ตอนที่ 29 : เปิดเทอมวันแรก
ผมมีเรียนคาบแรกตอนเก้าโมงเช้า
แต่กว่าจะถึงห้องก็ปาไปแปดโมงห้าสิบนาที นักศึกษาหลายคนจับจองที่เป็นหย่อมๆ แยกกลุ่มกันอย่างชัดเจน ผมกวาดตามองหาเพื่อนสนิท ก่อนจะเจอติ๋มที่นั่งกางสมุดเตรียมพร้อมอยู่คนเดียวแบบโดดเดี่ยวผู้น่ารักตรงที่นั่งหน้าสุด
ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างติ๋มอย่างไม่ลังเล มากคนก็มากความ ได้นั่งสงบๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะมหาลัยไม่มีการบังคับที่นั่งเหมือนสมัยมัธยม นักศึกษาส่วนใหญ่จึงมักเว้นที่ด้านหน้าไว้คล้ายกลัวอาจารย์เพ่งเล็ง
จากโดดเดี่ยวผู้น่ารัก เลยกลายเป็นคู่หูดูโอ้หน้าสุดที่ต่างสไตล์โดยสิ้นเชิง
ติ๋ม...ดูติ๋มสมชื่อ กระดุมติดถึงเม็ดบนสุด แขนเสื้อกลัดเรียบร้อย เนกไทผูกชิดติดคอ กางเกงดึงสูงเหนือสะโพก ส่วนผม..ปลดกระดุมเม็ดบนสบายๆ พับแขนเสื้อขึ้นมาเพราะร้อน เนกไทดึงลงหลวมๆ ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง
“สะ...สวัสดี” อาจเพราะประทับใจกับครอบครัวทองคำดี ติ๋มจึงเป็นฝ่ายทักผมก่อนด้วยท่าทางเป็นมิตร
“อืม สวัสดี” ผมหยิบสมุดขึ้นมาเตรียมจดเหมือนติ๋ม แม้ภาพลักษณ์จะต่างกัน แต่เราทั้งสองต่างรักเรียนกันทั้งคู่...ไม่ใช่อะไร ต้องรักษาเกรดเพื่อทุน!
เพราะเป็นสองคนหน้าสุดเลยค่อนข้างเด่น หลายคนเลือกทักทายผมมากกว่าติ๋ม แต่โทษที เพื่อนสนิทขอมีคนเดียวก็พอ ผมหยิบหูฟังขึ้นสวมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่สนใจ เดิมทีถ้าไม่ใช่ว่ามีเหตุจำเป็นอย่างเรื่องงานหรือครอบครัว ผมก็ไม่ใช่คนช่างพูด ช่างคุย หรือเริ่มบทสนทนาก่อนอยู่แล้ว
ผมมันคนขี้ระแวง กลัวจะโดนเอาเปรียบหรือหาเรื่องกัน อย่างขอลอกการบ้านงี้ ขอยืมเงินงี้ ถ้าเพื่อนเยอะก็ต้องไปเที่ยวเล่น ดูหนัง สังสรรค์กันอีก ไม่เอาล่ะ ผมขออยู่สงบๆ กับติ๋มดีกว่า
ไม่นานอาจารย์ก็มาถึง เพราะเป็นวันแรก บรรยากาศเลยไม่ค่อยเครียดมากนัก ออกแนวให้แต่ละคนค่อยๆ ปรับตัวมากกว่า จะว่าไปการสอนก็ให้อารมณ์คล้ายตอนมัธยมอยู่เหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงที่เป็นอิสระกว่า และเจอผู้คนเยอะกว่า เพราะต้องย้ายห้องเรียนตลอดเวลา ทำให้เจอเพื่อนไม่ซ้ำหน้ากันเลย
อาจเพราะเลขประจำตัวใกล้กัน ผมกับติ๋มเลยมักเจอกันแทบทุกคลาส คนหนึ่งเนิร์ดเหลือเกิน อีกคนก็ส่งรัศมีอย่ามายุ่ง ไปไกลๆ นะชิ้วๆ พวกเราสองคนเลยถูกสังคมทอดทิ้ง พักเที่ยงก็ไปกินข้าวด้วยกัน
“แหวะ มะระขมชะมัด ติ๋ม กินมั้ย”
เห็นโรงอาหารมหาลัยมีแกงจืดต้มมะระ ผมติดใจกับรสชาติร้านหน้าปากซอยสุดโปรดของนิฌานเลยลองสั่งมา ผลคือ...ขมปากจนหน้าเบี้ยว
ติ๋มเห็นผมที่ตีหน้านิ่งมาตลอดวัน จู่ๆ หน้าเบี้ยวปากเบี้ยวเพราะมะระมีหรือจะกล้ากิน รีบส่ายหน้ารัวๆ ประหนึ่งอาหารจานนี้คือยาพิษร้ายแรง
ผมปาดน้ำตา คิดในใจว่าต้องฟ้อง!
- ไม่อร่อยเลย ขมจนผมน้ำตาไหล เกลียดมะระแล้ว! -
พิมพ์เสร็จก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่านายเจตรินคนนี้อุตส่าห์เริ่มหันมาชอบมะระแต่ดันโดนทรยศกันได้ลงคอ หลังจากนี้คงจะฝังจิตฝังใจ ไม่กล้ากินอีกแน่ๆ ฮึ่ม ได้ฟ้องแฟนก็ค่อยยังชั่วหน่อย ผมเดินไปสั่งของหวานมาล้างปาก ขณะที่ติ๋มมองตามตาปริบๆ
“แฟนเราไง” ผมย้ำ เมื่อเห็นติ๋มสงสัยว่าผมคุยกับใคร “ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเรามีแฟน”
พูดจบก็ดูผลตอบรับ แต่แฟนไม่อ่านไม่ตอบ สงสัยติดถ่ายเช็กเมท
ผมเก็บโทรศัพท์แล้วหยิบตารางเรียนขึ้นมาดูแทน ติ๋มนั้นค่อนข้างเงียบ ไม่เซ้าซี้ไม่ซักถาม ซึ่งดีมาก เพราะถ้าเขาถามขึ้นมาว่าแฟนคือใคร ผมก็บอกไม่ได้เต็มปากว่าคือนิฌาน ชาญชัย
กินน้ำแข็งไสเสร็จพวกเราก็หาห้องเรียนกันต่อ เพิ่งมาวันแรกเลยไม่ชิน เดินขึ้นเดินลงหลงกันสนุกเชียวล่ะ มารู้ตัวอีกทีว่านิฌานส่งข้อความตอบกลับเอาตอนเปลี่ยนคลาส เขาถามว่ามาค้างที่ห้องวันเสาร์นี้มั้ย จะได้กินแกงจืดมะระเจ้าอร่อยล้างปาก
- หรือถ้ายังไม่หายขม ล้างด้วยปากพี่ก็ได้นะครับน้องเจ σ(≧ε≦o) -
ผมอ่านแล้วหลุดยิ้มกับไอ้ประโยคสุดกะล่อนของแฟน เมื่อก่อนฟังแล้วเพลียใจยังไง วันนี้ก็ยิ้มอ่อนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือชวนขำมากขึ้น
- ตกลงครับพี่ฌาน -
แฟนไม่อ่านไม่ตอบอีกครั้ง นี่สินะที่เขาว่ากันว่าเวลาไม่ตรงกัน ผมโคลงศีรษะ ก่อนจะเดินตามหลังติ๋มไปห้องประชุมเล็กที่แยกตามคณะ ตอนเรียนพวกเรานั่งหน้าสุด แต่พอทำกิจกรรมพวกเรานั่งหลังสุด
ครับ เลิกเรียนแล้วแต่ไม่วายโดนเรียกรวมตัวรับน้อง อย่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าจะมีการว๊ากอะไรทำนองนั้น ผมเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เลยออกแนวสันทนาการ ร้องเพลง เต้นรำกันมากกว่า ส่วนใหญ่ก็ให้เด็กปีหนึ่งมาแนะนำตัว ละลายพฤติกรรมกัน
ผมปรบมือเนียนไปกับเพื่อนๆ พยายามทำตัวให้จืดจางมากที่สุด ถ้าเลือกได้กลายเป็นแผ่นกระเบื้องก็ยิ่งดี วันแรกจบลงที่การเสนอชื่อดาวเดือนประจำคณะ และรับคำใบ้ให้หารุ่นพี่รหัสของตัวเอง
ในชีวิตจริงไม่ค่อยมีคนจริงจังกันมากหรอกครับ อย่างคนในคณะผมเอง พอเห็นคำใบ้ก็โยนทิ้ง เพราะไม่ใช่กิจกรรมบังคับ สุดท้ายเมื่อหมดเวลาแล้วหากันไม่เจอ รุ่นพี่ก็ต้องเฉลยอยู่ดี
เหอๆ ให้หารุ่นพี่ที่กระจายตัวรอบมหาลัย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเออ!
ระยะเวลาบังคับคือสองสัปดาห์ คนที่หาเจอจะรวมกันไปกินเลี้ยงฉลองโดยมีรุ่นพี่ออกค่าใช้จ่ายแบบไม่อั้น เรียกว่าเอาของฟรีมาล่อนั่นเอง
ส่วนตัวผมไม่ใช่เด็กกิจกรรม และไม่ชอบความวุ่นวาย ถ้าไปกินเลี้ยงก็ต้องมีพวกเหล้าเบียร์ปาร์ตี้แน่นอน เลยเป็นหนึ่งในคนที่โยนคำใบ้ทิ้ง
ติ๋มมองผมอึ้งๆ
พวกเราถูกปล่อยตัวตอนหกโมง แต่ละคนพากันแยกย้าย สาวๆ จับกลุ่มคุยสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกผู้ชายเน้นเฮฮาชวนไปกินเหล้า ไม่ก็เตะบอล ผมบอกปัด เพราะแม่ทำข้าวเย็นรออยู่ที่บ้าน
ก็นี่แหละครับชีวิตมหาลัยแสนจืดชืดของผม
ห้าทุ่มตรง นิฌานโทรหาตรงเป๊ะราวตั้งเวลา
ตอนแรกแฟนก็กระตือรือร้นกับการเปิดเทอมวันแรกของผมอยู่หรอกนะ แต่พอฟังผมเล่าจบภายในสามนาที นิฌานก็เป็นฝ่ายเล่าขึ้นมาแทน
(( ไม่รู้อะไรซะแล้วน้องเจ ตอนพี่เข้ามหาลัยปีแรก ถูกโหวตให้เป็นเดือนคณะด้วยคะแนนท่วมท้นจนกลายเป็นประวัติศาสตร์เลยนะ! ))
“ก็พี่เป็นดารา มันแปลกตรงไหนอ่ะ” ผมถามเสียงเรียบเรื่อย การบ้านทำเสร็จไปตั้งแต่สามทุ่ม เลยนอนกลิ้งเล่นรอแฟนโทรมาอยู่นานแล้ว
ส่วนนิฌานน่าจะเพิ่งกลับถึงห้อง เพราะเขาอยู่ในชุดไปรเวท ยังไม่ทันล้างเครื่องสำอางเลยด้วยซ้ำ
(( โธ่ น้องเจตื่นเต้นกับพี่หน่อยก็ไม่ได้ )) คนตัวโตว่าอย่างน้อยใจ (( ที่พี่เล่าเพราะว่าพี่ปฏิเสธไปครับ ก็ตอนนั้นเวลาเข้าเรียนยังแทบไม่มี จะไปร่วมกิจกรรม ซ้อมการแสดงเตรียมประกวดเอาตอนไหน พูดแล้วก็เสียดาย...น้องเจเกือบมีแฟนเป็นเดือนมหาลัยแล้วนะเนี่ย ))
“จะเป็นเดือนหรือไม่เป็น พี่ฌานก็เป็นแฟนผมอยู่ดีนี่”
(( น่ารักมากครับ ถ้าอยู่ใกล้ๆ นะจะจับฟัดแก้มให้หายคิดถึง )) นิฌานมองผมอย่างมันเขี้ยว วันนี้พี่จิไปค้างบ้านเสี่ย เลยคอลวีดีโอกันสะดวก (( ไม่สิ พี่โดนน้องเจทำเป๋แล้วไง น้องเจครับ ที่พี่ยกเรื่องนี้มาพูดเพราะอยากให้น้องเจใช้ชีวิตวัยรุ่นให้สนุกต่างหาก อย่าติดบ้าน ติดพี่ ติดเรียนเลย มีกิจกรรมอะไรก็ลองทำดู ลุยให้เต็มที่ ถึงจะยุ่งยากไปบ้างแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่หาอีกไม่ได้แล้ว นักศึกษาปีหนึ่งเป็นได้แค่ครั้งเดียวนะครับ ))
“แต่สนิทกับรุ่นพี่ไม่เห็นจะได้ประโยชน์ตรงไหน บทเรียนผมก็ทบทวนเองได้ ไม่ต้องให้ใครติวใครสอน แถมพอนัดเจอก็มีกินเลี้ยง กลับบ้านดึก ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง พวกเพื่อนๆ เองพอเรียนจบก็แยกย้าย ไม่เห็นจะมีใครคบกันได้นาน”
(( น้องเจมองโลกในแง่ร้ายจริงๆ )) นิฌานถอนหายใจเฮือก (( เด็กดีที่ช่วยกล่อมพี่เรื่องแม่หายไปไหนครับ ทำไมพอเป็นเรื่องนี้ถึงปิดตัวเองจัง น้องเจอายุสิบแปดเองนะ ใช้ชีวิตให้สมวัยหน่อย! ))
นิฌานพยายามปลุกใจ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง นี่มันใช้ไม้แข็งแล้วต่อด้วยไม้อ่อน! แค่กล่อมผมต้องขนาดนี้เลยเหรอ จริงจังไปมั้ยครับคุณแฟน!
(( ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย ถ้าน้องเจไม่ชอบค่อยถอยก็ได้ พี่ขอแค่ให้น้องเจลองเปิดใจคุยกับเพื่อนๆ ทำกิจกรรมกับรุ่นพี่ ความสุขแบบครอบครัว ความสุขแบบคนรัก กับความสุขตอนอยู่กับเพื่อนๆ ที่มหาลัย มันไม่เหมือนกันนะ ))
ผมนิ่งเงียบไม่ตอบ
(( หรือไม่ก็คิดซะว่าสนุกแทนส่วนที่พี่ย้อนกลับไปแก้ไม่ทันก็ได้ นะครับ ))
“ก็ได้...ครับ” ผมยอมตกลงในที่สุด ถ้าพ่อแม่และพี่จิได้ยินคงดีใจ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายพยายามเข็นผมให้ออกสู่โลกกว้าง เลิกอยู่ในวัยต่อต้านตั้งนานแล้ว
ฮึ่ม ผมไม่ใช่วัยต่อต้านสักหน่อย แค่พอใจในสิ่งที่มีอยู่เลยโลกแคบไปสักนิด เก็บตัวมากไปสักหน่อยต่างหาก!
เที่ยวเล่นกับเพื่อนก็ต้องใช้เงิน กินเลี้ยงกับรุ่นพี่ก็ต้องใช้เงิน ทำกิจกรรมคณะ ก็ต้องใช้เงิน...
นับๆ นิ้วดูแล้วก็หน้าดำคร่ำเคร่ง ผมกลับคำดีมั้ยเนี่ย
(( รับปากแล้วห้ามคืนคำนะน้องเจ ไม่งั้นพี่จะฟ้องคุณแม่ด้วย ))
“ฟ้องแม่ใครครับพี่ฌาน”
(( ก็ทั้งแม่พี่และแม่น้องเจนั่นแหละ! ))
มองดูความเปลี่ยนแปลงของคนที่เมื่อก่อนแม้แต่เรียกแม่ยังไม่กล้าเอ่ย หรือพอผมหยิบยกเรื่องสะพานเชื่อมทีไรก็โยกโย้บ่ายเบี่ยง แต่ตอนนี้กลับพูดถึงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมก็เริ่มคิดว่า...ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างจะดีมั้ยนะ
อย่างที่ทั้งพี่จิ นิฌาน และพ่อแม่พูดนั่นแหละ ลองดูก็ไม่เสียหาย ชีวิตมีครั้งเดียว เอาแต่ระแวงก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ถ้ามัวแต่คิดมากก็คงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ใช้ชีวิตให้คุ้ม ลองกันสักตั้งสิน่า!
แล้วปฏิบัติการตามหารุ่นพี่รหัสก็เริ่มต้น!!
คำใบ้รุ่นพี่รหัสของผมคือ ‘หน้าตาดีมาก สาวรักสาวหลงทั้งประเทศ’
...เข้าใจที่ผมขยำทิ้งแล้วใช่มั้ยล่ะครับ
แค่อ่านคำใบ้ก็ปวดหัวแล้ว แต่ในเมื่อรับปากแฟนว่าจะสนุกกับชีวิตมหาลัยให้เต็มที่ หลังเลิกเรียนตอนบ่ายสาม ผมกับติ๋มก็เดินตรงไปโต๊ะคณะอันเป็นที่จับกลุ่มของพวกรุ่นพี่ ความลำบากอยู่ที่...รวมหมดทั้งปีสองถึงปีสี่ คนเยอะมาก! ละลานตาสุดๆ!
แล้วยังไม่นับบางส่วนที่ไปนั่งปนกับคณะอื่นด้วยนะ ผมหมดไฟ หมดแรง ไม่รู้ว่าจะเหนื่อยเพื่อพี่รหัสที่สุดท้ายก็เฉลยทำไม แต่นิฌานเหมือนรู้ทัน ส่งข้อความมาดักผมตอนกำลังจะเลี้ยวกลับบ้านพอดี
- น้องเจครับ พี่รอน้องเจเล่าเรื่องวันนี้นอกจากเรื่องเรียนกับเรื่องติ๋มอยู่นะครับヽ(^Д^)ノ -
อีโมติค่อนสุดกระดี๊กระด๊านี้....ฮึ่ม เอาวะ! มาถึงนี่แล้วก็ต้องลุยเท่านั้น แต่...
“ติ๋ม คำใบ้นายคือไรอ่ะ”
ขอเริ่มจากเพื่อนข้างตัวก่อนแล้วกัน กลยุทธ์รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งต้องเริ่มจากการเก็บข้อมูล ฉะนั้นผมจะส่งติ๋มเป็นตัวตายตัวแทน เอ๊ย ส่งไปเป็นหน่วยกล้าตาย เดินเข้าหากลุ่มรุ่นพี่อันน่าสะพรึง
ความจริงติ๋มไม่กล้ามาคนเดียวอยู่แล้ว เมื่อเห็นผมอยากช่วย ก็รีบส่งกระดาษคำใบ้มาทันที เดี๋ยวนะ ‘ม้าโพนี่คือของรัก’ คือคำใบ้เหรอ...จะเกี่ยวข้องกับ...รุ่นพี่ผู้หญิงที่ห้อยกระเป๋าลายม้าโพนี่สีชมพู...ที่กำลังเดินผ่านพวกเรามั้ยนะ
“ลุยเลยติ๋ม!”
ไม่รอช้า ผมรีบดันหลังติ๋มไปขวางหน้ารุ่นพี่กับแฟนหนุ่มของเธอก่อนจะคลาดกันทันที เพราะกะทันหันเกินไป ทั้งติ๋มทั้งรุ่นพี่ทั้งสองเลยพากันผงะ เห็นติ๋มก้มหน้าอึกอัก ผมก็รู้ว่าเขาคงประหม่าจนติดอ่างอีกแล้ว เลยเดินไปให้กำลังใจอยู่ข้างๆ สะกิดให้ติ๋มส่งกระดาษคำใบ้แก่เป้าหมาย
หลังสะกิดไหล่ติ๋มไปสามที ติ๋มก็ตั้งสติสำเร็จ รุ่นพี่สาวซึ่งสะพายกระเป๋าลายม้าโพนี่สีชมพูเมื่อรับไปอ่านก็ตาประกายวาว กลั้นยิ้มไม่ไหว ยอมเฉลยออกมาแต่โดยดี
“ใช่จ้ะ พี่เป็นพี่รหัสของติ๋มเองนะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
...เสร็จแล้วเหรอ ติ๋มทำภารกิจสำเร็จแล้วเหรอ!?
ผมเหมือนถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่คนเดียวชอบกลเมื่อพี่รหัสชวนติ๋มคุยอย่างดีใจที่หาตัวเจอไวขนาดนี้ ติ๋มเองก็ตอบรับเป็นพักๆ คงเขินอายเมื่อคุยกับสาวสวย
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” เพราะเห็นว่าเธอท่าทางเป็นมิตร ผมเลยตัดสินใจขอความช่วยเหลือ “รุ่นพี่พอจะรู้จัก...คนที่หน้าดีที่สุดในคณะนี้ สาวรักสาวหลงทั้งประเทศมั้ยครับ”
พลันรุ่นพี่สาวหัวเราะพรืด ตบไหล่แฟนหนุ่มข้างๆ ตัวเธออย่างขบขัน
ผมเลื่อนสายตาไปมองแฟนหนุ่มคนนั้นทันที รูปร่างอ้วนกลม หัวโล้น ตัวโต มองแล้วเหมือนตุ๊กตาหมี น่าจะกอดอุ่นในหน้าหนาวนะ
“ถ้าหมายถึงคนหน้าตาดีที่สุดในคณะล่ะก็...ต้องคนนี้เลยจ้ะ” รุ่นพี่สาวเปิดรูปให้ดูภาพของดาราคนหนึ่งที่ผมพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง “แต่เขาทำงานไปเรียนไป เทอมนี้ก็ลงวิชาไม่เยอะ ผลุบๆ โผล่ๆ หาตัวยากหน่อยนะ”
“ขอบคุณมากครับ!” ผมยกมือไหว้อย่างมารยาทงาม เริ่มมีไฟเมื่อได้เบาะแสที่ต้องการ ก่อนจะลากติ๋มไปถามหาดาราคนนั้นด้วยกัน แต่...ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะไม่มาเรียน
ไม่เป็นไร วันหน้ายังมี เจตรินสู้ตาย!
สี่วันผ่านไป ผมดักหน้าดาราว่าที่รุ่นพี่รหัสผมสำเร็จ
อย่าให้เล่าเลยว่ายากลำบากขนาดไหน ก็พี่แกผลุบๆ โผล่ๆ เดี๋ยวมาเรียนตอนเช้าแวบไปถ่ายงานช่วงบ่าย มาอีกทีตอนเย็นแล้วก็หายตัวไป ผมจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ต้องขอบคุณความปรารถนาดีของเหล่ารุ่นพี่ที่เห็นผมวิ่งวุ่น จึงช่วยบอกตารางเรียนของดาราคนนั้น แล้วพาผมไปยืนดักถึงหน้าห้องเรียน!
ซาบซึ้งมากครับ โลกนี้ยังมีคนมีน้ำใจอยู่อีกเยอะสินะ
แต่...
“พี่ไม่ใช่พี่รหัสน้องนะครับ ผิดคนแล้วล่ะ” ดาราคนนั้นยิ้มเจื่อนอย่างกระอักกระอ่วน เมื่อเห็นผมหน้าซีดคลับคล้ายจะเป็นลมก็รีบเสนอทางช่วย “ถ้าคนหน้าตาดีล่ะก็...อาจจะหมายถึงเดือนปีสองก็ได้นะ ตอนปีหนึ่งพี่ไม่ได้ลงประกวดเพราะติดงาน เลยไม่นับว่าเป็นคนหน้าตาดีที่สุดในทางพฤตินัย น้องลองไปหาคนนั้นดูนะครับ”
สี่วันที่ไร้ค่า...แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแสงสว่างปลายอุโมงค์ อย่างไรซะเดือนปีสองก็หาเจอง่ายกว่าดาราคนนี้ แต่พอผมวิ่งหอบแฮกเข้าไปหาทางนั้นกลับรีบปฏิเสธทันควัน
“น้องรหัสพี่คือผู้หญิงต่างหาก ผิดคนแล้วล่ะไอ้น้อง”
เสมือนโลกถล่มดินทลาย ผมทำอะไรผิดทำไมถึงหาพี่รหัสไม่เจอสักที! ตอนเข้าคลาสเรียน เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนก็เริ่มหากันเจอแล้ว ผมมองกลุ่มผู้หญิงแล้วนึกลังเล สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปถามว่าในบรรดารุ่นพี่ปีสองทั้งหมดพวกเธอชอบใครมากที่สุด
รายชื่อนั้นเยอะมาก ผมกับติ๋มแยกกันหาเพื่อความรวดเร็วในการดักจับ นี่มันปฏิบัติการอะไรกันเนี่ย พวกเพื่อนๆ ในห้องที่อยากสนิทสนมกับผมอยู่แล้ว พอเห็นผมเริ่มเป็นฝ่ายมาคุยด้วย ก็เสนอตัวช่วยหาคนตามใบรายชื่อกันอีกทาง แต่ทุกคนครับ...รุ่นพี่รหัสผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น!!
แล้วปริศนารุ่นพี่รหัสของนายเจตรินก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถกเถียงกันมากที่สุดของเหล่าเฟรชชี่ปีหนึ่ง
คนที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก เห็นใจถึงขนาดช่วยรวบรวมรายชื่อรุ่นพี่ที่มีน้องรหัสแล้วเพื่อตัดตัวเลือกออกให้ผม เพียงพริบตา โทรศัพท์ของผมก็มีเบอร์เต็มไปหมด สนิทกันไวยิ่งกว่าตอนทำกิจกรรมสันทนาการอีก
อย่า อย่าคิดว่าทั้งหมดจะเป็นเพื่อนแท้เพื่อนตาย ทุกคนแค่อยากหาเรื่องสนุกๆ ก็เท่านั้น แล้วเผอิญ...ว่าคำใบ้ของผมนั้นทั้งน่าสนุกและน่าท้าทาย เทียบกับการเรียนแสนตึงเครียด หรือการปรับตัวกับมหาลัยแล้ว เลยกลายเป็นวาระแห่งชาติซะงั้น
แต่เวลาไม่ปรานีใคร แค่อึดใจหนึ่งก็ครบกำหนดสำหรับการหารุ่นพี่รหัส ผมเริ่มท้อ ติ๋มเองที่ช่วยวิ่งวนไปกับผมด้วยก็เริ่มเหนื่อย วันสุดท้ายนี้...เราตัดสินใจช่างมันแล้ว!
“ไม่เป็นไรน่าเจ เดี๋ยวพวกเราเลี้ยงไอติมเอง!”
เพื่อนร่วมคณะที่เป็นสักขีพยานความพลิกแผ่นดินหาพี่รหัสของผมปลอบใจ เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบกลับบ้านดึก เลยเลือกกันหารเงินเลี้ยงไอติมใกล้มหาลัยแทน
แต่ไม่ทันจะยกพวกบุกร้าน รุ่นพี่รหัสของติ๋มกับแฟนหนุ่มของเธอกลับยืนรออยู่ใต้ตึกคณะ
“จะไปไหนกันเหรอจ๊ะ คนเยอะเชียว”
“เอ่อ...พวกเราจะเลี้ยงไอติมปลอบใจไอ้เจกันน่ะครับ”
“อ้าว ตัดใจแล้วเหรอจ๊ะ” รุ่นพี่รหัสของติ๋ม เป็นหนึ่งคนที่ติดตามผลอย่างเอาใจช่วยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ “น่าเสียดายจังเลย เนอะเดช”
ที่แท้แฟนของเธอก็ชื่อเดชนี่เอง...
เดี๋ยวนะ!“มีใครในคณะเราเป็นน้องรหัสของพี่เดชรึยัง” ผมกระซิบกับติ๋ม ติ๋มหันไปกระซิบกับเพื่อนข้างๆ เพื่อนข้างๆ ก็กระซิบต่อกันเป็นทอดๆ เสมือนวาระแห่งชาติที่ต้องปิดเงียบแต่ส่อพิรุธกันต่อหน้ารุ่นพี่เลยทีเดียว เมื่อได้คำตอบ คนหลังสุดก็กระซิบไล่ย้อนกลับมาที่ติ๋มและผมอีกครั้ง
ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า...ไม่มี!
“ขอโทษนะครับรุ่นพี่” ผมเดินออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เงยหน้าถามรุ่นพี่หุ่นตุ๊กตาหมีอย่างไม่มั่นใจนัก “รุ่นพี่ชื่อจริงว่าอะไรเหรอครับ”
พลันรุ่นพี่ฉีกยิ้ม ก่อนจะตอบออกมาว่า... “ฌเดช”
วินาทีนั้น เหมือนระฆังแห่งความสำเร็จก้องกังวาน
“รุ่นพี่คือพี่รหัสผมใช่มั้ยครับ”
“ใช่ ในที่สุดก็รู้ตัวสักทีนะ”
ใต้ตึกคณะนิเทศเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนผมจะตะโกนลั่น จากนั้นทุกคนก็พากันเป็นบ้า เหมือนค้นพบความลับระดับโลก
ที่แท้หน้าตาดีมาก สาวรักสาวหลงทั้งประเทศ ไม่ได้หมายถึงตัวรุ่นพี่รหัส แต่หมายถึงชื่อของรุ่นพี่ที่เหมือนดาราซึ่งหน้าตาดีมาก สาวรักสาวหลงทั้งประเทศ!
ผมน่าจะฉุกใจตั้งแต่คำว่าประเทศแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นักศึกษามหาลัยจะมีคุณสมบัติข้อนี้ใช่มั้ยล่ะครับ ติ๋มกระโดดกอดผมน้ำตาปริ่ม เพื่อนแต่ละคนก็ไชโยโห่ร้อง ถึงขนาดโทรหาคนที่ไม่ได้มาเป็นสักขีพยาน ว่าในที่สุด ปริศนาของนายเจตรินก็ถูกไขในวันสุดท้ายก่อนเส้นตายพอดี!
อะไรจะโอเวอร์ขนาดนั้นเนี่ย ผมทั้งฉุนทั้งขำ ฉุนเพราะรหัสคำใบ้ของตัวเองซับซ้อนกว่าคนอื่นหลายเท่า แต่ก็ขำ เพราะถ้าไม่ใช่คำใบ้นี้ เหตุการณ์รวมแรงรวมใจ ท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ก็คงไม่ส่งผลกระทบออกมาสุดโต่งขนาดนี้
“แล้วเจอกันในงานเลี้ยงสายนะจ๊ะน้องเจ” รุ่นพี่ของติ๋มยิ้มหวาน เธอคงสงสารผมละมั้ง ถึงได้พาตัวคุณแฟนมาเยือนถึงที่ กะให้ผมรู้ตัวสักที
“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้เธอและรุ่นพี่รหัสของตัวเอง ก่อนจะโดนเพื่อนๆ ลากไปกินไอติม เปลี่ยนจากเลี้ยงปลอบใจ เป็นเลี้ยงฉลองซะแทน
นับเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด สบายใจที่สุด และสนุกที่สุดตั้งแต่เข้ามหาลัยเลย!
(( เป็นไงบ้างครับน้องเจ คุ้มมั้ยครับ ))
“คุ้มครับ เพื่อนๆ ทุกคนช่วยกันมากเลย แม้หลายคนจะไม่รู้จักกัน แต่ก็มารวมตัวกันเพราะอยากไขปริศนาคำใบ้ ถึงหลังจากนี้...จะมีเรื่องขัดแย้ง เถียงกันเรื่องเรียน โดนยืมเงินแล้วไม่คืน โดนโบ้ยงานกลุ่มให้ทำ ไม่สนิทสนมหรือคุยเล่นเฮฮาเท่าเดิม แต่อย่างน้อยวันนี้ก็คุ้มมาก สนุกมากครับ”
(( เห็นน้องเจยิ้มกว้างพี่ก็ดีใจ )) นิฌานพยักหน้ารับหงึกหงัก (( แม้น้องเจจะยังระแวง คิดมากคิดเยอะ มองโลกในแง่ร้าย แต่หัดเปิดใจ รับประสบการณ์ใหม่ๆ แบบนี้ พี่ก็ดีใจมากๆ เหมือนกันครับ ))
“ขอบคุณนะพี่ฌาน” ผมเอ่ยกับคนรัก เพราะวันนี้พี่จิอยู่บ้าน ผมเลยต้องแอบมานั่งคุยในห้องน้ำ พี่ชายไม่ได้ห้ามคุยกับแฟนหรอกนะ แต่ผมไม่อยากโดนล้ออ่ะ!
แล้วนั่น...พี่จิเคาะประตูทำไม
“เจ พี่ปวดอึ! ข้าศึกบุกชิดประตูเมืองแล้ว!!”
เสียงตะโกนของพี่จิคนดีลอดเข้าไปในโทรศัพท์ด้วย นิฌานหัวเราะร่วน ยิ้มบอกกับผมว่าราตรีสวัสดิ์
“ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ฌาน” ผมพูด นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “รักพี่ฌานนะครับ”
ปลายสายชะงักเล็กน้อย ก่อนจะมองผมด้วยตาประกายวาวแห่งความยินดี
(( รักน้องเจเหมือนกันครับ ))
เสียงประตูยังเคาะไม่ยั้ง ไม่ทันให้ได้ซึมซาบความรักและคิดถึงเลยสักนิด พอเดินออกจากห้องน้ำ พี่จิก็รีบถลาหาโถส้วมทันที ผมถอนหายใจเฮือก ทิ้งตัวนอนพร้อมดึงผ้าห่มคลุมให้เรียบร้อย
พวกเราคบกัน นิฌานเป็นคนดีขึ้น ส่วนผมก็โตขึ้น
ผมรู้วีธีเป็นสะพานเชื่อมให้เขา นิฌานเองก็รู้วิธีเกลี้ยกล่อมผมที่ขนาดครอบครัวยังทำไม่ได้
ถือว่าเลือกคนรักไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ กับนิฌาน ชาญชัยคนนี้
-------------
ตอนนี้เป็นตอนที่ค่อนข้างเรียบเรื่อย ฟีลแปลกใหม่จากตอนอื่นๆ แต่เป็นตอนที่เราชอบมากนะคะ เพราะได้เห็นน้องเจในมุมของเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้กระตือรือร้นกับงาน ช่วยเหลือนิฌาน แต่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบไม่สนใจใครสุดๆ น้องเจเนี่ยความจริงแล้วเป็นคนค่อนข้างขวางโลกนะ จะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นวัยต่อต้านก็ไม่แปลก 555
น้องเจเปลี่ยนนิฌาน นิฌานเองก็เข้ามาเปลี่ยนน้องเจเหมือนกัน
#น้องเจที่น่าลัก
เพจนักเขียนที่แม้จะหื่นแต่ก็มีความละมุนในจิตใจ