บทยี่สิบห้า : เริ่มต้นที่ใด จบที่นั่น (1)ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วยามแต่ไป๋ผูอวี้ยังคงอยู่ในเรือนของเสิ่นจิ้งเฟย จ้องมองไปที่ภาพวาดของจื่อฟางซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนว่าคนผู้นี้เคยมีอยู่จริง เขาไม่รู้ว่าวิญญาณของจื่อฟางได้กลับไปยังบ้านเกิดหรือไม่ หากได้กลับไปจะอยู่ดีหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดเรื่องความคิดมากมายก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด หากจื่อฟางได้กลับไปยังที่ที่จากมาชายหนุ่มก็อยากให้เจ้าเด็กนั่นพบเจอแต่เรื่องสงบสุขไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวในร่างของผู้อื่น
“คุณชายไป๋”เสียงของหานตงดังอยู่นอกประตู พร้อมกับร่างกำยำที่ปรากฏอยู่หน้าห้อง ผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดูจากสีหน้าที่ดีขึ้นบาดแผลคงได้รับการรักษาแล้ว
“ท่านมีเรื่องใดหรือ”ชายหนุ่มละสายตามาจากภาพวาด เก็บงำสีหน้าที่ปรากฏอารมณ์ไว้ได้ทันท่วงที ความจริงเสิ่นมู่หยางมีสิทธิ์ไล่เขาออกจากเรือนของบุตรชาย แต่น่าแปลกที่คนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวาย หลังจากที่องครักษ์ของฮ่องเต้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยกลับไปที่วังหลวง เสนาบดีเสิ่นก็กลับไปที่เรือนของตน หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเวลานาน
“เรื่องผู้บุกรุกจวนสกุลเสิ่น”หานตงเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋สมควรล่วงรู้ ทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ย ร่างนั้นก็มีท่าทีเคร่งเครียด ดวงตาสะท้อนแววคาดเดาไม่ออก
“ท่านคิดเห็นอย่างไร”ไป๋ผูอวี้สอบถามอย่างสุภาพ แม้หานตงจะเป็นผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางแต่เขานับถือผู้มีฝีมือและคนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา ส่วนหยางชวี...ยังต้องฝึกฝนอีกมาก ถ้าหากคนหน้าตายนั่นมีใจอยากฝึกฝนต่อ เรื่องของจื่อฟางเป็นบาดแผลที่ใหญ่เกินกว่าจะรักษาได้ในเร็ววัน สายตาของเขาตกลงที่ภาพวาดในมืออีกครั้ง ได้ยินเสียงกระแอมของหานตงถึงได้รู้สึกตัวว่าเหม่อลอย
“ว่ามาเถอะ”ไป๋ผูอวี้พึมพำ ม้วนภาพวาดเก็บ หานตงถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ได้เผยสีหน้าใด ดูท่าคนผู้นี้จะมีใจให้คุณชายเสิ่นจริง
“ผู้บุกรุกเป็นคนของหลิวอ๋อง ข้าจำวิธีการต่อสู้ของพวกเขาได้เพราะครั้งก่อนที่ท่านอ๋องบุกเข้ามาข้าได้ประมือเล็กน้อย”พูดถึงหลิวอ๋องก็ได้แต่กำหมัดแน่น คนผู้นั้นทำลายสกุลเสิ่นจนย่อยยับ ศิษย์น้องของเขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาการคงแย่หากไม่ได้ซูเหลียนฮวาช่วย
ไป๋ผูอวี้คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือของหลิวอ๋องจึงไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกไป เขาหยักยิ้มจาง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ฝ่าบาทให้คนสกุลไป๋รับมือการก่อกบฏของท่านอ๋อง…”ชายหนุ่มสบตากับผู้ติดตามอีกคน ต่างก็เข้าใจในความหมาย ไป๋ผูอวี้มีเรื่องต้องชำระความต่อคนผู้นั้น ท่านอ๋องต้องชดใช้ต่อการจากไปของจื่อฟาง เขารู้ดีว่าอีกไม่นานฮ่องเต้เจี่ยผิงต้องเรียกใช้งานตนเพื่อรับมือกับการก่อกบฏที่จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
“ขอบคุณมากที่นำร่างของคุณชายเสิ่นออกมา”หานตงเอ่ยเบาๆเพียงเท่านี้ก่อนจะรีบหมุนตัวออกมาจากห้องของเสิ่นจิ้งเฟยทันทีราวกับกลัวว่าจะเผยความรู้สึกใดออกมา ไป๋ผูอวี้มองเงาร่างของอีกฝ่ายจากไปเงียบ ๆ ก่อนเอนพิงเสาเตียง ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลง รู้สึกว่าไม่อยากขยับตัวไปที่ใด เสียงวุ่นวายด้านนอกสงบลงแล้ว ดูท่ามีขุนนางเข้ามาคุมสถานการณ์ได้ ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เป็นเว่ยหลงและซูเหลียนฮวา ทั้งสองร่างหยุดที่หน้าประตูห้อง หญิงสาวเพิ่งตรวจดูอาการบาดเจ็บให้จางต้าและหยางชวี ทั้งสองคนอาการคงที่แล้ว แต่หยางชวียังคงต้องรักษาตัวอีกนาน บาดแผลของอีกฝ่ายค่อนข้างสาหัส นางยังไม่ได้บอกความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟย คิดว่ารอให้อีกฝ่ายอาการดีขึ้นอีกสักเล็กน้อยก่อน
“คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรกลับคฤหาสน์สกุลไป๋เพื่อเตรียมตัว”นางเอ่ยเปรย รู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่จบลงง่าย ๆ หลังจากได้พูดคุยกับหานตงก็พอรู้มาบ้างว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ฮ่องเต้คงไม่นิ่งดูดาย นางลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงของเสิ่นจิ้งเฟย ใบหน้านั้นแฝงแววเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีดำไม่มีความรู้สึกใด คุณชายของนางปกปิดท่าทีได้ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“อืม”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ แต่ยังไม่ได้ขยับกายไปที่ใด เว่ยหลงจึงก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ กระซิบกระซาบกับคุณชายเบา ๆ
“นี่เป็นจดหมายที่ตกค้างของเสิ่นจิ้งเฟย คนขับรถม้าที่ชื่อหนานอิงเป็นคนเก็บไว้ขอรับ”ผู้ติดตามส่งจดหมายให้ชายหนุ่ม ไป๋ผูอวี้จำคนขับรถม้าของสกุลเสิ่นได้ ครั้งหนึ่งคนผู้นั้นยังเคยเข้าใจว่าเขาเป็นคนรักของคุณชายเสิ่น เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเก่าๆของจื่อฟางก็รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกอ่อนแอไว้ในส่วนลึก คลี่จดหมายเปิดดู ภาพวาดใบหนึ่งหล่นลงมา เป็นภาพวาดนกที่โผบินในผืนฟ้ากระจ่าง
‘น้องเสิ่น ข้าออกเดินใกล้กับเขตชายแดน การเดินทางราบรื่นดี อีกทั้งยังได้ร่ำเรียนบทเพลงขลุ่ยของชาวเผ่าเซียนปี้กลับมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่คนในพื้นที่แถบนี้เล่าลือกันว่าชาวหูกำลังรวบรวมชนเผ่าที่มีความแค้นต่อแผ่นดินเจี่ยกลับมาแก้แค้นฮ่องเต้เจี่ยผิง เหตุความวุ่นวายในเมืองอี้โจวก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนั้น ข้ารู้สึกไม่สบายใจนักอยากให้เจ้าระวังตัว แต่หากมีเรื่องผิดปกติ เจียงฉวี่ต้าพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ ข้าคิดว่าต้นเดือนสามก็คงถึงเขาเหลียวตง ช่วงนั้นคงเข้าวสันต์ฤดู หากถึงที่หมายข้าจะวาดภาพส่งให้เจ้าดูก่อน ดีหรือไม่ ข้าจะรอพบเจ้าที่เหลียวตง รักษาตัวด้วย ไว้พบกัน’
ไป๋ผูอวี้กวาดตาอ่านจดหมายของฟู่เทียนสือ สัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ช่วยเหลือเสิ่นจิ้งเฟยจากใจจริง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของคนสกุลฟู่ที่มีต่อคุณชายเสิ่นเป็นเพียงมิตรสหายหรือมากกว่านั้น ฟู่เทียนสือจะสังเกตเห็นความแตกต่างที่เปลี่ยนไปของเสิ่นจิ้งเฟยหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรยามนี้ไม่มีเสิ่นจิ้งเฟยอีกแล้ว ไป๋ผูอวี้จ้องมองจดหมายในมือ ไม่คิดว่าจื่อฟางนัดแนะฟู่เทียนสือไปที่เหลียวตงด้วย ที่เจ้าต้องการหนีไปเหลียวตงก็เพราะเช่นนี้เองหรือ เกรงว่าฟู่เทียนสือคงไปถึงเหลียวตงเพียงลำพังเสียแล้ว
“คุณชายไป๋”เว่ยหลงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นผู้เป็นนายเดี๋ยวก็ทำสีหน้าเศร้าอีกเดี๋ยวก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ได้แต่ลอบมองนางมารหมื่นพิษ หวังว่าคุณชายไป๋จะไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน ซูเหลียนฮวาขึงตาใส่ศิษย์พี่รองเมื่อล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย
“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เถิด ยังมีเรื่องต้องจัดการ”ไป๋ผูวี้พับจดหมายเก็บไว้ ก้าวออกมาจากเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเวลานี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียว อีกไม่นานหรอกจื่อฟาง ข้าจะจัดการหลิวอ๋องให้เจ้า
…………..
เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในจวนสกุลเสิ่นผ่านไปได้เพียงสามวันแต่เรื่องราวก็ยังไม่คลี่คลาย โรงน้ำชาหลิวซื่อยังคงมีผู้คนแวะเวียนเช่นปกติ แม้ว่าไป๋อู่เหยียนจะขนข้าวของและพาบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งกลับไปเมืองหลานโจวแล้วก็ตาม ผู้คนภายนอกได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆนาๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองพ่อลูกสกุลไป๋ บางคนก็คิดว่าเกี่ยวข้องกับคุุณหนูฉิน
ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องดื่มชาส่วนตัวห้องเดิม รอคอยคำสั่งจากฮ่องเต้เจี่ยผิงที่ในตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหว คงเพราะได้รับข่าวสะเทือนใจถึงสองต่อ หนึ่งคุณชายรูปงามที่หลงไหลมาด่วนจากไป สองชายงามเจาเฟิงที่เป็นผู้โปรดปรานก็จากไปเช่นกัน เขาคลี่ยิ้มเย็นชากับตัวเอง มิใช่ว่านั่นคือร่างที่เสิ่นจิ้งเฟยอาศัยอยู่หรือ ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำเบาๆ
“ยามนี้เจ้าคงลงปรโลกแล้วกระมัง เสิ่นจิ้งเฟย”
ไป๋ผูอวี้มอบหมายงานส่วนใหญ่ให้กับพ่อบ้านจัดการ ในห้องดื่มชาแห่งนี้ชายหนุ่มยังจำจุมพิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นได้ ยังคิดว่าแปลกนักที่ตอนนั้นคุณชายรูปงามไม่มีทีท่าตกใจหรือรังเกียจ อยู่ที่นี่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงการได้ยินชื่อของเสิ่นจิ้งเฟย พวกชาวบ้านที่มาโรงน้ำชาหลิวซื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้กันทุกชั่วยาม การโจมตีสกุลเสิ่นจึงสร้างคลื่นความหวั่นวิตกให้กับราษฎรเพราะยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ อีกทั้งในคืนเดียวกันยังเกิดเหตุเพลิงไหม้อีกจุดหนึ่งในเมืองฉางอัน
ทหารหน้าประตูเมืองถูกฆ่า ผู้ก่อเหตุหลบหนีออกไปได้ มีเสียงเล่าลือกันว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋องเจี่ยซิน หลิวอ๋องที่มีจิตใจดีงามไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียผู้นั้นก่อกบฏ ชาวเมืองต่างก็คิดว่าเป็นการใส่ร้ายเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับอัครเสนาบดีหลี่ที่ยามนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ แต่เมื่อทหารบุกค้นวังหลิวอ๋อง กลับไม่พบตัวพระชายาและอ๋องน้อย คาดว่าหลบหนีไปพร้อมกัน ทหารและเหล่ามือปราบต่างก็ตรวจตรารอบเมืองฉางอันเป็นที่วุ่นวาย มีผู้ก่อกบฏย่อมหมายถึงสงคราม หากครั้งนี้เกิดสงครามอีกแผ่นดินเจี่ยคงลุกเป็นไฟ ราษฎรย่อมตกที่นั่งลำบาก จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้เจี่ยผิงกระจายไปทั่ว ราชสำนักยิ่งตึงเครียด แต่ฮ่องเต้ยังไม่คิดทำสิ่งใด
ไป๋ผูอวี้ตั้งใจเขียนจดหมายถึงบิดา คิดว่าไป๋อู่เหยียนน่าจะถึงเมืองหลานโจวแล้ว เขาจรดพู่กันลงบนกระดาษไตร่ตรองว่าควรเขียนสิ่งใดลงไป
‘ท่านพ่อ สบายดีหรือไม่ ท่านคงได้ยินข่าวของเสิ่นจิ้งเฟย ข้าควรทำอย่างไรดี ยามที่ท่านแม่จากไป ท่านทำเช่นไรถึงผ่านพ้นมาได้’
ชายหนุุ่มวางพู่กันพับจดหมายอย่างประณีตส่งให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่มุมห้อง “กุ้ยตาน นำจดหมายฉบับนี้ส่งถึงหลานโจว”
กุ้ยตานรับคำและจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาใด ไป๋ผูอวี้เหม่อมองกู่เจิงคันเก่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะวางเครื่องดนตรีที่ไม่ได้แตะนานแล้ว ชายหนุ่มลุกเดินไปนั่งหน้ากู่เจิงเริ่มบรรเลงบทเพลงไปที่จื่อฟางเคยเป่าขลุ่ยให้ฟัง ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงดังแว่วมาจากภายนอก พยายามเมินเฉยแต่เมื่อเสียงเหล่านั้นดังมากขึ้นทุกทีเขาก็จำต้องหยุดมือ จำเสียงพูดคุยนั้นได้ เป็นเสียงของเสนาบดีฉินจื่ออวี้ บิดาของคุณหนูฉิน
“ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่ได้ คุณชายไป๋ไม่สะดวกพบผู้ใด”เว่ยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแม้จะมีกระแสไม่ชอบใจเจืออยู่จาง ๆ
“แม้แต่ข้าน่ะหรือ!”เสนาบดีกรมขุนนางมีโทสะทันที เขาเองไม่ได้อยากมาที่นี่นักแต่เพราะบุตรสาวตัวดีป่วยไข้หนักยืนยันว่าต้องการพบไป๋ผูอวี้ เขาเกลี้ยกล่อมนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามคำของของฉินเซียงอินทั้งที่ตนอยากดื่มยาพิษตายให้รู้แล้วรู้รอด มีบุตรสาวเอาแต่ใจไม่รักษากิริยาเช่นนี้ หากใครล่วงรู้เข้าคงได้ดุด่าถึงบรรพบุรุษ น่าอายจริง ๆ
“เสนาบดีฉิน หากท่านมีเรื่องคุยเชิญด้านในเถิด”ไป๋ผูอวี้ยืนอยู่หน้าห้อง จำต้องละจากเครื่องดนตรีออกมาพบกับขุนนางใหญ่ที่ใบหน้าแดงก่ำ สายตาคู่นั้นปราดมองมายังเขามีแววไม่ชอบใจปะปนอยู่ด้วย แต่ชายหนุ่มเลือกมองไม่เห็น เชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในห้องดื่มชาอย่างมีมารยาท เสนาบดีฉินเหลียวตัวมองรอบกาย แต่ก็หนีไม่พ้นพวกสอดรู้
“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”ฉินจื่ออวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อก้าวเข้ามาด้านในแล้ว ร่างสูงใหญ่ของไป๋ผูอวี้ยังคงมีท่าทีสุขุมนุ่มลึกเช่นเคยแม้ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคนอดหลับอดนอน ร่างนั้นชงชาให้เสนาบดีอย่างคล่องแคล่ว แต่อยู่ ๆก็หยุดนิ่งไปมือคีบถ้วยชาค้างอยู่เช่นนั้น ฉินจื่ออวี้เพิ่งเคยเห็นคนผู้นี้ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ในฉางอันมีกระแสข่าวลือแปลกๆมากมาย เรื่องที่เขาได้ยินมาคือเรื่องรักต้องห้ามของไป๋ผูอวี้และคุณชายรูปงามที่เพิ่งจากไป เดิมทีเสนาบดีฉินคิดว่าไร้สาระ แต่มาเห็นไป๋ผูอวี้เป็นเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ อีกทั้งคนผู้นี้ก็ไม่สนใจบุตรสาวผู้งดงามของเขา
“อะแฮ่ม ข้าไม่ได้อยากรบกวนเจ้านักหรอก แต่เพราะเป็นเรื่องของบุตรสาวข้า...”เสนาบดีกรมขุนนางกระแอมเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสองแต่ต้องมาออกปากร้องขอบุตรชายคหบดีผู้หนึ่งก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะลูกสาวตัวดีเพียงคนเดียว หากเขาไม่มานางว่าจะไม่ยอมดื่มยา
ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มจางเมื่อได้ยิน ตั้งแต่แรกก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ คนอย่างเสนาบดีฉินไม่มีทางมาหาเขาอยู่แล้ว
“คุณหนูฉินเป็นอะไรหรือ”เขาเอ่ยถามตามมารยาทระหว่างที่รินชาใส่จอกให้ผู้มาเยือน
เสนาบดีฉินพลันใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอาย บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง “ฉินเซียงอิน นางไม่ค่อยสบาย ต้องการพบเจ้า ข้าไม่ได้บังคับหรืออะไรหรอกนะ...”ฉินจื่ออวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้บุตรสาวของตนเสียหาย โชคดีที่คนแซ่ไป๋ผู้นี้เป็นพวกไม่แสดงสีหน้าออกมาตามที่ใจคิด ไม่เช่นนั้นเสนาบดีฉินคงได้เอาหน้ามุดแผ่นดิน
“เช่นนี้เอง ข้าหวังว่านางจะไม่ป่วยหนัก เห็นแก่ที่เอ็นดูคุณหนูฉินดั่งน้องสาว ข้าจะไปเยี่ยมนางสักครา”ไป๋ผูอวี้กล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มสุภาพ ชายหนุ่มคิดว่าควรทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียที หากการกระทำของเขายังไม่เพียงพอก็สมควรพูดต่อหน้าให้เข้าใจกัน
“ดี ๆ”เสนาบดีฉินไม่คิดว่าไป๋ผูอวี้จะตอบตกลงจึงได้แต่ตอบไปเช่นนั้น ทั้ง ๆที่ในใจอยากร้องตะโกน ไม่อยากให้บุตรสาวมาข้องเกี่ยวกับไป๋ผูอวี้
ชายหนุ่มมาเยือนจวนสกุลฉินเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้มีบ่าวไพร่อยู่ในห้องรับรองอยู่หลายคนเพราะเสนาบดีฉินกลัวว่าจะมีคนนำไปพูดให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย จึงมีฉากกั้นกลางเพื่อความเหมาะสม เขารอคุณหนูฉินได้ไม่นาน เด็กสาวในชุดสีชมพูอ่อนสบายตาก็ถูกสาวใช้คนสนิทประคองซ้ายขวาเข้ามาในห้อง ฉินเซียงอินผอมลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงเรื่อจากพิษไข้ ไป๋ผูอวี้พินิจมองผ่านฉากกั้น ได้แต่ครุ่นคิดว่าอาการป่วยของแม่นางน้อยเป็นของจริงหรือไม่แต่เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนักจึงเป็นฝ่ายเอ่ยคำก่อน
“คุณหนูฉิน ข้าได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า มีเรื่องใดหรือ”
“ข้าแค่อยากเจอท่าน”เสียงใสกังวานของนางดังผ่านฉากกั้น แต่เพราะมีบ่าวไพร่ของฉินจื่ออวี้เฝ้าอยู่ เด็กสาวจึงพบหน้าไป๋ผูอวี้ตรง ๆ มิได้ กว่านางจะอ้อนวอนบิดาได้ก็ใช้เวลาเสียหลายวัน
ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ ลุกจากที่นั่งเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางจริงจัง ไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลย
“ข้ามีเรื่องอยากบอกท่านพอดี คุณหนูฉิน ท่านตัดใจจากข้าเถิด ข้ามีคนรักอยู่แล้วและไม่คิดจะรักผู้ใดอีก”เขากล่าวเสียงแผ่ว ฉินเซียงอินได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ คิดเอ่ยแย้ง นางไม่ได้ยินว่าคุณชายไป๋สนใจหญิงงามผู้ใด แล้วคนรักที่ว่ามาจากไหน หรือเขาเพียงพูดเพื่อปฏิเสธนาง
“ข้ามิได้โกหกท่าน ข้าพูดความจริง ตอนนี้ข้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากพูดคุยยาว ๆ ข้าเพิ่งเสียคนรัก ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท”ชายหนุ่มเอ่ยเสริมก่อนที่คุณหนูฉินจะได้เอ่ยแย้ง สองสามวันมานี้ไป๋ผูอวี้ไม่ได้พูดจาเป็นประโยคยาวกับผู้ใด เมื่อได้คุยกับคุณหนูฉินก็รู้สึกว่าเหนื่อย
“เสียคนรัก?ท่านหมายถึงผู้ใดกัน”คุณหนูฉินเอ่ยถามเสียงสั่น
“ยามนี้ฉางอันมีข่าวการตายของผู้ใดเล่า”ไป๋ผูอวี้ตอบสั้น ๆ คิดว่าสนทนาพอแล้ว
“ท่านหมายถึง...ผู้ใด”นางยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ ยามนี้ก็มีเพียงข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้นที่เลื่องลือไปทั้งฉางอัน บางทีอาจดังไปถึงเมืองใกล้เคียงด้วยเพราะได้ข่าวว่าสกุลโหยวนั่งรถม้ามาถึงจวนสกุลเสิ่นภายในวันเดียว
“ข้าคิดว่าท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด ข้าบอกท่านมาหลายครั้ง ข้าจะเอ่ยเป็นหนสุดท้าย ข้าเห็นท่านเป็นดั่งน้องสาวมาตลอด โปรดตัดใจจากข้าเถอะ บุรุษเช่นข้าไม่เหมาะสมกับท่านหรอก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบแม้จะดูใจร้ายไปบ้างที่ต้องกล่าววาจาตรง ๆกับฉินเซียงอิน แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้นางก็ไม่มีทางรามือ
“แต่ท่านกับ...คนผู้นั้น...เป็นไปได้อย่างไร”ฉินเซียงอินรู้แล้วว่าไป๋ผูอวี้หมายถึงผู้ใด สาวใช้ข้างกายจึงส่งสายตามองนางคล้ายกับบอกว่า’ข้าบอกท่านแล้ว’ เด็กสาวเม้มปาก
“เขาตายแล้ว….”ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้นางใจหายอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็เคยรู้จักพูดคุยกันมาก่อน
“ใช่ เขาตายแล้ว แต่เขายังอยู่ในใจข้าเสมอ”ไป๋ผูอวี้ไม่กลัวว่าผู้ใดจะได้ยินแล้วนำไปป่าวประกาศ ความเงียบระลอกใหญ่เกิดขึ้นในห้องรับรอง บ่าวไพร่ในห้องต่างก็ลอบชายตามองกันอย่างไม่อยากเชื่อหู
“ข้าขอตัว”ชายหนุ่มคิดว่าเพียงพอแล้ว
ฉินเซียงอินได้แต่ยืนกำหมัดร่างกายบอบบางสั่นน้อย ๆ ได้แต่มองเงาร่างของไป๋ผูอวี้จากไป
“คุณหนู...”สาวใช้ได้แต่ลูบหลังปลอบโยนอย่างอับจนคำพูด เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตวัดสายตามองบ่าวไพร่ในห้อง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“เรื่องในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”ที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นการรักษาหน้าของไป๋ผูอวี้หรือตัวนางเองกันแน่
เว่ยหลงรอผู้เป็นนายอยู่ข้างรถม้า ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ที่ต้องมารอคุณชายตัดน้ำใจคุณหนูฉิน ครั้งแรกที่พบเจอนาง ชายหนุ่มคิดว่าได้เจอฮูหยินไป๋แล้วซะอีก แต่คุณชายกลับเลือกเสิ่นจิ้งเฟย ผู้ติดตามยืดร่างขึ้นเมื่อมองเห็นร่างของคุณชายไป๋เดินเอื่อย ๆกลับมาที่รถม้า คุณชายยังคงทำทุกอย่างเช่นปกติแต่เขารู้ดีว่าคุณชายไม่ได้เป็นเช่นเดิม ไม่รู้ว่าคุณชายจะรู้ตัวหรือไม่ว่ามีอาการเหม่อลอยบ่อยๆ
“กลับคฤหาสน์สกุลไป๋เลยหรือไม่ขอรับ”เขาเอ่ยถาม
“ไปจวนสกุลเสิ่น”ไป๋ผูอวี้เอ่ยบอกผู้ติดตามก่อนจะเข้าไปนั่งในรถม้า ทิ้งให้เว่ยหลงมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็รีบดึงสติกลับไปนั่งประจำที่พร้อมกระตุกสายบังเหียนให้อาชามุ่งหน้าออกไปจากตรอก ไม่นานนักรถม้าก็มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเสิ่นที่เงียบสงบ ปกติจวนสกุลเสิ่นก็เงียบเป็นทุนเดิม มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นจึงเหมือนป่าช้า จวนรอบนอกมีหารเดินเวรยาม บ่าวไพร่บางส่วนในเรือนเสิ่นมู่หยางที่ยังคงเก็บกวาดลานบ้าน ไป๋ผูอวี้ลงจากรถม้าก็ให้บ่าวคนหนึ่งนำทางเข้าไป เสิ่นมู่หยางยังคงพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ งานราชการจึงพักไว้ก่อน ได้ยินว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งของบำรุงมาให้ไม่ขาด
“ข้าน้อยจะไปเยี่ยมดูหยางชวีกับจางต้า”เว่ยหลงกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรองทางฝั่งเรือนหลักด้านหน้า ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงรับรู้ เป็นห่วงทั้งสองคนเหมือนกัน แต่ยาของซูเหลียนฮวาน่าจะช่วยรักษาอาการไม่มากก็น้อย ชายหนุ่มเดินตามบ่าวด้านหน้าไปเงียบ ๆ หลังเกิดเรื่องเขาไม่ได้แวะมาอีกจึงไม่รู้ว่าเรือนของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นอย่างไรแล้วบ้าง
“นายท่านพักอยู่ด้านในขอรับ”บ่าวรายงานก่อนคาราวะจากไป ถือเป็นเรื่องแปลก เขาสังเกตว่าพวกบ่าวรับใช้แสดงท่าทีนอบน้อมต่อเขาเป็นพิเศษหรือเป็นเพราะว่าเขาช่วยนำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกมาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ไป๋ผูอวี้ก้าวเข้าไปในห้องรับรอง พบว่าเสิ่นมู่หยางนั่งอยู่ที่ตั่งยาว ขาข้างหนึ่งพันผ้าไว้มีรอยเลือดซึมให้เห็น เสนาบดีเสิ่นมีสีหน้าเหมือนคนพักผ่อนไม่พอ
“ไป๋ผูอวี้ ไม่คิดว่าเจ้าจะมา”เสิ่นมู่หยางขยับนั่งให้ถนัดถนี่ หานตงปรากฏกายอยู่หน้าประตูรอคอยรับใช้เจ้านาย
“รบกวนท่านแล้ว ข้ามาด้วยเรื่องกิจการของจื่อ--คุณชายเสิ่นจิ้งเฟย”เขาแสร้งกระแอมเบาๆเมื่อเกือบหลุดชื่อที่แท้จริงของจื่อฟางออกไป แต่เสนาบดีเสิ่นคล้ายจะไม่ได้สังเกต
“อ้อ ร้านค้านั่นน่ะเหรอ ทำไมรึ”เสิ่นมู่หยางได้เห็นแบบร่างแล้ว ดูประหลาดจนมองไม่ออกว่าบุตรชายของเขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ แต่ก่อนเขาคิดห้าม ยามนี้เฟยเอ๋อร์ไม่อยู่ก็ไม่อยากขัดขวางอีก
“ข้าอยากสานการก่อสร้างให้สำเร็จ ข้าจะซื้อร้านค้าของคุณชายเสิ่น เรื่องค่าเช่าที่ดิน ช่างไม้ ข้าจะดูแลเอง จึงอยากมาขออนุญาตท่านเสนาบดี”ชายหนุ่มเอ่ยช้า ๆอยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ไว้
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นความต้องการของเฟยเอ๋อร์ ข้าไม่ห้าม เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”เสิ่นมู่หยางไม่คิดขัดใจความต้องการบุตรชายอีกทั้งไม่อยากให้มีสิ่งใดค้างคา เสนาบดีกรมพิธีการยกถ้วยชาจิบช้า ๆระหว่างที่ทอดสายตามองสำรวจคนแซ่ไป๋ เจ้าเด็กคนนี้ดูจริงจังเรื่องบุตรชายของเขาเหลือเกินหรือมีเรื่องใดที่เขาไม่รู้
“ไป๋ผูอวี้ เจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยเป็นคนรักกันหรือ”เขาอดไม่ไหวเอ่ยถามออกไปในที่สุดยังจำสีหน้าในคืนนั้นของบุตรชายสกุลไป๋ได้ดี
“เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้นเล่า”ไป๋ผูอวี้กล่าว คิดว่าสายตาของคนผู้นี้มองได้ไม่ผิดพลาด แต่เขาไม่คิดเอ่ยตอบ เกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจไปเสียเปล่า ๆเรื่องพิธีแต่งงานเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมจนเขาไม่กล้าหยิบยกมาพูด ชายหนุ่มคิดได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสจับต้องร่างจริงของภรรยาตัวเอง ยังดีที่เขามีรูปวาดของจื่อฟางแทนตัว
เสิ่นมู่หยางหรี่ตาลงเมื่อมองเห็นไป๋ผูอวี้ใจลอยไปชั่วขณะ รู้ดีว่าบุตรชายซุกซ่อนไว้อีกมาก หรือเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่ได้คิดแค่ ‘เล่นสนุก’กับคนผู้นี้ แต่อย่างไรก็ช่างตอนตายก็อยากให้บุตรชายมีความสุข แต่เสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้จากไปอย่างมีความสุข!บุตรชายรูปงามของเขาถูกเผาไหม้ทั้งเป็น ยิ่งคิดถึงหลิวอ๋องจิตใจก็เจ็บแค้น
“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทคิดใช้คนสกุลไป๋รวมศึก หลิวอ๋องยามนี้หลบหนีออกไปจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าไปตั้งหลักอยู่ที่ใด”เสนาบดีเสิ่นเอ่ยขึ้น สายตามองตรงที่ไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มผงกหัวเล็กน้อย เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ รู้ดีว่าเรื่องการศึกไม่ใช่เรื่องของเขา
“คิดว่าคงไม่ไกลจากเมืองหลวง ตามที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงคาดการณ์ไว้”ต้องขอบคุณจื่อฟางมากกว่า ที่นำแผนการของหลิวอ๋องและองค์ชายใหญ่ไปบอกฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว
“เสนาบดีเสิ่น ข้าขอบคุณท่านมากที่ไม่คัดค้านเรื่องร้านค้า หวังว่าท่านจะหายโดยเร็ววัน”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าควรสนทนาด้วยเรื่องใด ทั้งเขาและอีกฝ่ายก็มิใช่ว่าจะพูดคุยกันได้ถูกคอ ขุนนางกรมพิธีการคล้ายกับมีเรื่องที่อยากพูดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาทำเพียงหยักหน้ารับ ชายหนุ่มค้อมกายก่อนออกมาจากห้องรับรอง พบเว่ยหลงยืนรออยู่นอกเรือนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเจอเรื่องไม่ดีมา คงเป็นเรื่องข้ารับใช้ทั้งสองคนของเสิ่นจิ้งเฟย
“หยางชวีกับจางต้าเป็นเช่นไร”เขาเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปตามเฉลียงทางเดิน มุ่งไปสู้ประตูหน้าอันเงียบเชียบ บ่าวไพร่ในเรือนพากันหลบหลีกเป็นที่วุ่นวาย
“ไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าสองคนนั่นจะรู้ความจริงเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยแล้วอาการถึงไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าตายนั่นไม่ยอมให้ซูเหลียนฮวารักษา”เว่ยหลงเดินตามหลังผู้เป็นนายได้แต่ส่ายศีรษะ นึกไปถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น
ยามที่เขาไปเยี่ยมข้ารับใช้ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้า หยางชวีอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก บาดแผลยังคงไม่ดีขึ้น สีหน้าเผือดซีดไร้ชีวิตชีวาพอเห็นว่าเป็นเขามาเยี่ยมก็แสร้งทำเป็นนอนหลับ ส่วนจางต้านอนจ้องผนังห้องเหมือนมีอะไรน่าดู ดวงตาแดงก่ำทั้งยังบวมเป่งบ่งบอกว่าร้องไห้มาทั้งคืน เว่ยหลงเกาจมูก เขาไม่ถนัดกล่าววาจาปลอบคนเสียด้วย!กลิ่นยาสมุนไพรยังคงอวลอยู่ในห้อง
“คิดจะตายตามเสิ่นจิ้งเฟยหรือไง”เขาเอ่ยลอย ๆ ปรายตามองหยางชวีที่ยังคงนอนหลับตา แต่มือที่วางอยู่ข้างตัวกำแน่น จางต้าขยับศีรษะมองเว่ยหลงด้วยดวงตาเหมือนลูกหมา ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเป็นคนแก่ นั่งลงที่ข้างเตียง
“นี่เจ้าลูกหมา ทำตัวเช่นนี้คิดว่าคุณชายของเจ้าจะชอบหรือ”เขาไม่ได้เอ่ยเจาะจงกับผู้ใด จึงก้มหน้ามองบ่าวที่มักทำตัวเซ่อซ่า
“ถ้าหากเจ้าอยากมีชีวิตต่อ หายดีแล้วข้าจะช่วยฝึกวิชาให้”เว่ยหลงหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่คิดอยากทำสิ่งใดต่อไปอีกหรือไม่
“แต่เอาเถอะ ถ้าอยากตายก็ตายเสีย อีกไม่นานข้าจะร่วมทัพไปปราบกบฏกับคุณชายไป๋ ไว้ข้าจะแก้แค้นเผื่อเจ้าเองก็แล้วกันนะหยางชวี ถึงอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์น้องคนสุดท้ายของข้า”เว่ยหลงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็รีบหมุนตัวออกมาจากห้องไม่ได้มองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดได้บ้างหรือไม่
ไป๋ผูอวี้ก้าวออกมาจากจวนสกุลเสิ่นได้ไม่นานก็พบว่ากุ้ยตานยืนรออยู่ที่รถม้าด้วยสีหน้าเร่งร้อน
“คุณชายไป๋ ฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”ฟังอีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นเบื้องบน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิ้มออกมาจากใจ
“ได้เวลาเสียที”เขารู้สึกเหมือนมีแรงได้ก้าวเดินต่อ
~•~