✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 182189 ครั้ง)

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เห็นใจไป๋ผูอวี้มากๆและสงสารจื่อฟาง เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อเนี่ย

นักเขียนสู้สู้นะ อย่าดื่มกาแฟเยอะ กินข้าวให้ตรงเวลา  :L1:

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
สงสารท่อนไม้ไป๋

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
บทยี่สิบห้า : เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1)



ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วยามแต่ไป๋ผูอวี้ยังคงอยู่ในเรือนของเสิ่นจิ้งเฟย จ้องมองไปที่ภาพวาดของจื่อฟางซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนว่าคนผู้นี้เคยมีอยู่จริง เขาไม่รู้ว่าวิญญาณของจื่อฟางได้กลับไปยังบ้านเกิดหรือไม่ หากได้กลับไปจะอยู่ดีหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดเรื่องความคิดมากมายก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด หากจื่อฟางได้กลับไปยังที่ที่จากมาชายหนุ่มก็อยากให้เจ้าเด็กนั่นพบเจอแต่เรื่องสงบสุขไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวในร่างของผู้อื่น   

“คุณชายไป๋”เสียงของหานตงดังอยู่นอกประตู พร้อมกับร่างกำยำที่ปรากฏอยู่หน้าห้อง ผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดูจากสีหน้าที่ดีขึ้นบาดแผลคงได้รับการรักษาแล้ว

“ท่านมีเรื่องใดหรือ”ชายหนุ่มละสายตามาจากภาพวาด เก็บงำสีหน้าที่ปรากฏอารมณ์ไว้ได้ทันท่วงที ความจริงเสิ่นมู่หยางมีสิทธิ์ไล่เขาออกจากเรือนของบุตรชาย แต่น่าแปลกที่คนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวาย หลังจากที่องครักษ์ของฮ่องเต้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยกลับไปที่วังหลวง เสนาบดีเสิ่นก็กลับไปที่เรือนของตน หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเวลานาน

“เรื่องผู้บุกรุกจวนสกุลเสิ่น”หานตงเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋สมควรล่วงรู้ ทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ย ร่างนั้นก็มีท่าทีเคร่งเครียด ดวงตาสะท้อนแววคาดเดาไม่ออก

“ท่านคิดเห็นอย่างไร”ไป๋ผูอวี้สอบถามอย่างสุภาพ แม้หานตงจะเป็นผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางแต่เขานับถือผู้มีฝีมือและคนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา ส่วนหยางชวี...ยังต้องฝึกฝนอีกมาก ถ้าหากคนหน้าตายนั่นมีใจอยากฝึกฝนต่อ เรื่องของจื่อฟางเป็นบาดแผลที่ใหญ่เกินกว่าจะรักษาได้ในเร็ววัน สายตาของเขาตกลงที่ภาพวาดในมืออีกครั้ง ได้ยินเสียงกระแอมของหานตงถึงได้รู้สึกตัวว่าเหม่อลอย

“ว่ามาเถอะ”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ม้วนภาพวาดเก็บ หานตงถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ได้เผยสีหน้าใด ดูท่าคนผู้นี้จะมีใจให้คุณชายเสิ่นจริง

“ผู้บุกรุกเป็นคนของหลิวอ๋อง ข้าจำวิธีการต่อสู้ของพวกเขาได้เพราะครั้งก่อนที่ท่านอ๋องบุกเข้ามาข้าได้ประมือเล็กน้อย”พูดถึงหลิวอ๋องก็ได้แต่กำหมัดแน่น คนผู้นั้นทำลายสกุลเสิ่นจนย่อยยับ ศิษย์น้องของเขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาการคงแย่หากไม่ได้ซูเหลียนฮวาช่วย

ไป๋ผูอวี้คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือของหลิวอ๋องจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกไป เขาหยักยิ้มจาง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ฝ่าบาทให้คนสกุลไป๋รับมือการก่อกบฏของท่านอ๋อง…”ชายหนุ่มสบตากับผู้ติดตามอีกคน ต่างก็เข้าใจในความหมาย ไป๋ผูอวี้มีเรื่องต้องชำระความต่อคนผู้นั้น ท่านอ๋องต้องชดใช้ต่อการจากไปของจื่อฟาง เขารู้ดีว่าอีกไม่นานฮ่องเต้เจี่ยผิงต้องเรียกใช้งานตนเพื่อรับมือกับการก่อกบฏที่จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

“ขอบคุณมากที่นำร่างของคุณชายเสิ่นออกมา”หานตงเอ่ยเบาๆเพียงเท่านี้ก่อนจะรีบหมุนตัวออกมาจากห้องของเสิ่นจิ้งเฟยทันทีราวกับกลัวว่าจะเผยความรู้สึกใดออกมา ไป๋ผูอวี้มองเงาร่างของอีกฝ่ายจากไปเงียบ ๆ ก่อนเอนพิงเสาเตียง ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลง รู้สึกว่าไม่อยากขยับตัวไปที่ใด เสียงวุ่นวายด้านนอกสงบลงแล้ว ดูท่ามีขุนนางเข้ามาคุมสถานการณ์ได้ ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เป็นเว่ยหลงและซูเหลียนฮวา ทั้งสองร่างหยุดที่หน้าประตูห้อง หญิงสาวเพิ่งตรวจดูอาการบาดเจ็บให้จางต้าและหยางชวี ทั้งสองคนอาการคงที่แล้ว แต่หยางชวียังคงต้องรักษาตัวอีกนาน บาดแผลของอีกฝ่ายค่อนข้างสาหัส นางยังไม่ได้บอกความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟย คิดว่ารอให้อีกฝ่ายอาการดีขึ้นอีกสักเล็กน้อยก่อน

“คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรกลับคฤหาสน์สกุลไป๋เพื่อเตรียมตัว”นางเอ่ยเปรย รู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่จบลงง่าย ๆ หลังจากได้พูดคุยกับหานตงก็พอรู้มาบ้างว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ฮ่องเต้คงไม่นิ่งดูดาย นางลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงของเสิ่นจิ้งเฟย ใบหน้านั้นแฝงแววเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีดำไม่มีความรู้สึกใด คุณชายของนางปกปิดท่าทีได้ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก

“อืม”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ แต่ยังไม่ได้ขยับกายไปที่ใด เว่ยหลงจึงก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ กระซิบกระซาบกับคุณชายเบา ๆ

“นี่เป็นจดหมายที่ตกค้างของเสิ่นจิ้งเฟย คนขับรถม้าที่ชื่อหนานอิงเป็นคนเก็บไว้ขอรับ”ผู้ติดตามส่งจดหมายให้ชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้จำคนขับรถม้าของสกุลเสิ่นได้ ครั้งหนึ่งคนผู้นั้นยังเคยเข้าใจว่าเขาเป็นคนรักของคุณชายเสิ่น เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเก่าๆของจื่อฟางก็รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกอ่อนแอไว้ในส่วนลึก คลี่จดหมายเปิดดู ภาพวาดใบหนึ่งหล่นลงมา เป็นภาพวาดนกที่โผบินในผืนฟ้ากระจ่าง 

‘น้องเสิ่น ข้าออกเดินใกล้กับเขตชายแดน การเดินทางราบรื่นดี อีกทั้งยังได้ร่ำเรียนบทเพลงขลุ่ยของชาวเผ่าเซียนปี้กลับมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่คนในพื้นที่แถบนี้เล่าลือกันว่าชาวหูกำลังรวบรวมชนเผ่าที่มีความแค้นต่อแผ่นดินเจี่ยกลับมาแก้แค้นฮ่องเต้เจี่ยผิง เหตุความวุ่นวายในเมืองอี้โจวก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนั้น ข้ารู้สึกไม่สบายใจนักอยากให้เจ้าระวังตัว แต่หากมีเรื่องผิดปกติ เจียงฉวี่ต้าพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ ข้าคิดว่าต้นเดือนสามก็คงถึงเขาเหลียวตง  ช่วงนั้นคงเข้าวสันต์ฤดู หากถึงที่หมายข้าจะวาดภาพส่งให้เจ้าดูก่อน ดีหรือไม่ ข้าจะรอพบเจ้าที่เหลียวตง รักษาตัวด้วย ไว้พบกัน’

ไป๋ผูอวี้กวาดตาอ่านจดหมายของฟู่เทียนสือ สัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ช่วยเหลือเสิ่นจิ้งเฟยจากใจจริง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของคนสกุลฟู่ที่มีต่อคุณชายเสิ่นเป็นเพียงมิตรสหายหรือมากกว่านั้น ฟู่เทียนสือจะสังเกตเห็นความแตกต่างที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟยหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรยามนี้ไม่มีเสิ่นจิ้งเฟยอีกแล้ว ไป๋ผูอวี้จ้องมองจดหมายในมือ ไม่คิดว่าจื่อฟางนัดแนะฟู่เทียนสือไปที่เหลียวตงด้วย ที่เจ้าต้องการหนีไปเหลียวตงก็เพราะเช่นนี้เองหรือ เกรงว่าฟู่เทียนสือคงไปถึงเหลียวตงเพียงลำพังเสียแล้ว 

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นผู้เป็นนายเดี๋ยวก็ทำสีหน้าเศร้าอีกเดี๋ยวก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ได้แต่ลอบมองนางมารหมื่นพิษ หวังว่าคุณชายไป๋จะไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน ซูเหลียนฮวาขึงตาใส่ศิษย์พี่รองเมื่อล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย

“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เถิด ยังมีเรื่องต้องจัดการ”ไป๋ผูวี้พับจดหมายเก็บไว้ ก้าวออกมาจากเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเวลานี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียว อีกไม่นานหรอกจื่อฟาง ข้าจะจัดการหลิวอ๋องให้เจ้า 

…………..


เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในจวนสกุลเสิ่นผ่านไปได้เพียงสามวันแต่เรื่องราวก็ยังไม่คลี่คลาย โรงน้ำชาหลิวซื่อยังคงมีผู้คนแวะเวียนเช่นปกติ แม้ว่าไป๋อู่เหยียนจะขนข้าวของและพาบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งกลับไปเมืองหลานโจวแล้วก็ตาม ผู้คนภายนอกได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆนาๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองพ่อลูกสกุลไป๋ บางคนก็คิดว่าเกี่ยวข้องกับคุุณหนูฉิน

ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องดื่มชาส่วนตัวห้องเดิม รอคอยคำสั่งจากฮ่องเต้เจี่ยผิงที่ในตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหว คงเพราะได้รับข่าวสะเทือนใจถึงสองต่อ หนึ่งคุณชายรูปงามที่หลงไหลมาด่วนจากไป สองชายงามเจาเฟิงที่เป็นผู้โปรดปรานก็จากไปเช่นกัน  เขาคลี่ยิ้มเย็นชากับตัวเอง มิใช่ว่านั่นคือร่างที่เสิ่นจิ้งเฟยอาศัยอยู่หรือ ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำเบาๆ

“ยามนี้เจ้าคงลงปรโลกแล้วกระมัง เสิ่นจิ้งเฟย”

ไป๋ผูอวี้มอบหมายงานส่วนใหญ่ให้กับพ่อบ้านจัดการ ในห้องดื่มชาแห่งนี้ชายหนุ่มยังจำจุมพิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นได้ ยังคิดว่าแปลกนักที่ตอนนั้นคุณชายรูปงามไม่มีทีท่าตกใจหรือรังเกียจ อยู่ที่นี่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงการได้ยินชื่อของเสิ่นจิ้งเฟย พวกชาวบ้านที่มาโรงน้ำชาหลิวซื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้กันทุกชั่วยาม การโจมตีสกุลเสิ่นจึงสร้างคลื่นความหวั่นวิตกให้กับราษฎรเพราะยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ อีกทั้งในคืนเดียวกันยังเกิดเหตุเพลิงไหม้อีกจุดหนึ่งในเมืองฉางอัน

ทหารหน้าประตูเมืองถูกฆ่า ผู้ก่อเหตุหลบหนีออกไปได้ มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋องเจี่ยซิน หลิวอ๋องที่มีจิตใจดีงามไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียผู้นั้นก่อกบฏ ชาวเมืองต่างก็คิดว่าเป็นการใส่ร้ายเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับอัครเสนาบดีหลี่ที่ยามนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ แต่เมื่อทหารบุกค้นวังหลิวอ๋อง กลับไม่พบตัวพระชายาและอ๋องน้อย คาดว่าหลบหนีไปพร้อมกัน ทหารและเหล่ามือปราบต่างก็ตรวจตรารอบเมืองฉางอันเป็นที่วุ่นวาย มีผู้ก่อกบฏย่อมหมายถึงสงคราม หากครั้งนี้เกิดสงครามอีกแผ่นดินเจี่ยคงลุกเป็นไฟ ราษฎรย่อมตกที่นั่งลำบาก จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้เจี่ยผิงกระจายไปทั่ว ราชสำนักยิ่งตึงเครียด แต่ฮ่องเต้ยังไม่คิดทำสิ่งใด

ไป๋ผูอวี้ตั้งใจเขียนจดหมายถึงบิดา คิดว่าไป๋อู่เหยียนน่าจะถึงเมืองหลานโจวแล้ว เขาจรดพู่กันลงบนกระดาษไตร่ตรองว่าควรเขียนสิ่งใดลงไป

‘ท่านพ่อ สบายดีหรือไม่ ท่านคงได้ยินข่าวของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าควรทำอย่างไรดี ยามที่ท่านแม่จากไป ท่านทำเช่นไรถึงผ่านพ้นมาได้’

ชายหนุุ่มวางพู่กันพับจดหมายอย่างประณีตส่งให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่มุมห้อง “กุ้ยตาน นำจดหมายฉบับนี้ส่งถึงหลานโจว”

กุ้ยตานรับคำและจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาใด ไป๋ผูอวี้เหม่อมองกู่เจิงคันเก่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะวางเครื่องดนตรีที่ไม่ได้แตะนานแล้ว ชายหนุ่มลุกเดินไปนั่งหน้ากู่เจิงเริ่มบรรเลงบทเพลงไปที่จื่อฟางเคยเป่าขลุ่ยให้ฟัง ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงดังแว่วมาจากภายนอก พยายามเมินเฉยแต่เมื่อเสียงเหล่านั้นดังมากขึ้นทุกทีเขาก็จำต้องหยุดมือ จำเสียงพูดคุยนั้นได้ เป็นเสียงของเสนาบดีฉินจื่ออวี้ บิดาของคุณหนูฉิน

“ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่ได้ คุณชายไป๋ไม่สะดวกพบผู้ใด”เว่ยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแม้จะมีกระแสไม่ชอบใจเจืออยู่จาง ๆ

“แม้แต่ข้าน่ะหรือ!”เสนาบดีกรมขุนนางมีโทสะทันที เขาเองไม่ได้อยากมาที่นี่นักแต่เพราะบุตรสาวตัวดีป่วยไข้หนักยืนยันว่าต้องการพบไป๋ผูอวี้ เขาเกลี้ยกล่อมนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามคำของของฉินเซียงอินทั้งที่ตนอยากดื่มยาพิษตายให้รู้แล้วรู้รอด มีบุตรสาวเอาแต่ใจไม่รักษากิริยาเช่นนี้ หากใครล่วงรู้เข้าคงได้ดุด่าถึงบรรพบุรุษ น่าอายจริง ๆ 

“เสนาบดีฉิน หากท่านมีเรื่องคุยเชิญด้านในเถิด”ไป๋ผูอวี้ยืนอยู่หน้าห้อง จำต้องละจากเครื่องดนตรีออกมาพบกับขุนนางใหญ่ที่ใบหน้าแดงก่ำ สายตาคู่นั้นปราดมองมายังเขามีแววไม่ชอบใจปะปนอยู่ด้วย แต่ชายหนุ่มเลือกมองไม่เห็น เชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในห้องดื่มชาอย่างมีมารยาท เสนาบดีฉินเหลียวตัวมองรอบกาย แต่ก็หนีไม่พ้นพวกสอดรู้

“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”ฉินจื่ออวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อก้าวเข้ามาด้านในแล้ว ร่างสูงใหญ่ของไป๋ผูอวี้ยังคงมีท่าทีสุขุมนุ่มลึกเช่นเคยแม้ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคนอดหลับอดนอน ร่างนั้นชงชาให้เสนาบดีอย่างคล่องแคล่ว แต่อยู่ ๆก็หยุดนิ่งไปมือคีบถ้วยชาค้างอยู่เช่นนั้น  ฉินจื่ออวี้เพิ่งเคยเห็นคนผู้นี้ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ในฉางอันมีกระแสข่าวลือแปลกๆมากมาย เรื่องที่เขาได้ยินมาคือเรื่องรักต้องห้ามของไป๋ผูอวี้และคุณชายรูปงามที่เพิ่งจากไป เดิมทีเสนาบดีฉินคิดว่าไร้สาระ แต่มาเห็นไป๋ผูอวี้เป็นเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ อีกทั้งคนผู้นี้ก็ไม่สนใจบุตรสาวผู้งดงามของเขา

“อะแฮ่ม ข้าไม่ได้อยากรบกวนเจ้านักหรอก แต่เพราะเป็นเรื่องของบุตรสาวข้า...”เสนาบดีกรมขุนนางกระแอมเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสองแต่ต้องมาออกปากร้องขอบุตรชายคหบดีผู้หนึ่งก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะลูกสาวตัวดีเพียงคนเดียว หากเขาไม่มานางว่าจะไม่ยอมดื่มยา

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจางเมื่อได้ยิน ตั้งแต่แรกก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ คนอย่างเสนาบดีฉินไม่มีทางมาหาเขาอยู่แล้ว

“คุณหนูฉินเป็นอะไรหรือ”เขาเอ่ยถามตามมารยาทระหว่างที่รินชาใส่จอกให้ผู้มาเยือน

เสนาบดีฉินพลันใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอาย บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง “ฉินเซียงอิน นางไม่ค่อยสบาย ต้องการพบเจ้า ข้าไม่ได้บังคับหรืออะไรหรอกนะ...”ฉินจื่ออวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้บุตรสาวของตนเสียหาย โชคดีที่คนแซ่ไป๋ผู้นี้เป็นพวกไม่แสดงสีหน้าออกมาตามที่ใจคิด ไม่เช่นนั้นเสนาบดีฉินคงได้เอาหน้ามุดแผ่นดิน

“เช่นนี้เอง ข้าหวังว่านางจะไม่ป่วยหนัก เห็นแก่ที่เอ็นดูคุณหนูฉินดั่งน้องสาว ข้าจะไปเยี่ยมนางสักครา”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพ ชายหนุ่มคิดว่าควรทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียที หากการกระทำของเขายังไม่เพียงพอก็สมควรพูดต่อหน้าให้เข้าใจกัน

“ดี ๆ”เสนาบดีฉินไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะตอบตกลงจึงได้แต่ตอบไปเช่นนั้น ทั้ง ๆที่ในใจอยากร้องตะโกน ไม่อยากให้บุตรสาวมาข้องเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้

ชายหนุ่มมาเยือนจวนสกุลฉินเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้มีบ่าวไพร่อยู่ในห้องรับรองอยู่หลายคนเพราะเสนาบดีฉินกลัวว่าจะมีคนนำไปพูดให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย จึงมีฉากกั้นกลางเพื่อความเหมาะสม เขารอคุณหนูฉินได้ไม่นาน เด็กสาวในชุดสีชมพูอ่อนสบายตาก็ถูกสาวใช้คนสนิทประคองซ้ายขวาเข้ามาในห้อง ฉินเซียงอินผอมลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงเรื่อจากพิษไข้ ไป๋ผูอวี้พินิจมองผ่านฉากกั้น ได้แต่ครุ่นคิดว่าอาการป่วยของแม่นางน้อยเป็นของจริงหรือไม่แต่เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนักจึงเป็นฝ่ายเอ่ยคำก่อน 

“คุณหนูฉิน ข้าได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า มีเรื่องใดหรือ”

“ข้าแค่อยากเจอท่าน”เสียงใสกังวานของนางดังผ่านฉากกั้น แต่เพราะมีบ่าวไพร่ของฉินจื่ออวี้เฝ้าอยู่ เด็กสาวจึงพบหน้าไป๋ผูอวี้ตรง ๆ มิได้ กว่านางจะอ้อนวอนบิดาได้ก็ใช้เวลาเสียหลายวัน

ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ ลุกจากที่นั่งเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางจริงจัง ไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลย
“ข้ามีเรื่องอยากบอกท่านพอดี คุณหนูฉิน ท่านตัดใจจากข้าเถิด ข้ามีคนรักอยู่แล้วและไม่คิดจะรักผู้ใดอีก”เขากล่าวเสียงแผ่ว ฉินเซียงอินได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ คิดเอ่ยแย้ง นางไม่ได้ยินว่าคุณชายไป๋สนใจหญิงงามผู้ใด แล้วคนรักที่ว่ามาจากไหน หรือเขาเพียงพูดเพื่อปฏิเสธนาง   

“ข้ามิได้โกหกท่าน ข้าพูดความจริง ตอนนี้ข้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากพูดคุยยาว ๆ ข้าเพิ่งเสียคนรัก ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท”ชายหนุ่มเอ่ยเสริมก่อนที่คุณหนูฉินจะได้เอ่ยแย้ง สองสามวันมานี้ไป๋ผูอวี้ไม่ได้พูดจาเป็นประโยคยาวกับผู้ใด เมื่อได้คุยกับคุณหนูฉินก็รู้สึกว่าเหนื่อย

“เสียคนรัก?ท่านหมายถึงผู้ใดกัน”คุณหนูฉินเอ่ยถามเสียงสั่น

“ยามนี้ฉางอันมีข่าวการตายของผู้ใดเล่า”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ คิดว่าสนทนาพอแล้ว

“ท่านหมายถึง...ผู้ใด”นางยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ ยามนี้ก็มีเพียงข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้นที่เลื่องลือไปทั้งฉางอัน บางทีอาจดังไปถึงเมืองใกล้เคียงด้วยเพราะได้ข่าวว่าสกุลโหยวนั่งรถม้ามาถึงจวนสกุลเสิ่นภายในวันเดียว

“ข้าคิดว่าท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด ข้าบอกท่านมาหลายครั้ง ข้าจะเอ่ยเป็นหนสุดท้าย ข้าเห็นท่านเป็นดั่งน้องสาวมาตลอด โปรดตัดใจจากข้าเถอะ บุรุษเช่นข้าไม่เหมาะสมกับท่านหรอก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบแม้จะดูใจร้ายไปบ้างที่ต้องกล่าววาจาตรง ๆกับฉินเซียงอิน แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้นางก็ไม่มีทางรามือ

“แต่ท่านกับ...คนผู้นั้น...เป็นไปได้อย่างไร”ฉินเซียงอินรู้แล้วว่าไป๋ผูอวี้หมายถึงผู้ใด สาวใช้ข้างกายจึงส่งสายตามองนางคล้ายกับบอกว่า’ข้าบอกท่านแล้ว’ เด็กสาวเม้มปาก

“เขาตายแล้ว….”ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้นางใจหายอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็เคยรู้จักพูดคุยกันมาก่อน 

“ใช่ เขาตายแล้ว แต่เขายังอยู่ในใจข้าเสมอ”ไป๋ผูอวี้ไม่กลัวว่าผู้ใดจะได้ยินแล้วนำไปป่าวประกาศ ความเงียบระลอกใหญ่เกิดขึ้นในห้องรับรอง บ่าวไพร่ในห้องต่างก็ลอบชายตามองกันอย่างไม่อยากเชื่อหู 

“ข้าขอตัว”ชายหนุ่มคิดว่าเพียงพอแล้ว

ฉินเซียงอินได้แต่ยืนกำหมัดร่างกายบอบบางสั่นน้อย ๆ ได้แต่มองเงาร่างของไป๋ผูอวี้จากไป

“คุณหนู...”สาวใช้ได้แต่ลูบหลังปลอบโยนอย่างอับจนคำพูด เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตวัดสายตามองบ่าวไพร่ในห้อง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เรื่องในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”ที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นการรักษาหน้าของไป๋ผูอวี้หรือตัวนางเองกันแน่


เว่ยหลงรอผู้เป็นนายอยู่ข้างรถม้า ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ที่ต้องมารอคุณชายตัดน้ำใจคุณหนูฉิน ครั้งแรกที่พบเจอนาง ชายหนุ่มคิดว่าได้เจอฮูหยินไป๋แล้วซะอีก แต่คุณชายกลับเลือกเสิ่นจิ้งเฟย ผู้ติดตามยืดร่างขึ้นเมื่อมองเห็นร่างของคุณชายไป๋เดินเอื่อย ๆกลับมาที่รถม้า คุณชายยังคงทำทุกอย่างเช่นปกติแต่เขารู้ดีว่าคุณชายไม่ได้เป็นเช่นเดิม ไม่รู้ว่าคุณชายจะรู้ตัวหรือไม่ว่ามีอาการเหม่อลอยบ่อยๆ

“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เลยหรือไม่ขอรับ”เขาเอ่ยถาม

“ไปจวนสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกผู้ติดตามก่อนจะเข้าไปนั่งในรถม้า ทิ้งให้เว่ยหลงมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็รีบดึงสติกลับไปนั่งประจำที่พร้อมกระตุกสายบังเหียนให้อาชามุ่งหน้าออกไปจากตรอก ไม่นานนักรถม้าก็มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเสิ่นที่เงียบสงบ ปกติจวนสกุลเสิ่นก็เงียบเป็นทุนเดิม มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นจึงเหมือนป่าช้า จวนรอบนอกมีหารเดินเวรยาม บ่าวไพร่บางส่วนในเรือนเสิ่นมู่หยางที่ยังคงเก็บกวาดลานบ้าน ไป๋ผูอวี้ลงจากรถม้าก็ให้บ่าวคนหนึ่งนำทางเข้าไป เสิ่นมู่หยางยังคงพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ งานราชการจึงพักไว้ก่อน  ได้ยินว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งของบำรุงมาให้ไม่ขาด

“ข้าน้อยจะไปเยี่ยมดูหยางชวีกับจางต้า”เว่ยหลงกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรองทางฝั่งเรือนหลักด้านหน้า ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงรับรู้ เป็นห่วงทั้งสองคนเหมือนกัน แต่ยาของซูเหลียนฮวาน่าจะช่วยรักษาอาการไม่มากก็น้อย ชายหนุ่มเดินตามบ่าวด้านหน้าไปเงียบ ๆ หลังเกิดเรื่องเขาไม่ได้แวะมาอีกจึงไม่รู้ว่าเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นอย่างไรแล้วบ้าง 

“นายท่านพักอยู่ด้านในขอรับ”บ่าวรายงานก่อนคาราวะจากไป ถือเป็นเรื่องแปลก เขาสังเกตว่าพวกบ่าวรับใช้แสดงท่าทีนอบน้อมต่อเขาเป็นพิเศษหรือเป็นเพราะว่าเขาช่วยนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกมาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ไป๋ผูอวี้ก้าวเข้าไปในห้องรับรอง พบว่าเสิ่นมู่หยางนั่งอยู่ที่ตั่งยาว ขาข้างหนึ่งพันผ้าไว้มีรอยเลือดซึมให้เห็น เสนาบดีเสิ่นมีสีหน้าเหมือนคนพักผ่อนไม่พอ

“ไป๋ผูอวี้ ไม่คิดว่าเจ้าจะมา”เสิ่นมู่หยางขยับนั่งให้ถนัดถนี่ หานตงปรากฏกายอยู่หน้าประตูรอคอยรับใช้เจ้านาย

“รบกวนท่านแล้ว ข้ามาด้วยเรื่องกิจการของจื่อ--คุณชายเสิ่นจิ้งเฟย”เขาแสร้งกระแอมเบาๆเมื่อเกือบหลุดชื่อที่แท้จริงของจื่อฟางออกไป แต่เสนาบดีเสิ่นคล้ายจะไม่ได้สังเกต

“อ้อ ร้านค้านั่นน่ะเหรอ ทำไมรึ”เสิ่นมู่หยางได้เห็นแบบร่างแล้ว ดูประหลาดจนมองไม่ออกว่าบุตรชายของเขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่ก่อนเขาคิดห้าม ยามนี้เฟยเอ๋อร์ไม่อยู่ก็ไม่อยากขัดขวางอีก

“ข้าอยากสานการก่อสร้างให้สำเร็จ ข้าจะซื้อร้านค้าของคุณชายเสิ่น เรื่องค่าเช่าที่ดิน ช่างไม้ ข้าจะดูแลเอง จึงอยากมาขออนุญาตท่านเสนาบดี”ชายหนุ่มเอ่ยช้า ๆอยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ไว้ 

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นความต้องการของเฟยเอ๋อร์ ข้าไม่ห้าม เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”เสิ่นมู่หยางไม่คิดขัดใจความต้องการบุตรชายอีกทั้งไม่อยากให้มีสิ่งใดค้างคา เสนาบดีกรมพิธีการยกถ้วยชาจิบช้า ๆระหว่างที่ทอดสายตามองสำรวจคนแซ่ไป๋  เจ้าเด็กคนนี้ดูจริงจังเรื่องบุตรชายของเขาเหลือเกินหรือมีเรื่องใดที่เขาไม่รู้

“ไป๋ผูอวี้ เจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคนรักกันหรือ”เขาอดไม่ไหวเอ่ยถามออกไปในที่สุดยังจำสีหน้าในคืนนั้นของบุตรชายสกุลไป๋ได้ดี

“เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้นเล่า”ไป๋ผูอวี้กล่าว คิดว่าสายตาของคนผู้นี้มองได้ไม่ผิดพลาด แต่เขาไม่คิดเอ่ยตอบ เกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจไปเสียเปล่า ๆเรื่องพิธีแต่งงานเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมจนเขาไม่กล้าหยิบยกมาพูด ชายหนุ่มคิดได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสจับต้องร่างจริงของภรรยาตัวเอง ยังดีที่เขามีรูปวาดของจื่อฟางแทนตัว

เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลงเมื่อมองเห็นไป๋ผูอวี้ใจลอยไปชั่วขณะ รู้ดีว่าบุตรชายซุกซ่อนไว้อีกมาก หรือเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่ได้คิดแค่ ‘เล่นสนุก’กับคนผู้นี้ แต่อย่างไรก็ช่างตอนตายก็อยากให้บุตรชายมีความสุข แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้จากไปอย่างมีความสุข!บุตรชายรูปงามของเขาถูกเผาไหม้ทั้งเป็น ยิ่งคิดถึงหลิวอ๋องจิตใจก็เจ็บแค้น 

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทคิดใช้คนสกุลไป๋รวมศึก หลิวอ๋องยามนี้หลบหนีออกไปจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าไปตั้งหลักอยู่ที่ใด”เสนาบดีเสิ่นเอ่ยขึ้น สายตามองตรงที่ไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มผงกหัวเล็กน้อย เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ รู้ดีว่าเรื่องการศึกไม่ใช่เรื่องของเขา

“คิดว่าคงไม่ไกลจากเมืองหลวง ตามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงคาดการณ์ไว้”ต้องขอบคุณจื่อฟางมากกว่า ที่นำแผนการของหลิวอ๋องและองค์ชายใหญ่ไปบอกฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว

“เสนาบดีเสิ่น ข้าขอบคุณท่านมากที่ไม่คัดค้านเรื่องร้านค้า หวังว่าท่านจะหายโดยเร็ววัน”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าควรสนทนาด้วยเรื่องใด ทั้งเขาและอีกฝ่ายก็มิใช่ว่าจะพูดคุยกันได้ถูกคอ ขุนนางกรมพิธีการคล้ายกับมีเรื่องที่อยากพูดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาทำเพียงหยักหน้ารับ ชายหนุ่มค้อมกายก่อนออกมาจากห้องรับรอง พบเว่ยหลงยืนรออยู่นอกเรือนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเจอเรื่องไม่ดีมา คงเป็นเรื่องข้ารับใช้ทั้งสองคนของเสิ่นจิ้งเฟย   

“หยางชวีกับจางต้าเป็นเช่นไร”เขาเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปตามเฉลียงทางเดิน มุ่งไปสู้ประตูหน้าอันเงียบเชียบ บ่าวไพร่ในเรือนพากันหลบหลีกเป็นที่วุ่นวาย

“ไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าสองคนนั่นจะรู้ความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยแล้วอาการถึงไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าตายนั่นไม่ยอมให้ซูเหลียนฮวารักษา”เว่ยหลงเดินตามหลังผู้เป็นนายได้แต่ส่ายศีรษะ นึกไปถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น

ยามที่เขาไปเยี่ยมข้ารับใช้ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้า หยางชวีอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก บาดแผลยังคงไม่ดีขึ้น สีหน้าเผือดซีดไร้ชีวิตชีวาพอเห็นว่าเป็นเขามาเยี่ยมก็แสร้งทำเป็นนอนหลับ ส่วนจางต้านอนจ้องผนังห้องเหมือนมีอะไรน่าดู ดวงตาแดงก่ำทั้งยังบวมเป่งบ่งบอกว่าร้องไห้มาทั้งคืน เว่ยหลงเกาจมูก เขาไม่ถนัดกล่าววาจาปลอบคนเสียด้วย!กลิ่นยาสมุนไพรยังคงอวลอยู่ในห้อง

“คิดจะตายตามเสิ่นจิ้งเฟยหรือไง”เขาเอ่ยลอย ๆ ปรายตามองหยางชวีที่ยังคงนอนหลับตา แต่มือที่วางอยู่ข้างตัวกำแน่น จางต้าขยับศีรษะมองเว่ยหลงด้วยดวงตาเหมือนลูกหมา ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเป็นคนแก่ นั่งลงที่ข้างเตียง 

“นี่เจ้าลูกหมา ทำตัวเช่นนี้คิดว่าคุณชายของเจ้าจะชอบหรือ”เขาไม่ได้เอ่ยเจาะจงกับผู้ใด จึงก้มหน้ามองบ่าวที่มักทำตัวเซ่อซ่า

“ถ้าหากเจ้าอยากมีชีวิตต่อ หายดีแล้วข้าจะช่วยฝึกวิชาให้”เว่ยหลงหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่คิดอยากทำสิ่งใดต่อไปอีกหรือไม่

“แต่เอาเถอะ ถ้าอยากตายก็ตายเสีย อีกไม่นานข้าจะร่วมทัพไปปราบกบฏกับคุณชายไป๋ ไว้ข้าจะแก้แค้นเผื่อเจ้าเองก็แล้วกันนะหยางชวี ถึงอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์น้องคนสุดท้ายของข้า”เว่ยหลงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็รีบหมุนตัวออกมาจากห้องไม่ได้มองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดได้บ้างหรือไม่

ไป๋ผูอวี้ก้าวออกมาจากจวนสกุลเสิ่นได้ไม่นานก็พบว่ากุ้ยตานยืนรออยู่ที่รถม้าด้วยสีหน้าเร่งร้อน

“คุณชายไป๋ ฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”ฟังอีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นเบื้องบน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิ้มออกมาจากใจ

“ได้เวลาเสียที”เขารู้สึกเหมือนมีแรงได้ก้าวเดินต่อ

~•~

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 06:49:44 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงอยู่ในตำหนักหยุนเอี้ยน สายตาจ้องมองไปยังสองร่างที่นอนอยู่ในโลงแก้ว เป็นร่างไร้วิญญาณทั้งคู่ เพียงแค่ร่างหนึ่งเผือดซีดราวกับกำลังนอนหลับ ส่วนอีกร่างมีเพียงครึ่งซีกเท่านั่นที่ไม่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ เจี่ยผิงไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจหรือพะอืดพะอมกับภาพที่เห็น กลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าที่ต้องมองเห็นเสิ่นจิ้งเฟยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงหัวเราะในลำคอเมื่อคิดได้ว่าไป๋ผูอวี้ก็สูญเสียเช่นเดียวกับเขา ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าคนที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยคือจื่อฟาง

รักที่ตัวตนอย่างนั้นหรือ เจี่ยผิงคล้ายได้ลิ้มรสชาติฝาดเฝื่อนมองใบหน้าที่เคยงดงามของเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่เคยแสดงออกถึงสิ่งอื่นใดนอกจากความต้องการ แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นเล่า?  ก่อนจากไปเสิ่นจิ้งเฟยเรียกเขาว่าฟู่จวิ้น แต่ฟู่จวิ้นผู้นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว หากเขายังครองบัลลังก์เขาก็เป็นเจี่ยผิง ในตอนนี้เขามีหลายสิ่งที่แบกรับไว้บนบ่า ไม่สามารถทิ้งได้โดยง่าย เจี่ยผิงคิดว่าแปลกนัก เมื่อคิดว่าหากสูญเสียรัชทายาทไป เขาจะเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้หรือไม่? 

“ทูลฝ่าบาท ไป๋ผูอวี้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้หนึ่งส่งเสียงร้องมาจากหน้าประตู ชายหนุ่มจึงละสายตามาจากโลงแก้ว จัดเสื้อผ้าลายมังกรให้เรียบร้อย ข่มความรู้สึกว่างเปล่าไว้ในส่วนลึกก่อนเอ่ยคำ

“ให้เขาเข้ามา”เจี่ยผิงเอ่ย เดินออกมานอกฉากกั้น ยืนเอามือไพล่หลังรอคอย จ้องมองชายหนุ่มในชุดตัวยาวสีเทาเรียบง่ายเช่นทุกครา แต่ผู้เป็นฮ่องเต้สังเกตว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป ดวงตาของไป๋ผูอวี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่พบกัน หรือเขาเสียใจเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยจนเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้ดีว่าไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีความภักดีต่อตน อีกฝ่ายยอมร่วมศึกส่วนหนึ่งก็เพราะจื่อฟาง แต่ยามนี้ทุกอย่างสูญสิ้นไปหมด เหตุผลเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่ทำให้ไป๋ผูอวี้ต้องการร่วมศึกก็คือหลิวอ๋อง 

ไป๋ผูอวี้เข้ามาในตำหนักที่ไม่คุ้นตา เส้ากงกงยืนอยู่ใกล้กับโต๊ะทรงอักษร ในห้องมีฉากกั้นบดบังห้องชั้นใน ชายหนุ่มคุกเข่าถวายบังคมไปทางเจ้าแผ่นดินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเรียบไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าวจนเกินไป ร่างขององครักษ์ของฮ่องเต้ปรากฏตัวอยู่ในห้อง เฮ่อเจ๋อและกู้หมิง

“บังอาจ กล้ากล่าวกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เจ้าอยากโดนบั่นคอรึ”เฮ่อเจ๋อส่งเสียงมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงแค่นเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา ยังจดจำเรื่องที่อีกฝ่ายทำกับบ่าวไพร่ในเรือนของตนได้

“บั่นคอ?ในยามนี้น่ะหรือ”ชายหนุ่มรู้ดีว่ายามนี้กำลังรบเป็นสิ่งสำคัญ ฮ่องเต้ถึงได้เรียกตนมา

“ช่างเถิด เราไม่ได้ใส่ใจ ในยามนี้มีเรื่องเร่งด่วนกว่ามาก”เจี่ยผิงสะบัดมืออย่างไม่ถือสานัก ถึงอย่างไรไป๋ผูอวี้ก็อยู่ภายใต้อำนาจของเขา ชายหนุ่มมองแผนที่บนโต๊ะที่วงกลมจุดแดงไว้อยู่หลายจุด

“เจ้าคงจำได้กระมังว่าเราต้องการให้เจ้าและสกุลไป๋รับมือกับการก่อกบฏของหลิวอ๋อง”เจี่ยผิงกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าบุตรชายสกุลไป๋ “แต่ก่อนอื่น ข้าต้องทำให้เหล่าทหารที่ร่วมทัพไปกับเจ้าอยู่ในบังคับบัญชา”ฮ่องเต้หนุ่มปรายตามองราชเลขาธิการก่อนเอ่ยบอก

“ถ่ายทอดบัญชาของเรา ไป๋ผูอวี้มีคุณงามความดีเมื่อครั้งไปช่วยการศึกที่ชายแดนเมืองอี้โจวจนสงบเรียบร้อย สมควรแต่งตั้งไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพ สองวันหลังจากนี้มีคำสั่งให้นำกองกำลังทหารห้าพันนายไปปราบกบฏหลิวอ๋องตามเส้นทางหลบหนี”

“พ่ะย่ะค่ะ”ราชเลาขาธิการจรดพู่กันลากเขียนอย่างรวดเร็ว จนเขียนราชโองการเรียบร้อยหนึ่งฉบับ

“ประกาศในท้องพระโรงในวันรุ่งขึ้น”เจี่ยผิงเอ่ยสั้น ๆ เมื่ออ่านทวนจนจบ ราชเลขาธิการค้อมกายก่อนจะถอยออกไปจากตำหนักเมื่อเจ้าแผ่นดินสะบัดแขนเสื้อไล่ ไป๋ผูอวี้ยังคงก้มหน้าเอ่ยตอบ

“ฝ่าบาททรงมีเมตตา กระหม่อมน้อมด้วยเกล้า ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”ไป๋ผูอวี้ถวายบังคมตามพิธีการ ฮ่องเต้เจี่ยผิงยกยิ้มจาง ดวงตาดำลึกคู่นั้นจดจ้องจนชายหนุ่มหนาวเย็นไปทั้งร่าง ในมือของผู้เป็นเจ้าแผ่นดินคือป้ายคำสั่งลงตราลัญจกรส่งมอบให้เขา

“รองแม่ทัพไป๋ ยามนี้แผ่นดินเจี่ยเดือดร้อนต้องการกำลังของท่าน เราหวังว่าเจ้าไม่ทำให้เราผิดหวัง”ฮ่องเต้หนุ่มส่งมอบป้ายคำสั่งให้แก่ไป๋ผูอวี้ มองเห็นองครักษ์ทั้งสองขยับร่างเล็กน้อยคล้ายกับไม่เห็นด้วยแต่ไม่ได้เอ่ยคัดค้านสิ่งใด

“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋ผูอวี้รับป้ายคำสั่งมาถือเหมือนเป็นของหนักก่อนก้มทำความเคารพอีกครั้ง ยามนี้เป้าหมายของเขามีเพียงปราบปรามพวกหลิวอ๋อง เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน 

“ลุกขึ้นเถอะ มาสนทนาพาทีเฉกเช่นมิตรสหายดีกว่า”ฮ่องเต้หนุ่มยกมือให้ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ลุกขึ้น โบกมือไล่เส้ากงกงออกไปนอกห้อง ไป๋ผูอวี้ยืดร่างเมื่อฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินนำที่ฉากกั้นฉลุลาย ด้านในมีโลงแก้วสองโลงบรรจุร่างสองร่างไว้ ไป๋ผูอวี้ลมหายใจสะดุดเมื่อมองเห็นร่างไร้ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยที่ดูคล้ายกับนอนหลับแต่เพราะบาดแผลที่ถูกเผาไหม้ทำให้ดูเป็นการนอนหลับที่ไม่สงบนัก ส่วนอีกร่างคือชายงามผู้หนึ่ง เขาเคยเห็นคนงามมามากแต่ชายงามผู้นี้นับว่าโดดเด่น

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นคนนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกมา”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยขึ้นแต่คล้ายกับเอ่ยเปรยกับตัวเองมากกว่า

“พ่ะย่ะค่ะ”เขาตอบเบาๆมองฮ่องเต้หมุนตัวไปที่โต๊ะด้านในมีไหสุราและจอกสองใบวางอยู่ เจี่ยผิงรินสุรากลิ่นหอมลงจอกทั้งสอง ก่อนส่งให้อีกฝ่าย

“ข้ากับเจ้าต่างก็สูญเสียเช่นเดียวกัน”ฮ่องเต้เจี่ยผิงรำพึง มองแม่ทัพใหญ่ที่เพิ่งแต่งตั้งรับจอกสุราไปจากตนด้วยใบหน้าราบเรียบ ท่าทีนอบน้อมของร่างตรงหน้าชวนให้ขัดหูขัดตา เจี่ยผิงรู้ดีว่าเป็นเพียงการสวมหน้ากากเข้าหากันเท่านั้น ชายหนุ่มอยากรู้นักหากเขามิใช่เจ้าแผ่นดิน คนสกุลไป๋จะพูดจากับตนเช่นไร

“เจ้ารักเสิ่นจิ้งเฟย?”ฮ่องเต้เอ่ยถาม เขย่าสุราในจอกเบา ๆลอบมองท่าทีของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้เพียงยกจอกสุราดื่มอย่างละเมียดละไมมีผู้ใดดื่มสุราเหมือนดื่มชาบ้าง

“กระหม่อมมิได้รักเสิ่นจิ้งเฟย…”ชายหนุ่มกล่าวเชื่องช้า สบตากับผู้เป็นฮ่องเต้ “คนที่กระหม่อมรักคือจื่อฟาง”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้ว ที่แท้คนผู้นี้ก็ทราบตัวตนของจื่อฟาง สายตาของเขาตกลงที่ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอีกครั้ง

“แต่เจ้าชอบจื่อฟางก็เพราะเขาอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย…”

“กระหม่อมเคยบอกฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมรักเขาที่ตัวตน หากกระหม่อมชอบความงามของเสิ่นจิ้งเฟยก็คงมีใจให้เขาตั้งแต่แรกที่มาฉางอัน”

เจี่ยผิงนิ่งงันไปกับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะยกจอกสุราดื่มจนหมด คิดว่าถึงเวลาคุยเรื่องจริงจังแล้ว ไป๋ผูอวี้ดื่มจนหมดจอกเช่นกัน นึกดูแล้วชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยก็ถือว่าน่าสงสาร ต้องถูกผูกติดอยู่กับคนผู้นี้ แต่เขากลับสงสารไม่ลงเมื่อนึกถึงปัญหาที่คุณชายท่านนี้ทิ้งให้จื่อฟางรับมือ ฮ่องเต้หนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้กลม เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ พยักเพยิดให้ชายหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ว่างเช่นกัน

“เจ้าคงทราบกระมังว่าเหตุเพลิงไหม้เป็นฝีมือของหลิวอ๋อง”นัยน์ตาของฮ่องเต้วูบไหว “คนของเรารายงานว่ามีชาวบ้านพบเห็นรถม้ามุ่งออกจากเมืองหลวงหลังจากที่เกิดเหตุวุ่นวายที่จวนสกุลเสิ่น คาดว่าเป็นหลิวอ๋อง คนของเขาฆ่าทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างอุกอาจ เราจึงให้สั่งคนนำกำลังติดตามไป พวกเขารายงานกลับมาว่ามีรอยรถม้าแยกออกไปสี่ทางจึงนำกำลังพลแยกตามหา ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติม”

ไป๋ผูอวี้มุ่นคิ้วอย่างใช้ความคิด “ฝ่าบาทคิดว่าเส้นทางพวกนั้นเป็นกับดักหรือพ่ะย่ะค่ะ”แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่หลิวอ๋องจะนำกำลังพลซุ่มโจมตี

“ข้าคิดเช่นนั้น แต่ข้าเชื่อว่าเจี่ยซินไม่ได้นำพระชายาและอ๋องน้อยไปยังที่หลบหนีเดียวกัน”เจี่ยผิงยกยิ้มหยันขึ้นมา เจี่ยซินคิดเล่นอะไรอยู่ 

“เมืองลั่วหยางถูกอ๋องแคว้นเกาโหยวยึดไว้ได้แล้ว ข้าจะส่งกองทัพใกล้เคียงไปจัดการ ส่วนเจ้านำกำลังไปสมทบกับแม่ทัพเมิ่งที่ค่ายทหารอำเภอซินเฉิงค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองเสียนหยาง ข้าเชื่อว่าเจี่ยซินไม่ตั้งกองทัพห่างจากเมืองหลวง หลิวอ๋องก่อกบฏถือเป็นความผิดร้ายแรง รองแม่ทัพไป๋จัดการตามที่เห็นสมควร”ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋ผูอวี้รับคำ เมื่ออีกฝ่ายไม่มีเรื่องใดแล้ว ชายหนุ่มจึงถวายบังคม รีบเร่งออกไปจากตำหนักหยุนเอี้ยน ไม่ได้เหลือบตามองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยแม้แต่น้อย

เมื่อเงาร่างของไป๋ผูอวี้หายไป เจี่ยผิงก็ลุกไปทอดมองร่างไร้วิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟย

“สถานการณ์ที่ชายแดนเมืองอี้โจวเป็นอย่างไร ช่างอิ่นลงมือหรือยัง”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้ดีว่าคนของตนไม่ได้ไปไหนไกล

“ยามนี้กองกำลังลับได้ประจำเส้นทางรอซุ่มโจมตีองค์ชายใหญ่เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”กู้หมิงตอบเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้พยักหน้าช้า ๆอย่างพอใจ  สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าที่เคยงดงามที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

“ฝ่าบาท...มอบป้ายคำสั่งแก่ไป๋ผูอวี้เช่นนี้...”เฮ่อเจ๋อกลั้นใจเอ่ยขึ้น เขาไม่คิดไว้ใจคนผู้นั้นหลังจากที่เคยสืบทราบมาว่าสกุลไป๋เคยกุมอำนาจทหารในมือจนฮ่องเต้ในสมัยนั้นต้องตัดสินใจตัดกำลัง

“เจ้าสงสัยในการตัดสินใจของเราหรือ ”ฮ่องเต้หนุ่มตวัดสายตามอง องครักษ์ถึงได้สงบปากสงบคำก้มหน้าลงอย่างเจียมตัว เจี่ยผิงเข้าใจที่อีกฝ่ายกังวลแต่เขาค่อนข้างแน่ใจว่าคนเช่นไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงนั้น ที่เข้าร่วมการศึกแต่แรกก็เพราะต้องการแลกเปลี่ยนกับอิสระของเสิ่นจิ้งเฟย...ไม่สิจื่อฟาง ไป๋ผูอวี้คนเดิมคล้ายกับจะหายไปพร้อมกับวิญญาณของจื่อฟาง

“เฮ่อเจ๋อ เรียกเสนาบดีเสิ่นมาที่นี่ เราอยากให้เขาได้ลาบุตรชายก่อนที่เราจะจัดการเก็บร่างของเสิ่นจิ้งเฟย”

“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จากไปอย่างไร้สุ้มเสียง  เจี่ยผิงเหม่อมองออกไปนอกตำหนักหยุนเอี้ยน ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท แต่เขารู้ดีว่าภายนอกกำแพงเมืองฉางอัน หลิวอ๋องและช่างอิ่นกำลังเตรียมตัวจู่โจม   

เช้าวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้เข้าประชุมท้องพระโรง ขุนนางได้แต่ยืนเรียงรายแน่นขนัดอย่างสับสัน พระองค์เพียงมีบัญชาให้คนมาประกาศพระราชโองการเท่านั้น ฉบับแรกปลดอัครเสนาบดีหลี่ออกจากตำแหน่ง และคุมขังในคุกหลวงเนื่องจากซ่องสุมกำลังก่อกบฏ ฉบับที่สองแต่งตั้งไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพนำกำลังทหารห้าพันนายไปหนุนกำลังที่ค่ายซินเฉิงเพื่อปราบกบฏ

พระราชโองการอันน่าตกใจทั้งสองฉบับแผ่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่งตั้งบุตรชายสกุลไป๋เป็นรองแม่ทัพก็น่าตกใจแล้ว แต่เรื่องอัครเสนาบดีหลี่ทำให้มีขุนนางไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงรวมตัวเขียนหนังสือร้องเรียนประท้วงอยู่ที่หน้าประตูจั่วซุ่น ทำให้เจ้าแผ่นดินมีโทสะสั่งโบยขุนนางที่ประพฤติตนขัดราชโองการที่นอกประตูอู่

………….

คฤหาสน์สกุลไป๋มีแขกมาเยือนมิใช่คนอื่นคนไกลเป็นใต้เท้าเฉินฉางเซียงที่ไม่ทันได้กลับเมืองเสียนหยางก็ได้ยินข่าวอันน่าตกใจของเสิ่นจิ้งเฟยเข้า เพิ่งไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงานที่เรือนหลังเล็กนั่นแท้ ๆ…ชายชราถอนหายใจแก่โชคชะตาอันอับโชคของเสิ่นจิ้งเฟย เมื่อพบหน้าไป๋ผูอวี้ที่นับได้ว่าเป็นลูกหลานคนหนึ่งก็ไม่ได้เอ่ยถึงการจากไปของเสิ่นจิ้งเฟยให้ฝ่ายนั้นช้ำใจ เพียงแค่มองหน้าไป๋ผูอวี้ด้วยแววตาหมองเศร้า ไป๋ผูอวี้ที่บัดนี้คือรองแม่ทัพคิดว่าดีแล้ว เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเอ่ยปลอบหรือมีคนมาพูดตอกย้ำเรื่องเดิมอยู่บ่อย ๆ

“ข้าได้ยินว่าเจ้าได้เป็นถึงรองแม่ทัพนำกำลังไปหนุนที่ค่ายซินเฉิงเพื่อโจมตีเมืองเสียนหยาง ไม่รู้ว่าไป๋อู่เหยียนได้ยินจะกระอักเลือดหรือไม่”เฉินฉางเซียงกล่าวหยอกล้อระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องรับรองด้วยท่วงท่าสงบ แม้มือที่ยกดื่มชาจะสั่นน้อย ๆ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยสะเทือนใจชายแก่เช่นเขาพอสมควร ไม่คิดว่าเจ้าเด็กโง่รั้นนั่นจะต้องไปก่อนวัยอันควร 

ไป๋ผูอวี้ได้แต่ยกยิ้ม“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดไม่น้อย”

“ที่ข้ามาหาเจ้าก็ไม่ได้มาตัดสินว่าเจ้าทำผิดหรือไม่ผิด”ใต้เท้าเฉินวางจอกชา รู้ดีว่าพวกคนสกุลไป๋คิดเห็นต่อราชสำนักเช่นไร เขาหยิบกระดาษที่ยับย่นออกมาจากอกเสื้อส่งให้บุตรชายสกุลไป๋ “นี่เป็นแผนผังของเมืองเสียนหยาง ตอนที่ข้าเกษียณจากราชการได้สำรวจดูจนถี่ถ้วน หากว่าหลิวอ๋องไปตั้งทัพที่เสียนหยางจริง ข้าก็คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับเจ้า”

ไป๋ผูอวี้รับแผนผังเมืองมาคลี่ดูราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นแผนผังเมืองที่ค่อนข้างละเอียดและอ่านง่าย ชายหนุ่มไม่เคยสอบถามอีกฝ่ายมาก่อนว่าครั้งที่ยังเป็นขุนนางนั้นอยู่ในตำแหน่งใด รู้แต่เพียงว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น

“ท่านคิดเห็นเช่นไรหรือ”เขาถือโอกาสไต่ถาม ใต้เท้าเฉินทำเป็นลูบคางใช้ความคิด ทั้ง ๆที่คิดเตรียมการไว้แล้ว

“เมืองเสียนหยางสำคัญก็จริง แต่ข้าคิดว่าหลิวอ๋องไม่น่าทิ้งเมืองลั่วหยาง แม้ว่าเกาโหยวอ๋องจะรับมืออยู่ที่นั่น แต่เขาอาจไปสมทบกับเกาโหยวอ๋องได้ทุกเมื่อ เจ้าดูที่ตรงนี้ ข้าเคยไปสำรวจมาแล้ว”เฉินฉางเซียงชี้ไปที่จุดนอกเมืองเสียนหยางติดกับชายป่า “พบว่าเส้นทางนี้สามารถเดินทางไปเมืองลั่วหยางได้โดยไม่ต้องผ่านเส้นค่ายทหารซินเฉิง ตรงนี้เป็นพื้นที่ติดกับชายป่า ปกติไม่มีผู้ใดใช้เพราะการเดินทางในป่าค่อนข้างลำบาก ทั้งยังต้องข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากแต่เพื่อความรอบคอบ เจ้าควรนำกำลังคนไปตั้งค่ายดักเส้นทางไว้”เฉินฉางเซียงกล่าวพร้อมเคาะนิ้วไปที่เส้นทางดังกล่าว

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่ชี้แนะ”ไป๋ผูอวี้ค้อมกาย  เฉินฉางเซียงโบกมืออย่างไม่ถือสา จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นานสองนาน

“ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาจากการศึกอย่างปลอดภัย”

ไป๋ผูอวี้ก็หวังว่าเช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าอยู่ในสนามรบย่อมไม่มีคำว่าปลอดภัย 

“ข้าหมดธุระกับเจ้าแล้ว”ใต้เท้าเฉินไม่อยากอยู่รบกวนคนสกุลไป๋นานจบเรื่องแล้วก็ขอตัวกลับ ชายหนุ่มลุกไปส่งที่หน้าประตูมองส่งจนเงาร่างของชายชราหายไป จึงกลับไปในเรือนเพื่อจัดเตรียมของใส่หีบ นำของที่จื่อฟางเคยมอบให้ติดตัวไปด้วย ปิ่นไม้ที่อีกฝ่ายมอบให้เขาใต้ต้นเหมย พัดกระดาษรูปนกกระเรียนเก็บอย่างประณีตใส่กล่องไม้และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือม้วนภาพวาดของจื่อฟาง

“ข้าจะออกเดินทางแล้ว”


…………...


ไป๋ผูอวี้สวมชุดนักรบทั้งร่างนำกองทัพทหารกว่าห้าพันนายออกเดินทางในช่วงยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)แบ่งเป็นทหารราบ ทหารม้า และรถม้าศึก ชาวบ้านบางส่วนมาซุ่มมองตามแนวประตูเมือง เสวี่ยไป๋อาชาสีขาวควบทะยานไปข้างหน้าอย่างตื่นตัว เป็นอีกครั้งที่เขาเดินทางนำทัพ เบื้องหลังของชายหนุ่มมีซูเหลียนฮวา เว่ยหลงและคนสกุลไป๋อีกสองร้อยกว่าคนควบม้านำหน้าขุนพลทหารที่ตั้งแถวเป็นหน่วยละลานตา   

“คุณชายไป๋”ซูเหลียนฮวากล่าวเรียก เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของนางเหม่อลอยจนไม่ทันได้สังเกตร่างกำยำที่อยู่บนหลังม้าหน้าประตูเมือง ร่างนั้นดูคุ้นตาและคล้ายกับพยายามทรงตัวอย่างยากลำบากอยู่บนอาชาสีดำมันวาว เมื่อเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นหยางชวี ใบหน้าของร่างนั้นเผือดซีด คิ้วขมวดมุ่น ขบฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดท่าทางฝืนทนจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี

“เจ้าได้รับบาดเจ็บ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยสั้น ๆ รู้ถึงเหตุผลของอีกฝ่ายดีว่ามารออยู่ที่หน้าประตูเมืองเพราะเหตุใด หยางชวีอยู่ในสภาพเช่นนี้จะให้เขายอมพาไปร่วมศึกอย่างนั้นหรือ ผู้ติดตามพยายามควบคุมลมหายใจ แม้บาดแผลที่หน้าท้องจะปิดสนิทแล้ว แต่ภายในของเขาบอบช้ำจากการต่อสู้ ชายหนุ่มพยายามไม่เผยอาการเจ็บปวดออกไปแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ในใจคิดแค้นเคืองตัวเองยิ่งนัก เพราะความอ่อนแอของเขาคุณชายถึงได้...

หยางชวีขบฟันมือกำสายบังเหียนจนเจ็บ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกปรากฏแววคั่งแค้นวูบหนึ่ง เขาไม่ได้มองผู้ใดนอกจากไป๋ผูอวี้ที่ยามนี้มียศตำแหน่ง ยามปกติเขาคงต้องก้มหัวให้ 

“ข้าต้องการไป มิใช่เพื่อคุณชายเสิ่นเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อตัวข้าด้วย ท่านรองแม่ทัพ ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า หากข้าตายก็ให้ตายด้วยความตั้งใจของข้าเองถึงจะสมกับเป็นผู้ติดตาม”หยางชวีกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เจ็บแค้นตนเองยิ่งนักที่ปล่อยให้หลิวอ๋องเข้ามาทำร้ายคุณชายถึงในจวน ไม่ใช่แค่คุณชาย แต่ยังมีนายท่านและพวกบ่าวไพร่ของสกุลเสิ่น เขาช่วยเหลือคุณชายไม่ได้ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บหนักเสียจนต้องให้นางมารหมื่นพิษมาช่วย หากไม่ได้ยาสมุนไพรของนาง เขาคงไม่มีโอกาสรอด ชายหนุ่มโกรธยิ่งนักที่ซูเหลียนฮวาไม่บอกความจริงกับเขา ถ้าหากนางบอก หยางชวีก็คงได้เห็นคุณชายเสิ่นเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในสภาพเช่นไรเขาก็ไม่หวาดกลัว ขอแค่ให้ได้บอกลา   

“คุณชายให้เขาไปเถอะ”เว่ยหลงเอ่ยขึ้น พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาพอจะกระตุ้นให้หยางชวีฮึดสู้ได้บ้างแม้หมายถึงการที่เจ้านั่นลากสังขารมาขอร่วมทัพไปด้วย แต่การต่อสู้มีหลายแบบสู้เพื่อชัยชนะกับสู้เพื่อศักดิ์ศรี ผู้ติดตามหน้าตายคงเป็นอย่างหลัง

“หากข้าให้เจ้าไป หลังจากนี้เจ้าต้องมีชีวิตรอด ยกโทษให้ตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียทีเดียว จื่อฟางคงไม่อยากเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ทำได้หรือไม่”ไป๋ผูอวี้มองอีกฝ่ายไม่ละสายตา จงใจเอ่ยชื่อจื่อฟางออกไป

หยางชวีใจกระตุกเมื่อได้ยินไป๋ผูอวี้เอ่ยชื่อที่ไม่คุ้นหูออกมา นึกไปถึงถ้อยคำคลุมเครือของคุณชายเสิ่นยามที่เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ใดกันแน่

‘หากข้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟยแล้วอย่างไร ข้าก็ยังเป็นคนเดิมที่เจ้ารู้จัก’
คุณชายของเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย คนที่เขารับใช้มาตลอดคือจื่อฟาง

“จื่อฟาง...”ชายหนุ่มพึมพำ รู้สึกโล่งอกในที่สุดเขาก็ได้ทราบชื่อจริงของคนผู้นี้เสียที   

“หยางชวี เจ้าทำตามที่ข้าขอได้หรือไม่ หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็ไม่ให้เจ้าไป”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้นเพื่อเรียกสติของอีกคนที่ดูจะเหม่อลอยไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าหยางชวีรู้เรื่องของจื่อฟางมากน้อยแค่ไหน แต่เดาจากสีหน้าที่คล้ายกับปลดภาระบางอย่างก็พอจะเดาได้ จื่อฟางไว้ใจคนผู้นี้มากพอดู อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกประหลาดอยู่ในอกแต่ก็รีบไล่สะบัดความคิดไร้สาระทิ้ง

หยางชวีสูดลมหายใจเข้า เอ่ยคำออกไป “ข้าทำได้ ข้าจะไม่ตาย และหากจบการศึกข้าจะไม่โทษตัวเอง”

ชายหนุ่มยกยิ้มหยัน ไอ้เรื่องตายหรือไม่ตายทำได้ยากนัก ในสนามรบคาดการณ์ได้ด้วยหรือ หยางชวีถูกสายตาเดาไม่ออกของไป๋ผูอวี้อาบไปทั้งร่างก็รู้สึกหนาวเย็นอยู่ลึกๆ คนผู้นี้ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปในกองเพลิงเพื่อนำร่างของคุณชายจื่อฟางออกมา เขานับถือ แต่เขามีความรู้สึกว่าไป๋ผูอวี้เปลี่ยนไป การกระทำของอีกฝ่ายยังคงเช่นเดิม แต่ดวงตาที่เคยมีความมุ่งมั่นกลับหายไป บางทีคนผู้นี้คงเบื่อหน่ายชีวิตแล้วกระมัง ถือว่าเป็นเรื่องเดียวที่หยางชวีพอจะเข้าใจ เขาเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อมากนัก ในเมื่อเป้าหมายของเขาหายไปแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี”ไป๋ผูอวี้คล้ายจะพอใจแล้ว

“ท่านรองแม่ทัพก็เช่นกัน อย่าตายในสนามรบ”หยางชวีพึมพำเบา ๆให้ชายอีกคนได้ยิน ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม หันมองเบื้องหลังก็คิดว่าเสียเวลานานแล้วจึงกระตุกบังเหียนม้าทีหนึ่ง มองข้ามสายตาสงสัยของเว่ยหลงและซูเหลียนฮวา เรื่องตัวจริงของจื่อฟาง เขายังไม่ได้บอกทั้งสองคน คิดว่ารอให้การจลาจลในเมืองฉางอันจบลงก่อนค่อยว่ากันทีหลัง

ขบวนกองทัพนำโดยรองแม่ทัพไป๋มุ่งหน้าออกจากประตูเมืองเป็นเส้นสายพร้อมเสียงทัพม้าดังกึกก้อง ที่บนกำแพงเมืองมีร่างของคุณชายสูงศักดิ์ยืนมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ข้างกายมีบัณฑิตสองคนยืนอยู่ห่างออกไป คนหนึ่งมีรูปร่างสง่า อีกคนมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไฝเม็ดเล็กๆเหนือริมฝีปากข้างซ้าย

“ท่านแย่งไป๋ผูอวี้ไปจากข้า”เกาจวีถังพึมพำด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่พอใจแต่ดวงตาไม่ได้จริงจังนัก

“ที่ปรึกษาเกาก็มี บัณฑิตหลิวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่างรองแม่ทัพไป๋ไม่เหมาะกับสภาบัณฑิตของท่านหรอก”เจี่ยผิงกล่าวตอบ ยังคงทอดมองไปยังเส้นทางนอกประตูเมือง บัณฑิตข้างกายส่งเสียงไอสองสามครั้ง ร่างผอมแห้งสั่นน้อย ๆ

“บัณฑิตหลิว ท่านมิควรออกมาตากอากาศ อาการป่วยของท่านยังไม่ดีขึ้น”เกาจวีถังมองสหายด้วยสายตาอับจนคำพูด หลิวเซียนฟางมีอาการป่วยมาหลายเดือน แต่เดือนนี้มีอาการหนักกว่าทุกครั้ง แม้จะได้ยาดีจากแม่นางซูเหลียนฮวาก็ยังไม่เห็นผล

“ข้าแค่อยากมาดูรองแม่ทัพไป๋ เขาเข้าร่วมคณะบัณฑิตแต่ข้ากลับไม่เคยถกปัญหาต่อบทกวีด้วยจึงคิดว่าน่าเสียดายนัก ไม่รู้ว่าข้ากับเขาผู้ใดจะตายก่อนกัน”บัณฑิตหลิวเซียนฟาง ใช้ผ้าผืนเล็กซับหน้าผาก ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีเหงื่อผุด ชายหนุ่มมองเห็นแววตาเช่นนั้นของไป๋ผูอวี้ก็ถอดถอนใจ ได้แต่หวังว่าคนผู้นั้นจะกลับมาสานต่อเรื่องระบบการสอบเคอจวีที่เกาจวีถังและที่คณะบัณฑิตกำลังผลักดัน

เจี่ยผิงส่งสายตามองบัณฑิตที่ยังคงไออยู่หลายที “บัณฑิตหลิว เรื่องที่เราให้ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”ชายหนุ่มเอ่ยถาม ละสายตามาจากกำลังทหาร หมุนตัวมองไปยังวังหลวงที่เห็นอยู่ไกล ๆแทน 

“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”บัณฑิตหลิวป้องปากตอบ เรื่องที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวถึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัชทายาทเจี่ยอิงต้า พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจึงขอให้เขานำองค์รัชทายาทและเจาฮองเฮาไปพำนักที่วัดซิงเจียวที่อยู่ห่างออกไปจนเกือบนอกเมือง มีองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งเฝ้าอารักขา

“ผู้อาวุโสอวิ๋นเล่า”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถามเสียงเบา ไม่คิดว่าท่านผู้นั้นจะมีใจคิดเป็นอื่น

ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่เอ่ยตอบทันที เขาเพียงรอจังหวะ อีกทั้งผู้อาวุโสอวิ๋นก็ไม่เคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้ว จึงหาโอกาสเล่นงานไม่ง่าย “ข้าคิดว่าเขาคงอยากเจออัครเสนาบดีหลี่”

สองบัณฑิตขั้นสูงเพียงมองหน้ากัน คิดว่าคงถึงเวลาโละตัวหมากเก่าๆออกไปจากกระดานเสียที



~•~

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 03:14:12 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
-   ปัจจุบัน


จื่อฟางตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าไป๋อี้เสวี่ยไม่ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง เด็กหนุ่มกระพริบตาดันร่างลุกนั่งมองเห็นร่างของเพื่อนร่วมชั้นเรียนนอนอยู่ที่โซฟาปลายเตียง เสียงน้ำไหลดังอยู่ในห้องน้ำ ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างผอมบางของเฉิงเค่อลี่ผู้เป็นแม่ของจื่อฟางปรากฏให้เห็น หญิงวัยสี่สิบกว่าปีถือจานองุ่นที่เพิ่งล้างน้ำออกมา

“ตื่นแล้วเหรอ หลับไปตั้งสามวันทำเอาที่บ้านตกใจหมด”แม่ส่งเสียงบ่นพร้อมเดินเข้ามาใกล้ จื่อฟางเม้มปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเหลือบมองไปที่ไป๋อี้เสวี่ยพบว่าร่างนั้นยังคงนอนหลับสนิท

“พ่อล่ะครับ”เขาเอ่ยถาม เมื่อมองไม่เห็นหน้าดุๆของฝ่ายนั้น

“มาตอนที่แกหลับ ตอนนี้กลับไปทำงานแล้ว”เฉิงเค่อลี่ตอบก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้พร้อมกับหยิบองุ่นเข้าปาก ครอบครัวของเขาก็เป็นแบบนี้

“เพื่อน...เอ่อ เขามานานหรือยัง”จื่อฟางมองไปที่ร่างของไป๋อี้เสวี่ย พบว่าเรื่องนี้แปลกมาก เขาไม่ได้สนิทกับไป๋อี้เสวี่ย ในห้องเรียนก็แทบไม่เคยคุยกัน เดินผ่านยังไม่เคยมองแล้วตอนนี้กลับทำตัวเหมือนว่าสนิทกันแต่ชาติปางก่อน เด็กหนุ่มชะงักกับความคิดตัวเอง ถ้าในโลกนิยายเรียกว่าชาติก่อนได้น่ะนะ

“ตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ยักรู้ว่าแกสนิทกับคนรวยๆด้วย เห็นมาเฝ้าตั้งแต่วันแรกที่แกเข้าโรงพยาบาล บอกว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้...”

“ว่าอะไรนะครับ”จื่อฟางตาโต ไป๋อี้เสวี่ยมายุ่งอะไรกับเรื่องเงินๆทองๆของบ้านคนอื่น “แม่เล่ามาซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไง”

เฉิงเค่อลี่มองลูกชายด้วยสายตาเป็นกังวล “แกจำไม่ได้เหรอ ก็เมื่อสามวันก่อนแม่ติดต่อแกไม่ได้ ก็เลยไปหาที่ห้อง แต่เรียกยังไงแกก็ไม่ตอบก็เลยไปขอกุญแจสำรองที่เจ้าของหอพัก”นางเฉิงถอนหายใจเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าจื่อฟางนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงท่าทางอย่างกับคนตาย

“ตอนพาแกมาหาหมอที่นี่ ก็เจอเข้ากับไป๋อี้เสวี่ยพอดี เขาบอกว่าเป็นเพื่อนแกก็เลยจะช่วยดูแล...แล้วพ่อเขาก็เป็นคุณหมอที่นี่บอกว่าอยากดูอาการอย่างใกล้ชิด”นางเฉิงรู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้เล็กน้อย ตั้งแต่ลูกชายเข้าเรียนที่ม.ซี้เตี้ยนก็ไม่เคยเห็นเล่าถึงเพื่อนคนนี้มาก่อน อีกทั้งนางได้เห็นเด็กคนนี้มาเยี่ยมจื่อฟางบ่อย ๆ สีหน้าและแววตาดูยังไงก็น่าสงสัย นางคงไม่คิดมากหากไม่รู้ถึงรสนิยมของลูกชายตัวเอง

“ดูแล?แม่ให้คนแปลกหน้าออกเงินให้เหรอ”จื่อฟางรู้สึกบอกไม่ถูก หญิงตรงหน้าพลันชักสีหน้ายกมือคล้ายกับจะเขกหัวเขา เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างตามสัญชาติญาณทันที

“แกเห็นฉันเป็นคนยังไง ถึงจะลำบากแค่ไหนฉันกับพ่อแกก็ไม่มีทางให้เด็กที่ไม่รู้จักมาออกเงินให้หรอก”เฉิงเค่อลี่ถอนหายใจอีกรอบ คิดแล้วก็ปวดจี๊ดในอกเมื่อนึกถึงเงินค่าห้องผู้ป่วยพิเศษที่ต้องจ่าย ยังดีที่เจ้าเด็กนี่หลับไปแค่สามวันร่างกายไม่มีสิ่งผิดปกติ ยกเว้นครึ่งวันก่อนหน้านี้ที่อยู่ ๆจื่อฟางก็หยุดหายใจไปเสียดื้อๆ จนต้องใส่ที่ช่วยหายใจ

จื่อฟางได้ฟังที่ผู้เป็นแม่บอกก็โล่งใจเหลือบมองไป๋อี้เสวี่ยที่ยังคงหลับอยู่หรือแกล้งทำเป็นหลับเพราะเด็กหนุ่มมองเห็นเปลือกตาที่สั่นไหวคล้ายจะลืมอยู่ครู่หนึ่งของอีกฝ่ายแต่เพราะไม่อยากตื่นมากลางการสนทนาทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนล่ะมั้ง เขากำลังคิดคำนวณว่าต้องเสียเงินไปอีกกี่พันหยวนก็รู้สึกว่าถูกแม่จ้องมองจนทำตัวไม่ถูก

“แม่มีอะไรรึเปล่า”

“แกเป็นเพื่อนกับไป๋อี้เสวี่ยแน่นะ”นางเฉิงไม่อยากบีบคั้นมากนักเพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างพูดยาก 

“เป็นเพื่อนสิ”จื่อฟางรู้สึกแปลกๆที่อยู่ ๆแม่ก็ถามเรื่องนี้หวังว่าคงไม่ได้คิดอะไรไปไกล ไป๋อี้เสวี่ยคงสมองเพี้ยนไปแล้วแน่เขากับหมอนั่นเรียกว่าเพื่อนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“จะยังไงก็เถอะ อย่าให้พ่อแกรู้ก็แล้วกัน”

จื่อฟางไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงได้แต่เงียบ แม่อยู่คุยอีกไม่นานก็รีบกลับเพราะมีงานต้องทำต่อ เขาได้แต่ถอนหายใจเอนพิงหมอนมองไปยังคนที่นอนอย่างไม่สบายตัวบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“นี่ ตื่นได้แล้ว”เขาส่งเสียงเรียก รู้สึกว่าอยากกลับห้องของตัวเอง ไม่อยากพักอยู่ที่โรงพยาบาลนานเพราะจะยิ่งเปลืองค่าใช้จ่าย ไป๋อี้เสวี่ยตื่นนานแล้วพอได้ยินก็ลืมตาขึ้น แสร้งยกมือขยี้ตา ยืดแขนขาอยู่บนโซฟาที่แทบไม่พอดีกับตัว เด็กหนุ่มลุกนั่งเลื่อนสายมองไปที่ร่างบนเตียงซึ่งเจ้าตัวมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว

“ฉันจะออกค่าห้องให้”เขาเอ่ยทำลายความเงียบ ไม่ได้ต้องการจะสร้างความลำบากให้ใครแค่รู้สึกว่าอยากช่วยเหลือเท่านั้น ทั้ง ๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักจื่อฟาง ต้องบอกว่าตั้งแต่เพื่อนร่วมห้องคนนี้นอนหลับไม่ได้สติ เขาก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆเพราะความฝันประหลาด

“ไม่ต้องหรอก”จื่อฟางรีบตอบ

“งั้นนายก็วาดรูปมาขายให้ฉันตกลงไหม ฉันจะซื้อเอง”ไป๋อี้เสวี่ยยังคงไม่ละความพยายาม ในตอนที่เกิดความฝันแปลกๆเขาก็เริ่มสนใจเรื่องของเพื่อนร่วมห้องคนนี้จึงพอจะรู้ว่าจื่อฟางวาดรูปขายในเว็บ

คนบนเตียงไม่เอ่ยตอบทั้งยังมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ ไป๋อี้เสวี่ยไม่โทษอีกฝ่าย “ฉันต้องการคุยกับหมอ ฉันอยากกลับบ้าน”จื่อฟางรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรทั้งนั้น ภายในห้องเกิดความเงียบอันน่าคุ้นชิน บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านี้ ไป๋อี้เสวี่ยทำตามคำขอของเขา

คุณหมอไป๋มาซักถามอาการของเขาอีกพักใหญ่พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าต้องการติดตามอาการหลังจากนี้ของเขาไว้เป็นกรณีศึกษา เรื่องค่าใช้จ่ายอีกฝ่ายจะรับไว้ในความดูแลเอง เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยแย้งทั้งยังลอบรู้สึกโล่งใจ คิดว่าติดตามอาการของเขาไปก็เท่านั้นเขาไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย

“ฉันจะไปส่งนายที่หอพัก”ไป๋อี้เสวี่ยกล่าวขึ้นหลังจากที่พ่อของตนออกไปจากห้องแล้ว ทั้งยังส่งสายตาที่ทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดงุ่นง่านใจมาให้อีก เรื่องที่อยู่ ๆเขาก็มาสนใจจื่อฟางสร้างความสงสัยให้พ่อของเขามาก 

“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องตอบแบบนี้จึงเตรียมคำโต้ตอบไว้แล้ว เอ่ยเสริมไปว่า “นายยังไม่ได้ทำกายภาพบำบัดฉันกลัวว่านายจะแข้งขาอ่อน ให้ฉันไปส่งนี่ล่ะดีที่สุดแล้ว”

จื่อฟางปรายตามองคนร่างสูงอย่างสงสัย “ฉันกับนายรู้จักกันดีขนาดนั้นเลยหรือไง”เขารู้สึกบอกไม่ถูก คงเพราะเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นต้นแบบคาแรคเตอร์ของไป๋ผูอวี้ เขาถึงไม่อยากเข้าใกล้เพราะทำให้นึกถึงคนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง ร่างนั้นถอนหายใจ

“อันที่จริงฉันมีเรื่องที่อยากคุยกับนาย ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัด”
เขาไม่ได้ปฏิเสธ คิดว่าก็ดีเหมือนกันจะได้หายข้องใจที่อยู่ ๆ หมอนี่ก็มาทำตัวสนิทสนม


จื่อฟางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กลับมาที่หอพักนานเป็นชาติ แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม เขาถอนหายใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปมองเห็นห้องพักอันคุ้นตาของตัวเอง
 
“คับแคบหน่อยนะ”จื่อฟางบอกคนด้านหลังก่อนจะหลีกทางให้ร่างสูงเข้ามา  รีบเก็บหนังสือนิยายที่กองอยู่กับพื้นเข้าที่ให้เรียบร้อย เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบ ๆห้อง กระทั่งขยะที่ยังไม่ได้ทิ้งก็ยังเหมือนเดิม

“ฉันไม่ถือ”ไป๋อี้เสวี่ยตอบหน้านิ่ง นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอมระหว่างที่มองไปรอบ ๆ เป็นห้องที่ไม่ได้กว้างมากนัก เตียงชิดริมผนังทางขวา โต๊ะเขียนหนังสือที่ปลายเตียง ครัวแคบ ๆเท่าแมวดิ้นทางซ้ายมือ  เขามองเจ้าของห้องเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ จื่อฟางหยุดชะงักมองกระดานสเก็ตขนาดเอสามวางพิงผนังห้องอยู่จำได้ว่าเป็นภาพทิวทัศน์ที่เขาร่างค้างไว้ตั้งแต่คืนที่หลุดเข้าไปในโลกนิยาย รู้สึกเหมือนจากไปเป็นแรมปี ทั้ง ๆที่เหตุการณ์ในโลกนิยายผ่านไปเกือบหกเดือนเท่านั้นแต่ในโลกปัจจุบันกลับเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก

ไป๋อี้เสวี่ยกระแอมกระไอเบาๆทำให้จื่อฟางหันไปมอง “นายคงคิดว่าแปลกที่ฉันเข้ามาพูดด้วยแบบนี้”อีกฝ่ายเกริ่น

“แน่ล่ะ ฉันคิดว่านายเกิดเพี้ยนขึ้นมา”เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ นั่งลงที่ปลายเตียงค่อยๆใช้เท้าดันตะกร้าถุงเท้าเล็ก ๆให้พ้นสายตา ก่อนพินิจมองคนแซ่ไป๋ด้วยสายตาสำรวจ สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้ไป๋ คล้ายแต่ก็มีส่วนที่แตกต่าง

“เพี้ยน?ก็ไม่แน่ เพราะเรื่องที่ฉันจะบอกนาย มันก็เพี้ยนจริง ๆ”ไป๋อี้เสวี่ยเกาศีรษะ จื่อฟางได้ยินก็เริ่มสนใจ 

“เล่ามาเถอะ ฉันเจอเรื่องเพี้ยนมาเยอะแล้ว”จื่อฟางเตรียมตัวเตรียมใจเต็มที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบอกเล่าเรื่องอะไรออกมา 

“จะเริ่มยังไงดี”ร่างนั้นหยุดพูดไปนานจนทำให้ในห้องเกิดความเงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาเก่าๆของเขาเดิน

“ฉันฝันแปลกๆถึงนาย”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยสั้น ๆ สบตาร่างที่นั่งอยู่ปลายเตียงเป็นครั้งแรก เขารู้ดีว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกมาอาจทำให้จื่อฟางลำบากใจ แต่เรื่องนี้รบกวนจิตใจของเขามาตลอดสามวัน ถึงแม้จะแค่สามวัน แต่ความฝันเดิม ๆมักจะรบกวนเขาเสมอ ราวกับมีโลกอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่

“ฝัน?”จื่อฟางทำสีหน้างุนงง เจ้าไป๋คนนี้ฝันถึงเขา?เป็นความฝันแบบไหนกัน แต่มองจากสีหน้านิ่งงันของอีกร่างก็เดาไม่ออก

“อย่าเพิ่งคิดไกล ฉันไม่ได้คิดทำนองนั้นกับนาย”ไป๋อี้เสวี่ยรีบเอ่ยแก้ตัวด้วยท่าทางร้อนรน จื่อฟางเลิกคิ้ว

“ฉันแค่สงสัยว่านายฝันแบบไหน อีกอย่างฉันก็ไม่มีทางมองนายหรอกถ้านายไม่ได้หน้าเหมือนแฟนฉัน”เขาโพล่งออกมาอย่างอึดอัด จะว่ายังไงดี หมอนี่ไม่ได้หน้าเหมือนไป๋ผูอวี้แต่เป็นต้นแบบ ไป๋ผูอวี้ในนิยายคล้ายกับคนๆนี้ แต่ก็แค่คล้ายเท่านั้น 

“แฟน?”ไป๋อี้เสวี่ยถูจมูกไปมา 

“ถึงนายจะหน้าเหมือนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะชอบนายซะหน่อย”จื่อฟางพ่นลมหายใจออกมา เริ่มรู้สึกว่าตาไป๋คนนี้ขัดลูกหูลูกตานัก 

“โทษที พอดีพักนี้มีแต่คนพูดจาไม่เข้าหู…ฉันแค่ไม่อยากให้นายลำบากใจน่ะ”ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำ มองเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของอีกร่างก็รู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก จึงกล่าวเข้าเรื่องก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

“ความฝันที่ว่าเป็นความฝันที่ค่อนข้างแปลก เพราะฉันอยู่ในยุคโบราณ ในความฝันมีแค่ฉันกับนาย”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ย ทุกครั้งความฝันนั้นมักจบลงที่ใต้ต้นดอกเหมย บางครั้งก็บนเตียง…ทำกิจกรรมของคู่รัก แต่เขากลับรู้สึกเหมือนคนนอกที่ดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิด ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะฝันถึงยุคโบราณที่ฟังดูเหมือนนิยายกลรักอะไรนั่น ทั้งยังเป็นตัวเขากับอีกฝ่ายด้วย

“นายเคยอ่านนิยายเรื่องกลรักหญิงงามหรือเปล่า”อดถามไม่ได้

“ไม่เคย แต่ว่ามีคนส่งข้อความมาในเว่ยป๋อนานแล้วบอกว่ายืมคาแรคเตอร์ของฉันไปแต่งนิยาย ไม่คิดว่าจะทำจริงๆ”อีกฝ่ายพูดจบเขาก็ส่งเสียงดังอ้อในลำคอ แต่ว่าคนในฝันคือไป๋อี้เสวี่ยหรือไป๋ผูอวี้กันแน่?

“นายบอกว่าฝันเห็นฉันกับนาย นายหมายถึงตัวฉันที่เป็นฉันจริง ๆน่ะเหรอ”เขาถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

“ฉันพูดถึงคนอื่นหรือไง"ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำเมื่อถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองก็กระแอม "อืม นายที่เป็นนาย หน้าเหมือนกันทุกอย่างยกเว้น….”ไป๋อี้เสวี่ยตอบสงสัยว่าจื่อฟางมีปัญหาอะไร นึกถึงรายละเอียดที่เห็นในความฝัน

“ยกเว้นไฝที่เหนือริมฝีปากข้างซ้าย นายสวมใส่ชุดโบราณสีเย็นตา สวมหมวกบัณฑิต”ในความฝันจื่อฟางมักนั่งอ่านตำราและมีตัวเขา--หรือว่าคนที่เหมือนตัวเขานั่งอยู่เคียงข้าง แม้จะบอกว่าเป็นความฝันแต่ก็เหมือนจริงมากและเขายังรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆ…ที่ทำให้อยากเข้าใกล้จื่อฟาง 

ไป๋อี้เสวี่ยเคยเปรยเรื่องนี้กับพ่อ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายพินิจมองบอกว่าสิ่งที่เขาฝันถึงเป็นเพียงภาพปรุงแต่งจากความต้องการของจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่รู้จักจื่อฟางด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเคยเบื่อหน่ายในคาบบรรยายจนสายตาตกไปที่ร่างนั้นเป็นบางครั้งก็เถอะ แต่ไป๋อี้เสวี่ยยืนยันว่าไม่ใช่ความต้องการของจิตใต้สำนึกอย่างแน่นอน 

“อย่างนั้นเหรอ…”จื่อฟางพึมพำ ในอกเต้นระรัว ยังคงไม่เข้าใจความฝันของอีกฝ่าย “นายฝันนานหรือยัง”คำถามพวกนี้ฟังดูทางการชะมัด

“ตั้งแต่วันที่นายไม่ได้สติ ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ๆทำไมถึงฝันเรื่องพวกนี้…เพี้ยนอย่างที่ฉันบอกใช่ไหมล่ะ”เป็นสามวันที่ทำให้เขานอนไม่ค่อยพอ ไป๋อี้เสวี่ยเอนพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย รอยยิ้มกระจายอยู่บนใบหน้าเมื่อเห็นว่าจื่อฟางไม่ได้แตกตื่นและมองว่าเขาบ้าอย่างที่คิด จื่อฟางเหม่อมองอีกคนอยู่ครู่หนึ่งเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นึกถึงรอยยิ้มของไป๋ผูอวี้ เขากระพริบตา เจ้าท่อนไม้ไป๋รบกวนจิตใจของเขามากเกินไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ

ไป๋อี้เสวี่ยมองข้ามสายตาที่อีกคนมองมา ได้แต่สงสัยอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจื่อฟางกันแน่ ฝ่ายนั้นไม่ได้สติไปสามวันเหมือนแค่นอนหลับไปเท่านั้นจนกระทั่งช่วงหนึ่งหยุดหายใจไปเสียดื้อ ๆโดยที่ไม่มีอาการผิดแปลกแทรกซ้อนใด เขายังจำสีหน้าและสายตาตอนที่จื่อฟางฟื้นได้ดี บางทีคนๆนี้อาจจะฝันเหมือนๆกับเขาก็ได้?

เขาถือโอกาสมองสำรวจร่างที่นั่งอยู่ปลายเตียง จื่อฟางไม่ใช่คนหน้าตาน่าเกลียด หน้าตาพบเห็นได้ทั่วไป แค่ไม่เหมือนพวกไอดอลจีนตามสมัยนิยม จื่อฟางมีดวงตาที่น่ามองเพราะใบหน้ากระจ่างใส พอมีดวงตาที่น่ามองก็ทำให้เป็นจุดเด่นชัด ไป๋อี้เสวี่ยกระพริบตา นี่เขาบ้าไปแล้วหรือถึงได้มานั่งวิเคราะห์หน้าตาคนอื่น 

“ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพียงความฝันธรรมดา แต่มันเหมือนเป็นภาพความทรงจำก็เลยคิดว่ามาคุยกับนายน่าจะได้รู้อะไรบ้าง”เขาพูดเสริม ไม่กล้าถามตรง ๆว่าจื่อฟางฝันเหมือนกันรึเปล่า   

จื่อฟางไม่อยากบอกว่าตัวเองเข้าไปในนิยายที่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งเพราะมันเหลือเชื่อเกินไป อีกทั้งก็อยากให้เป็นเรื่องระหว่างเขาและไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“ตอนที่ฉันไม่ได้สติไปสามวัน ฉันฝันถึงเรื่องยุคโบราณเหมือนนาย บางทีคนเขียนนิยายเรื่องนี้อาจจะใช้พวกเราเป็นต้นแบบตัวละคร ก็เลยเกิดเรื่องเพี้ยนๆขึ้นล่ะมั้ง”เขาเพียงเอ่ยล้อเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียด

“ฉันกับนายอาจจะเกิดประสาทหลอนพร้อมกันก็ได้”ไปอี้เสวี่ยได้แต่เอ่ยอย่างนึกขัน เป็นเรื่องแปลกทั้งยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ด้วย

“นายรู้จักคนเขียนรึเปล่า เห็นว่าเคยติดต่อนายมานี่”น่าจะเป็นคนในชั้นเรียนเดียวกันถึงได้นำรูปลักษ์และนิสัยมาใช้ แต่จะว่าไปจื่อฟางก็ไม่รู้ว่าใครคือต้นแบบคาแรคเตอร์ของเสิ่นจิ้งเฟย แค่นิสัยของตัวละครคล้ายๆเขาเท่านั้น

ไป๋อี้เสวี่ยส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่รู้จัก”เขาถอนหายใจคิดว่าถึงเวลากลับแล้ว พอได้พูดคุยกับจื่อฟางทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง

“ฉันไม่รบกวนนายแล้วดีกว่า ยังไงก็เจอกับที่ห้องเรียนนะ”เขาบอกลา ยืนขึ้นอย่างเก้ ๆกัง ๆ บรรยากาศระหว่างเขากับอีกฝ่ายมักเป็นแบบนี้ตลอด

“แล้วเจอกัน”จื่อฟางเดินไปส่งที่หน้าประตู ยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินจากไปก็หุบรอยยิ้มปิดประตูตามหลังเบา ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจ คิดว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่คิด เด็กหนุ่มกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์เก่า ๆระหว่างที่รอโหลดเข้าหน้าเดสก์ท็อป ในใจก็หวนคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนจากมา พยายามจดจำรายละเอียดของคืนนั้น ก่อนที่จะกลับมายังโลกปัจจุบัน จื่อฟางไม่แน่ใจนักเพราะตอนนั้นหวาดกลัวมาก หลิวอ๋องพูดบางอย่างกับเขา แต่เขาฟังไม่ออกเพราะถูกดึงกลับมาก่อน ความเจ็บปวดที่ข้างแก้มสมจริงเสียจนทำให้เขาต้องยกมือลูบใบหน้าตัวเอง จื่อฟางลูบต้นคอที่ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ   

 
“เอาล่ะ ในเมื่อกลับมาแล้วก็ต้องอ่านนิยายให้จบ”จื่อฟางพึมพำระหว่างที่เสิร์จหาชื่อนิยายนิยายกลรักหญิงงาม  เลื่อนคลิกตอนที่อ่านค้างไว้ถึงกลางเรื่อง


เสิ่นจิ้งเฟยยืนมองเปลวเพลิงที่ลุกไหม้หอหนังสือเจี่ยซานอยู่ที่มุมตรอก เขาลงมือทำตามที่หลิวอ๋องสั่งเพื่อพิสูจน์ตนเองว่าต้องการทำเช่นนี้จริง เด็กหนุ่มสวมใส่ชุดดำทั้งร่างเพื่อพรางตัว แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของคนผู้หนึ่ง คุณชายรูปงามสะดุ้งเมื่อรับรู้ว่ามีสายลมพัดวูบ หมุนร่างไปมองก็พบกับชายร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสีขาวมองเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มขบฟัน แค่นเสียงเอ่ยชื่อของคนตรงหน้า


‘ไป๋ผูอวี้’เหตุใดคนผู้นี้ต้องคอยขัดขวางเขาไปเสียทุกเรื่อง


‘คุณชายเสิ่น…ท่านทำเช่นนี้คิดดีแล้วหรือ’ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถอนหายใจเบา ๆ เบนสายตามองเพลิงไหม้เบื้องหลังของเสิ่นจิ้งเฟย เนื่องจากทำงานให้กับผู้อาวุโสอวิ๋น เขาจึงรู้การเคลื่อนไหวไม่ชอบมาพากลของคุณชายท่านนี้มาตลอด เขาไม่ได้เกลียดชังคุณชายเสิ่นจึงไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตัดสินใจผิด ๆ


‘อย่ามาสอดเรื่องของข้า’เสิ่นจิ้งเฟยกระซิบผ่านผ้าคลุมหน้า เขานำมีดสั้นติดตัวมาด้วย ไม่คิดว่าจะสู้ไป๋ผูอวี้ได้ ความสามารถของสกุลไป๋เป็นที่รู้กัน แต่ยามนี้จำเป็นต้องเอาตัวรอดมิเช่นนั้นก็เป็นเขาที่จบสิ้น เสิ่นจิ้งเฟยหยิบมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมาก่อนจะพุ่งร่างไปหาไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบหลีกการพุ่งแทงไร้จังหวะของคุณชายรูปงามได้โดยง่าย เขาคว้าข้อมือผอมบางของเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะออกแรงบิดจนเสิ่นจิ้งเฟยส่งเสียงเจ็บปวด มีดสั้นในมือหล่นสะท้อนในตรอกมืด


‘อีกเดี๋ยวมือปราบก็จะมาที่นี่ ข้าให้ท่านไตร่ตรองให้ดี…ล้มเลิกความคิดซะ’


‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!’เจ้าคนน่ารำคาญนี่พูดมากเหลือเกิน


ไป๋ผูอวี้ไม่มีทางเลือก ตั้งใจจะส่งตัวคุณชายเสิ่นไปให้ผู้อาวุโสแต่คนของฮ่องเต้เจี่ยผิงมาถึงก่อน นำตัวของเสิ่นจิ้งเฟยไปขังคุกหลวงเพื่อรอรับโทษ ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่คาดคิดว่าคุณชายรูปงามที่ตนหลงใหลจะมีใจคิดเป็นอื่นจึงเกิดโทสะสั่งลงโทษแขวนคอในวันรุ่งขึ้นรวมไปถึงคนสกุลเสิ่นทั้งหมด หลิวอ๋องเห็นว่าท่าไม่ดีจึงตัดสินใจลงมือ นำพระชายาและองค์ชายหลบหนีออกจากเมืองฉางอันไปตั้งหลักที่เมืองเสียนหยาง อ๋องอีกเจ็ดแคว้นเคลื่อนพลโจมตีหัวเมืองสำคัญเช่นกัน หลิวอ๋องไม่ได้ใช้กำลังบังคับผู้คนในเมืองเสียนหยางให้สยบต่อตนเองแต่ได้บอกกล่าวอย่างมีเหตุผล


‘ตั้งแต่ฮ่องเต้เจี่ยผิงปกครองแผ่นดิน พวกท่านมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่ แม้กระทั่งชายงามต่ำต้อยของฝ่าบาทยังอยู่กินดีกว่าพวกท่าน ข้ามิได้ต้องการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ข้าทำเพื่อแผ่นดินเจี่ย เพื่อราษฎร’


คำพูดของหลิวอ๋องเจี่ยซินทำให้ชาวบ้านบางส่วนในเมืองเสียนหยางเห็นด้วยจึงไม่ได้คิดต่อต้านและเข้าร่วมการกำลังพลของท่านอ๋องเพื่อโค่นล้มเจี่ยผิง ฮ่องเต้จึงส่งไป๋ผูอวี้ออกไปรับมือ แบ่งกองกำลังทหารส่วนหนึ่งคอยป้องกันเมืองหลวง อีกส่วนเดินทางไปกับไป๋ผูอวี้


จื่อฟางอ่านจบตอนก็ถอนหายใจ แม้กระทั่งในนิยายฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ยังหลงใหลในความงามของเสิ่นจิ้งเฟย แถมยังดูไร้จิตใจกว่าคนที่เขารู้จักซะอีกถึงขั้นสั่งแขวนคอ…หากเป็นฮ่องเต้อีกคนคงไม่ทำเช่นนี้ บางทีอาจจับขังไว้ก่อน เด็กหนุ่มนึกห่วงไป๋ผูอวี้ของเขา มิใช่ของคุณหนูฉิน เนื้อหาช่วงนี้นางไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก เด็กหนุ่มจึงอ่านได้อย่างสบายใจ แต่พอเลื่อนอ่านความเห็นก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา 


ยูสเซอร์หนึ่ง:ฮ่องเต้รักเสิ่นจิ้งเฟยมาตลอด เพราะรักมากถึงแค้นมากสินะ ฉันสงสัยจังว่าในตอนหน้าน้องเสิ่นของเราจะถูกแขวนคอจริง ๆหรือเปล่า คนเขียนโปรดเมตตาข้าด้วย


ยูสเซอร์สอง: คุณไป๋!ท่านทำร้ายคุณชายร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ยังเรียกว่าผู้มีคุณธรรมได้อีกหรือ! ถ้าหากว่าใครต้องการอ่านฟิคชั่นของทั้งคู่ก็เข้ามาเยือนที่บล็อคของฉันได้นะคะ ขอโทษคนเขียนที่มาโฆษณาบล็อคตัวเองที่นี่ แต่ฉันคิดว่าคุณไป๋เป็นคนดีเกินกว่าจะคู่กับคุณหนูฉิน! ปักธง


ยูสเซอร์สาม: อะไรกัน ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นนิยายเฮฮากุ๊กกิ๊กธรรมดาเสียอีก ที่ไหนได้ซับซ้อนกว่าที่คิด เสิ่นจิ้งเฟยช่างน่าสงสาร แต่บทพระรองก็ได้เท่านี้แหละ ถึงยังไงคุณหนูฉินน่ารักเหมาะสมกับคุณชายไป๋ มองบนใส่ความเห็นด้านบน 


คนอ่านพวกนี้มันอะไรกัน จื่อฟางอมยิ้มเมื่อเห็นว่ามีสงครามย่อมๆเกิดขึ้น แต่ก็กดเข้าไปดูบล็อคที่ยูสเซอร์นั้นแปะลิ้งค์ไว้ เป็นเรื่องราวตลกขำขันของพระเอกและพระรอง เขาเลิกสนใจเรื่องอื่นกลับมาอ่านนิยายต่อให้จบ


‘เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า’เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามหญิงสาวผู้ได้ฉายานางมารหมื่นพิษ นางอาศัยจังหวะชลมุนที่เกิดขึ้นในวังหลวง ลอบเข้ามาช่วยเหลือตนออกจากคุก ช่วยเหลือเขาออกมาเพียงคนเดียวปล่อยให้สกุลเสิ่นที่เหลือรับกรรม


‘เหตุใดถึงนำข้าออกมาคนเดียว’


‘เพราะข้าชอบท่าน’ซูเหลียนฮวาสารภาพความในใจ


เสิ่นจิ้งเฟยมองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง จากนั้นก็เป็นฉากอารมณ์ เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกผิดที่เข้าร่วมก่อกบฏจนทำให้สกุลเสิ่นต้องตาย มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังรอด จึงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ จึงฆ่าตัวตายตามสกุลเสิ่นที่เหลือ ซูเหลียนฮวาจึงละทิ้งสกุลไป๋ออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย



อะไรนะ จื่อฟางถึงกับหยุดอ่าน อ้าปากค้างน้อย ๆ เสิ่นจิ้งเฟยฆ่าตัวตาย ไม่จริงน่า เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างอินไปกับนิยายเรื่องนี้เกินเหตุ แต่ก็เพราะว่าตนได้อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถึงได้รู้ว่าต่อให้ตาย เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางจบชีวิตตนเองแน่ หรือว่านี่เป็นการเขียนหลอก เขากลับไปอ่านต่ออย่างตั้งใจ บทถัดมาเริ่มต้นที่ไป๋ผูอวี้รับมือกับหลิวอ๋องที่เมืองเสียนหยาง


แม้คนสกุลไป๋จะมีฝีมือแต่เจอกองกำลังทหารหลายพันคนก็รับมือไม่ได้ง่ายนัก แต่ไป๋ผูอวี้มีสกิลพระเอกจึงควบอาชาอย่างองอาจใช้กระบี่จ้วงแทงไปที่หลิวอ๋องจนเลือดกระฉูด ฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้มีคำสั่งจับตาย ไป๋ผูอวี้จึงนำตัวท่านอ๋องกลับเมืองหลวง  แต่อยู่ ๆก็มีกำลังพลของชนเผ่านอกด่านรุกรานข้ามมาฆ่าฟันชาวเมืองที่อาศัยติดชายแดน ทำให้ฮ่องเต้ต้องเร่งออกคำสั่งปราบพวกชนเผ่าทั้งหลาย เปิดช่องให้องค์ชายใหญ่ที่เคยถูกใส่ร้ายเข้ามาซุ่มโจมตีด้วยการร่วมมือกับอัครเสานาบดีหลี่ให้นายทหารที่เป็นสายเผาวังหลวงจนเกิดความแตกตื่น จากนั้นก็สั่งให้กองกำลังชาวหูเขนฆ่าคนที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้เจี่ยผิงให้หมด ผู้อาวุโสอวิ๋นร่วมมือกับองค์ชายใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ตาเฒ่าจับองค์รัชทายาทเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับตราลัญจกรลงนามราชโองการปลดฮ่องเต้


‘เจ้าคิดว่าข้าสนใจหรือ รัชทายาทอย่างไรก็แต่งตั้งใหม่ได้’เจี่ยผิงเอ่ยอย่างเย็นชา ไม่ยอมเสียบัลลังก์ให้ผู้ใด องค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากผู้ที่เป็นสายเลือดของตัวเอง แต่องครักษ์ลับของฮ่องเต้เคี้ยวไม่ง่าย เข้ามาช่วยชีวิตของรัชทายาท จากนั้นการต่อสู้นองเลือดก็เริ่มต้นขึ้น เจี่ยอี้ถูกสยบด้วยองครักษ์ลับกลุ่มหนึ่งล้อมปลายกระบี่คมกล้าวางพาดอยู่ที่ลำคอ


‘หากเจ้ายอมแพ้เราจะไม่โกรธเคือง’ฮ่องเต้เผยสีหน้าเศร้าหมอง ร่างกายมีบาดแผลที่ถูกช่างอิ่นใช้กระบี่แทง


‘ถุย มารดาเจ้าเถอะ คิดว่าข้าจะเชื่อหรือ’องค์ชายใหญ่โพล่งออกมาอย่างโกรธแค้น


ฮ่องเต้เปล่งเสียงหัวเราะเย็นชา ‘นั่นสินะ...แต่เราไม่อยากทำร้ายเจ้าจริง ๆ’


เฮ่อเจ๋อเป็นองครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้ย่อมรู้ดีว่าเจ้าแผ่นดินคิดเห็นอย่างไร จึงตัดสินใจใช้ดาบบั่นคอกบฏตรงหน้าเสีย เขาไม่ต้องการให้คนผู้นี้กลับมาแก้แค้นฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก ไป๋ผูอวี้นำกองกำลังกลับมาพร้อมหลิวอ๋อง ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังเมตตาไว้ชีวิตส่งไปคุมขังในคุกหลวงอย่างแน่นหนา แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นชะตากรรมของหลิวอ๋องก็ไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่มากนัก


ผลงานครั้งนี้ทำให้ไป๋ผูอวี้ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพคนแรกของสกุลไป๋หลังจากที่ขาดไปสิบชั่วรุ่น เสนาบดีฉินไม่มีข้ออ้างมาขัดขวางการแต่งงานระหว่างบุตรสาวและแม่ทัพไป๋อีก ทั้งคู่จึงได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่ด้วยนิสัยพระเอกมากคุณธรรมจึงอยากผลักดันบัณฑิตสายเลือดใหม่เข้าสู่ราชสำนักจึงร่วมมือกับที่ปรึกษาเกาและบัณฑิตหลิวเซียนฟาง ปรับเปลี่ยนระบอบการสอบเคอจวีจนสำเร็จ ล้างระบบการสอบราชการใหม่ ตอนจบเรื่องคุณหนูฉินตั้งท้องแฝด สร้างความยินดีแก่คนสกุลฉินและสกุลไป๋ เมื่อนางคลอดบุตร ไป๋ผูอวี้ก็พาครอบครัวเดินทางไปยังเหลียวตง อาศัยอย่างสงบสุขและเปิดโรงน้ำชาอยู่ที่นั่น


สามปีต่อมาก็แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก รัชสมัยเจี่ยผิงตี้จบลง องค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินองค์ใหม่โดยบีบคั้นให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงลงจากบัลลังก์มังกร เจี่ยผิงที่ร่างกายเริ่มอ่อนแอทั้งยังเหลือผู้สนับสนุนไม่มาก เขาจึงยอมสละบัลลังก์แต่โดยดีออกมาจากวังหลวงมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองห่างไกล ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยกลับไม่ตายเพราะซูเหลียนฮวาช่วยชีวิตไว้ เขาซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกใช้ชีวิตอย่างสงบเพียงลำพัง


 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 07:44:56 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
เสิ่นจิ้งเฟยที่น่าสงสาร…จื่อฟางอ่านอย่างละเอียด เหตุการณ์ในหนังสือและในโลกนิยายแตกต่างกันมากจริง ๆ ในบทนิยายคุณชายจ้าวเซียวซิงไม่ได้มีบทมากนักแค่บอกว่าเป็นสหายของเสิ่นจิ้งเฟยจากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ทั้ง ๆที่อีกโลกหนึ่งสนิทกับไป๋ผูอวี้ แต่บทของคุณชายจ้าวถูกบัณฑิตที่ชื่อหลิวอะไรสักอย่างมาแทนที่ ไหนจะฟู่เทียนสือและหยางชวีที่ไม่มีตัวตน ว่าไปแล้วก็คิดถึงจางต้ากับคนหน้าตายนั่น ไม่รู้ว่าตอนนี้โลกทางนั้นหลิวอ๋องจะก่อกบฏหรือยัง ฮ่องเต้เจี่ยผิงจะถูกรัชทายาทแย่งบัลลังก์หรือเปล่า ไป๋ผูอวี้…จะเป็นยังไง อยู่ดีไหม?แล้วคุณหนูฉินเล่า  คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว


จื่อฟางล้มตัวนอนด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง


‘แต่ไป๋ผูอวี้ไม่มีจริง’เสียงในหัวดังขึ้น ‘แต่ถ้าได้กลับไป ไป๋ผูอวี้ก็มีจริง’


เด็กหนุ่มอยากจะหัวเราะกับความเพ้อพกของตัวเอง เริ่มเห็นด้วยกับรัฐบาลที่สั่งห้ามไม่ให้มีละครข้ามมิติ เพราะวูบหนึ่งเขาคิดอยากวิ่งไปให้รถชนเผื่อจะกลับเข้าไปได้อีก แต่ว่านั่นมันการข้ามมิติ แต่จื่อฟางเข้าไปในนิยายออนไลน์ หรือต้องนั่งอ่านนิยายทั้งวัน จะทางไหนเขาก็เหมือนคนบ้า ต่อจากนี้เขาคงใช้ชีวิตในเมืองซีอานอย่างเดิมไม่ได้อีก สถานที่โบราณพวกนั้นมีแต่ทำให้เขานึกถึงอีกโลกหนึ่ง จื่อฟางไม่เคยคิดเสียเงินไปดูกำแพงเมืองมาก่อนแค่เคยเดินผ่านไปมาเท่านั้น ในตอนนี้เขากลับนึกถึงว่ากำแพงนั่นกำลังปกป้องไป๋ผูอวี้และคนที่เขารู้จักจากพวกคนร้ายที่จะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


จื่อฟางไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาต้องอยู่ในโลกความจริงสิ แต่โลกความจริงไม่มีไป๋ผูอวี้ มีแต่ไป๋อี้เสวี่ย







---------------------------------


ใกล้จบแล้วค่ะ ในอีกสองสามตอนที่จะถึง T^T แต่ยังไม่จบเรื่องราวหนังสือจะแบ่งเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกออกงานหนังสือ (ส่วนอีกพาร์ทปั่นไม่ทันจริง ๆ ค่อนข้างยาววว ไม่ซับซ้อนเท่านี้ (*-*) อาจจะพักไปแป๊ปนึงก่อนด้วย ปั่นต้นฉบับตาแฉะ)รายละเอียดยังไงจะแจ้งอีกทีนะคะ :กอด1:

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 05:41:16 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หลิวเซียนฟางคือคนที่หน้าเหมือนจื่อฟางแน่ๆ
เซียนฟางจะป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตมั้ยอ่ะ
ถ้าถึงขั้นนั้นก็อยากให้  จื่อฟางสลับวิญญาณมาใช้ชีวิต
อยู่กับท่อนไม้ไป๋

ส่วนหลิวเซียนฟางก็มาอยู่ในร่างปัจจุบันของจื่อฟาง
แล้วก็คู่กับไป๋อี้เสวี่ยเพราะคนที่อยู่ในฝันของอี้เสวี่ย
คือเซียนฟาง

วอนคุณนักเขียนหาคู่ให้หยางชวีด้วยนะคะ

ส่วนจิ้งเฟยกับฮ่องเต้กับฟู่เทียนสือ
อยากให้มีต่อจังเลยแต่ไม่รู้ว่าหาทางออกให้ยังไงเลย

ออฟไลน์ heymild

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮืออยากให้จื่อฟางกลับไปแล้ว :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
สนุกมากๆ อ่านแล้วต้องคิดตามตลอด ลับสมองสุดๆ

ได้อ่านความเห็นของคุณ Ramnoii ด้านบน แอบเห็นความเป็นไปได้ ...

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไป๋อี้เสวี่ย คล้ายไป๋ผูอวี้.....
โผล่มาตอนใกล้จบ  o22 :really2:
อย่างนี้จื่อฟางคงไม่ได้กลับไปแล้ว  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
จื่อฟางต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แง เศร้าง่า   :mew4:
จื่อฟางในโลกของความจริงทั้งรักและอาลัยต่อไป๋ผู่อวี้คนเดียว
ความเศร้าในใจของสองคนนี้ก็มีไม่ต่างกัน ผิดกับไป๋อี้เสวี่ยที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับความเศร้าอาลัยเลย มีแต่ความชอบพอนิดหน่อยที่ดึงดูดมาหาจื่อฟาง

เรายังสงสารทุกคนในนิยายนะ แต่ขอล่ะยัยคุณหนูฉินไม่ต้องตามมาในภพผัจจุบันนะยะ หมั่นไส้  หยางชวี จางต้า มาเหอะ มาเรียนม.เดียวกันกับจื่อฟาง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอโอกาสให้น้องได้กลับไปเจอคุณไป๋คนนั้นทีค่ะ แง

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนนี้ยาวมากชอบ เขียนได้ละเอียดมาก
อยากให้ไป๋ผูอสี้กับจื่อฟางได้คู่กันจังเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ยาวมากกกก คนเขียนคงเหนื่อยไม่น้อย เป็นกำลังใจให้นะคะ ใกล้จะจบแล้วแต่ยังเดาตอนจบไม่ออกเลย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
จื่อฟางจะกลับในพาร์ท 2 หรือป่าวหนอออ สู้ ๆ นะค๊า คนเขียนน

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4


บทยี่สิบหก :เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (2)




ณ ค่ายทหารอำเภอซินเฉิง

ทัพของไป๋ผูอวี้เดินทางมาถึงค่ายทหารได้เกือบสามเดือนแล้ว เขาให้กุ้ยตานนำกำลังส่วนหนึ่งไปตั้งค่ายกลดักเส้นทางตามคำชี้แนะของใต้เท้าเฉิน ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย หลิวอ๋องสามารถยึดเมืองเสียนหยางไว้ในการปกครองพร้อมทั้งปิดตายทางเข้าออกมิให้ผู้ใดผ่าน กองกำลังทหารจากเมืองใกล้เคียงถูกปราบราบคาบ หลิวอ๋องคุมอำเภอเล็กยิบย่อยอยู่ในอำนาจปกครองได้หมดจดทั้งยังเกลี่ยกล่อมชาวบ้านบางส่วนให้แปรพักต์เข้าร่วมด้วยการวิพากษ์การทำงานของฮ่องเต้เจี่ยผิง   
กองกำลังทหารยังคงปะทะกับฝั่งหลิวอ๋องที่ด่านอู๋เสียซึ่งเป็นด่านหน้าเมืองเสียนหยางอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะมีชาวบ้านจำนวนมากเป็นตัวประกันทำให้ไม่สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยามนี้อ๋องทั้งเจ็ดต่างก็โจมตีเมืองสำคัญที่หมายตาไว้ เป็นหัวเมืองหรือเมืองท่าสำคัญ แม้จะไม่ตรงตามคาดการณ์ทั้งหมดของฮ่องเต้เจี่ยผิงแต่ก็ยังถือว่าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แม้จะมีบางพื้นที่ที่คุมไม่อยู่

กำลังพลของราชสำนักที่รอดักซุ่มโจมตีได้ปะทะกับกบฏเจ็ดอ๋อง แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มจนมุมก็มีอ๋องสามแคว้นขอยอมแพ้ ไม่คิดต่อสู้ อันได้แก่ผิงอันอ๋อง จิ้นอ๋อง กวางหลิ่งอ๋อง พวกเขาทั้งหมดถูกจับตัวไปกักขังที่คุกหลวงรอการตัดสินโทษ ช่วงที่อยู่ในค่ายซินเฉิงไป๋ผูอวี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกระโจมแม่ทัพเมิ่งหารือเรื่องการศึก เวลาที่เหลือก็ฝึกพลทหารที่ต้องการเรียนรู้วรยุทธ์ของสกุลไป๋ กิจวัตรของเขาวนเวียนอยู่เช่นนี้ทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นใดจนกลายเป็นคนพูดน้อยไปโดยปริยาย

เขาไม่ได้พูดคุยกับเว่ยหลงและซูเหลียนฮวามากนัก ส่วนหยางชวีตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ หมอยาของค่ายซินเฉิงมีฝีมือ ผู้ติดตามหน้าตายจึงไม่ต้องพึ่งยาของซูเหลียนฮวา หยางชวีไม่มีท่าทีว่าจะหายโกรธนางง่าย ๆ แต่แทนที่รักษาแล้วอาการบาดเจ็บจะหาย กลับได้รับบาดแผลไม่มากก็น้อยเพิ่มมาตลอดเพราะหยางชวีร่วมทัพไปปะทะที่ด่านอู๋เสียเสมอ

ภายในกระโจมใหญ่ ไป๋ผูอวี้และแม่ทัพเมิ่งหารือเรื่องหลิวอ๋องเจี่ยซินต่างก็เห็นตรงกันว่าควรลงมือบุกเสียนหยางเสียที

“รองแม่ทัพไป๋ เราจะบุกโจมตีด่านอู๋เสียให้แตกก่อนช่วงยามอิ๋น(03.00 น. - 04.59 น.) ข้าคิดว่าเราประนีประนอมมามากแล้ว หากหลิวอ๋องอยากปิดประตูเมืองนัก พวกเราก็นำกำลังไปกดดันเสีย”เมิ่งอู่หลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ไป๋ผูอวี้แม้ไม่อยากทำร้ายชาวบ้านที่แปรพักต์แต่ก็ทำสิ่งใดมากไม่ได้ในเมื่อฮ่องเต้ประกาศราชโองการออกมาแล้วว่าผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับหลิงอ๋องเจี่ยซินให้ถือว่าเป็นกบฏไม่สมควรไว้ชีวิต

ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงและเมืองที่ถูกโจมตีระส่ำระส่ายอย่างหนักแม้มีการป้องกันตลอดเวลาแต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนแอบหนีลงใต้เพื่อหลบหนีสงครามจนทำให้กระแสต่อต้านการปกครองของฮ่องเต้เจี่ยผิงลุกลามราวกับไฟไหม้

“ท่านรองแม่ทัพ มีจดหมายมาถึงขอรับ”เว่ยหลงส่งเสียงมาจากนอกกระโจม ชายหนุ่มมองไปทางแม่ทัพเมิ่ง ฝ่ายนั้นพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เขาจึงเลิกม่านกระโจมออกไปด้านนอก พบเว่ยหลงยื่นจดหมายมาให้ด้วยรอยยิ้มกระจายบนหน้า ไป๋ผูอวี้เพียงรับมาเงียบๆก่อนเดินไปที่ร่มไม้ห่างไกลจากผู้คน ระหว่างที่ชายหนุ่มคลี่จดหมายอ่าน เว่ยหลงก็นั่งยอง ๆอยู่ไม่ไกล มือดึงหญ้าแห้งเล่น คุณชายไป๋ของเขาเปลี่ยนไปราวคนละคน ไม่ได้ดูเหม่อลอยเศร้าหมองเรื่องของคุณชายเสิ่นอีก แต่วันหนึ่งแทบไม่คุยกับผู้ใดนอกจากออกคำสั่งทำนู่นทำนี่ เว่ยหลงไม่ชอบที่คุณชายเป็นเช่นนี้แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน

คุณชายเสิ่นท่านเห็นหรือไม่ คุณชายของข้ากลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว

ไป๋ผูอวี้นิ่งงันไปเมื่อกวาดตามองเห็นตัวอักษรในจดหมาย แค่มองครู่เดียวก็จำได้ว่าเป็นลายมือของผู้ใด เป็นจดหมายตอบกลับจากบิดา เขาจำใจความในจดหมายที่เขียนถึงได้ดี

‘ท่านพ่อ สบายดีหรือไม่ ท่านคงได้ยินข่าวของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าควรทำอย่างไรดี ยามที่ท่านแม่จากไป ท่านทำเช่นไรถึงผ่านพ้นมาได้’

มีเพียงข้อความตอบกลับสั้นๆ

‘มีชีวิตอยู่ต่อให้ดี อย่างไรสักวันเจ้าก็ต้องได้พบเขา’

สักวันต้องได้พบอย่างนั้นหรือ นั่นสินะ...สักวันเขาต้องได้พบจื่อฟาง บางทีอาจในโลกที่เอื้อมไม่ถึง เขาคิดถึงจื่อฟาง ไม่ว่าจะทำตัวยุ่งหรือเหนื่อยล้าเพียงใด ในซอกหลืบความฝัน ไป๋ผูอวี้มักพบจื่อฟางนั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมย จื่อฟางที่เป็นจื่อฟาง มิใช่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นกล่าววาจาเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวที่น่าสนุก ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าร่างนั้นพูดถึงเรื่องใด พยายามฟังมากเท่าไหร่ก็ฟังไม่ได้ยิน 

ไป๋ผูอวี้ทิ้งแขนข้างหนึ่งตกข้างลำตัว สัมผัสเข้ากับพัดกระดาษที่ห้อยเหน็บไว้ที่เอวราวกับเป็นป้ายหยก ภาพนกกระเรียนหนึ่งตัวท่ามกลางหมู่สนช่างเหมือนกับตัวเขานัก ตัวอักษรลากเลื้อยประหลาดที่เขาอ่านไม่ออกตวัดเขียนอยู่ที่มุมพัด เมื่อนึกถึงความทรงจำหนึ่ง เรื่องราวต่อมาก็พลั่งพรูเหมือนทำนบแตก 

“ท่านรองแม่ทัพ”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นคุณชายของตนนั่งลงใต้ต้นไม้ เขามองไม่เห็นสีหน้าของร่างนั้น เห็นเพียงแผ่นหลังแข็งแก่รง ผู้ติดตามหยุดมือที่ดึงต้นหญ้าได้แต่ถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคุณชายไม่มีทางลืมเสิ่นจิ้งเฟยง่ายๆ

“ท่านก็อย่าเป็นเช่นนี้สิ เขาคงไม่ชอบท่านในสภาพนี้หรอก คุณชายท่านกลายเป็นคนเถื่อนไปแล้วหรือ”อันที่จริงก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากว่าให้คุณชายของเขาไปเดินในตลาดที่ตรอกซีหมานล่ะก็เกรงว่าผู้คนคงจำไม่ได้ คิดว่าโจรที่ไหน ไป๋ผูอวี้ที่เคยสวมชุดสะอาดเรียบง่าย สุขุมนุ่มลึกไม่มีอีกต่อไปมีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดด สวมใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมง และไว้นวดเครา ใช่แล้ว ไว้หนวดเครา!ถึงแม้จะมิใช่นวดเครารุงรังก็เถอะ แต่คุณชายไป๋ของเขาจะไว้หนวดไม่ได้

ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยตอบเพียงแต่เหม่อมองไปไกล จะบุกเมืองเสียนหยางแล้ว เขาจะได้พบหลิวอ๋องเจี่ยซิน บางทีหากลงมือฆ่าคนผู้นั้นด้วยน้ำมือของตัวเอง คงคลายความทุกข์ในอกได้บ้าง ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา ข้าเป็นคนมีความคิดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด?เขาหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกลับคืนสู่ท่าทีเช่นเคย ร่างสูงยืดตัวขึ้นก่อนก้าวกลับไปในกระโจมแม่ทัพเมิ่งไม่พูดไม่จาทิ้งให้เว่ยหลงนั่งยองอยู่เช่นนั้น

ไป๋ผูอวี้กลับมาหารือกับเมิ่งอู่หลันอีกครั้ง ครานี้มีหัวหน้ากุนซือและนายทัพมีฝีมือเข้าร่วมด้วย แม่ทัพเมิ่งมองเห็นแววตาเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไร ยามอยู่เมืองหลวงเขาเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของไป๋ผูอวี้มาบ้าง เขาได้แต่ฟังผ่านๆ ไม่ได้สนใจเรื่องของผู้อื่นมากนัก แต่เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายก็เริ่มรู้สึกว่าเข้าเค้า เมิ่งอู่หลันมักเห็นไป๋ผูอวี้ทอดสายตามองพัดกระดาษลวดลายสวยงามเสมอเป็นพัดที่ไม่เข้ากับคนผู้นี้และยังมีปิ่นไม้ปักผมประดับด้วยไม้ดอกเล็ก ๆ มองอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นของเจ้าตัว

แม่ทัพเมิ่งไม่ใช่ไม่เข้าใจเรื่องความรักในวัยหนุ่มสาวจึงทำเป็นมองผ่าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงผู้นำทัพร่วมศึก เรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องก้าวก่าย แต่ครั้งนี้ไป๋ผูอวี้ดูจะเก็บงำสีหน้าและแววตาไม่เก่งเหมือนเคย

“รองแม่ทัพไป๋ ท่านแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”เขาเอ่ยทัก ทำให้ร่างนั้นปรายตามองสร้างความกดดันให้เขาอย่างไม่รู้ตัว สิ่งหนึ่งที่เมิ่งอู่หลันชื่นชอบในการทำงานกับไป๋ผูอวี้ก็เพราะคนผู้นี้ไม่ยึดติดกับยศตำแหน่ง อำนาจที่ตนได้รับ ทั้งๆที่มีป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้ จะนำมาวางอำนาจกับเขาก็ยังได้แต่อีกฝ่ายก็ไม่ทำราวกับเห็นเป็นเพียงป้ายไม้ธรรมดาเท่านั้นทำให้เหล่านายทหารต่างก็ชื่นชอบรองแม่ทัพผู้นี้อย่างรวดเร็วแม้ว่าเจ้าตัวจะทำเสมือนท่อนไม้ไม่พูดจากับผู้ใดก็ตาม

“ข้าสบายดี”ร่างนั้นเอ่ยตอบสั้น ๆ กลับมาสนใจการสนทนาต่อ     

กุนซือมู่กงจึงกล่าวต่อเหมือนไม่ได้ยินการสนทนาเมื่อครู่ “อย่างแรกตีด่านอู๋เสีย ให้กุ้ยตายนำกำลังเข้าโจมตีจากเส้นทางชายป่าพร้อมกัน จากนั้นพังประตูเมืองเข้าไป พลทหารของแม่ทัพเมิ่งโจมตีก่อน คนของรองแม่ทัพไป๋ถนัดวรยุทธ์เฉพาะตัวก็ให้เป็นทัพหนุนโจมตีภายหลัง”กุนซือชี้นิ้วไปตามเส้นลากของแผนที่ ไป๋ผูอวี้ปักหมุดลงบนพื้นที่ใกล้กับเมืองเสียนหยาง คิดอยู่ในใจว่าได้พบกับหลิวอ๋องเจี่ยซินเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

ยามซวี(19.00 น. - 20.59 น.)กองทัพของเมิ่งอู่หลันเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังด่านอู๋เสีย ใช้เวลาเคลื่อนย้ายมายังหน้าด่านเป็นเวลาหนึ่งวัน กว่าจะถึงก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว ม้าศึกต่างแผดเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ไป๋ผูอวี้กวาดตามองด่านอู๋เสียที่มีกองกำลังของหลิวอ๋องตั้งรับถือทวนและโล่ตั้งเป็นกำแพงเรียงรายรอรับมือก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง 

“รองแม่ทัพไป๋”เสียงของซูเหลียนฮวาแว่วมาตามสายลม ชายหนุ่มหยุดม้าเหลียวมองหญิงงามที่สวมใส่ชุดเกราะแต่งตัวเป็นชาย เว่ยหลงและหยางชวีควบม้าอยู่ไม่ห่าง เขาไม่ได้สนทนากับหยางชวีเช่นเดียวกับผู้อื่น แต่เพราะคนผู้นี้มีใบหน้าไร้อารมณ์และพูดน้อยเป็นทุนเดิม ยามได้พบหน้าก็พานทำให้คิดว่าไม่ได้เจอกันนานเป็นแรมปี   

“ว่าอย่างไร”เขาส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ข้าเรียกท่านตั้งนานสองนานแล้ว เหม่อลอยเช่นนี้จะนำทัพได้หรือ”ซูเหลียนฮวาเอ่ยหยอก แผ่นหลังบอบบางของนางตั้งตรง ใบหน้างามนั้นมองมาที่เขาด้วยสายตากระจ่างราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน เมื่อได้พบหน้าคนสกุลไป๋ที่เหลือก็รู้สึกว่าตนทำตัวเฉยชาห่างเหินกับพ้องพวก ทั้งที่คนเหล่านี้ยังคงมองเขาด้วยดวงตาเชื่อมั่นภักดีเช่นเคย ใบหน้าคมคายมีนวดเคราขึ้นเห็นเป็นไรจางถอนหายใจกับตัวเอง

“เจ้าสงสัยในความสามารถของข้า?”ไป๋ผูอวี้ย้อนตอบ ได้แต่คิดว่าตนทำให้นางเป็นกังวลขนาดนั้นเชียวหรือ

“ข้ามิกล้า แต่ข้าขอเอ่ยอย่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้หรือไม่”หญิงงามสบตาไป๋ผูอวี้ด้วยดวงตาเป็นประกายแรงกล้า

“ว่ามาเถิด”ชายหนุ่มหยักยิ้มน้อย ๆเมื่อเห็นท่าทางเหมือนแม่เสือของอีกฝ่าย

“ข้าหวังว่าคุณชายไป๋จะทำเช่นเดียวกับที่บอกหยางชวี ท่านคงไม่ได้มีความคิดอยากตายเพื่อไปพบกับเสิ่นจิ้งเฟยหรอกกระมัง”ซูเหลียนฮวาควบม้าเข้าใกล้อาชาสีขาวยิ่งขึ้น นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคุณชายไป๋ผูอวี้ที่ยังมีสีหน้าคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวคิดอยู่ในใจว่าท่านเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีนัก

“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนคลั่งรักถึงเพียงนั้นเลยรึ ข้าเพิ่งรู้จักกับเขาได้ไม่นาน ข้าไม่ยอมตายเพื่อไปเจอกับเขาหรอก”ไป๋ผูอวี้หัวเราะในลำคออย่างไร้อารมณ์ขัน ชายหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันถ้าหากว่าวิธีเช่นนี้ทำให้พบกับจื่อฟางได้อีกครั้งจะยอมทำหรือไม่ แต่หากตายแล้วจะได้เจอจื่อฟางแน่หรือ?

“ใครจะไปทราบได้เล่า ท่านคิดทำสิ่งใดเหนือความคาดหมายเสมอ หากนำความไปบอกผู้คนในฉางอันว่าท่านแต่งงานกับเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่มีใครเชื่อ”นางมารหมื่นพิษขมวดคิ้ว รู้ดีว่าตนวิตกกังวลมากเกินไป 

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่คิดตายในเร็ววันนี้แน่นอน”ไป๋ผูอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม กระตุกบังเหียนให้อาชาควบไปด้านหน้าออกห่างจากนางมารหมื่นพิษ

การศึกที่ด่านอู๋เสียเริ่มขึ้น พลทหารของหลิวอ๋องชำนาญในการใช้ทวนยาว พวกเขาตั้งกำแพงป้องกันทหารม้าได้ส่วนหนึ่ง ทัพของไป๋ผูอวี้ใช้พลธนูยิงซ้ำ ภายในสองชั่วยามด่านอู๋เสียก็แตกพ่าย แม่ทัพเมิ่งสั่งการให้มุ่งหน้าต่อไปที่ประตูเมืองเสียนหยาง เมื่อกองกำลังเข้าใกล้กำแพงเมืองก็เจอห่าลูกศรพุ่งกรูมาจากช่องลม เสียขุนพลทหารไปไม่น้อย การปะทะเริ่มดุเดือดเสียงทัพม้าดังกึกก้องจนฝ่าเข้าประตูเมืองเสียนหยางเข้าไปได้ ไป๋ผูอวี้บังคับอาชาพุ่งไปด้านหน้าใช้กระบี่จ้วงแทงผู้ใดก็ตามที่คิดขวางทาง

ขุนพลทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน โลหิตพุ่งสาดกระจายเต็มพื้นดิน หยางชวีคล้ายกับวิหกที่ได้กางปีกตวัดกระบี่คมกล้าไปข้างหน้าราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ ไป๋ผูอวี้กวาดสายตามองโดยรอบ การสู้รบโกลาหลอลม่านไปทั่วบริเวณ มองเห็นผ้าขาวผูกติดอยู่ตามบ้านคนและกลุ่มชาวบ้านที่เกาะกลุ่มกันอยู่ตามตรอกซอกซอยด้วยท่าทางหวาดกลัว ทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปต้อนผู้คนมารวมตัวกันเพื่อกันออกจากสนามรบ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาพลิกกายลงจากหลังม้าเมื่อการต่อสู้เริ่มเป็นไปอย่างยากลำบากจนทหารม้าเสียเปรียบเพราะพื้นที่คับแคบ

“แยกย้ายค้นหาหลิวอ๋อง เจ้าไปอีกทาง ข้าจะนำคนไปทางนั้น”แม่ทัพเมิ่งเอ่ย ใบหน้ามีคราบเลือดเปื้อนเป็นทาง ไป๋ผูอวี้พยักหน้าตกลง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของแหลมคมพุ่งผ่านอากาศ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบคมหอกไม่ทันจนถูกแทงเข้าที่เกราะ  แรงสั่นสะเทือนทำให้เขาข่มฟัน คลื่นความเจ็บปวดแผ่ซ่าน

“ท่านรองแม่ทัพ!”พลทหารใกล้เคียงร้องเรียก ไป๋ผูอวี้ใช้แรงทั้งหมดกระชากด้ามหอกออก พลิกตัวตวัดกระบี่ใส่  อาชาแผดเสียงร้องโหยหวนเมื่อเจ้านายบนหลังถูกบั่นศีรษะลอยอยู่ในอากาศ เลือดสาดกระจายเปื้อนไปทั้งร่าง เสียงคมดาบปะทะและเสียงกู่ร้องของพลทหารดังก้องไปทั้งเมือง ควันไฟลอยในอากาศ เสียงเป่าเขาสัตว์ดังกึกก้อง ทหารราชสำนักหลายพันนายทำการสู้รบกับกองกำลังกบฏที่เมืองเสียนหยางจนราบคาบ 

“ตามหาตัวหลิวอ๋องให้พบ”ชายหนุ่มออกคำสั่งกับขุนพลที่เหลือ มองเห็นหยางชวี เว่ยหลง ซูเหลียนฮวารวมตัวอยู่กับขุนพลทหารอีกกลุ่มใหญ่ ไป๋ผูอวี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนอย่างไร แต่หากคนผู้นั้นต้องการทางหลบหนีก็มีทางออกเดียว ไป๋ผูอวี้ควบอาชามุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที หยางชวีไม่ต้องรอให้เขาบอกซ้ำ กองพลทหารกรูตามมาเหมือนผึ้งที่โกรธแค้น เขาควบอาชามาจนถึงชายป่า พลิกตัวลงจากหลังม้าตรวจสอบรอบบริเวณพบว่ามีร่องรอยเหยียบย่ำของม้าศึก

“รองแม่ทัพไป๋ ดูเหมือนว่าพวกกบฏจะลอบหนีออกไปจากเมืองเสียนหยางแล้ว”ขุนพลจางเอ่ยขึ้นจากอีกจุดหนึ่ง ไป๋ผูอวี้ยืดกายมองเข้าไปในป่าลึก ยกยิ้มเล็กน้อย

“ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น”คิดได้อย่างเดียวว่าหลิวอ๋องไปสมทบกับเกาโหยวที่เมืองลั่วหยาง เส้นทางนั้นมีกุ้ยตานดักรออยู่

“กระจายกำลังค้นหาในป่า ตามติดพวกกบฏอย่าให้หลุดรอดไปได้”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว กองกำลังที่เหลือส่งเสียงดังกึกก้อง ไม่นานนักแม่ทัพเมิ่งก็เร่งควบอาชามาสมทบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“แม่ทัพเมิ่งเกิดอะไรขึ้น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามระหว่างที่โหนตัวขึ้นหลังอาชาอย่างคล่องแคล่ว

“ม้าเร็วนำสารน์ลับบอกว่าศึกที่เมืองลั่วหยางกินเวลายาวนานกว่าที่คาด เกาโหยวอ๋องมีฝีมือนำทัพอยู่ไม่น้อยจนทำให้ทัพเมืองใกล้เคียงที่เราส่งไปช่วยเหลือพ่ายแพ้ กำลังพลของฮ่องเต้จึงทำได้เพียงยันสถานการณ์ไว้เพื่อกันไม่ให้เกาโหยวอ๋องออกมานอกพื้นที่เมืองลั่วหยาง”เมิ่งอู่หลันกล่าวจบความตื่นตระหนกก็แผ่กระจายไปทั่ว หากเกาโหยวอ๋องสู้กับกำลังพลของฮ่องเต้เจี่ยผิงแสดงว่าสถานการณ์ร้ายแรงจนแม่ทัพที่ส่งไปรับมือไม่อยู่ หากกองทัพยันไม่ไหว เกาโหยวอ๋องคิดบุกเมืองฉางอันก็ย่อมทำได้

ชายหนุ่มสบตากับกองกำลังทหารที่เหลือ ต่างก็เข้าใจโดยพร้อมกันว่าสถานการณ์กำลังตึงเครียด ต้องเร่งส่งกำลังเสริมไปที่เมืองลั่วหยางอย่างเร่งด่วน หากเดินไปตามเส้นทางกว่าจะถึงก็กินเวลาไปสามวันไม่รู้ว่ากองทัพฝั่งนั้นจะยันกบฏไหวหรือไม่ แต่ในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น คิดว่าแม่ทัพฝั่งนั้นน่าจะรู้ดีเช่นกันว่าจะให้เกาโหยวอ๋องผ่านไปไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการของหลิวอ๋องหรือไม่ที่หลอกล่อให้เชื่อว่าสถานการณ์อันตรายคือเมืองเสียนหยาง แต่แท้จริงแล้วคือการนำทัพของเกาโหยวอ๋องต่างหาก 

“ท่านแม่ทัพเมิ่ง ข้าขอรบกวนด้วย ท่านผ่านการศึกมามากกว่าข้า เช่นนั้นท่านเร่งนำกำลังไปหนุนทัพทางฝั่งเมืองลั่วหยาง ส่วนข้าจะติดตามหลิวอ๋องไปในป่าลึกเอง”ไป๋ผูอวี้นำป้ายคำสั่งของฮ่องเต้เจี่ยผิงออกมาถือ ออกคำสั่งกับแม่ทัพเมิ่งเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นตกใจให้แก่นายทหารที่ได้ยินยิ่งนัก เมิ่งอู่หลันขบฟัน เขารู้ว่าคนเช่นไป๋ผูอวี้ไม่ใช่พวกทำผลงานเอาหน้าแต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงการตายของเสิ่นจิ้งเฟย

แม่ทัพเมิ่งพยายามไม่คิดโกรธเคืองแต่ด้วยศักดิ์ศรีของคนเป็นแม่ทัพจึงเจ็บปวดไม่น้อยที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนออกคำสั่งใส่ต่อหน้าลูกน้อง ชายผู้นี้ต้องการจัดการกับหลิวอ๋องด้วยตัวเองเพราะเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างนั้นหรือ

“ทราบแล้ว ข้าหวังว่าจะได้พบรองแม่ทัพไป๋ที่เมืองลั่วหยาง”แม่ทัพเมิ่งกล่าว มองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตาสื่อความนัย ตั้งแต่คนผู้นี้มาที่ค่ายซินเฉิงก็เปลี่ยนไปราวคนละคน ได้แต่หวังว่าคนผู้นี้จะไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแก้แค้นหลิวอ๋องให้คนรัก ไป๋ผูอวี้เพียงหยักยิ้มมาให้เขา แม่ทัพเมิ่งถอนหายใจสั่งเคลื่อนกำลังพลที่เหลือมุ่งหน้าไปยังลั่วหยาง ทิ้งขุนพลที่ไว้ใจได้คุมสถานการณ์ที่เมืองเสียนหยางต่อไป

ไป๋ผูอวี้แบ่งกำลังสกุลไป๋กับกองกำลังทหารที่เหลืออยู่กว่าห้าร้อยนายกระจายเข้าไปในป่าลึกติดตามทัพหลิวอ๋อง แสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างวาบไปรอบบริเวณ ชายหนุ่มควบอาชาผ่านสมทบพุ่มไม้และเนินดินอย่างยากลำบาก จนฟ้าสว่างการมองเห็นถึงดีขึ้น แต่ไปได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดพักม้าเสียครึ่งวัน

“รองแม่ทัพไป๋มีแผนใดหรือไม่”เว่ยหลงเอ่ยถามระหว่างที่นั่งพัก

“แผนของเราคือตามหาหลิวอ๋องให้เจอ ไม่เช่นนั้นก็ติดอยู่ในป่าลึก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่ก็อย่ายอมแพ้เด็ดขาด”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงทุ้มกังวานดังให้ได้ยินทั้งกองพล

“ท่านรองแม่ทัพบ้าไปแล้วหรือ พาพวกเราเข้ามาทั้ง ๆที่ไม่มีแผนเนี่ยนะ”นายทหารผู้หนึ่งตะโกนอย่างขุ่นเคืองเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เดิมทีพวกเขาบางส่วนก็ไม่ชอบใจที่บุตรชายสกุลไป๋ได้แต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพทั้ง ๆที่ไม่ได้คัดเลือกทหารแบบพวกตน แค่ไปทำผลงานที่ชายแดนก็ได้เป็นรองแม่ทัพแล้ว ฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรม แต่เขาก็ทำได้เพียงบ่นอยู่ในใจเท่านั้น

“เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ข้าไม่อยากรอเวลา หากหลิวอ๋องไปถึงเมืองลั่วหยางก่อนแม่ทัพเมิ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อกองทัพของเราที่กำลังเสียเปรียบ”ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่ากระทำการเสี่ยงแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เขาไม่อยากรอให้กองกำลังของหลิวอ๋องเจอเข้ากับกุ้ยตานซึ่งไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร กระจายกำลังค้นหาถือว่าดีที่สุด และต้องใช้เวลาในเร็ววันด้วย แม้เป็นขุนพลทหารกล้าแกร่งแต่เรื่องกำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญในสนามรบ อีกทั้งลึกๆแล้วไป๋ผูอวี้ต้องการจัดการกับหลิวอ๋องด้วยน้ำมือตัวเอง สิ้นคำพูดชายหนุ่มก็กวาดตามองไปโดยรอบเพื่อดูว่ามีผู้ใดขัดค้านอีกหรือไม่ เมื่อไม่มีก็แย้มรอยยิ้ม

“ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกท่าน”รองแม่ทัพกล่าวเช่นนี้เหล่ากองทหารก็ส่งเสียงฮึดสู้ จากนั้นก็เคลื่อนพลต่อ เส้นทางค่อนข้างรกร้างคดเคี้ยว เต็มไปด้วยป่าไผ่ ไป๋ผูอวี้เริ่มรู้สึกว่าเหมือนถูกจ้องมองจึงส่งสายตาเตือนเว่ยหลง หยางชวีและซูเหลียนฮวา เหล่าพลทหารมีฝีมือก็รับรู้เช่นกัน หยางชวีกระตุ้นอาชาเข้าใกล้ผู้ที่เป็นรองแม่ทัพ

“ข้าคิดว่าเป็นกำลังลับของหลิวอ๋อง”ชายหนุ่มกำสายบังเหียนจนเจ็บ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นดั่งคืนนั้นในจวนสกุลเสิ่น กำลังลับของหลิวอ๋องมีฝีมือและไม่รู้ว่ามีมากเท่าใด ทันใดนั้นเองไป๋ผูอวี้ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว กลุ่มคนพุ่งผ่านอากาศมุ่งตรงมาหาขบวนทัพ ชายหนุ่มส่งสัญญาณเตือนให้กำลังพลเบื้องหลังรับรู้ ก่อนพลิกเหินกายลงจากหลังอาชา

เนื่องจากเส้นทางในป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินขรุขระไม่เหมาะกับม้าศึก เขาถึงได้จัดกองกำลังเป็นหมู่ ผสมกองกำลังเข้าด้วยกัน คมกระบี่ฟาดฟันดังไปทั่ว ชายหนุ่มเคลื่อนไหวดั่งสายลมแม้จะสวมชุดเกราะ กวาดตามองโดยรอบระหว่างที่ตวัดปลายกระบี่ใส่ชายชุดดำที่ปกปิดใบหน้า เขาพบว่ากำลังของสกุลไป๋กระจายตัวอยู่กับขุนพลทหารร่วมมือกันใช้ง้าวทวนสองคมโจมตีสอดประสานเป็นหน่วยเดียวกันใส่กองกำลังกบฏชุดดำหลายร้อยนาย

หยางชวีรู้แต่เพียงว่าต้องจัดการคนพวกนี้ให้ราบคาบให้สมกับที่ทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา กระทั่งบาดแผลภายในก็ยังไม่หายดี ในใจของเขาว่างเปล่ากัดฟันใช้วรยุทธ์ปะทะคมกระบี่กับชายชุดดำตรงหน้า เป็นการต่อสู้ที่กินเวลาไปหลายชั่วยามกำลังของหลิวอ๋องมีฝีมือมากทำให้สูญเสียพลทหารไปหลายส่วนแต่พวกกบฏก็แทบไม่เหลือรอดเช่นกัน รู้ดีว่าจับตัวมาเค้นถามย่อมไม่ได้อะไร ไป๋ผูอวี้หยุดทัพเพื่อให้ซูเหลียนฮวารักษาขุนพลที่ได้รับบาดเจ็บ หยิบแผนผังเมืองเสียนหยางออกมาคลี่ดูส่วนที่ตนอยู่

กวาดตามองอย่างละเอียดก็พบว่าอีกไม่ไกลจะถึงแม่น้ำสายเชี่ยวกรากที่ใต้เท้าเฉินเคยกล่าวถึงเพื่อข้ามฝั่งไปยังลั่วหยาง รอช้าไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มออกคำสั่งเร่งเดินทัพต่อ เว่ยหลงและหยางชวีควบม้าตามมาโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง ส่วนซูเหลียนฮวาจะตามมาสมทบภายหลังเมื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสร็จ เหล่ากองกำลังที่เลือดกายเดือดพล่านจากการปะทะกรูตามกันมาเป็นสายยังคงกระจายเป็นหมู่ตามคำสั่งของเขา

ไป๋ผูอวี้ได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมปะทะกับใบหน้า ได้ยินเสียงสายน้ำไหลเชี่ยวกรากจึงยกมือส่งสัญญาณเตรียมพร้อมให้กับกองกำลังด้านหลัง ผ่านไปครู่ใหญ่จนผ่านป่าไผ่และพุ่มไม้ปรากฏเป็นบริเวณลานกว้าง เสียงอาชาร้องดังอยู่เบื้องหน้าทหารม้ากลุ่มใหญ่ล้อมวงอารักขาคนผู้หนึ่ง สายตาของไป๋ผูอวี้กวาดมองคนที่อยู่บนหลังอาชา ร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะอาบไปด้วยความสูงศักดิ์ที่ไม่สามารถลบล้างได้ แม้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีแต่บนใบหน้าของท่านอ๋องสามก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ทำให้ไป๋ผูอวี้อยากใช้กระบี่เปื้อนเลือดในมือตนเฉือนทิ้งเสีย 

“เจ้ากบฏชั่วช้า ยอมแพ้เสีย!”ขุนพลผู้หนึ่งโพล่งออกมาอย่างโกรธจัด ไป๋ผูอวี้ได้แต่มองตรงไปด้านหน้า รับรู้ว่าเลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อมองเห็นร่างผอมบางคุ้นตาในชุดสีดำปกปิดใบหน้าอยู่บนหลังอาชาใกล้กับหลิวอ๋อง

“ไป๋ผูอวี้ ข้ารอเจ้าอยู่พอดี เจ้าคิดถึงคนผู้นี้มิใช่หรือ”เจี่ยซินยกยิ้มหยัน กล่าวจบก็คว้าลำคอของร่างผอมบางไว้ในกำมือ ชายหนุ่มออกแรงเพียงนิดก็ได้ยินเสียงหอบหายใจติดขัดของอีกฝ่าย หยางชวีสังเกตเห็นว่าร่างนั้นดูคุ้นตาเช่นกันจึงได้แต่กำบังเหียนจนแน่น หลิวอ๋องส่งสายตาให้องครักษ์ข้างกายปลดผ้าคลุมหน้าของร่างผอมบางออก ไป๋ผูอวี้คล้ายกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อมองเห็นใบหน้างดงามคุ้นตาของคนผู้หนึ่งแต่ทว่าที่ข้างแก้มด้านซ้ายกลับมีรอยแผลยาว ในอกบีบรัดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกุมขย้ำซึ่งไม่เกี่ยวกับบาดแผลจากคมหอกที่เขาได้รับ 

เสิ่นจิ้งเฟย

เสิ่นจิ้งเฟยตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้าเขา เกิดเสียงสูดลมหายใจเข้าจากคนที่รู้จักเสิ่นจิ้งเฟยดังอยู่รอบกาย โดยเฉพาะหยางชวีที่แทบร่วงหล่นจากหลังม้า ไป๋ผูอวี้ได้แต่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง สมองคล้ายถูกค้อนใหญ่ทุบตีจนมึนงง ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง

“คุณชาย ท่านยังไม่ตาย ข้าดีใจยิ่งนัก!”หยางชวีโพล่งออกมา คิดอยากลงจากหลังม้าวิ่งไปหา แต่ถูกเว่ยหลงยกมือกางแขนห้าม

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”เว่ยหลงถลึงตาใส่อีกฝ่าย ก่อนควบอาชาเข้าใกล้คุณชายของตน

 


ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
“รองแม่ทัพไป๋ เสิ่นจิ้งเฟยตายไปในกองเพลิงแล้ว ท่านเป็นคนนำร่างเขาออกมาเองกับมือ”เว่ยหลงกัดฟันเอ่ยขึ้นแม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวก็ตามแต่ว่าต้องมีบางอย่างผิดแปลกเกิดขึ้น เหตุใดคนที่ตายไปแล้วถึงได้มีชีวิตอยู่ได้?เป็นภูติผีหรือไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในยามนี้คือสนามรบ เสิ่นจิ้งเฟยอยู่กับพวกก่อกบฏ ไม่สิ แต่แรกคุณชายรูปงามท่านนี้ก็ร่วมมือกับหลิวอ๋องเจี่ยซินมาตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ

คำพูดของเว่ยหลงดึงเรียกสติของไป๋ผูอวี้ นั่นสินะ เสิ่นจิ้งเฟยตายไปแล้ว เขามองเห็นร่างนั้นมอดไหม้อยู่ในกองเพลิงกับตาตนเองด้วยซ้ำทั้งยังเป็นคนนำร่างไร้วิญญาณออกมา…ในใจของไป๋ผูอวี้เต้นอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกบังคับให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากจดจำ กลิ่นไหม้คล้ายกับยังติดจมูก เขาจ้องเขม็งไปที่เสิ่นจิ้งเฟยบนหลังอาชาเบื้องหน้า คุณชายรูปงามไม่ได้สบตากับเขา สายตาคู่นั้นหลุบต่ำ สองมือกำบังเหียนสั่นน้อย ๆ คนบนหลังม้าซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้…มีชีวิตอยู่จริง ๆแล้วร่างที่นอนไร้ชีวิตในโลงแก้วนั่นเล่าคืออะไร

“เสิ่นจิ้งเฟยตายไปแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวเสียงเย็นชาแม้ในใจจะยังสับสน  เสิ่นจิ้งเฟยในร่างของเจาเฟิงก็ตายไปแล้ว…เช่นเดียวกับร่างที่เขานำออกมาจากกองเพลิง แล้วเสิ่นจิ้งเฟยจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มยังคงจ้องมองใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นข้างแก้มด้านซ้ายไม่วางตา ทันใดนั้นความจริงอย่างหนึ่งก็พุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างที่เขานำออกมาจากกองเพลิงไม่มีรอยแผลที่แก้ม เป็นคนละคนกันอย่างนั้นหรือ?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในใจไป๋ผูอวี้เกิดความสับสนจึงลังเลที่จะจู่โจม ชายหนุ่มขบฟันเมื่อบาดแผลของเขาเริ่มปวดตึง ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่าเพิ่งแสดงอาการอ่อนแอออกมา

“เสิ่นจิ้งเฟย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียก เสียงแหบแห้งของเขาดังสะท้อนอยู่ในอากาศ “เจ้าคือเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆน่ะหรือ”คำถามที่อยากถามคือ เจ้าใช่จื่อฟางของข้าหรือไม่? เจี่ยซินหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นความสับสนจากกลุ่มทหารเบื้องหน้า แผนการของเขาได้ผลจริง ๆ

“ท่านว่าอย่างไร มองตาข้าแล้วท่านมองเห็นเป็นผู้ใดหรือ”เสิ่นจิ้งเฟยเอื้อนเอ่ยช้า ๆ ไป๋ผูอวี้หายใจสะดุด เมื่อได้ยินท่วงทำนองการพูดที่ไม่ได้ยินมานาน มองเห็นความดื้อดึงอวดดีในดวงตาคู่นั้น แน่ใจแล้วว่าคุณชายรูปงามตรงหน้าไม่ใช่จื่อฟางของเขา ความรู้สึกโล่งใจปนความข่มขื่นอาบไปทั่วร่าง โล่งใจที่จื่อฟางไม่ต้องทรมานจากการติดอยู่ในกองเพลิง ข่มขื่นกับความจริงที่ตอกย้ำว่าจื่อฟางไม่อยู่แล้ว วินาทีที่ได้เห็นร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเขากลับหวังลมๆแล้งๆ 

“นี่คือเสิ่นจิ้งเฟยคนรักของเจ้าอย่างไรเล่า จำไม่ได้แล้วรึ ไป๋ผูอวี้ ข้าจะไม่เอ่ยซ้ำ ถอยทัพกลับไปซะ ไม่อย่างนั้นครานี้ข้าจะฆ่าเสิ่นจิ้งเฟยจริง ๆ”ชายหนุ่มออกแรงกดมือที่ลำคอบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นพยายามดิ้นหนีให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมจนอาชาที่แบกร่างเจ้านายขยับก้าวขาไปมา เจี่ยซินปรายตามอง พร้อมยิ้มหยัน อ่อนแอเกินไปแล้ว…

ถอยทัพกลับอย่างนั้นหรือ

เกิดเสียงฮือด้วยความโกรธแค้นก่อนที่พลทหารจะพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ยั้งคิด ไป๋ผูอวี้กำมือจนเจ็บรู้สึกถึงความเกลียดชังไหลเวียนอยู่ในกาย กำลังพลของกุ้ยต้านมาถึงที่แม่น้ำอีกฝั่งพร้อมกับกลุ่มลูกศรที่ถล่มยิงเป็นสายบวกกับกำลังทหารที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มกบฏของหลิวอ๋องทำให้ม้าศึกอารักขาของกบฏแตกกระเจิง หลิวอ๋องขบฟันอย่างมีโทสะคาดไม่ถึงว่าจะมีกำลังของไป๋ผูอวี้ดักอยู่อีกทาง เขาตวัดปลายกระบี่ปัดธนูที่พุ่งตรงเข้าหา ฝามือยังคงบีบเค้นลำคอของเสิ่นจิ้งเฟย

ชั่วจังหวะนั้นคุณชายรูปงามก็คว้ามีดสั้นออกมาจากอกเสื้อปักแทงลงที่หลังมือของหลิวอ๋องอย่างไม่เกรงกลัว หลิวอ๋องส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดตวัดมือใส่ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยเต็มแรงจนร่างนั้นพลิกตกจากหลังอาชา ไป๋ผูอวี้จึงใช้ช่วงจังหวะนี้พุ่งกายไปหาหลิวอ๋องทันที

“รองแม่ทัพไป๋”ซูเหลียนฮวาที่เพิ่งตามมาสมทบเอ่ยเรียกก่อนจะรับมือกับการปะทะ นางมองร่างของเสิ่นจิ้งเฟยที่นอนหมอบอย่างขาดกลัวอยู่ที่ผืนดินด้วยแววตาตื่นตะลึง คุณชายเสิ่นมีชีวิตรอดได้อย่างไร?แม้นางจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวแต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาลังเลจึงควบอาชาเข้าไปใกล้ออกแรงฉุดดึงร่างผอมบางขึ้นหลังม้าอย่างง่ายดาย

“ปล่อย ข้าต้องจบเรื่องที่สร้างไว้”ร่างนั้นเอ่ยเป็นประโยคติดขัดเพราะความเจ็บปวดบนใบหน้า เลือดกบอยู่ในปากที่เจ็บจนชาย้ำเตือนว่าร่างนี้ยังมีชีวิต

“เงียบ!”นางมารหมื่นพิษถลึงตามองร่างในอ้อมแขน นางพอจะเข้าใจแล้ว คุณชายท่านนี้...กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ท่วงทำนองการพูดที่ไม่ได้ยินมานานแตกต่างจากคุณชายเสิ่นคนก่อนอย่างเห็นได้ชัด หยางชวีควบอาชาพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อเห็นว่าร่างของเสิ่นจิ้งเฟยถูกนางมารหมื่นพิษช่วยไว้ได้

กำลังพลทหารกรูปะทะกับกำลังกบฏของหลิวอ๋องเป็นที่วุ่นวาย ไป๋ผูอวี้มุ่งตรงไปหาร่างของเจี่ยซินที่กระตุกม้าถอยกลับไปยังชายป่าด้านข้าง เพราะอีกฝั่งของแม่น้ำมีกองทัพโจมตีด้วยห่าธนูไม่ขาดสาย ลุกธนูที่คลุ้มคลั่งไม่สนใจว่าจะยิ่งถูกฝ่ายตัวเองด้วยหรือไม่ ขอแค่โดนตัวกบฏก็เพียงพอ ทหารม้ารอบตัวล้อมอารักขาหลิวอ๋องเจี่ยซิน การต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย เสียงกีบม้าและร้องตะโกนของทหารทั้งสองฝ่ายดังก้อง ไป๋ผูอวี้พยายามยามฝ่าวงล้อมเข้าไปหาหลิวอ๋อง ได้แต่แค่นเสียงอย่างหงุดหงิดเมื่อทำไม่ได้

“ไม่ต้องไว้ชีวิตพวกกบฏ”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งเย็นชา กวาดตามองซูเหลียนฮวาที่ถอยห่างออกไปพร้อมกับเหนี่ยวลูกดอกอาบยาพิษไปที่กลุ่มอาชาเบื้องหน้า เมื่ออาชาถูกยิงก็แผดเสียงร้องห้อตะบึงพาคนบนร่างตกแม่น้ำเชี่ยวกราก องครักษ์ของหลิวอ๋องนำกำลังส่วนหนึ่งอารักขาผู้เป็นนายกลับเข้าไปในชายป่า ไป๋ผูอวี้เร่งอาชาตามติดอย่างไม่ลดละ เขาร่วมศึกเพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้น

...หลิวอ๋อง

กำลังพลส่วนหนึ่งตามหลิวอ๋องกลับเข้าไปในป่า ส่วนที่เหลือต่อสู้อยู่ที่ริมแม่น้ำ สองข้างกายของไป๋ผูอวี้ประกบด้วยเว่ยหลงและหยางชวี คนสกุลไป๋มาป้องกันตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้เขาจึงเก็บกระบี่

“ส่งมาให้ข้า”ไป๋ผูอวี้คว้าคันธนูมาจากคนของตน มองเห็นช่องยิงคนผู้นั้นแล้ว ยิ่งเจ็บแค้นที่เจี่ยซินเป็นคนสร้างเรื่องวุ่นวายทั้งหมด ไม่ว่านั่นคือเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงหรือไม่แต่จื่อฟางจากโลกนี้ไปแล้วจริง ๆ ไป๋ผูอวี้หรี่ตาเล็งเป้าไปยังร่างของหลิวอ๋อง คนผู้นั้นควบอาชามุ่งตรงไปตามทางหนทางที่เต็มไปด้วยหินอย่างยากลำบาก กองกำลังกบฏส่วนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาโจมตี องครักษ์มีฝีมือปกป้องท่านอ๋องไปอีกเส้นทาง

คนสกุลไป๋เปรียบเสมือนกำแพงรอบกาย เขาเหนี่ยวสายธนูจนเจ็บมือเมื่อเล็งเปาหมายได้ก็ปล่อยลูกดอกแหลมคมทันที มีเสียงแหวกอากาศ ลูกดอกพุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของหลิวอ๋องแต่องครักษ์คนหนึ่งเห็นว่าเหวี่ยงดาบปัดให้พ้นทางมิทันจึงใช้ร่างบัง ลูกธนูของเขาถึงปักเข้ากลางศีรษะของคนผู้นั้นแทน 

“ข้าไม่มีเวลาล้อเล่นกับพวกเจ้า”กล่าวจบก็ตวัดกระบี่ใส่ศัตรูอย่างมีโทสะ เขาบอกแล้วอย่างไรว่าเป้าหมายเดียวคือหลิวอ๋อง!

“ข้าน้อยจัดการเอง”เว่ยหลงส่งเสียงปรากฏกายรับมือกับกลุ่มกบฏที่เข้าปะทะ แม้ว่าเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยยังคงทำให้มึนงงก็ตาม คุณชายไป๋ไม่มีท่าทีดีใจที่ได้เห็นคนรักสักนิด แต่ยามนี้ต้องกำจัดศัตรู พลธนูยิงลูกดอกใส่อาชาของฝั่งนั้นราวห่ากระสุน เสียงแผดร้องดังไปก้องทั้งป่า ไป๋ผูอวี้มองหยางชวีที่เลือดเปื้อนเต็มชุดเกราะ ใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงความว่างเปล่า


“เจ้ามากับข้า”ชายหนุ่มเอ่ยบอกเร่งเคลื่อนตัวหาหลิวอ๋อง มองเห็นองครักษ์อารักขาอยู่กลุ่มใหญ่จึงพุ่งเข้าไปหาอย่างไม่คิดชีวิต หยางชวีรับมือพวกองครักษ์ ส่วนเขาพลิกกายลงจากหลังอาชาง้างธนูใส่ม้าของหลิวอ๋องจนเจ้าสัตว์สี่ขาพาร่างของเจ้านายล้มลงไปด้วย ไป๋ผูอวี้ไม่รอช้าพุ่งกระโจนไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่ายทันที คนผู้นั้นหัวเราะเสียงต่ำโต้กลับด้วยการฟาดฟันคมกระบี่ใส่ หลิวอ๋องมีฝีมือไม่ธรรมดา เหตุใดไม่เอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ ชายหนุ่มขบกรามประมือกับหลิวอ๋องจนบาดแผลที่หน้าอกปวดแปลบ มองเห็นปลายกระบี่แหลมคมพุ่งผ่าน ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไม่ทันจึงใช้แขนตั้งรับ รับรู้ถึงความเจ็บปวดแผ่ซ่าน 

“เกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยกันแน่”ไป๋ผูอวี้ไม่ได้สนใจบาดแผลมากนัก รอบตัวยังคงมีการต่อสู้ หยางชวีถูกรุมล้อมโจมตี ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดฝังคมกระบี่ผ่านชุดเกราะของหลิวอ๋องจนร่างนั้นซวนเซพลิกกายหลบหนีทันท่วงที

“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยหรือ”เจี่ยซินแค่นเสียงอย่างคั่งแค้น แผนการของเขาใกล้สำเร็จอยู่แล้วเชียว เกาโหยวอ๋องบุกไปเกือบถึงเมืองหลวงแล้ว เขายังไม่คิดยอมแพ้ คว้ากระบี่แทงใส่ไป๋ผูอวี้แต่คนผู้นั้นรับไว้ได้ ขณะที่การต่อสู้กำลังวุ่นวายก็ได้ยินเสียงโห่ร้องแปลกประหลาดที่ทำให้ขนหลังคอตั้งชัน ไป๋ผูอวี้เหวี่ยงคมกระบี่ปัดอาวุธของหลิวอ๋องไปให้พ้นทางก่อนถอยไปตั้งรับ หยางชวีร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดของศัตรู ปรากฏกายอยู่เคียงข้าง กำลังพลของหลิวอ๋องส่วนหนึ่งมาคุ้มครองผู้เป็นนายเช่นกัน

ทางด้านเว่ยหลงและซูเหลียนฮวาที่พยามนำร่างอ่อนแรงของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วยกำลังถูกรุมโจมตีจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย มองจากการแต่งกาย พวกเขาเป็นพวกชนเผ่านอกด่านอย่างไม่ต้องสงสัย นางมารหมื่นพิษกำมือแน่น นางยิงธนูจนมือเจ็บไปหมด เคยได้ยินเรื่องราวขององค์ชายใหญ่มาก่อนหรือคนกองกำลังพวกนี้…

“พวกเจ้าหนีไป…”คุณชายเสิ่นพึมพำ พยายามทรงตัวอยู่บนหลังอาชา

“หุบปากไปซะเจ้าเต่า!”เว่ยหลงตวาด คำว่าเจ้าเต่าหลุดออกมาอย่างลื่นไหล คำนี้ไม่ได้ใช้เอ่ยเรียกคุณชายรูปงามไม่เอาไหนมานานแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามาแปลกใจเพราะต้องรับมือกับกองกำลังป่าเถื่อนตรงหน้า แย่แล้ว แย่แล้ว

ไป๋ผูอวี้ตวัดสายตามองกลุ่มกองกำลังที่บุกโจมตีเข้ามาอย่างน่าเกรงขาม แค่ปราดตามองก็รับรู้ได้ว่าคนพวกนี้ชำนาญการฆ่าฟันยิ่งนัก หยางชวีหอบหายใจอยู่ข้างกาย

“พวกชาวหู”ผู้ติดตามข่มฟัน หลิวอ๋องได้รับบาดเจ็บจึงถอยหลบอยู่ท่ามกลางกองอารักขา ไป๋ผูอวี้มองหน้าหยางชวี “อย่าตายล่ะ”

สิ้นคำพูดก็หมุนตัวหลบการลุกฮือโจมตีของชนเผ่า ร่างของไป๋ผูอวี้แผดร้อนไปทั้งร่าง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องฝืนทนปะทะคมกระบี่ องค์ชายใหญ่ลงมือแล้วเช่นนี้ แสดงว่าทางฝั่งวังหลวงก็ย่อมลงมือเช่นกัน ชายหนุ่มได้แต่หลบหลีกการโจมตี มองหาอาชาของตนที่ทิ้งไว้ แต่เสวี่ยไป๋ถูกคมดาบแทงจนไม่สามารถลุกหนีได้อีกแล้ว ไป๋ผูอวี้กำด้ามกระบี่จนเจ็บมือเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่กำยำมีนวดเคราพุ่งมาหา จึงทำได้เพียงหลบหลีกตั้งรับเท่านั้น

เคร้ง!

คมกระบี่ของหยางชวีอยู่เบื้องหน้า ผู้ติดตามหน้าตายใช้ร่างรับการโจมตีของศัตรู “ท่านต่างหากที่อย่าตาย คุณชายจื่อคงไม่ชอบที่เห็นท่านเป็นเช่นนี้”

ไป๋ผูอวี้ใช้เท้าวาดเตะหยางชวีออกไปให้พ้นทาง “ข้ารู้”

ชายหนุ่มเริ่มหอบหายใจ พวกชนเผ่าต่อสู้ดุดันยิ่งจนกำลังของหลิวอ๋องไม่สามารถรับมือได้ แต่ม้าศึกใช้การไม่ได้อีกแล้วจึงทำได้เพียงสู้จนตัวตาย หลิวอ๋องเจี่ยซินแค้นเคืองทั้งไป๋ผูอวี้และองค์ชายใหญ่ยิ่งนัก เหตุใดต้องมาขัดขวางข้า!เขาจะจัดการเจี่ยผิงได้อยู่แล้วเชียว ได้ยินว่าความตายของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้คนผู้นั้นร่างกายผอมซูบ น่าสมเพชจริง ๆ เป็นถึงเจ้าแผ่นดินแต่กลับปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำเช่นนี้ยิ่งไม่สมควรครองบัลลังก์

“รองแม่ทัพไป๋!”ทหารอีกหลายพันนายกรูเข้ามาช่วยเหลือ นำโดยกุ้ยตานที่ฝ่าข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากมาได้อย่างยากลำบาก เขานำกองทัพมาได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาบาดเจ็บเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ทรุดมอบอยู่บนหลังม้า แม้ว่าคนสกุลไป๋จะเชี่ยวชาญวิทยายุทธแต่เมื่อต้องรับมือกับกองกำลังทหารและชนเผ่านอกด่านหลายพันนายก็ไม่สามารถต้านไหว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัวเพียงอย่างเดียว

เสิ่นจิ้งเฟยถูกขุนพลทหารสามนายบังคับให้หลบซ่อนอยู่ที่หลังพุ่มไม้ แม้พวกทหารยศต่ำต้องการฆ่าทิ้ง แต่เขาเคยได้ยินเรื่องราวรักต้องห้ามของไป๋ผูอวี้มาก่อน คุณชายรูปงามท่านนี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เจี่ยผิง!แม้จะไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างไรแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนก่อกบฏของหลิวอ๋อง หากพวกเขาสามารถรอดชีวิตนำคุณชายเสิ่นกลับไปที่วังหลวงได้ ฮ่องเต้อาจตกรางวัลให้อย่างงาม

ไป๋ผูอวี้เห็นว่ามีกองกำลังมาเสริมส่วนหนึ่งก็ถอยไปตั้งหลัก กวาดตามองหาหลิวอ๋องทันที หยางชวีได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว นึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยที่มีชีวิตก็ปวดแปลบในอก คุณชายมีชีวิตจริง ๆหรือ?เหตุใดแววตาคู่นั้นถึงไม่คุ้นเคย ได้สติอีกครั้งก็พบว่าตนเหม่อลอยจนถูกเกาทัณฑ์พุ่งใส่ที่หน้าท้องซ้ำกับบาดแผลเก่าที่เพิ่งหาย ร่างกายทรุดกองกับพื้นอย่างอ่อนแรง 

‘ข้าช่างอ่อนแอนัก’ชายหนุ่มหลับตา ชั่วขณะคิดอยากย้อมแพ้ แต่ร่างสองร่างปรากฏมาหิ้วปีกหลบหนีได้ทันท่วงที

“เจ้าโง่!สิ่งที่ข้าบอกไม่เข้าหัวเจ้าเลยหรือ”เว่ยหลงกัดฟันตวาด ในขณะที่หญิงงามฉายานางมารหมื่นพิษและเขาพยายามยกร่างอันหนักอึ้งของหยางชวีออกมาจากสนามรบนองเลือด พวกเขาทั้งสามคนต้องกลืนคำว่าศักดิ์ศรีมาหลบซ่อนอยู่หลังกอไผ่ 

“คุณชายไป๋!ข้าต้องไปช่วยคุณชาย”เว่ยหลงพลันรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดพลาด ท่ามกลางความแปลกใจของซูเหลียนฮวาและตัวเขา หยางชวีคว้าคอเสื้อของตนไว้

“คนโง่เช่นท่านอย่าได้คิดมาสั่งสอนข้าอีก”กล่าวจบก็กระแทกกำหมัดใส่หน้าท้องของชายหนุ่มจนส่งเสียงดังอั้กออกมา ซูเหลียนฮวาแม้อยากไปช่วยคุณชายไป๋แต่ยามนี้รังแต่จะเป็นภาระมากกว่า พวกเขาทั้งสามไม่สามารถต่อสู้ในสนามรบได้อีกแล้ว อีกทั้งยามนี้กุ้ยตานก็นำกำลังมาเสริม คงสามารถยันพวกชนเผ่าออกไปก่อนได้ นางหยิบห่อสมุนไพรออกมาคลี่ตรวจดู เหลือเพียงครึ่งห่อเท่านั้น

ทางด้านสนามรบ กำลังทหารของกุ้ยตานต่างก็เลือดกายเดือดพล่านพร้อมสู้รบเนื่องจากไม่ได้ทำสิ่งใดมาหลายสิบวัน จึงสามารถรับมือต่อกรกับชาวหูได้อย่างสูสี ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายเข้าหาหลิวอ๋องที่ยามนี้กำลังหาทางหลบหนีอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มตวัดกระบี่ทะลุร่างของผู้ที่พุ่งเข้ามาหา การต่อสู้ระหว่างเขาและท่านอ๋องเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของหลิวอ๋องเปื้อนไปด้วยเลือดแห้งกรัง แววตาดุดันชิงชัง คมกระบี่ของไป๋ผูอวี้เฉียดใบหน้าของหลิวอ๋องไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด องครักษ์ของหลิวอ๋องพุ่งเข้ามาหาแต่กลับถูกขุนพลจำนวนหนึ่งเข้ามารับมือ เกาทัณฑ์ห่าใหญ่พุ่งผ่านอากาศใส่ชนเผ่านอกด่าน แม้จะถูกยิงจนล้มตายจำนวนมากแต่ก็ยังกรูเข้ามาต่อสู้ราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือด   

ไป๋ผูอวี้ข่มอาการบาดเจ็บที่แขนและที่หน้าอกฟาดฟันกระบี่ใส่หลิวอ๋องอย่างไม่คิดรามือ ฝ่ายนั้นใช้แรงงัดกระบี่ของเขาออก แต่ชายหนุ่มพลิกกายหลบเมื่อเห็นว่าหลิวอ๋องเผยช่องโจมตีก็แทงกระบี่ไปเบื้องหน้าสุดกำลัง ปลายแหลมคมแทงเข้าที่ช่วงตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดลังเล ร่างนั้นทรุดลงแต่ดวงตายังฉายแววไม่ยอมแพ้พยายามดึงคมกระบี่ออกจากร่าง ไป๋ผูอวี้เสือกแทงเข้าไปมากกว่าเดิม จนหลิวอ๋องร้องครางอย่างเจ็บปวดเลือดไหลทะลักจากบาดแผล เขาหยักยิ้มมองร่างที่หมดทางชนะ

“ท่านแพ้แล้ว พวกอ๋องที่ร่วมมือกับท่านก็เช่นกัน”

เจี่ยซินหายใจสะดุด ปล่อยเสียงหัวเราะคล้ายกับไม่เกรงกลัวความตายที่มารออยู่เบื้องหน้า “ไป๋ผูอวี้ ข้าเห็นเจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยลอบพบกัน ท่าทางรักกันนักหนา เจ้าไม่ดีใจหรือที่เขายังไม่ตาย”

ไป๋ผูอวี้เพียงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงแววเยาะหยัน “ก่อนที่ท่านจะตายด้วยคมกระบี่ของข้า ข้าจะบอกท่านก็แล้วกัน แท้จริงแล้วเสิ่นจิ้งเฟยร่วมมือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงมาตลอด เขานำแผนของท่านไปบอกฮ่องเต้ ท่านอ๋องน่าจะรู้ว่าไม่ควรไว้ใจคนเช่นเสิ่นจิ้งเฟยง่ายๆ…”ชายหนุ่มเอ่ย ออกแรงกดกระบี่ช้า ๆตามทุกคำพูด

“ท่านอ๋อง การตัดสินใจของท่านนำความเดือดร้อนไปสู่เส้นทางที่ไม่อาจอภัยได้ ท่านคิดหรือว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงจะไว้ชีวิตพระชายาและท่านอ๋องน้อย”ไป๋ผูอวี้จงใจกล่าวจบก็ดึงกระบี่ออกมา ยกยิ้มบอกลาให้กับสีหน้าตื่นตกใจและหวาดกลัวของหลิวอ๋อง เงื้อคมกระบี่ปลิดชีพหลิวอ๋องเจี่ยซินในดาบเดียว โทสะและความหวาดกลัวในดวงตาคู่นั้นดับมอดไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบบริเวณ พบว่ากำลังเสริมของกุ้ยตานมาช่วยได้ทันเวลาพอดี จึงสามารถปราบกบฏหลิวอ๋องและชาวหูได้แต่ก็เป็นชัยชนะที่ไม่สวยหรูนัก เพราะมีทหารล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ไป๋ผูอวี้หลับตาถอนหายใจ ทิ้งกระบี่ในมือลง

“ท่านรองแม่ทัพชนะแล้ว!”เสียงโห่ร้องยินดีของพลทหารที่ตามมาสมทบดังเป็นระลอก แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความรู้สึกนั้นราวกับอยู่คนละโลก เรื่องที่ต้องทำก็สำเร็จลุล่วงไปแล้วแม้จะปราบหลิวอ๋องได้แต่ความหนักอึ้งยังคงอยู่ในใจ ซูเหลียนฮวาปรากฏข้างกาย

“คุณชายได้รับบาดเจ็บ…”นางเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อเห็นบาดแผลลึกที่แขนและคมหอกที่ช่วงหน้าอกของคุณชาย

“เจ้าไปช่วยดูทหารผู้อื่นก่อนเถอะ”ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวนั่งบนก้อนหินเปื้อนเลือด

“อาการของท่านสำคัญกว่า”นางมารหมื่นพิษเอ่ยอย่างดื้อดึง ลำพังตัวนางเองยังทรงตัวไม่ค่อยไหวแต่ตอนนี้ต้องรักษาบาดแผลของคุณชายของนางก่อน หญิงงามเหลือบมองเว่ยหลงและหยางชวีที่พยุงร่างออกมาจากที่กำบัง เว่ยหลงพอเห็นว่าคุณชายไป๋ได้รับบาดเจ็บก็รีบเข้ามาหาทันที

“ท่านไม่เป็นอะไรนะขอรับ”

“ข้ายังไม่ตาย”เขายกยิ้มมองไปที่หยางชวี ร่างตรงหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเคย

“คุณชายพูดอะไรอย่างนั้น เสิ่นจิ้งเฟยยังมีชีวิตอยู่…แต่เขาร่วมมือกับหลิวอ๋องก่อกบฏ…”เว่ยหลงเงียบลงเมื่อเห็นสายตาเยียบเย็นของคุณชายจึงยอมหุบปากเงียบ ผู้ติดตามได้แต่คิดไปว่าเป็นเพราะตนพูดจาย้ำเตือนความจริงกับอีกฝ่ายกระมัง   

“เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ที่ใด…”ชายหนุ่มกวาดตามองหาโดยรอบ หยางชวีเคลื่อนกายออกไปค้นหา เมื่อจำได้ว่าครั้งสุดท้ายพบเห็นคุณชายเสิ่นถูกนายทหารดึงลงจากหลังอาชา ซูเหลียนฮวารักษาบาดแผลของไป๋ผูอวี้เสร็จก็ช่วยดูแลเหล่าทหารเท่าที่ร่างกายของนางยังพอทำได้

“นำกำลังพลและคนเจ็บกลับไปตั้งหลักในเมืองเสียนหยาง”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งกับกุ้ยตานที่คุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ เลื่อนสายตามองไร้ชีวิตของหลิวอ๋อง “จัดการเก็บร่างของหลิวอ๋องให้ดี เหตุการณ์สงบค่อยส่งกลับวังหลวง”

“ขอรับ ท่านรองแม่ทัพ”กุ้ยตานรับคำเสียงเข้มก่อนจะนำกองกำลังและขุนพลที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากป่าลึก ไป๋ผูอวี้ยังคงนั่งอยู่ที่หินก้อนใหญ่ นึกถึงเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นอยากทำสิ่งใดนัก เกิดเสียงโวยวายดังขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เงยหน้ามอง พบว่าทหารสามนายกำลังกึ่งดึงกึ่งลากร่างผอมบางคุ้นตาเข้ามาใกล้

….เสิ่นจิ้งเฟย….ร่างนั้นอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ใบหน้าข้างซ้ายมีรอยกรีดที่เห็นได้ชัดและมีรอยบวมช้ำบนหน้า ทั้งสงอย่างเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง หยางชวีก้าวตามมาติดๆด้วยสีหน้าราบเรียบ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้ไม่เหมือนคนเดิม นึกไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้…ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายที่เขารู้จักไม่ได้อยู่ในร่างนี้อีกแล้ว

“ท่านรองแม่ทัพ”นายทหารสามนายก้าวเข้าใกล้ เว่ยหลงและซูเหลียนฮวาจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาสนใจ อยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

“ปล่อยตัวเขา”ไป๋ผูอวี้ออกคำสั่งเสียงแข็งกร้าวพร้อมกับส่งสายตากดดันให้นายทหารทั้งสามคน กระบี่เปื้อนเลือดที่ใช้ปลิดชีพหลิวอ๋องยังคงอยู่ข้างกาย ทหารจึงยอมปล่อยตัวเสิ่นจิ้งเฟย ร่างนั้นทรุดกองกับพื้นทันที ซูเหลียนฮวาเข้าไปช่วยประคองร่างผอมบางของคุณชายรูปงามจึงเป็นภาพที่แปลกตายิ่งนัก

“แต่คนผู้นี้เป็นกบฏ ท่านคงไม่คิดปล่อยเขาเพราะความเสน่หาหรอกกระมัง”ทหารผู้หนึ่งเอ่ยแย้งอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้าเป็นรองแม่ทัพ ข้าจัดการเอง อีกอย่างคุณชายเสิ่นเป็นชายงามที่องค์ฮ่องเต้โปรดปราน พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็นชา ทำให้นายทหารจึงยอมถอยออกไปอย่างหมดคำโต้แย้ง คิดอย่างไม่พอใจว่าไป๋ผูอวี้แย้งเนื้อชิ้นดีของพวกตนไป

 “เสิ่นจิ้งเฟย ท่านจะบอกได้หรือยังว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเสียงเรียบ คุณชายรูปงามที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นดินเงยหน้าสบตากับไป๋ผูอวี้เป็นครั้งแรก ใบหน้าที่ถูกทำลายยังคงงดงามแม้จะลดน้อยลงแต่ก็ยังคงเดิม เฉกเช่นเดียวกับคนที่เขาเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว บรรยากาศรอบตัวของคุณชายท่านนี้เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยคนที่ตนพยายามผูกมิตรด้วย ริมฝีปากบางบนดวงหน้าขาวซีดยกเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตาคู่งาม

“ทั้งหมดเป็นแผนของหลิวอ๋อง ร่างที่พวกท่านเห็นเป็นเพียงคนหน้าเหมือนข้าเท่านั้น ในเมื่อถูกไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่งผู้คนย่อมมองไม่ออกจริงหรือไม่”เสิ่นจิ้งเฟยฝืนยิ้มออกมา ยกมือลูบใบหน้าที่เป็นรอยแผลเป็นช้า ๆ ไม่อยากเชื่อว่าตนจะกลับเข้าร่างอ่อนแอร่างเดิม มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้แต่ดวงตาไร้ชีวิตชีวาก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่าจื่อฟางไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แน่สิ คนโชคร้ายคนนั้นอาศัยอยู่ในร่างของเขา แต่ตอนนี้เขากลับร่างแล้วจะไปอยู่ที่ใด สถานที่แปลกตานั่นน่ะเหรอ?

“คนหน้าเหมือน”เว่ยหลงพึมพำ เริ่มเข้าใจเรื่องราว เช่นนั้นเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่ตายจริง ๆ แต่เหตุใดคุณชายไป๋ถึงได้มีสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าหยางชวีก็ด้วย

เสิ่นจิ้งเฟยหัวเราะเบาๆเมื่อมองเห็นสีหน้าของไป๋ผูอวี้ เหลือบมองร่างของผู้ติดตามไม่คุ้นหน้าแต่รู้ดีว่าคนๆนี้เป็นข้ารับใช้ของจื่อฟาง ใบหน้าของชายตรงหน้าไม่มีความรู้สึกใด แต่ดวงตาสีดำที่จ้องมองมากลับมีแวววูบไหวด้วยคลื่นอารมณ์บางอย่าง เสียใจล่ะสิ?เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกข่มขื่นอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับคนพวกนี้ ไม่มีผู้ใดรอเขา คุณชายรูปงามกำมือแน่น พยายามไม่เปิดเผยอารมณ์ใดออกไป แม้กระทั่งจางต้า เด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจนักว่าเจ้านั่นจะยังอยากรับใช้ตนอยู่หรือไม่ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเจ้าบ่าวเซ่อซ่านั่นดีเท่าไหร่

เสิ่นจิ้งเฟยนึกย้อนไปถึงยามที่ฟื้นกลับร่างเดิม สิ่งแรกที่รับรู้คือเจ็บปวดที่ข้างแก้มจนร่างสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ รับรู้ว่าน้ำตาไหลอาบแก้ม ผู้ที่อยู่เหนือร่างคือหลิวอ๋อง

‘ทิ้งเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าไว้ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่’หลิวอ๋องกล่าวเช่นนั้น ในกรอบสายตาเขามองเห็นองครักษ์คนหนึ่งอุ้มร่างคนที่มีใบหน้าคล้ายกับเขา ถูกมัดมือมัดเท้าและมีผ้าอุดปาก แต่งกายคล้ายกับเสิ่นจิ้งเฟยทุกระเบียบนิ้ว

‘เหมือนหรือไม่ กว่าข้าจะหาคนมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มาเถอะน้องชาย ไปจากจวนสกุลเสิ่นแห่งนี้’

เปลวเพลิงรอบกายเริ่มโหมไหม้แรงขึ้น องครักษ์คว้าร่างอ่อนแรงของเขาพาดบ่า นำร่างปลอมวางไว้บนเตียง คนผู้นั้นยังมีสติ ทำได้แต่กลอกตาไปมาอย่างหวาดกลัว   


 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4

เสิ่นจิ้งเฟยกระพริบตา รวบรวมสติกล่าวอีกครั้ง “ข้าฟื้นขึ้นมาในกองเพลิง องครักษ์ของหลิวอ๋องพาข้าออกไปจากห้องหนังสือผ่านทางบานหน้าต่าง ข้ามองเห็นร่างผู้อื่นที่มีใบหน้าที่คล้ายกับตัวเองทั้งยังถูกมัดอยู่บนเตียงก็พอเข้าใจเรื่องราว หลิวอ๋องต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าข้าตายแล้ว”เด็กหนุ่มนึกไปถึงผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือทั้งแผ่นดิน ทอดสายตาแหลมคมมองไป๋ผูอวี้ แย้มยิ้มที่เหมือนดอกไม้งามอาบยาพิษชวนให้ผู้คนหนาวไปถึงสันหลัง โดยเฉพาะเว่ยหลงที่คล้ายได้เห็นเจ้าเต่าคนเดิมที่เคยแวะเวียนมาหาเรื่องคุณชายไป๋ที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ

“ท่านรองแม่ทัพจะจัดการกับข้าอย่างไรเล่า หากต้องการส่งตัวข้ากลับไปให้ฮ่องเต้เจี่ยผิง ท่านลงมือฆ่าข้าเถิด”เขาไม่ต้องการถูกกักขังอีกต่อไปแล้ว แต่ไป๋ผูอวี้ในยามนี้เขาเดาความคิดไม่ออก ตั้งแต่ในแต่ไรมาเขาก็แพ้อีกฝ่ายมาตลอด ครั้งนี้ก็คงแพ้เช่นกัน 

“หากท่านช่วยข้าหลบหนี ข้าจะเล่าเรื่องราวชีวิตของคนๆนั้นให้ฟัง ข้ารับรู้ความทรงจำของเขาทุกอย่าง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าว เขาได้รับความทรงจำของจื่อฟางมาจริง คำพูดของเขาทำให้ไป๋ผูอวี้และเจ้าคนหน้าตายมีปฏิกิริยา ซูเหลียนฮวาจ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบ เขาเคยได้ยินว่านางชอบบุรุษรูปงาม อยู่ ๆความคิดนี้ก็ทำให้เขาขนลุก

“คนผู้นั้น คุณชายเสิ่นพูดถึงเรื่องใด”เว่ยหลงเอ่ยแทรก เสิ่นจิ้งเฟยปรายตามอง คนผู้นี้ก็ยังเช่นเดิม มีกล้ามเนื้อมากกว่าสมอง

ไป๋ผูอวี้ได้ยินที่คุณชายเสิ่นพูดก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง แม้จื่อฟางจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว เขายังต้องการทราบเรื่องราวของอีกฝ่าย แต่เขาต้องไตร่ตรองให้ดี ยังมีนายทหารที่ร่วมศึกปะทะที่ริมแม่น้ำได้เห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีชีวิตอยู่ เขาเป็นถึงรองแม่ทัพหากกระทำโดยพละการจะเป็นเรื่องเข้า ชายหนุ่มไม่อยากให้มีทหารต่อต้าน

“ข้าก็อยากปล่อยตัวคุณชายเสิ่นให้เป็นอิสระ แต่ในยามนี้เกรงว่าจะไม่ได้”ชายหนุ่มตอบ หยางชวีเพ่งมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจเช่นเดียวกับเว่ยหลง เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง อยากร้องไห้ยิ่งนัก 

 

………………

ไป๋ผูอวี้กลับมาที่เมืองเสียนหยาง ชนเผ่าหูที่รุกรานเข้ามาทำให้เขาไม่สบายใจ อยากนำกองทัพกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเพราะยังไม่ทราบข่าวคราวจากฉางอัน ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่ได้นำกำลังบุกที่นั่นหรือไม่ อีกทั้งที่ฝั่งลั่วหยางก็ยังไม่คลี่คลายชายหนุ่มจึงสั่งให้กุ้ยตานนำกองกำลังส่วนหนึ่งที่ตั้งค่ายดักเดินทางไปสมทบที่ลั่วหยางก่อน แบ่งกำลังไว้ให้กว่าพันนาย ส่วนขุนพลที่ยังได้รับบาดเจ็บจำต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ก่อน แม้จะไม่สบายใจแต่ไป๋ผูอวี้ต้องปักหลักอยู่ที่เสียนหยางเพราะยังมีชาวเมืองที่ไม่ได้ร่วมก่อกบฏเสียขวัญเป็นจำนวนมาก จึงจัดแบ่งกำลังทหารหมุนเวียนเฝ้าระวังรอบเมือง นำขุนพลมีฝีมือไปตั้งกำลังที่ด่านอู๋เสีย ป้องกันไม่ให้พวกชนเผ่านอกด่านบุกเข้ามาอีก

ไป๋ผูอวี้ตรวจความเรียบร้อยอยู่ที่ป้อมสังเกตการณ์ ระหว่างนั้นก็เขียนสารน์ลับถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮ่องเต้เจี่ยผิงรับทราบ

“ท่านรองแม่ทัพกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ พวกข้าจะเฝ้าระวังอย่างสุดความสามารถ”ขุนพลแซ่จางที่อยู่ในกองทัพของเขาเอ่ยขึ้น คนผู้นี้ก็รอดชีวิตจากการเข้าปะทะกับหลิวอ๋องและชาวหู ชายหนุ่มจดจำใบหน้าของขุนพลแซ่จางก่อนพยักหน้า

“หากพบเห็นสิ่งผิดปกติก็รีบมารายงานข้า”ไป๋ผูอวี้ตอบ คิดกลับไปพักผ่อนสักสองชั่วยามแล้วค่อยมาตรวจความเรียบร้อย

“ขอรับ!”นายทหารรับคำเสียงฮึกเหิม

กว่าชายหนุ่มจะจัดการตรวจตรากองทัพและความเรียบร้อยของประตูเมืองจนเสร็จสิ้นก็ล่วงเลยมาถึงยามโฉ่ว(01.00 น. - 02.59 น.) เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ มีนายทหารเห็นคุณชายรูปงามยังมีชีวิต ต่างก็ลงความเห็นให้ฆ่าทิ้งเสีย แต่ชายหนุ่มหยิบยกเรื่องความโปรดปรานของฮ่องเต้เจี่ยผิงที่มีต่อเสิ่นจิ้งเฟยมาอ้าง เวลานี้เสิ่นจิ้งเฟยจึงถูกคุมขังอยู่ที่คุกกรมอาญา ถึงอย่างไรเขาก็มีแผนจะช่วยเหลือ เขาไม่คิดส่งตัวอีกฝ่ายกลับไปอยู่ใต้เงื้อมมือของฮ่องเต้เจี่ยผิงอีก ชายหนุ่มยังมีเรื่องที่ต้องการสนทนา เรื่องของจื่อฟาง

ไป๋ผูอวี้ควบอาชากลับมาที่โรงเตี๊ยมไม่ไกลจากประตูเมืองมากนัก บรรยากาศในเมืองเงียบสงัด โคมไฟถูกแขวนตามตรอก ทหารเวรยามเดินตรวจตราตามถนน เว่ยหลงกระตุ้นม้าตามมาเงียบ ๆยังคงจมอยู่ในห้วงความคิด

“คุณชาย ท่านจะไม่ไปเยี่ยมคุณชายเสิ่นหน่อยหรือ”เขาอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ จะอย่างไรมันก็น่าแปลก คุณชายไป๋อาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งนัก แต่ในเวลานี้กลับทำเหมือนคนไม่รู้จัก ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ นำอาชาไปเก็บที่โรงเลี้ยงม้า จากนั้นก็ไปพักผ่อนในห้องที่นายทหารจัดเตรียมไว้ให้ซึ่งอยู่ชั้นสองเป็นห้องริมสุด เขาจงใจเลือกห้องที่มีบานหน้าต่างเปิดปิดได้

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบกับซูเหลียนฮวาและหยางชวีรออยู่ ทั้งสองคนสวมใส่ชุดใหม่แสดงว่ารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เว่ยหลงยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดได้แต่มองผู้เป็นนายทุกย่างก้าว  ไป๋ผูอวี้ทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้กลมรู้สึกว่าเหนื่อยล้ายิ่งนักแต่ก็ยังพักไม่ได้ เขานวดหว่างคิ้วไปด้วยระหว่างที่มองไปยังหยางชวีที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึกกลับคืนสู่ตัวตนเดิมเฉกเช่นที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก ผู้ติดตามทราบความจริงแล้วว่าคุณชายเสิ่นที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่จื่อฟางคนที่รู้จัก ชายหนุ่มจึงรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก   

ไป๋ผูอวี้กวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ไม่มีความรู้สึกหิวแม้แต่น้อยจึงคว้าไหสุรายกดื่มไปอึกใหญ่ กลิ่นสุราหอมอวลไปทั้งห้อง ชายหนุ่มนั่งดื่มสุราเงียบ ๆจนหมดไหจึงใช้ชายเสื้อเช็ดริมฝีปาก ลุกไปเดินหยิบม้วนภาพวาดมานั่งเหม่อมองอยู่หนึ่งเค่อ คนที่อยู่ในห้องได้แต่ลอบมองหน้ากันอย่างอับจนคำพูด ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยสิ่งใด แต่ในหัวคิดไปต่าง ๆนาๆ เว่ยหลงสงสัยว่าเหตุใดคุณชายถึงมองม้วนภาพคนผู้นี้อีกแล้ว ทั้ง ๆที่คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตายแต่คุณชายไป๋ก็ยังหมองเศร้า

เสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกลับมามีนิสัยเช่นเดิม เว่ยหลงไม่แน่ใจนักว่าจะทำใจยอมรับอีกฝ่ายในฐานะภรรยาของคุณชายไป๋ได้หรือไม่ สายตาและคำพูดเช่นนั้นทำให้เขานึกถึงเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่า ว่าแต่มีเสิ่นจิ้งเฟยคนใหม่ด้วยหรือไร?อา!ทำไมวันนี้เขาขี้สงสัยนัก?เขาพยามเค้นสมองอย่างหนักแต่ผู้ติดตามร่างกำยำก็ยังไม่เข้าใจจริง ๆ

ซูเหลียนฮวาคิดทบทวนอยู่เงียบๆ นางพอจะเข้าใจเรื่องราวแม้ไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยที่คุณชายของนางมีใจให้จะมิใช่คุณชายเสิ่นที่มีตัวตนอยู่ในยามนี้ มาคิดดูแล้วเสิ่นจิ้งเฟยนิสัยเปลี่ยนไปราวคนละคน เทียบกันตอนนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด คนในม้วนภาพวาดนั่น...คือผู้ใดกันหนอ นางมองเห็นเพียงคุณชายรูปร่างหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่ง รูปหน้าพบเห็นได้ทั่วไปยกเว้นที่ดวงตาที่ทำให้คนผู้นั้นดูน่ามองขึ้นมาเล็กน้อย

หยางชวีไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองนัก ในใจนึกสงสารไป๋ผูอวี้ที่ไม่มีวันได้คุณชายจื่อกลับมา ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องสงสารตัวเองด้วยกระมัง คุณชายเสิ่นที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาต้องการปกป้องด้วยชีวิต แต่เขายังจำคำสั่งของนายท่านใหญ่ตั้งแต่แรกได้ ‘ติดตามและดูแลเสิ่นจิ้งเฟยให้ดี’ ชายหนุ่มเลือกติดตามคุณชายจื่อแต่ยามนี้ไม่มีคนผู้นั้นให้ติดตามแล้วเป้าหมายของเขาว่างเปล่า

ชีวิตของหยางชวีจะดำเนินต่อไปเช่นไร เขาต้องการทำอะไร? ส่วนลึกเขายังต้องการตอบแทนบุญคุณของนายท่านใหญ่ ทั้งยังรู้สึกผิดไม่หายที่พลาดท่าปล่อยให้คนของหลิวอ๋องเข้ามาทำลายสกุลเสิ่น ในเมื่อยามนี้เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงที่เขาต้องรับใช้ตามหน้าที่กลับมาแล้ว เขาก็สมควรจะทำหน้าที่ผู้ติดตามต่อไป แม้จะยังไม่มีความภักดีอย่างที่มอบให้จื่อฟางก็ตาม ชายหนุ่มนึกถึงจางต้า บ่าวเซ่อซ่าผู้นั้นคงยินดี   

“คุณชายไป๋”เว่ยหลงกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เหตุใดท่านถึงดูไม่มีความสุขเล่า ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตาย”ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากม้วนภาพวาดผืนนั้น

“เขาไม่ใช่คนที่ข้ารัก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยขึ้นเบา ๆ คิดว่าควรบอกให้ผู้ติดตามทราบบ้าง ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆเมื่อมองเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเว่ยหลง   

“คุณชาย ท่านเมามากแล้วกระมัง”เว่ยหลงนั่งมองไป๋ผูอวี้ด้วยสายตางุนงง ช่วงที่ผ่านมาคุณชายของเขายังอาลัยอาวรณ์ถึงคุณชายเสิ่นผู้นั้นไม่ว่างเว้น

“พวกเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่เรื่องที่ข้าจะเล่า เป็นเรื่องจริงทั้งหมด...”ไป๋ผูอวี้บอกเรื่องจื่อฟางและการสลับวิญญาณระหว่างเสิ่นจิ้งเฟยให้ฟังคร่าวๆจนจบ เกิดความเงียบระลอกใหญ่ เว่ยหลงหน้าซีดเผือด

“คุณชายหมายถึงคนในม้วนภาพนี่...เป็นวิญญาณ”

“อืม”

“ผีเข้าสิงร่างน่ะเหรอ?”

“มิใช่ผี เขาเป็นเพียงวิญญาณ เวลานี้คงกลับไปที่บ้านเกิด”เขาบอกได้เท่านี้เพราะไม่รู้ถึงเรื่องราวฝั่งนั้นของจื่อฟาง เว่ยหลงยิ่งหวาดกลัวเพราะฟังอย่างไรก็เหมือนผีสิง ที่ผ่านมามีวิญญาณของจื่อฟางอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย อา...ก็ว่าทำไมคุณชายท่านนั้นถึงได้นิสัยไม่เหมือนเดิม ไป๋ผูอวี้มองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเว่ยหลงก็นึกขันว่าผู้ติดตามของตนคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มลูบใบหน้าของคนในม้วนภาพไม่สนใจสายตาวูบไหวของเว่ยหลงที่จับจ้องมองตนอยู่ เขาเก็บภาพวาดไว้ในหีบเช่นเดิมก่อนหันมองผู้คนในห้อง

“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่อยากให้เขาถูกส่งตัวไปรับโทษที่เมืองหลวง”ชายหนุ่มเอ่ยเปรย ทุกคนในห้องต่างก็รู้ถึงความหมายของคำพูดประโยคดังกล่าว คุณชายไป๋ต้องการช่วยเสิ่นจิ้งเฟย แต่คุณชายท่านนั้นเป็นกบฏเอาตัวไปเสี่ยงย่อมไม่เป็นผลดี เว่ยหลงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณชายไป๋พวกเขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย

“ท่านรองแม่ทัพแน่ใจแล้วหรือว่าจะไม่เป็นเรื่องเดือดร้อนในภายหลัง”เว่ยหลงเอ่ยเตือนสติ ยามนี้คุณชายมิใช่บุตรชายโรงน้ำชาหลิวซื่อธรรมดาๆอีกต่อไปแล้วแต่มียศตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพ ช่วยให้กบฏหลบหนีย่อมมีความผิดร้ายแรง

“เดือดร้อนอันใด ข้าแค่อยากไปพูดคุยกับคุณชายเสิ่นเท่านั้น”ไป๋ผูอวี้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมเตรียมตัวออกไปที่คุกกรมอาญา

“แต่ว่าพวกทหารเวรยามเล่า”ผู้ติดตามส่งเสียงค้าน

“ลืมข้าไปแล้วหรือไร”ซูเหลียนฮวาเอื้อนเอ้ยเสียงใส ยกยิ้มจาง นางไม่ได้เล่นสนุกมานานแล้วเหมือนกัน หยางชวีตัดสินใจได้แล้ว

“ข้าจะไปด้วย อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสกุลเสิ่น เขายังเป็นเจ้านายของข้า”คำพูดของชายหนุ่มหน้าตายทำให้ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม เว่ยหลงไม่ได้เอ่ยคัดค้านอีก ในเมื่อคุณชายว่ากล่าวเช่นนี้ก็ตกลงตามนั้น

“เจ้ารออยู่ที่นี่ เผื่อมีเรื่องใดเกิดขึ้น”

“ขอรับ”ผู้ติดตามรับคำ ไป๋ผูอวี้ไม่เอ่ยมากความอีกจึงดับโคมไฟก่อนจะกระโจนออกไปทางบานหน้าต่างที่เปิดอ้า เว่ยหลงได้แต่ถอนหายใจส่ายศีรษะน้อย ๆ ยืนมองส่งคุณชายไป๋ ซูเหลียนฮวาและหยางชวีหายลับไปในม่านราตรี

…………

เสิ่นจิ้งเฟยนั่งซุกตัวอยู่ในมุมมืดของคุกสกปรกแห่งกรมอาญามีเพียงหญ้าฟางรองนั่งเท่านั้น คุณชายรูปงามหลับตาเอนพิงผนังเย็น ๆพยายามไม่สนใจเสียงน่ารำคาญของพวกทหารด้านนอก ยังเป็นนายทหารยศต่ำสามคนที่บังคับให้เขาหลบซ่อนในพุ่มไม้ สนามรบในตอนนั้นกำลังวุ่นวายถ้าหากได้หลบหนีไปก็ยังทันไม่ต้องติดแหง็กอยู่ในคุกแห่งนี้ แต่หลบหนีไปที่ใดเล่า?

“นี่เจ้ามีดีอย่างไรถึงทำให้ท่านรองแม่ทัพติดใจอาลัยอาวรณ์หรือ เสิ่นจิ้งเฟย”นายทหารคนหนึ่งส่งเสียงหยอกล้อแต่สายตาจากร่างนั้นทำให้เด็กหนุ่มขยะแขยงชอบกล

“เจ้าร่วมมือกับหลิวอ๋องความจริงมีโทษถึงตาย ไม่อยากเชื่อว่าแค่ร่วมหลับนอนกับรองแม่ทัพไป๋ก็สามารถละเว้นโทษได้ เจ้าคงมีรสชาติดีน่าดูกระมัง”ทหารอีกนายเอ่ยเสริม ดวงตาแวววาวอยู่ในความมืดคล้ายสัตว์ร้าย เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ตั้งแต่ถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้เขาก็ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่ต้องการกลับไปที่เมืองหลวง หากกลับไปครั้งนี้เขาคงไม่มีทางหลบหนีฮ่องเต้เจี่ยผิงพ้นแน่ ยังจำสีหน้าของคนผู้นั้นก่อนที่เขาจะจากร่างของเจาเฟิงได้ดี

ตกตะลึงและเจ็บปวด เสิ่นจิ้งเฟยอาจตาฝาดไปก็ได้ที่เห็นภาพเช่นนั้น บางทีถ้าเป็นฟู่จวิ้นคนเดิมอาจเป็นไปได้ รอยยิ้มอย่างเปิดเผยมีชีวิตชีวา ของคนผู้นั้นยังคงฝังติดตาม แต่เด็กหนุ่มเข้าใจและรู้ดีว่าฟู่จวิ้นที่ตนต้องการไม่มีทางกลับมาได้อีก เจี่ยผิงคือตัวตนของคนๆนั้น ฮ่องเต้มีสิ่งที่ต้องแบกรับเกินกว่าที่เขาจะร้องขอ เรื่องระหว่างเขากลับฮ่องเต้จบลงแบบนี้อาจเป็นหนทางดีที่สุดแล้ว อีกทั้งเสิ่นจิ้งเฟยต้องการให้เจี่ยผิงได้รับรู้ว่าเขาไม่ใช่สิ่งของสวยงามที่อยากครอบครองเมื่อใดก็ได้ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในกำมือของท่านเสมอ

เสิ่นจิ้งเฟยกอดร่างกายผอมบางเพื่อให้ความอบอุ่น ร่างกายอ่อนแอไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เขาจะทำอะไรได้ในร่างนี้ ยามอยู่ในร่างของเจาเฟิงเขายังสามารถหยิบจับธนู แต่ร่างนี้...แค่ฆ่าไก่ยังไม่ได้เลยกระมัง ได้แต่หวังว่าไป๋ผูอวี้จะเปลี่ยนใจยอมช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนักเพราะเขาเป็นคุณชายไม่เอาไหนผู้เป็นกบฏคนหนึ่งเท่านั้น

“จื่อฟาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำกับตัวเอง น้อยครั้งนักที่เขาจะนึกถึงคนโชคร้ายผู้นั้น แต่ภาพความทรงจำของจื่อฟางทำให้เขานอนไม่หลับ ไม่ใช่ความทรงจำระหว่างไป๋ผูอวี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นภาพฝันร้าย แต่ความทรงจำที่เด็กหนุ่มเห็นเป็นสถานที่แปลกประหลาด ครอบครัวของเจ้านั่นไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ท่านแม่นามว่าเฉิงเค่อลี่ที่ชอบบ่นเป็นประจำแต่เขามองออกว่านางรักเอ็นดูบุตรชายอยู่ไม่น้อยแม้จะไม่เอ่ยพูดออกมา มีท่านพ่อนามว่าจื่อชุนซิงที่ค่อนข้างเข้มงวดกวดขันไม่ได้ตามใจผ่อนปรนเหมือนบิดาของเสิ่นจิ้งเฟย

ทั้งยังชอบบังคับจื่อฟางให้ทำในสิ่งที่ไม่ได้มีใจรัก ชีวิตของจื่อฟางค่อนข้าง...จืดชืด ในบางช่วงเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าจื่อฟางไม่มีความสุข แต่ท่านพ่อของจื่อฟางก็ยังรักท่านแม่ ไม่ได้มีหญิงอื่นมากมายเหมือนบุรุษที่นี่หรือดินแดนประหลาดแห่งนั้นต่างกันกับแผ่นดินเจี่ย อีกทั้งนิสัยของจื่อฟางมีส่วนคล้ายเขาอยู่มากแม้มีใบหน้าไม่โดดเด่นแต่ก็มีบุรุษและหญิงสาวเข้ามาหยอกล้อด้วย คนพวกนั้นมิใช่นางคณิกาหรือนายบำเรอเหตุใดถึงยอมมีสัมพันธ์หลับนอนก่อนแต่งเล่า? เสิ่นจิ้งเฟยนึกถึงใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่เหมือนกับไป๋ผูอวี้ก็ขมวดคิ้ว แม้แต่ในโลกนั้นไป๋ผูอวี้ก็ยังตามติดจื่อฟางไปอีก พวกมีความรักตั้งมั่นช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง

เคร้ง!

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เสิ่นจิ้งเฟยกวาดสายตาไปในความมืด ยามนี้คุกกรมอาญาว่างเปล่าแต่เขาได้ยินเสียงบางอย่างแว่วมา ทหารเวรยามก็ได้ยินเช่นกันจึงมีท่าทีระแวดระวังกลัวว่าจะเป็นพวกกบฏที่ยังเหลือรอด เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีร่างในชุดสีดำสองร่างเคลื่อนไหวราวสายลมสกัดจุดตามร่างกายของทหารเวรยามในพริบตาเดียว เสิ่นจิ้งเฟยแตกตื่นไปชั่วขณะเพราะการแต่งกายคล้ายกับคนของหลิวอ๋อง หรือว่าคนของหลิวอ๋องยังรอดมาได้

“ช่วย….อุ๊บ”ร่างปริศนาพังประตูคุกได้ก็พุ่งเข้ามาหาก่อนจะแตะมือเข้าที่ลำคอของเด็กหนุ่ม อาการเจ็บแปลบแล่นผ่านร่างก่อนที่รอบกายจะดำมืด

…………


“เสิ่นจิ้งเฟย…”เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าที่หัวไหล่ คุณชายรูปงามพลันรู้สึกตัว เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกพบกับความมืด มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์ที่ทอแสงอยู่บนผืนฟ้าเบื้องบน ร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยมีผ้าคลุมขนสัตว์เนื้อหยาบปกคลุมร่าง เขารีบดันร่างลุกนั่งมองไปรอบกายพบว่าตนอยู่บนรถม้าศึกคันหนึ่งที่จอดอยู่ในตรอกมืด มีกล่องหีบและห่อของอีกหลายห่อวางกองอยู่ เขามองเห็นเพียงเงาร่างของคนสามคนปรากฏให้เห็น ร่างบางสะดุ้งถอยห่างอย่างตื่นกลัว

“พวกเจ้าเป็นคนของหลิวอ๋องหรือ”

“ฆ่าตายไปหมดแล้วจะมาได้อย่างไร”เสียงคุ้นหูดังขึ้น ไป๋ผูอวี้...คนผู้นี้มาจริง ๆ จื่อฟางคงติดอยู่ในใจของอีกฝ่ายไปทั้งชีวิตกระมัง เสิ่นจิ้งเฟยรับรู้ว่าร่างของเขาและคนผู้นี้เคยมีสัมพันธ์กันทั้งยังจัดพิธีแต่งงานด้วย เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องราวพวกนี้ไม่ควรเอ่ยถึงและควรปล่อยให้ลืมเลือนไปเสียเป็นทางดีที่สุด เขาเองก็ไม่ได้ชอบใจนักที่ร่างนี้ต้องแปดเปื้อนด้วย…น้ำมือของไป๋ผูอวี้

แต่ช่างเถิด ร่างของเจาเฟิงก็ใช่ว่าใสบริสุทธิ์ ร่างสูงใหญ่จุดเทียนเล่มเล็ก แสงสว่างเผยให้เห็นร่างของไป๋ผูอวี้ในอาภรณ์สีเข้ม หญิงงามซูเหลียนฮวาฉายานางมารหมื่นพิษที่เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างยืนอยู่ไม่ไกล และผู้ติดตามของจื่อฟางที่ชื่อว่าหยางชวี คนผู้นี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก จ้องมองเขาด้วยแววตาแข็งทื่อ

“ข้ามีเวลาไม่มากนักก่อนที่ทหารเวรยามจะรู้ตัว”ไป๋ผูอวี้เอ่ยพร้อมกับหยิบของบางอย่างมาจากอกเสื้อ เอื้อมมาพลิกจับข้อมือของเขา เสิ่นจิ้งเฟยเกร็งไปทั้งร่าง แต่มือหยาบกร้านของอีกฝ่ายยัดจดหมายฉบับหนึ่งมาใส่ในมือ เด็กหนุ่มก้มมองค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน แสงเทียนยังพอทำให้มองเห็นได้ ทันทีที่เห็นตัวอักษรสวยงาม ใจก็เต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง

ลายมือของฟู่เทียนสือ เป็นเจ้าคนแซ่ฟู่นั่น เสิ่นจิ้งเฟยเหลือบมองไป๋ผูอวี้ที่มองเขาเงียบ ๆด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เด็กหนุ่มจึงก้มอ่านจดหมายอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเจ้าคนแซ่ฟู่จะเดินทางไปเหลียวตง จื่อฟางเคยบอกไว้ว่าท่านปู่เตรียมสถานที่หลบหนีไว้ให้ ฟู่เทียนสือบอกว่าจะรอพบอยู่ที่นั่น เขารู้สึกว่าลำคอตีบตัน อย่างน้อยก็ยังมีคนผู้หนึ่งรอเขาอยู่ คนที่อยากพบเสิ่นจิ้งเฟย

“ท่านต้องการไปพบเขาหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเสิ่นจิ้งเฟยอ่านจดหมายจบแล้ว ร่างผอมบางพับจดหมายเก็บ เหลียวตง...แต่สถานที่นั้นไกลนัก เขาไม่หวาดกลัวความโดดเดี่ยว แต่ที่แห่งนั้นใกล้กับพวกโกคูรยอ

“ข้าไม่รู้ว่าจะไปถึงเพียงลำพังได้อย่างไร”เด็กหนุ่มยอมรับเสียงแผ่ว

“คุณชายเสิ่นต้องการพบฟู่เทียนสือที่เหลียวตงใช่หรือไม่”ไป๋ผูอวี้ถามซ้ำ เสิ่นจิ้งเฟยตวัดสายตามอง “ข้ายังตอบไม่ชัดเจนอีกรึไง”

“ไปหรือไม่ไป”ชายหนุ่มย้ำเสียงเข้ม

“ไป”เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ชอบที่อีกฝ่ายมาออกคำสั่งกับตน

“ท่านไม่คิดถึงสกุลเสิ่นหรือ อย่างน้อยนายท่านใหญ่ก็เป็นบิดาของท่าน คุณชายเสิ่นอาจไม่ทราบแต่นายท่านใจสลายเมื่อคิดว่าเห็นร่างของท่านอยู่ในเพลิงไหม้”หยางชวีเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขารู้ดีว่านายท่านทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยกับคุณชายท่านนี้แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ ทิฐิของคุณชายท่านนี้ช่างสูงนัก

เสิ่นจิ้งเฟยเม้มริมฝีปากบาง “ข้าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสกุลเสิ่นอีก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นกบฏไม่อยากให้เดือดร้อนไปถึงผู้อื่นในสกุล ให้เชื่อว่าข้าตายไปก็ดีแล้ว”คุณชายเสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก แม้ว่านัยน์ตาจะวิบวับสะท้อนกับแสงไฟ หยางชวีได้แต่ถอนหายใจ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ 

“แล้วเรื่องของข้า ท่านจะจัดการอย่างไรในเมื่อมีคนรู้แล้วว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”เด็กหนุ่มหันไปเอ่ยถามไป๋ผูอวี้ที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาครู่ใหญ่

“ก็ปล่อยให้เป็นข่าวลือเช่นนั้น”ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง รู้ดีว่าไม่สมควรเข้าไปสอดเรื่องของผู้อื่น ได้แต่หวังว่าหากพระองค์ทราบเรื่องจะไม่ส่งคนไปตามคุณชายรูปงามผู้นี้กลับมาอยู่ในวังหลวง ชายหนุ่มไม่รู้เรื่องราวระหว่างทั้งสองคนมากนัก ยามที่มีจื่อฟางมาเกี่ยวข้องก็รู้แต่เพียงว่าครั้งหนึ่งฮ่องเต้เจี่ยผิงเคยปลอมตัวหลอกลวงเสิ่นจิ้งเฟย

“ข้า…ต้องการเขียนจดหมายถึงจางต้า”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยขอ หญิงงามที่ยืนฟังการสนทนามาตั้งแต่ต้นจึงขยับตัวนำพู่กันและหมึกที่ติดตัวออกมา ร่างผอมบางใช้เนื้อที่กระดาษจดหมายด้านหลังของฟู่เทียนสือเขียนตัวอักษรสวยงาม เป็นตัวหนังสือที่เขียนหวัด ๆแต่ลายเส้นแข็ง ต่างจากลายมือของจื่อฟางที่จะลื่นไหลกว่ามาก เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามเขียนสั้น ๆ เป็นคำที่เขาไว้ใช้เรียกจางต้าโดยเฉพาะ

‘ข้ายังไม่ตายหรอกนะ เจ้าบ่าวขี้แย หากมาพบข้าที่เหลียวตง ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง’

เสิ่นจิ้งเฟยเขียนเสร็จก็พับจดหมายส่งให้ไป๋ผูอวี้

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเหลียวตงได้อย่างไร”

“ข้าน้อยจะพาคุณชายเสิ่นไปเอง”หยางชวีเอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าอับจนหนทางของคุณชาย “ข้าชื่อหยางชวี นายท่านใหญ่มอบหมายให้ข้าติดตามดูแลท่าน”

“มิน่าเจ้าถึงยึดติดกับสกุลเสิ่นนัก แต่หากเจ้าฝืนใจก็ไม่จำเป็นต้องทำ ข้าไม่ชอบให้คนคร่ำครวญถึงผู้อื่น”เสิ่นจิ้งเฟยเปรยด้วยน้ำเสียงจริงจัง รู้ดีว่าผู้ติดตามผู้นี้มีความผูกพันกับจื่อฟางไม่ใช่เขา

“ข้าน้อยไม่ได้ฝืนใจ จะอย่างไรก็เป็นหน้าที่ ข้าน้อยต้องการตอบแทนสกุลเสิ่น อีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดติดตามท่านทั้งชีวิต แค่ไปส่งคุณชายเสิ่นถึงเหลียวตงอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”ผู้ติดตามกล่าวด้วยเสียงเป็นงานเป็นการและเด็ดขาด เสิ่นจิ้งเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสายตาพินิจ ยามนี้เป็นเวลาเอาตัวรอดไม่ใช่อวดดี

ระหว่างทางไปเหลียวตงยังอีกยาวไกลไว้ค่อยทำความรู้จักหยางชวีผู้นี้ก็ยังไม่สาย นึกถึงฟู่เทียนสือจิตใจก็ยินดี เสิ่นจิ้งเฟยยอมรับว่ามีความรู้สึกดีต่อคนผู้นั้น แม้การกระทำจะตรงกันข้ามก็ตาม แต่…ความรู้สึกดังกล่าวแตกต่างที่มีต่อฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจนัก หากได้พบกับคนแซ่ฟู่บางทีอาจจะกระจ่างชัด

ไป๋ผูอวี้กระแอมเบาๆ “เรื่องของจื่อฟาง...ท่านคงไม่ลืมกระมัง”

“ข้าไม่ลืม”เช่นเดียวกับท่านที่ไม่มีทางลืมเขา “ท่านคงรู้ว่าจื่อฟางเป็นเพียงวิญญาณ เขามีร่างจริงของตัวเอง ก่อนที่ข้าจะจากร่างของเจาเฟิง ข้ามองเห็นสถานที่หนึ่ง เป็นสถานที่แปลกประหลาดอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เขากลับไปยังโลกเดิมที่จากมา เป็นดินแดนสวรรค์แห่งหนึ่ง”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยเล่า ความทรงจำของบ้านเรือนแปลกตาพรั่งพรูในห้วงความคิด แม้กระทั่งรถม้าก็เป็นของแปลก

คุณชายรูปงามกระพริบตาเมื่อรู้สึกว่าคนทั้งสามตั้งใจในสิ่งที่ตนพูดอย่างจดจ่อ จึงรู้สึกแปลกพิกล ปกติแล้วไป๋ผูอวี้มักชอบทำเหมือนเห็นเขาเป็นคนพาลที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ซูเหลียนฮวามีสีหน้าฉงนสงสัย ส่วนหยางชวีตั้งใจฟังเสียจนคิ้วขมวดมุ่น เด็กหนุ่มจึงเริ่มผ่อนคลายท่าทีตึงเครียดบอกกล่าวความทรงจำทั้งหมดของจื่อฟางที่ตนเห็นให้พวกเขาฟัง ยกเว้นเรื่องที่มีบุรุษหน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ในโลกนั้น

เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่ในอารมณ์อยากแกล้งผู้ใด คิดว่าไป๋ผูอวี้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์เกรงว่าจะคิดมากเสียเปล่าๆ เขาไม่ได้เล่นบทคุณชายแสนดี แต่ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือ ไป๋ผูอวี้ได้ฟังแล้วก็ไม่คลายความกังวล เพราะจากที่คุณชายเสิ่นเล่า จื่อฟางไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดี ยังต้องเล่าเรียนหนังสือ ทำงานไปด้วย ครอบครัวก็ไม่ได้รักใคร่กันมากนัก คุณชายท่านนี้ใช้คำว่า ‘ทะเลาะโต้เถียง’ ฟังไปท่านพ่อของจื่อฟางเหมือนคนเจ้าอารมณ์และค่อนข้างดุ เป็นเช่นนี้เขาจะวางใจได้อย่างไร

“คุณชาย จื่อฟางกลับไปยังโลกของเขา ท่านเองก็ไม่ควรจมปลัก ก้าวต่อไปเป็นสิ่งที่สมควรทำ หากสวรรค์เมตตาสักวันท่านอาจได้พบกับจื่อฟางอีกก็ได้”ซูเหลียนฮวาเอ่ยปลอบคุณชายของนางที่มีสีหน้าเป็นกังวล หากรู้แล้วจิตใจว้าวุ่น เลือกไม่รู้ย่อมดีกว่า 

“ข้าแค่เป็นห่วง อยากให้เด็กนั่นมีความสุข”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ รู้ดีว่าตนไม่มีทางช่วยเหลือจื่อฟางได้ ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องหนึ่งได้จึงหันมองเสิ่นจิ้งเฟย

“เขามีคู่ครองหรือไม่”

“ไม่มี แต่ก่อนเขาค่อนข้างเป็นคุณชายเจ้าสำราญ”เสิ่นจิ้งเฟยตอบไปเช่นนั้นแม้จะไม่ได้มีคนเข้าหาจื่อฟางมากมายก็ตาม  รับรู้ว่าถูกสายตาของหยางชวีตวัดมองอย่างไม่เชื่อนัก

“ข้าคิดว่าได้เวลาแล้ว น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้มีโอกาสเล่นสนุกกับคุณชายคนงาม”ซูเหลียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่รอยยิ้มของนางคล้ายกับยาพิษเช่นเดียวกับฉายา เสิ่นจิ้งเฟยโคลงศีรษะ หยักยิ้มไปให้หญิงงามที่มองเขาเหมือนเห็นขนมหวาน หยางชวีได้แต่ปรายตามองหญิงสาว รู้ดีว่านางเคยถูกใจคุณชายเสิ่น แต่ว่าที่ผ่านมานางก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจเข้าหา   

เสิ่นจิ้งเฟยยกมือลูบรอยแผลเป็นข้างแก้ม นางออกปากบอกว่าจะรักษาให้ แต่เขาปฏิเสธต้องการเก็บไว้เป็นตราบาปย้ำเตือนว่าตัวเองเคยตัดสินใจทำเรื่องโง่ลงไป “ข้าไม่ได้มีใบหน้างดงามอีกแล้ว ฟังแล้วแสลงหู”



 

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4


“จากกันตรงนี้ก็แล้วกัน คุณชายเสิ่น รักษาตัวด้วย ข้าหวังว่าสักวันจะได้พบกันอีก”ไป๋ผูอวี้ก้มศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนเหม่อมองท้องฟ้าดำมืดเบื้องบน แผนการพาเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีมีหยางชวีเต็มใจร่วมด้วย ต้องใช้เส้นทางนอกเมืองที่ไม่ผ่านประตูหลัก นั่นหมายถึงต้องผ่านชายป่าลึกแต่เขาเชื่อว่าหยางชวีสามารถดูแลความปลอดภัยแก่เจ้านายได้

ผู้ติดตามหน้าตายหันมองไป๋ผูอวี้และนางมารหมื่นพิษ ความจริงเขายังไม่หายโกรธแต่อย่างไรนางก็มีส่วนช่วยให้บาดแผลของเขาหายดีจึงพยักหน้าให้นางมารทีหนึ่ง

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตายไปเสียก่อน คุณชายเสิ่นผู้นี้ไม่ใช่คุณชายจื่อของเจ้า”ซูเหลียนฮวาเอ่ยเตือน นางรู้ดีว่าเจ้าคนหน้าตายไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด แต่เจ้านี่ยังเหมือนเด็กไม่รู้ความในเรื่องของความรัก นางไม่มีโอกาสได้ถามตรง ๆว่าหยางชวีชอบจื่อฟางที่ตรงไหน หากเป็นที่หน้าตา จะไม่สับสนกับเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงผู้นี้หรือ?  นางมารหมื่นพิษคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา 

“ข้ารู้”หยางชวีมองหน้าอีกฝ่ายที่คล้ายกับนึกถึงเรื่องสนุกๆอยู่ หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเขากระมัง

“ถ้าเช่นนั้นไว้พบกัน”ชายหนุ่มบอกกับไป๋ผูอวี้ เสียงกระซิบของเขาก้องกังวานอยู่ในตรอกอันเงียบสงัด

ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจาง “ภายภาคหน้าข้าหวังว่าจะได้เจอเจ้าในฉางอัน”

การสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ หยางชวีค้อมกายไปยังทิศเมืองหลวง ได้แต่หวังว่าศิษย์พี่หานตงจะไม่เข้มงวดกับตนเองมากเกินไป เจ้าบ่าวเซ่อซ่านั่นด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ทำใจได้หรือยัง ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองคุณชายเสิ่นที่นั่งอยู่บนรถม้าศึกไม่พูดไม่จา

“ข้าน้อยฝากตัวด้วยขอรับ”หยางชวีคาราวะก่อนเหินกายขึ้นหลังอาชาคู่ใจ กระตุกบังเหียนเบา ๆ สายลมเย็นปะทะใบหน้าเมื่อม้าศึกพุ่งทะยานไปในม่านราตรีที่ปกคลุมเมืองเสียนหยาง เสิ่นจิ้งเฟยมองเงาร่างของไป๋ผูอวี้

“ขอบคุณ”คุณชายรูปงามเอ่ยกับสายลมหนาวเย็น ระหว่างที่ม้าศึกตะบึงออกไปตามตรอกมืดสนิท หยางชวีนึกถึงคุณชายจื่อฟางที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่มีวันได้พบกันอีกจึงถอนหายใจยาว

“ล่าก่อน คุณชาย”ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ มุ่งหน้าไปยังประตูทางออกอีกฝั่ง เตรียมตัวรับมือกับทหารเวรยามที่ต้องปะทะเพื่อมุ่งหน้าออกไปยังดินแดนห่างไกล


………….

ไป๋ผูอวี้กลับมาที่ห้องพักของตนอย่างไร้สุ้มเสียง เว่ยหลงเมื่อเห็นว่าเขากลับมาโดยไม่มีร่องรอยขีดข่วนก็โล่งใจสามารถงีบหลับได้เสียที ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออก เพิ่งล้มตัวนอนหลับได้ไม่เท่าไหร่ นายทหารด้านนอกก็เคาะประตูร้องเรียกเสียงดัง

“รองแม่ทัพไป๋!แย่แล้วขอรับ”เสียงนั้นเร่งร้อน คาดเดาว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มตีสีหน้าเคร่งเครียดพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

“มีอะไรรึ”เขาเดินไปเปิดประตูต้อนรับขุนพลผู้นั้น เบื้องหลังอีกฝ่ายมีทหารเวรยามถือคบเพลิงสีหน้าเครียดเขม็งไม่ต่างกัน “ผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยได้บุกด่านนอกประตูเมืองออกไปแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็ส่งกำลังค้นหา”เขาแสร้งทำสีตกใจก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเข้มงวดเผยแววเจ็บปวดเล็กน้อยเพื่อความสมจริง

“ขอรับ!”ขุนพลรับคำพร้อมนำกำลังออกไปติดตาม ไป๋ผูอวี้ได้แต่หวังว่าหยางชวีจะเอาตัวรอดได้ไม่เช่นนั้นที่ทำไปก็เสียเปล่า

วันรุ่งขึ้นข่าวจึงแพร่สะพัดออกไปว่าผู้ติดตามที่แสนจงรักภักดีได้บุกเข้าไปนำตัวเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีออกจากคุกอาญา นายทหารบางส่วนต่างก็พูดกันว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ทหารที่โดนโจมตีไม่ได้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเพียงแค่ทำให้หมดสติไปทั้งคืน ส่วนกำลังที่ส่งไปตามติดผู้หลบหนียังไม่ได้กลับมาไม่รู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร ไป๋ผูอวี้ตีมึนได้อย่างแนบเนียนเมื่อมีผู้มาสอบสวนก็ตอบได้อย่างไม่ติดขัด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูแม่ทัพเมิ่งและฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาได้แต่หวังว่าหยางชวีจะไปได้ไกลพอ 

    ไป๋ผูอวี้ปักหลักอยู่ที่เมืองเสียนหยางนานสิบสองวันเพื่อรอให้กองทัพทหารฟื้นกำลัง ในเวลานั้นเองก็มีข่าวสารจากเมืองลั่วหยางและค่ายซินเฉิง ฉบับแรกบอกว่ากำลังของสกุลไป๋จำนวนหนึ่งได้มาสมทบกองกำลังของแม่ทัพเมิ่งช่วยให้สถานการณ์ที่บีบคั้นดีขึ้น เกาโหยวอ๋องยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายนั้นย่อมลดลงตามลำดับเมื่อรู้ว่าหลิวอ๋องถูกรองแม่ทัพปราบได้ 

“ท่านพ่อยอมช่วยเหลือราชสำนัก?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อรู้ข่าวจากกุ้ยตาน มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับใต้เท้าเฉินชอบกล หากจะมีคนที่ท่านพ่อฟังก็มีแต่ชายแก่ผู้นั้น 

“นายท่านใหญ่เป็นคนจิตใจมีเมตตา ย่อมต้องช่วยเหลือเมื่อเกิดเรื่องเดือดร้อน”เว่ยหลงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงในลำคอเบา ๆ บิดาของเขาไม่มีทางยอมช่วยราชสำนักเด็ดขาด หรือว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ชายหนุ่มคลี่สารน์จากค่ายซินเฉิงด้วยสีหน้าราบเรียบ เป็นข้อความสั้น ๆที่ทำให้เขาใจกระตุก

‘ชาวหูบุกมาถึงกำแพงเมืองฉางอัน ฮ่องเต้เจี่ยผิงเปิดศึกรับมือ!’


   --------------------------------

   เจอกันตอนหน้า :กอด1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง รอตอนต่อไป  :hao3:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เข้มข้นเหลือเกิน เราเจอนักเขียนหลอก อิอิ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
คุณชายไป๋ทางนี้ต้องโดดเดี่ยวน่าสงสารจัง 
คุณชายไป๋ทางโน้นจะสานต่อกับจื่อฟางไหม
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ยกนิ้วให้เลยค่ะ เรื่องเข้มข้นจิงๆ อยากให้ทุกคนในเรื่องมีความสุข

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เข้มข้น เข้มข้น เข้มข้น นิยายรัก นิยายรัก ท่องไว้

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เจ้าทอนไม้ไป๋สู้ๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลุ้น :ling1: :ling1: :ling1:

คิดถึงจื่อฟาง   :z3:
น่าจะได้กลับมาอีกครั้ง  :impress2:
ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด