ตอนที่ 27 : ไงคนแปลกหน้า [End]
-คีรี-
ผมรอดูว่าเจ้าตัวดีมีแผนอะไรอยู่ พักนี้ผ้าใบทำตัวแปลกๆ วนเวียน ป้วนเปี้ยน แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
“พี่คีรี”
“อะไร”
“วันนี้วันที่เท่าไหร่ดูให้ผมหน่อยสิ” ผ้าใบก้มหน้าก้มตาแกะโน้ตเพลง จริงอยู่ว่าเจ้าตัวกำลังยุ่งแต่เจ้าตัวดีนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ แค่เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแล้ว ทำอะไรไม่เนียนสักนิด
“วันที่สิบ” ผมจงใจตัดเดือนออก
“เหรอ” ผ้าใบพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ
“พี่คีรี” เพียงครู่เดียวผ้าใบก็เรียกผมขึ้นมาใหม่
“ว่า” ผมซ่อนรอยยิ้มขำไม่ให้ผ้าใบเห็น
“เอาเพลงนี้ไปเล่นดีไหม Be my Valentine แขกที่ร้านจะชอบหรือเปล่า”
“ก็ดีนะ เพราะดีพี่ชอบ น่าจะเหมาะกับเสียงของซอล” ผมตอบเสียงเรียบ มือก็เล่นเกมไปด้วย
“อืม” จากหางตาผมเห็นผ้าใบทำปากยื่นปากยาวใส่ผม คงกำลังเซ็งผมเต็มประดา ที่บอกใบ้แค่นี้ยังไม่รู้ว่าอีกสี่วันจะถึงวันวาเลนไทน์
ผมเป็นผู้ชายที่ไม่ให้ความสำคัญกับวันนี้เท่าไหร่ พูดตรงๆ คือออกจะเอียนด้วยซ้ำ มันเป็นวันที่ร้านอาหารดีๆ เต็มทุกโต๊ะ ถึงจะจองคิวไว้ก่อนก็ต้องรออาหารเป็นชั่วโมงๆ เป็นวันที่ดอกไม้แพงโดยไร้เหตุผลในความคิดของผม มันเป็นแค่การขยับวัน จากวันที่สิบสามเป็นวันที่สิบสี่เท่านั้น
แต่ในวันที่มีผ้าใบเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต วาเลนไทน์แรกของพวกเรา ผ้าใบก็ดูตื่นเต้นกว่าที่ผมคิด ที่ผมขำเพราะผมมั่นใจว่าผ้าใบเป็นพวกรำคาญวันนี้เหมือนผม บางทีความรักก็เปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้
ตอนนี้ผมเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น มันไม่ใช่แค่วันๆ หนึ่ง แต่มันคือวันที่คนที่เรารักยอมแสดงออกสักครั้งว่ารักเรา ผมว่าผ้าใบก็ต้องการแค่นั้นเช่นกัน
-ผ้าใบ-
ผมพ่นลมหายใจออก มองทุกอย่างรอบกายด้วยความเบื่อหน่าย โดยเฉพาะเวลาที่หันไปมองซอล ดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ พี่จอมทัพผู้แสนอบอุ่นดั่งไมโครเวฟ หอบช่อดอกไม้มาให้ซอลที่หัองพักนักดนตรี เป็นความโชคดีแบบประชดประชันของพวกผม ที่วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ดันลงล็อคที่ต้องมาเล่นดนตรีพอดี แต่คิดอีกทีแล้วผมว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังมีอะไรให้ทำ ไม่อย่างนั้นผมคงนั่งแห้งเหี่ยวหัวโต เพราะแฟนดันไม่รู้จักคำว่าวาเลนไทน์ ใบ้ขนาดนั้นทำไมยังไม่รู้อีกวะ
“เดี๋ยวเสร็จแล้วมึงไปฉลองที่ไหน” ผมหันไปมองพี่ม่อนตาขวาง กล้ามากที่ถามผมเรื่องนี้
“แล้วพี่ม่อนล่ะพาเมียไปไหน”
“มึงมันไม่รู้อะไร วาเลนไทน์เขาให้พาแฟนไปเที่ยว พอเป็นเมียแล้วก็ให้อยู่เฝ้าบ้านไป”
“อืม” ผมทำเป็นพยักหน้าเข้าใจ “มิน่าล่ะเมียพี่ถึงมีชู้”
“ไอ้เวรผ้าใบ” พี่ม่อนถีบเก้าอี้ผม “มึงนี่พูดถูกใจกู ก็รออยู่เนี่ยจะได้มีข้ออ้างรีบไปหาเมียใหม่” ผมหัวเราะตามพี่ม่อน เรามักพูดเล่นกันตามประสาผู้ชายห่ามๆ แต่ใครก็รู้ว่าพี่ม่อนรักและเคารพเมียแค่ไหน เมียแกเองก็น่ารัก ไม่เคยตาม อยากไปดื่ม ไปต่อกับเพื่อนก็ตามใจ ขอแค่กลับบ้านก็พอ
“ตกลงมึงไปไหนวะไม่เห็นบอกกูเลย” พี่ม่อนยังอุตส่าห์วกเข้าเรื่องเดิมจนได้
“ไม่มี” ผมตอบเสียงห้วน
“ผัวทิ้ง” ผมหันขวับไปมอง พี่ม่อนพูดจาน่าเกลียด แฟนก็พอเว้ย
“ติดธุระไปงานเลี้ยงกับพ่อ”
“โกหกมึงแล้วพาสาวไปดินเนอร์หรือเปล่า”เรื่องยุแยงตะแคงรั่วขอให้บอกพี่ม่อน ถนัดนัก
“ไม่ต้องเสี้ยมให้ยาก พ่อเป็นคนโทรบอกผมเอง” ผมกับคุณลุงเดี๋ยวนี้เราสนิทกันมาก ว่างๆ เป็นนัดกันไปวัด ไปวิ่งในสวนสาธารณะ ไปหาอะไรๆ อร่อยกิน จนพี่คีรีถึงกับบ่นว่าชักไม่แน่ใจว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างให้ผมกับคุณลุงรักกันดีหรือไม่ยอมรับกันเหมือนเดิม
“งั้นมึงก็อดฉลองสิวะ ไปๆ งั้นไปดื่มกับกู เมียไม่อยู่เหมือนกันกลับบ้านต่างจังหวัด อยู่กันมาป่านนี้ไม่สนวาเลนไทน์แล้ว”
“พี่ม่อนไปไหน” ผมชักสนใจ คิดไปคิดมาดีกว่ากลับไปนอนซังกะตายอยู่หอหรือที่โรงแรม ผมไม่ได้ย้ายไปอยู่กับพี่คีรีเหมือนที่ซอลย้ายไปอยู่กับพี่จอมทัพที่คอนโด ไม่ใช่ว่าพี่คีรีไม่ชวน แต่ผมอยากเก็บห้องไว้ ผมคิดว่าบางวันเราก็อยากได้เวลาส่วนตัวบ้าง แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นในความเป็นจริงผมพักอยู่ที่โรงแรมบ่อยเกือบตลอด เพราะมันเย็นดี อย่าลืมว่าห้องผมไม่มีแอร์
“ไปร้านบลูมูน”
“กลับไปให้เจ๊เบญด่าพ่อล่อแม่หรือพี่ ร้านอื่นไม่มีหรือไง”
“มึงไม่รู้อะไร เจ๊เบญแกเซ็งร้านให้คนอื่นแล้ว เห็นอู๊ดบอกคนนี้ดี ใจดี เห็นใจลูกน้อง พนักงานในร้านแฮปปี้มาก บอกเจ๊แกน่าจะเซ้งตั้งนานแล้ว”
“งั้นไปก็ได้ จะได้กลับไปเจออู๊ดมันด้วย”
“โอเค งั้นเก็บของจะได้ไปกัน”
“เราไปด้วย” ซอลที่นั่งฟังอยู่นาน รีบยกมือเสนอตัว
“พูดอะไรเกรงใจดอกไม้ที่พี่จอมทัพให้ด้วย” ผมค้อนเพื่อน
“ก็พาไปด้วย”
“ไม่อยากอยู่กันสองคนเหรอวะ”
“อยู่ด้วยกันทุกวันอยู่แล้ว”
“เออจริง” ผมก็ลืมนึกไป
“มาแล้ว” คนไปเข้าห้องน้ำเพิ่งกลับมา ซอลรีบเล่าให้พี่จอมทัพฟัง อีกฝ่ายพยักหน้า สี่ชีวิตจึงมุ่งหน้าไปที่ร้านบลูมูนในวันวาเลนไทน์ ผมกับพี่ม่อนขี่มอเตอร์ไซด์ไปคนละคัน พี่จอมทัพขับกระป๋องสีไปกับซอล
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่วาเลนไทน์ที่แย่อย่างที่คิด พวกผมคุยกันสนุกสนานเฮฮา เสียงหัวเราะดังขึ้นตลอดเวลา ได้ทักทายพนักงานเก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่ เหมือนได้กลับบ้านที่ไม่ได้มาเสียนาน
ผมมาคิดได้ว่าบางทีการที่ซอลอยากมาด้วย คงเพราะไม่อยากให้ผมเหงาในวันนี้ มันก็แปลกดีเหมือนกันที่คนไม่สนใจวาเลนไทน์อย่างผมกลับอ่อนไหวกับเรื่องนี้ไปเสียได้
“กลับกันเถอะ” ผมยิ้มกว้างบอกทุกคนในโต๊ะ
“อ้าวทำไมรีบกลับล่ะผ้าใบ” ซอลทำหน้าสงสัยที่ผมชวนกลับ
“นั่นสิ อยู่ต่อก่อนก็ได้” พี่จอมทัพชวนผมอยู่ต่อ
“ไม่เอาล่ะวาเลนไทน์ทั้งที่ผมก็อยากกลับไปรอแฟนที่ห้องมากกว่า อยู่กับเพื่อนเบื่อแล้ว” ผมพูดขำๆ ความจริงคืออยากให้ซอลได้มีเวลาฉลองกับคนรัก
“เอางั้นเหรอ” พี่ม่อนถามผมซ้ำ
“งั้นสิ” ผมยังพยักหน้ายืนยัน
“พี่ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย ซอลฝากเรียกคิดเงินให้พี่ที” พี่จอมทัพส่งกระเป๋าเงินของตัวเองให้ซอล “มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”
“ขอบคุณครับ” ผมเลิกปฏิเสธไปแล้วเพราะรู้ว่าไม่มีทางสำเร็จ
พวกผมนั่งรอพี่จอมทัพอยู่ที่โต๊ะ ผมหันไปมองหน้าซอล “พี่จอมทัพไปทิ้งระเบิดหรือเปล่าวะ นานฉิบหาย”
“นี่มันวาเลนไทน์มึงลืมหรือเปล่า คนแน่นร้านถึงจะห้องน้ำชายก็นาน”
“เออจริง” ผมนึกได้
เรารอกันอีกครู่ใหญ่พี่จอมทัพก็เดินออกมา ผมกอดซอล แอบบอกรักเพื่อนเบาๆ ตบบ่าพี่ม่อนก่อนเดินแยกไปทางหลังร้าน ผมยังจอดเวสป้าไว้ที่เดิม
แสงไฟริมถนนสลัว ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ถามว่าเหงาไหมก็มีบ้างแต่ก็ได้คำตอบว่าตัวเองไหว ผมสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าก่อนหยุดชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับบางอย่าง
รถสปอร์ตสีแดงจอดขวางทางอยู่ที่เดิม เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้น ผมพยายามกลั้นยิ้มเดินต่อไปเรื่อยๆ
บนตัวรถมีกระดาษที่แปะด้วยกาวสองหน้าติดอยู่ เขียนขึ้นด้วยประโยคเดียวกับที่ผมเขียนครั้งแรก แต่ที่แตกต่างกันคือมันถูกติดไว้รอบคัน มากจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ผมเดินวนไปรอบๆ ขำจนกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“พี่เคยบอกผ้าใบแล้วว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ผ้าใบติดกระดาษกาวทั้งคัน พี่ก็อยากรู้จักผ้าใบอยู่ดี” ผมหมุนตัวไปหาที่มาของเสียง พี่คีรียืนอยู่ไม่ไกล มองผมด้วยดวงตาอบอุ่นอ่อนโยน
ผมก้าวเท้าช้าๆ เดินเข้าไปหาร่างสูง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นการทักทาย “ไง คนแปลกหน้า”
พี่คีรีหัวเราะออกมาดวงตาอ่อนแสง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทักตอบผม “ไง คนแปลกหน้า”
“รถผมจอดอยู่ข้างใน ช่วยขยับรถให้หน่อยได้ไหม มันจอดขวางทาง”
“สั่งเหรอ อยากให้ช่วยก็ต้องขอร้องดีๆ” ใบหน้ากวนๆ เหมือนวันเก่าที่เคยเกิดขึ้น ผมยักไหล่ ไม่ยอมพูดตามที่ขอ แต่สาวเท้าเดินเข้าไปชิดร่างสูง อาศัยความเร็วโน้มคอพี่คีรีลงมาหา ประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากหนา บดเบียนลงไปเบาๆ ก่อนถอนหน้าออก
“แบบนี้จะยอมขยับให้ไหมครับ”
“อืมม” คนได้รับการขอร้องทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าได้แบบเมื่อกี้อีกทีอาจตอบได้ง่ายกว่านี้” ผมหัวเราะ เผยอริมฝีปากรับริมฝีปากที่ทาบทับลงมาหา เราใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนผละใบหน้าออกจากกัน
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์”
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”
“ชอบของขวัญไหม”
ผมพยักหน้า มันมีความสุขจนหุบยิ้มไมได้ ยิ่งคิดว่าเพื่อนและพี่สละช่วงเวลาดีๆ ของตัวเองเพื่อช่วยพี่คีรีเซอร์ไพรส์ผม ผมยิ่งมีความสุขจนหัวใจพองโต
พี่คีรีดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ ก่อนปล่อยออก ใช้สองมือประคองใบหน้าผมไว้
“พี่จะบอกรักผ้าใบวันนี้ ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นวันวาเลนไทน์ แต่เพราะพี่จะบอกรักผ้าใบทุกวัน”
“ผมรักพี่คีรีครับ” ผมชิงบอกขึ้นก่อน พี่คีรีหัวเราะขำ เขกหัวผมเบาๆ เพราะดันไปทำลายความโรแมนติกที่ชาติหนึ่งจะมีสักครั้ง ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นคู่ของเรา
“ขอซ้ายท้ายกลับด้วยคนนะ รถเอากลับตอนนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยให้คนมาเคลียร์ให้” พี่คีรีมองไปที่รถ เราต่างหัวเราะออกมา มันแทบไม่เหลือช่องให้มองถนนเลย
“ขอบคุณครับ มันเป็นวาเลนไทน์ที่น่ารักที่สุด”
ไม่มีดอกไม้ ไม่มีของขวัญ ไม่มีคำพูดหวานหู มีเพียงการแสดงออกให้รู้ว่า พี่คีรีอยากให้ผมเข้ามาอยู่ในชีวิตด้วยมากแค่ไหน วันแห่งความรักมันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง รู้สึกถึงความสำคัญของกันและกัน
“พี่คีรีครับ” ผมโอบมือกอดไปรอบเอว แหงนหน้าขึ้นมอง
“ขอบคุณนะครับที่วันนั้นจอดรถขวางรถผม ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็อยากให้ทำอีก”
“หึๆ” พี่คีรีใช้สองมือจับหน้าผมให้แหงนเงยขึ้น ดวงตาของเราประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่ริมฝีปากหนาแนบชิดลงมา
ท่ามกลางแสงสลัวของถนนหลังร้านบลูมูน เรื่องราวของผมเริ่มต้นขึ้นที่นี่ มีความทรงจำเกิดขึ้นมากมาย และมีความรักที่จะคงอยู่ตลอดไป
ผมรักพี่คีรีครับ คนแปลกหน้าของผม-Happy Ending-
เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ ที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้นจนจบ หวังว่าจะยังติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบคุณมากค่า ^^
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin