ตอนที่ 15 : โทรศัพท์สายพิเศษ
ไม่นาน คนเขียนบทที่ชักหน้ายุ่งเนื่องจากเปลี่ยนตัวนักแสดงกะทันหันก็มาเยือนกองถ่าย แต่ทันทีที่ได้ฟังไอเดียของนิฌานจากหน้าบึ้งก็กลายเป็นหน้ายิ้ม ความกดดันกลายเป็นความปลื้มใจ เพราะคนคนนี้ชอบความแปลกใหม่เหนือคาด โดยเฉพาะกับซีรีส์เช็กเมทที่มักมีเรื่องราวพลิกผันตลอดเวลา
“แหม กำลังเครียดอยู่เลยว่านักแสดงมากประสบการณ์จะหยิ่ง กลัวจะรับไม่ได้กับงานลวกงานร้อนครั้งนี้ ที่ไหนได้ ความคิดเจ๋งไม่เลวเลยนี่นา!”
ความเจ้าชู้ของนิฌานทำให้บางครั้งดูไม่จริงจังกับงาน จนมักถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอ ก็ไม่แปลกที่ตอนแรกคนเขียนบทจะหน้านิ่วคิ้วขมวด กลัวว่าดาราคนนี้จะถือความเก่าแก่ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่กระตือรือร้นเสนอความเห็นเหมือนดารารุ่นใหม่ที่ต้องขวนขวายสร้างโอกาสให้ตัวเอง
“เพราะใกล้ตัวผมมีคนติดเช็กเมทและชอบมิสเตอร์เอสมาก ผมเลยไม่อยากให้เขาผิดหวังน่ะครับ” นิฌานพูดพลางเหล่มองผมที่ยังโดนล็อกคอขยับไปไหนไม่ได้ บ้าเอ๊ย ผมไม่อยากอยู่กับตัวร้ายนะ ปล่อยผมไปดูการถ่ายทำของพวกอัครเดชเถอะ เพราะตั้งแต่คนเขียนบทเดินลงมาผู้กำกับก็ขอตัวไปทำงานต่อทันที ดูนั่นสิ สามหนุ่มสามมุมพยายามระดมสมองวางแผน เห็นแล้วก็อดซาบซึ้งในมิตรภาพไม่ได้
“นั่นสินะ ซีซันสามไม่มีมิสเตอร์เอสซะด้วย ยกมาเป็นประเด็นสำคัญให้คนหายคิดถึงอย่างนี้ก็ไม่เลว”
ไม่เลวอะไรล่ะ เลวมากเลยต่างหาก!ผมซุกหน้ากับฝ่ามือ ไม่อยากจะได้ยินได้ฟังเรื่องแสนสะเทือนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องรับรู้การหารือของคนเขียนบทและนิฌานอยู่ดี ด้วยเวลาที่กระชั้นและจำเป็นต้องเขียนบทใหม่เกินครึ่ง ฉากที่ถ่ายไปแล้วของนักแสดงคนก่อนจึงไม่ถูกตัดทิ้ง แต่นำมาเป็นจุดไขว้เขว ให้พระเอกเข้าใจผิดว่าเป็นหัวหน้าองค์กรปลอมตัวมาทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่! ถือเป็นการหลอกซ้ำหลอกซ้อน หลอกให้ตายใจกันไปข้างหนึ่ง!
สองคนนี้ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ พยายามใช้คีย์เวิร์ด ‘มิสเตอร์เอส’ มาขยี้เรื่องราวให้ยิ่งกรีดลึกจนผมเลือดซิบไปหมด ความจริงแล้วตารางวันนี้นิฌานต้องมาถ่ายในส่วนเดิมของนักแสดงคนก่อน แต่ในเมื่อไม่จำเป็นแล้วเลยลองแสดงต่อหน้าคนเขียนบทแทน
เพียงเห็นผมก็แทบลุกไปต่อย เขาแสดงได้น่ากระทืบเกินไปแล้ว!
“ทำไมพี่ถึงชั่วร้ายขนาดนี้!”
ด้วยใจภักดีต่อมิสเตอร์เอส ผมไม่สามารถทำเป็นบื้อใบ้ปรบมือชมเชยเหมือนที่คนเขียนบทกำลังทำได้จริงๆ
“ก็พี่เป็นตัวร้าย ไม่ให้พี่ร้ายแล้วจะรับเล่นทำไมล่ะครับน้องเจ”
นิฌานสะใจมากที่เห็นผมนั่งกระฟัดกระเฟียดอยากเข้าไปบอกแผนการลับของหัวหน้าองค์กรกับพวกพระเอกเต็มแก่ อย่าไปเชื่อ! มิสเตอร์เอสไม่มีพี่ชายสับปลับอย่างนี้หรอก!
กว่านิฌานจะลองแสดงหลายๆ แบบเพื่อหาจุดลงตัวที่คนเขียนบทเห็นชอบ ลองชุดเพื่อจะได้แจ้งกับฝ่ายคอสตูมในการเข้ากองครั้งหน้า ลองเข้าฉากกับแก๊งพระเอกเพื่อให้ผู้กำกับเห็นภาพเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน
ยังไม่ทันเริ่มแสดงก็ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ผมชักเล็งเห็นปัญหา
รวมถึงปัญหารถเมล์หยุดวิ่งด้วย!
“นอนค้างที่นี่สิน้องเจ เชื่อใจพี่ได้เลยว่าเหนื่อยขนาดนี้ไม่มีแรงทำอะไรเราหรอก”
“ผมเรียกแท็กซี่ได้ครับพี่ฌาน ตอนนี้ถนนโล่ง ไม่กี่นาทีก็ถึงบ้านแล้ว”
ถึงเห็นเขาเหนื่อยหนักตาปรือปรอย แม้ร่างกายจะปลอดภัยแต่ผมก็รู้สึกเหมือนได้รับการคุกคามทางจิตใจอยู่ดี
“ถ้าถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะครับ”
“ผมส่งข้อความบอกแล้วกัน”
“ไม่เอา พี่กลัวเผลอหลับ”
“ก็เพราะกลัวพี่ฌานหลับผมเลยไม่อยากโทรปลุกไง”
“แต่พี่อยากรู้ว่าน้องเจกลับอย่างปลอดภัยรึเปล่า ไม่ต้องห่วงหรอกครับ โทรมาปลุกได้เลย ดีกว่าให้พี่นอนฝันร้ายกลัวน้องเจไม่ถึงบ้าน”
สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายพยักหน้าเอออออย่างจำยอม เพราะเช็กเมททำพิษคนแก่เลยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ รู้สึกผิดจนไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้วนิฌานยังอุตส่าห์เป็นห่วงกันอีก
เมื่อขึ้นรถแท็กซี่ผมก็หยิบตารางงานขึ้นมาบันทึกใหม่ เพราะซีรีส์เช็กเมทเป็นแบบถ่ายไปฉายไป บทบาทของนิฌานที่แทรกกะทันหันจึงถูกขอคิวที่ว่างเกือบทั้งหมดในการเข้ากอง
แล้วดูตารางเขาสิ แน่นเอี๊ยดจนแทบกระดิกตัวไม่ได้เพราะเพิ่งรับงานอีเวนต์ตระเวนโชว์ตัวด้วยผลพ่วงจากการเปิดตัวบิวตี้เพอร์ฟูม ที่เหลืออยู่ก็มีแค่ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น...ไม่ก็หลังพระอาทิตย์ตกดิน
ถ้าไม่เพราะคนเขียนบทขอเขียนเนื้อเรื่องส่วนของนิฌานใหม่หมด พรุ่งนี้มีหวังได้เข้ากองตั้งแต่ตีห้า...แต่ดูจากงานพิธีกรรับเชิญในรายการข่าวเช้าตอนเจ็ดโมงตรงก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่
สำหรับเด็กอายุสิบแปดยังเอ๊าะๆ อย่างผม นอนดึกตื่นเช้าไม่นับว่าทรมานสังขารนัก แต่คนใกล้จะสามสิบเนี่ยสิ...
พอถึงบ้านผมก็โทรหานิฌาน รอสายอยู่นานกว่าเขาจะกดรับ
(( น้องเจถึงบ้านแล้วเหรอครับ ))
ฟังจากเสียงงัวเงีย สงสัยจะเผลอหลับจริงด้วย
“ถึงแล้วครับ พรุ่งนี้ผมไปหาพี่ฌานที่คอนโดตอนหกโมงนะ”
(( ไม่นัดเจอกันที่บริษัทเหมือนปกติล่ะครับ ถ่อไปถ่อมาให้เหนื่อยทำไม ))
“พี่ฌานจะได้หลับในรถเอาแรงก่อนเข้างานอีกหน่อยไงครับ เดี๋ยวผมซื้อโจ๊กแถวบ้านเจ้าอร่อยไปฝากนะ”
(( พี่อยากกินฝีมือแม่น้องเจมากกว่า ไม่ได้กินตั้งนาน คิดถึงจัง หาววว ))
“ผมออกมาเช้ากว่าปกติ แม่คงยังทำกับข้าวไม่เสร็จ เอาไว้วันอื่นแล้วกันนะพี่ฌาน”
นิฌานงึมงำในลำคอ คงถึงขีดจำกัดในวันนี้แล้ว ใจผมเจ็บแปลบ รู้ดีว่าใครเป็นตัวต้นเรื่อง สร้างปัญหาวุ่นวายทั้งหมดให้เขารับกรรม
ก็ผมนี่ไง!
ฉะนั้นถ้าช่วยให้เขาสบายใจ นอนหลับเต็มอิ่มกว่าเดิมสักนิดก็ยินดี
“ฝันดีนะครับพี่ฌาน”
พลันได้ยินเสียงคนตกเตียงดังโครม!
“พี่ฌาน เกิดอะไรขึ้น!!”
(( มะ...ไม่มีอะไรครับน้องเจ )) นิฌานเอ่ยตะกุกตะกักเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะพึมพำเสียงเบาหวิวเหมือนคุยกับตัวเอง (( จะจีบน้องเจรุกอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องใช้ใจแลกใจสินะ ))
“...ผมได้ยินนะครับพี่ฌาน” ผมกลอกตาสามที ปฏิบัติ!
(( ราตรีสวัสดิ์ครับน้องเจ! ))
แล้วดาราชื่อดังก็รีบวางสายเหมือนเผลอหลุดความในใจจนต้องหนีหน้า ทิ้งให้ผมกุมขมับ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่คนเดียว!
ก่อนหน้านี้โดนรุกทีไรเป็นต้องต่อปากต่อคำไม่ไว้หน้า คิดว่ายังไงซะก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจีบผมติด ซึ่ง...ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนั่นแหละ แต่เพราะความทุ่มเทของเขา ทำให้สายเลือดทองคำดีทำร้ายผม บอกว่าผมต่างหากที่ชั่วร้าย!
ถึงผมพร้อมเผชิญหน้ากับคมสัน ต่อให้ตกปากรับคำไปแล้วก็จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงอิสรภาพของนิฌานคืนมาให้ได้ แต่คนเจ้าชู้กลับยิ่งออกลาย เห็นผมลนลานเท่าไรก็ยิ่งกระตือรือร้นจะเข้ากองเมื่อนั้น ถึงเขาจะตัดสินใจเอง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้การกระทำเหล่านั้นน่ะเพื่อเอาใจกัน! อยากเห็นผมดีใจ ปลื้มปริ่มจนลืมใครบางคนที่เรียกร้องความสนใจโดยการล็อกคอหาความดีความชอบ...
สถานการณ์เข้าขั้นกระอักกระอ่วน หมายถึงผมเนี่ยที่ทำตัวไม่ถูก! ไม่กล้าจะเย็นชาใส่ ตัดรอนน้ำใจเหมือนเคยเพราะเกรงใจคนแก่ที่เห็นแก่ผมมากกว่าความเหนื่อยของตัวเอง แล้วทำไมคนถูกจีบต้องคิดแทนคนจีบด้วยวะเนี่ย!
ความดีความชั่วกำลังตีกันเอง ผมสูดหายใจเข้าลึก หลังตั้งสติแล้วก็หันไปตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้า ซึ่งนับว่าเช้าที่สุดนับตั้งแต่เป็นผู้จัดการมาเพราะต้องวนไปรับนิฌานก่อนค่อยเข้าบริษัท เป็นครั้งแรกที่ผมเสนอตัวขนาดนี้ และคาดว่าจะต้องทำแบบนี้อีกหลายครั้งระหว่างถ่ายทำเช็กเมท เผลอๆ จะต้องตื่นตีสองตีสาม ผิดวิสัยนิฌานผู้จัดตารางได้เป็นเลิศ พิสูจน์จากการทำงานแสนราบรื่น พักผ่อนเพียงพอ นอนหลับเต็มอิ่มตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
อึก...เจ็บปวดอีกแล้ว ผมเป็นคนทำลายวงจรชีวิตของเขาจนไม่เหลือสภาพ!
แล้วอีแบบนี้จะมองเมินได้ยังไง มีส่วนต้องรับผิดชอบกันเห็นๆ จากโจ๊กเจ้าอร่อยจะเพิ่มเป็นพิเศษใส่ไข่ใส่หมูเยอะๆ ก็แล้วกัน คนงกอย่างผมถึงกับยอมควักอย่างไม่เสียดายเชียวนะ!
ได้ทำงานกับคนที่เข้าขากันนั้นดีอย่าง คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่กลัวโดนเข้าใจผิด โดยเฉพาะกับคนฉลาดอย่างนิฌาน ชาญชัย ต่อให้จู่ๆ ผมดีใส่เขาย่อมรู้ว่าผมทำไปด้วยใจเมตตาหาใช่ความพิศวาส...เหอๆ ก็เขาหวังผลแบบนี้อยู่แล้วนี่!
แต่ถึงอย่างนั้น...ไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็ยังดีใจจนกลิ้งตกเตียงกับแค่คำว่าฝันดี“ว๊ากกกก ผี!!”
“ผีอะไรล่ะพี่จิ นี่ผมเอง เจน้องชายพี่ไง!” ผมรีบอธิบายให้พี่ชายซึ่งนอนหลับอยู่ดีๆ ไม่ชอบดันนึกอุตริพลิกตัวมาเห็นฉากน่าสยองเข้า
“แล้วเจเอาหัวโขกเตียงทำไม...มันน่ากลัวนะ!”
ผมลูบหน้าผากที่เห่อแดงพร้อมยิ้มเจื่อน ภาพของเด็กหนุ่มนั่งบนเตียงเป็นเงาตะคุ่ม กลุ้มอกกลุ้มใจจนเอาหัวโขกเนี่ยไม่บอกก็รู้ว่าชวนหัวใจวายขนาดไหน
ว่าแล้วก็ถือโอกาสปรึกษาพี่ชายซะเลย
“พี่จิรู้เรื่องนิฌานรับเล่นซีรีส์เช็กเมทแล้วใช่มั้ย”
พี่ชายกะพริบตาปริบๆ ถือว่าเป็นคำตอบรับแล้วกัน
“พี่จิรู้รึเปล่าว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลัง นิฌานรับเล่นเรื่องนี้เพราะอยากจะเคลมผม...พี่จิว่าผมทำถูกมั้ย ทั้งที่รู้แก่ใจก็ยังจะสงสารคนทำดีหวังผล แต่จะให้ยิ้มเริงร่าเข้ากองในฝันขณะที่อีกคนทำงานหนักผมก็ทำเป็นไม่สนใจไม่ได้เหมือนกัน พี่ว่าผมควรจะทำยังไงดี ผมไม่อยากให้เขาได้ใจ แต่พอเห็นเขาดีใจขนาดนั้นก็สับสนมาก...พี่จิ...พี่จิ!!”
“คร่อก....ฟี้”
หมดกันพี่ชายผม ลืมไปเลยว่าพี่จิคนดีเป็นเด็กอนามัย นอนเร็วตื่นเช้าออกกำลังกาย รักษารูปร่างและมีสุขภาพแข็งแรงขนาดไหน
“เฮ้อ...ฝันดีนะพี่จิ” ผมทิ้งตัวข้างพี่ชาย นอนชิดริมเตียงเพราะกลัวจะโดนจระเข้ฟาดหางป้าบเข้าให้เป็นลูกหลงจากใครบางคนที่ชอบนอนดิ้น
แต่ระหว่างที่ผมกำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้นจู่ๆ พี่ชายก็จับไหล่หมับพร้อมแรงบีบที่ไม่เบา
“เจ...”
ผมสะดุ้งตื่นทันควัน
“จะกลุ้มไปไยไอ้น้อง อยากทำอะไรก็ทำ จะคิดมากทำไม เอิ้กๆ”
...บอกทีว่าพี่ชายผมกำลังปลอบหรือนอนละเมอกันแน่
“นิฌานเองก็คงไม่คิดเยอะหรอก เขาทำในสิ่งที่อยากทำ จะทำเพื่อเอาใจเจหรือเพื่ออะไรก็ช่าง ตัดสินใจไปแล้วก็ลุยให้เต็มที่! ทำตามหัวใจเรียกร้อง! ลุยให้สุดแล้วหยุดที่คำว่า...”
“คำว่า?”
“คร่อก...ฟี้”
ผมแทบจะลุกเอาหัวโขกเตียงอีกรอบ ถ้าไม่ติดว่ามีเวลานอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เอาวะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เลิกคิดมากแล้วทำอย่างที่อยากจะทำก็แล้วกัน!
แล้วเรื่องก็เกิดจริงๆ ครับ
ไม่รู้จะเรียกว่าสมพรปากดีมั้ย แต่เอาเป็นว่าผมรีบวิ่งไปคุยโทรศัพท์ในรถแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายโทรเข้าระหว่างนิฌานกำลังถ่ายรายการนอกสถานที่ในช่วงสาย
(( เช็กเมท? นิฌานไปถ่ายเช็กเมทได้ยังไง เขาไม่รับเล่นละครไม่ใช่เหรอ! ))
น้ำเสียงดุหาเรื่องมาก่อนเลย
“พอดีเลขาคมสันระบุตัวมาน่ะครับ” ผมตอบอ้อมแอ้มตามประสาคนมีคดีติดตัว ก็ไม่แปลกหรอกที่แม่ของนิฌานจะตกใจ รีบโทรกลับทันทีที่ผมส่งตารางงานใหม่ของลูกชายสุดที่รัก
(( คมสันเคยระบุตัวก็จริง แต่เขาปฏิเสธไปแล้วนี่ ))
ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่สำลักไอเผยพิรุธ
“คือ...เพราะครั้งนี้มีเหตุจำเป็นจริงๆ นิฌานเลยตอบตกลงน่ะครับ” ผมเลือกที่จะโกหกมากกว่าพูดตามจริง จะบอกได้ยังไงล่ะว่าขนาดเลขาคมสันออกโรงเองนิฌานยังปฏิเสธไม่ไยดี สื่อว่าเขายึดติดกับความฝังใจในวัยเด็กมากกว่าอิทธิฤทธิ์จอมมาร
แต่สุดท้ายก็แพ้พ่ายให้ความรัก
แหวะ ถุย
เล่นเองสยองเอง ผมลูบต้นแขนเบาๆ ก่อนจะจดจ่อกับการคุยโทรศัพท์ต่อ หลังได้รับคำปลอบใจจากพี่จิคนดีสมองก็ปลอดโปร่งกว่าเดิมเยอะ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
(( เริ่มถ่ายวันพรุ่งนี้เหรอ ))
“ครับ เพราะคนเขียนบทขอเวลาเกลาบทใหม่” ผมอธิบาย ยังนึกทึ่งไม่หายที่คนเขียนบทขอเวลาแค่วันเดียวในการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องตามที่นิฌานเสนอ แต่ถ้าไม่ใช้เวลาแค่วันเดียวก็เห็นจะไม่ทัน เพราะเขาอยากแทรกบทตัวละครใหม่นี้ลงในตอนที่กำลังจะฉายช่วงเสาร์อาทิตย์ที่กำลังจะถึงแค่ไม่กี่นาทีก็ยังดี เลยต้องเร่งถ่ายกันสุดๆ เวลากระชั้นชิดชนิดห้ามขาด ห้ามลา ห้ามตายกันทั้งกอง
(( ตารางแน่นขนาดนี้เขามีเวลาพักผ่อนเพียงพอหรือ ))
ไม่น่าเชื่อ แม่ของนิฌานห่วงสุขภาพของลูกชายด้วยเหรอเนี่ย แต่พอมองตารางงานที่ผมเพิ่งส่งให้เธอ...มันก็น่ากลัวมากจริงๆ
“ผมจะดูแลลูกชายของคุณให้ดีที่สุดครับ ไม่ต้องห่วง!”
ไฟแห่งความรู้สึกผิดลุกโชนอีกแล้ว ผมให้สัญญาอย่างมาดมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาดันเป็นเสียงหัวเราะซะงั้น เพราะไม่เห็นหน้า ผมเลยไม่รู้ว่าเธอขบขันด้วยความรู้สึกด้านบวกหรือด้านลบกันแน่
(( ลูกฉันคงงานยุ่งไปอีกหลายเดือน ))
“น่าจะราวๆ สองเดือนครึ่งได้ครับ”
(( โหมงานยาวเลยสิเนี่ย เขาแทบไม่มีวันหยุดตั้งแต่ตอนรับรางวัล Love After Death...ต่อบิวตี้เพอร์ฟูมแล้วยังมาเช็กเมทอีก ))
แม่ของนิฌานรำพึงรำพัน วันนี้มาแปลกมาก จนผมเลือกจะปิดปากเงียบเพราะกลัวใจอ่อนเข้า สายเลือดทองคำดีค่อนข้างอ่อนไหวเป็นพิเศษกับสายสัมพันธ์ครอบครัว
ที่สำคัญ ผมยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านิฌานกับแม่ของเขาขัดแย้งกันเรื่องอะไร จะบอกว่าเรื่องเงิน? ก็ไม่น่าใช่ในเมื่อฝ่ายนั้นพยายามสร้างเรื่องฉาวลดงานลูกชาย จะบอกว่าแค้นเคือง? ก็ดูไม่เข้าเค้าในเมื่อข่าวฉาวก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นบีบออกจากวงการ
(( ตั้งแต่บุกกองถ่ายครั้งล่าสุดเขาก็ไม่มาเจอหน้าฉันอีกเลย ไม่คุย ไม่ยุ่งเกี่ยว เหมือนเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน นับๆ ดูแล้ว...ก็หนึ่งปีพอดี ))
ผมลอบสะดุ้งในใจ แม่ลูกไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งปี ทั้งที่อยู่ในประเทศเดียวกัน จังหวัดเดียวกันเนี่ยนะ
(( โทรไปก็ไม่ยอมรับ ให้เธอฝากบอกว่าโทรกลับก็ไม่โทร สมฤดีไปตามมากินข้าวก็ไม่ยอมมา ฉัน...เฮ้อ ))
เสียงถอนหายใจนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเหงาหงอย ผมสับสนกับจุดยืนของแม่นิฌานจนเหงื่อตก
(( ถ่ายทำเช็กเมทตารางก็ไม่แน่นอน เกาะกระแสซีรีส์อันดับหนึ่งของช่องคงทำให้ได้งานต่อไปอีก...ฉัน...ควรจะดีใจกับลูกชาย แต่ฉัน...ก็ไม่อยากเห็นลูกผ่านโทรทัศน์ไปอีกปีโดยไม่ได้คุยกัน ))
คำพูดตัดพ้อนั้นช่างเสียดร้าว
(( นิฌานเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังบ้างหรือเปล่า ))
“เอ่อ เปล่าครับ” ผมเอ่ยอย่างระแวดระวังสุดขีด เรียกเสียงถอนหายใจอีกเฮือกจากหญิงวัยกลางคน
(( ตอนเด็กฉันบังคับเขารับงานมากเกินไป จนเขาไม่มีเพื่อน แถมเรียนจบช้ากว่ารุ่นเดียวกันอีก เขาโกรธฉันมาก จากนั้นก็ไม่ยอมให้แตะต้องเรื่องงาน แรกๆ ฉันก็ไม่ชอบใจหรอก อันที่จริงฉันก็ไม่เข้าใจ จนไม่เจอหน้าลูกมาตลอดหนึ่งปีเต็ม ))
ผมเงียบอีกครั้ง
(( ฉันคิดถึงลูก... ))
ผมขมวดคิ้ว พยายามหาความจริงใจจากประโยคนั้น
(( พวกเราสองแม่ลูกแตกหักกันเกินกว่าจะเข้าหากันดีๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงให้เขายอมเชื่อ ยอมให้อภัยความผิดพลาดในอดีต ))
“แต่คุณ...ก็ไล่ผู้จัดการเขาออกตลอดปีเลยไม่ใช่เหรอครับ”
(( ผู้จัดการพวกนั้นไม่ดี แค่ล่อด้วยเงินก็ทิ้งลูกชายฉันแล้ว กับคนพวกนี้จะไว้ใจได้ยังไง จริงมั้ย ))
เดี๋ยวๆ ไม่ใช่แค่เงิน แต่มีปืนด้วยนะ!
ราวอ่านใจได้ แม่นิฌานจึงไขข้อสงสัยทันควัน
(( ฉันยอมรับ ฉันไม่อยากให้ใครดูแลลูกชายของฉัน เพราะฉันอยากจะดูแลเขาเอง ฉันเป็นห่วงลูก อยากเจอหน้าเขา เลยใช้วิธีผิดๆ ข่มขู่ ))
ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ทำไมถึงเล่าให้ผมฟัง”
(( เพราะนิฌาน...ดูจะให้ความสำคัญกับเธอมาก ))
วินาทีนั้น ผมคล้ายตกไปอยู่ในถังน้ำแข็ง จบกันที่ปิดบังความจริงไว้!
(( เขารับเล่นเช็กเมทเพราะเธอใช่มั้ย ที่ไม่ไปงานเลี้ยง ไม่ควงผู้หญิงคนไหนอีก...ก็เพราะเธอใช่มั้ย ))
แล้วผมจะตอบว่า ‘ใช่! คุณแม่คิดถูกแล้วครับ!’ ได้ยังล่ะเฮ้ย
(( ถ้าเขาฟังเธอขนาดนั้น ฉันก็อยากจะขอร้อง... ))
รับรู้ได้ถึงลางร้ายบางอย่าง
(( ไม่ต้องให้มาที่บ้านก็ได้ แต่ฉันขอ...ขอให้เธอพาเขามากินข้าวกับฉันสักมื้อ ฉันอยากเจอลูกชาย อยากกินข้าวกับเขา อยากพูดคุยกันก่อนที่จะเริ่มถ่ายละครจนหาเวลาปลีกตัวไม่ได้ ))
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
(( ทำเพื่อหัวอกแม่คนนี้สักครั้งได้มั้ย เจตริน ))
ถ้านี่เป็นแผน ผมยอมรับเลยว่าช่างเป็นแผนที่มาเหนือ อย่างน้อยเธอก็เจาะประเด็นได้ตรงเผง ทั้งเรื่องผมรักครอบครัว และเรื่องที่นิฌานฟังผม
แต่ แต่ แต่!
เธอรู้เรื่องนิฌานตามจีบผมได้ยังไงทั้งที่ไม่เคยรายงานมาก่อน!
หรือจะเป็นสมฤดีนะ? แต่ผมมั่นใจว่าไม่ได้เผยพิรุธต่อหน้าเธอ ฉะนั้นเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่น่าวางใจ แม้ผมจะเผลอคล้อยตามไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่เพราะเพิ่งได้บทเรียนจากเช็กเมทหมาดๆ จะตัดสินใจอะไรก็รอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวไม่กล้ารับปากซี้ซั้วเหมือนที่ตกกับดักจอมมาร
“ขอผมคิดดูก่อนนะครับ”
พูดจบก็วางสาย ประจวบเหมาะกับนิฌานเดินมาหาพอดี
“น้องเจมาหลบร้อนในรถเหรอครับ ขอพี่เข้าไปนั่งด้วยสิ”
“ทีมงานจัดที่พักให้นักแสดงไว้ไม่ใช่เหรอครับ” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ปลดล็อกประตูเชิญชวนนิฌานเข้ามานั่งด้านใน พร้อมส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายดูทันที
เมื่อเห็นชื่อปลายสายคนที่กำลังขยับตัวหามุมนั่งพักสบายๆ ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันควัน
“แม่พี่อยากนัดกินข้าวแหน่ะ”
“งวดนี้มาแนวแม่บังเกิดเกล้าเหรอเนี่ย น้องเจใจอ่อนเลยสิ”
“ผมยังไม่ได้รับปากนะ!” ผมรีบบอกปัดอย่างร้อนตัว แต่ก็ไม่วายเหลือบมองคนข้างกายด้วยความสงสัยเปี่ยมล้นจนเก็บกักไม่ไหว “พี่ฌานไม่เจอแม่มาหนึ่งปีแล้วจริงๆ เหรอครับ”
“สายตาเรามองพี่เหมือนเป็นลูกอกตัญญูเลย”
“ผมเปล่า!” ผมส่ายหน้าถี่รัว
“เฮ้อ เรื่องของพี่กับแม่ลึกซึ้งน่ะ...จะให้อธิบายก็กลัวจะไม่เห็นภาพ งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน...” นิฌานส่งโทรศัพท์คืนให้ผม “ฝากน้องเจนัดกินข้าว บอกว่าพี่จะพาลูกสะใภ้ไปเปิดตัวแล้วกันครับ”
“จะดีเหรอครับ” ผมถามเขาอย่างไม่มั่นใจ คนที่อาการหนักจนขับรถเป๋เกือบเกิดอุบัติเหตุอย่างเขาไหงจู่ๆ ก็ยอมพบหน้าผู้ให้กำเนิดง่ายดายขนาดนี้
“จะดีเหรอนี่หมายถึงเรื่องนัดเจอหรือเรื่องลูกสะใภ้ล่ะ”
“ก็ต้องอย่างแรกสิ!” ผมน่ะชินแล้วกับการพูดหยอกที่ต้องตัดทอนหารสองลบสามของเขา
“พี่ไม่อยากให้น้องเจเข้าใจผิด และไม่อยากให้น้องเจคิดเองเออเองจนจุกอก ก็เราน่ะคิดมากคิดเยอะจะตายไป แถมยังคิดเผื่อคนอื่นไม่ใช่เรื่องตัวเองอีกต่างหาก ดูสิ ขมวดคิ้วอีกแล้ว เอ๊ะ นี่รอยอะไร ทำไมมันแดงๆ...”
นิฌานที่เอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมถือโอกาสเปิดหน้าม้ามองรอยแดงอย่างงุนงง
แล้วผมจะกล้าตอบได้ไงว่านั่นเป็นรอยหัวโขกเตียง!
ผมผู้คิดมาก ซึ่งถูกผู้ไม่คิดอะไรเลยสองคนไล่ต้อนในวันเดียวกันทำได้แต่ปิดหน้าม้าลงแล้วชี้นิ้วไล่ให้นิฌานไปทำงานได้แล้ว
“อย่าลืมโทรนัดคุณแม่ด้วยนะครับคุณลูกสะใภ้คนใหม่แห่งบ้านชาญชัย”
“รู้แล้วน่า” ผมเออออขอไปที มองเมินประโยคหลังแล้วก้มหน้าปลุกปล้ำกับตารางที่แน่นเอี๊ยด จะนัดหลังเลิกงานช่วงสามทุ่มก็ยังได้แต่ผมคิดว่าการจำกัดเวลาน่าจะดีต่อตัวเองและนิฌานมากกว่า หากคุยกันไม่รอดยังพอมีข้ออ้างปลีกตัว เลยเลือกช่วงพักสั้นๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงตอนห้าโมงครึ่ง ถ้านัดใกล้ๆ กับบริษัทคงไม่มีปัญหา
แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาจากอย่างอื่นรึเปล่านี่สิ!
-----------------
เราเชื่อว่าหลายคนคิดถึงพี่จิคนดีมากกว่านิฌาน 555
แต่นิฌานเองก็ขยันทำคะแนนมากขึ้นทุกตอนแล้วนะคะ! น้องเจเองก็เริ่มไม่ค่อยขัดแล้ว ออกแนวเออออไม่ได้ยินแทน กลัวจะไปทำร้ายน้ำใจคนใช้กลยุทธ์ใจแลกใจเข้า แหมมมม อยากจะแหมถึงดาวอังคารเลยค่ะ 555
แฮชแทค #น้องเจที่น่าลัก -> ทวิต @MajaYnaja
เพจนักเขียนที่อยากจะเป็นหมอนรองหัวน้องเจตอนโขกเตียง