มีเสียงดังอยู่หน้าประตูก่อนที่ร่างของเสิ่นมู่หยางจะปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มรีบเก็บซ่อนสีหน้า หานตงพยุงร่างของเสิ่นมู่หยางเข้ามาในห้องช้า ๆ
“ไป๋ผูอวี้”เสิ่นมู่หยางเอ่ยเรียก ควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้ว สายตามองปราดไปที่ร่างบนเตียงก็แสบเคืองนัยน์ตา “ข้าขอบคุณเจ้าจากใจที่นำร่างเฟยเอ๋อร์ออกมา”เสนาบดีเสิ่นทันมองเห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของอีกฝ่ายจึงคิดได้เพียงว่าคนผู้นี้คงมีความรู้สึกดี ๆให้บุตรชายไม่น้อย ไป๋ผูอวี้ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงก้มศีรษะให้เท่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากดุด่าผู้ใดอีกจึงปล่อยเลยตามเลย ก้าวไปหาเสิ่นจิ้งเฟยบนเตียง กลั้นใจเปิดผ้าคลุมเพื่อบอกลาบุตรชาย พอเห็นร่างที่เคยงดงามของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเช่นนี้ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่
เว่ยหลงรู้สึกกระดากอายยิ่งจึงถอยออกมานอกห้อง เพื่อไปตรวจดูด้านนอก พบหมอทหารกำลังรักษาบาดแผลให้จางต้าที่นอนไม่ได้สติใบหน้าไร้สีเลือด ชายหนุ่มก้มเอามือแตะที่ปลายจมูกพบว่ายังมีลมหายใจแต่บางเบา จึงควักเอาห่อยาในอกเสื้อออกมา ใช้มืองัดริมฝีปากของอีกฝ่ายเต็มแรง
“เจ้าทำอะไร”ทหารผู้นั้นมองเขาด้วยสายตาเหมือนเห็นคนบ้า เว่ยหลงไม่ตอบแต่กรอกยาใส่ปากอีกฝ่ายจนหมด เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บภายในที่ซูเหลียนฮวาคิดค้นและให้เขาพกติดตัวไว้ ชายหนุ่มใช้สองมือแตะเส้นชีพจรที่ลำคอของจางต้าเมื่อพบว่าเริ่มเต้นเป็นจังหวะมั่นคงก็หยักยิ้มให้ทหารตรงหน้า เคลื่อนกายมองหานางมารหมื่นพิษ ดูท่าเจ้าคนหน้าตายนั่นบาดเจ็บหนักไม่น้อย
หยางชวีประคองสติอย่างยากลำบาก รับรู้ว่าถูกคนผู้หนึ่งรักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้องให้อย่างเบามือ แต่ผู้ติดตามไม่ได้สนใจนัก เขาพยายามขยับร่าง และพยายามเปิดเปลือกตาเพื่อสำรวจความเสียหาย ได้ยินเสียงรอบตัววุ่นวายไปหมด บ่าวไพร่ร้องตะโกนวิ่งพล่านไปไม่หยุด กลิ่นเผาไหม้ลอยอวลอยู่ในอากาศเย็น คุณชายเสิ่นติดอยู่ในห้องหนังสือ!เขาต้องไปช่วย ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คุณชายเป็นเถ้าถ่านอยู่ในที่นั้น
“เจ้าอยู่นิ่งๆ”น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น หยางชวีเปิดริมฝีปากที่แห้งแตก รับรู้ว่าถูกกำลังภายในแข็งแกร่งดันเม็ดยาหลายสิบเม็ดเข้ามาในลำคอ ซูเหลียนฮวา…ถ้าเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ก็คงมาด้วย ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอย่างไม่ง่ายนัก ลมหายใจยังคงติดขัด เจ็บปวดไปทั้งร่างเกินกว่าจะขยับได้ คิดว่าคงตายไปแล้วหากไม่ได้นางมารหมื่นพิษรักษา
“คะ คุณชายเสิ่น…ช่วย”เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก ทิ้งศีรษะลงบนพื้นดิน กลอกตาไปยังทิศที่เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้แต่ก็อ่อนกำลังลงมาก เวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว?
“คุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”ซูเหลียนฮวาบังคับให้ตนทำเสียงเฉกเช่นปกติ ไม่เผยสีหน้าใด ยังคงยกยิ้มเช่นทุกทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าคุณชายไป๋ช่วยเสิ่นจิ้งเฟยออกมาได้หรือยัง แต่เห็นเปลวเพลิงที่เผาไหม้ห้องหนังสือของคุณชายเสิ่น มองอย่างไรก็ไม่สามารถมีชีวิตรอด แม้คุณชายไป๋จะเข้าไปช่วยก็ตาม
“เจ้าไม่ต้องห่วง ผ่อนคลายร่างเสีย”หญิงสาวไม่อยากเอ่ยโกหก แต่จำเป็นต้องทำ รู้ดีว่าหากหยางชวีรู้ว่านางโกหกคงถูกโกรธไปทั้งชาติ แต่หากนางบอกความจริงเรื่องคุณชายเสิ่นไปตอนนี้เกรงว่าหยางชวีจะไม่อยากคิดมีชีวิตอยู่อีก คนผู้นี้ยอมละทิ้งเป้าหมายเพื่อมาติดตามเสิ่นจิ้งเฟย แต่กลับช่วยเหลือผู้เป็นนายไว้ไม่ได้ เสิ่นจิ้งเฟยไม่อยู่แล้ว เจ้าคนหน้าตายคงไม่คิดอยากทำสิ่งใด นางรู้จักหยางชวีดี ในฐานะข้ารับใช้ที่ช่วยเหลือเจ้านายไม่ได้ อีกฝ่ายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่
หญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อร่างของหยางชวีเริ่มผ่อนคลาย ผู้ติดตามพอได้ยินว่าผู้เป็นนายไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความผิดพลาดของเขาไม่ได้ทำให้คุณชายเสิ่นบาดเจ็บไปด้วย ชายหนุ่มฝืนประคองสติมานานจึงสลบไปทันที ซูเหลียนฮวาจึงเผยสีหน้าหมองเศร้าออกมา เงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้
“เจ้าโกหกเขา”เว่ยหลงนั่งยอง ๆลงข้างกายเจ้าคนหน้าตาย ส่ายศีรษะน้อย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนสกุลเสิ่นเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่ไว้ชีวิตผู้ที่ลงมือฆ่าชายงามที่หมายตามานานปี ร่างกำยำยื่นมือไปกดนวดที่หัวคิ้วของหยางชวี แม้ยามไม่ได้สติก็ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คนผู้นี้ไม่เมื่อยหรือไร ซูเหลียนฮวาผลักมือของเขาออก ก่อนจะตรวจวัดชีพจร เมื่อเห็นว่าคงที่แล้วก็ถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากมน
“คุณชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”นางไม่รู้ว่าคุณชายรับเรื่องเช่นนี้ได้ดีแค่ไหน ยามที่มารดาของคุณชายจากไป คุณชายของนางก็เงียบไม่พูดไม่จากับผู้ใดไปหนึ่งเดือน แต่เสิ่นจิ้งเฟยเป็นภรรยาของคุณชาย…แม้จะแต่งได้วันเดียวก็ตาม นางมองควันไฟที่พวยพุ่งจากจวนสกุลเสิ่นก็ใจหาย รู้สึกว่าน่าเศร้ายิ่งนัก
“ดูเหม่อลอย ทั้งยังมองรูปชายอื่นด้วยสายตาเศร้าหมอง ข้ากลัวว่าคุณชายจะ…”เว่ยหลงไม่ได้กล่าวออกมา เพราะถูกสายตาแผดเผาของนางมารหมื่นพิษเขวี้ยงใส่ แต่เขาเป็นกังวลจริง ๆ คุณชายไม่เคยทำผิดกฎสกุลไป๋มาก่อน แต่ก็ยอมแหกกฎทุกอย่างเพื่อเสิ่นจิ้งเฟย อีกฝ่ายมาจากไปเช่นนี้ ทั้งเป็นการจากไปที่น่าสงสาร เขาไม่คิดว่าคุณชายจะทำใจได้ในเร็ววัน
“คุณชายไป๋มิใช่คนอ่อนแอ”ซูเหลียนฮวาพึมพำ แม้รู้ดีว่าหากเป็นเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย คุณชายจะไม่เป็นตัวของตัวเองเสมอ
‘สวรรค์ท่านไม่ใจร้ายไปหน่อยรึ ให้เวลาคุณชายของข้ามีความสุขมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไร’ หญิงสาวได้แต่หวังว่าก่อนจากไปเสิ่นจิ้งเฟยจะไม่เจ็บปวดมากนัก หญิงสาวและเว่ยหลงยืดตัวตรงเมื่อรับรู้กระแสกำลังภายในแข็งแกร่งมุ่งตรงมาที่จวนสกุลเสิ่น ร่างขององครักษ์ในชุดดำปกปิดใบหน้าปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นกวาดมองไปรอบบริเวณ บ่าวไพร่ในจวนมีท่าทีตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเรือนของคุณชายอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นทหารบางส่วนทำความเคารพคนผู้นั้นก็ไม่กล้าแม้แต่กระดิกตัว คิดว่าเป็นคนสำคัญ
องครักษ์ของฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาในห้องของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างถือวิสาสะ เสิ่นมู่หยางที่ยังคงนั่งอยู่ข้างกายบุตรชายปราดตามองทันที ไป๋ผูอวี้ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจมากนัก
“ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีรับสั่งให้นำร่างของเสิ่นจิ้งเฟยไปที่วังหลวง”เฮ่อเจ๋อเอ่ยเสียงเรียบผ่านผ้าคลุมหน้า คำพูดดังกล่าวคล้ายกับกระแทกใส่เสนาบดีเสิ่น
“ว่าอะไรนะ”เสิ่นมู่หยางบีบเค้นเสียงออกมาจนได้ เขาขบกรามพยุงร่างลุกยืนอย่างทุลักทุเล หานตงเข้ามาประคองช่วยทันที
“นี่เป็นร่างของบุตรชายข้า ข้าไม่ยอมให้ผู้ใดเอาไปทั้งนั้น”เสนาบดีกรมพิธีการลืมตัวไปชั่วขณะ ห้ามคำพูดไว้ไม่ทัน แม้แต่ร่างของบุตรชายเขาก็ยังเก็บไว้ไม่ได้เลยหรือ เหตุใดฝ่าบาทถึงได้มาสั่งผู้อื่นเช่นนี้
“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท หากท่านขัดขืน ข้าจะไม่เกรงใจ”เฮ่อเจ๋อกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เสิ่นมู่หยางได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยโทสะ ผู้ติดตามวางมือลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นนายเบาๆเป็นการเอ่ยเตือน เขาจึงหลับตาเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นไม่ให้ปะทุออกมา
ไป๋ผูอวี้ปรายตามององครักษ์ เดิมทีคิดปฏิเสธ แต่เมื่อคิดได้ว่าต่อต้านในตอนนี้จะยิ่งส่งผลเสีย อีกทั้งร่างไร้ชิวิตก็มิใช่ร่างที่แท้จริงของจื่อฟาง ฮ่องเต้อยากได้ก็เอาไปเถิด คนที่ตายไปแล้วยังจะอยากครอบครองอีกหรือ ชายหนุ่มยอมปล่อยให้องครักษ์ก้าวเข้ามาที่เตียงยกอุ้มร่างของเสิ่นจิ้งเฟยออกไป ชายหนุ่มข่มอาการปวดหนึบในอกเมื่อแขนไร้สีเลือดข้างหนึ่งห้อยตกออกมาจากผ้าคลุม มีรอยเผาไหม้ให้เห็น องครักษ์ใช้ผ้าคลุมอย่างเบามือไม่อยากให้ฮ่องเต้พิโรธหากร่างของคุณชายผู้นี้เป็นรอยช้ำ ยิ่งไร้ชีวิตยิ่งช้ำง่าย เฮ่อเจ๋อคิดว่าดีนักที่เสิ่นจิ้งเฟยและชายงามเจาเฟิงนั่นตายไปได้ก็ดี จะให้พวกรูปงามแต่ไร้สมองรบกวนจิตใจของฮ่องเต้ได้อย่างไร
เสิ่นมู่หยางทิ้งร่างนั่งลงอย่างอ่อนแรง คิดถึงโหยวหลันก็ลำคอตีบตัน เฟยเอ๋อร์เจ้าคงได้พบมารดาแล้วกระมัง เสนาบดีกรมพิธีการนึกไปถึงพวกสกุลโหยวก็ปวดขมับ คนพวกนั้นคงยิ่งเกลียดตนเข้ากระดูกดำ มีหวังได้ตัดขาดกันอย่างถาวรเป็นแน่ เสิ่นมู่หยางเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ นึกถึงฮ่องเต้เจี่ยผิง คนผู้นี้แม้แต่ความตายก็ไม่คิดปล่อยบุตรชายของเขา อย่างน้อยเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องติดอยู่ในกรงขังของท่าน
ค่ำคืนนี้จึงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้คนในจวนสกุลเสิ่น
~•~
จื่อฟางมองเห็นแสงสว่างเป็นเส้นแนวยาวอยู่ที่เบื้องหน้า จึงยื่นมือออกไปไขว่คว้า ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งร้องเรียกชื่อของตนซ้ำ ๆ
จื่อฟาง...จื่อฟางเสียงเรียกช่างคุ้นหูจนต้องยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แต่ร่างกายของเขาคล้ายกับหินผา ยกแขนขาแทบไม่ขึ้นกระทั่งเปลือกตายังเปิดไม่ได้ แต่เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้มากจนเขาอยากร้องตอบ ข้าอยู่นี่ เสียงเรียกนั้นราวกับดังอยู่ข้างใบหู ทั้งยังมีกระแสโล่งอกปะปนอยู่ด้วย
จื่อฟางได้ยินเสียงรอบกายชัดเจนมากขึ้น แม้จะยังลืมตาไม่ได้แต่ประสาทสัมผัสเริ่มทำงาน รับรู้ได้ว่าบนใบหน้าคล้ายกับมีของบางอย่างกดทับ จังหวะการเต้นหัวใจยังคงดังตึก ๆ บ่งบอกว่าเขายังไม่ตาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?หรือกลับมาในยุคปัจจุบัน โลกปัจจุบันที่เป็นโลกของเขา โลกที่เขามีตัวตนอยู่จริง ๆไม่ต้องอาศัยยืมร่างผู้ใด ภาพใบหน้าของไป๋ผูอวี้วาบเข้ามา ไป๋ผูอวี้...นึกถึงชื่อนี้ทำให้ลมหายใจติดขัด แต่ไป๋ผูอวี้ก็เป็นแค่ตัวละครในโลกนิยาย ไม่ได้มีตัวตนจริง ๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโลกในจินตนาการของเขา เป็นเพียงความฝัน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากลืมตา ถ้าหากว่าเป็นความฝันเขาก็ไม่อยากตื่น ไป๋ผูอวี้ ฉันยังไม่ได้บอกลานายเลย
“จื่อฟาง นายรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม”เสียงเดิมยังคงดังอยู่ใกล้ๆ แม้จังหวะการพูดจะแตกต่างแต่ก็คุ้นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มสูดดมกลิ่นรอบตัว เป็นกลิ่นเฉพาะที่ทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของโรงพยาบาล เขาอยู่ที่โรงพยาบาล รู้สึกดีเล็กน้อยที่ไม่ได้ติดแหง็กอยู่ในหอแคบ ๆของตัวเอง หรืออยู่ในโลงศพถูกฝังอยู่ในสุสาน
“พยักหน้าหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้ว่านายไม่ได้เส้นกระตุก”เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป จื่อฟางขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักสองสามครั้ง ได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากคนพูด
“ฟื้นแล้วจริง ๆสินะ ฉันมาเยี่ยมตลอดเลยรู้ไหม ขนาดฉันยังแปลกใจกับตัวเองเลย เราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย”ร่างนั้นยังคงพึมพำต่อไป น่ารำคาญจริง ๆ แต่เสียงแบบนี้...หรือจะเป็นเพื่อนในคลาสที่หน้าเหมือนไป๋ผูอวี้ เขาจำได้ว่าแทบไม่เคยคุย ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ จื่อฟางหยุดความคิดวุ่นวายเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักมือวางอยู่ที่ศีรษะก่อนที่มือนั้นจะลูบไปมา
จื่อฟางคิดว่าไม่ได้การควรลืมตาสักหน่อย จึงค่อยๆเปิดตาช้า ๆ ภาพเบื้องหน้าแจ่มชัดเสียจนต้องหลับตาลงก่อน เขาเปิดเปลือกตามองอีกครั้งแม้จะระคายเคืองบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหา เด็กหนุ่มกระพริบตาเหม่อมองฉากสีขาวสะอาดเบื้องหน้า รับรู้ว่าใส่ที่ครอบช่วยหายใจ ปลายเตียงมีเครื่องวัดจังหวะการเต้นของหัวใจ เขามองเห็นโซฟาหนังสีดำที่ฝั่งตรงข้าม ภาพวาดเด็กน้อยยิ้มเห็นฟันหลอจ้องมองมาที่เขา ที่นี่คือห้องพักผู้ป่วยพิเศษ
‘พ่อกับแม่มีเงินพอด้วยหรือ’
เด็กหนุ่มคิดอย่างมึนงง ยังคงยกแขนไม่ขึ้น จึงเบนสายตามองคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แทน จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อซึมซับความจริง ร่างที่เห็นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงยีนส์สีซีด เขาค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปเรื่อย ๆจนกระทั่งถึงใบหน้า เป็นใบหน้าที่คล้ายกับไป๋ผูอวี้ แต่ความหล่อและความสง่าแตกต่างกันเล็กน้อย สิ่งที่เหมือนกันคือกลิ่นชาอ่อนๆจากร่างนั้น
หมอนี่คือ…
“ไป๋อี้เสวี่ย”ร่างนั้นเอ่ยตอบราวกับคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไป๋อี้เสวี่ย ชื่อนี้นี่เอง บ้าจริง ก่อนหน้านี้ทำไมเขาจำชื่อเพื่อนในคลาสไม่ได้นะ เด็กหนุ่มพยายามจะพูดแต่ที่ช่วยหายใจยังอยู่ ไป๋อี้เสวี่ยมองเครื่องวัดที่ปลายเตียงเมื่อไม่เห็นสัญญาณผิดปกติก็เอื้อมมาเลื่อนออกไว้ที่ปลายคาง นิ้วมือของอีกฝ่ายถูกผิวกายของเด็กหนุ่มทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ จื่อฟางคิดว่าแปลกนัก เขาไม่ได้รู้จักมักจีกับคนๆนี้ แต่ทำไมยังรู้สึกประหลาด ๆด้วย
เขากระแอมกระไอก่อนเอ่ยคำ “เจ้า...”
เสียงของจื่อฟางแหบแห้ง อีกทั้งยังเอื้อนเอ่ยคำโบราณออกมาอีกไป๋อี้เสวี่ยคงคิดว่าสมองเขามีปัญหาแน่ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนโน้มตัวมาช่วยปรับเตียงให้พอดี เอื้อมมาหยิบขวดน้ำที่โต๊ะข้างเตียง รินน้ำใส่แก้ว หยิบหลอดใส่แก้วน้ำก่อนนำมาจ่อใกล้ริมฝีปากของเขา การกระทำของไป๋อี้เสวี่ยเป็นธรรมชาติเสียจนจื่อฟางไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน ความรู้สึกแปลก ๆ ทำให้เขาหลบสายตา ดูดน้ำช้า ๆ เพิ่งรู้ว่าร่างกายกระหายน้ำแค่ไหนก็ตอนที่ดูดจนหมดแก้วทำให้เกิดเสียงดังท่ามกลางความเงียบ
ระหว่างนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคุณหมอในชุดกาวน์และพยาบาลอีกสองคนเร่งรีบเข้ามาในห้อง คุณหมอมีใบหน้าหล่อเหลาจะว่าไปก็หน้าตาคล้ายไปทางไป๋อู่เหยียน อย่าบอกนะว่านี่คือพ่อของไป๋อี้เสวี่ย เขามองคนทั้งคู่สลับไปมาก็ยิ่งเห็นถึงความคล้ายของทั้งสองคน
“คุณจื่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ คุณหลับไม่ได้สติไปเกือบสามวัน มีอาการผิดปกติใดหรือเปล่า”คุณหมอถามคำถาม ระหว่างที่ตรวจดูม่านตาของเขาไปด้วย จื่อฟางนิ่งงันไปพักใหญ่ สามวันกับเรื่องที่เกิดในโลกนิยายนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปก็แปลก
“คุณจื่อ”คุณหมอเรียก “คุณจื่อฟางครับ”เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ๆ ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“ข้า...เอ่อ ผมสบายดีครับ”เสียงของเขายังคงแหบแห้ง รู้สึกหน้าร้อนวูบเพราะยังติดคำโบราณ คุณหมอจะคิดว่าสมองเขาเพี้ยนรึเปล่าเนี่ย
“เขาพูดคำโบราณ”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยแทรกขึ้นมาแทน จื่อฟางกลอกตามอง คุณหมอเพียงพยักหน้ารับรู้ ระหว่างที่พยาบาลตรวจเช็คเครื่องที่ปลายเตียง ตรวจสายน้ำเกลือด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“คุณจื่อสลบไปนานอาจทำให้เกิดความสับสน…”คุณหมอเอ่ย จื่อฟางรู้ดีว่าคำพูดต่อมาคืออะไรจึงรีบเอ่ยแทรก
“ผมปกติดีครับ แค่…มึนงงจากความฝันเล็กน้อย”เขาตอบไม่อยากเข้าเครื่องสแกนให้ทรมานตัวเองเปล่า ๆเพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้เป็นอะไร คุณหมอยกยิ้มหันมองไปทางไป๋อี้เสวี่ยก่อนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นหากผ่านไปหลายวันคุณจื่อยังไม่หายมึนงงก็คอยตรวจสแกนสมองก็แล้วกันครับ”อีกฝ่ายเอ่ยพูดเหมือนคุยกับเด็กน้อย
จื่อฟางได้แต่กลอกตา เขาไม่ได้เพี้ยนหรือเป็นอะไรเสียหน่อยเรื่องหลังจากนั้นเขาก็ถูกตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแขนและขาว่ายังใช้ได้ปกติหรือไม่ ในส่วนนี้ไม่มีปัญหาแค่ยังอ่อนแรงเพราะนอนติดเตียงมาหลายวันจึงรู้สึกปวดเมื่อย ได้ทำกายภาพก็น่าจะไม่มีปัญหา คุณหมอจึงสรุปว่าให้ทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูห้าวัน จื่อฟางได้แต่พยักหน้าตอบครับๆ อย่างเดียว ว่าอย่างไรก็ตามนั้น เริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงหลับตาเอนกาย นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนิยาย ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือหลิวอ๋องให้คนจุดไฟเผาห้องหนังสือ
ถ้าอย่างนั้น…ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นเถ้าถ่านไปแล้วน่ะสิ จะเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยเล่า หากร่างจริงถูกทำลาย หรือติดอยู่ในร่างของเจาเฟิงตลอดไป?เป็นคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบ เขานึกถึงไป๋ผูอวี้จึงพลิกตัวหันหลังให้กับไป๋อี้เสวี่ย ขยี้ตาที่เริ่มแสบเคือง ไป๋ผูอวี้คงคิดว่าเขาตายไปแล้วสินะ เด็กหนุ่มเม้มปากไม่อยากร้องไห้ในขณะที่มีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง รับมือกับเรื่องนี้ยังไง คิดว่าดีจริง ๆที่ตัวเองบอกความจริงกับไป๋ผูอวี้ไม่อย่างนั้นเจ้านั่นก็คงคิดว่าเขาคือเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางขบกัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไร
ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง ไป๋ผูอวี้ไม่มีอยู่จริง“นายร้องไห้ทำไม”ไป๋อี้เสวี่ยชะโงกตัวมามอง สีหน้าเฉยชานั้นแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนไม่ได้เก็บซ่อนเช่นท่อนไม้ไป๋นั่น ทำอย่างไรดี จากมาได้ไม่นานเขาก็คิดถึงเจ้าท่อนไม้นั่นซะแล้ว จื่อฟางเอาหน้าซุกหมอนไม่ได้เอ่ยตอบ รับรู้ว่าถูกสายตาของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าจ้องมอง
“ฉันโทรบอกพ่อกับแม่ของนายแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมา”ฝ่ายนั้นตอบ โอ้…เขานอนสลบไปสามวัน หมอนี่ก็รู้จักเบอร์พ่อแม่เขาแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันกับโลกทางนี้กันแน่ จื่อฟางเริ่มเหน็ดเหนื่อย
“อือ”เขาส่งเสียงในลำคอ อยากสอบถามมากกว่านี้แต่เปลือกตาเริ่มหนัก ความมืดครอบงำจนงีบหลับไปอีกรอบ ข้างเตียงยังคงมีไป๋อี้เสวี่ยเฝ้าอยู่เช่นเคย
------------------------------------------
มาแล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่เรากังวลมาก จากนี้ก็จะเฉลยในส่วนโลกปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวทางไป๋ผูอวี้ก็ยังดำเนินต่อไปปป เสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางจะเป็นยังไงต่อไปฝากติดตามด้วยนะคะไม่จบเศร้าแน่นอน เจอกันตอนหน้าค่ะ ลงช้า ๆเล็กน้อย ปั่นต้นฉบับไม่ทันแล้วววว (ความผิดตัวเองต้องรอให้ไฟลนก้น) ช่วงนี้ชีวิตจึงติดกาแฟดำมาก
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ

ในโซเชี่ยลเราได้อ่านตลอด แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเล่นเท่าไหร่ ดีใจที่มีคนตามอ่านและชอบนิยายเรา ทุกคอมเม้นและยอดอ่านเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก ๆค่ะ (ทำไมเขียนยาว ฮ่าๆ)