...
..
.
ตลอดทั้งคืนพุ่มรักนอนแทบไม่หลับ เพราะใจมัวพะวงคิดหาวิธีบอกความจริงแก่ท่านขุนอย่างนิ่มนวลที่สุด รู้ตัวอีกทีฟ้าก็เริ่มสร้างแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อก่อนตรงไปยังศาลาริมคลองมะม่วง หวังเตรียมใจก่อนจะเผชิญหน้ากับใครบางคน ทว่าสวรรค์คงกลั่นแกล้ง เพราะเมื่อไปถึงใครคนนั้นกลับยืนรอเขาอยู่แล้วพร้อมคำเอ่ยทัก
“มาแล้วรึพุ่ม วันนี้อากาศดีจริงเทียว”
สีหน้าของท่านขุนฟ้าดูสดชื่นจนพุ่มรักมิอยากจะทำลายบรรยากาศที่โอบล้อมตัวท่านไว้ กระนั้นถ้าไม่รีบบอกไปก็อาจจะทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้น พุ่มรักจึงรวบรวมความกล้าตัดสินใจพูดตรง ๆ
“เออ...ท่านขุนขอรับ กระผมมีเรื่องสำคัญจะเรียนให้ท่านทราบ”
“เรื่องกระไรไว้คุยในเรือเถิด วันนี้ฉันเตรียมขลุ่ยของฉันมาเองด้วย พุ่มจะได้สอนฉันได้ถนัด”
ประโยคขัดบทสนทนาด้วยท่าทีกระตือรือร้น ส่งผลให้พุ่มรักได้แต่นิ่งอึ้ง ปากที่กำลังขยับพูดกลับหนักขึ้นทันควัน จนต้องปิดลงเงียบ ฟังเช่นนี้แล้วหากกล้าขัดก็คงจะดูใจร้ายเกินไป ...เอาเถิดไว้ค่อยบอกหลังจากขากลับจากล่องเรือก็ได้
เขาจึงเผลอปล่อยเลยตามเลย เดินตามท่านขุนไปลงเรือซึ่งจอดเตรียมไว้ แล้วปฏิบัติหน้าที่เป็นฝีพายมือดีอีกครั้ง นำเรือลอยลัดเลาะไปตามคลองสวน ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายในยามเช้า ก่อนจะหยุดลงตรงดงดอกบัวงาม ซึ่งท่านขุนมิรอช้ารีบนำขลุ่ยเพียงออใหม่ ๆ ของท่านมาให้อาจารย์ยลโฉม
“ดูสิพุ่ม ฉันได้มาจากตลาดเมื่อวาน ฝึกเป่าไปบ้างแล้ว เสียงเพราะอยู่เทียวหนา แต่ฉันอยากเป่าให้ได้เป็นเพลงเร็ว ๆ”
ประกายตาของท่านขุนวิบวับคล้ายเด็กอวดของเล่น ผิดภาพลักษณ์ของผู้นำมาดเข้ม จนคนมองอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“กระผมไม่คิดว่าท่านขุนจะชอบขลุ่ยมากถึงเพียงนี้”
คนได้ยินชะงัก ดวงตาคมนั่นวูบไหวลงเช่นเดียวกับน้ำเสียงซึ่งเปลี่ยนกลับมานิ่งเรียบ
“ทำไมเล่า ดูไม่เหมาะกับฉันรึ”
พุ่มรักสะดุ้งตกใจ รีบพูดแก้ไขเสียใหม่อย่าร้อนรน
“หามิได้ขอรับ เพียงแต่กระผมได้ยินมาว่าท่านขุนมิใคร่ชอบงานรื่นรมย์”
“เลยคิดว่าฉันเป็นเหมือนก้อนหิน มิน่าจะเข้าใจถึงความงามของดนตรี”
“มิใช่ขอรับ! กระผมมิได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย!”
เขาอยากจะใช้ไม้พายเรือตบปากตัวเอง ทำไมยิ่งอธิบายมันถึงเข้ารกเข้าพงไปเสียหมด เขาไม่น่าลืมคิดถึงจิตใจของท่านขุนเลย ดูก็รู้ว่าท่านคงชอบดนตรีอยู่ไม่น้อย แต่เขายังไปตอกย้ำท่านเพราะข่าวลือไร้มูลความจริงพวกนั้นเสียได้
คนปากบอนเตรียมก้มหน้ารับการลงโทษอย่างสำนึกผิด ร่างสูงมองท่าทีนั้นก่อนถอนหายใจ ซ้ำพูดด้วยน้ำเสียงไม่ถือสา
“เอาเถิด ฉันรู้พุ่มคงเคยได้ยินมาว่าฉันคือ ‘เจ้าฟ้าพิโรธ’ คนคงมองว่าฉันโหดเหี้ยมไร้หัวใจ จะไปที่ใดก็พากันนึกกลัวเพราะฉันเป็นลูกของเจ้าพระยา ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ฉันตั้งแต่ยังเล็กแล้ว ทั้ง ๆ ที่ฉันควรจะเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านเหมือนกับพ่อแท้ ๆ”
ความในใจที่คนอึดอัดระบายออกมาทำให้พุ่มรักตระหนักชัด เจ้าฟ้าพิโรธตามที่เขาได้ยินใครต่อใครพูดมา ท่านเป็นคนเด็ดขาดจึงเป็นที่นึกเกรงกลัวของชาวบ้าน แต่ก็เพราะความเด็ดขาดของท่านเกิดจากการตั้งใจทำงานอย่างมุ่งมั่น งานทุกงานจึงสามารถเสร็จสิ้นเรียบร้อยลงได้ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าฉากหน้าอันเข้มแข็งของท่าน เบื้องลึกภายในนั่นเต็มไปด้วยความกดดันและความหวาดหวั่นที่เกิดจากการแบกรับภาระไว้แต่เพียงผู้เดียว
คนมองต่างมุมเริ่มนิ่งคิดก่อนจะเปรยถามขึ้นถามความเงียบ
“ท่านขุนทราบวิธีเป่าขลุ่ยให้เพราะหรือไม่ขอรับ”
“ก็ต้องค่อย ๆ เป่า อย่าปล่อยลมหมดในคราวเดียวเหมือนที่พุ่มสอนฉันอย่างไรเล่า”
ร่างสูงตอบกลับไปตามสิ่งที่รู้ แม้จะยังแปลกใจที่อยู่ ๆ คู่สนทนาก็เปลี่ยนเรื่อง หากทว่าอาจารย์สอนเป่าขลุ่ยกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ
“นั่นแค่ส่วนหนึ่งขอรับ แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เป่าขลุ่ยได้เพราะได้คือ ‘ใจ’ ขอรับ”
“ใจรึ”
ขุนฟ้าทวนคำ มองคนพูดพยักหน้าแล้วเอ่ยประโยคชี้แนะ
“ใช่ขอรับ เพลงนั่นจะไพเราะได้เพราะคนฟังรับรู้ถึงใจของคนเล่น ท่านขุนเองก็เช่นกันขอรับ ท่านขุนใช้พระเดชในการปกครองคนก็เป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมใช้พระคุณควบคู่ไปด้วย ท่านขุนต้องเปิดใจให้เข้าถึงใจของชาวบ้าน แม้อาจใช้เวลาสักหน่อย แต่กระผมเชื่อว่าท่านขุนจะต้องทำให้ชาวบ้านรักใคร่ได้ไม่น้อยไปกว่าเจ้าพระยาแน่ขอรับ”
พุ่มรักพยายามให้คำปรึกษา แม้ตนเองจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการปกครอง แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าการเป่าขลุ่ยให้ไพเราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการ การเป็นผู้นำที่ดีก็ไม่ได้เกิดจากใช้อำนาจเข้าข่ม ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับใจของคนทำ และเมื่อนั่นคนอื่น ๆ ก็จะสามารถใช้ใจของเขาสัมผัสถึงมันได้เช่นเดียวกัน
เขามองขุนฟ้าซึ่งนั่งเงียบคล้ายกำลังพิเคราะห์ ก่อนจะเอ่ยอย่างสงสัยอีกครั้ง
“แล้วจะให้ฉันเปิดใจอย่างไรเล่า”
“ก็พูดคุยถามไถ่เหมือนพวกเขาเป็นคนในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องคุยเฉพาะเรื่องงานเสียอย่างเดียวขอรับ”
“เหมือนที่ฉันคุยกับพุ่มตอนนี้น่ะรึ”
“ขอรับ”
“แล้วพุ่มชอบฉันไหม”
คนฟังแทบหน้าทิ่ม เมื่อได้ยินคำถามที่ดังขึ้นแบบไม่ปี่มีขลุ่ย แต่เขาจะตกใจไปทำไม จริงอยู่แม้คราวแรกจะเกรงกลัวอยู่บ้าง กระนั้นพอรู้จักกันแล้วเขาพบว่าท่านขุนเป็นคนน่าคบหา ...ใจเย็น ๆ ก่อน ท่านขุนไม่ได้ถามในเชิงชู้สาว แค่ท่านกำลังสับสนและต้องการความมั่นใจเท่านั้น พุ่มรักพยายามปลอบไม่ให้ตนเองคิดมาก หากน้ำเสียงที่ตอบกลับตะกุกตะกัก
“ขะ...ขอรับ...กระผมก็...ชะ...ชอบท่านขุน”
แม้จะสั่งตัวเองเพียงใด แต่เขากลับรู้สึกคล้ายกำลังสารภาพรักกับผู้ชายด้วยกัน จึงพยายามก้มหน้าหลบสายตา ทว่าประโยคถัดมาของคนตรงข้าม กลับทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองทันควัน
“ดีจริงเทียว ฉันเคยบอกพุ่มรึยังว่ากลอนรักของพุ่มที่ส่งให้ฉันนั้นเพราะมาก ฉันชอบ...”
คำว่า ‘ชอบ’ ของท่านขุนอาจเหมือนคำเอ่ยชมธรรมดา หากมันมีอานุภาพมากพอจะสะกดให้ทุกสิ่งนิ่งเงียบ ยิ่งเมื่อสบดวงตาที่ทอประกายระยิบระยับคล้ายแสงอาทิตย์ที่สะท้อนล้อกับผิวน้ำแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกชาวาบ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เป็นอีกครั้งที่ดวงตาคมคู่นั้นทำให้เขาไม่อาจเอ่ยคำใดได้ต่อ จึงปล่อยให้ท่านขุนเป็นคนเริ่มบทสนทนาคล้ายนึกขึ้นมาได้
“จริงสิพุ่มเห็นว่ามีธุระสำคัญจะคุยกับฉัน เรื่องกระไรรึ”
คำทักเรียกให้อยู่ในภวังค์ได้สติ รีบคว้านหาเสียงตัวเองตอบกลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“อ่ะ...เออ...คือ...กระผมคิดว่าจะสอนท่านขุนเป่าขลุ่ยเพลงอื่นนอกจากเพลงคำหวานด้วยน่ะขอรับ”
แม้สิ่งบอกออกไปจะตรงข้ามกับที่ใจคิดมาก่อนหน้า แต่เขาไม่กล้าจะอธิบายความจริงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวจะโดนลงโทษ ทว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่แน่ชัด ...เอาน่า...ไม่เป็นไรหรอก โอกาสหน้ายังมีไว้คราวหลังค่อยหาทางอธิบายใหม่ก็ได้
พุ่มรักจึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นเดิม เขาสอนท่านขุนฟ้าเป่าขลุ่ยได้จนเริ่มคล่อง ก่อนจะพายเรือส่งท่านเทียบท่าริมคลองเมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้น
“ขอบใจนะพุ่ม พรุ่งนี้จะมีพิธีเปิดคลองแล้ว ฉันคงมาไม่ได้ ไว้หลังเสร็จพิธีค่อยมาสอนฉันใหม่นะ”
ร่างสูงเอ่ยคำลาระหว่างเดินขึ้นบันไดมาหยุดอยู่ตรงศาลา ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับคำมองอีกฝ่ายหันหลังทำท่าจะเดินไป แต่แล้วก็ต้องหยุดหมุนตัวกลับมาเรียก
“เออ...พุ่ม”
“ขอรับ”
คนถูกเรียกชะงักงัน คราวนี้มิใช่เพราะถูกดวงตาของท่านขุนสะกดไว้ แต่เป็นเพราะรอยยิ้มอันยากสื่อความซึ่งปรากฏบนใบหน้าคมคายนั้นต่างหากเล่าที่แทบทำให้ลมหายใจเขาแทบหยุดนิ่ง พร้อม ๆ กับได้ยินคำหนึ่งร่วงหล่นลงกลางใจ
“...ที่ฉันชอบไม่ใช่แค่กลอนของพุ่มหรอกนะ”
จบประโยคคนสูงศักดิ์จึงเดินจากไป ปล่อยให้พุ่มรักเข่าอ่อนเกือบล้มทั้งยืนคล้ายร่างกายสั่นไหว หัวใจเต้นโครมครามจนควบคุมไม่อยู่
...ท่านขุนหมายความกระไร ไม่ใช่แค่กลอนที่ชอบ แล้วมันสิ่งใดกัน หรือจะเป็นการเป่าขลุ่ยของเขาด้วย ...เออ ใช่ ๆ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าท่านชอบดนตรี โธ่...เอ็งอย่าไปคิดมากสิวะ ไอ้พุ่ม! มันไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเสียหน่อย อีกอย่างเขาตั้งใจไว้แล้วว่าหลังเสร็จพิธีเปิดคลองดำเนินสะดวกพรุ่งนี้จะบอกความจริงกับท่านขุนให้รู้เรื่อง ก่อนที่ความรู้สึกประหลาดในใจพวกนี้จะคุกคามเขาจนไม่กล้าพูดออกไป
พุ่มรักตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ก่อนสาวเท้าตรงกลับบ้านของตนอย่างเร่งรีบ ตรงข้ามกับขุนฟ้าภักดีภิรมย์ซึ่งกำลังเดินทอดท่องพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
...‘พุ่มรัก’ ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงแท้ ยิ่งรู้จักก็ยิ่งค้นพบความพิเศษแตกต่างจากคนอื่น ตอนแรกเขายอมรับว่าตกใจที่เจ้าของจดหมายเป็นผู้ชาย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกดีว่าคนคนนั้นคือ 'พุ่ม' เด็กหนุ่มที่มีเสียงหัวเราะใสซื่อ วางตัวเป็นธรรมชาติไม่มีจริตจะก้าน ตรงข้ามกับใครหลายคนที่เข้าหาเขาเพราะลาภยศและบารมี เขาจึงกล้าวางใจที่จะเปิดเผยความรู้สึกให้กับพุ่ม และก็ได้ถ้อยคำแนะนำดี ๆ กลับคืนมาโดยไม่นึกรังเกียจหรือหวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขาอยากจะใช้เวลาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับพุ่มมากขึ้น หากกว่าจะถึงนัดหมายก็อีกเป็นนาน คิดได้เช่นนั้นก็ดูคล้ายเวลาจะเคลื่อนช้าเกินไปนัก
...ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เพิ่งพบกันไม่กี่ครากลับทำให้เขานึกถึงได้มากเพียงนี้
“ท่านขุนขอรับ มิเข้าไปในเรือนรึขอรับ”
เสียงทักทำให้คนเหม่อลอยต้องละความคิด เพิ่งรู้สึกตัวว่ากลับมายืนหน้าเรือนอยู่นานแล้ว กระทั่งไอ้แก้มบ่าวรับใช้ต้องเอ่ยถาม เขาจึงแกล้งเฉไฉตอบ
“อ้อ...เออ...ข้าว่าจะไปตรวจดูงานขุดคลองเสียหน่อย”
“เช่นนั้นก็พอดีเลยขอรับ เพราะเช้านี้นายแขวงเรียนมาว่าทำปะรำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว รบกวนท่านขุนช่วยไปตรวจดูด้วยขอรับ”
เขาพยักหน้ารับให้กับงานในความรับผิดชอบ คราวนี้เขาจะต้องทำตามอย่างที่พุ่มสอน ...เรื่องงานต้องให้เด็ดขาด แต่เรื่องชนะใจต้องใช้ ‘ใจ’ ด้วยกันเท่านั้นแลกคืนมา
...
..
.
“ไอ้พุ่ม! ไอ้พุ่ม! เฮ้ย! ไอ้พุ่มส่งผ้าขึ้นมาสักทีสิวะ ข้ายืนรอจนเมื่อยแล้วโว้ย!”
เสียงตะโกนเรียกดังจากข้างบนบันไดลิงที่กำลังจับอยู่ พุ่มรักที่แอบอู้งานจึงต้องรีบหยิบม้วนผ้ายื่นส่งต่อให้เพื่อน ผูกประดับตกแต่งปะรำพิธีตามคำสั่งของพ่อ เพื่อเตรียมงานที่กำลังจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงลากไอ้โสนมาเป็นลูกมือหวังพึ่งประโยชน์ แต่ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นตัวไร้ประโยชน์เสียแทนจนไอ้โสนต้องนึกบ่น
“นี่เอ็งเหม่ออะไรอยู่ได้ ข้าเรียกตั้งนานสองนานแล้วไม่ยอมตอบ”
พุ่มรักถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยเลี่ยงกลับไปแกน ๆ
“โทษทีว่ะ ข้ามีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“เรื่องเจ้าอิงฟ้า หรือ เจ้าฟ้าพิโรธ ล่ะ”
คำหยอกอย่างรู้ทันทำเอาคนด้านล่างอยากจะเขย่าบันไดให้มันตกลงมาคอหัก ทว่าก็ได้แต่กระแทกเสียงตอบ
“ทั้งคู่!”
โสนหัวเราะขำที่เดาใจได้ถูกเผง แล้วจึงไต่บันไดลงมาก่อนจะเอ่ยคำคาดเดาเป็นครั้งที่สอง
“นี่เอ็งยังไม่ได้บอกความจริงกับท่านขุนอีกรึไร”
หากไอ้โสนมันมีตาทิพย์เขาคงเชื่อ เพราะมันพูดแต่ล่ะคำคล้ายปล่อยหมัดให้เขาต้องนึกจุก
...จริงอยู่ที่เขาตั้งใจจะบอกท่านขุนฟ้าหลังจากเสร็จพิธีเปิดคลองดำเนินสะดวก แต่ลึก ๆ แล้วก็ยังลังเลสับสนว่าควรจะบอกดีหรือไม่ ถ้าบอกไปแล้วเขากับท่านขุนจะยังคงพูดคุยเป็นเหมือนปกติอีกได้รึ เขาเสียดายมิตรภาพที่เริ่มจะเป็นไปในทิศทางดีขึ้น จนไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ลงไป ที่สำคัญคือ เขาห่วงความรู้สึกของท่านขุนว่าจะเป็นเช่นไร หากท่านได้รับรู้ความจริง
คำอธิบายในใจนั้นมีมากมาย ทว่าขืนบอกเพื่อนเขาตอนนี้คงได้ซักไซ้กันอีกยาว พุ่มจึงเลี่ยงตอบโดยใช้คำสั้น ๆ
“ข้าแค่ไม่มีโอกาสเหมาะ”
คล้ายไอ้โสนที่แสนรู้ดีจะจับทางได้ มันหรี่ตามองอย่างสงสัย แล้วพูดคาดเดาขึ้นอีกครั้ง
“จริงรึ มิใช่ว่าเอ็งจะเปลี่ยนใจมาชอบเจ้าฟ้าพิโรธแล้วกระมัง”
แค่เพียงประโยคเดียวเปลี่ยนสีหน้านิ่งเฉยของพุ่มรักให้ขึ้นสีจัด
...ไอ้โสนมันพูดเรื่องอะไร ปัญหาที่เกิดส่วนหนึ่งไม่ใช่เพราะความผิดของมันรึไรเล่า แล้งยัวมีหน้ามาล้อเลียนเขาอีก! แค่คิดก็โมโหจนเขาต้องตวาดใส่คนปากมอมดังลั่น
“ไม่ใช่โว้ย! คนที่ข้าชอบมีแค่เจ้าอิงฟ้าไม่ใช่ท่านขุนฟ้า เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะจดหมายรักที่ส่งผิดนั่นต่างหาก!”
“จดหมายส่งผิดรึ”
ไม่ใช่เสียงของไอ้โสนเพราะมันอยู่ทางด้านหน้า แต่เสียงปริศนากลับดังมาจากข้างหลัง และเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
...คุ้นเคยจนไม่กล้าที่จะหันมองคนพูด ด้วยรู้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังสั่นกับสิ่งที่ตั้งรับไม่ทัน แม้พยายามหลอกตนเองว่าหูอาจฝาด แต่ความหวังทั้งหมดกลับปลิวหายเมื่อคำถามย้ำดังขึ้นลงซ้ำเติมอีกครั้ง
“เป็นความจริงรึพุ่ม”
ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ได้อย่างไร แต่มันคงนานมากพอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนจนสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ถึงจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความลับทั้งหมดจะมาเปิดเผยเอาในรูปการนี้ กระนั้นที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ
พุ่มรักจึงตัดสินใจหันหลังกลับเผชิญหน้า ในหัวสมองมีคำพูดมากมายจะอธิบาย แต่ปากของเขากลับแข็งค้างไม่ขยับ ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ เมื่อสบนัยน์ตาคมที่มองตรงมา
...มันสะท้อนความสับสน ความแปลกใจ และเหนืออื่นใดคือ ‘ความผิดหวัง’
เขาจึงปล่อยให้ทุกสิ่งนิ่งเงียบเช่นนั่น กระทั่งถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของนายแขวงบางยาง
“ท่านขุนฟ้ามาตรวจงานรึขอรับ เชิญทางนี้เลยขอรับ”
เจ้าของชื่อจึงละสายตาออกห่าง กลับมาทำหน้าที่ของตนเองตามเดิม ส่วนพุ่มรักจำต้องถอยลงเปิดทางให้ท่านขุนฟ้าตรวจดูปะรำพิธีโดยรอบ ร่างสูงใช้เวลาสำรวจความเรียบร้อยไม่นาน ซักถามรายละเอียดอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่มีจุดบกพร่องให้ต้องแก้ไข จนคนคุมงานต้องเอ่ยชม
“นายแขวงทำงานได้ดีมากเทียวหนา”
เจ้าของตำแหน่งยิ้มรับหน้าบาน หากก็ยังรีบกล่าวถ่อมตน
“ไม่หรอกขอรับ นี่ก็เพราะได้ลูกชายมาช่วยด้วย ท่านขุนอาจไม่เคยพบหน้า คนนี้ลูกชายของกระผมเองชื่อ ‘พุ่มรัก’ เสียดายที่มัวแต่เที่ยวเล่นจึงเริ่มเป็นงานช้ากว่าใครเขา แต่ก็หวังว่าภายภาคหน้าคงจะได้รับใช้ท่านขุนบ้าง ...เอ้า! ไหว้ท่านขุนเสียสิ พุ่ม”
ผู้เป็นพ่อรีบเรียกลูกชายเข้าไปหา หวังแนะนำท่านขุนให้รู้จักไว้เพื่อใช้สำหรับปูทางต่อไปในอนาคต เพราะท่านขุนเป็นคนจริงจังในเรื่องการงาน หากลูกชายไม่เอาไหนของตนได้รับใช้ท่านขุนอาจพอดัดนิสัยขี้คร้านไปได้บ้าง แต่คำแนะนำของพ่อกลับสร้างความลำบากใจใหญ่หลวงให้ลูกผู้มีชนักติดหลัง กระนั้นพุ่มรักก็ยังพยายามเก็บอาการรีบยกมือไหว้ด้วยความอ้อมน้อม
เมื่อท่านขุนมาอยู่เบื้องหน้า พุ่มรักจึงรู้แล้วว่าเหตุใดชาวบ้านจึงไม่กล้าที่จะเข้าหา ก็เพราะด้วยลักษณะที่น่าเกรงขามของท่าน ผิดไปจากตอนที่วางตัวอยู่กับเขาในเรือพาย ท่านช่างอยู่สูงเกินเอื้อม เขาเสียอีกที่ถือดีกล้าไปตีสนิทท่าน ทั้งยังไปกล้าพูดจาพล่อย ๆ ยามนี้ถ้าท่านขุนจะฟ้องเอาเรื่องเขาต่อหน้าพ่อ เขาจะไม่คัดค้านเลยสักคำ เพราะสำนึกผิดถึงความเลยเถิดของตัวเอง
พุ่มรักเตรียมใจไว้เรียบร้อย เพื่อรอรับบทลงโทษครั้งใหญ่ แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เมื่อท่านขุนฟ้าเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พุ่มรึ ฉันเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ลูกชายของนายแขวงเก่งทั้งด้านกาพย์กลอน ซ้ำเล่นดนตรีได้ไพเราะอีกด้วย นายแขวงมีลูกชายดีเช่นนี้น่าภูมิใจแทน”
คำชมไม่เพียงแต่ทำให้พุ่มรักต้องรีบเงยหน้ามองด้วยความมึนงง นายแขวงเองก็แปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าท่านขุนฟ้าจะรู้จักความเป็นไปของผู้คนในแถบนี้ โดยเฉพาะกับลูกชายที่ถูกกล่าวถึงนั้นจะมีชื่อเสียงไปไกลกว่าที่คาดไว้
“ท่านขุนทราบด้วยรึขอรับ แหม...ไอ้พุ่มมันชอบแต่งกลอนมาตั้งแต่เล็กแล้ว ถ้าท่านขุนเห็นมันมีแววก็ถือเป็นบุญของไอ้พุ่มมัน”
เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นพ่อจะปลาบปลื้ม มองความสามารถของลูกชายเสียใหม่ด้วยความพึงพอใจว่ามีดีอยู่บ้าง ก่อนร่างสูงจะเป็นฝ่ายตัดบทสนทนา
“เช่นนั้นเสร็จงานแล้ว ฉันคงต้องขอตัวก่อน”
“เชิญขอรับ ไอ้พุ่มไปส่งท่านขุนเสียสิ”
ท้ายประโยคนายแขวงไม่ลืมส่งลูกชายออกนอกหน้าอีกครั้ง พลางสะกิดให้คนยืนนิ่งรีบเดินตามท่านขุนกลับเรือน เขาตามหลังบ่าวรับใช้อีกสองคน แต่เมื่อพ้นประรำพิธีไปได้สักพัก เขาจึงเปลี่ยนไปเร่งแซงหน้าให้อยู่เยื้องด้านหลังร่างสูง ก่อนจะสูดลมหายใจลึกรวบรวมความกล้า เตรียมเรียงเรียงถ้อยคำที่ไม่ได้พูดเสียตั้งแต่แรก
“เออ...ท่านขุนขอรับ เรื่องนั้นกระผมอยากอธิบาย...”
“เรื่องที่พุ่มตั้งใจจะส่งจดหมายให้เจ้าอิงฟ้ามิใช่ฉันน่ะรึ”
เพียงประโยคเดียวกินใจความครอบคลุมโดยไม่ต้องขยายเพิ่มเติมอะไรอีก เพราะมันชี้ชัดตรงประเด็นคล้ายโดนมีดแหลมทิ่มแทงลงกลางใจ ได้แค่เพียงมองคนนำหน้า ซึ่งหยุดก้าวหันกลับมาพูดอย่างผู้เข้าใจเรื่องทั้งหมด
“ฉันคิดแล้วเทียวว่ามันแปลกที่ผู้ชายส่งกลอนรักมา แต่ฉันมิได้นึกเอะใจเพราะคิดว่าพุ่มคอยห่วงใยฉัน ที่แท้แล้วทั้งหมดพุ่มต้องฝืนใจทำ ต่อจากนี้พุ่มไม่ต้องมาสอนฉันเป่าขลุ่ย และไม่ต้องมาเดินส่งฉันกลับเรือนแล้ว ไปทำตามสิ่งที่พุ่มชอบเถิด”
ท่านขุนฟ้าเดินหันหลังจากไปแล้ว เหลือเพียงแค่พุ่มที่ยังยืนนิ่งตามลำพังอยู่อย่างนั้น เป็นนานเท่าไรไม่รู้ กระทั่งเพื่อนที่ตามมาเพราะห่วงต้องตบบ่าเรียกสติ
“เฮ้ย! ไอ้พุ่มเอ็งไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เออ ข้าไม่เป็นไร”
เขาขยับปากตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ...ใช่...เขาไม่เป็นอะไร ควรจะโล่งใจด้วยซ้ำ ในเมื่อความจริงถูกเปิดเผยแล้ว และท่านขุนเองก็ไม่ลงโทษต่อความผิดของเขาเลยสักนิด ทว่าน่าประหลาดที่ความรู้สึกภายในกลับตรงกันข้าม มันอึดอัดทรมานเสียยิ่งกว่าตอนปิดบังเรื่องทั้งหมด
...ไม่ใช่หรอก สิ่งที่เขาทำให้ท่านขุนฟ้า เขาไม่เคยฝืนใจเลยสักครั้ง เขารู้สึกสนุกที่ได้อยู่ใกล้ ได้พูดคุยหัวเราะกับท่าน ที่สำคัญเขารับรู้แล้วว่า ‘เจ้าฟ้าพิโรธ’ ไม่ได้เป็นเช่นข่าวลือ หากท่านคือ ‘ขุนฟ้าภักดีภิรมย์’ ตามชื่อต่างหาก แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้เรื่องทั้งหมดจบลงไปในรูปการนี้ และมีเพียงวิธีเดียวที่เขาพอจะทำได้
พุ่มรักตัดสินใจหยิบสมุดเขียนกลอนคู่ใจ พร้อมดินสอถ่านที่พกไว้ติดตัว ลงมือเขียนตัวอักษรร้อยเรียงคำกลอนที่กลั่นมาจากความรู้สึกข้างใน
ดอกฟ้าเอย ดอกฟ้า ล้วนมีมาก หากแม้ยากหางามแท้ในใต้ล้า
มิใช่เพราะรูปโฉมนอกกายา แต่เพราะค่าของใจคนอันหมายปอง
โอ้ยามนี้เจ้าดอกฟ้ามาหน่ายหนี ฤทัยนี้สุดระทมทุกข์หม่นหมอง
วอนขอพบอีกครา ณ ริมคลอง หวังใจสองหวนใกล้ได้กลับคืน
พุ่ม
เขาฉีกกระดาษออก พับครึ่งเป็นยื่นส่งให้เพื่อนโดยไม่ลืมย้ำเตือน
“ไอ้โสน ข้าฝากจดหมายให้ท่านขุนฟ้าที คราวนี้อย่าให้พลาดเป็นอันขาด”
คนรับพยักหน้าทำตามคำไหว้วาน โดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก พุ่มรักมองตามหลังไอ้โสนไปทางเรือนใหญ่ ด้วยความหวังที่มีเต็มหัวใจ
...คราวนี้เขาจะขอบอกทุกความนัย ไม่คิดหนีปัญหาเพราะความลังเลใจอีกต่อไปแล้ว
...
..
.