[want] มาเป็นเมียกูเถอะ|update! ตอนที่ 26 เรื่องเล่า(1/2)|[08/11/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [want] มาเป็นเมียกูเถอะ|update! ตอนที่ 26 เรื่องเล่า(1/2)|[08/11/2018]  (อ่าน 47615 ครั้ง)

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 23 ไข้


[nel talk]

“ทั้งหมด 7,500 บาทค่ะ” พนักงานสาวสวย ที่กระดุมเสื้อปริ นมทะลักออกมาสวัสดีกับสายตาฝูงชนคนธรรมดา จนคนอย่างผมไม่สามารถละไปไหนได้เลยนอกจากนมของคุณเธอ ตูมมากครับ เห็นแล้วน้ำลายแทบหก



“เก็บอาการหน่อยค่ะพี่เนล” น้ำหวานที่ยืนอยู่ข้างๆกระซิบเสียงเบา พร้อมเอาศอกมากระทุ้งสีข้างผมอย่างแรง “ดูๆ น้ำลายจะหกโดนนมเจ๊แกแล้ว ให้มันน้อยๆหน่อย”



“รู้แล้วครับ” ผมตอบไปอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือขยี้หัวเธอไปด้วยความเอ็นดู ก่อนยื่นเงินสดให้พนักงานผู้หญิงคนนั้นไปแปดพันถ้วน สาวนมอึ๋มรับไปจากมือ ก่อนยื่นแบงค์ห้าร้อยทอนให้



จ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็ถือถุงเสื้อผ้าของสาวร่างเล็ก เดินนำออกมาหน้าร้าน แอบรู้สึกผิดที่ให้ลูกหมานั่งรอตั้งนานสองนาน เดี๋ยวค่อยไปขอโทษมันแล้วกัน คิดว่ามันคงไม่โกธรผมเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้หรอก

 

…มั้ง

พอเดินออกมาก็ไม่เจอไอ้ภีมที่นั่งตรงเก้าอี้หน้าร้านแล้ว แถมยังทิ้งของไว้ตรงนั้นอีก มันคิดอะไรของมัน ถึงได้ทิ้งไว้แบบนี้ ดีแค่ไหนที่ของไม่หาย ร่างเล็กเดินตามผมมาติดๆ ก็เอ่ยปากถามหาบุคคลที่หายตัวไปทันที “เพื่อนพี่หายไปไหนเหรอคะ”



“ไม่รู้ น่าจะไปเข้าห้องน้ำมั้ง” ผมตอบเธอไป ก่อนหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้รอไอ้ภีมอย่างใจเย็น



-------------------------------------------------------

 

ยกนาฬิกาขึ้นมาดูจนมันเฉา คนที่ผมกำลังรอก็ยังไม่โผล่หัวมา จนผมคิดว่าแม่งตกส้วมตายไปแล้วมั้ง นานอะไรขนาดนี้ ทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นไปตามมันสักหน่อย



“น้ำรอพี่ตรงนี้แปปนะ เดี๋ยวไปตามเพื่อนก่อน” ผมเอ่ยบอกคนข้างๆ ก่อนก้าวขาฉับๆ ตรงดิ่งไปห้องน้ำทันที



พอมาถึงห้องน้ำก็รีบพุ่งเข้าไป กวาดสายตาหาไอ้ลูกหมาทันที เห็นคนแปลกหน้ายืนฉี่อยู่ 3 คน ในนั้นไม่มีเมียผมสักคน เดินไปดูตรงห้องส้วม เผื่อมันถ่ายหนัก แต่ประตูห้องน้ำกลับเปิดว่างหมดทุกห้อง



เชี่ย เมียหาย..



เอ่อ.....บางทีมันอาจจะไปเข้าชั้นอื่น โอเค จัดการสาวน่องเดินหามันแม่งทุกชั้น บางห้องปิดอยู่ก็ตะโกนเรียกชื่อมันไปด้วย แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลยครับ เรื่องยุ่งแล้วไง



หายไปไหนของมันวะ…



ผมเปลี่ยนเป้าหมาย เดินไล่หามันแม่งทุกร้านนี่แหละ บางทีอาจเบื่อ อยากเดินเที่ยวเล่นอะไรอย่างนี้ สรุปคือไม่มีครับ หาจนทั่ว เดินจนขาลากก็ไม่เจอ ใจคอเริ่มไม่ดี  ผมจึงเดินกลับไปหาน้ำหวานในสภาพเหงื่อชุ่มเต็มตัว คนตัวเล็กรีบลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงมาหาผมด้วยความเป็นห่วง



“เจอไหมคะ”



“ไม่เจอเลย หายไปไหนก็ไม่รู้”



“แล้วจะเอาไงต่อดีคะ” เธอทำสีหน้าเป็นกังวล



“พี่คิดว่ามันอาจจะกลับไปแล้ว เดี๋ยวต้องไปดูที่บ้านก่อน” ผมตอบเธอออกไปด้วยท่าทางใจเย็นที่สุด ถึงแม้ในใจไม่ได้เย็นเลยก็ตาม โอกาสสุดท้ายที่น่าจะเป็นไปได้คือ กลับบ้านไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าโมโหมากนะครับ ที่หนีกลับก่อนโดยไม่บอกผม อย่างน้อยๆก็น่าจะแจ้งให้รู้สักนิดยังดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาหามันแบบนี้



“แล้วน้ำจะเอาไง ให้พี่ไปส่งที่บ้านก่อนไหม”



เธอส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ หาเพื่อนพี่ให้เจอก่อนก็ได้ น้ำหวานไม่รีบ”



“ครับ งั้นพี่ขอกลับไปดูไอ้ภีมก่อนนะ แล้วจะรีบไปส่งน้ำ” ผมพูดกับเธอ ก่อนเดินนำร่างเล็กไปที่ลานจอดรถ ข้างนอกฝนตกหนักพอสมควร ทำให้การเดินทางลำบาก ติดไฟแดงหลายแยกจนรู้สึกหงุดหงิดไปหมด ในใจก็นึกบ่นไอ้คนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจอยู่ตอนนี้ หัวเสียมากจนอยากขับฝ่าไฟแดงเพื่อไปคิดบัญชีกับเด็กที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด



พอรถจอดตรงลานเรียบร้อย ผมรีบสาวเท้าลงมา เดินไปเปิดประตู หาตัวลูกหมาจนทั่ว ตะโกนเรียกจนลั่นบ้าน แต่ที่ได้กลับมาคือความเงียบ ที่ห้องนอนก็ไม่อยู่ ห้องครัวก็ไม่มี แม้แต่ห้องน้ำก็ไม่พบตัวมัน



ไอ้ภีมไม่ได้กลับบ้าน..



หายไปไหนของมัน...



จะเกิดอะไรขึ้นกับมันหรือเปล่า...

ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด อารมณ์ขุ่นมัวที่ก่อตัวเมื่อครู่มลายหายไปทันที เมื่อกลับมาแล้วไม่เจอเจ้าตัว อย่างที่คิดเอาไว้



ทำไงดีวะ…



“เป็นไงบ้างคะ” น้ำหวานที่นั่งรออยู่ด้านล่าง ถามขึ้นมาเมื่อเห็นผมเดินกลับมาหาเธอ ผมได้แต่ส่ายหัวตอบกลับไป ก่อนพาตัวเองมานั่งที่โซฟาอย่างคิดไม่ตก เอามือทึ่งหัวตัวเองอย่างหัวเสียที่ปล่อยมันรออยู่คนเดียว ป่านนี้เจ้าตัวจะเป็นยังไงบ้าง รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ยิ่งเอ๋อๆอยู่ จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ฝนตกแบบนี้มันคงไม่เปียกฝนจนไม่สบายหรอกนะ”



“หวานว่าพี่เนลใจเย็นๆก่อนนะ ลองค่อยๆคิด บางทีพี่ภีมอาจจะอยู่ที่ห้างก็ได้” น้ำเอามือตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบ…



"มันไม่อยู่หรอกหวาน พี่หาดีแล้ว"



"งั้นเราลองไปขอดูกล้องวงจรปิดดีไหมคะ หวานคิดว่ามันอาจจะช่วยได้บ้างก็ได้" เธอเสนอ

เอ่อว่ะ อาจจะช่วยอะไรบ้างก็ได้ อย่างน้อยๆก็รู้ตำแหน่งสุดท้ายมันก็ยังดี เมื่อคิดได้อย่างนั้น สองขาก็รีบก้าวไปที่รถคันหรูฉับๆ โดยมีร่างเล็กของน้ำตามมาติดๆ

 

ผมรีบขับออกมาอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางก็คือห้างเดิม ระหว่างทางก็มองหามันไปด้วย เผื่อนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายไหนสักที่ แต่ก็ไร้วี่แววคนตัวเล็ก ใจผมมันร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก อยากเจอมันไวๆ จึงหักรถเข้าซอย ซอยหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยวน่าดู แต่มันเป็นทางลัดที่ถึงห้างเร็วที่สุดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ผมจะไม่มาทางเส้นนี้เด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ



ทางนี้ค่อนข้างมืด ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มข้างทาง มีบ้านคนอยู่แค่ไม่กี่หลัง บางหลังก็ถูกทิ้งให้ร้าง กำแพงบ้านถูกพ่นสีจนลายหูลายตา ส่วนในตัวบ้านก็ถูกพวกวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ขับรถผ่านตอนกลางวันนับว่าน่ากลัวแล้ว ตอนมืดๆแบบนี้ไม่ต้องคิดเลยว่าจะขนาดไหน

 

ผมขับออกมาเรื่อยๆ เริ่มมีเสาไฟกิ่งข้างทางช่วยให้ความสว่างขึ้นมาบ้าง นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าผมใกล้จะออกถนนใหญ่แล้ว ข้างหน้าเป็นสวนสาธารณะ ถ้าผ่านตรงนั้นไปได้ ขับต่ออีกนิดก็ถึงห้างซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง

 

"กรี๊ด" จู่ๆน้ำหวานก็กรี๊ดออกมา ผมจึงรีบหันไปหาเธอ คนข้างๆก้มหน้างุด หลับตาปี๋ เหมือนไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า



"เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำหวาน" ผมถามเธอออกไปด้วยความเป็นห่วง



"รีบๆขับรถไปจากตรงนี้เถอะค่ะ หวานว่า...หวานเห็นผีค่ะ" เธอตอบออกมาเสียงสั่นๆ จนผมต้องแบนสายตามองผ่านกระจกฝั่งเธอออกไปดูตรงสวนสาธารณะ เห็นเงามืดๆดำๆ นอนคว่ำหน้าอยู่ข้างๆชิงช้า เชี่ย หลอนสัด

 

แต่พอเพ่งสายตาดูดีๆแล้ว อีผีมันใส่เสื้อคุ้นๆ เหมือนเสื้อตัวโปรดราคาหลักหมื่นของผมเลย แถมกางเกงที่มันใส่อยู่เป็นรุ่นลิมิเต็ดที่ผมทนกัดฟันซื้อมาอย่างยากลำบาก เป็นผีที่หัวสูงน่าดู เห้ย ไม่ใช่ละ นั่นเสื้อผ้าที่ผมให้เมียใส่เมื่อเช้าชัดๆ



เห็นอย่างนั้น ผมก็จอดรถ รีบเปิดประตูไปหาคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างชิงช้าทันที



"ไอ้ภีม!!" ผมเรียกชื่อมันเสียงเสียงดัง เมื่อจับคนที่นอน พลิกตัวขึ้นมามองหน้าชัดๆ  ตัวมันเปื้อนดินเปื้อนโคลนไปหมด แถมยังนอนหมดสติอยู่ ใจผมกระตุกวูบ มือที่สั่นค่อยๆประคองคนตรงหน้าขึ้นมานอนตัก ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวขึ้นมาเช็ดหน้าคนตรงหน้าให้สะอาดสะอ้านก่อน



"ไอ้ภีม ได้ยินกูไหม" มือที่ว่างอยู่ก็ตบหน้ามันเบาๆเพื่อเรียกสติไปด้วย ตัวมันเย็นมาก ผมไม่รู้ว่ามันนอนตากฝนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว จึงรีบช้อนตัวมันมาอุ้มไปที่รถทันทีด้วยความเป็นห่วง



"อืมม" มันครางในลำคอ หน้าก็พยายามมุดเข้ากับอกของผม



"ไอ้ภีม" ผมเรียกมันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันเริ่มได้สติ “เป็นไงบ้าง”



“ไอ้ซานเหรอ” มันถามออกมาเสียงแผ่ว เหมือนคนหมดแรง



ผมชะงักเท้า เมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่3 ออกมาจากปากมัน ฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จึงเผลอกำชับอ้อมแขนแรงขึ้น มือออกแรงบีบอย่างลืมตัว จนร่างเล็กต้องดิ้นรน “โอ้ย ไอ้ซาน! เจ็บ”

 

“…”



“อืออ ไอ้ซาน ปล่อยย”



“กวนประสาทกูอยู่หรอ” ผมกดเสียงต่ำอย่างไม่สบการมณ์ “เวลาแบบนี้มึงยังจะคิดถึงมันอยู่เหรอ แต่ขอโทษด้วย กูที่ไม่ใช่คนที่มึงกำลังคิดถึงอยู่”



“อืออ ไอ้ซาน” มันเอามือขึ้นมาดึงเสื้อผมไว้แน่น หน้าก็พยายามมุดเข้ามา



“หนาวเหรอ” ผมถามคนในอ้อมแขน ที่อยู่ในสภาพกึ่งหมดสติ



“อือ”



“อดทนหน่อยนะ จะถึงรถแล้ว” พยายามเร่งฝีเท้า พาไอ้ลูกหมาตัวเปียกไปที่รถให้เร็วที่สุด

 

ผมเปิดประตูหลัง พร้อมพาร่างไอ้ภีมเข้าไปนอนข้างใน จัดท่าให้มันนอนสบาย ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเสื้อกันหนาวที่วางพาดตรงเบาะฝั่งคนขับมาห่มให้ คนตัวเล็กยังนอนสั่นไม่หยุด หน้ามันซีดมาก จนอาการน่าเป็นห่วง



น้ำหวานที่นั่งข้างหน้าจึงถอดเสื้อกันหนาวของเธอออก แล้วยื่นส่งมาให้ผม



“แค่นั้นไม่อุ่นหรอกค่ะ เอาของหวานไปด้วยก็ได้”

ผมยอมรับมาห่มให้มัน ถึงแม้จะช่วยได้ไม่เยอะมากก็ตาม



“อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวกูจะพามึงไปส่งโรงพยาบาล”



“ไม่ไป” ไอ้ภีมตอบงึมงำ



“ไม่ได้ มึงต้องไป”



“ไม่เอา จะกลับบ้าน” ขนาดไม่ได้สติ มึงยังจะดื้อกับกูอีกเหรอไอ้ลูกหมา



“ไม่ได้”



“อืมมมม จะกลับบ้าน”  มันเริ่มงอแง คนอะไรวะ เอาแต่ใจซะมัดเลยมึง



“….”



“ฮึ กูจะกลับบ้าน” คนที่นอนอยู่ สะอึกสะอื้นออกมา ร้องไห้อยู่เหรอวะ… ผมได้แต่มองมันนิ่งๆ รู้สึกเหมือนตัวชาไปหมด ที่เห็นมันในสภาพอ่อนแอแบบนี้ มือของคนตัวเล็กเอื้อมมาดึงชายเสื้อผมไว้แน่น “ไปส่งบ้านหน่อย”



“เอ่อๆ กลับก็กลับ ถ้าพรุ่งนี้อาการแย่ลง มึงต้องไปโรงพยาบาล โอเคไหม”



“อืม” มันพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือจากชายเสื้อผมช้าๆ ผมจึงเปิดประตูออกไป แต่มืออีกข้างก็รั้งขอมือผมไว้อีก



“ขอบใจนะ…” คนตัวเล็กพูดออกมาเสียงแผ่ว ผมจึงคลี่ยิ้มออกมา เอามือไปลูบหัวมันเบาๆ เวลาไม่สบาย แล้วขี้อ้อนแบบนี้ ก็น่ารักดีแฮะ



“ขอบใจจริงๆ…. ไอ้ซาน…” พอประโยคนี้ออกจากปากนั่น ผมถึงกับหุบยิ้มทันที ฟังแล้วรู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ทำไมเวลาแบบนี้มึงถึงได้คิดถึงแต่มัน เป็นกูไม่ได้หรือไง หรือเพราะว่ามันอยู่กับมึงช่วงที่มึงอ่อนแอ มึงถึงคิดถึงมันแบบนี้…



“อู้ยยย เจ็บ” เสียงน้ำหวานทำให้ผมหลุดออกจากภวัง หันไปมองสาวน้อยที่ชโงกหน้ามองอยู่



“ใครเจ็บ” ผมปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปโมโหกรบเกลื่อนความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจ ถึงแม้จะเกิดขึ้นมาแค่เสี้ยววิก็ตาม คิดอะไรของกูว่ะ เจ็บ? เจ็บอะไร ตลกแล้ว ทำเหมือนพลาดไปชอบไอ้ภีมอย่างนั้นแหละ สงสัยเพี้ยนไปแล้วแน่ๆเลยกู



“แววตามันฟ้อง” น้ำหวานชูสองนิ้วขึ้นมา ชี้ที่ทั้งสองตาของเธอเป็นท่าทางประกอบคำพูด



“คิดไปเอง”



“หวานมโนไปเองก็ได้ ถ้ามันเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่เนลสบายใจ…” ปากได้รูปยกยิ้มยียวน “…อะนะ”



“ว่าแต่พี่ภีมเนี่ย น่ารักจริงๆนะ เห็นครั้งแรกก็อยากได้ไปกอดที่บ้านเลย หวานขอนะ” มือเรียว พยายามเอื้อมมาจิ้มแก้มลูกหมาที่นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว



ผมจึงรีบปัดมือเธอออก ก่อนที่นิ้วนั่นจะจิ้มโดนแก้ม “ฝันอยู่หรือไง”



“หวงหรือไง”



“หวงทำไม!”



“ไม่ต้องขึ้นเสียงก็ได้ แค่แหย่เล่นเอง”



“เป็นผู้หญิง มาโดนตัวผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนในครอบครัว แถมพึ่งรู้จักกันแค่วันเดียวแบบนี้ มันดูไม่ดี หัดหวงเนื้อหวงตัวบ้าง”



“แต่หวานไม่ถือเรื่องนี้”



“แต่พี่ถือ”



น้ำเบะปากใส่ ก่อนจะหันกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียวโดยไม่หันมาสนใจผมอีก ผมจึงเปิดประตูออกไป นั่งฝั่งคนขับ จะได้พาไอ้คนน่าทุบที่สุดของวันนี้ กลับไปดูแลที่บ้านตามระเบียบ



[End]

 

 ------------------------------------------------------------

 

แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างยามเช้าของวันใหม่ กระทบเข้ากับม่านตา ทำให้ผมที่นอนหมดสติค่อยๆลืมตาตื่น ภาพแรกที่เห็นหลังจากที่ดวงตาปรับแสงได้แล้วคือ ใบหน้าหล่อๆของใครบางคน นอนฟุบกับเตียงอย่างหมดแรง ในมือถือผ้าขนหนูชุบน้ำค้างเอาไว้ ข้างๆมีกะละมังใบเล็กตั้งอยู่

 

ผมค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากเตียงนุ่มอย่างช้าๆ รู้สึกปวดหัว แถมยังเมื่อยเนื้อเมื่อยไปหมด ก้มลงมองสำรวจตัวเอง ก็เห็นว่าเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อวานได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนลายทางสีเทาที่ตัวใหญ่พอสมควร แขนเสื้อยาวเลื้อย เลยแขนผมไปเยอะ แถมกางเกงก็ยาวเลยเท้าไปหลายเซน ก็พอจะเดาได้ว่าชุดที่ผมใส่อยู่นี้เป็นของใคร



มองไปรอบๆเพื่อดูว่าตนเองอยู่ที่ไหน ก็ต้องพบกับความจริงว่าอยู่บ้านตัวเองเรียบร้อย แถมยังนอนอยู่ในห้องเจ้านายที่ทิ้งผมให้นั่งรอตั้งนานอีกด้วย

 

ตอนนี้มีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด…ผมมาอยู่ห้องมันได้ไง!? เกิดอะไรขึ้น! จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเดินตากฝนทำ MV อยู่ที่ไหนสักแห่งหลังจากนั้นก็วูบเลย ทุกอย่างมืดสนิท ตื่นมาอีกทีเหมือนวาปได้

 

“อ่าว ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ่มต่ำเอ่ยถามอย่างงัวเงีย พลางยกมือขึ้นขยี้ตาไปด้วย



“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรไปนอนจากดูมันนิ่งๆ อยู่บนเตียง สมองก็พยายามประมวลผลไปด้วย ว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง



“ดีขึ้นหรือยัง” พี่เนลเอามือขึ้นมาทาบหน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ “ไข้ลดลงจากเมื่อวานแล้ว แต่ตัวยังอุ่นๆอยู่”



“…”



“เดี๋ยวกินข้าว แล้วกินยา จะได้หายไวๆ” พูดจบก็หยิบกะละมังใบเล็ก กับผ้าขนหู เตรียมลุกออกไป ผมจึงรีบคว้าแขนมันเอาไว้ เพื่อถามคำถามที่ค้างคาใจก่อน



“ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ไงครับ”



“กูควรถามมึงมากกว่า ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้ไง” มันถามผมกลับ



“เอ่อ…” ผมอ้ำๆอึ้งๆสักพัก ควรจะบอกมันว่ายังไงดีวะ… ตอนออกมาก็ไม่ได้คิดด้วย



“ตอบคำถามกูมาก่อน แล้วจะบอกว่ามึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง” มันวางกะละมังลง ก่อนจะพาร่างของตัวเองมานั่งบนเตียง



ตอนนี้เปลี่ยนใจทันไหม ไม่อยากรู้แล้ว



ผมเลือกที่จะเงียบ พี่เนลจึงใช้สายตาจ้องเข้ามาในตาผมอย่างคาดคั้น “ว่าไงครับเมีย?”



“ใครเมียพี่”



“ก็มึงไง”



“ตลก”



“กูขำอยู่เหรอ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตอบคำถามกูมาก่อน” คนตรงหน้าขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ สายตามีเสน่ห์นั่นจ้องมองลึกเข้ามาในตาเรื่อยๆ จนผมต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง



พี่เนลไม่ยอมแพ้ เอามือมาจับคาผมให้หันกลับไปมองตามันอีกครั้ง “จะไปไหนทำไมไม่บอกกู” เสียงทุ่มต่ำถามออกมา สีหน้าจริงจังขึ้น



“อยากกลับบ้าน” ผมตอบมันส่งๆ แบบขอไปที



“แล้วทำไมไม่บอก จะได้ขับรถมาส่ง”



“ไม่อยากรบกวน”



“รบกวนเชี่ยไร กูพามึงมาก็ต้องพามึงกลับสิวะ” คุยกันเหมือนคนไม่เคยเจอกันเป็นชาติ เห็นแบบนั้นใครมันจะกล้าบอกล่ะครับ ว่ากูอยากกลับบ้าน บ้าหรือเปล่า



“ผมเกรงใจ”



“เกรงใจ?” พี่เนลมองผมอย่างไม่เข้าใจ มันขมวดคิ้วจนเป็นปม “เกรงใจอะไร ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย ถ้ามึงอยากกลับก็แค่บอกกูตรงๆ จะรีบพามึงกลับทันทีเลย ถ้ามึงไม่อยากอยู่”



“ผมไม่ได้เกรงใจพี่ครับ แต่เกรงใจคุณน้ำหวาน”



คนที่ชื่อน้ำหวานต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่พี่เนลเคยควงมาก เธอดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แถมเธอดูดีใจมากที่ได้อยู่กับพี่เนล ผมไม่อยากไปขัดความสุขของคนอื่น ยิ่งเป็นคุณน้ำหวานนั่น จิตใต้สำนึกผมบอกว่ายิ่งไม่ควร

 

“แล้วออกมาคนเดียวแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายขนาดไหน จะทำอะไรทำไมไมคิด”



“….” ตอนนั้นไม่ได้คิดครับ อารมณ์มันพาไป



“ถ้ากูไม่บังเอิญไปเจอมึงเมื่อวาน ป่านนี้มึงคงนอนหมดสติเพราะพิษไข้อยู่ตรงนั้นทั้งคืน ดีไม่ดีอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับมึงก็ได้ ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้วะ” พี่เนลสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์



โดนดุเฉย… ทำไมถึงเป็นมันวะ ที่เป็นฝ่ายต่อว่าผมฉอดๆแบบนี้



“ถ้าเกิดอะไรกับมึงขึ้นมาจริงๆ แล้วกูจะ…!” พี่เนลชะงักไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง “ช่างมันเถอะ”



“….”



“วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม”



“ครับ” วันหลังผมจะไม่ทำอีกแล้ว… จะไม่ไปเดินโง่ๆตากฝนคนเดียว แล้วร้องไห้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้อีกแล้ว มันดูไม่เท่เลย

คนตรงหน้ายกยิ้มพอใจ ก่อนจะเอามือใหญ่ๆนั่นลูบหัวผมเบาๆอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวลงไปทำข้าวต้มให้ กินเสร็จจะได้กินยา” พูดจบก็ลุกขึ้นเต็มความสูง โดยไม่ลืมที่จะหยิบกะละมัง กับผ้าขนหนูติดตัวไปด้วย



รอไม่นานพี่เนลก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยข้าวต้ม กับแก้วอีกหนึ่งใบ ร่างสูงเอาแก้ววางไว้บนชั้นวางของข้างเตียง ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางอารมณ์ดี



“อะ ข้าวต้มร้อนๆฝีมือกูเอง ค่อยๆกินนะมันร้อน หรือจะให้กูป้อน” พี่เนลไม่รอฟังคำตอบ ถือช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า พร้อมยื่นมาจ่อปากผม “อ้ามม กินสิไอ้ภีม” พี่เนลทำหน้าเหมือนตัวเองกำลังป้อนเข้าเด็ก



โตเป็นควายขนาดนี้มึงยังกล้าทำอะไรแบบนี้อีกเหรอวะ อายแทน…



ผมไม่ยอมอ้าปากรับข้าวต้มจากคนตรงหน้า มันรู้สึกพะอืดพะอมไปหมด จนไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น



“ผมไม่หิว”



“เห้ย ได้ไง กูอุสาห์ทำมาให้ ข้าวต้มฝีมือกูลิมิเต็ดอิดิชั่นมากนะโว้ย ถ้าไม่กินแม่งโคตรพลาด!” เจ้าตัวโฆษณาเต็มที่



“….” ลิมิเต็ดตรงไหนครับ หน้าตาก็ข้าวต้มทั่วไป มึงอย่ามาโม้



“จะไม่กินจริงๆเหรอ” พี่เนลถามเสียงอ่อน



ผมยังคงตอบกลับไปคำเดิม ตอนนี้ไม่อยากกินอะไรเลยครับ รู้สึกท้องไส้หยุดทำงาน



“กูไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ใครกินเลยนะ”



“…”



“ถ้าคนนั้นสำคัญจริงๆ”



“….”



“กินหน่อยเถอะ จะได้กินยา ไม่กินอะไรแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหาย”



“แต่…”



“ให้มึงเลือก ว่าจะให้กูป้อนดีๆ หรือจับยัดปากทั้งถ้วย เลือกเอา บอกไว้ก่อนเลย ว่าอย่างที่สองกูกล้าทำโดยไม่ลังเลเลย ถึงแม้มึงจะป่วยอยู่ก็ตาม” กูเชื่อว่าคนอย่างมึงกล้าทำแน่ๆ ไม่ใช่แค่ขู่ให้กลัวแบบคนทั่วไปหรอก เพราะมึงมันคนใจดำอำมหิต ไอ้คนหลายใจแต่ไร้คุณภาพ!



ทำอะไรไม่ได้อย่างเช่นทุกที จึงยอมอ้าปากกินข้าวต้มที่มันป้อนให้ รสชาติอร่อยใช้ได้เลย แต่คือไม่หิวไงครับ เลยกินได้แค่นิดเดียว ถ้ามันฝืนป้อนให้อีก พี่จะคืนให้หมด ทบต้นทบดอกแล้วนะครับ นี่ไม่ได้ขู่ มึงเห็นไหม กูตั้งท่าจะอวกอยู่แล้ว หยุดมือมึงเดี๋ยวนี้ กูไม่ไหวแล้ว ผมรีบยกมือขึ้นห้ามพี่เนลที่เอาแต่ป้อนไม่ลืมหูลืมตา ก่อนที่จะมีผ้าจำนวนมากพลีชีพเพราะอวกผม



“อิ่มแล้วเหรอ”



“ครับ”



“กินนิดเดียวเอง เอาอีกคำไหม” มึงไม่ต้องมาเป็นห่วงกูในช่วงเวลาแบบนี้ กูไม่ต้องการ ปล่อยกูไปได้แล้ว ผมรีบส่ายหัวรัวๆ พี่เนลมันถึงยอมวางถ้วยแต่โดยดี



มือหนาหยิบยา รินน้ำใส่แก้ว แล้วยื่นมาให้ผม ผมก็รับจากมือมันมาทันที จัดการกินยา แล้วตามด้วยดื่มน้ำตามระเบียบ ก่อนยื่นแก้วคืนให้มัน แล้วล้มตัวนอนทันที



พี่เนลหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเงียบๆ ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะมีบางครั้งที่มันเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ ผมที่ตอนนี้นอนซมเพราะพิษไข้จึงปล่อยให้มันทำไปโดยไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร

 

นอนหลับยาวยันค่ำ อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ด้วย จึงทำผมนอนโง่ๆได้นานขนาดนี้ จะรู้สึกสลึมสะลือเป็นบางครั้ง แต่ทุกครั้งที่ลืมตามา ก็จะเห็นพี่เนลมันนั่งเฝ้าผมไม่ยอมไปไหนเลย บางครั้งก็เห็นมันอ่านหนังสืออยู่ บางทีลืมตาตื่นมาก็เห็นมันนั่งเอามือเท้าคางมองหน้าผมอยู่เงียบๆ หรือไม่ก็นั่งหลับ แต่ทุกครั้งต้องเห็นมันอยู่ข้างๆตลอด

 

ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด

 

มันทำดีกับผมทำไม… ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่คนอย่างมันต้องมานั่งเฉยๆดูแลคนป่วยอย่างผม ยิ่งเป็นคนอย่างพี่เนลแล้วยิ่งยาก ที่ต้องมาดูแลคนอื่นแบบนี้ แต่มันก็เลือกที่จะทำ

 

บางทีผมก็ไม่ชอบให้มันมาทำตัวอ่อนโยนแบบนี้ด้วยเลย สู้ทำตัวแย่ๆให้รู้สึกเกลียดเหมือนเดิมยังดีกว่า ถ้ายังทำตัวดีแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ ถึงแม้ไม่ควรคิดแบบนี้ แต่ผมไม่สามารถห้ามความคิดแย่ๆนี้ได้เลย ยิ่งชอบหยอด ชอบแหย่ พูดจาเป็นเจ้าของ บางเวลาก็ชอบทำตัวลามกใส่ แม้ลึกๆจะรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไรเลยก็ตาม แต่เสี้ยวหนึ่งก็อดรู้สึกดีไม่น้อยเลย



ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ถ้าเห็นมันจูบกับคนอื่น จะรู้สึกเฉยๆเหมือนเมื่อก่อนได้หรือเปล่า ถ้ามันพาผู้หญิงมามั่วที่บ้าน หรือเห็นมันทำตัวดีกับคนอื่นไปทั่วเหมือนที่กำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้ ผมจะรู้สึกแย่ขนาดไหน

 

ไม่มีอะไรรับประกันได้เลย ว่าสุดท้ายผมจะไม่เจ็บ

 

บางที ผมอาจจะรู้สึกชอบมันแล้วก็ได้…

 

ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องที่คิดว่าจะเอาบ้านคืนมาง่ายๆ เพียงแค่ทนอยู่กับคนอย่างมันให้รอด จะไม่รอดเพราะใจผมเอง หลังจากนี้ผมต้องเว้นระยะห่างกับพี่เนลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ต้องรีบถอยหลังกลับไปที่จุดเดิมให้ได้ เรื่องนี้มันต้องจบลงโดยที่ผมต้องไม่พลาดให้กับมัน

 

“พี่เนล” ผมเรียกมันเสียงแผ่ว



“หือว่าไง หิวน้ำเหรอ” ร่างสูงวางหนังสือลง เอือมมือไปหยิบแก้ว เทน้ำใส่ ก่อนยื่นมาให้ผม



“ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนั้นก็ได้ มันไม่ชิน” ผมบอกมันไปตรงๆ พร้อมรับแก้วจากมือหนา ยิ่งมันทำดีด้วยเท่าไหร่ ผมจะยิ่งลำบากเท่านั้น



ต่อจากนี้ต้องรักษาระยะห่างเอาไว้



เพื่อเป็นเกาะป้องกันตัวเอง เงินล้านหนึ่งผมไม่มีปัญญาคืนมันหรอก



เพราะฉนั้น เกมนี้ผมจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด



“ไม่ได้หรอก” พี่เนลพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน “กูเป็นห่วง…”



“ถ้าห่วงก็ช่วยอยู่ห่างๆจะดีต่อผมมาก” ผมตอบมันไปแบบไร้เยื่อใย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวผมเอง เกมนี้เราไม่ควรใกล้ชิดกันตั้งแต่แรกแล้ว ควรต่างคนต่างอยู่ตามข้อตกลงที่พี่มันสร้างมากกว่า ถึงแม้ผมแทบจะไม่เคยล้ำเส้นมันเลย แต่มันกลับทำตัวล้ำเส้นผมซะเอง เหมือนข้อตกลงมันถูกออกแบบมาใช้กับผม แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยปฏิบัติมันได้



“ทำไมมึงถึงพูดแบบนั้น…” สีหน้ามันดูไม่ดี เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมสื่ออกไป “กูทำอะไรให้มึงไม่พอใจหรือเปล่า”



“ต่อจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก ยกเว้นพวกงานต่างๆที่เรามีสัญญาต่อกันเท่านั้น ส่วนพี่ก็เลิกยุ่งกับผมนอกจากเวลางานได้แล้ว”



“ไอ้ภีม…มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”



“มันควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว หวังว่าพี่จะเคารพข้อตกลง” ผมใจแข็งพูดออกไป ทำหน้านิ่งราวกลับไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบๆก็เถอะ แต่ควรตัดไฟแต่ต้นลม เรื่องนี้ผมเอาตัวเองเข้ามาถลำลึกเกินไป



“มึงโกรธอะไร บอกกูสิ” พี่เนลจับแขนผมไว้แน่น “ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมา อย่าทำตัวงี่เง่าใส่กู!” มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม



“ผมง่วงแล้ว” ผมพูดตัดบท สองขาก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ประตู เพื่อกลับห้องของตัวเอง



“จะไปไหน”



“กลับห้องครับ”



“นอนห้องกูเนี่ยแหละ”



“ไม่ดีกว่าครับ”



“ไม่พอใจอะไรก็บอกกูมาสิวะ ไม่ใช่ทำตัวประชดแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ทำอะไรทำไมไม่คิด!! มึงไม่รู้หรอกว่ากูเป็นห่วงขนาดไหน กูแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วตอนมึงหายไป ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามึงคงเบื่อจนกลับบ้าน พอมาถึงมึงก็ไม่อยู่ ตอนนั้นกูทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คิดต่างๆนาๆเหมือนคนเสียสติ สุดท้ายมาเจอมึงนอนนิ่งอยู่ข้างทาง ใจกูเสียแค่ไหน ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกกูบ้างวะ” พี่เนลพูดสิ่งที่เก็บกดมาเป็นชุด ผมทำได้เพียงรับฟังเงียบๆ ก่อนจะพูดออกไป

 

“ฝันดีนะครับ เจ้านาย”

 

พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ผมผิดเอง…

 

ให้เวลาผมทำใจหน่อยนะ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ผมจะกลับมารู้สึกเฉยๆเวลาที่เห็นพี่จูบกับคนอื่น...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2018 18:33:03 โดย Gansa »

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
สงสารภีมมม
พี่เนล พี่ต้องรุ้ใจตัวเองได้แล้วนะ
เห้ออออออออ
 :hao5:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ท้ายที่สุด คนที่เจ็บก็คือภีม,,,

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หน่วงจัง

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Wtftt

  • โอกาสก็เหมือนไอติมถ้าไม่กินมันก็ละลาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รีบมสอัพอีกนะ จะร้องไห้ สงสารทั้งคู่

ออฟไลน์ nidasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารภีม

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
หน่วงมากกกกกกก ฉันทนไม่ไหวแล้ววสส

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เนล...เอ็งลืมสัญญาแล้วชะ?

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 24 โกรธ
(Part ภีม)
(1/2)



    น่าแปลก…ทั้งๆที่เมื่อคืนจำได้ว่ากลับไปนอนห้องตัวเองแล้วแท้ๆ… ทำไมตอนนี้ผมถึงได้มาอยู่บนเตียงของพี่เนลอีกแล้ว ให้เดามันคงไปแบกผมกลับมาแน่ๆ ว่าแต่เจ้าตัวหายไปไหนแล้ว สายตามองหาคนที่พาผมมาจนทั่ว แต่กลับไม่พบมันเลย ข้างๆตัวมีถุงกระดาษ กับเงินสด แถมโน๊ตใบเล็กๆแผ่นหนึ่งแนบมาด้วย เขียนว่า ‘เสื้อผ้ากับเงินเดือนมึง’

 

ผมจึงหยิบเงินปึกหนึ่งที่วางข้างตัวขึ้นมานับทีละใบ รวมๆ 18 ใบได้ ซึ่งผมเคยขอมันไว้ที่ 1 หมื่น จะว่าให้มาเกินกว่าจำนวนก็แปลกๆ เพราะมันจะเกินมาถึง 8 ใบเลยหรือไง ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนสำรวจถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างๆแทน ข้างในเป็นเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ กับชุดนอนอีก 1 เซตลายน้องหมา กับผ้าปิดตาลายคอร์กี้ ซึ่งน่าตกใจมากๆที่คนอย่างพี่เนลจะซื้อของแบบนี้ให้ ไม่รู้สิครับ คนแบบมันไม่น่ามีรสนิยมชอบของน่ารักแบบนี้ แถมเอาให้ผมด้วยแล้วยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตอนที่ผมใส่ชุดหมาของไอ้เหม่ย มันก็ทำตัวโวยวายยกใหญ่ จนผมคิดว่ามันเกลียดอะไรพวกนี้เสียอีก และผมสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ใส่ให้ใครเห็นอีก

 

ผมว่ามันให้ผิดถุงแน่ๆ



ผมหยิบเงินแค่ 1 หมื่นขึ้นมา ก่อนค่อยๆลุกจากที่นอน เดินกลับห้องของตัวเอง

ดันมีปัญหา จนลืมซักผ้า โชคดีวันนี้เรียนบ่าย ผมจึงตั้งใจใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ จัดการปั่นกองมรสุมเสื้อผ้าที่ดองเอาไว้ แห้งทันไม่ทันก็อยู่ที่ดวงละวะ เปิดประตูเดินเข้าห้องไป ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่น่าจะกองทับกันอยู่ในตะกร้า ถูกแขวนเรียงกันเป็นระเบียบตรงราว ชุดนิสิตก็ถูกรีดเรียบร้อย แถมเศษกระจกที่แตกตรงพื้นก็ถูกเก็บกวาดไปแล้วด้วย



ฝีมือพี่เนลเหรอ…



ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ กับสิ่งที่มันทำ แต่คิดมากไปก็พลางจะทำให้ปวดหัวเสียเปล่าๆ จึงเดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ ก่อนลงมาชั้นล่าง เพื่อหาอะไรง่ายๆกินสักหน่อย



สายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่ยืนกินน้ำอยู่หน้าตู้เย็น วันนี้มันใส่ชุดนิสิต ชายเสื้อหลุดลุ่ย กับเสื้อคลุมคณะ มีตัวอักษร Engineer ปักติดกลางหลัง พี่เนลมองผมด้วยหางตา ในท่ายกแก้วน้ำดื่ม



ผมมองหน้ามันครู่หนึ่ง รู้สึกถึงบรรยาการศอึมครึมที่แผ่ออกมาจากตัวมัน ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเลย จึงรีบพูดทำลายบรรยากาศทันที



“เอ่อ..เสื้อผ้าในห้องผม พี่เป็นคนเอาไปซักเหรอครับ”



ดูเหมือนว่าผมจะพูดเบาเกินไป คนตรงหน้าผมถึงได้ทำเมิน ไม่สนใจ จึงถามย้ำไปอีกรอบ



"เสื้อผ้าผม..."



คลื่น คลื่น



พี่เนลวางแก้วลง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมากดรับ



“ครับน้องเนย พี่กำลังออกไป”



“ครับ รอพี่แปปหนึ่งนะ”



“ครับผม”



พี่เนลยกยิ้มก่อนกดวางสาย เดินผ่านผมไปเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก ไม่มีแม้แลหางตามามองเลย แถมยังเมินคำถามที่ผมถามออกไป เหมือนเป็นแค่เสียงลมเท่านั้น…

 

แบบนี้แหละ ดีแล้ว…

 

พี่ทำถูกแล้ว…

 

นี่แหละ ที่ผมต้องการ

 

อย่ามายุ่งเกี่ยวกับผม ให้รู้สึกดีเลย

 

ผมกัดปากตัวเองจนห้อเลือด นั่งมองแก้วน้ำ ที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ด้วยอารมณ์ที่ปวดหนึบไปหมด เวลาช่วงเช้าผมผ่านไปช้าพอสมควร มันรู้สึกวูบโหวงในใจแปลกๆ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของใครบางคน จนพาจิตฟุ้งซ่านไปหมด….

--------------------------------------------


ตอนเที่ยงไอ้ซานมารับผมไปกินข้าวด้วย ก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย มันพามาร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งแถวมหาลัย ราคาโหดเอาเรื่องเลย แต่ในเมื่อไอ้ซานมันเลี้ยง ผมก็ไม่ท้วงอะไรทั้งนั้น มันสั่งสปาเก็ตตี้ซี่โครงหมูอบซอสมาให้จานหนึ่ง หน้าตาดูดีใช้ได้ รสชาติก็ถือว่าถูกปากสมราคา เลยจ้วงกินอย่างไม่อายสายตาไอ้ซาน ที่เอามือเท้าคางมองอยู่



“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” ไอ้ซานเอามือไปหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปากให้ “ดูๆ เลอะหมดแล้ว น่าเกียจว่ะ ฮ่าๆ” มันพูดไปหัวเราะไป



“หุบปากไปเลย แดกของมึงไป เรียนบ่ายโมงนะ ไม่ใช่เรียน 5 โมง เร็ว!” ผมเร่งมันเสียงเข้ม เมื่อเห็นเพื่อนยังใจเย็นอยู่ คาบบ่ายเจอเจ๊บุศลิณทร์นะโว้ย รายนั้นเรทแกเช็คขาดลูกเดียว ไม่มีการปราณีอะไรทั้งนั้น โหดสมกับหน้าตาเจ๊แกนั่นแหละ



“เอ่อๆ อย่าโมโหเพื่อกรบเกลื่อนความตะกละของมึง!” ไอ้ซานดีดหน้าผากผมหนึ่งที จนผมต้องเอามือลูบปอยๆ หันไปทำหน้ายักษ์ใส่มัน นับมันยิ่งเป็นคนรุนแรงนะมึง



“นี่! ดีดกูเหรอ” ผมดีดมันคืนบ้าง ไอ้ซานทำหน้าดุใส่ ก่อนยัดเฟรนฟรายใส่ปากผม ผมจึงเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยยั่วโมโหมัน



“เล่นอยู่ได้ แดกๆไป” มันยกซ้อมขึ้นมาขู่ ผมได้แต่ขำกับท่าทางจริงจังของมัน ก่อนจะหันกลับมาสนใจอาหารในจาน สายตาดันไปเห็นใครบางคนที่ยืนมองอยู่หน้าร้านผ่านกระจกใส รอยยิ้มตรงมุมปากผมค่อยๆหุบลงทีละนิด เราสบตากันอย่างนั้นไม่มีใครละไปไหน สายตาที่อีกฝ่ายมองมามีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ที่ผมรู้สึกได้ในตอนนี้… ยิ่งมองยิ่งเหมือนคนแปลกหน้า



เป็นพี่เนลเองที่หลบตาก่อน ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่แวบหนึ่งสายตาวางเปล่านั่นเปลี่ยนเป็นสั่นไหว ถึงแม้จะแวบเดียว แต่ผมก็รับรู้ได้



มันโอบไหล่ผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดอะไรกับเธอสักอย่าง ก้มลงไปหอมหน้าผากมน ก่อนจับมือเธอเดินไปที่รถคันหรูที่จอดอยู่อย่างรวดเร็ว ขับออกไปจนลับสายตา



“วันนี้มาแปลกแฮะ ปกติจะเข้ามาต่อยหน้ากูคว่ำแล้วนะนั่น” ไอ้ซานที่มองตามพี่เนล หันมาพูดกับผม



“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมตอบมันไปแต่สายตากลับไม่ได้มองคนที่คุยด้วยเลย พอเห็นหน้ามันความรู้สึกผมก็กลับมาดิ่งลงเหวอีกครั้ง



“ทะเลาะกันมาเหรอวะ” ไอ้ซานถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ผมได้แต่ส่ายหัวให้มัน



“รีบกินเถอะ จะได้ไปเรียน” ผมพูดเสียงเบา รู้สึกเหนื่อยยังไงก็ไม่รู้



“อืม ถ้ามึงพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ก็บอกนะ กูรอได้เสมอ”



“อืม” ผมตอบรับไอ้ซานไป ก่อนหันมากินสปาเก็ตตี้ในจานต่อ

 

น่าแปลก…ที่ผมรู้สึกไม่อร่อยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

---------------------------------------------------------


 หลังจากเรียนเสร็จผมก็ไปทำงานที่ร้านพี่อ้อยต่อทันที วันนี้ความรู้สึกผมมันหดหู่ไปหมด ในหัวคิดแต่เรื่องของพี่เนล นั่งเหม่อจนไม่เป็นอันเรียน เสียงของอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องก็เหมือนเสียงลมที่พัดผ่าน จนไอ้ซานที่นั่งข้างๆสกิดผมหลายทีอย่างเป็นห่วง

 

“เลคเชอร์กู เอาไปอ่านให้เข้าหัวด้วย” ไอ้ซานยื่นสมุดที่นั่งจดในคาบที่แล้วมาให้ “มีเรื่องหนักใจอะไร ก็ปล่อยวางบ้าง เดี๋ยวมึงก็ตายแล้ว”

 

“สัด” ผมสบถด่ามัน ก่อนรับสมุดจากมือหนา มาใส่กระเป๋า ไอ้ซานเอามือมาขยี้หัวผมเล่นจนยุ่งเหยิง ปัดมือมันออก ก่อนที่ทรงผมจะเสียทรงไปมากกว่านี้ หมดหล่อสาวไม่แลกันพอดี

 

“กูไปก่อนนะ” มันโบกมือลา ผมพยักหน้าให้ ก่อนเดินเข้าไปในร้านพี่อ้อย วันนี้ก็คนเยอะเหมือนเดิม พี่อ้อยก็ยังคงทำงานวุ่นอยู่หลังร้าน ผมเดินเข้าไปทักทายพี่แกเหมือนทุกที พร้อมเปลี่ยนชุดพนักงานตามระเบียบ และออกมารับออเดอร์หน้าร้าน

 

“เอ้า เร็วๆ ก่อนที่จะไม่มีโต๊ะให้พวกมึงนั่ง” พี่ฟิวที่เดินเข้ามาก่อน เร่งเพื่อนอีก 4 คนให้รีบเร่งฝีเท้า

 

“อู้ว ตรงนั้นว่างพอดี” พี่ฟิวเดินดุ่มๆ มาตรงโต๊ะ ใกล้ๆกับที่ผมยืนรับออเดอร์อยู่ พี่มันหันมาทักทายผมตามประสาคนรู้จัก ก่อนกวักมือเรียกเพื่อนหยิกๆ

 

“เร็วสิวะ มึงคิดว่าตัวเองมาเดินแบบอยู่หรือไง กว่าจะถึงโต๊ะ น้ำย่อยคงย่อยกะเพาะกูเกลี้ยงแล้ว” พี่ฟิวหันไปเร่งเพื่อนที่ยังเดินเนิบนาบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ช้าสุดในกลุ่มเห็นจะเป็นพี่เนล ที่ทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้มา

 

หลังจากแก๊งนั้นมานั่งกันครบแล้ว พี่ฟิวก็หยิบปากกามาจดเมนูหยิกๆ ก่อนยืนให้พี่เนลที่นั่งริมสุด ร่างสูงจำใจลุกขึ้น หลังจากโดนเพื่อนในกลุ่มไล่ให้ออกมา มันสาวเท้าเดินมาทางผม ผมจึงเอื้อมมือออกไปหวังรับใบออเดอร์ แต่เจ้าตัวกลับเดินผ่านผมไปที่เคาน์เตอร์ วางเมนูไว้ตรงนั้น แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะดังเดิม

 

เพื่อนในกลุ่มได้แต่มองหน้ากันอย่างอึ้งๆ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เห็นอย่างนั้นจึงไปหยิบเมนูตรงเคาน์เตอร์ เดินเอาไปให้พี่อ้อยที่ครัว รอไม่นานเมนูก็เสร็จ ผมเอาไปเสิร์ฟให้พวกพี่เขา พี่ฟิวชวนผมคุยเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึมครึมจนเกินไป มันก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคายลงบ้าง

 

“น้องคะ” จู่ๆพี่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็ยกมือเรียก ผมไม่แน่ใจว่าเรียกใคร แต่สายตาพี่แกจ้องมาทางผม เลยเอานิ้วชี้ไปที่ตัวเอง

 

“ใช่ค่ะ น้องนั่นแหละ” พี่แกยืนยัน ผมจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะพี่เขา โต๊ะนี้เป็นกลุ่มผู้หญิงราวๆ 5-6 คน แต่ละคนแจ่มๆทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ยกมือเรียกผม นมนี่นำหน้ามาเลยครับ

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามออกไปอย่างสุภาพ

 

“น่ารักจัง มีแฟนยัง” หือ? พี่เขาถามว่าอะไรนะ

 

“ทำไมต้องทำหน้างงแบบนั้นล่ะ พี่แค่ถามว่ามีแฟนยัง น้องแค่ตอบว่า มี หรือ ไม่มีแค่นั้นเอง” สาวสวยติดเซ็กซี่ เอาหน้าอกสะบึ้มนั่นมาถูกับแขนผม

 

“เอ่อ….” ผมอ้ำอึ้ง ก็ดีใจอยู่หรอกนะ ที่ผู้หญิงระดับนี้มาอ่อย แต่สถานการณ์แบบนี้ผมว่ามันไม่เหมาะ หันไปมองพี่เนลที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีสนใจผมเลย มันตักข้าวกินด้วยใบหน้าเรียบเฉย จะมีแต่พี่ฟง พี่ฟิว และพี่แจ็คเท่านั้นที่มองผมอยู่

 

“ว่าไง มีหรือไม่มีจ๊ะ แต่ดูจากตอนที่โดนเนื้อตัวพี่ แล้วตกใจแบบนี้ น่าจะไม่เคยสินะ” พี่คนสวยเอามือมาลูบแขนผมเล่น

 

“ครับ..” ผมตอบเธอออกไป เหงื่อเม็ดใหญ่ฝุดซึมตามรูขุมขน “ถ้าไม่มีอะไร ผมขอตัวไปรับออเดอร์โต๊ะนั้นก่อนนะครับ” ผมชี้โต๊ะไปมั่ว

 

“เดี๋ยวสิจ๊ะ” พี่แกไม่ยอมแพ้ ดึงผมให้เข้าไปหาเธออีก

 

“เขินเหรอจ๊ะ หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย” พี่แกเอานิ้วมาเขี่ยเส้นผมเล่น บอกตรงๆเลย ว่าเขินครับ อยู่ใกล้ผู้หญิงแล้วเหมือหัวใจล้มเหลว ชีวิตนี้ไม่เคยมีแฟน มาโดนรุกหนักแบบนี้ มันทำตัวไม่ถูกเลย

 

“ไอ้เนล เมียมึงจะโดนคาบไปแดกแล้ว ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ” พี่แจ็คที่นั่งข้างๆเอานิ้วไปสกิดพี่เนลหนึ่งที เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผมนิ่ง ก่อนหันไปตอบเพื่อนเสียงเรียบ

 

“จะให้กูรู้สึกอะไร”

 

เจ็บปวด…

 

“ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย มันจะโดนคาบไปแดกที่ไหนก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับกู อีกอย่างมันไม่ใช่เมียกู มันเป็นแค่ลูกน้อง เรียนภาษาไทยมาทั้งชีวิต ใช้คำเรียกให้ถูกด้วย”

 

เจ็บกว่า…

 

“รีบกินได้แล้ว กูไม่ได้มีเวลามากขนาดที่รอมึงเสือกเรื่องของคนอื่น กูมีนัดกับน้องครีมต่อ” พูดจบก็ตักข้าวกินต่อ

 

เจ็บที่สุด…

 

“ว่าไงจ๊ะ” พี่คนสวยถามย้ำ ทำให้ผมหันมาสนใจเธออีกครั้ง

 

“ว่าอะไรนะครับ” ผมเลิกคิ้วถาม

 

“ไม่ได้ฟังพี่เลยเหรอ เสียใจจัง หรือพี่ไม่สวยพอที่น้องจะสนใจ” เธอตัดเพ้อ

 

“ไม่หรอกครับ พี่สวย” แต่ผมดันไปชอบไอ้โง่ที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆแล้วน่ะสิ ถ้าเราเจอกันก่อน พี่อาจจะมีความหวังก็ได้

 

“งั้นพี่ขอไอดีไลน์หน่อยสิ ได้ไหม” เธอส่งสายตาเว้าวอนมาให้

 

“เอ่อ.. ผมว่า…”

 

“งั้นสแกนคิวอาร์โค้ดเลยดีกว่า” เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ขึ้นมา โชว์หน้าแสกนคิวอาร์โค้ด ยื่นมาตรงหน้าผม “ขอคิวอาร์โค้ดของน้องหน่อยสิ ถ้าได้มาสัญญาว่าจะทักมาจีบทุกวันเลย” พร้อมทำท่าเขินอาย

 

“ฮิ้วววว เอาแล้วโว้ยย จะได้ผัวก็คราวนี้แหละ อีหยกยี๋” เพื่อนในกลุ่มรีบตะโกนแซว จนเธอต้องเอามือไปตีแขนเพื่อนเป็นการห้าม

 

“ยังไม่ได้ ใจเย็นๆสิ” เธอทำหน้าดุ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีในเวลาต่อมา พร้อมพูดเสียงสองอย่างดัดจริต “รอได้กันก่อน ค่อยแซววว”

 

เพื่อนในกลุ่มเธอต่างหัวเราะกับท่าทางของพี่ส่วนมอึ๋ม เธอก็ได้แต่บิดตัวไปมาอย่างเขินๆ

 

แต่ผมกลับรู้สึกร้อนๆหนาวๆยังไงก็ไม่รู้

 

“พี่อ่อยขนาดนี้แล้ว ให้พี่เถอะ เห็นความพยายามกันหน่อย”

 

มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าปฏิเสธไปก็กลัวเธอเสียหน้า ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดหน้าคิวอาร์โค้ด แล้วยื่นส่งให้เธอ พี่สาวนมอึ๋มทำหน้าดีใจ รับโทรศัพท์จากมือผมไป ท่าทางระริกระรี้

 

ปึง!**

 

พี่เนลตบโต๊ะเสียงดัง จนผมสะดุ้ง หันไปมอง มันลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนสาวเท้าก้าวยาวๆออกจากร้านไป ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองไปที่มัน

 

“อั๊ยหยา อั้วว่ามันไม่ธรรมดาแล้วหนา” พี่ฟิวสบถออกมา

 

“อาการหนักแล้ว” พี่ฟงพูด เอามือมาจับคางตัวเองอย่างใช้ความคิด

 

“ฝากจ่ายด้วย กูไปตามไอ้เนลก่อน” พี่แจ็คหันไปบอกเพื่อน ก่อนวิ่งตามพี่เนลออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่เหลือก็รีบเอาเงินวางไว้บนโต๊ะ และตามพี่แจ็คไปติดๆ

 

“ขอโทษนะครับ ผมขอมือถือผมคืนด้วย พอดีต้องไปทำงานต่อแล้ว” ผมหันไปพูดกับสาวสวยข้างตัว ที่ยังนั่งอึ้งกับการกระทำของพี่เนลเมื่อกี้

 

“เอ่อ…แต่พี่ยังไม่ได้แอดน้องเลยนะ” เธอทำหน้าเสียดาย

 

“ขออภัยจริงๆนะครับ” ผมดึงโทรศัพท์จากมือสวย รีบสาวเท้าออกมาทำงานตัวเองต่อ โดยไม่สนใจเสียงแว๊ดๆของเธออีก

 

เวลาล่วงเลยมา 2 ทุ่ม ถึงเวลาปิดร้าน ผมช่วยพี่อ้อยเก็บของในร้านเสร็จ หยิบกระเป๋า ออกไปเตรียมค่ายต่อ สายตาดันไปเห็นผู้ชายที่ผมคุ้นตาดีนั่งตบยุงรออยู่หน้าร้าน

 

“พ่อ…” ผมอุทานออกมาเสียงเบา เข่าแทบทรุดกับพื้นเมื่อเห็นสภาพผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ท่านผอมมาก ผอมจนผมตกใจ

 

“ภีมลูกพ่อ..” ท่านเข้ามากอดผมแน่น

 

“ทำไมพ่อผอมแบบนี้ล่ะครับ ไม่ได้กินข้าวหรือไง” ผมขมวดคิ้วยุ่ง จับแขนท่าน สายตาก็สำรวจท่านไปพลาง

 

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ วันนี้พ่อมาเอาเงิน 1 หมื่นที่ขอเอาไว้” ท่านจับแขนผมแน่น “ลูกมีให้พ่ออยู่ใช่ไหม”

 

“ครับ” ผมตอบท่านไป ก่อนหยิบเงินที่พี่เนลให้เมื่อเช้า ยื่นให้ท่าน พ่อทำหน้าตาดีใจ เข้ามากอดผมอีกครั้ง พลางเขย่าตัวผมไปด้วย

 

“ขอบใจมากนะภีม ขอบใจมากลูก”

 

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พ่อกินข้าวมาหรือยัง” ผมถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เพราะสภาพท่านตอนนี้มันแย่กว่าผมเสียอีก

 

“ยังเลยลูก” ท่านตอบเสียอ่อนระโหย

 

“งั้นเดี๋ยวผมพาไปกินข้าวต้มแถวนี้ แล้วกันนะครับ” ผมเสนอ ท่านไม่ได้ปฏิเสธอะไร

จึงพาท่านเดินต่ออีกนิดหน่อย ก็ถึงร้านข้าวต้มชงเทพ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านพี่อ้อยสักเท่าไหร่ ร้านนี้ เปิดตั้งแต่ 1 ทุ่ม ยันตี 4 ถือเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่อร่อยที่สุดร้านหนึ่งเลยล่ะครับ พอมาถึงผมก็จัดการสั่งพิเศษให้ท่าน รอไม่นานชามข้าวต้มไซส์ยักษ์ก็มาเสริฟ ท่านจัดการกินอย่างหิวกระหาย ส่วนผมก็ได้แต่มองอยู่เงียบๆ

 

“ว่าแต่ เงินเดือนที่ทำงานร้านนั้นจะออกเมื่อไหร่ลูก” จู่ๆท่านก็ถามออกมา ทั้งๆที่ข้าวยังคาปากอยู่

ร้านที่พ่อหมายถึงน่าจะเป็นร้านของพี่อ้อยนั่นแหละ

 

“อาทิตย์หน้าครับ”

 

พ่อกลืนข้าวลงคอ ตามด้วยดื่มน้ำ “ดีเลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพ่อมาเอาอีกนะ”

 

“ครับ…” ผมตอบเสียงแผ่ว ยังไม่ทันได้ก็จะหายไปอีกแล้ว…

 

ระหว่างนั้น พ่อก็เล่าเรื่องที่ต้องทนลำบาก หาเงินมาใช้หนี้ จากพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดที่ขุดรีดเอาดอกเบี้ยโหด เงินต้นยังไม่ได้คืน ทุกวันนี้ท่านต้องหาเงินมาจ่ายดอกที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้น จนต้องยอมอดมื้อกินมื้อเพื่อให้ได้เงินมาจ่ายพวกมัน

 

เห็นสภาพท่านแบบนี้ ผมยิ่งบอกตัวเองว่าจะท้อไม่ได้ ตราบใดที่ครอบครัวยังลำบาก ผมต้องสู้

ถึงจะโดนพี่เนลมันทำร้ายจิตใจแค่ไหน ผมก็ต้องทนให้ได้ ต่อให้ตอนจบผมจะโดนทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดีก็ตาม

 

ผมหยิบกระดาษบนโต๊ะ ฉีกออกมา จดเบอร์ตัวเองลงไป แล้วยื่นไปให้พ่อ “นี่เบอร์ผม ถ้ามีเรื่องลำบากอะไรรีบโทรมาเลยนะครับ”

 

ท่านรับไป เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ลูกมีโทรศัพท์ด้วยเหรอ?”

 

“ครับ พอดีเพื่อนได้มาฟรี…” ผมหยิบออกมาให้ท่านดู ยังพูดไม่จบท่านก็หยิบมือถือของผมไป

 

“รุ่นนี้แพงด้วยนะ พ่อขอยืมไปจำนำก่อนได้ไหม”

 

“แต่มันไม่ใช่ของผม เป็นขอไอ้ซาน” ผมทำท่าลำบากใจ ถึงจะเป็นของที่มันบอกว่าได้มาฟรีก็เถอะ แต่มูลค่าของเครื่องก็สูงอยู่ดี ถ้าเอาไปจำนำก็ได้หลายบาทอยู่เหมือนกัน

 

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อยืมแปปเดียว เดี๋ยวพอหนี้หมด พ่อสัญญาว่าจะไปถอนคืนให้”

 

“แต่…”

 

“นะลูก พ่อต้องการใช้เงินจริงๆ ซานคงเข้าใจ ลูกบอกว่าได้มาฟรีใช่ไหมล่ะ”

 

“ใช่ครับ แต่มันก็เป็นของไอ้ซาน เราไม่ควรเอาของคนอื่นมาจำนำแบบนี้นะพ่อ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกลูก เพื่อนมันเอาให้ลูกมาใช้ขนาดนี้ มันคงไม่คิดจะเอาคืนหรอก ให้พ่อยืมก่อนนะ”

 

“….”

 

พ่อที่เห็นผมเงียบนาน ท่านก็รีบพูดต่อ “ถ้าไม่รีบหาเงินไปคืน พวกนั้นซ้อมพ่อตายแน่ๆเลย แค่ทุกวันนี้พ่อก็แทบอดมื้อกินมื้อเพื่อหาเงินใช้หนี้อยู่แล้ว นะภีมนะ ทำเพื่อพ่อได้ไหม” พ่อจับมือผมไว้แน่น มือแกร่งของท่านติดสั่น จนผมอดสงสารไม่ได้

 

“...”





“นะภีม พ่อขอร้องล่ะ” ท่านยกมือไหว้อย่างคนอับจนหนทาง “ช่วยพ่อด้วย”



“....”



“จะให้พ่อกราบลูกตรงนี้เลยก็ได้ พ่อหมดหนทางจริงๆ ช่วยพ่อหน่อยนะ ”ท่านลุกขึ้น เดินมาหาผม ก่อนคุกเข่าลง ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปห้ามท่านไว้ ก่อนที่จะทำเรื่องที่ไม่สมควร


“พ่อรู้ว่าพ่อเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน ทำให้ลูกลำบากอยู่เรื่อย แต่พ่อสัญญาว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย พ่อจะไม่ทำให้ภีมลำบากอีก เชื่อใจพ่อนะ”


“เอ่อ...” ลำบากใจว่ะ



“ภีมคงไม่อยากเห็นพ่อโดนยิงตายหรอกใช่ไหม”



“ครับ”



“งั้นช่วยพ่อหน่อนะ..”



“เอ่อ....ครับ…แต่ถ้าหนี้หมด พ่อต้องรีบถอยคืนเพื่อนผมทันทีเลยนะ”

 



“ได้สิ พ่อสัญญา”



เฮ้อออ จะไปบอกกับไอ้ซานยังไงดีวะเนี่ย



 




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 23:04:39 โดย Gansa »

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
อ่าววววว นายเอกโง่จริงๆเหรอเรื่องนี้ ตอนแรกว่าเฉยๆ แต่ตอนนี้หนักไปขั้นกว่าอีก ="=

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เมื่อไหร่พ่อภีมจะเลิกการพนันได้จริง ๆ ซักที

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
พ่อบ้าอะไร  เลวขนาดนี้ เอาเงินไปลงบ่อนอีกรึเปล่าก็ไม่รุ้
จะต้องเอาเงินจากลูกแค่ไหนถึงจะพอ
คือเอาไปหมื่น เงินเดือนออกก็จะมาเอา
คิดจะให้ลูกมันมีกินมีใช้บ้างมั้ย
มือถือก็จะเอาของลูกไปจำนำ ไถ่คืนได้จริงหรอ
สงสารภีม ชีวิตที่มันต้องซวยทุกวันนี้ก็เพราะพ่อแบบนี้จริงๆ

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
หุ้วววว หงุดหงิดไปหมด อินเกิน 555555

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ชีวิตภีม ทำไมลำบากขนาดนี้!!!

ร้องไห้,,,

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พ่อประสาอะไรเนี่ย!!!!

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โกรธ
(2/2)


ผมไม่ได้คุยกับพี่เนลมาหลายวันแล้ว ช่วงนี้มันไม่ค่อยอยู่บ้านเลย บางวันก็ไม่กลับ หรือบางครั้งก็กลับอีกทีเช้าเลย แต่ทุกครั้งมันจะหิ้วผู้หญิงกลับมาด้วยตลอด ส่วนผมก็ยุ่งกับการเตรียมค่ายกับหาเงินจนไม่มีเวลามานั่งคิดถึงมัน ถึงแม้บางครั้งที่อยู่คนเดียวจะรู้สึกเหงาขึ้นมาบ้าง ก็หาอะไรทำให้ตัวเองยุ่งอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว

 
ส่วนเรื่องโทรศัพท์ของไอ้ซาน ผมบอกและขอโทษมันไปแล้ว ไอ้ซานดูสตั้นไปเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้โกรธอะไร มันทำได้แค่หัวเราะแห้งๆออกมา ดูก็รู้ว่ามันคงเสียความรู้สึกอยู่เหมือนกัน และผมก็รู้สึกผิดกับมันมาก ผมคอยบอกขอโทษตลอด แต่มันก็ทำได้แค่ยิ้มตอบกับมาว่า “ไม่เป็นไร”ทุกครั้ง

 
วันนี้พี่ท็อปนัดประชุมที่ห้องสโลปตอน 5 โมงอย่างกะทันหัน ทำให้ผมกับเพื่อนในค่ายอีก 100 กว่าชีวิตต้องมานั่งฟังพี่แกชี้แจงเรื่องกิจกรรมค่าย พี่ท็อปเปิดคลิปให้ดู ความยาวประมาณ 15 นาทีได้ มันเป็นคลิปประมวลกิจกรรมตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย ปีที่แล้วไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนในชนบทแห่งหนึ่งที่จังหวัดพิษณุโลก

 
 “ช่วง 8 โมง – 4 โมง เราจะสอนหนังสือตามแผนการที่พี่ให้ไป จะมีกิจกรรมให้น้องตอน 5 โมง ถึง 1 ทุ่ม พี่แบ่งกลุ่มให้แล้ว ไปคิดกิจกรรมมา แล้วส่งมาให้พี่ด้วย ไม่เกินวันศุกร์นี้” พี่ท็อปเริ่มพูดขึ้นมา หลังจากที่คลิปจบแล้ว

 

“พวกเราไปทั้งหมด 5 วัน คือช่วงวันหยุดยาวที่จะถึงนี้ 4 วันแรกเราจะเน้นวิชาการ ส่วนวันสุดท้ายจะเน้นกิจกรรม”

 
“อย่างที่เห็นในคลิป วันสุดท้ายเราต้องมีละครมาแสดงให้น้องดูในวันปิดค่าย ซึ่งละครเรื่องนี้จะถูกนำไปโปรโมทในเพจค่าย ส่องสว่างสู่การศึกษาของเรา เพื่อดึงดูดรุ่นน้องปีต่อๆไปให้มาค่ายด้วย”

 

“แน่นอน ปีที่แล้วได้น้องโป๊ปเดือนศึกษามาแสดง ปีนี้ถึงได้มีคนมาสมัครเยอะแยะขนาดนี้ เพราะฉะนั้นตัวเอกของเรา พี่อยากได้คนหน้าตาดี”

 

“บทพระเอก พี่ต้องการคนหล่อๆ อย่างน้องซานมาแสดง พี่คิดว่าน้องซานน่าจะดึงดูดคนมาค่ายปีหน้าได้เยอะเลย”

 

“ผมเหรอครับ” ไอ้ซานถามย้ำ มันทำหน้าอึ้งๆ เอานิ้วชี้เข้าหาตัวเอง

 

“ใช่น้องนั่นแหละ น้องเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเพราะพี่เลือกแล้ว เอ้าต่อไป…” พี่ท็อปรีบพูดตัดบทก่อนที่ไอ้ซานจะทักท้วง

 

ผมเห็นหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมันตอนนี้ก็อดขำไม่ไหว ไอ้ซานมันเล่นละครเป็นที่ไหน เคยเห็นมันแสดงละครตอน ม.ต้น เล่นแข็งฉิบหาย แข็งแข่งกับไอ้ทัศที่รับบทเป็นก้อนหินอยู่ข้างเวทีเลยพูดก็ตะกุกตะกัก จนกูนึกว่าแผ่นเสีย แต่ทุกครั้งที่พูดหน้านี่นิ่งเป็นหินแกรนิตเลย โคตรไร้อารมณ์

 

ไอ้เชี่ยเอ้ยยย อย่าเอามันมาเล่นเลย กูสงสารอนาคตของค่าย

 

“ขำอะไร” ไอ้ซานหันมาขมวดคิ้วยุ่งใส่ผม

 

“จะไหวเหรอมึง ฮ่าๆ”

 

“ไม่ไหว ไม่แสดง” มันตอบอย่างหนักแน่น

 

“แต่พี่ท็อปเลือกไปแล้วนะโว้ย ดูแล้วน่าจะกัดไม่ปล่อยด้วย ฮ่าๆ คิดถึงตอนมึงแสดงครั้งนั้นแล้วอดขำไม่ไหวจริงๆ” ผมตบไหล่ปลอบใจเพื่อนที่นั่งข้างๆ

 

“ขำมากเหรอมึง!” ไอ้ซานเอามือมาผลักตัวผมเบาๆ อย่างหมั่นใส้ ก่อนยกมือบอกพี่ท็อปอย่างกล้าหาญ “ผมแสดงไม่ได้ หาคนใหม่เถอะครับ”

 

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้มันฝึกกันได้ เดี๋ยวให้ไอ้ซันสอน แบบติวเข้มยันเช้าเลย มันเชี่ยวชาญเรื่องนี้” พี่ท็อปพูดอย่างมั่นใจในตัวเพื่อน แต่เรื่องนี้ไอ้ซานมันสอนยากนะครับ ถ้าไม่อินจริง อินเนอร์มันไม่ออกหรอก

 

“แต่…”

 

“พี่อยากได้น้องมาแสดงจริงๆ รูปร่าง หน้าตา นิสัย น้องตรงกับคาแรคเตอร์มาก รับรองละครปิดปีนี้ต้องเพอร์เฟคแน่ๆ น้องๆที่โรงเรียนชนบทต้องหลั่งน้ำตาอย่างซาบซึ้ง ถ้ามีน้องมาแสดงเป็นพระเอก” พี่ท็อปเอาปากกาชี้หน้าไอ้ซาน ก่อนจะหันกลับไปสนใจกระดาษกำหนดการในมือต่อ

 

ไอ้ซานได้แต่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างๆ เห็นมันเป็นแบบนี้เพื่อนที่ดีควรพูดให้กำลังใจมันหน่อย

 

“กูบอกแล้ว พี่แกไม่ยอมหรอก ทำใจเหอะไอ้ซาน ฮ่าๆ” มันอดขำไม่ได้จริงๆ จะได้เห็นไอ้ซานเฉิดฉายบนเวทีอีกแล้วเหรอวะ

ผมหันไปสนใจพี่ท็อปที่อยู่หน้าห้องต่อ พี่แกก็มอบหมายบทให้ นางเอกได้ มายด์ รัฐศาสตร์มาแสดงคู่กับไอ้ซาน ถือว่าพี่แกตาถึงมากนะครับ ดูสองคนนี้เคมีเข้ากันสุดๆ ถ้าผลงานออกมาน่าจะปังอยู่ระดับหนึ่งเลย

 

ปังปินาศ เพราะไอ้ซาน…

 

“ส่วนน้องทัศ…เอ่อ….เอ่อ…” ไอ้ทัศเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง ก็ทำท่าดี๊ด๊าใหญ่ ปากก็ท่องบทสวดไปด้วย

 

“เอาแล้ววะ กูจะแจ้งเกิดก็คราวนี้แหละ” ไอ้ทัศบ่นงึมงำอยู่คนเดียว

“ก้อนหิน” พี่ท็อปพูดจบก็จลดปากกาเขียน รายชื่อคนที่ได้แสดงหยิกๆ ไอ้ทัศที่ทำหน้ามีความหวังเป็นอันต้องห่อเหียวลงทันที

 

กูขออนุญาต สงสารมึงได้ไหม…

 

นักแสดงระดับแนวหน้ามาเจอกัน การพบกันของไอ้ซานและไอ้ทัศ ผมแทบนับวันรอดูไม่ไหวแล้ว

 

“โอเค คนที่มีรายชื่อแสดง พรุ่งนี้ให้มาเจอพี่ที่ใต้ตึกคณะ เวลา 17.30 น. นะ ส่วนคนที่ไม่มีก็ไปเตรียมของต่อเลย” พี่ท็อปพูดจบ ก็อยู่คุยกับเพื่อนในค่ายต่อสักแปปก่อนเดินออกไป พวกผมก็เดินตามออกมาติดๆ

 

วันนี้ไม่ต้องไปเตรียมค่ายเพราะพี่ท็อปหยุดให้วันหนึ่ง จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เคยเห็นหน้าพี่ซัน ประธานค่ายเลยสักครั้ง ส่วนมากมีอะไรติดต่อพี่ท็อปตลอด จนผมเริ่มอยากเห็นหน้าพี่แกขึ้นมาแล้ว

--------------------------------------------​

 

ไอ้ซานมาส่งผมที่ร้านพี่อ้อยเหมือนทุกวัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ พี่แกออกมายืนทำท่ากระอักกระอ่วนใจอยู่หน้าร้าน สายตากวาดมองไปทั่ว ซอยเท้าหยิกๆ ทำหน้าเหมือนคนกำลังคิดไม่ตก

 

ผมขมวดคิ้วงงกับท่าทางของแก แต่ก็เดินเข้าไปสกิดไหล่ ให้หันมาทางผม

 

“สวัสดีครับพี่อ้อย” ผมยกมือไหว้เหมือนทุกครั้ง

 

“สวัสดีจ่ะ….อะ อ่าว..น้องภีม” พี่อ้อยทำท่าตกใจเมื่อเห็นผม ประโยคหลังเสียงเริ่มแผ่วลง

 

“ขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีวันนี้มีนัดประชุมค่ายกะทันหัน” ผมรีบพูดขอโทษออกไปทันที พร้อมชี้แจงเหตุผลให้ฟัง “เดี๋ยวผมมาทำงานชดเชยที่ขาดไป พี่อย่าพึ่งหักเงินเดือนผมนะครับ”

 

ผมพูดขอความเมตตาจากสาววัยกลางคนตรงหน้า ต้องหาเงิน ถ้ามาโดนหัก ชีวิตผมแย่แน่ๆ

พี่อ้อยส่งยิ้มแห้งๆมาให้ พร้อมกัดริมฝีปากอย่างกังวล

 

“ว่าแต่…พี่มาทำอะไรหน้าร้าน วันนี้คนไม่มีเหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัย ปกติเวลานี้คนเยอะ พี่อ้อยต้องยุ่งอยู่ในครัวจนไม่มีเวลาพักด้วยซ้ำ

 

“มีอยู่จ่ะ แต่…” พี่แกทำท่าลำบากใจ

 

“….” ผมได้แต่ยืนนิ่ง รอฟังพี่แกพูดต่อ

 

“คือ พี่มารอเจอน้องภีม..เอ่อ…คือ” พี่อ้อยหลุบตามองพื้น ท่าทางของพี่แกทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลย

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นพี่แกเงียบไปสักพัก ผมจึงถามย้ำ

 

“คือ…พี่จะบอกน้องภีมว่า วันหลังไม่ต้องมาทำงานที่ร้านพี่แล้วนะ”

 

“!!?”

 

“พี่ขอโทษด้วย พี่พยายามช่วยน้องเต็มที่แล้ว แต่พี่ก็ต้องช่วยตัวเองเหมือนกัน” พี่อ้อยเข้ามาจับมือผมไว้แน่น เหงื่อเม็ดโตซึมผ่านฝ่ามือจนเปียกชุ่ม “พี่ขอโทษจริงๆ”

 

ความรู้สึกผมตอนนี้มันตกใจ ปนอึ้งไปหมด ใครก็ได้เอาไม้หน้าสามมาตีหัวผมที แล้วช่วยบอกผมด้วยว่ามันคือความฝัน

 

ผมโดนโล่ออกจากงาน ที่เป็นแหล่งหาเงินของผมมาตลอด

 

พี่อ้อยกำลังเล่าเรื่องตลกที่สุดในชีวิตให้ผมฟังอยู่หรือไง

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ผมถามเสียงสั่น “ทำไมพี่ถึงไล่ผมออก บอกเหตุผลได้ไหม” กลั้นใจถามออกไป หัวใจเต้นรัวไปหมด

 

“พี่โดนขู่ขึ้นค่าเช่า ถ้าไม่ไล่น้องออก เขาจะรีดเก็บค่าเช่าเพิ่มเป็น 3 เท่า ซึ่งพี่ไม่มีปัญญาจ่ายให้เขาหรอก ลำพังแค่กำไรที่ได้มาหักลบต้นทุนก็แทบไม่เหลือใช้แล้ว ต้องมาโดนเรียกค่าเช่าโหดแบบนี้ธุรกิจพี่ไปต่อไม่ได้กันพอดี”

 

“….”

 

“จะย้ายไปทำที่อื่นก็ไม่ได้ เพราะตึกแถวนี้เป็นของวาติธิพัฒน์เกือบทั้งหมด” พี่อ้อยทำหน้าเป็นกังวล

 

วาติธิพัฒน์… ฝีมือพี่เมฆเหรอ

ไม่ใช่หรอก ลำพังพี่เมฆไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ…ถ้าไม่มีพี่เนลอยู่เบื้องหลัง

ทำผมย่ำแย่ไม่พอใจอีกหรือไง ทำไมถึงลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างพี่อ้อยมาลำบากด้วย

 

มันทำเกินไปแล้วนะ เกิดขอบเขตแล้ว

 

ผมเม้มปาก กำหมัดแน่นจนเลือดซึมด้วยความโกรธ ความเดือดดานในอกมันแทบประทุออกมา

กับสิ่งที่มันทำวันนี้

 

“พี่ไม่รู้ว่าน้องมีปัญหาอะไรกับตระกูลวาติธิพัฒน์ แต่พี่ไม่อยากมีปัญหากับเขา พี่ต้องรักษาร้านเอาไว้ ภีมเข้าใจพี่ใช่ไหม” พี่อ้อยเข้ามาจับแขนผมเอาไว้

 

“….”

 

“พี่ขอโทษนะ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องต้องการใช้เงิน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

 

“ไม่หรอกครับ พี่ไม่ผิดหรอก” คนที่ผิดคือไอ้คนที่มันทำเรื่องแบบนี้ตากหาก

 

พี่อ้อยหยิบซองสีขาวออกจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน มาวางไว้ในมือผม “นี่เงินเดือน พี่ให้เต็มจำนวนเลย ขอโทษด้วยนะ พี่ช่วยน้องได้แค่นี้จริงๆ”

 

“ครับ…”

 

แย่ชะมัดเลย

 

ตอนนี้ผมอยากเข้าไปต่อยหน้ามันให้สาสมกับโชคชะตาที่ผมไม่ได้กำหนดเอง เพราะทั้งหมดมันเป็นคนกำหนดให้ทั้งนั้น....

---------------------------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 23:29:16 โดย Gansa »

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ผมเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ขับมาส่งที่บ้าน เห็นรถพี่เนลจอดอยู่ตรงลาน ทำให้รู้ว่าตอนนี้มันยังไม่ได้ออกไปไหน สองเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยอารมณ์คุกรุ่น เหมือนมีไฟสุมอยู่ในอก และพร้อมปะทุทุกเมื่อ ยังไงวันนี้ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่า แม่ง! ทำไปเพื่ออะไร

 

เดินไปหยุดอยู่หน้าห้อง ยกมือขึ้นเตรียมเคาะ แต่พี่เนลดันเปิดประตูออกมาก่อน ด้วยใบหน้าบึ้งตึง มันใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ ปลดกระดุมสองเม็ดบน เผยให้เห็นอกแกร่ง กับกางเกงสแล็คสีเข้ม ผมถูกเซตให้เป็นทรงอย่างดี แถมกลิ่นน้ำหอมยังฉุนจนแสบจมูกไปหมด 

 

“หลบไป” คนตรงหน้าสั่งเสียงแข็ง เมื่อผมขวางทางมัน

 

“พี่ทำแบบนี้ทำไม!! ต้องการอะไรจากผมอีก” ผมรีบตะคอกใส่มัน อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เข้าไปกระชากเสื้อคนตรงหน้าจนยับเยิน

 

“มึงพูดอะไร” มันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มือแกร่งแกะมือผมออกจากเสื้อราคาแพง

 

“พี่เป็นคนขู่ขึ้นค่าเช่าร้านพี่อ้อย เพียงแค่ต้องการบีบผมให้ออกจากงาน ใช่ไหม!” ผมขึ้นเสียงมองมันด้วยสายตาแข็งกร้าว

 

พี่เนลกระตุกยิ้มมุมปาก “ใช่ กูเป็นคนบอกให้ไอ้เมฆทำเอง พอใจยัง? ”

 

“พี่ทำแบบนั้นทำไม!”

 

“ตอนแรกขอให้ไล่มึงออกดีๆแล้ว แต่พี่อ้อยแกไม่ยอม กูถึงต้องใช้วิธีนี้ เป็นไง ได้ผลดีใช่ไหม” มันเลิกคิ้วถามท่าทางกวนประสาท

 

“พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมถึงได้ลงทุนทำเรื่องชั่วขนาดนี้ แค่ทุกวันนี้ ที่ทำร้ายผมยังไม่สะใจพี่อีกเหรอ?”

 

“กูแค่อยากให้มึงลาออก”

 

“พี่กำลังยุ่งเรื่องส่วนตัวผม จนเกินขอบเขต กฎของเรามีไว้ให้ใช้ ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติ”

 

“หึ” มันหัวเราะในลำคอ “กฎนั้น เดิมทีกูตั้งใจมีไว้ให้มึงปฏิบัติแค่คนเดียว” ร่างสูงก้มลงมา ให้หน้าเราเสมอกัน

 

“….”

 

“บ้านราคาตั้งเท่าไหร่ ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องเอา!”

 

เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ด้วยความโมโห เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู มือหนาดันผมให้หลีกทาง แต่ผมยังดื้อดึงไม่ยอมหลีกให้ หน้าเรียบเฉยเริ่มเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด พลางเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์

 

“หลีกไป กูมีนัด”

 

ผัวะ!**

 

ผมต่อยเข้าที่สันกรามมันเต็มๆ ในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว จนหน้าหัน ถึงตรงนี้ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ รู้สึกโกรธจนแทบเสียสติ

 

พี่เนลเอามือมาลูบสันกราม หันมามองหน้าผม แววตาเอาเรื่อง ผมได้แต่ยืนกัดริมฝีปากจนห้อเลือดด้วยความเจ็บใจ

 

“มึงกล้าต่อยกูเหรอ?”

 

“ทำไมผมจะต่อยพี่ไม่ได้ ถ้าไม่พอใจก็ต่อยผมคืนเลย”

ผมจับมือมันขึ้นมา ทั้งสองข้าง ก่อนทั้งทุบ ทั้งต่อยเข้าที่หน้าตัวเอง

พี่เนลทำหน้าตกใจ รีบยั้งมือตัวเองไว้

 

“เป็นบ้าอะไรของมึงหะ!!” มันตะคอกใส่ผมเสียงดัง

 

“หยุดทำไม ต่อยผมเลย ต่อยจนกว่าจะสมใจพี่ แล้วเลิกทำลายชีวิตผมสักที!” ผมพูดติดสั่น ความเสียใจทั้งหมดที่อดทนเก็บไว้ ตีตื้นขึ้นมา น้ำตาเริ่มซึม ผมจึงรีบเอามือไปปาดมันออก เพื่อไม่ให้คนตรงหน้าเห็นความอ่อนแอของตัวเอง

 

“ไอ้ภีมหยุด!” มันเปลี่ยนมารวบมือผมไว้ทั้งสองข้าง ก่อนที่จะทำร้ายตัวเองไปมากกว่านี้

 

“พอใจพี่หรือยัง ผมเสียแทบทุกอย่างไปแล้ว ทั้งบ้าน ทั้งงานประจำที่ทำอยู่ ต่อไปพี่จะเอาอะไรจากผมอีกล่ะ? บีบผมให้ลาออกจากมหาลัยเลยไหม!!” ผมขึ้นเสียงใส่ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม

 

คนตรงหน้าขบกรามแน่น ตั้งท่าจะเข้ามาต่อยผม จึงเตรียมตั้งการ์ดรอ เอาวะ วันนี้ขอต่อยกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน ถ้าลองต่อยกับมันก็น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงล่ะวะ ถึงแม้ผมจะตัวเล็กกว่าแถมความสูงก็ห่างกันมากก็เถอะ

 

พี่เนลพุ่งเข้ามา อุ้มผมขึ้นพาดบ่าอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเดินเข้าไปในห้อง ก่อนทุ่มผมลงกับเตียงนุ่น แล้วขึ้นคร่อมผมในเวลาต่อมา

 

เชี่ยไรเนี่ย…

 

“ออกไป ทำอะไรของพี่” ผมโวยวาย

 

“ทำไมถึงคิดว่ากูเป็นฝ่ายทำลายมึงด้วย จะมองว่ากูเป็นฝ่ายปกป้องมึงบ้างไม่ได้หรือไง” มันตัดพ้อ มองผมด้วยแววตาสั่นไหว ทำให้คนมองอย่างผม รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ

 

“พี่เคยปกป้องอะไรผม บีบให้ออกจากงานเนี่ยนะ ปกป้อง?”

มันเอื้อมไปเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียง ก่อนหยิบมือถือที่น่าจะถูกเอาไปจำนำแล้ว โยนมาให้

 

“นี่ไงล่ะ!”

ผมรับมาด้วยความงง ปนตกใจ ที่มือถือเครื่องนี้มาอยู่กับพี่เนล

 

“คนให้มันเสียความรู้สึก ถึงกูจะเกลียดไอ้ซาน จนอยากเอามือถือเครื่องนี้ไปทำลายทิ้งก็เถอะ แต่ก็ทนเห็นมึงทำหน้าลำบากใจ ตอนเอาโทรศัพท์ให้พ่อไปไม่ไหว เลยเก็บไว้ให้ รักษาให้ดีๆล่ะ”

 

“…” อึ้ง…

 

“แต่จะดีมากถ้ามึงเอาไปคืนมัน”

 

“แล้วมันมาอยู่กับพี่ได้ไง…” ขมวดคิ้ว ถามออกไปให้หายสงสัย

 

“ก็เอาจากพ่อมึงน่ะสิ อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้…ว่าพ่อมึงมารีดไถเงินจากมึง”

 

“ระ…รู้ได้ไงครับ” อย่าบอกนะว่าแอบตามเป็นสโตกเกอร์ผมเงียบๆน่ะ น่ากลัวสัดๆ

 

“กูรู้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ ตั้งแต่พ่อมึงมาดักรอที่ ม.แล้ว”

 

“…”

 

“จะให้กู ปล่อยมึงไปทำงานเหนื่อยฟรี ให้พ่อมึงรู้ว่ามึงมีเงิน แล้วมาขูดรีดทีหลังน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระอยู่หรือไง ช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่ต้องไม่ทำให้ตัวเองลำบาก กลับบ้านดึกดื่นทุกวัน มันเสียเวลากูที่ต้องมานั่งรอมึง” พี่เนลระบายความอัดอั้นออกมา

 

“แต่พ่อกำลังลำบาก จะให้ผมอยู่เฉยๆหรือไง”

 

“หึ ลำบากอะไร หนี้ก้อนโต 1 แสนอะนะ กูใช้คืนให้ตั้งนานแล้วเถอะ”

 

“!!!?” หะ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

 

“กูจ่ายให้ตั้งแต่วันที่พ่อมึงมาดักเจอมึงที่มหาลัยวันนั้นแล้ว”

 

“ไม่จริง…”

 

เรื่องตลกอะไรกัน แล้วที่ผ่านมาล่ะ? จะบอกว่าพ่อผมโหหกงั้นเหรอ ไอ้โง่ข้างหน้าโกหกยังน่าเชื่อกว่าเลย

 

“กูมีหลักฐานนะ จะดูไหมล่ะ” มันลุกขึ้นไป หยิบใบเสร็จจ่ายเงินที่อยู่ในลิ้นชัก ยื่นมาให้ผม ในใบมีชื่อพ่อที่เป็นลูกหนี้อยู่ พร้อมจำนวนเงินที่รับชำระครบถ้วน ในวันเดียวกันกับที่พ่อมาขอเงินผมที่มหาลัย

 

ตอนนี้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก รู้สึกจุกในอกไปหมด น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเมื่อไหร่ไม่รู้ ผมได้แต่ปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น โดยไม่คิดจะเช็ดมันออก

 

ผมเสียใจ.. เสียใจที่โดนพ่อหลอกเอาเงินซ้ำซาก แต่ก็ไม่เคยโกรธท่านเลย

 

“ขอโทษที่ทำให้มึงโดนไล่ออก แต่กูไม่อยากเห็นมึงลำบาก กูผิดมากไหม” พี่เนลที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอามือมาปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

 

“ตอนแรกกูตั้งใจปล่อยผ่าน เพราะพ่อมึงรับปากกับกูไว้แล้ว ว่าจะไม่มารีดไถมึงอีก แต่สุดท้ายก็มาเอาเงินมึงไป จะให้กูทำยังไง”

 

“…..ฮึก” พี่เนลดึงผมเข้ามากอดแน่น ไอ้อุ่นจากอ้อมกอดมัน ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาจนน่าแปลกใจ

 

“จะปล่อยให้มารีดมึงที่ร้านพี่อ้อยเหมือนวันนั้นอีกเหรอ ยิ่งเป็นคนใจอ่อนแบบมึงแล้ว มีร้อยให้ร้อยมีพันให้พันอะ”

 

“….”

 

“ถ้าพ่อมึงแต่งเรื่องมาหลอกอีก มึงมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่ใจอ่อน ปล่อยเรื่องนี้ให้กูจัดการเองเถอะ”

 

“….”

 

“มึงเหนื่อยเกินไปแล้ว หยุดเถอะ อยู่ทำงานกับกูแค่คนเดียวก็พอ ส่วนเงินกูจะเพิ่มให้อีก เท่ากับจำนวนที่ไปทำงานที่ร้านพี่อ้อยเลย” มือหนาคอยลูบหัวผมเบาๆ เป็นการปลอบ “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ”

 

โอ๋พ่อง!

 

ผมปล่อยให้พี่เนลปลอบใจอยู่อย่างนั้นสักพัก ในหัวก็คิดทบทวน เงินเดือนที่หามาส่วนมากก็หมดไปกับพ่อ แถมของที่มีมูลค่าท่านก็เอาไปขายหมด จนผมไม่เหลืออะไรติดตัว อยากรู้จริงๆ ว่าท่านเอาเงินไปทำอะไร…

 

“ที่พี่เอาผมออกจากงานเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”

 

“ใช่ แต่แค่ 20% นะ”

 

“อ่าว…อีก 80% ล่ะ”

 

“อีก 80% คือกูไม่ชอบใจผู้หญิงที่มาขอเบอร์มึง จบนะ”

เกือบหล่อละมึง เหตุผล 20% แรกมันเหมือนจะฟังขึ้นนะ แต่อีก 80% โคตรส้นติงเลย คือมึงหึงผู้หญิงคนนั้นอยู่หรือไง งั้นกูขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ผู้หญิงคนนั้น มาสนใจกู ฮ่าๆ

 

ก็คนมันหล่อช่วยไม่ได้

 

ผมมองหน้ามัน ยกยิ้มขึ้นมาอย่างสบายใจ พี่มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้ ความจริงก็แอบใจดีอยู่เหมือนกันแฮะ ถึงจะดูป่าเถื่อนไปหน่อยก็เถอะ

 

“แน่ะ! ยิ้มๆ หายโกรธกูแล้วใช่ไหม” มันเอามือมาดึงจมูกผมเล่น

 

“….”

 

“งั้นคืนนี้ก็มานอนกับกูนะ” พร้อมส่งยิ้มทรงเสน่ห์ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกใจเต้นอยู่ในอก

 

“ใช่เรื่อง ถึงแม้ผมจะหายโกรธพี่เรื่องนี้ แต่อย่าลืมสิครับ ข้อตกลงเรายังเหมือนเดิม” ผมพูดอย่างหนักแน่น มึงอย่ามาทำเนียน หาเรื่องนอนกับกูไอ้พี่เนล

 

“อะไรวะ มานอนกับกูหน่อยก็ไม่ได้ กูซื้อมึงมาแพงนะไอ้ภีม ทำงานให้สมกับราคาหน่อย” พี่มันได้ทีก็โวยวายชุดใหญ่

 

“หัดเคารพข้อตกลงที่ตัวเองสร้างขึ้นมาหน่อย” ถึงแม้คดีนี้จะจบ แต่คดีที่มึงทิ้งกูรอตรงห้างยังไม่จบนะครับ

 

“โอ้ยย ไอ้ภีม เห็นใจกูหน่อย กูไม่ได้นอนกกใครมาหลายวันแล้ว กูเหงากาย”

 

“ก็เห็นควงผู้หญิงไปทั่ว อย่ามาโกหกผม”

 

“กูพูดความจริง”

 

“งั้นก็โทรเรียกผู้หญิงของพี่มาสิครับ เห็นคั่วตั้งหลายคน เลือกเอาสักคนสิ” พูดแล้วหงุดหงิดเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยวัยกระเตาะที่ประจำเดือนพึ่งมา ภาพที่มึงจู๋จี๋ดี้ด๊ากับคุณน้ำหวานยังติดตาอยู่เลย ถามว่าผมหึงมันเหรอ… ไม่รู้ครับ รู้แค่ว่าไม่ชอบ

 

“หืออ เสียงแข็งเชียวว ยังไม่หายงอนกูหรือไง” มันเอามือมาบีบแก้มผมเล่น

 

“….” ได้แต่สงสายตาจริงจังให้มันได้รู้ว่า กูไม่ได้อยู่ในอารมณ์ล้อเล่นกับมึง

 

“อ๋อ” มันเหล่ตามอง ยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน “งั้นโทรเรียกน้ำหวานมานอนด้วยดีกว่า”

 

“ตามสบายเลยครับ อยากทำอะไรก็เชิญ อ๋อ! วันหลังถ้ามีกับนัดผู้หญิงคนอื่น ก็อย่าพาผมไปด้วยนะ ขี้เกียจรอ” พอได้ยินชื่อ พาลทำให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก

 

“ลูกหมา…”

 

“แล้วถ้าหอมแก้มกัน ก็ช่วยไปหอมในที่ลับตาคนหน่อย ไม่ใช่ทำในที่สาธารณะแบบนั้น หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง”

 

“ลูกหมาครับ”

 

“เลือกของให้กันตั้งนานสองนาน ได้มาแค่กำไลข้อมือ กับแหวนคู่ อ้าว! แล้วแหวนคู่หายไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่ใส่ แบบนี้ฝ่ายหญิงไม่เสียใจแย่เหรอ” ผมจับมือมันขึ้นมาดู

 

“เมียครับ ใจเย็น” พี่เนลเอานิ้วมาแตะปากผมให้หยุดพูด พลางยกยิ้มกว้าง

 

"ใครเมียมึง"เห็นอารมณ์ของกูไหม กำลังเดือดถึงขีดสุดเลย

 

"เกรี้ยวกราดจัง" ร่างสูงเอามือมาขยี้หัวผมจนไม่เป็นทรง จึงปัดมือมันออก พลางส่งสายตาเป็นนัยๆว่า อย่ามายุ่งกับกู!!

 

“ที่พูดมาทั้งหมด คือหึงกู?”

 

“หึงทำไม” กล้าพูดนะมึง.. ใครหึงมึง ไม่มี๊

 

“หึงชัดๆอะ โคตรหึงเลยด้วย อย่าบอกนะ ที่ทำตัวอึมครึมใส่เพราะหึงกูกับน้ำหวาน ฮ่าๆๆๆ” พี่เนลหัวเราะร่วน ดังลั่นห้อง

 

ขำอะไรของมึง มันน่าขำนักหรือไง

 

มันเอามือกุมท้อง “โอ้ยย น่ารักว่ะมึง”

 

“ขำอะไรนักหนาครับ”

ผมขมวดคิ้ว เตรียมลุกจากเตียง ออกไปจากห้องมัน แต่พี่เนลไวกว่า ดึงแขนให้ลงไปนอน แล้วเอาตัวมาคร่อมไว้เหมือนเดิม

 

“ทำกูเครียดตั้งหลายวันเลยนะมึง ถ้าบอกตรงๆว่าหึงกู ป่านนี้คงนั่งยิ้มยันฟ้าสาง” มันก้มลงมากระซิบข้างหู

 

“ไม่ได้หึงครับ” ผมปฏิเสธออกไป พร้อมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอเมื่อสบตากับคนด้านบน ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ พี่เนลยกยิ้ม มือซนเริ่มลูบไล้ตั้งแต่ลำคอ ลงไปเรื่อยๆ

 

“จะบอกอะไรให้…น้ำหวาน เป็นน้องกูเอง พึ่งกลับมาจากต่างประเทศ กำลังตัดสินใจว่าจะต่อมหาลัยที่นู่น หรือกลับมาเรียนในไทย เรื่องนี้ยังคุยๆกันอยู่ คุณน้าอยากให้เรียนต่อนู่นเลย แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก” พี่เนลอธิบายให้ผมฟัง มือหนาค่อยๆลูบลงมาที่หน้าท้อง

 

หยุดมือมึงเลย จะอธิบายก็ใช้แค่ปาก มือไม่ต้อง

 

“บอกผมทำไมครับ” ผมตอบมันไป มือที่ว่างก็พยายามดึงมือมันออก

 

“ก็มึงหึงกูอยู่” มือมันค่อยๆมาลูบลงไปที่หน้าขาอย่างถือวิสาสะ

 

“ไม่ได้หึงครับ”

 

“กูจะบอกว่าน้ำหวานโตมาในสังคมที่ไม่ค่อยถือตัวแบบในไทย เธออาจจะทำอะไรโดยไม่คิดอยู่บ้าง มึงอย่าไปถือการกระทำบางอย่างของเธอเลย เรื่องหอมแก้มนั่นอีก เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เธอก็ชอบมาหอมกูแบบนี้แหละ โตมาอาจเพราะความเคยชิน จึงทำอะไรแบบนั้นออกไปจนทำให้มึงหึง”

 

“ผมไม่ได้หึง!!”

 

“ชู่ว เบาๆสิ” พี่เนลเอามือขึ้นปิดปากผมไว้ เมื่อเห็นว่าผมเริ่มเสียงดัง

 

“!…แล้วเป็นพี่น้องกัน ปกติเขาจูบกันด้วยเหรอครับ” ผมถามสิ่งสุดท้ายที่ค้างคาใจ

 

“หะ? จูบอะไร” อีกฝ่ายทำหน้างง

 

“กะ…ก็…จะ…จูบกันไงครับ จูบปาก” ผมพูดตะกุกตะกัก หน้าก็เริ่มเห่อร้อนขึ้นมา

 

“หะ? ตอนไหน” เจ้าตัวยังคงทำหน้าไม่เข้าใจ

 

“ก็ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเห็นเต็มสองตาเลย”

 

พี่เนลทำหน้านึกระลึกความหลังสักครู่ ก่อนพูดออกมา “อ๋ออออ มึงแน่ใจนะว่ากูจูบกับน้ำหวานจริงๆ”

 

“แน่ใจ” ผมตอบออกไปด้วยความมั่นใจ

 

“แน่ใจ?” มันถามย้ำ

 

“นะ แน่”

 

“แน่เหรอ?”

 

“เอ่อ…นะ แน่” ตอนนี้กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วไอ้สัด อย่าถามย้ำเยอะ เดี๋ยวพี่ลังเล

 

ในรูปที่ไอ้เบสให้ดูก็จูบกันนะ ถึงจะไม่เห็นปากปะกบปากก็เถอะ แต่มองยังไงก็จูบกันชัดๆ ถ้าถามว่าเป็นมุมกล้องได้ไหม… ตอบได้คำเดียวว่า ได้ แต่พี่ภีมจะไม่ลังเลเพราะเรื่องแบบนี้

 

“กูไม่ได้จูบกับน้ำหวานสักหน่อย”

 

“อย่ามาโม้”

 

“ไม่ได้โม้ ไม่ได้จูบจริงๆ” มันยังคงยืนยันทำเดิม จนผมเริ่มไม่แน่ใจ

 

“จะ จูบ” เสียงผมเริ่มแผ่วลง

 

“ไม่ได้จูบ!”

 

“….”

 

“ถ้าจูบต้องแบบนี้…”

 

คนด้านบนก้มลงมาประกบจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากอุ่นพยายามฉกชิมความหวาน ฟันคมขบเม้มบางเบา ก่อนจะส่งเรียวลิ้นเข้าแทรกโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันกับปลายลิ้นผม ดูดกลืนหยาดน้ำใสลงคออย่างไม่นึกรังเกียจ ผมได้แต่ร้องครางในลำคอ รู้สึกวาบหวามอยู่ในอก รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย ก็พลางทำให้หัวใจของผมเต้นรัวแรงไปด้วย

 

มันจูบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ ผมรีบกอบกวยอากาศให้ได้มากที่สุด มันมองตาผมด้วยแววตาหื่นกระหาย ก่อนประกบลงไปอีกครั้ง คนด้านบนดูดเม้นปากล่างผมอย่างอ่อนโยน ก่อนย้ายไปริมฝีปากบนต่ออย่างเชี่ยวชาญ ผมได้แต่ปล่อยให้มันทำอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขัดขืนอะไร จูบที่มันมอบให้ทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลย

 

“อืมม” พี่เนลครางออกมาอย่างพึงพอใจ มือหนาเลื่อนขึ้นมาลูบไล้บริเวณอกของผม


พยายามดันตัวมัน เมื่อเริ่มหายใจติดขัด พี่เนลยังคงดื้อดึงไม่ยอมถอนริมฝีปากออก จึงเอามือไปตุบที่อกแกร่งแรงๆ มันถึงยอมผละออกแต่โดยดี

 

พี่เนลมองหน้าผม พลางเลียริมฝีปากตัวเองไปด้วย “ไอ้ภีม…” มันเรียกเสียงกระเส่า

 

“ครับ”

 

“กูขอได้ไหม” ไม่พูดเปล่า จับขาผมแยก ก่อนเอาตัวเองมาแทรกกลาง เห้ยๆๆ เดี๋ยวๆ เสื้อผ้ากูหายไปไหน มันก้มลงมากัดหูผมเล่น พลางกระซิบเสียงแผ่วเบา

 

“ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา กูคิดถึงมึงมากนะ มาเติมเต็มช่วงที่ขาดหายให้กูหน่อย” มันมองมาด้วยสายตาที่โหยหา จนผมต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง

 

ฆ่ากูเถอะ ระเบิดผมให้ตายไปตรงนี้เลยก็ได้

 

"พี่มีนัดไม่ใช่หรือไง รีบไปดิ" ผมเอ่ยปากไล่

 

"ไม่เอา กูไม่ไปแล้ว"

 

เชี่ยยเอ้ยยยย ปล่อยกูไปเถอะ

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เย้ มาต่อแล้ว

 :katai2-1:

ว่าแต่ยังไงน้าาา เรื่องม่านฟ้ายังไม่เคลียร์เลยน้าาาาา

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
จะรอดมั้ยละเนี๊ยะ!!!

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
พี่เนล คือรุ้ใจตัวเองรึยัง
ไม่ใช่ยัยฟ้านั้นกลับมา ก็ตามแผนเดิมนะ
สงสารภีมมมม ถ้าเปนแบบนั้น

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะโดนจับกินแล้ววว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เนลป๋ามาก

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เดี๋ยววววว ต้องเคลียร์ก่อนโดนกินนะะ ไม่งั้นดราม่าใหญ่กว่าเดิมแน่ 555555

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เดี๋ยววววว ต้องเคลียร์ก่อนโดนกินนะะ ไม่งั้นดราม่าใหญ่กว่าเดิมแน่ 555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด