ตอนพิเศษที่ 6
‘ พรุ่งนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป ’ ผมหลับตาลงเมื่อคืนพร้อมกับคำพูดนี้ที่เอ่ยคุยกับตัวเองคนเดียวในใจนั้น และตอนนี้วินาทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมามันก็เป็นแบบนั้น ภายในห้องนอนกว้างขวางสีขาวถูกจัดตกแต่งด้วยสไตส์ที่เรียกว่า ‘ classic modern ’ ลมหายใจที่ผ่อนออกมาเบาๆก่อนจะพลิกตัวไปมองคนที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ข้างกันด้วยท่าทีเชื่องช้า เพราะร่างกายยังคงเจ็บจุกตรงช่วงล่างจากกิจกรรมฉลองขึ้นบ้านใหม่ที่คนนอนข้างกันเอ่ยอ้างออกมาในนั้น
ผมยังคงจำคำพูดของอาฟในวันนั้นได้ดี มันเป็นช่วงเดือนก่อนที่ผมจะเข้าไปแนะนำตัวเองกับที่บ้านของอาฟ เวลาเที่ยงวันหลังที่เรียนวิชาช่วงเช้าเสร็จพอดี ในรถวันนั้นที่กำลังติดไฟแดง แต่อยู่ๆอาฟก็พูดขึ้น ‘ เราจะย้ายคอนโดนะ ’
‘ ย้ายคอนโด ? ย้ายไปไหน ’
‘ ย้ายไปอยู่ด้วยกันสองคน ’ คำพูดที่ทำให้ผมหันไปมองอีกคนพลางขมวดคิ้วงง
‘ ปกติเราก็อยู่ด้วยกันสองคนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ น้องเดย์ก็ไม่ค่อยอยู่ มึงจะซื้อให้เปลืองเงินทำไม หรือว่า ’
‘ หรือว่าอะไร ’
‘ ก็หรือว่าเพราะมึงไม่โอเคที่น้องเดย์เข้ามาขัดเราวันนั้น ’ ท้ายประโยคเสียงเบาของผมนั้นทำให้อีกคนหันมายกยิ้มแล้วเหล่มองกัน
‘ ไร้สาระ กูตั้งใจไว้ตั้งนานแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะซื้อบ้านด้วยซ้ำ แต่ขี้เกียจดูแล อีกอย่าง เราทำงานกันแถวนี้เลยคิดว่าซื้อคอนโดน่าจะดีกว่า ’ คำพูดของอาฟมาพร้อมกับมือที่กุมมือของผมแน่นขึ้น ‘ เข้าใจคำว่าครอบครัวใช่มั้ย ’
‘ อื้ม ’
‘ นั่นแหละเหตุผล ’ อาฟถอนหายใจออกมาตอนที่พูดคำนั้น มันเหลือบมองกัน เหมือนจะมีคำพูดอื่นที่จะพูดอีก แต่ก็เขินกว่าจะพูดออก ก็เลยทำทีเป็นมองไปตรงทางข้างหน้าทั้งๆที่มือชุ่มเหงื่อนั้นกระชับมือผมไว้แน่น ‘ กูจะย้าย เพราะกูอยากอยู่กับมึง แบบครอบครัว ’
ในตอนนั้นผมจำได้ว่า หน้าของอาฟแดงไปหมดมันผ่อนลมหายใจออกกมาช้าๆราวกับกำลังควบคุมหัวใจเต้นแรงของตัวเอง มือที่กุมกันถูกปลดออกอีกฝ่ายเอามันไปลูบอยู่สองสามทีที่กางเกงก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือของผมอีกครั้ง ภายในรถที่เงียบเชียบให้วันนั้น ราวกับมีดอกไม้สีสวยผลิบานอยู่รอบตัวเราไปหมด จนผมต้องเผลอยิ้มกว้างแล้วอดไม่ได้เลยที่จะเอื้อมมือไปจิ้มแก้มอีกคน แม้จะโดนสายตาคมตาขวางใส่ก็ตาม
‘ ทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน ทั้งๆที่ก็เขินหน้าแดง ’
‘ แล้วเสือกไรกับหน้ากู ’ มือของผมถูกกุมแน่นขึ้นในตอนนั้น ก่อนที่คนพูดจะหันทั้งหน้าและหูที่แดงจัดไปทางอื่น ‘ แล้วไปเลือกมาด้วย ว่าอยากได้ห้องแบบไหน ’
แบบคอนโดมากมายถูกส่งเข้ามาให้ผมในเย็นวันนั้น ซึ่งคอนโดทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดที่อยู่ใกล้กับบีทีเอส ไม่ก็มีทางเชื่อมของบีทีเอส และอยู่ในเส้นสุขุมวิทแทบทั้งสิ้น ส่วนสไตส์ห้องที่อาฟเลือกมาเบื้องต้นมีแบบที่เป็น สองห้องนอน และ สามห้องนอน ไม่ก็แบบสองชั้น ซึ่งถ้าเอาตามใจตัวเองก็ต้องบอกว่า ผมอยากได้คอนโดแบบสองชั้นมากกว่า เพราะใฝ่ฝันมานานแล้ว อีกอย่างมันให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ในความรู้สึกของผมด้วย
แล้วสุดท้ายหลังจากตะเวนดูคอนโดตัวจริงอยู่หลายแห่งเราก็ตัดสินใจซื้อคอนโดสองชั้นแบบ duplex ซึ่งมีสองห้องนอนและลิฟต์ส่วนตัว แต่ที่ทำให้ผมชอบที่สุดก็คงเป็นพื้นที่กว้างขวางของมัน ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปด้านใน มันรู้สึกไมได้อึดอัดเหมือนอยู่คอนโด แถมวิวที่มองออกไปด้านนอกก็ติดกับสวนสาธารณะ และยังไม่ไกลกันมากนัก กับห้าง หรือแม้แต่รถสาธารณะอย่างบีทีเอส
เราใช้เวลาตกแต่งคอนโดนี้อยู่ร่วมเดือนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นและพร้อมเข้าอยู่ ทั้งๆที่คิดเอาไว้ว่าช่วงเวลาที่ก่อนจะเสร็จก็อยากจะพาอาฟไปแนะนำกับพ่อก่อน เพราะมันให้ความรู้สึกเริ่มต้นใหม่แบบที่ว่าครอบครัวของเรารับรู้การคบหาอย่างจริงจังแล้ว แต่เหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นดั่งใจผมสักเท่าไหร่ เพราะพอทางเราว่างก็เหมือนทางพ่อจะไม่ว่างเป็นอย่างงี้อยู่ตลอดจนถึงวันนี้ที่ย้ายเข้าคอนโดใหม่แล้วก็ยังไม่ได้ไปสักที
แต่วันนี้แหละ ที่เราจะไม่พลาด
ครืน ครืน ครืน
โทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณสายโทรเข้ามาในตอนที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามาบนหน้าจอนั้น ก่อนจะรีบกดรับเพราะเหมือนมันจะไปสร้างความรบกวนให้คนที่กำลังนอนอยู่อย่างอาฟเริ่มรู้สึกตัวและพลิกตัวเข้ามากันก่อนจะกอดเอวไว้แน่น
“ ครับแม่ ”
“ น้องเมด วันนี้จะพาพี่อาฟเข้าไปหาพ่อแล้วใช่มั้ยครับ ” ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินเสียงปลายสายถามกันออกมาอย่างงั้นด้วยความเป็นห่วง
ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดเหมือนกันว่าการพาอาฟไปหาพ่อคงทำให้คนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรอย่างมัน ออกอาการเกร็งและกลัวได้บ้าง แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะกลับกันไปหมด อาฟไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นเหมือนผมในตอนที่ต้องไปแนะนำตัวกับพ่อแม่มันเลยสักนิด หนำซ้ำมันยังชิลล์ ไม่รู้สึกอะไรเลยสักอย่าง จะมีก็ผมกับแม่ของเจ้าตัวมากกว่าที่ตื่นเต้นและเป็นทุกข์เป็นร้อนแทน
อย่างเมื่อวานเอง เราก็นั่งจัดกระเซ้าผลไม้ที่สั่งจากร้านนำเข้าของญี่ปุ่นโดยตรง อะไรที่ทางร้านขายบอกว่าดี บอกว่าเด็ด แม่ก็ซื้อมันทั้งหมด มีตั้งแต่แอปเปิ้ลลูกละ 350 ยันสตอเบอรี่ที่แพ็คละ 3500 ไม่นับเนยฮอกไกโดที่ทางร้านออกตัวขายแบบสุดตัวว่า ‘ อร่อยแบบขอให้ลอง ’ แต่เท่าที่ผมลองกินไปเมื่อวานก็อร่อยสมคำยั่วยุพวกนั้นจริงๆ ขนาดตั้งใจจะกินเล่นๆแค่ลูกสองลูก สุดท้ายก็กินกันสองคนแม่จนหมดแพ็ค ไม่นับขนมปังอีกครึ่งแถวที่กินกับขนมปัง อร่อยสุดจนหยุดไม่ได้จริงๆ
“ ใช่แล้วครับ ” ผมตอบรับก่อนจะดึงตัวเองขึ้นนั่งบนเตียง
“ แล้วอย่าลืมกระเซ้าที่แม่ซื้อไว้นะ บอกพี่อาฟด้วยนะน้องเมด ว่าให้เค้าหิ้วเข้าไปให้ด้วยตัวเอง ย้ำด้วยว่าให้ยิ้มเยอะๆ ฝากบอกคุณแม่เล็กกับคุณพ่อของน้องเมดด้วยว่า เนยอร่อยมากๆใช้ทาขนมปังเด็ดสุดเลย แล้วน้องเมดก็อย่าลืมเชียร์อัพพี่อาฟด้วยนะ บอกให้เค้าพูดเยอะๆ แล้วก็บอกให้เค้าเงียบตอนเค้าหงุดหงิดด้วยนะ ”
“ แม่ แม่ต้องใจก่อนนะ ” ได้แต่พูดยิ้มๆออกไปกับอีกคนที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นเกินไปแล้วในตอนนี้นี้
ความสัมพันธ์ของผมกับแม่หลังจากวันนั้นนับว่าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนในมุมหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรางวัลใหญ่ของฉลากกินแบ่งรัฐบาล ด้วยเพราะชอบทั้งหนังญี่ปุ่นและแมวเหมือนกัน หนำซ้ำนิสัยชอบหาของอร่อยกินก็ยังเหมือนกันอีก และเพราะแบบนั้นจากที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า เราเข้ากันได้ดีสุดๆ ถึงขนาดที่ว่าทุกวันอาทิตย์ผมจะต้องกลับไปที่บ้านอาฟ เพื่อใช้เวลาวันหยุดจันทร์ อังคาร ไปกับครอบครัวของอีกฝ่าย แต่ในเรื่องนี้ก็เหมือนจะมีคนที่ไม่ค่อยโอเคกับมันเท่าไหร่อยู่
ยกตัวอย่างก็เช่นคนที่นอนอยู่ข้างกันที่ชื่อคุณอารยะ ‘ เหมือนโดนแม่แย่งมึงไปเลยสัด ’ อาฟเคยบ่นกับผมไว้อย่างงั้น
“ แล้วนี่กำลังเดินทางทางเหรอ ทำไมเงียบจัง ”
“ เปล่าครับ ยังไม่ได้เดินทางไปไหนเลยแม่ เรายังอยู่ที่คอนโด อาฟยังไม่ตื่นเลยด้วยครับ ”
“ ตายจริง รีบเดินทางกันแล้ว มันเสียมารยาทนะถ้าเราให้ผู้ใหญ่รอ ”
“ เมดนัดพ่อกับแม่เล็กไว้ตอนเที่ยงน่ะครับ อาฟก็เลยไม่ได้รีบเท่าไหร่ ” ปลายเสียงที่พูดแบบอ้อมแอ้มนั้น ชวนให้คนฟังถอนหายใจออกมา ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ นิสัยเป็นเหมือนกันหมดเลยจริงๆ ทั้งพ่อทั้งลูก ถ้านัดสาย ไม่มีหรอกจะตื่นให้เร็วเพื่อเตรียมตัวอะไรบ้าง แล้วสุดท้ายก็รีบขับรถไปให้ทันเวลาที่ก็ทันแบบหวุดหวิดมากกว่า ก็แทนที่จะไปให้มันก่อนเวลา สบายๆ ไม่ต้องรีบ ”
“ เมดจะปลุกอาฟเดี๋ยวนี้เลยครับ อีกสักชั่วโมงเราคงออกกันแล้ว แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ”
“ มีน้องเมดแม่ไม่ห่วงหรอก ” ปลายสายบอก “ ฝากพี่อาฟด้วยนะครับน้องเมด ไว้คุยกันนะ ”
“ ครับแม่ สวัสดีครับ ” กดวางสายนั่นลง ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะยิ้มกับหน้าจอที่ดับสนิทไป แต่ตอนที่จะหันไปปลุกอีกฝ่ายอย่างที่คิด คนที่คิดว่าหลับก็ลืมตาขึ้นมองกันอยู่แล้ว “ ตื่นอยู่นานแล้วเหรอวะ ”
“ ตั้งแต่ที่แม่โทรคุยกับมึง ” อาฟบอกก่อนจะอ้าปากหาวออกมา แล้วลุกขึ้นมานั่งข้างกัน “ แม่โทรมาว่าไง ”
“ ก็เป็นห่วงเรื่องมึงนั่นแหละสัด ” ผมบอกอีกคนก็ยกยิ้ม “ แม่บอกกว่าให้มึงไปอาบน้ำ แล้วเราก็ควรออกจากคอนโดกันได้แล้ว จะไม่ได้ต้องรีบขับรถให้เร็วมาก ”
“ อื้ม ” เสียงขานรับในลำคอมาพร้อมกับหน้าตางัวเงียที่ยักคิ้วขึ้นตอบรับคำพูดของผม อาฟค้ำมือตัวเองกับเตียงก่อนจะหยิบเอามือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดเช็คข่าวทั่วไปแบบที่มันชอบทำทุกวันในตอนที่ตื่น
“ มึงนี่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยนะ ” คำถามของผมทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เลิกคิ้วสูงก่อนจะหันมามอง
“ หมายความว่า ”
“ ก็หมายความว่ามึงควรที่จะตื่นเต้นสักหน่อยมั้ย ควรถามแบบ เมดพ่อมึงเป็นไง แม่เล็กละเป็นยังไง อะไรแบบนี้ ”
“ อาการแบบนั้น ไว้ให้เด็กๆเค้าเป็นเถอะ ” ปรายตามองกันตอนที่พูดว่าเด็กๆ อาฟที่ยกยิ้มเป็นท่าทางที่ผมบอกกับตัวเองแค่ว่า ‘ หมั่นไส้นักไอ้สัด กูจะไม่ช่วยมึงเลย กูจะให้มึงสัมผัสความรู้สึกกลัวจนตัวสั่นจากพ่อกู ’
“ พ่อกูดุมากนะ ” เอ่ยบอกอีกคนด้วยเสียงจริงจังและหน้าตาที่มีแต่ความวิตกกังวล ผมถอนหายใจ “ เค้าเป็นคนเข้มงวด แล้วก็ค่อนข้างจะจริงจัง ตามประสาคุณครู แม่เล็กก็ด้วย ไม่เหมือนพ่อกับแม่มึงหรอกนะ ”
“ ถ้าว่างมากขนาดมานั่งแสดงละครให้กูดู มึงไปอาบน้ำไป จะได้มีประโยชน์ ”
“ สัด ” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน “ คอยดูกูจะพูดให้พ่อกูเกลียดมึง ให้เอาปืนลูกซองไล่ยิงมึง ”
“ เชื่อได้มาก เพราะคนที่บอกจะทำ คือคนคนเดียวกันกับที่ไปซื้อเสื้อเชิ้ตสีส้มตัวทุเรศนั่นที่มันแขวนอยู่หน้าตู้กู เพราะไปอ่านดวงคนเกิดวันศุกร์แล้วเค้าบอกกว่า ใส่สีส้มแล้วจะมีคนเอ็นดูน่ะเหรอ ”
“ ก็..” เว้นเสียงพลางยิ้มแห้งๆให้อีกคน
“ กูไม่เควี้ยงมันออกนอกคอนโดไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว ปกติกูใส่มากเลยสินะ เสื้อสีส้ม ”
“ ก็มึง เชื่อไว้ไม่เสียหายนะเว้ย สีดำ สีเทาที่มึงชอบใส่มันเป็นสีไม่มงคล กูอ่านมาแล้ว ” อาฟผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ ขนาดวันนั้นที่เราไปหาพ่อแม่มึง กูเพิ่งรู้ว่า เสื้อสีชมพูไม่มงคลกับกู มงคลจริงต้องสีฟ้า แล้วพอวันถัดมาใส่สีฟ้า เห็นมั้ย แม่เอ็นดูกูเลย ”
“ ปัญญาอ่อนจริงๆ แล้วถ้ามันบอกว่ามึงต้องใส่กางเกงในไว้นอกกางเกงแล้วจะมงคล มึงก็จะใส่ด้วยงั้นสิ ”
“ อันนั้นก็มากไป คนเราก็ไม่ควรงมงายขนาดนั้น ”
“ อื้ม มึงบอกคำนั้นกับตัวเองด้วยก็ดีนะ ”
“ มึงแม่ง ” สบถด่ามันก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆออกมา ไม่ลืมเหล่มองอีกคนที่ก็ยังยังคงมองกันอยู่ อาฟลดมือถือที่กำลังอ่านอยู่นั่นลง มันถามผมยิ้มๆ
“ มีอะไร ”
“ แล้วตกลงมึงใส่ใช่มั้ย เสื้อเชิ้ตสีส้มของกู ที่กูซื้อมาให้ ” ปลายเสียงที่ค่อนข้างบางเบา รอยยิ้มกว้างที่ส่งไปให้อีกคนนั้น อาฟได้แต่ยกยิ้มเป็นคำตอบ
“ ไม่มีทาง ”
“ ได้ไง มึงใส่สีดำไม่ได้นะมันเป็นกาลกิณี ” ผมโบกมือปฎิเสธอีกคนพร้อมกับส่ายหน้า ในตอนนั้นคนฟังที่ทำได้แค่จ้องกันนิ่งๆก็ถอนหายใจออกมา
“ ตั้งแต่เด็กจนโตมึงทำเหี้ยอะไรก็ดูตารางเหี้ยนี้มาตลอดเลยเหรอ ก็ไม่ใช่นี่ จะทำอะไรเมื่อก่อนก็ไม่เคยดู อยากใส่อะไรก็ใส่ไม่ใช่เหรอ หรือมึงจะบอกว่าตอนสอบเข้ามหาลัยสิ่งที่ทำให้มึงสอบเข้าได้ไม่ใช่หัวสมอง ไม่ใช่ความพยายามที่นั่งอ่านหนังสือของมึงแต่เป็นกางเกงในสีนำโชคอย่างงั้นเหรรอ ” อาฟถามผมก็ได้แต่นิ่ง “ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวมึง อยู่ที่ความมั่นใจของมึง ไม่เกี่ยวอะไรกับสีนำโชคทั้งนั้น แล้วก็จำไว้ด้วยว่าที่แม่กูชอบมึงนั่นก็เพราะตัวมึง ไม่เกี่ยวกับสีเสื้อเหี้ยอะไรทั้งนั้น ”
“ แล้วทำไมวันนั้นมึงให้กูใส่สีชมพู ทั้งๆที่กูไม่ชอบ ” คำถามที่ทำให้คนที่กำลังยกมือถือขึ้นอ่านข่าวชะงักไปอีกครั้ง อาฟถอนหายใจออกมา ในแววตานั้นเหมือนจะบอกกันว่าให้เลิกเถียงกันแล้วไปอาบน้ำสักที
“ สีชมพูมันเหมาะกับมึง ใส่แล้วมันดูน่ารัก.. ก็แค่นั้น ” ท้ายประโยคที่เอ่ยบอกปัด เราก็ได้นิ่งให้กันอย่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา ก่อนที่ผมจะดึงตัวเองลงไปจากเตียงแล้วพูดทิ้งท้ายไว้สั้นๆแค่ว่า
“ อยากแซวนะ แต่ไม่แซวดีกว่า เดี๋ยวพี่อาฟจะเขิน ”
สุดท้ายอาฟก็เสือกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำอย่างที่คุ้นชินมากกว่าเสื้อเชิ้ตสีส้มที่ผมซื้อให้ เราออกเดินทางจากคอนโดช่วงก่อนเที่ยง อาฟไม่ลืมหิ้วกระเซ้าผลไม้ที่แม่ฝากมาออกไปด้วยตัวเองจากบนโต๊ะในครัวโดยที่ผมไม่ต้องออกปากบอก ทั้งที่ตอนเย็นของเมื่อวานมันจะทำทีเป็นอิดออดกับแม่เพราะไม่อยากหิ้วอะไรติดมือไปให้ยุ่งยาก หนำซ้ำยังบ่นอีกว่า ‘ แค่ความจริงใจก็พอแล้ว ’ แต่ตอนนี้มันกลับต่างจากตอนนั้น ผมรู้สึกว่าอาฟดูจริงจังและตั้งใจมากกว่าจะเอ่ยแซวออกไปได้ว่า ‘ ถือกระเซ้าเองซะด้วยพี่อารยะของกู พ่อกูต้องดีใจแน่ ’
“ เราคงเดินทางกันสักชั่วโมงนึงใช่มั้ย ”
“ ประมานนั้น ไม่ก็สัก 45 นาที ” คนขับหันมาบอกกันตอนที่ปรับเกียร์และดึงเบรคมือขึ้นเพราะสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่เหมือนว่าอีกนานกว่าจะได้ขยับตัวไปได้อีกครั้ง “ เพราะหลุดจากแยกตรงนี้ไปก็โอเคแล้ว ”
“ ถามจริงนี่ตื่นเต้นมั้ย ” ผมหันไปมองอีกคนพร้อมกับเอื้อมมือไปกอดคอไว้แล้วใช้มือข้างนั้นบีบเข้าที่แก้มของอีกฝ่ายเชิงล้อ “ สั่งเสียไว้ก่อนได้นะ ศาลาแปดมั้ย กระเพาะปลา หรือว่าโจ๊กดี เผื่อพ่อกูเป่ากระโหลกมึง ”
“ ปากดีไปเถอะ ไม่ใช่มึงจะนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้พ่อมึงไว้ชีวิตกูหรอกนะ ” มือของอาฟยกขึ้นจับคางของผมก่อนจะบีบเบาๆแล้วดึงใบหน้าคมนั้นเข้ามาจูบ
เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้แต่มองตากันผ่านความเงียบในรถที่ไม่ได้เปิดเพลงขับกล่อมอะไร ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปจูบอาฟ แล้วตอนที่ผละออกจากกันนั้น เราก็ยิ้มให้กัน และผมก็โดนจูบซ้ำอีกหลายครั้ง จนต้องเผลอหลุดหัวเราะออกมาในตอนสุดท้าย ก่อนที่อาฟเปลี่ยนมาจับมือผมไว้ในตอนที่ได้เวลาเคลื่อนรถไปข้างหน้าเพราะสัญญาณไฟเขียวที่ปรากฏขึ้น
ครั้งนึงตอนเป็นเด็กผมเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่า ‘ ทำไมฝรั่งถึงชอบจูบกันโดยไม่มีเหตุผล ’ ผมเคยคิดไปด้วยซ้ำว่าประโยคที่เค้าพูดคุยกันหรือแววตาที่เค้ามองตากันจะหวานซึ้งแค่ไหนถึงได้ดึงดูดให้คนสองคนนั้นทำแบบนั้นได้ แต่แล้ววันนี้ พอมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกรักที่คนสองคนอยากจะมอบให้กัน โดยไม่มีเหตุผล ว่าทำไม หรือเพราะอะไรทั้งนั้น
ก็แค่รักเลยบอกรัก มันเป็นเพียงแค่เพียงอะไรแบบนั้น ก็เท่านั้น
“ วันนี้แม่เล็กทำหมูตุ๋นไว้ต้อนรับมึงด้วยนะ แล้วก็มีหอยจ๊อปูด้วย เป็นเมนูเด็ดของแม่เล็กเลย รับรองว่า มึงต้องกินข้าวสองจานแน่นอน ”
“ ทำไมชอบเอาตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานให้กูจัง ” อาฟถาม “ กูดูตะกละขนาดนั้นเลยเหรอ ”
“ มึงว่ากูตะกละเหรอสัดอาฟ ”
“ ร้อนตัวว่ะ ”
‘ ไอ้เชี้ย ’ ได้แต่พูดไม่ออกเสียงใส่อีกคนที่ก็กระชับมือที่กุมกันไว้หลวมๆแบบไม่มีปล่อย ผมเผลอกระชับมือที่จับกันไว้ ท่ามกลางความเงียบภายในรถตอนนั้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างไปกดเปิดเพลงที่ค่อยๆเริ่มเล่นดนตรีคุ้นหูขึ้นมาให้ผมได้ร้องคลอตามอยู่ในลำคอพลางหันเหสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่วิวรอบข้างกำลังแปรเปลี่ยนจนตึกราบ้านช่องไปเป็นพื้นที่สีเขียวให้สบายตาบ้าง
บนถนนที่รถต่างพากันเร่งความเร็วแต่ดูเหมือนคนขับของผมจะไม่ได้ทำแบบนั้น อาฟขับชิดเลนซ้าย และขับในอัตราปกติ มันไม่ได้เร่งความเร็วเหมือนทุกที หนำซ้ำยังขยับมือที่กุมกันไว้หลวมๆทุบลงบนขาของตัวเองตามจังหวะเพลงที่ฟัง ผมสังเกตว่ามันฮัมเพลงอย่างสบายใจ
“ กูเล่าเรื่องที่บ้านให้มึงฟังนะ ” ผมเอ่ยชวนอีกคนคุย “ ทีมึงยังเล่าเลยตอนนั้นที่กูไปบ้านมึง กูอยากเล่าบ้าง ”
“ ตามใจ ”
“ จริงๆกูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแรกหรอกรู้มั้ย เพิ่งย้ายมาเมื่อสามปีก่อนเอง เมื่อก่อนกูอยู่ในกรุงเทพ”
“ กำลังจะถามพอดี ว่าอยู่ที่นี่แต่ทำไมไปเรียนไกลขนาดนั้น ”
“ เอาคำตอบแบบใจเต้นแรงมั้ย ” คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากันตอนที่หันมามองกันอีกครั้ง ในตอนนั้นผมก็กระชับมืออาฟไว้แน่นพลางจ้องไปในแววตาคมนั้นก่อนจะบอก “ ที่มาเรียนไกลขนาดนี้ ก็เพราะต้องมาเจอมึงไงอารยะ ”
“ ประสาท ” อีกคนว่าพลางหันไปอีกทางด้วยรอยยิ้มกว้างที่ต้องพยายามกลั้นไว้
“ จริงๆเมื่อก่อนเรียนที่นั่นเพราะว่าพ่อก็เป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนประถมในเขตแถวนั้นนั่นแหละ พ่อเห็นว่ามันใกล้บ้าน แล้วก็เป็นทางผ่านที่เค้าจะมารับกูกลับบ้านได้ก็เลยเลือกให้เรียนที่นั่น ตอนแรกจะให้เรียนโรงเรียนเดียวกับมึงด้วยนะ ”
“ แล้วทำไม่ไม่เรียน ”
“ ถ้ากูเรียนก็ไม่มีมนต์รักรสนมรสช็อคโกแล็ตสิสัด โมเม้นท์อีกฝากหนึ่งของถนนของเราสองคนจะหายไปเลยนะ ”
“ คือยังไม่หยุดเล่น ”
“ ก็เห็นมึงหน้าแดงแล้วดูน่าขนลุกดี ” ยักคิ้วให้มันอีกคนก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าแบบยิ้มๆ “ ต่อๆ แล้วคราวนี้พ่อกูเป็นข้าราชการใช่มั้ย มันเลยมีช่วงที่ต้องย้ายไปมาเอาตำแหน่งที่โรงเรียนแถวนี้พอดี ตอนแรกพ่อยังแค่ไปกลับ แต่ตอนกูขึ้นม.4 แม่เล็กก็ได้เลื่อนขั้นด้วย แล้วก็ต้องมาทำงานที่โรงเรียนแถวเดียวกับพ่อ เราก็เลยตัดสินใจขายบ้านจัดสรรหลังที่อยู่หลังเก่า แล้วเอาเงินมาซื้อคอนโดเพื่อให้กูกับวิวได้อยู่กันสองคนเพราะต้องเรียนที่นั่นแทน ”
“ คือขายเพราะเหตุผลแค่นั้น ”
“ ก็ใช่ แต่ที่สำคัญคือพ่ออยากได้บ้านใหม่ด้วย บ้านหลังเก่ามันเป็นหมู่บ้านจัดสรรอะมึง ปลูกติดๆกันเค้าไม่ชอบ เค้าอยากได้บ้านในหมู่บ้านที่มีบริเวณ ไม่อึดอัด เค้าชอบปลูกต้นไม้ด้วย เลยจะซื้อไว้เพื่อชีวิตปั้นปลาย ”
“ อื้ม ”
“ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจซื้อหลังที่อยู่ตอนนี้ กูจำราคาตอนนั้นที่ซื้อไม่ได้แต่ที่รู้คือแพงอยู่นะ แม้ตอนนี้พ่อก็ยังผ่อนอยู่เลย ”
“ สำหรับกู การซื้อบ้านถ้ามันตอบโจทย์ทุกอย่างของเรา มันก็สิ่งที่น่าลงทุน ยิ่งอยู่ในสภาพแววล้อมอย่างหมู่บ้านมึงด้วยแล้ว ถึงในอนาคตจะขายต่อ ยังไงก็ได้กำไร ”
“ คำพูดก็คือมาดนักธุรกิจมาเต็ม เหลือแค่รอเวลาสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อไหร่ก็คือเข้าทำงานกับพ่อได้เลย ”
“ คำพูดคำจามึงก็ดูเพ้อหนักขึ้นทุกวัน ลดๆหนังที่ดูกับแม่กูลงบ้างแล้วกัน ” อีกคนหันมาบอกอย่างไม่มีท่าทียอมกัน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วจิ๊ปากเสียงเบาก่อนจะบอก
“ ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวกูจะให้พ่อกูจัดการ บอกว่ามึงรังแกกูตลอดเลย ”
“ แล้วพ่อมึงเป็นยังไงบ้างละ ”
“ หมายถึง ”
“ ก็นิสัย อะไรแบบนั้น ”
“ จะทำการรบก็ต้องรู้เค้ารู้เราใช่มั้ย เพราะรบร้อยครั้งจะได้ชนะทั้งร้อยครั้ง ” ยักคิ้วแซวอีกฝ่ายก่อนจะนิ่งคิดถึงคำจำกัดความสั้นๆของพ่อตัวเองในแบบที่อาฟถามถึง “ พ่อเหรอ..”
“ ไว้คิดออกตอนกูขับเข้าหมู่บ้านมึงเลยก็ได้นะ ” หลุดหัวเราะออกมากับคำบอกขัดในตอนนั้น
“ มึงแม่ง ” ผมสบถ “ กูว่าเค้าก็เป็นคนใจดี แล้วก็มีเหตุผลนะ ในความคิดลูกอย่างกู กูว่าพ่อกูเป็นคนที่เคารพการตัดสินใจของกูมากเลยละ หมายถึงว่าถ้าเค้าไม่โอเค แต่ถ้ากูโอเค เค้าก็จะแค่เตือน แล้วก็ปล่อยให้กูดูแลจัดการเอาเองในทุกเรื่องเลย ”
“ กำลังยกตัวอย่างเรื่องไอ้บินถูกมั้ย ” คำถามที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองมันยิ้มๆ
“ กูไม่ได้คิดอะไรเลย ”
“ เหรอ ” คนขับรถพยักหน้ารับ “ ช่วยเล่าฟังหน่อยได้มั้ย ตอนนั้นเป็นยังไง ”
“ หมายถึง ตอนที่บินเจอพ่อกูครั้งแรกน่ะเหรอ ”
“ อื้ม ” อาฟขานรับนำคอ
“ ไม่ดราม่าถูกมั้ย ”
“ กูอยากรู้ ” จบคำพูดนั้นผมก็ทำได้แค่คิดถึงช่วงเวลานั้น เท่าที่จำได้เหมือนจะเป็นช่วงปีสองที่กำลังจะปีสาม
“ ตอนนั้นมันไม่เหมือนมึงตอนนี้เลยสักนิด มันทั้งตัวสั่น ทั้งกลัว ตอนที่เจอพ่อมันเอาแต่นั่งก้มหน้าอย่างเดียว พ่อกูถามอะไรก็ตอบแค่ไม่รู้ครับ ” ผมนิ่งไปตอนที่พูดถึงตรงนั้น ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาจนต้องก้มหน้าลงแล้วหันไปมองอาฟที่เหมือนจะมองกันแทน “ วันนั้นหลังจากที่ไอ้บินกลับไปแล้ว พ่อบอกกูคำนึงว่า คิดให้ดีนะ ถ้าจะคบกับคนคนนี้ พ่อไม่ชอบ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเมด ”
“ อื้ม ”
“ วันนั้นกูโกรธพ่อมากเลยรู้มั้ย กูโทษว่าเป็นความผิดเค้า กูบอกว่าเค้าจงใจที่จะถามคำถามให้ไอ้บินตอบไม่ได้ เรายังเรียนอยู่ จะตอบได้ยังไง ว่าวางแผนชีวิตกันไว้ยังไง แล้ววันนั้นพ่อพูดขึ้นมาคำนึงว่า คนเราถ้ารักกันจริงๆเค้าจะมีเราอยู่ในอนาคตทุกอย่าง แล้วพ่อก็บอกด้วยว่า จะให้ชอบคนที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีเมดในอนาคตหรือเปล่าน่ะเหรอ แล้วพอมาคิดว่าหลังจากนั้นปีหนึ่งกูต้องเจออะไรบ้าง มันทำให้กูรู้สึกว่า กูแม่ง เหี้ยว่ะ กูไม่น่าพูดกับพ่อแบบนั้นเลย ”
“ มันไม่แปลกที่มึงจะปกป้องคนที่มึงรัก เพราะนั่นคือคนที่มึงรัก ” อาฟบอกก่อนจะยักคิ้วให้ แต่ในตอนนั้นผมที่หันไปมองไปมองมันก็ได้แต่พูดย้ำ
“ แค่คนเคยรัก ไม่ใช่คนที่กูรัก ”
“ ยั๊วะจัง ”
“ ยั๊วะสิไอ้สัด มันเหมือนกันที่ไหนละ มึงจะมาพูดว่าไอ้บินเป็นคนที่กูรักได้ยังไง มันแค่คนที่กูเคยรักแต่ตอนนี้กูเกลียดมันไปแล้ว มึงสิที่ตอนนี้เป็นคนที่กูรัก ถ้ามึงจะพูดถึงไอ้บินมึงต้องใช้คำพูดว่า ก็มันเป็นคนที่กูเคยรัก กูเลยปกป้องมัน ถ้าพูดว่าแบบที่มึงพูดว่า กูต้องปกป้องคนที่กูรัก นั่นมันต้องหมายถึงมึงแล้วสัดอาฟ อึก ” ประโยคยาวเหยียดที่ยังพูดไม่จบถูกสั่งให้หยุดเพียงเท่านั้นด้วยริมฝีปากของอีกคนที่ดึงตัวเองเข้ามาจูบกัน ก่อนจะผละออกแล้วตบท้ายด้วยประโยคสั้นๆที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนให้ต้องหน้าแดงไปแบบนั้นตลอดทาง
“ ครับ ผมทราบแล้ว ”
ประตูรั้วอัตโนมัติของบ้านถูกเปิดออกในตอนที่รถจอดลงตรงที่หน้าบ้านเพียงไม่นาน อาจเพราะคนด้านในรอคอยการมาถึงของเราอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยสั่งกดปุ่มเปิดประตูรั้วได้ทันทีในตอนที่รถของเราขับมาถึง อาฟขยับเกียร์ปรับให้รถหยุดนิ่ง ก่อนจะดึงเบรคมือขึ้นในตอนที่เราจอดรถเสร็จเรียบร้อยในลานจอด ผมได้ยินเสียงถอนหายใจที่ผ่อนออกมาของอีกคน จนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวเข้าเสียแล้วว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมยิ้มขำ
“ กูไม่ได้กลัว ”
“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อเลียนแบบมัน “ ใครๆก็ถอนหายใจได้จริงมั้ย ”
“ มึงเริ่มกวนตีนกูแล้วนะเมด ”
“ ไม่เป็นไรหรอกน่า ” เอื้อมมือไปจับมันก่อนจะยิ้ม “ พ่อกูใจดีมากเลย แม่เล็กก็ด้วย ”
“ เมื่อเช้ายังบอกกูเลยว่าดุ ”
“ แค่อยากให้มึงกลัว ” ผมพูดยิ้มๆ “ แต่ดูเหมือนมึงจะไม่กลัว ”
“ กูไม่ได้กลัว ” อีกคนพูดเสียงนิ่งในตอนที่มองหน้าผม “ แต่กูกังวล เพราะกูกลัวว่ากูจะไม่ดีพอ ในสายตาของพ่อมึง ”
“ ไม่เอาน่า มึงคืออาฟเตอร์อารยะนะเว้ย ” รอยยิ้มของผมทำให้คนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมา “ มึงคือคนที่มั่นใจในตัวเองสุดๆเลยนะ ไม่ว่าอะไรมึงก็ทำได้ แล้วเรื่องแค่นี้ ”
“ เพราะมันคือเรื่องของมึง ” อาฟพูดแบบนั้นก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ มันเลยไม่มีหรอก กับคำว่าเรื่องแค่นี้ ”
กระเช้าผลไม้ถูกยกขึ้นมาจากด้านหลังรถ เสียงปิดประตูรถดังขึ้นจากนั้นพร้อมกับเสียงกดล็อค อาฟหันมามองหน้ากัน ในตอนนั้นผมเองก็ทำได้แค่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือชุ่มเหงื่อของอีกคนไว้
“ ไม่เป็นไรหรอก กูมั่นใจว่าไม่เป็นไรแน่นอน ”
“ เพราะ ? ”
“ เพราะว่ามึงคือมึงไง ” ที่อาจจะไม่ใช่คนพูดเก่ง หรือช่างเอาใจ แต่เพราะว่ามึงคือมึง คนที่มีกูเป็นโลกทั้งใบ ยังไงก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว