นางเอ่ยเตือนท่านอ๋องอยู่หลายคราว่าไม่ควรดึงเสิ่นจิ้งเฟยมาเกี่ยวข้อง แต่ท่านอ๋องก็มิฟัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด หลิวอ๋องแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจพวกรักชอบบุรุษ นางเดาใจคนผู้นั้นไม่ถูก บางคราเขาเหมือนจะเอ็นดูเสิ่นจิ้งเฟย บางคราก็เกลียดชัง เป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยคงที่นักอย่างพวกคนเก็บกด
“อ้อ ขออภัยด้วย หยางชวี พอได้แล้ว”จื่อฟางร้องเรียก ยกยิ้มที่คิดว่าหวานเยิ้มส่งให้ผู้ติดตาม ร่างนั้นหยุดมือ ถอยกลับมายืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย คนของหอผูเยว่มีบาดแผลตามใบหน้า มุมปากเลือดออก ทั้งสองหายร่างจากไปทันที เหลือผู้เฒ่าเซียงที่ยังคงนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
“โอย…พวกเจ้า…พาข้าไปโรงหมอ!”ตาเฒ่าเซียงเอ่ยสั่งข้ารับใช้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเช่นกัน
“ท่านคงไม่โกรธเคืองข้ากระมัง ท่านเอ่ยวาจาไม่ถูกหูข้า แต่ข้าจะไม่เอาความ”จื่อฟางถอนหายใจ แค่นี้ก็ถือว่าไว้หน้าตาแก่มากแล้ว หญิงงามที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างก็พากันซุบซิบ
“คุณชายเสิ่น เชิญท่านไปรอในห้องรับรองเถิด”แม่เล้าเถาฮวากัดฟันบอก ไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวาย จื่อฟางยิ้มรีบหมุนตัวไปที่ห้องรับรองห้องเดิม สืบเท้าไปตามเฉลียงทางเดินคุ้นตา เขาไม่ได้ตาฝาดแน่ที่เห็นสายตาแหลมคมของแม่เล้า นางต้องมีแผนไม่ดี บางทีหลิวอ๋องอาจสั่งให้นางจับตาดูเขา แต่เมื่อครู่ นางกลัวเขาหรือ? เสิ่นจิ้งเฟยเคยทำอะไรไว้อีกหนอ หยางชวีได้แต่เดินตามมาเงียบ ๆ
“คุณชายเสิ่น แม่เล้านางนั้น…ให้ข้าจัดการหรือไม่”
“อะไรนะ”จื่อฟางหยุดเดินทันที หันมองอีกฝ่ายตาโต จังหวะในอกเต้นระรัว
“ข้ารู้สึกว่านางมีแผนร้ายต่อคุณชาย”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา จื่อฟางเม้มปาก เจ้านี่... มาบอกว่าจะฆ่าแม่เล้าเถาฮวาในที่ของนางเนี่ยนะ เขาไหวไหล่ “เอาไว้ก่อน”ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาไม่กล้าสั่งฆ่าคน
“หากลงมือช้า นางจะลงมือก่อน คุณชายเข้าใจความหมายของข้าน้อยดี”ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านี้ เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องรับรองก็เอ่ยเสริม
“ข้าน้อยรออยู่ด้านนอก”จื่อฟางได้แต่พยักหน้า ผลักประตูหนาหนักเข้าไป นั่งรอเกือบหนึ่งเค่อ ลู่เจียงก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับสาวน้อยที่นำไหสุรากับของทานเล่นเข้ามา ลู่เจียงส่งสายตาไล่ เมื่อประตูปิดลงอยู่กันสองคน นางก็สืบเท้ามานั่งข้าง ๆ มองหน้าเขาด้วยสีหน้าแววตาไม่เข้าใจ
“คุณชายเสิ่นไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”นางเอ่ยเสียงแผ่ว เอื้อมมือมาจัดแต่งปกเสื้อที่ไม่เรียบร้อยให้เด็กหนุ่ม
“ข้าแค่ไม่ชอบหน้าตาแก่นั่นอยู่แล้ว ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าเสียหน่อย”เด็กหนุ่มเอ่ยลอบถอนหายใจ หญิงคณิกาไม่ได้กล่าวโต้ตอบเพียงยืดตัวกลับไปนั่งเงียบๆ รินสุราใส่จอกให้ จื่อฟางมองแต่ไม่ได้ยกดื่ม
“ที่ข้ามาก็เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย”จื่อฟางเล่าถึงแผนการหลบหนีที่ตกลงไว้กับฟู่เทียนสือคร่าว ๆแม้จะยังไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน แต่ลู่เจียงกลับมองหน้าเขาอยู่นานสองนาน ในดวงตามีน้ำเอ่อคลอ
“ลู่เจียงซึ้งใจนัก”นางกระซิบเบา ๆ เม้มปากเหมือนกำลังคิดเรื่องใดอยู่ เขาวางจอกสุราลงดังกึก
“ลู่เจียง...ข้าไม่แน่ใจว่าเคยถามเจ้ามาก่อนหรือเปล่า เจ้ามาจากนอกด่าน เป็นคนชนเผ่าใดรึ”เขาเอ่ยถามเพื่อหาเรื่องคุย หญิงคณิกามองเขาก่อนยิ้มน้อย ๆ
“คุณชายกลัวข้าวางยาพิษท่านรึ ถึงไม่กล้าดื่ม”ลู่เจียงมองเขาก่อนจะหยิบจอกสุราที่เขาเพิ่งวางยกดื่มจนหมด ดวงตาดำสนิทจับจ้องเขานิ่งงัน
“คุณชายช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อท่าน”นางเอ่ยเสียงหม่น เอื้อมมาจับแขนข้างที่ถูกหลิวอ๋องกรีดข้อมือ นางเลิกชายเสื้อ ฝามือเรียวลูบลอยแผลจางเบา ๆ
“ข้าสัญญาว่าจะรับใช้คุณชายด้วยชีวิต”ลู่เจียงมองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง จื่อฟางไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องเจอเรื่องราวใดมาบ้าง จึงได้แต่มองหน้านางอย่างประดักประเดิก ร่างบางยกยิ้มขบขัน
“ข้าไม่ไว้ใจแม่เล้าเถาฮวา”เด็กหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ลู่เจียงหยักหน้า “มาม่า ไม่ไว้ใจคุณชายเช่นกัน คุณชายแน่ใจหรือว่าไม่เคยสร้างเรื่องให้นางมาก่อน”
“…ไม่นี่”จื่อฟางย่นคิ้ว หรือว่าเคยกันนะ
“ข้าตอบคุณชาย ข้ามาจากชนเผ่าเหลียน”นางกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ข้าถูกขายมาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี ไม่มีความผูกพันธ์ใดกับคนพวกนั้น”แววตากระจ่างไม่ได้มีร่องรอยเคียดแค้น ดูคล้ายกับว่าไม่สนใจเรื่องราวภายนอก
“คนพวกนั้น?”จื่อฟางเลิกคิ้ว
“คุณชายคงได้ยินข่าวเหตุวุ่นวายที่เมืองอี้โจว เป็นฝีมือของพวกเขา”หญิงคณิกาเล่า คีบเนื้อแห้งใส่ปากจื่อฟาง เขาอ้าปากเคี้ยวอย่างยากลำบาก เนื้อพวกนี้แข็งอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ตากอากาศมากี่วัน เขาเคี้ยวจนรู้สึกปวดกราม เมืองอี้โจว ชนเผ่าเหลียน เมืองชายแดนที่ไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปจัดการสินะ
“พวกเขามีฝีมือหรือไม่”เขาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ กลัวว่าไป๋ผูอวี้จะเจอกับของแข็ง
“ส่วนน้อย ผู้ที่มีฝีมือจริง ๆมีไม่มากนัก ข้าถึงได้แปลกใจที่ได้ยินว่าพวกเขาลุกฮือต่อต้านราชสำนัก”ลู่เจียงสบตากับเขาอย่างมีความนัย
“เหตุการณ์ที่เมืองอี้โจว ลำพังแค่พวกชาวเหลียนไม่มีทางคิดต่อกรกับทหารราชสำนักได้แน่ ข้าคิดว่ามีคนนอกคอยปั่นชักจูงและช่วยพวกเขาอยู่ ข้าไม่คิดว่าเป็นฝีมือของหลิวอ๋อง ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางร่วมมือกับคนแผ่นดินเจี่ย คนที่ช่วยย่อมต้องเป็นฝีมือของชนเผ่าอื่น”ลู่เจียงไม่รู้รายละเอียดมากนัก จื่อฟางจิบสุรา รสชาติแปร่ง ๆไหลลงคอ เขาวางจอกลง นึกถึงองค์ชายใหญ่ เคยอ่านเจอในตำราจึงทราบมาว่ามารดาของเจี่ยอี้เป็นชาวหู การแทรกซึมครั้งนี้เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่หรือไม่?
“เรื่องในราชสำนักข้าไม่เข้าใจนัก แต่คุณชายโปรดระวังตัวด้วย”ลู่เจียงเอ่ยเตือน หลิวอ๋องยังไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก
“เจ้าก็ด้วย เจ้าอยู่ที่นี่คงรู้จักนางคณิกาที่ชื่อซูเหลียนฮวากระมัง อยู่ใกล้นางไว้ก็ดี”เด็กหนุ่มบอก แม้ยามนี้จะค่อนข้างแน่ใจว่านางมารหมื่นพิษไม่ได้อยู่ที่หอผูเยว่ หากไป๋ผูอวี้ถูกส่งไปที่เมืองอี้โจว ไม่มีทางที่นางจะไม่ตามติดไปด้วย เขาจำได้ว่านางคือศิษย์น้องของเจ้าท่อนไม้ไป๋
“ข้าไม่เห็นพี่ซูมาพักใหญ่แล้ว มาม่าเถาฮวาโกรธมาก”ลู่เจียงพึมพำ นึกถึงหญิงคณิกาชั้นสูงผู้นั้น นางไม่ขายเรือนร่างแก่ผู้ใด ยกเว้นแต่คนที่นางถูกใจแต่ครั้งหนึ่งเคยมีคุณชายใบหน้านิ่งที่ไม่ใช่หยางชวีมาพบพี่ซู ท่าทางนางดูถูกใจมากทีเดียว
“หากนางกลับมา ก็อยู่ใกล้นางไว้”เด็กหนุ่มเอ่ยย้ำ ลู่เจียงเลิกคิ้วเรียวงาม ยกยิ้มน้อย ๆ “คุณชายกลัวข้าตายรึ”มองคุณชายเสิ่นจิ้งเฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้สึกแปลกตา
“เอาเถิด ข้าจะระวัง แต่…ข้าขออภัย จำเป็นต้องทำเพื่อความสมจริง มาม่าเถาฮวานางมีสายตาแหลมคมนัก”ลู่เจียงพึมพำตอบ จื่อฟางตีหน้างุนงงว่านางจะทำอะไร แต่ร่างนั้นยื่นริมฝีปากแดงประทับลงบนซอกคอของเขาแรงพอจนทำให้เกิดรอยชาดสีแดงเปื้อนติดอยู่ จัดเสื้อผ้าให้หลวมหลุดลุ่ยเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอมของนางติดอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เวลาล่วงเลยจนถึง(ยาม ไฮ่ 21.00 น. - 22.59 น.) จื่อฟางคิดว่าน่าจะพอแล้วจึงกล่าวคำลากับลู่เจียง
“ข้าต้องกลับแล้ว รักษาตัวด้วย”เขาเอ่ยบอก นางยกยิ้มก่อนพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มผลักบานประตูออกไปแสร้งทำสีหน้าแช่มชื่นอย่างคนที่เพิ่งใช้เวลาหาความสุข หยางชวียืนเฝ้าอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้านิ่งสงบ ร่างนั้นกวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลง ๆ
“กลับเถอะ”จื่อฟางยิ้ม สืบเท้ามาถึงห้องโถงที่ยามนี้กลับมาคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะต่อกระซิกของหญิงสาว เสียงกู่เจิงบรรเลงเคล้าคลอลอยก้อง แม่เล้าเถาฮวาเยื้องกายเดินมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตากวาดมองไปทั่วร่างของจื่อฟางอย่างสำรวจ หยางชวีหยิบเงินมาสองตำลึงทองยัดใส่มือของนาง
“ขอบพระคุณมากคุณชายเสิ่น ข้าหวังว่าคุณชายจะแวะมาบ่อยๆ...”แม่เล้าแสร้งยอบกายคาราวะ คุณชายรูปงามผละออกห่างคล้ายไม่อยากเสวนาด้วย รีบเร่งออกมาจากห้องโถง ทิ้งกลิ่นสุรากลิ่นถุงหอมไว้เบื้องหลัง หยางชวีก้าวตามมาเงียบ ๆ อากาศหนาวเย็นด้านนอกต้องใบหน้า แต่ออกมาได้ไม่ทันไร พวกขอทานที่ยังทนต่อการถูกน้ำสาดก็เข้ามาเกาะชายเสื้อของเขาไม่พูดไม่จา จื่อฟางก้มมองชายรูปร่างผอมแห้งน่าเวทนา หันมองหยางชวีครู่หนึ่ง
“เอาเงินให้พวกเขา ข้าอยากได้คนไว้ใช้งาน”เด็กหนุ่มกระซิบ ผู้ติดตามพยักหน้าโดยไม่เอ่ยสิ่งใด จื่อฟางก้าวเข้าไปในรถม้าก่อน ระหว่างที่รอหยางชวีจัดการธุระให้เสร็จ ขณะที่รอก็นึกถึงไป๋ผูอวี้
เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีน่ะสิ
~•~
ยามโฉ่วแล้ว(01.00 น. - 02.59 น.) แต่จื่อฟางยังนอนไม่หลับ เรื่องของแม่เล้าเถาฮวา หลิวอ๋องและไป๋ผูอวี้ยังรบกวนจิตใจจนข่มตาไม่ลง เขานอนมองแสงโคมไฟที่แขวนอยู่ข้างเตียง พยายามสะกดให้ตัวเองหลับแต่กลับทำไม่ได้ง่าย ๆ ยามทีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่นอกห้องจึงทำให้เขาเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างระแวดระวัง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งเข้ามาในเขตเรือน จื่อฟางเม้มปาก มองหาของป้องกันตัวเมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ไป๋ผูอวี้หรือคนในจวน เงาร่างที่ผลักประตูเข้ามาในห้องคือคนในชุดคลุมสีดำไม่คุ้นตา จื่อฟางอ้าปากหมายร้องตะโกนแต่ร่างนั้นเร็วกว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็เข้าถึงตัวพร้อมกับปลายมีดแหลมคมจ่ออยู่ที่ปลายคาง แสงจากโคมไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเมื่อจำใบหน้านั้นได้ “ท่านอ๋อง”
“ใช่ ข้าเอง”หลิวอ๋องแสยะยิ้มมอง ยังคงไม่ละมีด จื่อฟางยังคงสบตาอีกร่างจนกระทั่งฝ่ายนั้นลดมีดลงเอง
“ผู้ติดตามของเจ้าฝีมือดีไม่น้อย คนของข้าต้องใช้กระบี่หยุดเขา”เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง หลิวอ๋องโบกมือไล่ “แค่ขู่ ไม่ได้ฆ่า แปลกนะที่วันนี้เจี่ยผิงไม่ได้ให้คนเฝ้าเจ้า”หลิวอ๋องกระซิบ แววตาวาวโรจน์
“สวมเสื้อคลุมแล้วตามข้ามา วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องสนุก”เจี่ยซินกล่าว มองผ่านแสงไฟไปยังร่างบอบบางของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่ได้เจอเกือบหนึ่งเดือน คุณชายรูปงามผู้นี้ดูจะมีน้ำมีนวล เจี่ยซินละสายตาออกมานึกหงุดหงิดตัวเองอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนวิปริตอย่างพี่ชาย เขามีพระชายา มีอ๋องน้อย เขาไม่มีวันเหมือนคนผู้นั้น
“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใด”ร่างนั้นเอ่ยถาม หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมใส่ เจี่ยซินไม่ได้เอ่ยตอบทันที เขาดึงผ้าคลุมปิดหน้า ร่างนั้นจึงควานหาผ้าคลุมในหีบมาใช้เช่นกัน เจี่ยซินนึกรำคาญนักที่คุณชายรูปงามยังมีเวลามาควานหาของใช้ จึงส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายตามมาเงียบ ๆ เปิดประตูออกไปก็พบร่างของผู้ติดตามของเสิ่นจิ้งเฟยนั่งคุกเข่า ที่ลำคอมีเลือดไหลซึมเพราะกระบี่ขององครักษ์ของเขาจ่ออยู่ ชายหนุ่มลอบมองเสิ่นจิ้งเฟย แต่ร่างนั้นไม่ได้เผยท่าทีใดออกมา แต่เขามองออกว่าอีกฝ่ายฝืนมองผ่านรอยแผลบนลำคอของบ่าวรับใช้
พรึบ
เงาดำอีกร่างปรากฏตัว เป็นคนของเสิ่นมู่หยาง
“เจ้าเป็นผู้ใด…!”หานตงดวงตาเป็นประกายอย่างมีโทสะ กวาดมองผู้บุกรุกและคุณชายเสิ่น
“อย่าเอะอะไป”จื่อฟางรีบเอ่ยบอก เขาจะแสดงท่าทีแปลกไปต่อหน้าหลิวอ๋องไม่ได้เด็ดขาด หานตงปรายตามองเขาก่อนหยุดที่หยางชวีและองครักษ์ของหลิวอ๋อง
“คุณชายเสิ่นท่านทำเรื่องใดอยู่”หานตงขบฟันกรอด อยากเข้าไปตบหน้าคุณชายเสิ่นให้ได้สติสักฝามือ แต่รู้ดีว่าทำไม่ได้
“เจ้าวางใจเถอะ อย่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายกับผู้ใด หยางชวีเข้าใจสิ่งที่ข้าทำดี”เขาส่งเสียงเย็นชา มองไปที่ผู้ติดตามครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หลิวอ๋องจับจ้องเขาก่อนหยักยิ้ม พยักหน้าเรียก ร่างนั้นหมุนตัวไปทางกำแพงจวนหยุดรอเขาท่าทางเช่นนั้นคล้ายกลับบอกให้เร่งรีบ จื่อฟางกระชับเสื้อคลุมมองผู้ติดตามทั้งสอง
“พวกเจ้าห้ามตามมา ข้าออกไปกับสหาย เข้าใจหรือไม่!”ให้ตายเถอะ จื่อฟางไม่สบสายตาน่ากลัวของหานตง มองหยางชวีครู่หนึ่งแล้วรีบหมุนตัวจากมา ร่างสูงใหญ่ของหลิวอ๋องกระโจนไปบนกำแพงจวน องครักษ์อีกคนโผล่มาประกบเขาเหมือนวิญญาณร้าย เด็กหนุ่มรู้สึกถูกหนีบที่เอว ร่างนั้นพาเขากระโจนไปที่กำแพงจวน ก่อนจะเหยียบสัมผัสผืนดิน คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด
บริเวณโดยรอบจึงเงียบสงัดจื่อฟางมองกำแพงจวนของสกุลเสิ่นก่อนหันมองหลิวอ๋องที่ก้าวหายเข้าไปในเงามืดของตรอก เขาไม่ได้เอ่ยถามเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อเดินเลยมาเกือบสุดตรอกก็พบรถม้าจอดอยู่ อาชาสีดำสนิทหายใจเป็นไอขาว เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในรถม้า องครักษ์ปิดประตูตามหลังดังกึก
ภายในรถจึงมีเพียงแสงที่ส่องลอดมาจากหน้าต่างฉลุลายเท่านั้น หลิวอ๋องเจี่ยซินนั่งอยู่บนตั่งนั่ง ร่างนั้นเชื้อเชิญให้นั่งที่พื้นด้านล่างอย่างบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง จื่อฟางนึกถึงท่าทีของเสิ่นจิ้งเฟยจึงแสดงละครตบตาไปเช่นนั้น แสร้งส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างซวนเซเพราะอาชากระชากรถม้าไปด้านหน้า มุ่งไปยังที่ใดก็ไม่ทราบได้
‘ท่านอ๋องจะฆ่าข้าหรือ’ สายตาของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับถามมาเช่นนั้น เจี่ยซินเอนกายพิงผนังรถม้า สายตาจดจ้องคุณชายรูปงามที่นั่งต่ำกว่า วูบหนึ่งที่เขารู้สึกอยากบดขยี้คุณชายผู้นี้ให้แหลกคามือ ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระออกไป
อาชาสีดำสนิทพาพวกเขาออกห่างจากจวนสกุลเสิ่นเรื่อย ๆ หลิวอ๋องจับจ้องจนจื่อฟางจนเกร็งไปหมด เหงื่อชื้นเต็มฝามือ
“ท่านอ๋องคงไม่ได้ทำร้ายบ่าวในเรือนของข้ากระมัง”เขาเอ่ยถามทำลายความเงียบ ท่านอ๋องเอนตัวมาใกล้
“ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย”ร่างนั้นกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ช่วยทำให้ดูดี แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายทำให้ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ท่านอ๋องจิตใจเมตตา คงไม่คิดทำร้ายบ่าวไพร่ไม่รู้ความ”ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เจี่ยซินก็หัวเราะในลำคอ
“อีกห้าวันจะถึงวันคล้ายวันเกิดข้า เจ้าก็เล่นละครให้สมจริงหน่อยก็แล้วกัน วันนั้นเจี่ยผิงก็มาด้วย”เจี่ยซินกล่าวเบาๆ
‘ถ้าหากว่าเจ้ามาได้…’ รถม้ายังคงมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษาหลวง เป้าหมายแรกของการก่อกวน เสิ่นจิ้งเฟยมองเขาด้วยดวงตาคู่งามที่มีแววใคร่รู้ปรากฏอยู่ แสงสว่างค่อนข้างน้อยเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าทั้งหมดของเสิ่นจิ้งเฟย
“ข้าทราบแล้ว”จื่อฟางได้แต่ตอบเช่นนั้น วันเกิดหลิวอ๋องก็ต้องจัดขึ้นที่วังอ๋อง เช่นนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็มา เขาจะได้เจอเสิ่นจิ้งเฟยหรือเปล่านะ อย่างน้อยฮ่องเต้ต้องนำคนมาด้วย เขาหวังว่าจะเป็นเสิ่นจิ้งเฟยหรือเจาเฟิง
“ท่านอ๋องจะพาข้าไปที่ใดหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย สะดุ้งเมื่อพบว่าหลิวอ๋องห่างออกไปไม่กี่คืบ จื่อฟางกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นมือแกร่งก็จับคางของเขาพร้อมกับริมฝีปากเย็นประกบแตะ จื่อฟางตอบโต้ด้วยการผลักอีกฝ่ายออก อารมณ์ขุ่นเคืองจากเจ้าของร่างทำให้เขาลืมตัวเผลอถลึงตาใส่ร่างนั้น
“รสชาติก็ไม่เห็นดีที่ตรงไหน เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้หลงไหลเจ้านัก”หลิวอ๋องมองอย่างใคร่รู้ ปรายตามอฃใบหน้าโกรธขึงของคุณชายเสิ่นก็แค่นเสียงในลำคอ แค่แตะริมฝีปากชายหนุ่มก็ขนลุกซู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังเกียจหรืออย่างไรกันแน่
“เจี่ยผิงส่งคนมาเฝ้าเจ้าที่จวน ข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ก็เท่านั้น”เจี่ยซินเอ่ย ระหว่างที่รถม้ายังคงแล่นไปยังจุดหมาย เขาใช้ถนนอีกสายเพื่อหลีกเลี่ยงทหานเวรยาม คืนนี้เป็นคืนสะดวกที่เขาจะลงมือสร้างความปั่นป่วน
“ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจ ข้าเกลียดฝ่าบาท”เสิ่นจิ้งเฟยนัยน์ตาลึกวาวอยู่ในความมืดไม่คล้ายกับเล่นละคร ชายหนุ่มยกยิ้ม
“ดีแต่ข้าไม่ต้องการคำพูด ข้าต้องการสิ่งยืนยันที่แน่ชัด ที่ที่ข้าพาเจ้าไปคือสำนักศึกษาหลวง ข้าต้องการให้เจ้าเผาหอตำราเจี่ยซาน”
คำสั่งของหลิวอ๋องกล่าวทำเอาจื่อฟางตกตะลึง หอหนังสือเจี่ยซานอยู่ในสำนักศึกษาหลวง และก็เป็นหอหนังสือที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงทรงสั่งให้สร้าง เด็กหนุ่มไม่มีเวลาให้ลังเล
“ตกลง ข้าจะทำหากเป็นสิ่งที่ทำให้หลิวอ๋องเชื่อ”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหนีกแน่นแม้จะสงสัยว่าจะเข้าไปในสำนักศึกษาหลวงได้อย่างไร หลิวอ๋องคล้ายกับเดาความคิดของเขาออก ร่างนั้นโน้มตัวมาใกล้ เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างจากแรงกดดัน
“องครักษ์ของข้าจัดการทหารยามแล้ว คืนนี้ทางสะดวกสำหรับเจ้า น้องชาย”ชายหนุ่มเรียกขานคำที่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ตั้งแต่เอ่ยคำสาบานเป็นพี่น้องมีไม่บ่อยที่เขายอมเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ เสิ่นจิ้งเฟยเคยเรียกเขาว่าพี่ซินเมื่อนานมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องของเสิ่นฉินอี้
“อืม”จื่อฟางส่งเสียงในลำคออย่างเก้อกระดาก เบนสายตาออกไปทางอื่น คนผู้นี้ประหลาดจนน่ากลัว ครู่หนึ่งทำตัวร้ายกาจ ครู่หนึ่งก็มาทำตัวเป็นคนดี เขาบ้าไปแล้วรึ! จื่อฟางกลัวคนนิสัยเช่นนี้ พวกแสร้งทำเป็นคนดีแต่มีอีกตัวตนซ่อนอยู่
รถม้าหยุดลงแล้ว เด็กหนุ่มจึงก้าวออกมา ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ไม่มีเสียงใดให้ได้ยินรอบบริเวณเงียบสงัด เขากระชับเสื้อคลุมและผ้าปิดหน้าให้เรียบร้อย กวาดมองรอบตัว มีเพียงองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหลิวอ๋องรอคอยอยู่ในรถม้า องครักษ์ส่งแท่งเชื้อไฟมาให้ จื่อฟางรับมาถือด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ ถึงเวลาเล่นบทร้ายแล้วสินะ องครักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้าตัวเขาพาดบ่ากระโจนไปที่กำแพงสูงเบื้องหน้า อากาศหนาวเย็นทำให้เขาชาไปตามใบหน้า เอี้ยวตัวมองก็พบว่าหอสมุดขนาดกลางตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวอักษรงามวิจิตรสีทองสะท้อนอยู่ในความมืด ร่างหนึ่งนอนกองเป็นเงาทะมึนอยู่หน้าขั้นบันได
วูบ
องครักษ์พาเขามาถึงหน้าประตู จากนั้นก็ปล่อยเขาลง จื่อฟางไม่รอช้าแม้จะกลัวอยู่มากแต่ยามนี้รอเวลาไม่ได้ ไม่อยากทำแต่ไม่ทำก็ตาย เขามีชีวิตเดียวและยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับไป๋ผูอวี้ เขาจะตายก่อนไม่ได้เด็ดขาด!เด็กหนุ่มเปิดบานประตูหนักๆเข้าไป ภายในหอหนังสือมืดสนิทมีเพียงแสงสีแดงเรืองรองจากแท่นเชื้อไฟในมือเท่านั้น กลิ่นเหม็นอับหนังสือลอยเข้าจมูก
จื่อฟางมองหาจุดอับที่สามารถติดไฟได้ดี เขารีบสืบเท้าไปยังชั้นหนังสือเลือกมาเล่มหนึ่ง ลอบเปิดบานหน้าต่างเอาไว้ ก่อนจะเป่าแท่งเชื้อไฟขนไฟสว่างวาบ เขาจุดไฟจนติด รอให้ไฟลุกลาม เด็กหนุ่มก็ปีนออกทางหน้าต่าง อาจจะเพราะความกลัวถึงได้ไม่กลัวเจ็บ ร่างของเขาหล่นตุบลงมากองกับพื้น ได้กลิ่นกระดาษไหม้ลอยแตะจมูก จื่อฟางเงยหน้ามอง ไม่คิดว่าไฟจะติดไวมากถึงเพียงนี้ แต่อากาศหนาวและแห้งยิ่งทำให้ไฟติดง่าย
ร่างบางลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว
“ผู้ใดน่ะ!”เสียงตวาดดังขึ้น จื่อฟางไม่ทันได้อ้าปากร่างของบรรณารักษ์ก็ล้มกองกับพื้น หานตงผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยางปรากฏกายพร้อมกับกระบี่ในมือ ใบหน้าของร่างนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใด เยียบเย็นจนชวนให้เข่าอ่อน ผู้ติดตามเข้ามาคว้าเอวเขาก่อนจะพาออกไปจากหอตำรา ลมหนาวพัดโกรก หานตงไม่ได้เอ่ยถาม จื่อฟางรู้ตัวว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูเสิ่นมู่หยางแน่จึงทำใจแต่ตอนนี้
หลิวอ๋อง…คิดปล่อยให้เขาหาทางออกมาเอง ร้ายนัก!
เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่นร่างกายของจื่อฟางก็ไร้ความรู้สึกแล้ว หานตงปล่อยเขาลงที่หน้าเรือน ควันไฟปรากฏให้เห็นเลือนลาง เด็กหนุ่มสบตากับหานตง สีหน้าของอีกฝ่ายเย็นชาและน่าหวาดเกรง จื่อฟางจ้องมองอย่างไม่ลดละ
“คนผู้นั้นเป็นใคร ท่านทำเรื่องใดกันแน่เหตุใดต้องเผาหอหนังสือเจี่ยซานด้วยรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร”หานตงกระซิบด้วยเสียงที่อดกลั้น คุณชายเสิ่นเป็นคนที่ทำให้เส้นอดทนของเขาขาดสะบั้น กระบี่ในมือยังคงเปื้อนเลือด
“หยางชวีเล่า”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบแต่ถามคำถามแทน เขามองไปรอบกายก็ไม่พบผู้ติดตาม
ตึง ตึง ตึงเสียงตีกลองดังแหวกความเงียบของยามอิ๋น(03.00 น. – 04.59 น. )ก้องไปทั้งฉางอัน จื่อฟางเงยหน้ามองท้องฟ้ามืด มีแสงควันไฟมาจากอีกจุดหนึ่ง เขาหรี่ตาหมายความว่าอย่างไร จุดนั้นคือทางตรอกซีหมาน
“คุณชาย สกุลเสิ่นไม่สำคัญต่อท่านเลยรึ”หานตงเอ่ยถาม สืบเท้าเข้ามาใกล้ กระบี่ถูกเก็บอยู่ในฝักแล้ว เด็กหนุ่มเม้มปาก ไม่ได้เอ่ยตอบ ก้าวถอยหลัง จางต้าโผล่มาจากเงามืดมายืนขวางระหว่างเขาและผู้ติดตามของเสิ่นมู่หยาง บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็ตื่นเพราะเสียงตีกลองเตือนภัย
“เจ้าจะทำอะไร”จางต้ากล่าวเสียงแข็ง จื่อฟางกวาดตามองบ่าวรีบใช้ที่มายืนออในลานบ้านด้วยสายตาตื่นตระหนกและงุนงง งุนงงกับภาพที่เห็นตระหนกกับเสียงตีกลอง
“พวกเจ้ากลับไปนอนเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้”จื่อฟางกล่าวขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา บ่าวไพร่ทั้งหลายมีท่าทีอิดออดแต่ก็ค่อยทยอยกลับไปตามคำสั่ง หานตงยังคงมีสีหน้าน่ากลัว
“ท่านพ่ออยู่ที่ใด เสียงดังเช่นนี้ยังไม่ตื่นอีกหรือ”เขาเอ่ยขึ้น ร่างของหานตงกระตุกเล็กน้อย เห็นแค่นั้นเขาก็เข้าใจ ยกยิ้มหยัน
“เจ้าก็กลับไปเถอะหานตง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับข้าอีก หากมีเรื่องอยากสั่งสอนก็ไปกล่าวกับพ่อข้า…อ้อ คำถามที่เจ้าถาม สกุลเสิ่นสำคัญกับข้าไหมน่ะหรือ สำคัญสำหรับพวกเจ้า ไม่ใช่ข้า”จื่อฟางกล่าวเสียงเย็นชา ใช้สายตาเยียบเย็นมองอีกฝ่าย ร่างจางต้าที่อยู่เบื้องหน้าแข็งเกร็งเล็กน้อย ไหล่ตกลู่ เขามองผู้ติดตามเบื้องหน้า คนผู้นี้ต่างจากหยางชวีลิบลับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือความจงรักภักดี แม้เสิ่นมู่หยางทำสิ่งที่ผิดก็ยังคงทำตามไม่ได้กล่าวแย้ง ใบหน้าของหานตงยังคงไร้ความรู้สึกแต่แววตาสั่นไหว
“ศิษย์พี่…”เสียงของหยางชวีดังขึ้น รีบรุดมาหา เด็กหนุ่มหันมองก็เบิกตาโต ดีนักที่พวกบ่าวไพร่คนอื่นไม่อยู่เพราะยามนี้ทั้งร่างของหยางชวีเปื้อนไปด้วยเลือด เขาอ้าปากค้างน้อยๆ จางต้าหน้าไร้สีเลือด
“จะ เจ้า ไปทำอะไรมา”บ่าวคนสนิทถามเสียงอ่อน ขาอ่อนยวบจนล้มกองกับพื้น
“หึ หยางชวี เจ้ามันน่าผิดหวังนัก แทนที่จะห้ามคุณชายเสิ่น เจ้ากลับส่งเสริมเขา…”หานตงปรายตามองศิษย์น้องที่ฝึกสอนเองกับมือด้วยสายตาผิดหวัง
“ยามนี้…ข้ารับใช้คุณชายแล้ว ศิษย์พี่คงทราบดี ในฐานะบ่าวรับใช้หากต้องลงนรกก็ย่อมลงนรกไปกับผู้เป็นนาย”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ สบตากับผู้ที่ได้ชื่อว่าศิษย์พี่ ร่างนั้นผ่อนลมหายใจมองปราดไปที่คุณชายเสิ่นก่อนจะหมุนตัวออกไปจากเขตเรือนคุณชาย
“คุณชายเสิ่น…ข้าน้อยไปจัดการเรื่องที่ต้องจัดการ”ผู้ติดตามพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เป็นครั้งแรกที่จื่อฟางรับรู้ว่าคนผู้นี้น่ากลัว เขากวาดมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและชุดเปื้อนเลือด
“เจ้าหมายถึง….”เขากลัวคำตอบเหลือเกิน
“ทำลายหอผูเยว่ หลังจากที่จัดการนางแม่เล้านั่น ข้าก็จุดไฟเผา เช่นเดียวกับที่หลิวอ๋องสั่งให้คุณชายลงมือ ครานี้เขาได้ระแวงจนหัวหมุนแน่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด”
“หยางชวี…”เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว
ตึง ตึง ตึงเสียงกลองยังคงดังก้องไปทั้งฉางอัน
----------------------
ตอนนี้ไม่ได้จ่ายค่าตัวไป๋ผูอวี้ เจอกันตอนหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ยกให้หยางชวี ยาวหน่อย ทั้งน้ำทั้งเนื้อเยอะแยะไปหมด

อาจหายไปปั่นต้นฉบับนะคะ
