่นดังลั่น

“ชลไม่เป็นอะไรค่ะคุณแม่” ชลธารรีบร้องห้ามเสียงหลง

“ไปตรวจดูให้แน่ใจก่อนเถอะชล” เสียงต่อมาดังมาจากณัฐธัญใบหน้าของเขาส่งแววอ้อนวอนแกมขอร้อง

ใบหน้าของชลธารเห่อร้อนจนขึ้นสีเรื่อ หลังจากมัวตกตะลึงก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นอันคุ้นเคย พลันฝ่ามือเรียวเล็กก็ยกขึ้นผลักอีกคนจนแทบหงายหลัง

ณัฐธัญร้องโอ๊ยแทบจะทันที ด้วยร่างกายที่เดิมทีร้าวระบมอยู่แล้วถูกผลักให้ล้มหงายเก๋ง จึงเผลอหลุดร้องอุทานด้วยความเจ็บ ชลธารรีบเข้าไปดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ก่อนชะงักกึกแล้วถอยออกมา

“เอาล่ะมีเรื่องอะไรก็เอาไว้ไปคุยกันข้างใน” จบประโยคคุณหญิงดาหลาก็เดินนำกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้นเรศพยุงน้องสาวตามไป



**********************************
ต้องขอโทษจริงๆ จ้า บอกว่าจะมาลงให้พรุ่งนี้ แต่พอดีดันดูอนิเมะเพลินเงยหน้ามองดูนาฬิกาอีกที อ้าวค่อนคืนซะแล้ว ถถถถ ขอบคุณทุกคอมเม้นททุกกำลังใจเจอกันพรุ่งนี้จ้า อย่าลืมเม้นติเม้นชมกันด้วยนะจ๊ะ

ออฟไลน์ lisutana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมื่อวานข้ารอเจ้านานแสนนานT-T
ขอบคุณที่มาอัพนะเจ้าคะ
มาต่อเร็วนะจ๊ะ❤️

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พ่อเด็กตัวจริงมาแล้ว นเรศจะจัดการเรื่องนี้ยังไง

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พ่อเด็กมาแล้ววว คราวนี้จะทำไงล่ะนเรศ?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คุณธัญเจ้าคะ รบกวนคุณช่วยบอกความจริงให้นายหัวเขาทราบด้วยเจ้าคะ อีน้องจันทร์ของฉันจะได้รอดปลอดภัยเสียที  :m5:

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า

บรรยากาศภายในบ้านอึดอัดโดยเฉพาะความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่มใบหน้าถมึงทึง นเรศใช้ดวงตาคมกริบจ้องมองณัฐธัญนั่งคุกเข่าให้คุณหญิงดาหลา ใบหน้าอีกฝ่ายมองดูสลดและสำนึกผิดอยู่ในที แม้ท่าทางหลังงองุ้มจะยังคงด้วยความสง่า ฝ่ามือหนาเดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคลายทั้งอาการหายใจรุนแรง เพื่อระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นจนอยากจะลุกไปกระทืบฝ่ายตรงข้าม

ชลธารนั่งร้องไห้ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นของคุณหญิงดาหลา เสียงสะอึกสะอื้นจนตัวโยนพาคนใจคนฟังเจ็บหน่วงยิ่งกว่าถูกเข็มทิ่มแทงเป็นพันเล่ม ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นลูบศีรษะของลูกสาว หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพทุกอย่างจากณัฐธัญ คุณหญิงดาหลาก็ยังคงเงียบ เงียบจนน่าอึดอัดสำหรับคนกระทำผิด เพราะคุณหญิงไม่โกรธ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ราวกับท้องฟ้าสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะกระหน่ำ

แต่ถึงอย่างนั้นณัฐธัญก็ยังเฝ้ารอคอย รอคำตำหนิ รอการลงโทษด้วยใจที่รู้สึกผิดทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียว...อย่าให้เขาต้องพลัดพรากจากคนที่เขารักก็เพียงพอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะลากเขาไปกระทืบหรือต้มยำทำแกงอะไร ในเวลานี้ขายอมทั้งนั้น

ในที่สุดณัฐธัญก็ตัดสินใจทำลายความเงียบนี้ลง “ผมขอโอกาส...” เขาเงยหน้าขึ้นมาใช้ดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตาลูกผู้ชายกวาดมองดูครอบครัวทวีภัทรบวร “ผมอยากขอโอกาสแก้ตัว ผมรู้ว่าผมทำผิดจนไม่น่าให้อภัย แต่ผมสัญญาว่าจากนี้ไปผมจะดูแลชลและลูกให้ดีที่สุด” จบประโยคชลธารก็ปล่อยโฮยิ่งกว่าเดิมจนณัฐธัญหน้าม้าม

“ขอโอกาสหรือ? เธอคิดว่าจะได้โอกาสนั้นจากฉันหรือ”

คราวนี้ร่างกำยำของณัฐธัญห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม

“ฉันไม่มีโอกาสนั้นสำหรับเธอหรอกนะ” ยิ่งฟังเขายิ่งเจ็บจนคิดว่าใจที่เตรียมมาแล้วอย่างดีกำลังแหลกละเอียด ตามด้วยฝ่าเท้าบดขยี้ลงมาจนเจ็บหน่วง เขาอยากจะร้องไห้แต่เสียงเล็กๆ ในใจตะโกนก้องให้เขาเกิดความหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าสิ่งใด ขณะกำลังเอ่ยอีกครั้งก็ถูกขัดจากคุณหญิงดาหลา “โอกาสไม่มีใครให้เธอได้นอกจากตัวเธอเองหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะโกรธเธอที่ทำกับลูกสาวของฉันแบบนี้ แล้วมันได้อะไรล่ะ โกรธกันไปโกรธกันมาแล้วคิดแค้นฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ ตามล้างแค้นกันไปกันมาไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วได้อะไรมีแต่จะสูญเสีย เฮ้อ...เด็กสมัยนี้ดีแต่ใจร้อนใช้แต่ความรุนแรงตัดสินปัญหา ไม่คิดหน้าคิดหลัง คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดถึงผลที่ตามมาแบบนี้เขาเรียกว่าไม่รู้จักโต ฉันก็แก่จนไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของเด็กๆ เขา ได้แค่บอกให้คุยกันด้วยเหตุผลอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ อย่าดึงดันที่จะเอาชนะยอมถอยกันคนละก้าวแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”

ไม่เพียงแต่ณัฐธัญเท่านั้นที่นิ่งฟังคุณหญิงดาหลา ทุกคำกล่าวของคุณหญิงล้วนแล้วแต่มีเหตุผล แม้จะแฝงคำเหน็บแหนมให้ณัฐธัญสะดุ้งตัวบ้าง ทุกคำพูดล้วนทำให้พวกเขาตกอยู่ในห้วงความคิด กระทั่งชลธารเองยังหยุดร้องนั่งฟังเงียบๆ กับอกมารดา

“แล้วคุณหญิงไม่เกลียดผมที่เป็นคนจากปัทมากรพิมุกข์หรือครับ” จบประโยคคำถามณัฐธัญก็ได้รับค้อนวงโตจากคุณหญิงดาหลา

“พูดไปตั้งเยอะตั้งแยะคิดไม่ได้เลยหรือ ตาแก่สองคนนั่นจะเกลียดกันแล้วยังไง ฉันไม่ได้เกลียดตามหรอกนะ ตอนนี้พ่อของตานเรศกับยายชลก็จากไปแล้ว จะมีแต่พ่อของเธอนั้นแหละที่ไม่ยอมปล่อยวางโกรธแม้กระทั่งคนตาย แบบนี้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต” คราวนี้คนเป็นลูกผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตถึงกับสะดุ้งแทนพ่อ “เฮ้อ วันนี้มีเรื่องวุ่นวายให้คนแก่อย่างฉันต้องปวดหัวจริงๆ สายหยุดมานี่หน่อยสิ” ท้ายประโยคเรียกหาแม่บ้านคนสนิท

“ค่ะคุณหญิง” คุณป้าสายหยุดวัยไล่เลี่ยกับคุณหญิงก็เดินแกมวิ่งเข้ามาช่วยพยุงคุณหญิงดาหลาอย่างรู้ใจ

“ฉันจะไปนอนพักหน่อย วันนี้ปวดหัวนัก” เดินบ่นไปกับสาวใช้ทิ้งหนุ่มสาวให้นั่งเผชิญหน้ากัน

“...” นเรศลุกขึ้นเดินตรงไปวางฝ่ามือบนศีรษะน้องสาว ก่อนเดินจากไปอีกคนด้วยท่าทางเงียบขรึมราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิดอย่างหนัก

ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงสองหนุ่มสาว ชลธารตัดสินใจเผชิญหน้ากับปัญหา เธอจะไม่วิ่งหนีอย่างที่ผ่านมาราวกับคนขี้ขลาดอีกต่อไป ส่วนณัฐธัญเขาตั้งใจที่จะใช้โอกาสที่มอบให้กับตัวเองในครั้งนี้จบทุกปัญหา เพราะเขาจะต้องได้ลูกเมียกลับคืน แม้อีกฝ่ายจะสั่งให้เขาทำอะไรก็จะทำ ปัญหาในครั้งนี้เขาต้องผ่านไปให้ได้เพื่ออนาคตของครอบครัวที่รอเขาอยู่ข้างหน้า

“ชล...”

“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันบนนี้เถอะค่ะ คุณเป็นแผลใช่ไหมฉันจะไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้” จบประโยคก็ทำท่าจะลุกไปเอากล่องปฐมพยาบาลแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ธัญไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มยกยิ้มด้วยความรู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายเป็นห่วง ลุกขึ้นมานุ่งขุกเข่าตรงหน้าหญิงสาว เอื้อมมือไปกอบกุมมือเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสบดวงตาแดงช้ำเล็กน้อยของคนรัก ปัญหาทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้

ร่างกำยำรู้สึกซวนเซเล็กน้อยด้วยความไม่คาดคิด หัวสมองมึนเบลอไม่ต่างจากถูกใครสักคนเอาค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า พอล้มลงก็มีฝ่าเท้าตามเข้ามากระทืบครั้งแล้วครั้งเล่า หากจะบอกตรงๆ ว่าตอนนี้นเรศรู้สึกผิด...ใช่เขารู้สึกผิดหลังจากที่ได้รับรู้ความจริงทุกอย่าง ความจริงที่ว่าเขามันไม่ต่างจากณัฐธัญหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า

จู่ๆ ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ จนต้องคว้าเก้าอี้ในสวนแล้วทรุดตัวนั่งลง ดวงตาคมกริบเหม่อลอยจนน่าเป็นห่วง ฝ่ามือถูกยกขึ้นลูบใบหน้าคล้ายต้องการเช็ดเหงื่อกาฬออกทั้งที่ไม่มีแม้เหงื่อสักหยดบนใบหน้า นเรศรู้สึกหนักอึ้งในใจมีคำถามมากมายในใจแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้

แล้วเจ้าจันทร์เป็นใคร?

หลักฐานในรูปนั้นเจ้าจันทร์อยู่กับน้องสาวของเขา...ในฐานะอะไร

ทำไมเจ้าจันทร์ถึงไม่หนี ทั้งที่เขามั่นใจว่าเจ้าจันทร์รู้ความผิดที่ถูกจับตัวมา

และที่ทำให้กลุ้มใจที่สุด เขาทำอย่างนั้นกับเจ้าจันทร์ เด็กคนนั้นบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอะไร ใบหน้าติดจะหวานมีหยดน้ำตา เฝ้าร้องขอความเมตตาจากเขาแทรกเข้ามาให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม นเรศหลับตาแน่นเอนแผ่นหลังอ่อนแรงอิงกับพนักเก้าอี้ สองแขนตกลงแทบไร้เรี่ยวแรง

เขาจะทำยังไงต่อไปดี ดูเหมือนปัญหามันจะยุ่งเยิงจนน่าปวดหัวเสียแล้ว

เสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเบาๆ เป็นระยะภายในบ้านทวีภัทรบวร ที่วันนี้มีแขกหน้าด้านหน้าทนเพิ่มเข้ามาอีกคน และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกชายจากปัทมากรพิมุกข์ที่กำลังเอาใจภรรยาทางพฤตินัยอย่างออกนอกหน้า ณัฐธัญรู้สึกถึงแรงเขม่นจากนเรศที่จ้องเขม็ง แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามด้วยไม่อยากมีเรื่องกับพี่เขยหัวร้อน

“ทานนี่ด้วยสิคะ” เนื้อปลากะพงทอดราดกะทิถูกตักลงบนจานของชลธาร แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้เธอด้วยซ้ำชลธารก็ยกมือปิดปากปิดจมูกโบกมือปฏิเสธระรัว ณัฐธัญหน้าเสียเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากนเรศดังตามมา ช้อนตักเนื้อปลากะพงเลยต้องวางลงบนจานตัวเอง

ชลธารมองดูหน้าอีกฝ่ายแล้วต้องกลั้นหัวเราะ “เจ้าตัวเล็กไม่ชอบค่ะ” เธอเอ่ยปลอบทั้งรอยยิ้มเรียกกำลังใจให้ชายหนุ่มมากโข พอๆ กับเรียกเสียงหึอย่างไม่ชอบใจจากพี่ชายที่นั่งทำหน้ายักษ์อยู่

“งั้นเดี๋ยวธัญเอาออกไป...”

“น้องสาวฉันชอบจะเอาออกไปทำไม” น้ำเสียงเข้มติดจะหาเรื่องแทรกขึ้นทันที

“ถึงจะชอบแต่ถ้าทำให้แพ้ท้องก็ไม่ควรเอามาใกล้ชล เดี๋ยวเอาไปเก็บนะครับ ธัญเป็นห่วงลูกกับชลนะ” จานปลากะพงทอดราดกะทิถูกหยิบออกไปเก็บ แม้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอแต่ก็อดที่จะทำตาละห้อยไม่ได้

“เมื่อก่อนจะเอาไปเก็บไม่ยอมท่าเดียวบอกขอแค่ให้ได้มอง ดูสิตอนนี้แค่สามีพูดนิดเดียวก็เชื่อฟังไปซะหมด” คุณหญิงดาหลาเปรยขึ้นอย่างต้องการล้อลูกสาว ซึ่งดูเหมือนจะอายจนแก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งบิดไปมาจนแทบจะมุดโต๊ะหนีซะแล้ว

“คุณแม่” ชลธารพูดเสียงเบาหวิวเขินอาย ก่อนจะรีบหันไปตักข้าวกินอย่างตั้งใจเมื่อณัฐธัญเดินกลับมา

คุณหญิงดาหลาชมดูภาพการดูแลเอาใจใส่ของทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข เมื่อทั้งชลธารและณัฐธัญปรับความเข้าใจกันได้แล้วคุณหญิงก็ดีใจด้วย ต่อไปทั้งคู่จะได้มีความสุขเสียที หลานตัวน้อยของคุณหญิงเองก็จะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเสียที มองดูแล้วก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่ได้ แต่ในขณะที่ลูกสาวมีความสุข ลูกชายของคุณหญิงดาหลากลับเคร่งขรึมราวกับมีเรื่องในใจอย่างหนัก บางครั้งคุณหญิงยังได้ยินเสียงถอนหายใจบ่อยๆ จนผิดปกติ จนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“ตานเรศมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

คนถูกถามสะดุ้งหลุดออกจากห้วงความคิดก่อนรีบกระชับส้อมในมือที่กำลังหลุดออกไป

“เปล่าครับ” เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาแม่ได้เสมอ บางครั้งปัญหามันก็คิดคนเดี๋ยวไม่ได้หรอก” จบประโยคของมารดานเรศก็ต้องคิดตาม

“จริงสิ ช่วงหนึ่งธัญไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าจันทร์ แต่ว่าช่วงหลังๆ มานี่ธัญไม่เจอเด็กคนนั้นเลย ธัญเลยอยากจะถามว่าชลได้ติดต่อเจ้าจันทร์ไหม” ณัฐธัญพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเดือนกว่าแล้วที่เขาไปตามหาเจ้าจันทร์ในร้านที่พบกันครั้งนั้น แต่เขากลับไม่พบเจ้าจันทร์เลยจนอดรู้สึกห่วงไม่ได้

“อะแฮ่ม ยังกล้าถามถึงผู้หญิงอื่นกับลูกสาวฉันอีกหรือ” เสียงขุ่นเคืองของคุณหญิงดาหลาเรียกขนในกายลุกซู่

“เจ้าจันทร์เป็นเด็กผู้ชายครับ” ณัฐธัญรีบแก้

“ใช่ค่ะ เจ้าจันทร์เป็นรุ่นน้องของชลเอง” ชลธารรีบยืนยัน “ช่วงนี้ชลก็ติดต่อเจ้าจันทร์ไม่ได้เหมือนกันค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราหาเวลาไปเยี่ยมที่บ้านเจ้าจันทร์กันดีไหมคะ” ชลธารรีบชวนชายหนุ่มทันทีเพราะเธอเริ่มรู้สึกห่วงเด็กหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว “ติดต่อไม่ได้แบบนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” ไม่วายบ่นพึมพำตามมา

“รู้จักหรือตานเรศ” คุณหญิงดาหลาถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหลังจากเห็นเจ้าหมียักษ์ชะงักไป

“เปล่าครับ” ตอบแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ

“ไปเยี่ยมหน่อยก็ดีเหมือนกันครับ ธัญยังติดค้างคำขอบคุณต่อเจ้าจันทร์อยู่”



******************************
เชิญเม้นด่านเรศได้  :katai2-1:
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะจ๊ะ เจอกันบทหน้าจ้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ด่าไปก็เท่านั้น ไม่สะเทือนหรอก มันต้อง   :beat: :z6: :โป้ก1: :13223: :fcuk:

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร

เสียงคลื่นสาดสัดเข้าหาฝั่งสลับกับเสียงสรรพสัตว์คล้ายเสียงดนตรีอันไพเราะ น้ำทะเลสีฟ้าใสสาดซัดชายหาดจนเกิดฟองขาวก่อนกลิ้งตัวกลับลงสู่ทะเล บริเวณชายป่าภายในกระท่อมโกโรโกโสเกือบจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ปรากฏร่างเล็กนอนขดกายหนาวสั่นอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานมีเหงื่อผุดพราย คิ้วเรียวกดลึกราวกับกำลังฝันร้าย ริมฝีปากสีซีดออกอาการสั่นระริกจนน่าเป็นห่วง

กะละมังขนาดเล็กบรรจุน้ำไปครึ่งหนึ่งถูกวางลงข้างเตียง มืออวบเล็กน้อยหยิบผ้าขนหนูจุ่มน้ำแล้วบิดจนมาด ก่อนบรรจงเช็ดตามร่างที่ขนตัวหนาวสั่นอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ป้าสุดามีสีหน้าสลดและสงสารเด็กหนุ่ม ในใจก็อดที่จะบ่นเจ้านายของตัวเองไม่ได้ ดูสิคุณเจ้าเธอน่าสงสาร โดนคุณนเรศรังแกจนป่วยไข้แบบนี้ จะมาดูดำดูแดงสักหน่อยก็ไม่มี พอหอบคุณเจ้าที่สะบักสบอมกลับมาแล้วก็หนีหายไปกรุงเทพ จะให้พาไปหาหมอก็ไม่เอา แล้วถ้าเกิดคุณเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา พ่อแม่ของคุณเจ้าคงใจสลาย

“ไม่...อย่า...อย่าทะ...ผม” เสียงละเมอแผ่วเบาเล็ดรอดจากริมฝีปากซีด

“โธ่คุณเจ้า” มืออวบใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามหน้าผากเลยไปยังศีรษะร้อนด้วยความสงสาร เป็นไข้มาเกือบสามวันแล้วยังไม่ได้สติ หมอก็ไปหาไม่ได้ป้าสุดาจึงได้แต่เรียกหมอเพลิงมาดูอาการให้ จะแอบพาข้ามฝั่งเหมือนคราวที่แล้วก็ไม่กล้า

“ป้าไปพักบ้างเถอะเดี๋ยวผมดูต่อเอง” โอภาสเข้ามารับช่วงต่อจากป้าสุดา

“อีกสักหน่อยให้เช็ดตัวคุณเจ้าอีก” ป้าสุดาบอกหลานชายพลางวางผ้าขนหนูบนหน้าผากเล็ก ก่อนออกไปไม่วายส่งสายตามองดูร่างเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง

ป้าสุดากลับเข้ามาในบ้านทำหน้าที่ของตน ล้างจานฝั่งโน้น หยิบผ้าในตะกร้าฝั่งนี้ไปซัก ขณะป้าสุดากำลังทำความสะอาดบ้านเสียงโทรศัพท์บ้านก็แผดเสียงลั่น จนต้องพาร่างอวบเล็กน้อยวิ่งเข้าไปรับ

“สวัสดีค่ะ”

“สุดา” เสียงปลายสายตอบกลับมาเป็นเสียงคุ้นเคย “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูลังเลกว่าทุกครา

“ก็เรียบร้อยดีค่ะ”

“...ฉันหมายถึง” น้ำเสียงของปลายสายลากยาวอย่างชั่งคิดว่าจะเอ่ยดีหรือไม่ “เด็กนั่นตายหรือยัง”

จบประโยคป้าสุดาก็อยากจะกรีดร้องใส่ปลายสายสักครั้ง คุณนเรศนะคุณนเรศไม่ชอบคุณเจ้าก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนั้น “ไข้ขึ้นมาสามวันแล้วยังไม่หายค่ะ” คำตอบคราวนี้จึงเจือกระแสความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

“ฝากดูด้วย พรุ่งนี้ฉันก็จะกลับแล้ว” คราวนี้น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูอ่อนลง

“ค่ะ ป้าจะดูแลอย่างดี คุณนเรศกลับมาจะได้รังแกคุณเจ้าเต็มที่” ป้าสุดาอดที่จะประชดอีกฝ่ายไม่ได้ จึงไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายก่อนจะวางสายไปเหลือทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับป้าสุดา “รู้สึกคุณนเรศพูดจาแปลกๆ” มืออวบยกขึ้นเกาหัวตัวเองดังแกรกๆ เป็นท่าประจำยามตกอยู่ในห่วงความคิด





ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ เรือยอร์ชสีขาวสว่างท่ามกลางทะเลสีน้ำเงินทะแสงประกายระยิบแล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ป้าสุดามองเห็นเจ้านายหนุ่มขึ้นเรือมาพร้อมกับเป๋าทำงานใบเล็กก็รีบเข้าไปรับ นเรศทักทายป้าสุดาเล็กน้อยก็ตรงไปยังทิศทางที่ทำให้ป้าสุดาหน้าซีด

“คุณนเรศคะ ป้าขอล่ะค่ะคุณเจ้าตอนนี้ไม่สบายอย่าเพิ่งทำอะไรคุณเจ้าเลย” น้ำเสียงของป้าสุดาเต็มไปด้วยการขอร้อง แววตาเว้าวอนขอความเห็นใจแทนคนที่ไม่สบายอยู่ในกระท่อม แต่นเรศกลับไม่สนใจมุ่งหน้าไปยังกระท่อมด้วยช่วงขายาวที่ทำให้ป้าสุดาต้องวิ่งตาม “คุณนเรศคะ” ป้าสุดาเรียกเจ้านายเสียงเบาหวิว หลังจากที่มองดูสีหน้านิ่งเรียบนั้นแล้วเดาไม่ถูกว่าเจ้านายจะทำอะไร

เมื่อเข้ามาในกระท่อมนเรศจึงได้มองเห็นร่างเพรียมบางนอนสะลึมสะลืออยู่ ข้างๆ มีโอภาสที่กำลังบรรจงเช็ดตัวให้ ก่อนจะลุกขึ้นขยับถอยห่างเมื่อหางตาเหลือบเห็นร่างเจ้านายมายืนอยู่ด้านหลังตน นเรศยกมือขึ้นวางลงบนหน้าผากมน ไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ต้องขมวดคิ้ว

“เป็นมากี่วันแล้ว” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถาม

ป้าสุดามีสีหน้าแปลกใจกับท่าทางเจ้านาย จนต้องหรี่นัยน์ตามองดูอย่างสังเกตก่อนตอบคำถาม “ตั้งแต่วันนั้นค่ะ”

“อืม สุดาไปเตรียมห้อง...เอาข้างๆ ห้องฉันนั้นแหละ” นเรศรับคำในลำคอก่อนออกคำสั่ง

“ค่ะ” ป้าสุดาเป็นคนไม่ถามซักไซ้อยู่แล้วจึงรีบจากทำตามคำสั่งเจ้านายทันที ภายในกระท่อมหลังเก่าจึงเหลือแค่เพียงโอภาสและเจ้านายหนุ่มหน้าเคร่ง

“นายทำอะไรครับ” ดวงตาของโอภาสเบิกตะลึงกับการกระทำของเจ้านาย เขารีบเข้าไปยืนประชิดด้วยความกังวล

แขนเล็กถูกดึงตวัดเกี่ยวลำคอหนาจนคนที่นอนสะลึมสะลืออยู่สะดุ้งตื่น ดวงตาโศกลืมขึ้นมองเห็นเพียงใบหน้าพร่าเบลอก่อนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แต่ก่อนที่จะได้ร้องโวยวายร่างกายก็ถูกช้อนอุ้มด้วยท่อนแขนแกร่ง ร่างทั้งร่างจึงตกอยู่ในอ้อมกอด...อุ่น

“ทำอะไรของคุณ” เสียงแหบแห้งร้องประท้วงพร้อมแรงดิ้นอ่อนแรงจนดูน่าขัน

“อยู่เฉยๆ ไปเถอะน่า” เสียงห้าวทุ้มตอบกลับมาสร้างความแปลกใจให้ทั้งคนฟังและอีกคนที่มองดู ด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาครั้งนี้มันไม่ดุดันเหมือนทุกที เจ้าจันทร์จึงได้แต่เกร็งร่างด้วยความกลัว ทั้งต้องตกอยู่ในท่าอุ้มอันน่าอาย แต่ในใจกำลังก่นด่าอีกฝ่ายจนสมองแทบไหม้

นเรศวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงโดยมีป้าสุดาจัดหมอนรองรับศีรษะเล็กให้พอดี เมื่อร่างถึงเตียงนอนนุ่มเจ้าจันทร์ก็ขยับกายออกห่างชายหนุ่มทันทีอย่างนึกเกลียดชังน้ำหน้าอีกฝ่ายไม่น้อย นเรศยืนมองอีกฝ่ายก่อนนั่งลงข้างเตียงราวกับกำลังกลั่นแกล้งคนที่ไม่อยากเห็นหน้าตัวเอง

“กินข้าวหรือยัง” คำถามต่อมาทำให้ดวงตาสองคู่เบิกกว้าง ก่อนคู่ที่สามจะตามมาติดๆ เมื่อโอภาสเดินเข้ามา เจ้าจันทร์รีบส่ายหน้าหวือ ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวก่อนที่เขาจะเข้ามาเล็กน้อยจะมีเวลาได้กินที่ไหน “สุดาไปทำโจ๊กมาให้หน่อย” คำสั่งต่อมายิ่งทำให้คนฟังได้แต่กะพริบตาปริบๆ

นี่คือความฝันใช่ไหม ตั้งแต่รู้สึกตัวก็เหมือนฟ้าดินกลับตาลปัตร จู่ๆ เจ้าคนป่าเถื่อนก็มาทำดีด้วย เจ้าจันทร์ได้แต่ครุ่นคิดในใจ ดวงตาโศกจับจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“คะ?...ค่ะๆ” ป้าสุดารีบรับคำแม้ในใจจะยังสับสนกับความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายในเวลานี้ ร่างอวบของป้าสุดาผลุบหายไปทั้งยังลากเจ้าหลานชายที่ยืนทำหน้างงออกไปด้วย

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองคนเจ้าจันทร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก พลันต้องสะดุ้งกายเมื่อฝ่ามือหนาให้ความรู้สึกเย็นสัมผัสใบหน้าราวกับต้องการวัดอุณหภูมิ เจ้าจันทร์ถอยใบหน้าออกจากฝ่ามือของเขาก่อนใช้ดวงตาโศกจ้องกลับไป หลังจากพยายามเรียกความกล้าให้ตัวเอง

“เช็ดตัวก่อนค่อยกินข้าว” ขณะพูดไปนเรศก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ อึดใจต่อมาก็ออกมาพร้อมกับกะละมังบรรจุน้ำและผ้าขนหนู กะละมังใบเล็กถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียง นเรศหยิบผ้าขนหนูจุ่มลงแล้วยกขึ้นมาบิดจนมาด เขาทำท่าราวกับว่าจะกระทำบางสิ่งที่ทำให้เจ้าจันทร์ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ชายเสื้อสีซีดถูกมือหนาเตรียมถลกขึ้นเท่านั้นแหละจึงได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยความตระหนกและ...

เพียะ!

เจ้าจันทร์สะดุ้งถอยกายห่างพลางปัดมืออีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังลั่น ใบหน้าของเจ้าจันทร์ซีดเผือด หัวใจรัวกระหน่ำเต้นแทบทะลุอก เมื่อเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนฝันร้านแวบเข้ามาในหัว เจ้าจันทร์กลัวนเรศ... แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำแค่เพียงนั่งนิ่งๆ เจ้าจันทร์ก็ยังกลัว

นัยน์ตาสีอำพันดุดันขึ้นทันที ใบหน้าถมึงทึง คิ้วขมวดอย่างไม่พอใจฉายชัด เจ้าจันทร์ไม่รอช้ารีบตะเกียกตะกายหนีจากอุ้งมือมัจจุราชของเขาที่คว้าตามมา จนสามารถรวบเอวเล็กลากเข้าไปใต้อาณัติของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าจันทร์ดิ้นรนจนเหนื่อยหอบ นเรศทำแค่เพียงตรึงร่างเพรียวที่สั่นระริกจนยอมนิ่งสงบด้วยความเหนื่อยเสียเอง

“ถ้ารู้ว่าเหนื่อยก็หยุดดิ้น” เสียงทุ้มรอดไรฟันอย่างพยายามอดทนต่อความดื้อด้านของเจ้าจันทร์

ดวงตาโศกจ้องมองนัยน์ตาสีอำพันที่บ่งบอกว่าอยู่เหนือกว่าด้วยความแค้นใจ ประโยคต่อมาจึงได้แต่กัดฟันกรอด “คุณก็ปล่อยผมก่อนสิ”

จบประโยคนเรศหรี่นัยน์ตาจ้องมองอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจถอยกายออกไป เมื่อได้รับอิสระเจ้าจันทร์ก็รีบขยับกายชิดเตียงอีกฝั่งทันที เกิดความเงียบเมื่อนเรศไม่กล่าวอะไรอีก เขาหันไปหยิบผ้าขนหนูที่ถูกทิ้งไว้ในกะละมัง บิดจนหมาดแล้วก็หันมากระชากแขนเล็กจนอีกฝ่ายแทบหัวทิ่ม อุณหภูมิเย็นเยียบจากผ้าขนหนูแตะลงบนผิวทำให้คนป่วยสะดุ้ง เจ้าจันทร์มีสีหน้าเหยเกเมื่อแรงเช็ดนั้นไม่มีการยั้งแรงเลย

“...” นเรศเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายจึงผ่อนแรงเช็ดให้อ่อนโยนขึ้น

ขณะกำลังจะเลิกเสื้อสีซีดบนกายเล็กขึ้นเพื่อเช็ดลำตัว คนป่วยก็รีบถอยกายออกห่าง นเรศขมวดคิ้วฉับเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความดุดัน ปากก็ดันพล่อยเหมือนจะหาเรื่องเสียอย่างนั้น

“จะอายทำไม เห็นก็เห็นมาหมดแล้ว” เท่านั้นแหละค้อนวงโตจึงถูกตวัดส่งมาให้ นเรศไม่สะทกสะท้านกับใบหน้าที่ฉายชัดความไม่พอใจ เขากลับส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างถูกใจ อีกฝ่ายเผลอชั่วครู่เขาก็จัดการลอกคราบให้เปลือยเปล่าทั้งร่าง

เจ้าจันทร์หอบแฮกขัดขืนจนเหนื่อยแต่กลับสู้แรงของนเรศไม่ได้ เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าจึงรีบซุกตัวลงในผ้าห่มด้วยความอับอาย ใบหน้าหวานยับยู่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำตามมา

ร่างเพรียวถูกกระตุกเล็กน้อยก็เซถลาเข้ามาซบอก นเรศไม่สนใจคนป่วยที่ขยับยุกยิกไม่หยุด เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่ยังมีร่องรอยสีกุหลาบจางกระจายหลายจุด นเรศมองชมดูแล้วพลันมือชะงักก่อนจะต้องเรียกสติให้กลับคืนมา ไม่ให้สนใจผิวขาวผมชมพูดระเรื่อด้วยพิษไข้ที่กำลังสะท้อนแสงระยิบราวกับไข่มุกเม็ดงาม ริมฝีปากรู้สึกแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลีย น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงด้วยความยากลำบาก ราวกับมีพลังลึกลับตรึงสายตานเรศให้สำรวจกายขาวเนียนตรงหน้า ใบหน้าขยับเข้าใกล้จนได้กลิ่นกายหอมกรุ่น

กายที่สั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่สามารถฉุดนเรศที่กำลังจมลงสู่ห้วงอารมณ์ได้ ริมฝีปากจึงจรดลงบนผิวกายเนียน ผ้าขนหนูในฝ่ามือยังคงทำหน้าที่เช็ดตามร่างเล็ก แต่ช่างเป็นจุดที่ทำให้คนป่วยแทบร้องครางฮือ เมื่อความเย็นเยียบจากน้ำถูกลูบไล้บนต้นขา

นเรศละสายตาขึ้นมาสบดวงตาโศกที่สั่นระริกหวาดกลัว ใบหน้าหวานแดงเรื่อจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไรกันแน่ นเรศรู้ดีว่าเขาควรหักห้ามตัวเองไม่ให้ข่มเหงอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ แต่ร่างกายนี้ที่เคยริมรสอันหอมหวานไม่ยอมเชื่อฟัง แนบริมฝีปากบดจูบเร่าร้อนแสดงความต้องการเต็มเปี่ยม

เจ้าจันทร์หวาดกลัวแต่ไม่สามารถปฏิเสธจูบอันแสนอ่อนโยนแฝงความต้องการเต็มเปี่ยม ที่กำลังหลอกล่อให้ลุ่มหลงนี้ได้ มันแตกต่างจากทุกครั้งที่อีกฝ่ายเคยสัมผัสมา ไม่หยาบโลน รุนแรงเอาแต่ใจ แต่กลับหยอกเย้าค่อยๆ ตะล่อมให้คนอ่อนประสบการณ์เปิดรับด้วยความต้องการของตัวเอง

นิ้วแกร่งกรีดไล่ตามแนวสันหลังจนขนกายลุกชันตามด้วยเสียงครางสั่นเครือ ร่างกายถูกบีบเค้นปลุกเร้าให้ก่อเกิดอารมณ์ซาบซ่าน ร่างกายค่อยๆ ถูกเอนลงนอนราบกับเตียงนอนจนแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนุ่ม ริมฝากของทั้งคู่ยังคงตวัดพันเกี่ยวไม่ยอมห่างจนร่างใต้อาณัติแทบหมดอากาศ นเรศจึงผละออกไล่จุมพิตตามดวงหน้าไล่ตามลำคอ ก่อนหยุดลงที่เม็ดไข่มุกสีสวย ไม่รอช้าเขาแลบลิ้นเลียชิมจมเปียกชุ่ม

“อา” เจ้าจันทร์ไม่สามารถคุมสติได้อีกต่อไป ส่งเสียงครางฮือด้วยความซ่านเสียวจากสัมผัส หน้าอกแอ่นโค้งตามริมฝีปากหยักที่ดูดชิม มือเล็กขยุ้มเส้นผมเงางามเพื่อระบาย ดวงตาหลับพริ้มอย่างคนตกอยู่ในห้วงความต้องการ

นเรศวกกลับดูดกลืนเสียงร้องครวญครางอีกครั้ง ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาและสะโพกเล็กแล้วค่อยๆ แหวกออก อุณหภูมิในห้องไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของคนทั้งคู่ และก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ประตูที่ปิดสนิทก็เปิดผ่างออกพร้อมกับร่างอวบของป้าสุดาเดินเข้ามา ดวงตาของป้าสุดาเบิกกว้างถาดในมือที่มีถ้วยโจ๊กและแก้วน้ำสั่นระริก อยากจะถอยกลับก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อคนทั้งคู่หันมาเห็นเข้า



**********************************************
ต่อมหื่นทำงานเต็มพิกัด จู่ๆ ก็ดึงมาฉากหวิวหน้าตาเฉย ฮ่าๆ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม และอย่าลืมเม้นติเม้นชมบอกเล่าความรู้สึกผ่านคอมเม้นกันด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2018 19:46:25 โดย เจี๊ยะบ่จ่าย »

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทำเราค้างอีกแล้ว~ :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
รู้ตัวว่าทำผิดแต่ก็ยังจะเอาเปรียบจันทร์อยู่อีกนะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่รู้ความจริงแล้ว ความหื่นไม่ลดเลยนะ พุ่งพรวด ๆ เลยเชี่ยว  :m16:

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ

นเรศรีบตวัดผ้าห่มขึ้นปิดกายเล็กสีระเรื่อ เจ้าจันทร์เองก็รีบดึงผ้าห่มปิดหน้าหนีความอับอาย ในใจก็เที่ยวก่นด่าตัวเองที่เผลอตัวไปกับการเล้าโลมของอีกฝ่าย

“ปะ...ป้า ป้า....” ป้าสุดาได้แต่เลิ่กลักอยู่ทางเข้า

“ฉันแค่เช็ดตัว” นเรศรีบแก้สถานการณ์ด้วยการหยิบผ้าขนหนูชุ่มน้ำ เช็ดตามลำตัวคนป่วยอย่างรวดเร็ว จนมือไม้แทบพันกัน

ท่าทางเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัวของป้าสุดา บอกชัดว่าไม่ยอมเชื่อคำแก้ตัวของเจ้านายหนุ่มแน่ แต่หญิงวัยกลางคนกลับพยักหน้าหงึกๆ ราวกับไม่มีข้อสงสัยในใจ แม้ความจริงแล้วจะมีเสียงร้องถามในใจ ว่าคุณนเรศกับคุณเจ้ากำลังเช็ดตัวกันอีท่าไหน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ทำไมทั้งคู่ถึง...ดูเหมือน... อา ป้าสุดารีบส่ายหน้าหยุดความคิดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

ป้าสุดาวางถาดโจ๊กก่อนรีบไปหยิบเสื้อยืดส่งให้เจ้านายหนุ่ม นเรศส่งเสื้อให้อีกฝ่ายไปสวม เมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวดสงสัยเขาก็รีบชี้แจง “นายตัวเล็กกว่าฉัน ใส่แค่เสื้อก็พอ ใส่กางเกงไปด้วยมันตลก” ท้ายประโยคไม่วายปากเสียอย่างคนเคยตัว คนเกือบเป็นตัวตลกเลยตวัดตาค้อนขวับจนบรรยากาศเริ่มมาคุ

ป้าสุดาเห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยขัด “ทานโจ๊กค่ะคุณเจ้า” ป้าสุดาฉีกยิ้มพร้อมประคองถาดวางลงบนตัก แต่แล้วถาดในมือกลับถูกแย่งไป “...” ป้าสุดาไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด

“อ้าปาก” มือหนาหยิบช้อนตักโจ๊กพอดีคำก่อนยื่นมาจอที่ริมฝีปากบวมเจ่อ คนป่วยจึงได้แต่เงยหน้ามองป้าสุดาที่อาการงุนงงไม่แพ้กัน “กินสิ” เสียงทุ้มเร่งเหย็งๆ

“...” เจ้าจันทร์ที่กำลังสบสนไม่กล้าขัดใจน้ำเสียงที่เริ่มจะดุขึ้นมา จำใจหลับหูหลับตาอ้าปากรับโจ๊กเต็มคำก่อนจะสำลัก ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบระบายความร้อนที่ลวกลิ้นไปหมดแล้ว จะคายทิ้งก็ไม่กล้าเมื่อดวงตาคมกริบจับจ้องมองตาแทบไม่กะพริบ

“ตายแล้วคุณเจ้า!” เป็นป้าสุดาอุทานตาแทบเหลือกก่อนจะหันไปดุเจ้านายหนุ่ม “โจ๊กร้อนขนาดนั้นลวกปากคุณเจ้าพองหมดแล้วค่ะ เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ”

“ผมกินเองได้” เจ้าจันทร์เตรียมจะแย่งถ้วยโจ๊กมาถือเอง ขืนให้เขาป้อนมีหวังพรุ่งนี้คงกินอะไรไม่ได้อีก แต่แล้วก็ต้องหดมือกลับเมื่ออีกฝ่ายโยกถ้วยโจ๊กหลบเป็นการปฏิเสธอย่างดื้อดึง “ผมแค่ไม่สบายไม่ได้เป็นง่อย กินเองได้” เจ้าจันทร์อดที่จะโวยวายใส่ชายหนุ่มไม่ได้

คิ้วเข้มขมวดกดลึกฉับบ่งบอกว่าไม่ยินยอมอย่างดื้อด้าน ก่อนจะยอมทำตามคำแนะนำของป้าสุดา ด้วยการตักโจ๊กขึ้นมาเป่าก่อนแล้วยื่นไปจ่อริมฝีปากที่กำลังอ้าค้าง เจ้าจันทร์จำใจทานโจ๊กในช้อนอีกครั้ง แม้ว่าโจ๊กจะถูกเป่าจนอุณหภูมิอุ่นพอดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเขาอยู่ดี

มันน่านัก คนบ้าอะไรทั้งเอาแต่ใจ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหนึ่ง แล้วนี่ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้มาทำท่าดูแลเอาใจใส่ หรือว่าจะหลอกให้ตายใจแล้วยัดเยียดบทลงโทษอันโหดร้ายให้

“อิ่มแล้ว” กินไปได้ไม่กี่คำเจ้าจันทร์ก็เบี่ยงหน้าหลบเอ่ยปฏิเสธ

“ทานอีกหน่อยนะคะคุณเจ้า ทานไปได้ไม่กี่คำเอง” ป้าสุดาส่งสายตาขอร้องจนแทบปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องจำใจกินอีกสองสามคำ

“พอแล้วครับ” คราวนี้เจ้าจันทร์ไม่อาจทานต่อได้อีกจึงยื่นมือดันถ้วยโจ๊กเป็นเชิงห้าม

นเรศส่งถ้วยโจ๊กให้ป้าสุดาปากก็อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ “กินอย่างกับแมวดมแบบนี้สิถึงได้ผอมบางขนาดนี้”

คนที่ถูกว่าผอมบางขมวดคิ้วฉับ ตั้งท่าเตรียมจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายนอนพัก แต่ก็ถูกเสียงทุ้มติดจะดุนั้นเอ่ยขัดซะก่อน

“กินยาก่อน สุดายาอะไรบ้างที่เขาต้องกิน”

“ยาลดไข้แล้วก็ยาแก้อักเสบค่ะ” ตอบไปพลางเดินไปหยิบเม็ดยาส่งให้เจ้านาย

“อ้าปาก” คำสั่งเรียบๆ พร้อมกับยัดเม็ดยาเข้าปากคนป่วยแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เจ้าจันทร์เบ้หน้าก่อนยื่นมือไปรับแก้วน้ำมาดื่มตาม เมื่อทุกอย่างรีบร้อยแล้วก็ล้มกายลงนอนหันหลังให้ชายหนุ่มทันที “พรุ่งนี้ให้หมอเพลิงมาตรวจดูอีกรอบ” แม้ดวงตาจะหลับไปแล้วหูก็ยังไม่วายได้ยินเสียงเข้มๆ สั่งป้าสุดา

“หมอเพลิงเป็นสัตวแพทย์นะคะ พาคุณเจ้าไปหาหมอบนเกาะไม่ดีกว่าหรือคะ” ป้าสุดาอดที่จะเอ่ยประชดเจ้านายไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงข้อร้องแกมอ้อนวอน

“ไว้คิดดูอีกที” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปจึงไม่ได้ยินเสียงป้าสุดากระซิบบอกคนนอนป่วย

“คุณนเรศแปลกๆ ระวังตัวนะคะ”

เจ้าจันทร์หันกลับมาแล้วพยักหน้าหงึกๆ ป้าสุดาลูบหน้าผากร้อนทิ้งท้ายก่อนจะออกไปอีกคน ปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อน




เสียงฝีเท้าเดินไม่มั่นคงก่อนที่ช่วงขายาวจะเซเล็กน้อย ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบหน้าอกตึงแน่นด้วยมันกล้าม ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เกือบไปแล้วสิเรา” นเรศพึมพำขณะหัวใจใต้ฝ่ามือเต้นกระหน่ำรัวแทบทะลุกอก จู่ๆ ก็ไปใจเต้นกับอีกฝ่าย ทั้งยังมองว่าร่างกายนั้นดูเย้ายวน แล้วยัง...เรื่องเกือบเลยเถิด ทั้งที่ตั้งใจจะไปขอโทษเจ้าจันทร์แต่กลับปากหนักไม่ยอมพูด แล้วยังจะไปกินเด็กนั่นเข้าให้อีก

เขารับรู้สึกถึงลางร้ายฉะนั้นควรอยู่ห่างๆ เด็กนั่นเป็นดีที่สุด แต่ตอนนี้...คงต้องเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองก่อน ขืนเรียกลิสามาช่วยคงหมดอารมณ์ก่อนแน่ๆ

กว่านเรศจะสงบสติอารมณ์ได้ก็ต้องกลับมาหัวเสียอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจตัวเองทำไมในตอนนั้นภาพในหัวเขาถึงได้มีแต่ภาพเด็กคนนั้นเต็มไปหมด แล้วยังทำให้มีอารมณ์เพิ่มอีก... ฝ่ามือหนาถูกยกขึ้นกุมศีรษะขณะที่กำลังครุ่นคิดบนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น

“คุณนเรศเป็นอะไรปวดหัวหรือค่ะ เอ...หรือว่าจะติดไข้จากคุณเจ้า” ป้าสุดาเดินผ่านมาเห็นเจ้านายหนุ่มนั่งกุมขมับท่าทางไม่สู้ดี ก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“ฉันไม่เป็นอะไร ว่าแต่เขาหลับแล้วหรือ” นเรศเงยหน้าขึ้นตอบคำถามป้าสุดาก่อนส่งคำถามกลับไป

“หลับแล้วค่ะ” ขณะตอบคำถามป้าสุดาก็ไม่วายเฝ้าจับสังเกตเจ้านายที่ดูแปลกไปมาก โดยเฉพาะกับคุณเจ้าของเธอ คุณนเรศไม่ซ้อมคุณเจ้าหรือไม่ก็ด่าทอเหมือนทุกที แปลก...แปลกมาก

“สุดาไม่มีอะไรทำแล้วหรือถึงได้มายืนจ้องฉันซะขนาดนี้” นเรศว่าไม่จริงจังนักแต่ก็ทำให้ป้าสุดารีบเข้าครัวไปทำงานที่ค้างไว้ทันที เมื่อทั้งห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้งในหัวนเรศก็มีภาพร่างกายขาวอมชมพูดุจไข่มุกแวบเข้ามา น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก นเรศสะบัดหน้าเพื่อไล่ภาพเจ้าจันทร์ออกจากหัว “อา ทำไมต้องคิดถึงแต่ภาพเด็กนั่นด้วย” เขาคำรามก่อนรีบลุกขึ้นเดินลงบันไดตรงดิ่งไปยังคอกม้าทันที




เสียงคลื่นทะเลคละเคล้าไปกับเสียงนกร้อง สายลมพัดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างที่ถูกเปิดรับลม ป้าสุดาเปิดหน้าต่างแล้วก็เดินไปปลุกคนป่วย เสียงอืออางัวเงียตอบรับไม่ยอมตื่น ป้าสุดาเขย่าตัวปลุกอีกหลายทีก็ไม่มีทีท่าว่าคนป่วยจะรู้สึกตัว จนป้าสุดาชักเริ่มเป็นห่วงยกมือขึ้นแตะหน้าผากมน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออุณหภูมิไม่ได้เพิ่มขึ้น

“คุณเจ้าคะ คุณเจ้า” เรียกชื่อก็แล้วเขย่าตัวก็แล้วจนป้าสุดาไม่รู้จะทำยังไง “คุณเจ้าคะวันนี้คุณนเรศจะพาไปโรงพยาบาลตื่นเถอะคะ”

“อือ” เสียงครางยานตอบรับ

“โธ่คุณเจ้าคะเดี๋ยวคุณนเรศดุนะคะ” ป้าสุดาไม่รู้จะทำยังไงต่อก่อนจะสะดุ้งกับเสียงเข้มของเจ้านาย

“เขาตื่นยังสุดา”

“ยังเลยค่ะคุณนเรศ”

“อืม ไม่ต้องปลุกหรอก สุดาไปหาชุดมาฉันจะเปลี่ยนให้เขาจะได้พาไปหาหมอ” ร่างสูงกำยำก้าวเข้ามาในห้องพลางเดินไปนั่งขอบเตียงคนป่วย “ต้องเช็ดตัวก่อนด้วยไหม” ก่อนที่ป้าสุดาจะได้เดินออกไปหาเสื้อผ้าตามคำสั่งก็ต้องเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าเข้าไปในห้องน้ำ อึดใจต่อมาก็กลับออกมาพร้อมกะละมังและผ้าขนหนู ขณะกำลังเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มก็ถูกเสียงทุ้มเอ่ยขัดเสียก่อน “เดี๋ยวฉันจัดการเอง สุดาไปหาชุดเถอะ”

“ค่ะ” สุดาขานรับก่อนรีบย้ายร่างอวบไปห้องของเจ้านายเพื่อหาชุดที่เจ้าจันทร์พอใส่ได้มาเปลี่ยนให้ แต่ก่อนไปก็ไม่วายหันมาบอกเจ้านายที่ทำตาดุขึ้นทันควัน “เช็ดแค่ตัวนะคะอย่าให้เลยเถิด คุณเจ้าไม่สบาย” คำว่าไม่สบายถูกเน้นหนักจนคนฟังขมวดคิ้ว

“รู้แล้วน่าไม่ทำอะไรหรอก” นเรศตอบกลับก่อนจะหันมาสนใจเช็ดตัวคนป่วยอย่างตั้งใจ

“อื้อ หนาว” เสียงแหบครางฮือพลางถอยกายหนี

“เช็ดตัวแปบเดี๋ยวก็เสร็จ” นเรศเอ่ยปลอบโดยไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเพียงใด

ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวขัดใจแต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้ เมื่อร่างกายรับรู้ถึงความเปียกชื้นดวงตาโศกจึงค่อยๆ ปรือขึ้นมา ภาพพล่าเบลอตรงหน้าทำให้ต้องหลับตาแล้วเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนคิ้วเรียวก็ขมวดจนแทบผูกเป็นปม

“ป้าสุดาไปไหน”

“ไปหาเสื้อผ้าให้นาย”

“ไม่เป็นไรผมทำเองได้” เจ้าจันทร์ลุกขึ้นนั่งยื่นมือเตรียมจะแย่งผ้าขนหนูมาเช็ดให้ตัวเอง แต่ฝ่ามือใหญ่กลับเบี่ยงหลบ

“จะอวดเก่งทำไม นอนนิ่งๆ ให้ฉันเช็ดตัวเถอะ” เขาตำหนิ

เจ้าจันทร์อ้าปากเตรียมจะปฏิเสธอีกครั้งก็ต้องหุบปากฉับกับตาดุๆ ที่ตวัดใส่ คิ้วเรียวจึงกดลึกแล้วยอมเงียบปากไป ปล่อยให้นเรศทำตามใจ เขาอยากจะทำอะไรก็เชิญ เจ้าจันทร์ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ขยับตามคำสั่งของเขา เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดี เจ้าจันทร์ก็อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์ตัวใหญ่พับขาไปเกือบครึ่ง นเรศมองดูแล้วถึงกลับทนไม่ไหวอีกต่อไปปล่อยเสียงหัวเราะฮาๆ อย่างไม่ไว้หน้า ดวงตาโศกจึงค้อนขวับส่งให้จนตาแทบทะลุออกนอกเบ้า ริมฝีปากสีซีดจึงปิดแน่นเป็นเส้นตรง

“ใส่แบบนี้ไปก่อน ขึ้นฝั่งเดี๋ยวหาซื้อให้ใหม่” เขาเปรยก่อนเดินนำคนป่วยออกไป

“ป้าอยากตามไปด้วยนะคะแต่คุณนเรศไม่ให้ป้าไปด้วย” ป้าสุดากระซิบขณะช่วยพยุงเจ้าจันทร์ที่ยังคงมึนเบลอออกจากห้อง “ตอนนี้คุณนเรศเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นอย่าคิดหนีนะคะป้าไม่อยากให้คุณนเรศกลับมาดุอีกครั้ง” เสียงกระซิบเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงทำให้เจ้าจันทร์พยักหน้ารับคำ ต่อให้อยากจะหนีแค่ไหนดูสภาพตอนนี้คงไปไหนไม่พ้น

เมื่อมาถึงท่าเรือก็เจอนเรศยืนหน้านิ่งรออยู่ก่อนแล้ว ป้าสุดาสวมเสื้อแขนยาวตัวใหญ่ให้เจ้าจันทร์ขณะปากพร่ำบอกห้ามโดนละอองน้ำ ทั้งยังยื่นผ้าคลุมศีรษะให้อีกชั้น เจ้าจันทร์ถึงได้ถูกปล่อยตัวเดินตานเรศที่ลงเรือไปก่อนแล้ว เจ้าจันทร์แสดงสีหน้ากังวลยืนบนท่า ไม่รู้จะลงเรือด้วยสภาพทุลักทุเลนี้ยังไง

เมื่อเห็นท่าทางเก้กังของเจ้าจันทร์ลูกน้องของนเรศที่ทำหน้าที่ขับเรือก็กระโดนขึ้นท่าเรือ เขาทำท่าจะอุ้มเจ้าจันทร์ที่ยืนหน้าแดงก่ำ แต่ต้องชะงักกับเสียงทุ้มของผู้เป็นนาย

“สิงห์มึงลงมา!”

นายสิงห์เมื่อได้ยินคำสั่งก็ถอยห่างกระโดดลงเรือทันที ต่อมาจึงได้ยินเจ้าจันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อถูกอุ้มลงเรือ แขนเรียวเกาะลำคอแน่นเพราะกลัวตก แม้จะรู้สึกเจ็บที่อีกฝ่ายกอดรัดแน่นราวกับกำลังโกรธใครมาก็ไม่กล้าปริปากด่าเขาเหมือนทุกที นเรศวางเจ้าจันทร์ไว้บนเบาะนั่งก่อนถอยออกห่างจากเจ้าจันทร์เล็กน้อยแล้วนั่งลง

ตัวเรือออกตัวแล่นบนทะเลเกิดเป็นกระแสคลื่นสีขาวกระจายตามหลัง ที่นั่งโยกไหวเอนขึ้นลงตามคลื่นทะเลพาให้คนป่วยเริ่มรู้สึกเวียนหัว เจ้าจันทร์หลับตาแน่นรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนจนต้องเอนกายไปกับเบาะนั่ง ใบหน้าหวานที่เดิมซีดเซียวด้วยพิษไข้อยู่แล้วตอนนี้ยิ่งซีดเหลืองเข้าไปใหญ่ ก้อนมวลบางอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่คอ เจ้าจันทร์ลืมตาพรึบทิ้งผ้าที่คลุมกายแล้วถลาวิ่งไปท้ายเรือ โก่งคออาเจียนจนหมดแรง เจ้าจันทร์รูสึกเวียนหัวหนักขึ้นกว่าเดิมจนไม่สามารถเดินกลับมานั่งที่ได้

ร่างสูงใหญ่ของนเรศตามมาติดยืนซ้อนหลังเจ้าจันทร์ ท่อนแขนกำยำตวัดรอบเอวเล็กดึงเข้าหาตัว เจ้าจันทร์ทำท่าผงะตกใจตั้งท่าจะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา “แค่จะประคองกลับไป” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งยังทำตามอย่างที่พูดด้วยการประคองเจ้าจันทร์กลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม ฝ่ามือหนาหยาบเล็กน้อยยกขึ้นแตะหน้าผากมนก่อนคิ้วเข้มจะขมวด “ไข้ขึ้น ไม่น่าพาขึ้นฝั่งน่าจะเรียกหมอมาแทน” เขาบ่นพึมพำ ดวงตาคมกริบสีอำพันจ้องมองร่างที่อ่อนแรงปวกเปียก เขาหยิบผ้าขึ้นคลี่คลุมแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาซบอก พลางกล่าวสำทับเมื่อเจ้าจันทร์ทำท่าจะดิ้น “นอนไปจะได้ไม่ต้องลุกมาอ้วกให้เหนื่อย”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกล่าวติดจะดุหน่อยๆ แบบนั้นเจ้าจันทร์จึงยอมนั่งนิ่งอิงซบแผ่นอกแกร่งของชายหนุ่ม หูแว่วได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะหนักแน่นมั่นคง ราวกับมีเพลงกล่อมและให้ความรู้สึกปลอดภัย ดวงตาโศกจึงค่อยๆ ปรือปิดหลับใหลไปในที่สุด




*************************************
เกือบลืมลงนิยายแน่ะ  ดีนะที่นึกได้ตอนกำลังสระผม ฮ่าๆ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นด้วยนะจ้ะ อย่าลืมเม้นติเม้นชมนะออเจ้าทั้งหลาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ติดตามน้าาาาาาา

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แหมๆๆมาหยอดแบบนี้น้องเจ้าก็ใจอ่อนนะสิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แทนที่จะถามความจริงทางจันทร์ ก็ไม่ถาม เล่นทำตัวแบบนี้จันทร์ประสาทเสียก่อนชัวส์   :sad5:

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์

เจ้าจันทร์รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีบางอย่างเย็นเฉียบแนบสัมผัสบริเวณหน้าอก นิ้วแกร่งแตะลงเป็นเชิงปลอบพลางระบายรอยยิ้มให้ หมอบูมดึงสเตโทสโคป(หูฟังแพทย์)ออกจากหูแล้วช่วยประคองให้เจ้าจันทร์ลุกขึ้นนั่ง เจ้าจันทร์ขยับตามด้วยท่าทีมึนงง ไม่เข้าใจว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงทั้งที่ก่อนหน้าหลับอยู่บนเรือ และยังพิง....ช่างมันเถอะ

“เป็นไข้หวัดธรรมดาไม่น่าเป็นห่วงครับ แต่ว่าที่น่าห่วงคือ...” หมอบูมลากเสียงยาวขณะเหลือบสายตามองต่ำบริเวณกลางลำตัวของเจ้าจันทร์ “เอาเป็นว่าช่องทางพิเศษนี้ หมออยากจะให้หยุดใช้งานไปก่อนชั่วคราวก่อนจนกว่าจะหายดี”

เจ้าของช่องทางพิเศษสะดุ้งหน้ามืดครึ้มทันควันที่หมอบูมพูดจบ แต่คนฟังอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องกลับมีสีหน้าเรียบเฉยจนหมอบูมไม่รู้ว่าจะทำตามหรือเปล่า

“ตรวจเสร็จแล้วรอรับยาได้ที่ช่องรับยาเลยนะครับ”

เจ้าจันทร์ยกมือไหว้ลาชายหนุ่มก่อนถูกคนตัวใหญ่ประคองไปรอรับยา อึดใจต่อมาเจ้าจันทร์ก็ได้รับห่อยาที่ข้างในบรรจุซองยาอีกหลายชนิด นเรศเดินนำไปโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง วันนี้เจ้าจันทร์ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนนเรศจะเดินช้ากว่าทุกทีราวกับว่ารอเจ้าจันทร์ที่เดินตามต้อยๆ พอถึงรถก็พาขึ้นรถแล่นไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับ เจ้าจันทร์หันไปถามนเรศที่กำลังตั้งใจขับรถ

“จะไปไหน”

“ถึงก็รู้เอง” คำตอบที่ได้ไม่ช่วยให้ความกระจ่างทั้งยังติดจะกวนอยู่หน่อยๆ จนเจ้าจันทร์ไม่สนใจที่จะถามอีก

รถยนต์คันหรูสีดำขลับของนเรศแล่นเข้ามาจอดในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เขาพยักพเยิดหน้าให้เจ้าจันทร์ตามไป ใจจริงอยากจะปฏิเสธเพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวอีกแล้ว แต่เจ้าจันทร์ก็ต้องจำใจเดินตามเขาต้อยๆ

นเรศเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ พนักงานเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพูดคุยเป็นกันเองก่อนผายมือเชิญไปยังโต๊ะว่างติดมุมที่ดูให้ความส่วนตัว เจ้าจันทร์ที่กำลังเดินตามจู่ๆ ก็รู้สึกพื้นเอียงกะเท่เร่จนต้องยกมือไขว่คว้าหาที่ยึด

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” เสียงนุ่มหูเอ่ยถามอยู่ข้างแก้มพร้อมทั้งใช้ท่อนแขนโอบกระชับตัวเจ้าจันทร์

ความรู้สึกมึนเบลอยังไม่จางหายจึงได้แต่หันไปกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ขอบคุณครับ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ติดตรงผมสีทองสว่างเตะตาที่ชวนให้อีกฝ่ายแทบจะดูเด็กลงอีกเท่าตัว เจ้าจันทร์ตั้งท่าจะผละตัวออกแต่อีกฝ่ายกลับยึดกระชับเอวไว้ไม่ยอมปล่อย ลอยหน้าลอยตาอมยิ้มจนเจ้าจันทร์ต้องขมวดคิ้ว

“ให้ผมไปส่งนะครับ” อีกฝ่ายอาสาเปลี่ยนจากกระชับเอวเป็นโอบประครองแทน

“ปล่อยครับ” เจ้าจันทร์กล่าวด้วยความสุภาพพยายามขืนตัวออก

เสียงจุ๊ปากดังคลอเคลียข้างแก้มคล้ายตั้งใจไม่ตั้งใจ ลมหายใจอุ่นร้อนรดแก้มจนน่ากลัวว่าหากขยับมากเกินจมูกโด่งนั้นคงเฉียดแก้ม เจ้าจันทร์จึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้กระทั่งก้าวเดิน จนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายประคองร่างเพรียวเสียเอง

“นั่งโต๊ะไหนครับ” เขาถามเสียงนุ่มชิดใบหูจนขนลุกตั้งชัน

เจ้าจันทร์ตั้งท่าเตรียมวิ่งแต่ก็ไม่ทันแรงกระชากจากฝ่ามือแกร่ง ที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยร่างเพรียวบางก็เซถลาปะทะกับอกกว้าง เจ้าจันทร์หลับตาปี๋เตรียมรอรับคำด่าทอจากนเรศ แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบผิดคาด อึดใจต่อมาจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ตวัดท่อนรัดเอวเล็กจนแทบไม่เหลือที่ว่าง

เจ้าหนุ่มผมทองแอบตกตะลึงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ พึมพำกับตัวเอง “น่าเสียดายมากับแฟน...หึงแรงซะด้วย” ประโยคท่อนท้ายแอบสั่นสะพรึงกับนัยน์ตาคมดุดันจ้องมองมาอย่างเงียบๆ เจ้าหนุ่มหัวทองฉีกยิ้มให้ร่างสูงตรงหน้าก่อนโบกมือลาเจ้าจันทร์แล้วรีบถอยห่าง เมื่อลางสังหรณ์ส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าไม่รีบมีหวังเละแน่งานนี้

“เป็นอะไรถึงไปออเซาะมัน อยากได้ผัวเพิ่ม?” เสียงกัดฟันกรอดจนเห็นกรามเด่นชัด แรงบีบบนสะโพกแรงขึ้นจนต้องเบ้หน้า

“ใครมันอยากจะได้ผัว คุณนั้นแหละเป็นอะไรมากหรือเปล่าอยากจะทำร้ายผมก็เอาไว้วันหลัง วันนี้ผมไม่มีแรงมาให้คุณทำร้ายหรอก เหนื่อย เวียนหัวจะแย่แล้ว หรือถ้าอยากทำร้ายก็รีบทำ จะต่อยผมจนสลบก็ได้...จะได้พักสักที” เจ้าจันทร์หมดแรงที่จะต่อกรกับเขาแล้ว ที่ยืนอยู่ได้ตอนนี้ก็เพราะได้ร่างสูงใหญ่ของเขาเป็นหลักยึด ไม่อย่างนั้นคงล้มลงกองกับพื้นให้นเรศได้หัวเราะ

ไม่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มต่อประโยค นเรศยืนนิ่งเหมือนคนที่กำลังพยายามระงับอารมณ์ “อย่าทำแบบนั้นอีกฉันไม่ไม่ชอบ” คิ้วเรียวขมวดฉับ ชอบไม่ชอบทำไมเจ้าจันทร์จะต้องฟังคำสั่งเขาด้วย

ขณะกำลังถกเถียงอีกฝ่ายในใจร่างก็ลอยขึ้นเหนือพื้นจนต้องกอดลำคอหนาแน่น ดวงตาโศกเบิกค้าง ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ ก่อนจะร้องบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “คุณปล่อยผมลงนะ” เจ้าจันทร์แทบจะมุดดินหนีความอับอาย เมื่อสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมาทั้งยังหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ ตั้งท่าเตรียมจะดิ้นก็ถูกอีกฝ่ายดุเข้าให้

“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวโยนลงตรงนี้ซะนี่” ได้ผลทันทีเมื่อเจ้าจันทร์หยุดดิ้น ทั้งยังเริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่รู้ว่าโกรธจนเลือดลมขึ้นหน้าหรือว่าไข้ขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เจ้าจันทร์อยากจะกระทืบร่างสูงนี้ให้จมดินสักครั้ง เมื่อนเรศวางลงบนเก้าอี้ในมุมส่วนตัวเจ้าจันทร์ก็ตั้งท่าเตรียมต่อว่าเขาทันที แต่น้ำเสียงห้าวติดดุก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ไหวทำไมไม่บอก แล้วไปยืนออเซาะไอ้หัวทองนั้นทำไม”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ตัวผม ความคิดก็ของผม ผมจะไปยืนออเซาะเกาะใครที่ไหนก็เรื่องของผม คุณไม่...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคนเรศก็แทรกขึ้น

“ไม่เกี่ยว หึ ฉันเป็นผัวมีสิทธิ์ในตัวนายทุกอย่าง” ฝ่ามือเล็กกำแน่นเข้าหากัน ใบหน้าหวานแดงก่ำทั้งด้วยพิษไข้และความโกรธที่กำลังเดือดจัด “หรือจะเถียงว่าไม่ใช่ ให้ฉันช่วยตอกย้ำให้ตรงนี้ไหม” ไม่ว่าเปล่าแต่นเรศยังยื่นหน้าข้ามโต๊ะประชิดอีกฝ่ายทันที

เจ้าจันทร์ผงะกับใบหน้าชายหนุ่มที่ยื่นเข้าหาอย่างกะทันหัน ริมฝีปากเม้มแน่นบ่งบอกว่าโกรธจัด และก่อนที่ทั้งคู่จะได้โต้เถียงกันไปมากกว่านี้ พนักงานในร้านก็เข้ามาพร้อมกับรายการอาหาร

หญิงสาวที่รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุได้แต่ยืนอึดอัดระหว่างลูกค้าชายทั้งสอง รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าทั้งที่ในใจอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ซะ แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยถามชายหนุ่มร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสุภาพ “รับอะไรดีคะ”

“โจ๊ก น้ำอุ่นหนึ่งแก้ว...” แล้วนเรศก็สั่งอาหารอีกสองสามอย่าง

“แล้วคุณลูกค้าท่านนี้ต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหมคะ”

เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทันทีพร้อมบอกปฏิเสธ “ไม่ครับ”

“กรุณารอสักครู่นะคะ” พอจบประโยคพนักงานสาวก็ผละจากไป

เมื่อพนักงานสาวจากไปแล้วรอบบริเวณจึงได้ยินแต่เสียงเพลงคลอเบาๆ ฟังสบายหูจากร้าน อารมณ์เดือดปุดทะลุร้อยองศาก่อนหน้าจึงทุเลาเบาลง เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยพึมพำขอบคุณร่างสูงที่อุตส่าห์สั่งอาหารให้

“ขอบคุณครับ”

“อืม” เขาขานรับอย่างไม่ใส่ใจขณะยกแก้วน้ำที่พนักงานสาวนำมาเสิร์ฟขึ้นจิบ

เมื่ออาหารที่สั่งถูกยกมาเสิร์ฟจนครบทั้งคู่ก็ลงมือทานอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างไม่ถกเถียงอะไรกันอีก จนเจ้าจันทร์ที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำวางช้อนลง นเรศจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งขมวดคิ้ว

“ผมอิ่มแล้ว” เจ้าจันทร์บอกด้วยน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยๆ

นเรศมองดูแล้วก็รวบช้อนตามก่อนหันไปเรียกพนักงานสาวมาคิดค่าอาหาร เมื่อจัดแจงจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปคว้ามือเจ้าจันทร์ฉุดขึ้นจากเก้าอี้เบาๆ เจ้าจันทร์คร้านที่จะพูดกับนเรศจึงลุกเดินตามเขาเงียบๆ เมื่อมาถึงลานจอดรถเจ้าจันทร์ก็ทิ้งร่างอ่อนแรงขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ ตั้งท่าจะหลับด้วยความอ่อนเพลียกลับต้องลืมตาตื่นเมื่อเบาะถูกปรับระดับ ฝ่ามือรีบดันหน้าอกที่อยู่ไม่ไกลอัตโนมัติ อุณหภูมิร้อนจากกายอีกฝ่ายแผ่เข้าครอบคลุมจนเกิดความอบอุ่น ดวงตาโศกจ้องมองใบหน้าคมเข้มลอยอยู่ไม่ห่างจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนรีบหลบสายตาเมื่อเขาละสายตาจากการปรับระดับเบาะลงมาสบ

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นวางบนหน้าผากเล็ก “รออยู่ที่นี่ฉันจะไปซื้อของให้” เขาขยับถอยหางเล็กน้อยในขณะที่มือยังค้ำยันเบาะเหนือศีรษะเจ้าจันทร์ “ไข้ขึ้นขนาดนี้หวังว่านายคงไม่คิดหนี ถ้าหนีละก็เราได้เห็นดีกัน” นิ้วชี้ตวัดใส่หน้าประกอบน้ำเสียงดุดัน

“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจใส่อีกฝ่ายก่อนเสหน้าหลบ ทั้งเหนื่อยทั้งเวียนหัวขนาดนี้คงหนีไปได้หรอก ถ้าหนีเชื่อสิว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีก็โดนลากกลับมา ดวงตาโศกปิดลงบ่งบอกว่าไม่อยากจะเสวนากับเขาต่อ

นเรศปิดประตูรถก่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นต่อสาย ถึงแม้ว่าเจ้าจันทร์ในตอนนี้ดูจะหมดฤทธิ์แต่เขาก็ไม่วางใจ รีบไปรีบกลับน่าจะดีกว่า

สิบนาทีต่อมานเรศก็กลับมาพร้อมข้าวของเต็มไม้เต็มมือ โยนทุกอย่างไปเบาะท้ายรถ เมื่อหันกลับมาก็ต้องหยุดสายตากับใบหน้าหวานเกินชายนอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ นเรศชะโงกตัวกลับไปหลังเบาะค้นหาบางสิ่ง เขายกยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ของที่ต้องการ รีบติดแผ่นเจลลดไข้ให้กับคนป่วย เจ้าจันทร์ขยับกายร้องอืออาเล็กน้อยก็นิ่งไป นเรศยังหันกลับมาควานหาผ้าคลี่ห่มให้อีกทีก่อนออกรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมหนึ่งในกิจการของเขา




ความอบอุ่นที่คลุมกายถูกยื้อแย่งไปเจ้าจันทร์จึงอดไม่ได้ที่จะร้องครางฮือยื่นมือออกไขว่คว้าตาม นเรศยืนมองคนป่วยที่เขาเพียรพยายามปลุกด้วยสีหน้าระอา เมื่อไม่มีทีท่าว่าคนป่วยจะรู้สึกตัว เขาก้มลงเอ่ยเรียกอีกครั้ง...แต่ก็ได้รับเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอตอบกลับมา มันน่านัก...

“เจ้าจันทร์ลุกขึ้นมาทานข้าวกินยาก่อน” ฝ่ามือหนาแตะแขนเล็กเขย่าเบาๆ

ดวงตาโศกค่อยๆ เปิดขึ้นมาก่อนหลับตาลงพลิกหันหลังให้ร่างสูง คิ้วเข้มของนเรศตวัดฉับอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมไม่หิว” เสียงงัวเงียเอ่ยบอกก่อนเงียบไป

“ไม่หิวก็ต้องกิน...เจ้าเด็กนี่” ท้ายประโยคเสียงดุดันขึ้นเมื่อคนป่วยยกผ้าห่มปิดหูเสียอย่างนั้น “โอเค ถ้านายไม่ลุกฉันจะกินนายละนะ” จบประโยคก็ขึ้นคร่อมร่างเพรียว ยื่นใบหน้าหล่อเข้มคลอเคลียจนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดศีรษะเล็ก

“หยุดนะ!” ฝ่ามือเล็กยื่นออกผลักหน้าอกกว้างพลางร้องเสียงหลง จนใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ เจ้าจันทร์ถลึงตาใส่เจ้าคนที่คร่อมทับอยู่ด้วยความรู้สึกโกรธเคือง ยิ่งทำให้อาการปวดหัวแล่นจี๊ดขึ้นจนต้องนิ่วหน้า “คุณไม่มีอะไรทำแล้วหรือยังไงถึงได้มารังแกคนป่วยอย่างผม” ดวงตาโศกค้อนขวับ ริมฝีปากเม้มแน่นไม่พอใจ

เขากลับว่าง่ายๆ “ก็ลุกซะสิ”

“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขี้คร้านจะเถียงกับเขาให้เหนื่อยเปล่าๆ “คุณก็ออกไปสิ...ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน?” ฝ่ามือเล็กดันแผ่นอกหนาเบาๆ ก่อนลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาโศกเพิ่งสังเกตรอบตัว ห้องนอนโทนสีน้ำตาลอ่อนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูร่วมสมัยซึ่งดูแล้วล้วนเป็นงานฝีมือ ยามเมื่อมองออกไปนอกกระจกใส เกลียวคลื่นทะเลหยอกล้อแสงอาทิตย์ระยิบตา ท้องทะเลอันดามันที่สวยไม่แพ้ที่ใดในโลกทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงตาโศกเบิกค้างด้วยความตะลึง สถานที่แห่งนี้ช่างงดงามราวกับภาพมายาในความฝัน

กลิ่นไอเค็มทะเลลอยเข้าปะทะใบหน้าเมื่อประตูเลื่อนเปิดออกด้วยฝีมือคนตัวสูง เขาเปิดออกเล็กน้อยเพียงเพื่อให้คนป่วยได้สัมผัสอากาศภายนอก ก่อนเดินกลับมาแตะปลายคางที่ปากเล็กอ้าค้างนั้นให้หุบลง

“สวยใช่ไหมล่ะ” นเรศอดที่จะยืดอกอวดด้วยความถูมิใจไม่ได้

“ที่นี่ที่ไหน?” เจ้าจันทร์วกกลับมาถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง

ร่างสูงกลับเดินไปอีกแล้วทางก้มลงถือถาดอาหารกลับมาพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “โรงแรมของฉัน” ช่างเป็นคำถามที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเจ้าจันทร์เลยสักนิด นเรศทิ้งกายลงนั่งขอบเตียงข้างๆ คนป่วย ฝ่ามือหนาประคองถาดวางลงบนหน้าขาแล้วทำท่าจะตักโจ๊กกลิ่นหอมกรุ่นมีไอสีขาวลอยล่องขึ้นมาเป่า

เจ้าจันทร์รีบยกมือห้ามพลางร้องเสียงหลง “ผมกินเองได้ ผมแค่เป็นไข้ไม่ได้เป็นง่อย” ก่อนที่จะต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนป่วยแสดงสีหน้าไม่พอใจกลับมา “ชุดผมหายไปไหน!” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร เจ้าจันทร์ก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่นขัดขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าหวานก้มลงมองสำรวจชุดที่เคยสวมใส่อยู่ มันไม่ใช่ชุดตัวเดิม มันกลายเป็นชุดนอนสีน้ำเงินเรียบ ปกเสื้อสีไข่ ขนาดใหญ่เกินร่างเจ้าจันทร์จนต้องพับแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ให้เดามันคงจะเป็นชุดของชายตรงหน้า

“ฉันลืมซื้อชุดนอนมาให้ นายก็ใส่ของฉันไปก่อน” เขาตอบขณะตักโจ๊กขึ้นเป่าแล้วยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากซีดขาว

“ผมทานเองได้” เจ้าจันทร์ยังยื่นกราน

“...” นเรศถอนหายใจไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก จึงยกถาดไปวางไว้บนตักคนป่วย เจ้าจันทร์รีบคว้าช้อนไปครองราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจทำท่าทีประหลาดใส่อีก เมื่ออีกฝ่ายยอมทานโจ๊กแต่โดยดีนเรศจึงทำเพียงนั่งมองเงียบๆ

ขณะที่เจ้าจันทร์พยายามตั้งหน้าตั้งตากินเพื่อละความสนใจจากชายหนุ่มที่นั่งจ้องอยู่ ฝ่ามือหนาก็วางบนหน้าผากเล็ก คิ้วหนาขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอก

“ไข้ลดแล้ว พักอยู่ที่นี่อีกสักวันค่อยกลับเกาะ” เขาว่าซึ่งเจ้าจันทร์ไม่มีทางที่จะสามารถออกความเห็นได้ นเรศเฝ้าสังเกตเสี้ยวใบหน้าหวานที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานโจ๊กอยู่ แพขนตางอนยาวเรียงกันเป็นแพกระพือขึ้นลง จมูกโด่งสวยได้รูป เข้ากับริมฝีปากบางมีมุมโค้งขึ้นคล้ายยิ้มอยู่ตลอด ทุกอย่างดูลงตัวไปกับโครงหน้าเรียว เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ไม่อาจละสายตาได้ แม้จะมองเจ้าจันทร์ตาไม่กะพริบแต่มือยังทำหน้าที่แกะยาส่งให้อีกฝ่ายพร้อมแก้วน้ำอุ่น

“ขอบคุณ” เจ้าจันทร์พึมพำเสียงเบาหวิวแทบกลายเป็นกระซิบขณะส่งแก้วเปล่าคืนให้ชายหนุ่ม

“นั่งเล่นอยู่ในนี้แหละ ถ้าง่วงก็นอนไป ฉันจะไปทำงานก่อนเดี๋ยวจะส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อน” มือใหญ่แกะเจลลดไข้ติดบนหน้าผากเล็ก ที่คนป่วยเสหน้าหลบเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้เขาทำให้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอย่างจำใจ เมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อยแล้วนเรศก็เดินออกไปพร้อมกับถาดอาหาร

“จู่ๆ ก็มาดูแลพิลึกคน เดี๋ยวผีเข้าเดี๋ยวผีออก” เจ้าจันทร์อดที่จะบ่นพึมพำกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ได้ เมื่อความเงียบสงบกลับคืนมา เจ้าจันทร์ทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหน้ามองออกไปยังทะเล ฟังเสียงคลื่นสบายหูคละเคล้าไปกับเสียงนกร้องที่ช่วยให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพียงไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้ผล็อยหลับไป

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใจอ่อนยังเจ้าจันทร์

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่เขาเรียกว่าดูแลแล้วหรอ แบบนี้ที่บ้านเรียกบังคับอ่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ เจี๊ยะบ่จ่าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน

เจ้าจันทร์รู้สึกคล้ายพบเจอเรื่องสุดแปลกประหลาด เมื่อนเรศปฏิบัติกับตัวเองดีขึ้นราวกับพลิกฝ่าเท้าเป็นหน้ามือ เขาดูแล พูดจา...ดีขึ้น แม้จะดุและมีถกเถียงกันอยู่ตลอด แต่นเรศไม่ได้เอะอะก็ต่อย เอะอะก็ซ้อม หรือไม่ก็พ่นคำด่าเจ็บแสบแล้วทำร้ายเจ้าจันทร์เช่นก่อนหน้า เขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นในสายตาเจ้าจันทร์ทันที

เรือโคลงเคลงเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตามคลื่นที่ปะทะ ร่างเล็กลุกพรวดเซถลาเข้าเกาะท้ายเรือ “อ๊อก...อ้วก” เศษอาหารเมื่อเช้าที่ยังไม่ย่อยดีถูกขย้อนออกมาจนหมด เจ้าจันทร์อาเจียนจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ใบหน้าหวานแดงก่ำแต่ปากกับซีดขาว

นเรศตามออกมาช่วยประคองไม่ให้เจ้าจันทร์ตกจากเรือขณะมือก็ยกขึ้นแตะตามตัวเจ้าจันทร์ คิ้วหนาขมวดเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มๆ ราวกับไข้จะกลับมา “ตอนนั้นนายไม่เป็นแบบนี้”

จบประโยคดวงตาโศกก็ตวัดค้อนขวับ “ก็ตอนนั้นผมสลบนี่ ผมจะไปรู้สึกเมาเรือได้ยังไง” เจ้าจันทร์ผละตัวออกมาจากร่างสูงเดินซวนเซกลับไปนั่งหมดแรงบนเบาะ นเรศตามกลับเข้ามาคลี่ผ้าห่มคลุมกายให้ขณะกล่าวด้วยเสียงทุ้มก่อนดึงศีรษะเล็กซบลงบนไหล่

“นอนซะ จะได้ไม่ต้องวิ่งออกไปอ้วก”

“ผมไม่ได้อยากจะอ้วกสักหน่อย” แม้จะหมดแรงจนต้องปล่อยให้อีกฝ่ายดึงไปซบไหล่หนา แต่เจ้าจันทร์ก็อดที่จะเถียงชายหนุ่มไม่ได้ ถึงไหล่หนาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจะทำให้ซบแล้วสบายไม่น้อยก็ตาม

เจ้าจันทร์เอนซบชายหนุ่มอยู่อย่างนั้นจนถูกปลุกอีกครั้งเมื่อเรือจอดเทียบท่าเกาะ เกาะนรกที่เจ้าจันทร์เคยเปรียบเทียบให้นเรศที่เป็นเจ้าของเกาะเป็นพญามัจจุราช สิงห์คนขับเรือดับเครื่องยนต์ยังไม่ทันเสร็จดีนเรศก็กระโดดขึ้นไปยืนสง่าบนท่าเรือแล้ว เจ้าจันทร์ยืนมองชายหนุ่มด้วยสายตาอิจฉาเมื่อไม่สามารถทำแบบเขาได้ เพราะความสูงที่ต่างกันลิบ เจ้าตัวจึงต้องพยายามปีนด้วยความยากลำบาก แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อร่างลอยวูบหนึ่งปลายเท้าก็เหยียบบนพื้นท่าเรือเสียแล้ว เจ้าจันทร์ส่งเสียงเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มแผ่วเบาขณะรีบถอยออกมาจากวงแขนของเขา

ตึก...ตัก ตึก ตัก ตึกตักๆ ๆ ๆ

หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอพลันรัวกระหน่ำสูบฉีดจนแทบทะลุอก ใบหน้าหวานจึงรีบเสหลบสายตาคมที่คอยจ้องมองอยู่

“คุณนเรศ คุณเจ้ากลับมาแล้ว” เสียงร้องด้วยความดีใจจากป้าสุดาพร้อมร่างอวบวิ่งตึงๆ มายืนหอบแฮกๆ อยู่ไม่ห่าง เจ้าจันทร์ฉีกยิ้มรีบโผล่ตัวเข้าสู่อ้อมแขนที่อ้ารับด้วยความเต็มใจ มืออวบลูบศีรษะในขณะที่ปากก็เอ่ยรับขวัญ “ขวัญเอ๊ยขวัญมา อย่าได้ป่วยอย่าได้ไข้อีกเลยนะคะ คุณนเรศบอกป้าก่อนจะกลับว่าดีขึ้นแล้ว ไหนดูสินั่งเรือตากลมมาแบบนี้ไข้จะกลับมาหรือเปล่า”

เจ้าจันทร์ยืนนิ่งขณะปล่อยให้ป้าสุดายื่นมือทาบหน้าผาก

“คุณนเรศขา...” เสียงร้องแหลมบาดแก้วหูดังมาก่อนร่างเล็กของหญิงสาวในชุดแม็กซี่เดรสลายดอกสีฟ้าสดใส สวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลอ่อน มาพร้อมกับแว่นกันแดดสีชาบังหน้าไปเสียครึ่งหน้า เธอวิ่งแทรกเจ้าจันทร์กับป้าสุดถลาใส่นเรศบดเบียดหน้าอกเกินมาตรฐานกับอกกว้าง พลางเงยหน้ายกยิ้มสดใสด้วยริมฝีปากสีแดงสด “ลิสาคิดถึงคุณนเรศมากเลยค่ะ” เธอออดอ้อนเสียงหวานดูราวกับลูกแมวกับลังเรียกความสนใจจากเจ้าของ

“ผมก็คิดถึงลิสาเหมือนกัน” เขาว่าพลางก้มลงจุมพิตบนหน้าผากมน

รอยยิ้มหวานยิ่งกว้างกับคำกล่าวของชายหนุ่ม ลิสาดึงแขนล่ำสันมากอดพลางแนบใบหน้ากับมัดกล้ามด้วยความเขินอาย “ลิสาเตรียมของว่างไว้ให้คุณแล้วค่ะ” เธอทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยนคล้ายเขินอายเกินกว่าจะพูด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถออกแรงจูงเข้าตรงดิ่งเข้าบ้านพักหรูของนเรศทันที

ขณะร่างสูงเดินผ่านเจ้าจันทร์รีบเบี่ยงกายหลบให้คนทั้งคู่ผ่านไป นเรศหันกลับมามองเจ้าจันทร์ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะโอบไหล่เล็กบางของลิสาพากันมุ่งหน้าไปกินของว่าง

ป้าสุดายกมือเท้าสะเอวในขณะที่ปากก็บ่นตามร่างคนทั้งสอง “นางลิสานี่มันชักจะเอาใหญ่ มันคงคิดว่าได้นอนกับคุณนเรศแล้วจะได้เป็นเมีย เฮอะ ฝันอีกสักสิบชาติก็คงไม่ได้เป็น ใจหนึ่งป้าก็นึกสงสารมันนะคะ” ท้ายประโยคหันมาบอกกับเจ้าจันทร์ด้วยแววตาส่งสารอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าป้าสุดาจะไม่ชอบนิสัยของลิสานัก แต่ยังไงก็เป็นลูกสาวของเพื่อนที่ทำงานมาด้วยกัน จึงอดที่จะสงสารเธอไม่ได้ “คุณนเรศก็อีกคน อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ไม่ยอมลงหลักปักฐานทำตัวลอยไปลอยมา ไม่รู้ตัวหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าผู้หญิงจ้องจะจับตาเป็นมัน สงสารก็แต่คุณหญิงดาหลาถ้ารู้ว่าลูกชายทำตัวแบบนี้คงได้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก” ป้าสุดายังคงบ่นไม่ยอมหยุด

“คุณหญิงดาหลา? แม่เขาหรือครับ”

“ค่ะ ท่านอยู่กรุงเทพนู้นค่ะ อยู่กับน้องสาวคุณนเรศ คุณชลน่ะค่ะ”

“...” เจ้าจันทร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

ป้าสุดาบ่นให้ฟังอีกหลายประโยคแล้วหันมาชวนเจ้าจันทร์เข้าบ้านก่อนที่ไข้จะกลับมาเสียก่อน เจ้าจันทร์เดินไปพร้อมกับป้าสุดาก่อนจะชะงักกับเส้นทางที่ไม่ใช่กระท่อมโกโรโกโส

“เราจะไปไหนครับ”

“คุณนเรศเขาให้ป้าจัดที่นอนคุณเจ้าไว้ในบ้านน่ะค่ะ” ป้าสุดาตอบพลางเหลือบหางตาไปในบ้านที่ไร้ร่างคู่หนุ่มสาวที่พากันมากินของว่าง สงสัยคงจะย้ายไปกินกันบนห้องแทนแล้วกระมัง

“ผมอยู่ที่กระท่อมสบายใจกว่า” ว่าจบก็เปลี่ยนเส้นทางเบี่ยงหน้าไปยังกระท่อมหลังเก่าในป่า

“โธ่ คุณเจ้าค่ะอย่าเพิ่งหาเรื่องเลยค่ะ” ป้าสุดารีบพาร่างอวบวิ่งตามหลังเด็กหนุ่มจนหอบแฮก ปากก็พร่ำบ่นไม่ยอมหยุด

“ไปอยู่นั่นเดี๋ยวเขาก็ว่าเกะกะลูกตา ผมก็ขี้เกียจมีเรื่อง” เจ้าจันทร์ยังคงสืบเท้าไปยังกระท่อม

ป้าสุดาได้แต่มองสีหน้าจริงจังของเจ้าจันทร์พลางร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างอับจนหนทางที่จะหว่านล้อมให้เจ้าจันทร์ “คุณเจ้าคะ” จึงได้แต่ร้องเรียกเด็กหนุ่มเสียงเบาหวิวแล้ววิ่งตามไป

เจ้าจันทร์ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อให้ป้าสุดาเดินตามได้สะดวก แม้ใจจริงอยากจะเดินหนีเสียงบ่นของป้าสุดาที่พร่ำบอกให้กลับไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็ตาม

อาการเมาเรือทำให้เจ้าจันทร์อ่อนเพลียยิ่งกว่าเดิม เมื่อเข้ามาในกระท่อมก็เตรียมตัวนอนทันที ป้าสุดาเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่างสร้างความอุ่นใจให้กับเจ้าจันทร์นัก จนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงแม่ ไม่รู้ทางนั้นเป็นยังไงบ้างที่จู่ๆ ลูกชายคนเดียวก็หายมาแบบนี้ คิดแล้วพาลน้ำตาจะไหล เจ้าจันทร์คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่

คงเพราะเมื่อยล้าเกินจึงทำให้อ่อนแอง่ายแบบนี้ เจ้าจันทร์พลิกร่างหันหลังให้กับป้าสุดาด้วยไม่อยากให้ป้าสุดากังวล ร้องไห้เงียบๆ จนปวดตาจึงรู้สึกเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น ในขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นพลันหูแว่วได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา

“มีอะไรหรือเจ้าสิงห์” ป้าสุดาร้องทักนายสิงห์เจ้าของร่างสูงใหญ่พอๆ กับนเรศ ผิวคล้ำแดดจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่ใบหน้ากลับดูเป็นมิตรไม่เข้ากับรูปร่าง

“ของคุณเจ้าจันทร์น่ะป้า” นายสิงห์ยื่นถุงเสื้อผ้าหลายใบให้กับป้าสุดา

“ขอบใจเอ็งมากที่เอามาให้ มีอะไรก็ไปทำเถอะคุณเจ้าแค่เหนื่อย” ประโยคท้ายบอกให้นายสิงห์หายห่วง เพราะดูแววตาทอดมองมานั้นก็พอรู้ว่าคงเป็นความห่วงใยตามประสาคนรู้จักกัน นายสิงห์พยักหน้ารับรู้ก่อนเดินออกไป ปล่อยให้ป้าสุดาคอยดูแลเจ้าจันทร์ที่ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว




อากาศเย็นฉ่ำจากแอร์ตกกระทบผิวคลายความร้อนให้สบายตัว แผ่นอกหนาสีแทนเปลือยเปล่าขยับขึ้นลงตามลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ดวงตาคมดุสีอำพันค่อยๆ เปิดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดในห้อง นเรศค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พร้อมเปิดไฟ พลันร่างนุ่มนิ่มไร้อาภรณ์ปกปิดของลิสารีบผวาตามเข้ามากอดก่ายบนแผงอกแกร่ง นเรศหลุบสายตาก้มมองอกอวบอิ่มนุ่มมือยามบีบเค้นที่กำลังเบียดหน้าท้อง แม้ชวนมองไม่น้อยแต่กลับไม่สามารถลบเลือนภาพแผ่นอกราบเรียบนวลเนียนประดับด้วยไข่มุกเม็ดงามไปจากหัวได้ ยิ่งเสียงร้องครวญกระเส่าตามอารมณ์ ลิสาไม่สามารถทำให้เขาหิวกระหายจนบ้าคลั่งได้เหมือนกับอีกคน

มือหนายกขึ้นเสยเส้นผมด้วยความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเยิง ความคิดของนเรศกำลังบอกว่าติดใจรสชาติจากร่างกายของเจ้าจันทร์ ราวกับกำลังติดยาเสพติด จนแม้แต่ร่างกายหญิงสาวเต็มไปด้วยส่วนเว้าโค้งที่เขาเคยหลงใหล ยังไม่สามารถทำให้พึงพอใจอย่างที่พึงพอใจต่อร่างเล็กนั้น นเรศรู้สึกว่าเขากำลังจะบ้า

ยิ่งคิดถึงร่างเปลือยเปล่าที่กำลังบิดเร้าใต้อาณัติของเขายิ่งบ้าคลั่ง นี่เขากำลังเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม ที่แค่คิดถึงเจ้าเด็กนั่นก็มีอารมณ์เสียขนาดนี้ เสียงกัดฟันกรอดขณะพยายามข่มความปวดหนึบบริเวณกลางกาย นเรศหันไปปลุกลิสาขึ้นมารับอารมณ์ที่กำลังบ้าคลั่งของเขา

ลิสาที่แม้ดูงัวเงียและงุนงงกับอารมณ์ราวกับภูเขาไฟปะทุของชายหนุ่ม แต่เธอก็ยังตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน เสียงหวานร้องครางกระเส่ากระตุ้นอารมณ์ ท่าทางยั่วยวน เรียกร้องจากเขาทุกทาง แต่ภาพของลิสากลับพร่าเลือนไปทุกที ในหัวนเรศมีเพียงใบหน้าของเจ้าจันทร์ ใบหน้าบิดเบี้ยวและท่าทางไร้เดียงสาที่เขาอยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า

“วันนี้...อ้า...คุณนเรศดูร้อนแรงจังเลยนะคะ...อื้อ” ลิสาแทบพูดไม่เป็นประโยคเมื่อต้องรองรับอารมณ์จากชายหนุ่ม แม้รุนแรงแต่เธอกลับชอบใจ ทั้งยังรู้สึกเป็นสุขเสียจนอยากจะครอบครองเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว ลิสารู้ตัวว่าเจ้านายไม่ได้จริงจังกับเธอ แต่เธอก็อดที่จะคิดไขว่คว้าที่ว่างขางกายของเขามาเป็นของตัวเองไม่ได้ มันผิดหรือที่เธอรักชายคนนี้หัวปักหัวปำ ผู้คนรอบกายจึงได้เที่ยวขัดขวางเธอกับคุณนเรศ เธอแค่ต้องการทุ่มเทให้เขาทุกอย่างเผื่อสักวันเขาจะหันกลับมามองเธอ และให้เธอเป็นคนสำคัญในตำแหน่งเมียแต่เพียงผู้เดียว “อ้า ลิสามีความสุขจังเลยค่ะ” เธอกรีดร้องดังลั่นปลดปล่อยด้วยความสุขสม ท่อนแขนเรียวกลมกลึงตวัดขึ้นโอบลำคอหนาและลูบไล้หน้าอกแกร่ง หวังปลุกเร้าอารมณ์ดิบของเจ้านายให้ลุกฮือ แต่นเรศกลับลุกพรวดขึ้น เขาเดินตรงดิ่งด้วยร่างกายเปลือยเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจเธออีก

ลิสาได้แต่มองตามแผ่นหลังแกร่งนั้นด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เสียงในใจเฝ้าพร่ำปลอบตัวเอง แม้ว่าวันนี้คุณนเรศจะยังไม่รักเธอ แต่สักวันเธอจะทำให้คุณนเรศรักเธอให้จนได้ วันนี้ได้เพียงแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

เสียงฝักบัวดังซู่ซ่าในห้องน้ำ เพียงอึดใจประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมร่างกายสมส่วน นุ่มผ้าขนหนูผืนเดียวหมิ่นเหม่ นเรศใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากเส้นผม “เธอกลับไปได้แล้ว มืดค่ำป่านนี้ทุกคนอาจเป็นห่วง” ขณะที่เขากำลังเดินไปตู้เสื้อผ้า เลือกชุดนอนใส่สบายสวมใส่อย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยไล่หญิงสาวภายในห้อง

“คุณพ่อรู้ดีว่าลิสาอยู่ที่นี่คะ” เธอฉีกยิ้มกอดผ้าห่มปิดร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาด้วยความรู้สึกเขินอาย เมื่อได้กลิ่นครีมอาบน้ำหอมกรุ่นกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาวไม่น้อย

“เธอควรกลับไป” เขาเอ่ยเพียงสั้นๆ ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ก่อนเดินออไปจากห้องโดยไม่สนใจเสียงที่ร้องตะโกนถามตามหลังมา

“ค่ำแล้วคุณนเรศจะไปไหนคะ” แผ่นหลังแกร่งจากไปโดยไม่เหลียวหลังมามองอีก ลิสาพลันรู้สึกน้อยใจ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องระบายแต่เธอทำไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าหอบเอาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม ลิสามองดูทิศทางที่นเรศเพิ่งเดินไป เธอลังเลว่าจะตามไปหรือไม่ แต่ถ้าตามไปแล้วคุณนเรศไม่พอใจขึ้นมาเธอคงโดนดุ

หญิงสาวไม่อยากโดนดุ ไม่ต้องการให้นเรศรู้สึกไม่พอใจในตัวเธอ ลิสาอยากจะเอาใจเจ้านายทุกอย่าง จึงตัดสินใจเดินกลับบ้านของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเจ้านเรศนัก




********************************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้น
อย่าลืมเม้นติเม้นชมกันด้วยนะจ๊ะ

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด