บทสิบเก้า: คำสัญญารัชทายาทเจี่ยผิงเหม่อมองแนวป่าไผ่ สายลมพัดเอื่อยต้องใบหน้าระหว่างที่รอให้เด็กน้อยเสิ่นในวัยเจ็ดขวบวางตัวหมากลงบนกระดานอย่างใจเย็น ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากบ้านคน ไกลจากตรอกซีหมานที่คึกคักวุ่นวาย ไกลจากวังหลวง ศาลาลมที่เงียบสงบเปรียบเสมือนจุดพักหย่อนจิตใจของเจี่ยผิง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าองครักษ์คนสนิทปรากฏกายใกล้กับรถม้าที่จอดอยู่
‘หลี่ลั่วหวั่นผู้นั้นทำสำเร็จแล้วสินะ’
“พี่ฟู่จวิ้นไม่เล่นหรือ”เสียงเล็ก ๆของเสิ่นจิ้งเฟยดึงให้เด็กหนุ่มกลับมาสนใจกระดานหมากอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าที่บ้านข้ามีธุระ คงต้องกลับแล้ว ไว้ข้าจะมาเล่นกับเจ้าใหม่”เจี่ยผิงพูดเสียงอ่อน วางมือลงบนศีรษะเล็ก ๆของคุณชายน้อย ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยพลันเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเล็กเม้มเป็นเส้นตรง เจี่ยผิงเห็นแล้วเผยยิ้มออกมา ในภายภาคหน้าเสิ่นจิ้งเฟยเติบโตเป็นชายรูปงามอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้ายังไม่อยากกลับจวน ข้าเบื่อต้าซุย”เจ้าตัวส่งเสียงบ่น
“ต้าซุยเป็นพี่เลี้ยงเจ้า เขาจะเดือดร้อนถ้าหากเจ้าไม่กลับไปที่จวน”รัชทายาทยกยิ้ม คิดอย่างเยาะหยันในใจว่าเขาเป็นคนลอบพาคุณชายน้อยออกมาจากจวนสกุลเสิ่น เขาต่างหากที่เป็นคนทำให้เจ้าต้าซุยนั่นเดือดร้อน
“ครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวนอกเมือง ดีไหม”เจี่ยผิงเสนอ เสิ่นจิ้งเฟยรีบพยักหน้าหงึกหงักรอยยิ้มใสซื่อกระจายเต็มหน้า ร่างสูงของรัชทายาทลุกจากที่นั่งจัดแต่งเสื้อตัวยาวสีเทาให้เรียบร้อยก่อนยื่นมือออกไปให้คุณชายเสิ่น เด็กน้อยคว้ามือที่ใหญ่กว่ามาจับไว้เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยว หลังจากที่มารดาของเสิ่นจิ้งเฟยจากไป เด็กน้อยผู้นี้ก็ยิ่งโดดเดี่ยวแม้กระทั่งเงินทองความเอาอกเอาใจของผู้เป็นบิดาอย่างเสิ่นมู่หยางก็ไม่อาจเติมเต็มได้
“พี่ฟู่จวิ้นห้ามโกหกนะ”ดวงตากระจ่างใสของอีกฝ่ายทำให้เจี่ยผิงเผยสีหน้าอ่อนโยนที่น้อยครั้งนักจะแสดงออกมา
“แน่นอน ข้าไม่โกหก”
เขาพาคุณชายเสิ่นเดินไปที่รถม้า องครักษ์ย่อกายคำนับก่อนจะเข้าประจำตำแหน่ง เสิ่นจิ้งเฟยเข้าไปนั่งซุกตัวอยู่ด้านในไม่พูดไม่จา รถม้าเริ่มออกตัว เจี่ยผิงถอนหายใจเบาๆ มองร่างเล็กด้วยสายตาครุ่นคิด เสิ่นจิ้งเฟยเป็นหลานชายของเสิ่นฉินอี้ เขารู้จักเสนาบดีเสิ่นดี แม้รัชทายาทหนุ่มจะบอกว่าไม่เร่งร้อน เขาต้องการรอให้เสิ่นจิ้งเฟยเติบโตจนเข้าใจเรื่องราวก่อนก็ตามแต่เสิ่นฉินอี้ไม่ยอมให้หลานชายมาข้องเกี่ยวกับตัวเขา
พูดถึงคนผู้นี้เขาได้ยินมาว่าอัครเสนาบดีอวิ๋นต้องการให้เสนาบดีเสิ่นรับตำแหน่งต่อก็ยิ่งทำให้จิตใจของรัชทายาทหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวลหวาดระแวง ไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของอวิ๋นเซียนหลางออก เวลานี้สุขภาพของเสด็จพ่อไม่ค่อยดี คงอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น เจี่ยผิงสืบรู้มาว่าสกุลหลี่ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสกุลเสิ่นมาช้านานต้องการขัดขาเสิ่นฉินอี้ และยังรู้ว่าฝ่ายนั้นวางแผนกระทำสิ่งใด องครักษ์ของเจี่ยผิงเคยรายงานว่าเสนาบดีหลี่ให้คนหาซื้อยาพิษรุนแรงจากนอกด่าน และวันนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะสำหรับการลงมือเพราะเสิ่นมู่หยางเดินทางออกไปนอกเมืองฉางอัน เด็กหนุ่มให้องครักษ์ไปเฝ้าดูที่จวนสกุลเสิ่นและเมื่อครู่ที่องครักษ์คนสนิทโผล่มา ก็คาดเดาได้เพียงว่าเสนาบดีหลี่ทำสำเร็จแล้ว
‘เสิ่นฉินอี้…ท่านช่วยเหลือข้ามามากมายนัก จากนี้ข้าจะดูแลเสิ่นจิ้งเฟยเอง’ เขาเบนสายตามาจากคุณชายตัวน้อย ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดทำเรื่องไม่ดีกับเสิ่นจิ้งเฟย เขาเพียงต้องการแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยช้า ๆ
“บ้านพี่ฟู่จวิ้นทำอะไรอย่างนั้นเหรอ”คำถามของเสิ่นจิ้งเฟยทำให้เจี่ยผิงหันไปมองร่างเล็กอีกครั้ง
“หากเจ้าโตกว่านี้ข้าจะบอก”เด็กหนุ่มยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ไม่ได้ถามเซ้าซี้อย่างเด็กทั่วไป ขณะนั้นรถม้าก็จอดใกล้กับบริเวณจวนสกุลเสิ่น
“ให้ข้าส่งเจ้าด้านในหรือไม่”
เสิ่นจิ้งเฟยส่ายหน้า กระโดดลงจากรถม้า หันมองเขาครู่หนึ่งก่อนรีบวิ่งจากไป รัชทายาทมองตาม ย่นคิ้วเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงวุ่นวายมาจากด้านในจวน รู้สึกหน่วงในอกอยู่บ้างเมื่อนึกถึงเสิ่นฉินอี้…
“อย่างน้อยข้าก็ยังมีความรู้สึกสินะ”เจี่ยผิงพึมพำ หลับตาเมื่อรับรู้ว่ารถม้าเริ่มเคลื่อนตัวโขยกเขยกมุ่งหน้าไปทางวังหลวง ตอนนี้ก็ปล่อยให้หลี่ลั่วหวั่นเสพสุขไปก่อนก็แล้วกัน เจี่ยผิงสะดุ้งตื่นจากความฝัน ชายหนุ่มกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้รับกับความมืด เขากวาดตามองไปรอบๆขยับร่างกายที่ปวดเมื่อยจากการนอนอยู่บนตั่งยาวอย่างไม่สบายตัว จำได้ว่าคืนนี้มานอนค้างในตำหนักของเจาเฟิง ไม่สิ เสิ่นจิ้งเฟย เขามองไปที่เตียงนอน ผ้าม่านเป็นเงาตะคุ่ม แต่เขาก็ยังมองเห็นประกายวิบวับจากดวงตาคู่สวยของเจาเฟิงที่จ้องมองมาทางตน เสิ่นจิ้งเฟยนอนไม่หลับหรือ? เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยไม่มีทางยกโทษให้ง่าย ๆ
“จิ้งเฟย เจ้านอนไม่หลับหรือ”เขาส่งเสียงถาม ร่างนั้นขยับเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ เจี่ยผิงยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เหตุใดฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานแล้วกันนะ พักนี้เขาฝันอยู่บ่อย ๆ จนไม่อยากไปนอนค้างที่ตำหนักของสนมนางไหน ชายงามก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย มีเพียงแค่เสิ่นจิ้งเฟยที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาไม่มีทางได้มาง่าย ๆ
“เราฝัน…”เจี่ยผิงยังคงพึมพำต่อไป ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะฟังอยู่หรือไม่ “ถึงเจ้า”ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย ขยับผ้าห่มถึงต้นคอ ยกยิ้มอยู่ในความมืดเมื่อนึกถึงชีวิตวัยหนุ่ม จะว่าไปเจี่ยผิงรู้สึกมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ลอบออกมาพบเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น ไม่ยักรู้ว่าพอเป็นถึงเจ้าแผ่นดินแล้วจะยิ่งรู้สึกเปล่าเปลี่ยวถึงเพียงนี้ แต่หากย้อนเวลากลับไป เขาก็ยังทำเช่นเดิม เขาต้องการบัลลังก์
“เราว่าแปลกนัก เจ้าเกลียดความทรงจำเมื่อครั้งที่เราเป็นฟู่จวิ้น แต่เรากลับมีความสุข”
“ท่านรบกวนการนอนของข้า ถ้าหากอยากขุดคุ้ยความหลังก็ไปคุยกับหลุมศพปู่ข้านู่น”เสียงรำคาญใจดังขึ้น แม้จะไม่ชินกับน้ำเสียงที่ไม่ใช่ของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
“อีกไม่นานข้าคงได้ตามปู่เจ้าไปกระมัง”เจี่ยผิงรำพึงไปเช่นนั้น ไม่มีทางหรอก ข้าเป็นโอรสสวรรค์ ชายหนุ่มนึกถึงเจี่ยซินกับแผนการกบฏ รวมถึงองค์ชายใหญ่ที่ไร้วาสนา เขาเองก็ไม่อยากฆ่าแกงพี่น้องสายเลือดเดียวกันแม้จะเพียงครึ่งหนึ่งก็เถอะ แต่สวรรค์คงกำหนดไว้แล้ว เหลือทางเลือกไม่มากเท่าไหร่ หากเราไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็ฆ่าเรา
“ให้ข้าฆ่าท่านดีหรือไม่เล่า ข้าอยากควักหัวใจท่านออกมาดูว่าเป็นสีใดเป็นของมนุษย์หรือไม่”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าว ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับมีร่องรอยขุ่นเคือง
“ตายด้วยน้ำมือเจ้า? ฟังดูดี แต่ต้องรอให้เราแก่เฒ่าเสียก่อน”มาแก่เฒ่าไปด้วยกันเถิด เสิ่นจิ้งเฟย
~•~
ไป๋ผูอวี้กุมจอกชาอยู่ในมือ ภายในรถม้าจุดกระถางไฟเพิ่มความอบอุ่น อากาศวันนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายหากเทียบกับที่หลานโจวเมืองบ้านเกิด เขายกจอกขึ้นจิบช้า ๆรับรู้รสชาติหอมของชาหมอลี่ฮวาฉาที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน ระหว่างนั้นเงาร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในรถม้าที่จอดรออยู่ข้างสวนลู่
“เจ้ามานานหรือยัง”จ้าวเซียวชิงเอ่ยถาม ยื่นมืออิงรับความอบอุ่นที่กระถางไฟ บุตรชายกรมพระคลังสวมใส่ชุดที่กลมกลืนไม่สะดุดตาเฉกเช่นทุกที
“ไม่นาน”ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ระหว่างที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
“ดูเหมือนว่าหลิวอ๋องเริ่มเคลื่อนไหว เขาเริ่มติดต่อกับอ๋องแคว้นเกาโหยว คงจะมีเหตุวุ่นวายเร็วๆนี้กระมัง”จ้าวเซียวชิงถอนหายใจ เอนพิงผนังรถม้า มือซุกอยู่ในแขนเสื้อ
“เจ้าว่าเขาจะนัดพบเสิ่นจิ้งเฟยหรือเปล่า”คุณชายจ้าวเอ่ยถามแม้สีหน้าจะยังมีความง่วงงุ่น แต่ก็ปิดความกังวลในแววตาไม่มิด
“เป็นไปได้ เว้นแต่ว่าเขาจะไม่ไว้ใจคุณชายเสิ่น”ไป๋ผูอวี้ตอบ รินชาใส่จอกให้อีกฝ่าย
“เหตุใดเจ้าไม่พูดจาผูกมิตรกับคุณชายเสิ่นตรง ๆ เขา…ไม่ค่อยมีสหาย”ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่ตนเองห่วงเรื่องคุณชายไม่เอาไหนถึงเพียงนั้น
จ้าวเซียวชิงเลิกคิ้ว มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเป็นห่วงเขารึ เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่คนอ่อนไหว เขาไม่สนใจด้วยเรื่องแค่นี้หรอก”
“เขาไม่เหมือนเดิม เจ้าคงสัมผัสได้กระมัง ข้าไม่เข้าใจนัก เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนไปราวคนละคน”ไป๋ผูอวี้อดใจรำพึงออกมาไม่ได้ เป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจมานานหลายเดือน ตั้งแต่เสิ่นจิ้งเฟยไปเมาสุราที่หอผูเยว่…ไป๋ผูอวี้จำได้ว่าวันนั้นชนเข้ากับคุณชายเสิ่นที่ดูจะเผือดซีดเหมือนคนป่วย ท่าทางดูมึนงงทึมทื่อ ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อจำสีหน้าในตอนนั้นได้ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจ้าเด็กนั่นทำสีหน้าเช่นนั้น จ้าวเซียวชิงปรายตามอง ทำเสียงจุ๊ในลำคอ
“อืม เจ้าพูดมาก็ถูก เขาแปลกไปจากเดิมราวคนละคน แต่ข้าก็นึกหาเหตุผลไม่ออก บางทีเจ้านั่นอาจจะล้มหัวฟาดพื้นจนจำความไม่ได้กระมัง”เรื่องนี้เขากับไป๋ผูอวี้เคยถกกันมาหลายครั้ง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เช่นเคย
“คราแรกข้านึกว่าเจ้าจะตกลงปลงใจกับคุณหนูฉินเสียอีก แต่จะว่าไปก็แปลกพิลึก เสิ่นจิ้งเฟยเคยชอบนางมาก่อน แต่เจ้านั่นกลับมามีสัมพันธ์กับเจ้าเสียอย่างนั้น หากนางรู้คงร้องไห้โฮ ตอนนางร้องไห้น่าเกลียดจะตาย เจ้าคงไม่เคยเห็น”คุณชายจ้าวพึมพำ
“อย่าสนใจเรื่องของข้าเลย เจ้ามีเรื่องใดบอกอีกหรือไม่”ไป๋ผูอวี้เปลี่ยนเรื่อง ฟังเสียงล้อรถม้าวิ่งดังกุกกักไปตามทาง เขาเลิกม่านออกเล็กน้อยเพื่อมองว่าถึงที่ใดแล้ว จุดหมายปลายทางของเขาคือจวนสกุลเสิ่น
“ท่านผู้อาวุโสต้องการพบเจ้า เขาบอกว่าเจ้าไม่ได้แวะไปร่วมวงดื่มน้ำชานานแล้ว”
“ข้าไม่อยากทำตัวมีพิรุธ ทั้งหลิวอ๋องและเสนาบดีเสิ่นต่างก็จับตามองข้า หากข้าเดินทางออกนอกเมืองฉางอันจะยิ่งน่าสงสัย”ชายหนุ่มตอบเพียงเท่านี้แม้จะมีเหตุผลอื่นอยู่ก็ตาม
“เจ้าไม่ไว้ใจตาแก่นั่นรึ”คุณชายจ้าวหันมองอย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ เพียงแค่ไม่เข้าใจเจตนาของคนผู้นั้น เขาคล้ายจะสนับสนุนฮ่องเต้แต่ก็มิยอมช่วยเหลือ การก่อกบฏครานี้เป็นเรื่องใหญ่ หากฮ่องเต้เจี่ยผิงวางหมากพลาดเพียงนิด พระองค์อาจเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ”เขาไม่อยากออกความเห็นเรื่องการเมืองมากนัก ถ้าว่ากันตามตรงมิใช่ว่าเขาไม่อยากเป็นขุนนางเสียทีเดียว แต่ในยามนี้ราชสำนักมีแต่พวกขุนนางไม่ได้เรื่อง เขาไม่อยากร่วมมือกับคนเหล่านั้น ไป๋ผูอวี้ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนที่ถลำลึกมาถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาแค่สนใจร่วมวงสนทนากับชุมนุมบัณฑิตเพื่อแก้ความเบื่อหน่ายเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาข้องเกี่ยวกับผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง
“เจ้ากล่าวถูก แต่ผู้อาวุโสก็เป็นเช่นนี้ ข้าเดาใจเขาไม่ถูกเช่นกัน บางทีเขาอาจต้องการความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักกระมัง ระยะหลังมานี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงทำตัวออกนอกลู่นอกทางไม่น้อย”จ้าวเซียวชิงส่ายหน้าช้า ๆอย่างครุ่นคิด แววตาเป็นประกายไร้ความง่วงงุ่น หากคนผู้นี้เข้าร่วมราชสำนักคงดีไม่น้อย ไป๋ผูอวี้คิด แต่ต้องเป็นยามที่ราชสำนักเกิดความเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ทำหน้าที่ผลักดันเรื่องนี้คือพวกคณะบัณฑิต
“อืม…”เขาพยักหน้า เรื่องของฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ เว้นแต่เรื่องที่ฝ่าบาทเข้ามาวุ่นวายกับเสิ่นจิ้งเฟย พูดกันตามตรง เขาไม่มีทางต่อกรกับคนผู้นั้นได้ ฝ่ายนั้นเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน แต่จะให้เขาอยู่เฉยก็ทำไม่ได้ แต่ยังติดที่สกุลไป๋
“ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสอวิ๋นตั้งใจมอบตำแหน่งอัครเสนาบดีให้กับเสิ่นฉินอี้ แต่เสิ่นฉินอี้ถูกวางยาตายไปเสียก่อน เจ้าว่าจะเป็นอย่างไรหากสกุลเสิ่นยังมีอำนาจมากเพียงนั้น”คุณชายจ้าวหัวเราะในลำคอ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ไม่ต้องการร่วมวงสนทนา
“สกุลหลี่คงตกที่นั่งลำบากแน่ ตาแก่เสิ่นฉินอี้ไม่เอาไว้หรอก”จ้าวเซียวเล่าเหมือนกำลังสนุก เอื้อมมือคว้าจอกชามายกดื่มแก้คอแห้งแต่ก็เบ้หน้าเพราะรสชาติไม่ถูกปาก เรื่องนี้เรียกความสนใจของไป๋ผูอวี้ได้
“เจ้าหมายความว่าสกุลหลี่เป็นคนลอบทำร้ายเสิ่นฉินอี้อย่างนั้นรึ แต่ว่าพิษที่พบเป็นของคนนอกด่าน ข้าคิดว่าเป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่เสียอีก”เขาขมวดคิ้ว หรือที่เสิ่นจิ้งเฟยไปสนิทชิดเชื้อกับหลี่ฮุ่ยจือเป็นเพราะต้องการสืบหาความจริงเรื่องท่านปู่
“ผู้คนว่ากล่าวกันเช่นนั้น”คุณชายจ้าวไหวไหล่ สีหน้าครุ่นคิด “เจ้าจะไปที่ใดต่อ…อ้อ…ข้าคงถามคำถามโง่เขลาไปเอง”ฝ่ายนั้นยิ้มกริ่ม เขาไม่ได้เอ่ยตอบ
~•~
จวนสกุลเสิ่นยังคงเงียบสงบเฉกเช่นทุกวัน หลังจากที่เอ่ยถึงบุตรชายอีกคนของเสิ่นมู่หยาง ผู้เป็นบิดาก็ไม่ได้โผล่หน้ามารบกวนเขา จื่อฟางนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนาฝันถึงภูเขาเหลียวตงแม้จะไม่เคยเห็น แต่ภาพในฝันกลับงดงามเสมือนจริง เขาสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง ลืมตาสะลึมสะลือเมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตาของจางต้ากำลังตรวจกระถางไฟ เขาขยับตัวลุกนั่ง บิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยออกจากร่างกาย หย่อนขาลงจากเตียง ดูท่าวันนี้เขาตื่นสายกว่าทุกที เขากวาดตามองที่โต๊ะเขียนหนังสือก็พบว่ามีสำรับอาหารยกมาแล้ว รวมไปถึงถ้วยยา
“ใต้เท้าเฉินกลับเสียนหยางไปแล้วกระมัง”เขาเอ่ยถามลอย ๆ
“ขอรับ ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสาง”จางต้าตอบ ระหว่างที่หยางชวีสั่งให้บ่าวรับใช้ด้านนอกนำน้ำอุ่นเข้ามา หลังจากที่จัดการอาบน้ำ กินข้าว ดื่มยาเดินลมปราณเรียบร้อย เขาก็นำผ้าใบสำหรับวาดภาพออกมา รู้สึกอยากจับพู่กัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ทำให้เขาไม่อยากออกไปที่ใด นับวันรอพบฮ่องเต้เจี่ยผิง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกทนไม่ไหวอยากพบชายผู้นั้น เรื่องที่อยู่ในใจหากไม่พูดออกไปก็คงนอนหลับไม่สนิท เด็กหนุ่มกลับมาสนใจวาดภาพอีกครั้ง คราวนี้เขาอยากวาดภาพตัวเขาเอง จื่อฟาง จางต้าเก็บโต๊ะอาหารตามปกติระหว่างที่หยางชวีนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย คอยฝนหมึกให้
“คุณชายวาดผู้ใดหรือ”ผู้ติดตามถามขึ้นเมื่อเงยหน้ากวาดตามองภาพวาดบนผืนผ้าใบ เป็นภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าได้รูป เส้นผมสีดำตัดสั้นยาวระต้นคอ ดวงตากระจ่างชัด จมูกพอเหมาะกับใบหน้า ไม่อาจพูดได้ว่าหล่อเหลาปานเทพบุตร แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่ เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคนผู้นี้ คนรอบตัวของคุณชายเสิ่นไม่มีทางหลุดรอดสายตาของหยางชวีไปได้
“คนผู้นี้น่ะเหรอ ชายในฝันของข้าเอง”จื่อฟางตอบทีเล่นทีจริง มองสีหน้าไร้อารมณ์ของหยางชวี
“ชายในฝัน?ข้าไม่คิดว่าคุณชายจะชมชอบบุรุษเช่นนี้ ข้านึกว่าท่านจะชอบคนหล่อเหลา”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นคล้ายกับพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับคุณชายเสิ่นจึงไม่ได้คิดว่าคำพูดฟังดูแปลกประหลาด หยางชวีกระแอมเมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดออกไป คุณชายเสิ่นสมควรชมชอบสตรีงดงามถึงจะถูก เหตุใดเสิ่นจิ้งเฟยถึงมีชายในฝันกัน
“เจ้าพูดหมือนกับว่าข้าชอบบุรุษหล่อเหลาไปเสียทุกคน”จื่อฟางหัวเราะเบาๆ ไล่สายตามองหยางชวี เขาไม่ได้แกล้งเจ้านี่มานานแล้ว คงต้องกระตุ้นเสียหน่อย “จะว่าไปเจ้าก็รูปหล่อเหมือนกันนะหยางชวี”
“ค...คุณชาย”หยางชวีชะงักงันไปอย่างทำตัวไม่ถูก มือที่ฝนหมึกหยุดนิ่ง หนำซ้ำใบหน้ายังร้อนผ่าวเป็นหญิงสาวไปได้ คุณชายรูปงามเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าคนไร้ความรู้สึกอย่างหยางชวีจะเขินอายเป็นด้วย เด็กหนุ่มเม้มปากยิ่งรู้สึกว่าอยากแกล้ง จางต้าลอบมองมาจากที่นั่งได้แต่คิดว่าคุณชายแกล้งหยางชวีอีกแล้ว แต่ก็รู้สึกขบขันกับเจ้าคนหน้าตายนั่น ยังไม่ชินกับนิสัยเช่นนี้ของคุณชายอีก
“เจ้าหน้าแดง เขินข้ารึ”เขากล่าวเสียงนุ่ม เพิ่งเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของอีกฝ่ายจึงแกล้งยื่นมือไปแตะใบหน้าของชายอีกคน
“ข้าน้อย...ขอตัว”หยางชวีพึมพำพบว่าในจังหวะการเต้นในอกเร็วขึ้นจึงรีบออกมาจากห้อง ถึงได้รู้สึกว่าหายใจสะดวกกว่าเดิม บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เขาจำได้ว่ามาจากเรือนของนายท่านเสิ่นเดินเข้ามาเงียบ ๆ ผู้ติดตามเลิกคิ้วเป็นคำถาม อีกฝ่ายกระแอมกระไอ
“นายท่านต้องการพบคุณชายขอรับ”บ่าวรับใช้ส่งเสียง จื่อฟางที่อยู่ในห้องวางพู่กันลง เสิ่นมู่หยางมีเรื่องใดอีก หรือต้องการคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
“เดี๋ยวไป”เขาร้องตอบ ลุกยืนบิดกายไปมา บ่าวคนสนิทรีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับให้ผู้เป็นนาย จื่อฟางก้าวออกมาจากห้อง พบกับหยางชวีที่ยืนก้มหน้าหลบสายตาเช่นเคย
บ่าวรับใช้จากเรือนของเสิ่นมู่หยางเอ่ยเสริม “นายท่านรออยู่ในห้องรับรองขอรับ”
จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ เดินก้าวฉับ ๆไปตามเฉลียงทางเดินทอดยาว เมื่อมาถึงห้องรับรองเด็กหนุ่มสูดลมหายใจก่อนก้าวเข้าไปในห้อง พบเสิ่นมู่หยางนั่งถือจอกชาคล้ายกับกำลังพูดกับใครสักคนอยู่
“ท่านพ่อต้องการพบข้ามีเรื่องใดหรือ”เขาเอ่ยถาม แต่ในห้องไม่ได้มีเพียงเสนาบดีเสิ่น ร่างบางหันมองชายชราร่นวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง ร่างนั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแหลมคมทำเอาขนลุกซู่
“ท่านผู้นี้คือนักพรต เขาบอกว่าเจ้ามีเคราะห์ต้องรีบทำพิธีด่วน”เสิ่นมู่หยางกระแอมเบา ๆ จื่อฟางทำตาโต หันมองผู้พูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“ท่านพ่อเชื่อด้วยหรือ”บ้าไปแล้ว เพี้ยนจริงๆ เสิ่นมู่หยางถูกสายตาของบุตรชายจ้องมองจนทำตัวไม่ถูกจึงกระแอมกระไอเสียงดัง
“เจ้า!”อยู่ ๆท่านนักพรตก็ส่งเสียงแหบพร่าใส่ จื่อฟางหันมองด้วยสายตาเย็นชารู้สึกไม่สบอารมณ์
“เสนาบดีเสิ่น บุตรชายของท่านไม่อยู่แล้ว ยามนี้เหลือเพียงวิญญาณร้ายสิงสู่ร่างกายของบุตรชายท่านเท่านั้น ข้าจะทำพิธีปัดเป่าดวงวิญญาณให้ท่านเอง”นักพรตตวัดสายตามองร่างบาง จื่อฟางใจเต้นผิดจังหวะแม้สีหน้ายังคงเดิม ตาแก่นี่มองเห็นจริง ๆน่ะรึ
“ท่านกล่าวเหลวไหลแล้ว จะทำอันใดก็เชิญแต่หากทำไม่สำเร็จก็คุกเข่าขอโทษข้าด้วย”จื่อฟางเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่คิดว่านักพรตจะทำได้จริง
“เฟยเอ๋อร์!”เสิ่นมู่หยางส่งเสียงเตือนเมื่อบุตรชายกล่าววาจาลามปามกับท่านนักพรต
“ท่านเชื่อนักพรตต้มตุ๋นผู้นี้หรือ”เขาหมุนตัวมอง ยังคงมีสีหน้าขุ่นเคือง
เสิ่นมู่หยางมองหน้าบุตรชาย เขาไม่ได้เชื่อเสียทีเดียว มีนักพรตมาทำนายทายทักถึงที่จะให้อยู่เฉยได้อย่างไร
“เจ้าผีร้าย หยุดพูดจาเหลวไหลเสียที ข้าจะเอาเจ้าออกจากร่างของคุณชายสกุลเสิ่นเดี๋ยวนี้”นักพรตหยิบกระบี่ไม้มาร่ายรำ ท่องบทสวดอะไรสักอย่าง จื่อฟางเฝ้ามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใจเต้นระรัว รอดูว่าตาแก่นี่มีฝีมือจริงหรือไม่
“ท่านพ่อคงไม่ได้เล่าเรื่องราวของข้าให้เขาฟังกระมัง”เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ มองดูว่านักพรตผู้นี้จะเล่นแร่แปรธาตุใด เสิ่นมู่หยางได้ยินคำพูดของบุตรชายก็ขมวดคิ้ว เมื่อมาคิดดูท่านนักพรตได้เอ่ยถามจริง เสนาบดีเสิ่นบอกเล่าว่าบุตรชายนิสัยเปลี่ยนไป ดูไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยคนเดิม...พอได้มาเห็นท่วงท่ารายรำของท่านนักพรตจึงรู้สึกว่าโง่เขลาอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นพวกหลอกลวงจริง ๆ
“วิญญาณร้าย จงออกไป!”นักพรตแกว่งไม้เท้ามาทางจื่อฟาง เขากลั้นใจรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มกวาดตามองร่างกายตัวเอง หัวเราะเบาๆเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเงียบกระจายอยู่ในห้อง ท่านนักพรตชราหนวดเคราสั่นระริกเมื่อคาถาไม่เป็นผล
“ว่าอย่างไร ข้าต้องชักดิ้นชักงอหรือไม่”เขายิ้มกว้าง
นักพรตเคาะไม้เท้าตึงๆ “เป็นเพราะเจ้าเป็นวิญญาณกล้าแกร่ง ข้าไล่ไปไม่ได้ง่าย ๆ”นักพรตทำท่าร่ายรำอีกรอบ ครั้งนี้หมุนกายมาทางจื่อฟาง แต่เงาร่างของหยางชวีปรากฏอยู่เบื้องหน้า ฝามือแข็งแกร่งคว้าไม้เท้าของชายชราไว้
“พอได้แล้ว”ผู้ติดตามเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองนายท่านเสิ่นที่ไม่ได้เอ่ยว่าอะไร นักพรตหน้าเขียวคล้ำ คุณชายเสิ่นทำสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้
“เอาล่ะ ท่านนักพรต ท่านเข้ามาในจวนสกุลเสิ่น มากล่าวหาข้าพล่อย ๆเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าเอาผิดท่านได้ด้วยซ้ำ แต่ข้าเป็นคุณชายจิตใจดีจะไม่เอาเรื่องท่าน ฉะนั้นคุกเข่าขอโทษข้าเสีย”จื่อฟางแสร้งทำอารมณ์เสีย คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นเขาจะไม่ไหว้หน้าท่านนักพรตผู้นี้แม้ตาแก่นี่จะมีอายุมากกว่าเขาก็ตาม
“เฟยเอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้นก็ได้กระมัง ท่านนักพรตเพียงแค่…หวังดี”เสิ่นมู่หยางลุกเดินมาหาบุตรชายพยายามเอ่ยเกลี่ยกล่อม
“
หวังดี โดยการบอกว่าข้าถูกผีร้ายเข้าสิงน่ะหรือ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว”แม้จะถูกครึ่งหนึ่งก็เถอะ ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะมองเห็นอย่างถ่องแท้หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ตาม จื่อฟางปรายตามองอย่างเย็นชา
“ข้าขออภัยที่กล่าววาจาเหลวไหล”ท่านนักพรตจำต้องกัดฟันพูด “แต่ข้าสัมผัสได้!”
“เอาล่ะๆ ข้าจะไม่เอาเรื่องท่าน เด็ก ๆไปส่งท่านนักพรต”เสิ่นมู่หยางไม่อยากเห็นเรื่องวุ่นวาย รู้ดีว่าบุตรชายเป็นคนเช่นไร เขาจึงส่งเสียงเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา บ่าวรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองพานักพรตชราออกไป จื่อฟางรอจนชายชราก้าวไปพ้นห้องจึงหันไปทางเสิ่นมู่หยาง ใช้สายตาเหนื่อยหน่ายมอง
“ท่านพ่อระอาข้าจนต้องฟังคำนักพรตสติเลอะเลือนเชียวหรือ เรื่องของข้าเป็นที่กล่าวถึงไปทั้งฉางอัน เป็นผู้ใดก็เดาได้ว่าข้าไม่เหมือนคนเดิม”จื่อฟางไม่รู้ว่าเสิ่นมู่หยางจะคล้อยตามนักพรตผู้นั้นหรือไม่
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”เขาเอ่ยเสียงอ่อนแม้จะคิดจริง ๆว่าบุตรชายเปลี่ยนไป แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เสนาบดีเสิ่นคว้าไหล่บุตรชายด้วยสองมือ
“เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าโกรธแค้นข้าหรือไม่”ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้กันว่าเอ่ยถามถึงเรื่องใด
“ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว”จื่อฟางยกยิ้มจาง “ข้าไม่ได้แค้นเคือง”ถ้าเป็นเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงล่ะก็ไม่แน่
“ท่านให้ข้าทำใจสักระยะหนึ่งเถิด ข้ามิใช่คนใจจืดใจดำ”เขาได้แต่ตอบไปเช่นนั้น แรงจับของเสิ่นมู่หยางเพิ่มขึ้น
“ข้าขอโทษที่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเจ้า ที่ผ่านมาข้าทำหน้าที่บิดาได้แย่นัก เสิ่นจิ้งเฟย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรชายของข้า ต่อให้เจ้าเกเรอย่างไรข้าก็ยังรักเอ็นดูเจ้าเสมอ”เสิ่นมู่หยางพึมพำ แม้จะรู้สึกกระดากอายแต่ก็คว้าร่างของบุตรชายมาสวมกอด จื่อฟางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงคิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง เขาจึงตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ ไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไรเพราะเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย