#omegaverse #Alpha Omega สุดที่รักของปีศาจ ตอนพิเศษ บทที่4 {หน้า9} {4/4/61}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #omegaverse #Alpha Omega สุดที่รักของปีศาจ ตอนพิเศษ บทที่4 {หน้า9} {4/4/61}  (อ่าน 38203 ครั้ง)

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
มาต่อเรวๆนะ

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1


บทที่39­

          ดูเหมือนว่าหลังจากกำจัดเอลล่าไปได้แม่ของดีทริชก็หายจากอาการป่วยในทันที ลอร่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่านอกจากลูกชายแล้วยังมีชายแปลกหน้ารอคอยให้เธอตื่นเช่นกัน

          “แม่ฮะ” ดีทริชสวมกอดแม่แนบแน่น

          “ที่แม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างนี้ คงหมายความว่ากำจัดราชินีตัวปลอมได้แล้วสิ” ดีทริชพยักหน้า

          “แล้วคนข้างหลังลูกคือใครกัน”

          “โนเอล อลองโซ ครับ ผมเป็นคู่หมั้นของดีทริชลูกชายของคุณ”

โนเอลแนะนำตัวอย่างสุภาพ ลิลี่มองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า อลองโซไม่ใช่พวกมาเฟียหรอกรึ การหมั้นครั้งนี้เห็นทีท่านรอยซีฟัสจะเป็นคนจัดการ

“ลูกถูกบังคับให้หมั้นกับเขาอย่างนั้นหรือดีทริช” ดีทริชส่ายหน้า

“งั้นก็เต็มใจ” เมื่อรู้ว่าลูกชายไม่ได้เสียใจกับการหมั้นหมาย ลอร่าแย้มยิ้มให้ว่าที่ลูกเขยของตน

“ฝากดูแลลูกชายแม่ด้วยนะ”

“จะดูแลอย่างดีครับ” โนเอลตอบรับ ตอนนี้เองที่ลอร่านึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

“แล้วท่านรอยซีฟัสล่ะ หลังจากกำจัดราชินีได้แล้วเป็นยังไง”

ดีทริชจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลอร่าฟัง หลังจากฟังจบคนเป็นแม่ก็ถอนหายใจ

“น่าสงสารท่านเดียร์น่านัก แล้วที่นี้จะเอายังไงต่อไป”

ดีทริชนิ่งเงียบพักหนึ่ง “ท่านพ่อบุญธรรมไปคอยดูแลราชินีนานถึงหนึ่งอาทิตย์แล้วฮะแม่ ผมไม่รู้เลยว่าภายในเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าพ่อบุญธรรมกับราชินีเดียร์น่าคิดยังไง”

“ดีทริช อีกหน่อยลูกต้องเรียกฝ่าบาทว่าท่านพ่อแล้วนะ ส่วนแม่เรียกว่าแม่บุญธรรมจะดีกว่า”

ดีทริชส่ายหน้าไปมา “ผมก็จะยังเรียกแม่ว่าแม่อยู่ดี”

ถึงดีทริชจะไม่พูด แต่ลอร่าเข้าใจดีว่าลูกชายไม่รู้สึกผูกพันธ์กับผู้ให้กำเนิด

“มาอยู๋กันที่นี่เอง” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รู้ว่ารอยซีฟัสมาเยือน คนทั้งหมดหันไปจดจ้อง

“ดีทริช ลอร่า แล้วก็โนเอล ท่านเดียร์น่าอยากจะพบพวกเธอทั้งหมด”

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเดินทางเข้าสู่พระราชวัง โนเอลเยือกเย็นกว่าทุกครั้ง เพราะรู้ดีว่าต้องผ่านด่านราชินีเขาถึงจะสามารถอยู่ร่วมกันกับดีทริชได้

แต่คงไม่ใช่เรื่องง่าย จากการกระทำของท่านพ่อที่ผ่านมา ราชินีคงชิงชังท่านพ่อรวมถึงตัวเขาจับใจ

“เป็นอะไรไป” ดีทริชจับมือของโนเอลเอาไว้ รู้สึกว่าคนรักไม่ปกติ สีหน้าเครียดขึงที่ไม่ค่อยได้เห็นทำให้เขาไม่สบายใจไปด้วย

“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับนายไปตลอดกาล”

โนเอลกับดีทริชสบตากัน แววตาหวานซึ้งของคนรุ่นลูกชวนให้รอยซีฟัสเกิดความรู้สึกหลากหลาย

มันทำให้นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ระหว่างเขากับคาร์ม่า ยิ่งได้มองดีทริชซบศีรษะลงบนต้นแขนของโนเอล ก็ให้เกิดความคิดสงสาร

เดียร์น่าเวลานี้ไม่สดในไร้เดียงสาเหมือนเก่าก่อน ความนิ่งขรึมเยือกเย็นทำให้แม้แต่เพื่อนสนิทวัยเยาว์อย่างเขายังคาดเดาความคิดและการกระทำไม่ได้เลยซักอย่าง

หากว่าต้องการล้างแค้นคาร์ม่า สงครามกลางเมืองต้องเกิดขึ้น แม้เดียร์น่าจะกลับมาแต่อำนาจบริหารยังอยู่ในมือคาร์ม่า ตระกูลครอสเองก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงหรือต่อกรได้

สิบกว่าปีมานี้ อำนาจราชินีเป็นเพียงเรื่องลวงตาเท่านั้น เพื่อดีทริชที่จะสืบราชวงศ์ต่อไปภายภาคหน้าจำเป็นจะต้องจัดการกับคาร์ม่าให้ได้เสียก่อน

เรื่องนี้เดียร์น่าไม่ได้ปริปากออกมาแต่รอยซีฟัสคิดว่าเพื่อนวัยเยาว์คงเห็นด้วยทุกประการ แต่หากเป็นอย่างอื่นล่ะ ราชินีกับดีทริชไม่มีความผูกพันธ์กันแม้แต่นิดเดียว หากไม่ดูดำดูดีลูกคนนี้รอยก็ไม่แปลกใจ

หลังจากเดินทางไปถึงรอยนำคณะของตนเข้าพบราชินี วินาทีที่เดียร์น่าเห็นดีทริชพระองค์มองดูราชบุตรโดยไม่ปริปากเป็นระยะเวลายาวนาน

“เจ้าคล้ายลีฟา แต่ถ้าจะพูดตรงๆ คล้ายท่านแม่ของเรามากกว่า”

ในที่สุดดียร์น่าก็เปิดปากพูดเสียที

“ขอบใจเจ้ามากนะลิลี่ที่ดูแลบุตรของเรามาโดยตลอด เจ้าสมกับเป็นทั้งเพื่อนทั้งข้ารับใช้ที่ดี”

“เป็นพระมหากรุณาแล้วค่ะฝ่าบาท” ลิลี่ถอนสายบัว

“ดีทริชเข้ามาใกล้ๆ เราที” ดีทริชหันไปสบตากับลิลี่ แวบหนึ่งก่อนจะเดินไปหาเดียร์น่า

“นั่งลงข้างๆ เรา” เมื่อมหาดเล็กได้ยินจึงรีบนำเก้าอี้มาให้ดีทริช คนถูกสั่งนั่งลง

“ได้ข่าวว่าลูกเองก็ลำบากเหมือนกัน ชีวิตในสลัมคงไม่สุขสบายนัก จากนี้ไปพ่อจะทดแทนทุกสิ่งให้ลูกทั้งหมด”

รอยยิ้มอ่อนโยนทำให้ดีทริชคลายกังวล ที่แรกคิดว่าผู้ให้กำเนิดเป็นคนแบบไหน หยิ่งยะโส ชอบออกคำสั่ง คือภาพลักษณ์ที่ดีทริชคาดการณ์ไว้ แต่เห็นจะไม่ใช่

“ได้ข่าวว่าลูกหมั้นกับคนโนเอล อลองโซ เพราะอย่างนี้พ่อถึงเรียกเขามาพบด้วย”

เดียร์น่าปลายมองไปยังโนเอล จากข้อมูลที่เธอได้มาจากรอยซีฟัสเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีข้อด้อยใดให้ขัดเคือง เว้นแต่เป็นหมากทางการเมืองลูกที่คาร์ม่าใช้เพื่อรักษาอำนาจ

“เราไม่พอใจที่เจ้าเป็นบุตรชายของคาร์ม่า คงรู้สินะว่าเพราะอะไร”

“กระหม่อมพอทราบอยู่บ้างฝ่าบาท”

“ดี...ที่นี้เราพอรู้มาบ้างว่าเจ้าหมั้นกับบุตรเราด้วยความรัก แต่เลือดเนื้อของคนตระกูลฟีโอเร่เชื่อถือไม่ได้ เจ้ากล้าทำพันธะทาสกับบุตรของเราหรือเปล่า”

พันธะทาสเป็นอาคมโบราณที่เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงใช้ ผลของอาคมจะทำให้คนที่ผูกพันธะกับผู้เป็นนายมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกัน หากนายตายทาสก็ต้องตาย แต่ถึงแม้ว่าทาสตายจากไปผู้เป็นนายยังคงอยู่ดีทุกประการ

“เจ้ากล้าทำพันธะทาสกับบุตรเราหรือเปล่า”

ดีทริชเม้มปากเข้าหากันและปลายมองไปยังโนเอล แทบจะในทันทีคนรักตอบโดยไม่ต้องคิด

ดีทริชบรรยายความรู้สึกไม่ถูก มันทั้งตื้นตันที่อีกฝ่ายยอมเสียเปรียบเพื่อเขาขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็สงสารโนเอลมากเหลือเกิน แต่ไม่สามารถขัดใจราชินีได้

“งั้นก็ผูกพันธะกันเลยแล้วกัน เราจะเป็นคนประกอบพิธีเอง”

ดีทริชกับโนเอลเดินไปยังเบื้องหน้าราชินี พิธีกรรมผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนหน้าผากของโนเอลมีสัญลักษณ์บางอย่างผุดขึ้นมาบ่งบอกถึงความเป็นทาส

“จะไม่มีใครแก้พันธะนี้ได้ นอกจากเราและดีทริช” ราชินีพูดกับโนเอล

“เท่านี้เราก็รู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อย ลูกรักนี่เป็นสิ่งแรกที่พ่อจะทำเพื่อลูกนะ”

เดียร์น่าลูบศีรษะดีทริชเบาๆ แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูมา แต่ลูกก็ยังคงเป็นลูก เป็นเด็กเพียงคนเดียวที่จะปลดเปลื้องภาระรับผิดชอบของเธอ หลังจากนี้เธออยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เบื่อหน่ายกับการเมืองอันโสมมเหลือเกินแล้ว

“แต่ไม่ใช่ว่าเราจะยอมรับให้เจ้าอภิเษกกับลูกเราง่ายๆ เรามีคำฝากของเราไปบอกกล่าวกับคาร์ม่า ซึ่งจะให้รอยเป็นคนแจ้ง เจ้ามีหน้าที่เกลี่ยกล่อมให้พ่อของเจ้าทำตามข้อเสนอของเรา ไม่อย่างนั้นคนอย่างเจ้าก็เป็นได้แค่นางบำเรอของลูกเราเท่านั้น” กล่าวจบราชินีก็หันไปพูดกับดีทริช

“ลูกเราแม้ว่าตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์จะไม่ยอมรับโอเมก้าขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่มีบัญญัติพิเศษต่อท้ายด้วยเช่นกัน หากไม่มีผู้สืบสายเลือดคนอื่นอีกก็อะลุ่มอล่วยให้โอเมก้าอย่างลูกครองบัลลังค์ได้ หกร้อยปีก่อนก็มีกษัตริย์ที่เป็นโอเมก้าเช่นกัน” จากนั้นราชินีใช่แววตาวาววับจ้องมองโนเอล

“ที่เราต้องการจากคาร์ม่า คือให้วางมือจากการเมืองซะ แล้วยกอำนาจควบคุมทั้งหมดให้เจ้า เมื่อเจ้ามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลฟีโอเร่รวมถึงเผ่าพันธ์อสูรกลายร่างเมื่อไหร่ เราจะจัดงานอภิเษกสมรสให้เจ้าในทันที”

โนเอลสูดลมหายใจเข้าลึก ท่านพ่อจะยอมอย่างนั้นหรือ เขาไม่สามารถเดาใจท่านพ่อได้

“แล้วก็แม็กซิม ฟีโอเร่ เราจะประหารซะ นี่เป็นเงื่อนไขอีกอย่าง เราเห็นแก่เจ้านะจึงกำจัดเสี้ยนหนามให้กับมือ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” โนเอลแสดงความเคารพ

“เจ้าสองคนไปยื่นข้อเสนอให้คาร์ม่าโดยเร็ว เราอยากจะพูดคุยกับลูกของเรา”

ดีทริชกับโนเอลประสายสายตากันก่อนจาก ต่อมาเขากับรอยซีฟัสก็โดยสารรถเดียวกันมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของตระกูลฟีโอเร่

“คุณจ้องหน้าผมนานแล้วนะรอย”

“แค่คิดว่า นายเป็นลูกของคาร์ม่าจริงๆ นะหรือเท่านั้นเอง”

จากนั้นต่างคนต่างก็นิ่งเงียบ รอยตระหนักดีว่าโนเอลไม่เหมือนคาร์ม่า การที่ยอมสละเพื่อคนรักก็แตกต่างกันมากแล้ว หากเป็นคาร์ม่าคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทั้งคนรักและอำนาจมาอยู่ในมือ ดีทริชช่างเป็นเด็กที่โชคดี

ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟีโอเร่ รอยไม่ต้องเสียเวลารอ คาร์ม่าอนุญาตให้เขาเข้าพบทันที   

“เจ้าออกไปก่อนโนเอล ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”

โนเอลถูกไล่ออกมารอด้านนอก ท่านพ่อกางอาณาเขตครอบคลุมเอาไว้แม้หูเขาจะดีแค่ไหนก็ไม่ได้ยินที่ทั้งสองคนข้างในพูดกัน

เป็นเวลานานพอสมควรในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมา รอยซีฟัสขอตัวกลับทันที ส่วนท่านพ่อเรียกเขาเข้าไปคุย

“บางทีก็คิดว่าเจ้านี่มันไม่ได้ความฉลาดของพ่อไปซักนิด หากมาขอร้องพ่อแต่แรก นอกจากจะได้ดีทริชเป็นเมียบัลลังค์ก็จะเป็นของเจ้าด้วย”

คาร์ม่าเดินมาหาแล้วสำรวจตรวจตราสัญลักษณ์ความเป็นทาสบนหน้าผาก

“เจ้าลูกโง่เอ๊ย อาจเป็นเพราะพ่อเองก็อายุมากเช่นกัน ถึงได้โง่เขลาตามเจ้าไปด้วย”

“ท่านพ่อยอมรับข้อเสนอ” โนเอลแปลกใจมากทีเดียวไม่คิดว่าท่านพ่อจะยอมถอยง่ายๆ

“ก็คิดมานานแล้วว่าอยากจะใช้ชีวิตเรียบง่ายกับคนรัก เริ่มจะเบื่อกับเกมส์การเมืองแล้วเหมือนกัน เท่านั้นเอง” คาร์ม่าตบบ่าลูกชาย

“เรื่องของตระกูลและเผ่าฝากเจ้าดูแลแทนพ่อก็แล้วกัน”

โนเอลเดินทางกลับคฤหาสน์ของตนเมื่อไปถึงก็พบว่าดีทริชรออยู่ทีนั่นแล้ว

“นึกว่าวันนี้คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” โนเอลยิ้มอ่อนหวาน เขาสวมกอดดีทริชไว้แนบอก

“จริงๆ คือร้อนใจจนท่านพ่อรู้สึกได้ เลยถูกปล่อยตัวมาน่ะ”

“อย่างนี้เอง” โนเอลพึมพำคลอเคลียริมฝีปากที่แก้มของดีทริชสูดดมกลิ่นหอมซึ่งชื่นชอบมาแต่แรก

“ท่านพ่อของนายยอมทำตามเงื่อนไขไหม ฉัน...ไม่อยากให้นายเป็นแค่นางบำเรอของฉันหรอก”

“จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็เตรียมใจอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนฝัน ท่านพ่อยอมรับข้อเสนอทุกอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ารอยไปพูดอะไร”

ดีทริชแค่นยิ้ม เรื่องของผู้ใหญ่เขาไม่อยากเดา แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์แนบแน่นเกินงามของทั้งสองคน

“ต้องอีกกี่ปีกันนะ” โนเอลพึมพำ ดีทริชเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

“หมายถึงอะไร”

“ฉันหมายถึง” โนเอลกระซิบข้างหูดีทริช คนฟังเมื่อรู้ชัดก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงความรักใคร่

“นายสัญญาแล้วว่าจะรอ รอไม่ไหวแล้วอย่างนั้นหรือ”

โนเอลมองดีทริชด้วยสายตารักใคร่ไม่ต่างกัน

“มากกว่านั้นฉันยังทำได้ แค่รออีกไม่กี่ปี ทำไมจะทำไม่ได้ รักนายนะดีทริช”

“ฉันก็เหมือนกัน รักนายนะ”

หลังจากกล่าวคำรัก ทั้งสองคนก็แลกจูบหวานซึ้งดูดดื่ม

เพราะว่ารักและตัดสินใจจะอยู๋ร่วมกันไปชั่วชีวิต แค่เวลาไม่กี่ปีสำหรับโนเอลแล้วมันสั้นมาก เหมือนเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น



คุยท้ายเรื่อง



จบแล้วนะ5555 งงไหม5555 มีตอนพิเศษ แต่จะมีบางส่วนที่จะสงวนไว้ในเล่ม และบางส่วนเอามาลงให้อ่าน

ต้องขออภัยที่ต้องสงวนไว้ให้คนเสียเงินบ้าง อย่าโกรธเรานะ

ตอนพิเศษที่จะลงต่อไปเป็นอย่างแรกคือเรื่องคาร์ม่ากับรอย หวังว่าคงไม่ผิดหวังหรือเบื่อกันนะ

ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา รบกวนตามอ่านตอนพิเศษกันต่อนะคะ

แสดงความคิดเห็นกันบ้าง และขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ชี้แนะขอเสียนิยายให้

ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ

อาจจะดูจบห้วนไปขออภัยนะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
ตอนพิเศษ

บทนำ

เพราะว่ามีแต่โอเมก้าเท่านั้นที่จะให้กำเนิดอัลฟ่าสายเลือดปีศาจได้ ดังนั้นโอเมก้าจึงเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังไม่มีสิทธิเสียงอันเท่าเทียมกับพวกอัลฟ่าอยู่ดี

คาร์ม่าเกิดในตระกูลฟีโอเร่ซึ่งภายในมีความซับซ้อนอย่างที่สุด ผู้นำรุ่นก่อน รุ่นก่อน และรุ่นก่อน ล้วนตายไปด้วยศัตรูอย่างตระกูลครอสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

พ่อของคาร์ม่าเองก็เช่นกัน ท่านพ่อเป็นอัลฟ่าที่มีจิตใจอ่อนแอ บ่อยครั้งที่ถูกท่านย่าทวดใหญ่คอยบงการ ไม่สิตั้งแต่รุ่นปู่แล้วที่ต้องรับคำสั่งจากท่านย่าทวดเป็นทอดๆ สืบกันมา

“เจ้าโอเมก้าหน้าโง่นี่”

คาร์ม่ามองดูไอเดนแม่ของเขาล้มลงไปกับพื้นเพราะถูกท่านย่าทวดตบ มิหนำซ้ำยังถูกน้ำสาดใส่อย่างไม่ปราณี

“ขอโทษครับท่านเรเวนน่า” เขามองดูท่านแม่โค้งคำนับหลายครั้งด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวกับมองดูคนอื่น

“ถ้ารู้ว่าผิดแต่แรกคงไม่มาอวดเก่ง คอยสั่งให้ฉันทำนั้นทำนี่หรอกจริงไหม”

เรเวนน่ากล่าวดุดัน ไอเดนใช้ดวงตาแสนเศร้ามองไปยังคาร์ม่าบุตรชายซึ่งบาดเจ็บที่แขนจนเลือดอาบ บาดแผลนี้ได้รับมาจากการฝึกต่อสู้กับเคนผู้ที่มีสิทธิในการสืบทอดตำแหน่งเป็นอันดับสอง

“ขอให้แกจำไว้นะเจ้าโอเมก้าชั้นต่ำ คาร์ม่าไม่ต้องการความห่วงใยของแกหรอก ผู้นำตระกูลรุ่นถัดไปต้องแข็งแกร่งกว่าใคร เป็นแผลแค่นี้ถ้าทนไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นผู้สืบทอด” ตอนนี้เองที่เรเว่นหันไปพูดกับคาร์ม่า

“เข้าใจใช่ไหมคาร์ม่า”

“เข้าใจครับท่านย่าทวด”

“เฮ้อ...เสียดายจริงๆ ที่เคนไม่ใช่อัลฟ่า พูดกันตามตรงความฉลาด พลิกแพลง เคนมีมากกว่าแกหลายขุมนักรู้ไหมคาร์ม่า”

“หลานทราบครับท่านย่าทวด”

ที่หางตาคาร์ม่าเห็นเคนกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะเวลาต่อมาเขาแอบปลายมองท่านแม่เดินออกไปอย่างเงียบๆ เหมือนทุกครั้งเขาทำได้แนบเนียนจนไม่มีใครสังเกตุ

“เอาล่ะเรามาฝึกกันต่อดีกว่า หวังว่าแกคงจะไหวนะคาร์ม่า แผลแค่นี้ไม่น่าเป็นอุปสรรคสำหรับอัลฟ่าสายเลือดปีศาจอย่างแกนี่”

รอยยิ้มแสยะของท่านย่าทวดยังน่ารังเกียจเหมือนเดิม “ครับ ผมพร้อมแล้ว”

          ถึงแม้ว่าคาร์ม่าจะเป็นเด็กวัยแค่สิบสอง แต่การฝึกฝนของย่าทวดนั้นช่างแสนเข้มงวด เป็นการสั่งสอนที่เหมือนกับจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง บางทีคงอยากให้เขาตายไปจริงๆ

          “โอ้กำลังคร่ำเครียดกันน่าดูเลยนะครับ ท่านย่าใหญ่เรเวนน่า”

          คนที่มาคือท่านลุงมิราจ ถ้าเคนเป็นเด็กที่มาจากตระกูลรอง ท่านลุงมิราจก็มาจากตระกูลอันดับสาม เขาเป็นหัวหน้าตระกูลแถมยังมีตำแหน่งสูงถึงผู้นำกองกำลังรบพิเศษของฟีโอเร่

          “ได้เวลาที่ผมจะนำตัวเขาไปฝึกที่หน่วยรบได้แล้วล่ะมั้งครับ”

          ท่านย่าทวดกับเคนมีสีหน้าขัดเคือง คาร์ม่ายังรักษาความเยือกเย็นเช่นเดิม

          “ก็ถ้ามันมีแรงฝึกกับแกล่ะก็นะ” รอยยิ้มแสยะอันแสนน่ารังเกียจอยู่บนใบหน้าของทั้งเคนและท่านย่าทวด คาร์ม่าทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งเพียงอย่างเดียว

          “ไม่ไหวก็ต้องไหว ผู้นำตระกูลรุ่นถัดไปของฟีโอเร่ต้องไปฝึกกับกองรบพิเศษของตระกูลทุกคน ท่านย่าทวดรู้ดี”

          “เอาล่ะๆ ไปให้พ้นหน้าไป๊”

          ทันทีที่ท่านย่าทวดโบกมือไล่ ท่านลุงมิราจก็สะบัดปลายคางสั่งให้เขาเดินตามไป เมื่อเดินเข้าไปในคฤหาสน์ท่านแม่รอเขาอยู่แล้ว

          คาร์ม่านั่งนิ่งๆ ให้ไอเดนผู้เป็นแม่ทำแผล เขามองดูแม่ของตนรักษาอาการบาดเจ็บทั้งน้ำตาด้วยสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง นึกอยากใช้มือซับน้ำตาบนใบหน้าของท่านแม่แต่ก็หดมือกลับ

          “เอาล่ะในเมื่อทำแผลเสร็จแล้วก็ไปได้เสียที” เขาเดินตามท่านลุงมิราจไป แอบมองดูท่านแม่ด้วยหางตา สีหน้าเศร้าสร้อยของแม่สร้างความปวดร้าวภายในอก

          “อ่อนโยนกับท่านแม่ซักนิดจะเป็นไรไป” เมื่อขึ้นไปนั่งในรถส่วนตัวเรียบร้อยท่านลุงมิราจก็เอ่ยเย้าแหย่

          “ถ้าสนิทสนมกันมากเกินไป ไม่เพียงแค่ผมที่แย่ ท่านแม่ก็จะถูกหมายหัวไปด้วย”

          “ดีแล้วปล่อยให้เรเวนน่าคิดว่าสามารถควบคุมเจ้าไว้ได้อย่างนั้นจะดีกว่า”

          “เรื่องที่ท่านลุงเล่าให้ผมฟังเมื่อสี่ปีก่อนผมจำได้ขึ้นใจ”

          มิราจยิ้มอ่อนใจ บางทีคิดถึงรอยยิ้มไร้เดียงสาที่เคยมีเมื่อเก่าก่อน หลังจากร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนฝืนสู้ฝืนยิ้มเพื่อมารดา ในที่สุดก็เข้มแข็งอย่างแท้จริงในตอนที่เขาเล่าประวัติอันโสมมของตระกูลให้ฟัง

          “รู้ใช่ไหม ว่าถ้าย่าทวดคนนั้นกับคนเก่าแก่บางคนที่คอยให้ท้ายยังคงอยู่ เจ้าจะถูกแทนที่ด้วยเคนได้ทุกเมื่อ”

          คาร์ม่านิ่งเงียบ แต่มิราจเห็นแววตาวาววับดุดันคู่นั้นแล้วเกิดความมั่นใจในตัวหลานชายคนนี้

ตระกูลฟีโอเร่ต้องการสิ่งใหม่ ผู้นำที่มีหัวคิดใหม่ๆ ความบาดหมางระหว่างตระกูลครอสผู้นำเผ่าอันเดด และตระกูลฟีโอเร่ผู้นำเผ่าอสูรกลายร่างกินระยะเวลายาวนานเกินไป

มันสร้างความบอบช้ำและนำทางคนในเผ่าทั้งตระกูลไปในทางที่ผิด คนรุ่นใหม่มองเห็นวิธีการแสวงหาความมั่นคงอย่างอื่นได้ แม้ว่าจะต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลครอสก็ตาม

และคนรุ่นไหมก็เล็งเห็นว่าคาร์ม่าเป็นเด็กที่เหมาะสมจะผลักดันขึ้นไป ทั้งความเข้มแข็ง แนวคิด รวมถึงสายเลือด ไม่มีผู้ใดดีไปมากกว่าหลานคนนี้ ขอเพียงไม่ถูกย้อมด้วยสีของเรเวนน่าก็เพียงพอ

แม้ว่าผลจากการดูคุณสมบัติของคาร์ม่ามันจะทำให้เด็กคนนี้ขาดสีสันในชีวิตไปเยอะก็ตาม แต่นับเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ

คาร์ม่านั้นเพื่อให้แม่ที่เป็นโอเมก้ามีความสุข เขาพร้อมเหยียบย่ำปีศาจทุกตัวขึ้นไป ยอมแสร้งเป็นคนเลวร้ายเย็นชาเพื่อให้แม่อยู่ในที่ปลอดภัย

“เจ้าไม่พูดกับไอเดนนานเท่าไหร่แล้ว หมายถึงพูดคุยสัพเพเหระหยอกเย้ากันตามประสาแม่ลูก”

“ถ้าทำอย่างนั้นตอนนี้ ที่ผมพยายามมาทั้งหมดสี่ปีมันก็จะเปล่าประโยชน์”

ตอนนี้เองที่คาร์ม่าใช้ดวงตาราวกับสัตว์ร้ายประสานเข้ากับมิราจ

“ผมอยากรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่เราถึงจะลงมือกำจัดมือเท้าของท่านย่าทวดได้เสียที”

“เรายังมีเวลาอีกนาน ค่อยๆ ทำอย่างแนบเนียนไปทีละคน อย่าใจร้อนสิ”

มิราจมองดูคาร์ม่าถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะ นึกเอ็นดูที่ได้เห็นความเป็นเด็กซึ่งไม่คิดว่าจะหลงเหลือในตัวเด็กคนนี้

คารม่ายังจดจำความวุ่นวายที่ท่านลุงมิราจเล่าให้ฟังได้ดี ทั้งเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลฟีโอเร่กับตระกูลครอส

เรื่องท่านพ่อและเรื่องเลวร้ายที่เรเวนน่าย่าทวดใหญ่ทำกับตระกูลอย่างยาวนาน

ปัญหามันอยู่ที่เรเวนน่าเป็นอัลฟ่าจากตระกูลหลัก แต่อาจเพราะว่าเป็นสตรีจึงทำให้ผู้นำตระกูลในตอนนั้นไม่มั่นใจจึงนำเอาปู่ทวดซึ่งมาจากตระกูลรองสืบทอดตำแหน่งแทน

 สตรีที่เป็นอัลฟ่านั้นต่อให่สมสู่กับอัลฟ่าเผ่าปีศาจด้วยกันก็ไม่สามารถให้กำเนิดเด็กที่เป็นอัลฟ่าได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกเฟ้นโอเมก้ามาเป็นภรรยาคนที่สอง

ภรรยาโอเมก้าให้กำเนิดอัลฟ่าสายเลือดปีศาจคือท่านปู่ของเขาซึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำตามคำสั่งเสียของผู้นำคนก่อนที่ตายไป เรเวนน่าไม่สามารถให้ลูกชายที่คลอดมาด้วยตัวเองขึ้นเป็นผู้นำได้

จึงผลักดันให้ลูกชายของตนเป็นผู้นำตระกูลรอง จากนั้นเขี่ยสายเลือดของตระกูลรองให้ตกไปเป็นตระกูลอันดับสาม แล้วคอยควบคุมเลี้ยงดูผู้สืบทอดอัลฟ่าให้หัวอ่อนเชื่อฟังเธอเสมอมา

การปกครองของเรเวนน่าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งท่านย่าทวดชักใยนานเท่าไหร่ตระกูลฟีโอเร่ก็ดำเนินไปทางเละเทะมากขึ้นทุกที บางทีการที่ผลักดันผู้นำทุกรุ่นให้ไปตายอาจเพราะต้องการให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนจากตระกูลรองขึ้นมาเป็นผู้นำเสียที

จนมาถึงรุ่นเขาก็ยังสั่งสอนฝังหัวให้เกลียดชังคนตระกูลครอสเข้าใส้ สอนว่าหากมีโอกาสเมื่อไหร่ให้จัดการเสีย ฆ่าได้ฆ่าหาเรื่องได้คือหาเรื่อง แนะนำให้เขาไปตายก่อนใครเพื่อสนองความเกลียดชังที่ตัวเองมี

เขาถูกท่านย่าทวดเก็บเอาไว้ในตระกูลอย่างมิดชิด แม้แต่การศึกษายังให้อาจารย์มาสอนแล้วสอบเทียบเอาที่คฤหาสน์ ต่างกับเคนหลานแท้ๆ จากตระกูลรอง

เจ้าหมอนั่นได้ออกงานในฐานะผู้สืบทอดอันดับสอง คลุกคลีกับราชินีตัวน้อยรู้จักโลกภายนอก

ถึงตอนนี้คาร์ม่าจึงหัวเราะ สิ่งที่คนเก่าคนแก่ต้องการจากผู้นำตระกูลทุกรุ่น คือร่างอสูรกายที่แข็งแกร่ง คาร์ม่าเป็นไคมีร่าซึ่งเป็นพันธุ์พิเศษ

 เพราะอย่างนี้เรเวนน่าจึงกริ่งเกรงเขามากกว่ารุ่นก่อนๆ แล้วก็ต้องขอบคุณความเป็นพันธุ์พิเศษของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขากับท่านลุงมิราจเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน แต่หากไร้ความสามารถ ใครที่ไหนจะให้การสนับสนุน

คาร์ม่าเรียนรู้และจดจำตั้งแต่อายุได้แปดขวบเต็ม อำนาจเท่านั้นที่สามารถบันดาลทุกสิ่งให้สมประสงค์



คุยท้ายเรื่อง

ตอนพิเศษของคาร์ม่ารอยคิดไว้คร่าวๆ คือน้อยสุดคือแปดตอนถ้าลากยวมากก็ไท่เกิน20ตอนค่ะ

มีพลอตแบบหลวมๆ อาจจะเจอช่องโหว่บ้างจุดขออภัยนะคะ แต่ชี้แนะได้นะคะ เราจะได้ฉลาดขึ้น5555

ตอนพิเศษอาจจะยาวๆ รัวๆ ตอนพิเศษของเอฟเว่นกับดีทริชมีแน่นนอน

แต่เราขอครุ่นคิดก่อนว่าจะเอาไงดี คิดว่าตอนพิเศษของคู่หลักก็น่าจะยาวอยู่นะ คิดไว้เยอะ

อย่าด่าเราที่ไม่เอามาลงต่อนะคะ เราขอโทษTT

ถ้ารอยคาร์ม่าไม่สนุกขออภัยล่วงหน้านะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ขอบคุณมากค่ะ   :pig4: :3123:

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1


บทที่1

ใครจะไปคิดล่ะว่ารถที่ตัวเองโดยสารมาดันชำรุดกลางทาง รอยซีฟัส ครอส จำต้องลงมายืนรอให้ลูกน้องเรียกรถมารับ แต่ก็นั่นแหละการจราจรซึ่งติดขัดทำให้ต้องยืนรอนานเป็นชั่วโมง จึงคิดได้ว่าวิ่งไปเองคงดีที่สุด

“นายน้อยจะไปเองหรือครับ”

รอยซีฟัสพยักหน้า ก่อนจะวิ่งปรี่ออกไปอย่างรวดเร็ว เขาโดดขึ้นไปวิ่งบนหลังคาข้ามรัวบ้านจำนวนมาก ตั้งใจว่าจะใช้ทางนี้ลัดผ่านไปยังคฤหาสน์ของตัวเอง

วันนี้มันก็ดึกมากแล้ว เขาใช้เวลาพูดคุยกับเดียร์น่ามากเกินไปนิด ทำอย่างไรได้ล่ะ การอยู่กับคนที่แอบชอบนานๆ ใครๆ ก็ต้องยินดีทั้งนั้น

รอยซีฟัสวิ่งผ่านมาจนถึงสวนสาธารนะแห่งหนึ่ง ที่นั้นเงียบสงัดไร้ผู้คน แม้แต่คนจรจัดยังไม่มีแม้แต่เงา

 <ตามปกติคนไร้บ้านต้องอาศัยนอนไปทั่วสิถึงจะถูก> เขาสงสัยแต่ก็ปัดความคิดนั้นไปเพราะไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนัก

“อ๊าก...”

รอยซีฟัสได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากข้างหน้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เขาเป็นแวมไพร์กลิ่นเสียงภาพสามารถรับรู้ได้ชัดเจน ความกระหายใคร่รู้ทำให้เร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม

ภายใต้พระจันทร์เต็มดวง ภาพเด็กหนุ่มผมสีเงินรูปงามยืนอยู่เหนือร่างที่นอนจมกองเลือด มือและใบหน้าของเขาแปดเปื้อนโลหิตเพราะฉะนั้นตอนที่ยกมือขึ้นเช็ดเจ้าสีแดงบนใบหน้าแทนที่จะช่วยให้สะอาดกลับกลายเป็นทำให้เลอะเทอะกว่าเดิม

          “มีผ้าเช็ดหน้าไหม”

          เหมือนว่าเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นจะไม่สะทกสะท้าน ถูกคนแปลกหน้าเห็นความผิดของตัวเองยังยิ้มได้อีก รอยซีฟัสประหลาดใจแต่ยังยื่นผ้าเช็ดหน้าให้

          “ขอบใจนะ”

หลังเช็ดหน้าเสร็จเด็กหนุ่มคนนั้นก็กล่าวขอบคุณ ดูจากรูปร่างหน้าตาเยาว์วัย รอยซีฟัสเดาว่าวัยน่าจะใกล้ๆ เขาที่อายุสิบแปดปี

เมื่อกล่าวขอบคุณแล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก รอยซีฟัสประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

“จะไม่ฆ่าปิดปากฉันหรือนายฆาตกร”

“ฉันเป็นนักฆ่าไม่ใช่ฆาตกรหรอกนะ”

คนที่อ้างตัวว่าเป็นนักฆ่ายิ้มละไม ดูๆ ไปเป็นรอยยิ้มที่น่ารักน่าชังผิดกับการกระทำ

“อ้อ...งั้นเดียวคงจะกำจัดศพสินะ ตามสบายแล้วกัน”

รอยซีฟัสหมุนตัวกลับ ไม่รู้ทำไมนึกอยากหันไปมอง แล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มผมเงินคนนั้นมองที่เขาด้วยสายตาวาววับ <มองอย่างนี้หมายความว่าไงวะ>

“นายไม่มีปัญญาฆ่าฉันได้หรอก ฝีมือของฉันไม่ใช่กระจอก อีกอย่างมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตอย่างฉันชีวิตนายลำบากแน่ๆ”

“รอยซีฟัส ครอส ฉันรู้จักนายดีผ่านโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์”

เด็กหนุ่มรูปงามยิ้มน้อยๆ รอยซีฟัสไม่แปลกใจที่ใครๆ จะรู้จักเขา เพราะตัวเองก็เป็นคนดังในวงสังคม

“หึ..งั้นก็รู้ตัวนะว่าไม่ควรแหยม”

รอยซีฟัสไม่ได้สนใจอีกเขาออกวิ่งมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลครอส

คาร์ม่ามองดูรอยซีฟัสวิ่งจนลับตาไป <ตัวจริงดูดีกว่าที่เคยเห็น> เขารู้สึกชอบรอยยิ้มยโสของฝ่ายนั้น มันทำให้เครื่องหน้าของหมอนั่นดูมีเสน่ห์

<จะได้เจอกันอีกไหมนะ> คาร์ม่าตกใจเล็กน้อยที่ตนเองคิดอยากพบหน้าฝ่ายนั้นอีก หมอนั่นไม่ใช่โอเมก้าแต่กลับดึงดูดอัลฟ่าด้วยกันอย่างเขาเสียนี่

ส่วนสูงกะคร่าวๆ น่าจะประมาณ178 ซ.ม. ลักษณะท่าทางผ่าเผย หน้าตาหล่อเหลา ผมสีแดงจัดจ้านดึงดูดชวนให้รู้สึกอยากเอาเข้าปาก

“สีเหมือนผลสตรอว์เบอรี่”

คาร์ม่าชอบสีแดงเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นเลือดที่หลั่งออกมาจากศัตรูเขาจะยิ่งคึกคักมาก ส่วนเจ้าสตรอว์เบอรี่ก็เป็นผลไม้ที่เขาโปรดปราน

โรคคลั่งสีแดง เพราะอย่างนี้รอยจึงดึงดูดเขามากทีเดียว ผมสีแดงตัดกับผิวขาวกระจ่างนั่นมากแหลือเกิน แถมดวงตายังเป็นสีเดียวกันอีก รู้สึกเหมือนภาพในอุดมคติหลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

<ทำยังไงถึงจะได้เจออีกนะ> คาร์ม่ายิ้มหยัน โอกาสนั้นคงไม่มีเร็วๆ นี้แน่ เพราะเรเวนน่าไม่ต้องการเปิดตัวเขาสู่สังคม ยัยแก่นั่นเก็บตัวเขาไว้อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของผู้นำตระกูลรุ่นถัดไป

แท้ที่จริงแล้วแค่ไม่อยากให้เขามีอิทธิพลมากเกินไป แถมยังกล้าเอาเคนไปแนะนำให้คนอื่นรู้จักในฐานะผู้นำตระกูลคนถัดไปของฟีโอเร่เสียอีก

“ทำอะไรโง่ๆ ” คาร์ม่าใช้เท้าเขี่ยร่างไร้วิญญาณบนพื้น กีดกันเขาออกจากอำนาจและสังคม แถมยังส่งนักฆ่าลอบทำร้ายถี่ๆ

<คิดจะกำจัดกันมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก> คาร์ม่าหัวเราะเบาๆ จังหวะนั้นคนในชุดดำกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา

“นายน้อย โปรดรับสายนายท่านมิราจด้วยครับ”

คนของท่านลุงมิราจนั่นเอง เมื่อถูกเตือนก็นึกขึ้นได้ว่ามีสายเข้าระหว่างที่จัดการกับนักฆ่า คาร์ม่าใช้มือถือต่อสายหามิราจ

< “โทรมาจนได้นะ เกิดอะไรขึ้นทำไมไม่รับสายลุง” >

“จัดการกับนักฆ่าที่ส่งมา”

< “งั้นรึ ลุงไม่แปลกใจ เพราะอีกไม่นาน เจ้าจะถูกเปิดตัวในฐานะผู้นำรุ่นถัดไป ผู้นำจากสายตระกูลทั้งสี่เห็นพ้องต้องกันแล้ว” >

“ตระกูลรอง กับตระกูลที่สี่เห็นพ้องด้วยหรือท่านลุง สองตระกูลนั้นถือหางเคนนี่ครับ”

< “หึ...ตระกูลรองก็แค่ทำตามน้ำ ส่วนตระกูลที่สี่ ผู้นำมันเป็นพวกกลับกลอกแสวงหาผลประโยชน์ พร้อมจะเปลี่ยนสีได้ทุกเมื่อนั่นแหละ มีแต่ยัยเฒ่าเรเวนน่าเท่านั้นที่โง่เชื่อว่าจะควบคุมไอ้จิ้งจอกผู้นำตระกูลที่สี่ได้” >

“ขอบคุณท่านลุงมากนะครับที่ส่งคนมาดูแล แถมยังทำให้ผมสบายทุกครั้งไม่ต้องจัดการกับศพเอง”

< “เรื่องเล็กน้อย แล้วเป็นยังไง การฝึกงานที่ยัยเฒ่าอสรพิษส่งเจ้าไปทำ” >

“ก็ดีครับ ได้ออกมาเรียนรู้โลกภายนอก แต่ก็แค่อยากหาจังหวะดีในการส่งคนมาลอบฆ่าผมเท่านั้น ชีวิตตอนนี้สนุกสนานมาก อยู่คนเดียว หาทานเอง ทำงาน ฆ่าคน ทำรัก” คาร์ม่าหัวเราะหึหึ เขาสนุกจริงๆ ตามที่พูดทุกประโยค

< “งั้นก็ดี แต่อย่าหาหลานสะใภ้ให้ลุงเร็วนัก อย่าลืมว่าเรเวนน่าไม่ยอมง่ายๆ คงไม่อยากให้คนโชคดีคนนั้นต้องลำบากเหมือนไอเดนแม่ของเจ้าใช่ไหม” >

“เข้าใจครับ”

< “พวกโอเมก้าน่ะน่าสงสารนะคาร์ม่า พวกเขาส่วนใหญ่เลือกคนรักเองไม่ได้ ขนาดที่เลือกอยู่กับคนที่รักได้อย่างแม่ของเจ้า ชีวิตยังไม่มีความสุข” >

“พวกที่ผมเล่นด้วยอยู่ตอนนี้ ไม่มีโอเมก้าซักคนครับ”

< “ดีแล้ว อย่าลากพวกเขามาเกี่ยวข้องเลย” >

คาร์ม่ารับคำ คนที่กระตุ้นความสนใจตอนนี้ไม่ใช่โอเมก้าแต่เป็นแวมไพร์สายเลือดอัลฟ่า ไม่จำเป็นต้องมีกลิ่นหอมดึงดูดอย่างฟีโรโมน แต่รอยซีฟัสก็มีเสน่ห์พอแล้ว

ริมฝีปากสีแดงที่กระตุกยิ้มหยันนั่นน่ามองเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้อย่างใช้นิ้วมือลูบคลึงซักรอบ คงนิ่มๆ หยุ่นๆ มือน่าดู

แล้วปฏิกิริยาหลังจากถูกเขากระทำอย่างอุกอาจล่ะ คงตอบโต้เขาด้วยหมัดสองหมัดก่อนตะคอกด่าอย่างหยิ่งยโสละมั้ง สนุกดีที่ได้คาดคะเนการกระทำของรอยซีฟัส

<สรุปว่าเขาชอบหมอนั่นตรงไหนกันนะ ปาก...ผมและตาสีแดง ท่าทางหยิ่งยโส รอยยิ้มหยัน เยอะนะ เยอะแยะไปหมดเลย>

< “สนุกอะไรหรือไง หัวเราะอารมณ์ดีหลายครั้งแล้วนะ” >

“ผมเจอคนน่าสนใจ”

< “คงไม่ใช่โอเมก้านะ” >

“เปล่าครับ ไม่ใช่เลย”

< “อ้อ...งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ลุงไม่กวนแล้ว เร็วๆ นี้ลุงจะไปหา มาทานอาหารด้วยกันหน่อย กินของดีๆ บ้าง อยู๋ในหอพักคงกินแต่อาหารขยะ หรืออาหารกล่องตามร้านสะดวกซื้อสินะ” >

“ผมว่ามันอร่อยใช่ย่อยนะ”

< “ที่อร่อยก็เพราะว่าไม่เคยกินมันมาก่อนน่ะสิ ทานอาหารดีๆ บ้าง ลุงไม่กวนแล้วกลับบ้านดีๆ ล่ะ” >

ลุงมิราจวางสายไปแล้ว คาร์ม่าปลีกตัวออกจากสวนสาธารณะปล่อยให้คนของลุงมิราจจัดการซากที่เขาทิ้งไว้ทั้งหมด



คุยท้ายเรื่อง

พวกเขาเจอกันแล้วนะ 5555 คาร์ม่ามีความสนใจรอยซีฟัส รอยเองก็น่าจะสนใจแล้วมั้ง5555

ฝากติดตามกันต่อนะคะ แสดงความคิดเห็นเป็นกำลังใจบ้างนะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1


บทที่2

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่รอยซีฟัสอยู่เคียงข้างเดียร์น่าในฐานะเพื่อนสนิท พวกเขาเข้ากันได้ดี แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้นถึงแม้ในใจของเขาจะนึกชอบเดียร์น่ามากเพียงใดก็ตาม

ปีนี้เขากับเดียร์น่าอายุสิบแปดปีด้วยกันทั้งคู่ เจ้าหญิงคนสวยใกล้ขึ้นครองราชในฐานะราชินี เมื่อเวลานั้นมาถึงคงไม่สามารถทำตามใจชอบได้อีก ดังนั้นจึงขอให้รัฐมนตรีฝ่ายซ้ายอย่างท่านป้าแอนนี่อำนวยความสะดวกให้ตนเองเข้าเรียนในระดับมหาลัยเหมือนประชาชนทั่วไป

ตามจริงเรื่องนี้ต้องมีความเห็นพ้องจากรัฐมนตรีฝ่ายขวาซึ่งมาจากตระกูลฟีโอเร่ด้วย แต่ทว่าภายในของฟีโอเร่ยังไม่นิ่ง ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ตระกูลครอสเป็นส่วนใหญ่

ผลจากการตัดสินใจของท่านป้าแอนนี่ทำให้รอยซีฟัสกับเดียร์น่าได้มาเรียนในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ตระกูลอลองโซผู้ก่อตั้งสถาบันให้การดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี

“รอย เราอยากลองกินพวกอาหารจานด่วนดูบ้าง อย่างพวกร้านเบอร์เกอร์”

เดียร์น่าส่งสายตาเป็นประกายมา เอาจริงๆ ถึงรอยซีฟัสจะรู้จักโลกภายนอกมากว่าเพื่อนคนนี้ แต่พวกร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเขาไม่เคยสนใจเข้าไปทานที่นั่นซักนิด <ถ้าอยากกินเบอร์เกอร์เขาจะไปที่ภัตตาคารชั้นนำแล้วสั่งให้ที่นั่นทำเป็นพิเศษ>

“เดียร์น่า ถ้าอย่างนั้นเราไปที่ภัตตาคารของโรงแรมรอยัลเอาไหม ที่นั่นมีเบอร์เกอร์ให้เลือกเยอะแยะเลย”

คิดว่าแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่เดียร์น่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“เราอยากทานที่ร้านปาป้าเบอร์เกอร์”

“เอาอย่างนั้นรึ” เดียร์น่าผงกหัวหงึกๆ

 ท่าทางน่าเอ็นดูนั่นน่ารักมาก โชคดีที่เดียร์น่าปลอมตัวตลอดเวลาที่ออกมาใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป ดังนั้นรอยซีฟัสจึงไม่กังวลซักนิด

“ถ้าอย่างนั้นก็เอา ไปกันเถอะ”

“สั่งอะไรดีครับ”

ใครจะไปคาดคิดว่าพนักงานที่รับออเดอร์ดันกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงามผมสีเงิน เจ้าฆาตกรที่อ้างตัวเป็นนักฆ่า

“ไหนว่าเป็นนักฆ่าไง”  รอยซีฟัสเลือกจะสื่อสารกับเด็กหนุ่มผมสีเงินทางจิต ไม่นึกอยากให้เดียร์น่ารู้เรื่องระหว่างเขากับหมอนี่ซักเท่าไหร่

“งานฆ่าคนไม่ได้มีมาทุกวันนี่”

อีกฝ่ายสื่อสารกลับมาทางจิตเช่นกัน

“เดียร์น่าเลือกที่ชอบเลย” เมื่อรอยซีฟัสสั่ง เดียร์น่าก็เริ่มบอกสิ่งที่ต้องการกับเด็กหนุ่มผมสีเงิน

“นายมีองค์กรคอยช่วยเหลือสินะ” ส่งกระแสจิตถามอีกครั้ง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดคุยกับเดียร์น่าแต่ยังตอบโต้กลับมาทางจิตได้อย่างฉะฉาน

“ลองเดาดูสิ”

รอยซีฟัสเชิดหน้าต่อคำตอบกวนโทสะของอีกฝ่าย เขามั่นใจว่าหมอนี่ต้องมีพรรคพวกอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่ว่าเขาจะหาข่าวของหมอนี่จากช่องทางใดก็ไร้วี่แววทั้งนั้น

“รอยเราไปหาที่นั่งกันเถอะ”

“อืม”

เพราะเดียร์น่าเขาจึงหมดอารมณ์ที่จะซักไซ้ แต่ไม่วายชำเลืองมองด้วยหางตา เด็กหนุ่มผมเงินส่งยิ้มมาให้อย่างน่ารัก ตอนนี้เองที่เกิดความรู้สึกแปลกๆ <ยิ้มน่ารักเกินไปไหม กับคนที่มีโอกาสจะเอาเรื่องของตัวเองไปบอกตำรวจได้ทุกเมื่อ>

          หลังจากที่รอยซีฟัสออกจากร้านไปได้ซักพักก็ครบชั่วโมงในการทำงานพิเศษของเขาพอดี คาร์ม่าเดินทางไปยังสถาบันศึกษาเพื่อเข้าเรียนในชั้นระดับมหาลัย

          <เหมือนว่ารอยจะสนใจเขามาก> จะว่าไปใบหน้าเชิดๆ เวลาโมโหก็น่าสนใจมาก ความบังเอิญอย่างนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็ชวนตื่นเต้นอยู่ดี

          เมื่อเดินทางมาถึงสถาบันการศึกษา คาร์ม่าเข้าชั้นเรียนตามที่ได้เลือกเอาไว้ ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าชะตาดันหนุนนำให้เขากับรอยซีฟัสได้มีโอกาสเจอหน้ากันอีกเป็นครั้งที่สาม

          “เฮ้ยคาร์ม่า” หันไปตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นโจแอล เพื่อนเที่ยวเพื่อนกินที่มักพาออกนอกลู่นอกทางเป็นประจำ

          “ไง โจแอล”

          “ไปปาร์ตี้ของหอแมคพายน์ด้วยกันไหม ถ้าเป็นนายละก็ต้องได้รับการต้อนรับแน่”

          “บอกมาตรงๆ เถอะน่าโจแอลว่านายต้องการอะไร”

          “พวกผู้หญิงในหอแมคพายน์บอกว่าจะให้ฉันเข้างานก็ได้แต่ต้องชวนนายไปให้ได้น่ะสิ”

          คาร์ม่ากระตุกยิ้ม “คนดังอย่างนายยังถูกปฏิเสธจากผู้หญิงอีกหรือ”

          “ก็แม่พวกนั้นดันบอกว่าฉันมีชื่อเสียสิวะ บอกว่าฉันเป็นนักฟันหญิง จริงๆ งานพวกนี้คนไปก็อยากไปมั่วให้สุดเหวี่ยงป่าววะ อีกอย่างแม่พวกที่ยอมให้ฉันขี่ก็เต็มใจทั้งนั้นนะเว้ย”

          คาร์ม่ามองดูโจแอลระเบิดอารมณ์ ทำเพียงแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยเท่านั้น

          “เฮ้ยไปนะเพื่อนฉันมีสาวที่ไงก็อยากคลุกวงในให้ได้ที่นั่นนะเว้ย”

          “จะจ่ายด้วยอะไร” คาร์ม่าส่งยิ้มแบบนักธุรกิจไปให้โจแอล

          “เลี้ยงอาหารชุดใหญ่นายหนึ่งมื้อดีไหม”

          “นั่นสิ...” คาร์ม่านิ่งคิด “ผู้หญิงที่นายอยากได้นี่คงเด็ดน่าดู เอาไว้ถ้าฉันคิดของที่อยากได้ออกเมื่อไหร่ ฉันจะบอกนายแล้วกัน”

          “เฮ้...หวังว่าจะไม่ใช่รางวัลใหญ่อะไรนักใช่ไหม” โจแอลเริ่มกังวล

          “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร บางทีอาจจะไม่ขออะไรเลยก็ได้”

          “งั้นตกลงไปนะเว้ย คืนนี้หนึ่งทุ่มเจอกันที่หน้าหอแมคพายน์”

          วันนี้ยังไงช่วงกลางคืนเป็นวันว่างงานของเขาอยู่แล้ว ไปผ่อนคลายที่งานปาร์ตี้ของหอพักนักเรียนหญิงก็ดีเหมือนกัน

          นี่ละมั้งที่เรียกว่าชะตากรรมเขาพบกับรอยซีฟัสในงานปาร์ตี้แบบไม่มีตัวแถมอย่างเมื่อเช้าให้ขุ่นใจ

          จริงๆ คนอย่างเขาไม่มีทางมาปรากฏตัวในปาร์ตี้มั่วสุมแน่นอน ถ้าเกิดว่าเดียร์น่าไม่อยากรู้อยากเห็นจนต้องกลายมาเป็นแบบนี้

          “ว่าไง เดียร์น่ากับรอยซีฟัสไปด้วยกันไหมจ๊ะ หอแมคพายน์ยินดีต้อนรับนักเรียนชั้นนำอย่างพวกเธอเสมอนะ”

          ตรงหน้าคือตัวแทนของหอแมคพายน์ที่ส่งมาชักชวนให้พวกเขาไปปาร์ตี้ จริงๆ ก็ไม่แปลกใจที่จะถูกเชิญ เพราะเขากับเดียร์น่าถือเป็นคนดังเรียนดีกีฬาเด่น

          “ถ้าพวกเธอไปก็เข้างานได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเลยนะจ๊ะ ชาวหอแมคพายน์จะรอน้า”

          หลังจากแม่สาวจากหอแมคพายน์ไปเดียร์น่าก็หันมาพูดกับเขาแววตามีประกายระยิบยับชัดเจนว่ากำลังตื่นเต้น

          “รอยฉันอยากไป ปาร์ตี้หอนักศึกษา ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน”

          “ไม่ได้”

          “ทำไมล่ะ” เดียร์น่าเอียงคอมองมาด้วยความสงสัย ท่าทางไร้เดียงสาช่างน่ารักเสียเหลือเกิน

          “เพราะฉันควรจะไปสำรวจดูก่อน ตามจริงถ้าตรวจดูแล้วว่าปลอดภัยปาร์ตี้คราวหน้าฉันจะพาไปสนุกให้เต็มที่ทุกงาน”

          “อืม...นั่นสิ...เอาตามนี่แล้วกัน”

          โชคดีที่เดียร์น่าเป็นคนว่าง่าย การมาปาร์ตี้ในคราวนี้ไม่ได้มาเพื่อสำรวจแต่อย่างใด ก็แค่มาให้รู้ว่ามาจริงๆ เท่านั้น <ปาร์ตี้มั่วสุมของพวกเด็กใจแตกแบบนี้จะปล่อยให้เดียร์น่ามาได้ยังไง ข้ามศพรอยคนนี้ไปก่อนดีกว่า>



คุยท้ายเรื่อง

จริงๆ ตอนนี้จะยาวกว่านี้ แต่มีงานต้องทำอีกเยอะ มันเลยค้างๆ คาๆ ขออภัยนะ

มันมาค้างงี้เพราะเราแต่งไว้แค่นี้จิงๆ555 ไม่ได้กั๊กหรือแบ่งตอนแต่อย่างใดน้อ

รอยซีฟัสกับคาร์ม่าได้เจอกันในปาร์ตี้ ส่วนใครรุกใครรับคำตอบนั้นใกล้จะมาถึงสายตานักอ่านทุกท่านแล้วนะ

มีncอืม.....คิดไว้ว่าจะเร็วๆ นี้ เพราะเขาโตกันแล้วน่าจะได้แหละ ปกติเราไม่ใช่คนเน้นncเท่าไหร่

แต่ถือว่าพยายามชดเชยจากคู๋หลักก็ว่าได้ แต่ไม่ๆได้หมายคสามว่าจะncทุกตอนน้า

ไอเดียหื่นไม่กระฉูดขนาดน้าน

แสดงความเห็นให้กำลังใจกันบ้างนะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1


บทที่3

          ตกคนนี่มันง่ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มาถึงงานได้ไม่นานคาร์ม่าก็ถูกเชิญขึ้นมาบนห้องส่วนตัว

          ผู้หญิงคนนี้ไวไฟเหลือเกินเป็นเบต้าที่กล้าได้กล้าเสียเชิญชวนเขาตั้งแต่พูดคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น สำหรับคาร์ม่าเขาตัดสินใจว่าช่วงเวลาที่เป็นอิสระตอนนี้ตั้งใจจะใช้ชีวิตให้สนุกสนานที่สุด

          ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธไปยังห้องของหล่อนนัวเนียปลุกเร้ากันและกัน ใครจะไปคาดว่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะกลับกลายเป็นรอยซีฟัส ครอส

          “อุ๊ย ว๊าย” เสียงร้องเบาๆ ทำให้คาร์ม่ากับคู่ขาหยุดนัวเนีย เมื่อหันไปมองพบรอยซีฟัสกับผู้หญิงคนหนึ่ง <อย่าบอกนะว่านี่ตั้งใจมาฟันสาวเหมือนกัน>

          รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคาร์ม่าชวนให้หงุดหงิดเหลือเกิน รอยซีฟัสเข้าใจไม่ผิดหรอกคงคิดว่าเขามาทำกิจกรรมแบบเดียวกันกับตัวเองล่ะสิ

          “เบลทำไมใช้ห้องของฉันทำอย่างนี้ล่ะ บ้าที่สุด”

          ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่มากับรอยซีฟัสจะเป็นเจ้าของห้อง เจ้าตัววิ่งหนีไปทั้งที่ใบหน้าแดงจัด

          “ช่างหล่อนเถอะค่ะคาร์ม่า หล่อนมันเป็นเหมือนอาหารที่ค้างปีไม่มีใครชิมมาแต่ไหนแต่ไร นี่คงจะโกรธที่แอบพาผู้ชายขึ้นมาแต่ฉันดันรับรู้ละสิ ยัยจอมวางแผนเอ๊ย”

          “คุณผู้หญิง ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ พอดีผมรู้จักกับนาตาลีในฐานะเพื่อนร่วมคลาส นี่ตั้งใจขึ้นมาเอาหนังสือรายงานกลุ่มเท่านั้นเอง”

          เป็นไปตามที่พูดทุกประการ เขาไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่านาตาลีเพื่อนที่ทำรายงานในกลุ่มเดียวกันจะอยู่หอพรรคแมคพายน์ ก็เวลาเรียนพูดคุยกันแค่เรื่องเรียนเท่านั้น ส่วนใหญ่นาตาลีพูดคุยกับเดียร์น่ามากกว่าเขาเสียอีก

          “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ คุณก็เห็นนี่คะว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ได้โปรดให้เราอยู่ตามลำพังได้ไหม”

          รอยซีฟัสทำท่าจะหมุนตัวกลับออกจากห้อง แต่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ของคาร์ม่าเลยชะงัก รอยยิ้มเยาะหยันของฝ่ายนั้นทำให้รู้สึกอยากขัดจังหวะ การต้องประสบปัญหาอารมณ์ค้างมันไม่สนุกเขารู้ดีเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน

          “คุณผู้หญิงถ้าผมจะบอกว่ามีเรื่องอยากสนทนากับเพื่อนของผมคุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

          ทั้งที่เป็นการขัดจังหวะที่ชวนหงุดหงิดที่สุดแต่คาร์ม่ากลับยิ้มกว้าง รอยซีฟัสจดจ้องดูอีกฝ่ายด้วยความสนใจ อยากรู้ว่าถูกเขาอ้างแบบนี้คนถูกอ้างจะทำอย่างไรต่อไป

          “เบลผมขอคุยกับรอยหน่อยแล้วกัน”

          ใครจะไปคิดล่ะว่าสาวเจ้าจะโมโหจนตบหน้าคาร์ม่าดังฉาด ไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมโดนตบนะแต่รอยซีฟัสรู้สึกดีนิดๆ ที่เห็นอีกฝ่ายเจ็บตัว

          “เอาล่ะ นายมีอะไรจะพูดกับฉัน” คาร์ม่าถาม

          เป้าสายตาของรอยซีฟัสคือแก้มที่แดงปื้นคงเป็นเพราะว่าฝ่ายนั้นมีผิวขาวจัด รอยช้ำจึงดูน่ากลัวกว่าที่คิด

          “ก็ไม่มี” รอยซีฟัสยิ้มเยาะ นึกแปลกใจตัวเองจริงๆ ปกติเขาจะไม่เก็บคนอื่นมาเป็นอารมณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย นับตั้งแต่รู้จักเดียร์น่าชีวิตของเขาก็เปรียบเสมือนดวงจันทร์บริวารซึ่งโคจรอยู่รอบดาวเคราะห์

          “นี่อย่าบอกนะว่าจะออกไปเฉยๆ” คาร์ม่าลุกขึ้นจากเตียงก้าวช้าๆ มาหารอยซีฟัส สองมือคล้องลงบนคอของคนที่สูงไล่เลี่ยกัน แววตางงงันของอีกฝ่ายกระตุ้นเร้าได้อย่างชะงัด

          “เห็นใช่ไหมว่าฉันต้องอารมณ์ค้างเพราะนาย นายจะชดเชยฉันยังไง”

          ไม่พูดเปล่ายังคลอเคลียริมฝีปากตนเองกับปากนุ่มนิ่มของรอยซีฟัส ดวงตาสีแดงคู่นั้นเบิกกว้าง <หรือว่าเป็นคุณชายผู้อ่อนต่อโลก แบบนี้ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่>

          คาร์ม่าอยากเห็นท่าทางลนลานขัดเขินของรอยซีฟัส คิดว่าจะรุกหนักกว่าเดิม คาดไม่ถึงจู่ๆ อีกฝ่ายกลับชิงตัดหน้าจูบกลับอย่างดุดันมืออุ่นทั้งสองข้างจับใบหน้าของเขาแน่น <คงกลัวว่าเราจะหนีสินะ แต่ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว เพราะว่าไม่เคยตื่นเต้นคึกคักกับใครขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต>

            คาร์ม่าสอดมือไปลูบไล้เส้นผมสีแดง ระหว่างที่จูบก็ประสานสายตาเข้ากับรอยซีฟัส ความดุดันของอีกฝ่ายทำให้นึกได้ว่ายังไงพวกเขาก็เป็นอัลฟ่าเหมือนกัน

          <ยอมแพ้สิ> รอยซีฟัสส่งกระแสจิตเข้าไปหาคาร์ม่าโดยตรง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะยอมแพ้กลับบดเบียดตัวเข้าหาเขา

แวบหนึ่งนึกอยากตรวจดูอดีตของคู่จูบ แต่แทนที่จะได้เห็นภาพความทรงจำกลับเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึง เขาเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ากระดิกนิ้วเชิญชวนให้รุกเข้าหา รอยซีฟัสถอนจูบออกอย่างรวดเร็ว

“ความสามารถพิเศษของนายหรือเมื่อกี้”

คาร์ม่าหัวเราะคิกๆ กระซิบเสียงหวานข้างหูรอยซีฟัส “ฉันอุตส่าห์เชิญชวนขนาดนี้แล้ว อย่าทำให้ฉันอับอายด้วยการปฏิเสธสิ”

จังหวะนั้นเองภาพบางอย่างก็ถูกส่งเข้ามาในความคิดอีก เป็นภาพที่คาร์ม่าครอบครองเครื่องเพศของเขาด้วยปาก สีหน้าเย้ายวนนั้นทำเอารอยซีฟัสร้อนวูบวาบ

“ไม่รู้ว่าความสามารถของนายคืออะไรนะ แต่เชิญชวนกันขนาดนี้ เตรียมใจแล้วใช่หรือเปล่า”

“นายล่ะเตรียมใจแล้วหรือยัง” รอยยิ้มที่ประกาศว่าตัวเองเหนือกว่า มันทำให้รอยซีฟัสนึกอยากเอาชนะ <อยากขึ้นเตียงกับเขาหรือก็ได้จะทำให้สมใจปรารถนา>

รอยซีฟัสกับคาร์ม่าเปิดห้องในโรงแรมเล็กๆ ใกล้ๆ ถ้าเป็นตามปกติเขาจะไม่มีทางย่างกรายเข้าไปในสถานที่ที่ไม่สมฐานะแบบนี้ แต่ก็ดีคนรู้จักคงไม่คาดคิดแน่ๆ ว่าเขามั่วสุมกับคนแปลกหน้าในโรงแรมราคาถูกนี่

“นายต้องการแบบไหน ฉันไม่ชอบเอาเปรียบใคร ยังไงเราสองคนก็เป็นอัลฟ่าด้วยกันทั้งคู่ ทำรักระหว่างเพศชายด้วยกันเราต่างคนต่างรู้ว่าต้องมีฝ่ายที่ถูกกระทำ ฉันไม่ชอบถูกทำแบบนั้น ท่าทางนายก็คงไม่ชอบเหมือนกัน”

คาร์ม่าส่งยิ้มยั่วเย้ามาให้ คิดไปเองหรือเปล่านะหมอนี่ยั่วยวนเขาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันยอมให้นายทำก่อนก็ได้ นายคิดว่ายังไง”

รอยซีฟัสหรี่ตามองดูคาร์ม่า “แน่ใจนะ”

แทนคำตอบอีกฝ่ายเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น ร่างเปลือยเปล่าของคาร์ม่าไม่ได้นุ่มนิ่มบอบบางเหมือนผู้หญิงกลับเต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนสวยงามปานรูปหล่อ

มันทำให้รอยซีฟัสรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เขาสูงก็จริงแต่ไม่ได้มีมัดกล้ามหรือหน้าทองเป็นลอนอย่างเหมือนอีกฝ่าย

“ให้ฉันถอดให้นายเอาไหม” คาร์ม่ายกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไม่ต้องฉันจัดการเองได้”

          <ใหญ่>

          ระหว่างถอดเสื้อรอยซีฟัสพยายามทำเมินเจ้าความใหญ่โตตรงหว่างขาของคาร์ม่า ขนาดของเขาก็ใช้ว่าจะเล็กกว่ามาตรฐานแต่ไอ้คนตรงหน้านี่มันเกินกว่าปกติไปมาก

          ระหว่างที่ถอดเสื้อผ้ารอยซีฟัสมีความคิดจะล้มเลิกการละเล่นครั้งนี้ แต่ทันทีที่เสื้อผ้าหลุดจากกายจนหมด คาร์ม่ากลับทำสิ่งที่คาดไม่ถึง

          “จริงๆ ฉันไม่เคยเป็นฝ่ายรับมาก่อน เพราะอย่างนั้นขอเตรียมความพร้อมตัวเองดีๆ หน่อยก็แล้วกัน ฉันเองก็ไม่ชอบเจ็บ”

          คาร์ม่าใช้เจลที่โรงแรมเตรียมเอาไว้ชโลมบนมือก่อนจะจัดการนวดคลึงจุดเร้นลับบริเวณบั้นท้ายของตน

รอยซีฟัสเบิกตากว้างมองภาพวาบหวามอันนั้น ใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่รูปร่างกำยำกว่าตนจะกล้าทำแบบนี้ด้วย

“เข้ามาดูใกล้ๆ สิ” คาร์ม่าเลียริมฝีปาก นี่เป็นครั้งแรกเลยในชีวิตที่ทำตัวร่านเหมือนโสเภนีแบบนี้ ยิ่งเมื่อรอยซีฟัสขึ้นเตียงมาดูใกล้ๆ เขายิ่งยั่วเย้าด้วยการแหวกสอดและนวดคลึงให้เห็นจะๆ กับตา

“นี่....ช่วยเลียให้หน่อยสิ”

“อะไรนะ”

“ก็หมายถึงเจ้าลูกชายที่ชี้หน้านายอยู่ไง เลียมันให้ที ไม่ได้หรือ...”

เสียงเย้ายวนของคาร์ม่าเป็นดั่งมนต์สะกด รอยจรดริมฝีปากครอบครองสิ่งนั้นอย่างเผลอไผล



คุยท้ายเรื่อง

มีเวลาแต่งต่ออีกหน่อยเลยเอามาลง แบบก็ยังค้างอยู่ดี เอาจริงๆ ncยังไม่จบอะนะ

ถามว่าใครรุกรับต้องบอกว่าสลับกัน แต่ในความคิดนักเขียนคาร์ม่าเป็นรุกตัวเมนนะคะ

แสดงความคิดเห็นเป็นกำลังใจกันบ้าง สถานีถัดไปnc ต่ออีกนิด รอกันหน่อยนะ

เราเขียนncไม่เก่งต้องใช้ความพยายามหน่อย

ติชมกันได้แต่อย่าด่านะเออ เราขี้ใจน้อย

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่4

“รอย” เสียงเรียกของเดียร์น่าทำเอารอยซีฟัสสะดุ้ง เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหรอหรา ท่าทางแบบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนสมัยเด็ก

“เป็นอะไรไปรอย”

“เอ่อเปล่า” ใบหน้าของรอยแดงก่ำ

“นาตาลีเขาถามนายว่าหลังจากแยกกันในงานปาร์ตี้แล้วหายไปไหน”

รอยซีฟัสระลึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นอีกครั้ง เขาได้ล่วงล้ำเข้าไปในร่างของคาร์ม่าก็จริงแต่เมื่อปลดปล่อยจนหมดก็ทิ้งตัวลงนอนหอบ

ได้ยินเสียงหัวเราะทุ่มต่ำพอเหลือบมองไปก็พบว่าคนถูกกระทำนอนตะแคงและใช้มือลูบไล้ก้นของเขาขึ้นมาจนถึงแผ่นหลัง

“ที่นี้ตาฉันแล้วสินะ” รอยซีฟัดเบ้ปาก

เขาไม่ใช่คนผิดสัญญาแต่ว่าก่อนหน้านั้นตั้งใจทำจนสุดแรงกะว่าให้คู่ขาสุขสมหมดแรงไปข้างหนึ่งแท้ๆ แทนที่ควรเป็นอย่างนั้นคนที่นอนหอบกลับเป็นเขาเสียเอง <หรือว่าเทคนิคเรามันไม่ได้เรื่อง>

“ก..ก็ตามใจสิ” ไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็แนบจูบลงมา รอยซีฟัสคิดว่าในบรรดาคนที่แลกลิ้นกับเขามีหมอนี่นี่แหละที่ชั้นเชิงเก่งกาจที่สุด

“นายไม่เคยทำรักกับผู้ชายมาก่อนสินะ”

“เออสิ...”

“ถ้าอย่างนั้นเรียนรู้ให้ดีแล้วกัน”

กล่าวจบอีกฝ่ายก็จัดท่าทางเขาเสียใหม่ก่อนจะแตะลิ้นลงมายังช่องทางเร้นลับบริเวณบั้นท้าย รอยซีฟัสรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดยิ่งตอนที่ถูกเล้าโลมรัวๆ เขายิ่งดิ้นพล่านเพียงแต่คนกระทำใช้เรี่ยวแรงมหาศาลจัดกดเขาเอาไว้ได้

“ชอบไหม” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามหลังจากสำรวจภายในด้วยปลายลิ้นจนพอใจ บริเวณนั้นถูกทำจนชื้นแฉะ รอยซีฟัสไม่คิดมาก่อนว่าคนถูกทำจะรู้สึกดีอย่างนี้

“ฉันคงทำให้นายไม่ถึงใจสินะ” คิดๆ ดูแล้วอีกฝ่ายไม่ได้บังคับให้เขาเลียตรงจุดเร้นลับด้วยซ้ำ อันที่จริงถึงเชิญชวนรอยซีฟัสก็ไม่มีทางเลียตรงนั้นให้ใครง่ายๆ แต่หมอนี่กลับกล้าทำ

“นายเลีย...เอ่อ...ทำแบบนี้ให้คู่ขามาตลอดหรือไง”

“อาจดูเหมือนโกหก แต่ยังไม่มีผู้ชายคนไหนทำให้ฉันทำแบบนี้ได้ซักคน”

อีกฝ่ายยิ้มจนตาหยี รอยซีฟัสไม่รู้สึกเลยว่าเป็นการแสร้งปั้นยิ้ม

“ทำไม”

“เพราะนายเป็นคนแรกที่ฉันตั้งใจจะจับให้อยู่มือน่ะสิ คิดดูนะ ฉันคนนี้ยอมให้นายขย่มเอาๆ หากเป็นคนอื่นฉันคงฆ่าทิ้งไปแล้ว”

รอยซีฟัสเบ้ปากตั้งใจจะตอบกลับไปว่า ‘อย่าปากหวานให้มาก’ แต่คู่ขากลับครอบครองเครื่องเพศของเขาด้วยปาก ดูดดุนเลาะเล็มทั้งส่วนยาวและส่วนกลมอย่างเอร็ดอร่อย

แถมไม่หยุดแค่นั้นยังสอดใส่นิ้วเข้ามาสำรวจภายในขยับเข้าออก เจ็บก็จริงอยู่แต่เครื่องเพศร้อนจนเยิ้มความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีปนเปกันไปหมด

“อ๊ะ...” รอยซีฟัสร้องเสียงหวาน มันรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งจนต้องร้องออกมาแบบนั้นที่ปลายนิ้วสอดเข้าไปลึกพอ

“โดนจุดแล้วสินะ”

“โดนจุด นายหมายไอ้จุดจีสปอร์ทในก้นใช่ไหมล่ะ อึก...”

สติแทบเตลิด เพราะคู่ขาสอดนิ้วเน้นย้ำซ้ำๆ อย่างทารุณแต่ไม่รู้สึกว่าเป็นการถูกรังแกซักนิด

“รู้ดีนี่” คาร์ม่าหัวเราะหึหึ เป็นจังหวะเดียวกับที่รอยซีฟัสปลดปล่อยหยาดบริสุทธิ์ออกมา

“นายจะทำอะไร” รอยซีฟัสรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ อาจเพราะว่าก่อนหน้านั้นโจนทะยานเข้าใส่อีกฝ่ายต่อมายังมาถูกเล้าโลมโดยไม่ได้หยุดพัก เขามองดูคู่ขาหยิบของในกระเป๋าเงิน

“ถุงยางสิ” คาร์ม่ายิ้มหวานชูเจ้าสิ่งนั้นให้เขาดู ตอนนี้รอยซีฟัสถึงนึกขึ้นได้

“ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ใช้มันกับนาย แต่นายมั่นใจได้ฉันไม่มีโรคแน่นอน ไม่ใช่คนมั่วขนาดนั้น เอางี้นายเองก็ไม่ต้องใช้กับฉันหรอก”

อีกฝ่ายยิ้มกริ่มแต่ยังคงสวมถุงยางเข้ากับความใหญ่โตของตนเองอยู่ดี การกระทำแบบนี้มันทำให้รอยซีฟัสรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการทะนุถนอม

แปลกๆ คนที่ทำกับเขาแบบนี้มีแค่ท่านป้าเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ มักจะมองว่าเขาเป็นอัลฟ่าต้องกล้าหาญกล้าแกร่ง ดั้งนั้นส่วนใหญ่จึงคิดพึ่งพิงเขาไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาประหนึ่งของที่แตกหักง่ายอย่างนี้

“นายทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ นะ”

“งั้นรึ เพราะว่าฉัน...” คาร์ม่าครุ่นคิดแวบหนึ่ง “ฉันรู้สึกว่านายพิเศษกว่าที่คิดเลยปฏิบัติกับนายเป็นอย่างดีไง”

สำหรับคาร์ม่า รอยซีฟัสเป็นอะไรที่ตรงอุดมคติทุกอย่าง แม้แต่นิสัยใจคอยังน่าสนใจมากทีเดียว แต่ถามว่ารักไหมเขายังไม่มั่นใจขนาดนั้น มันเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ยากและอธิบายไม่ถูกจริงๆ

ในขณะเดียวกันคำตอบของคู่ขาทำให้รอยซีฟัสรู้สึกดี <หมอนี่ตรงไปตรงมา เป็นปิศาจที่ดีกว่าที่คิด> เพราะคิดว่าถ้าอีกฝ่ายบอกรักเขาแม้แต่คำเดียว เขามั่นใจอย่างมาก ยังไงมันก็คือคำโกหกแน่นอน ใครมันจะจริงใจกับคนที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งล่ะ

“เรามาเริ่มกันเถอะ”

รอยซีฟัสไม่ขัดขืนยอมกลืนกินความใหญ่โตของอีกฝ่าย เจ็บมันก็เจ็บแต่เทคนิคของคู่ขาล้ำเลิศเสียจนหลังจากนั้นก็มีแต่เสียงครางเท่านั้น

“ดีไหม...” คาร์ม่าถามเสียงพร่าขณะค่อยสอดแทรกอย่างใจเย็น เข้าใจว่าเป็นครั้งแรกเลยอยากทะนุถนอมอีกฝ่าย อยากให้คนใต้ร่างมีความสุขสุดยอด

“อึก...ก็ดี..แต่...”

“อะไรหรือ”

รอยหน้าแดงก่ำ ใครจะกล้าบอกล่ะว่าเขาดันรู้สึกดีมากๆ กับการถูกสอดใส่

<บ้าเอ๊ย หากใครรู้ว่าเขาเกิดชอบใจการทำรักในลักษณะตั้งแต่ทีแรกคงถูกหัวเราะเยาะแน่ๆ> แต่ความหฤหรรษ์ที่สอดใส่เข้ามามันทำให้เขาตัดสินใจทำตามสัญชาติญาณ

“แรงอีกได้ไหม”

รอยซีฟัสไม่กล้ามองหน้าคู่ขา แต่ก็ชำเลืองมองนิดๆ เขาทันเห็นรอยยิ้มดีใจของอีกฝ่าย

“ได้ตามที่นายต้องการ”

คาร์ม่าไม่ได้รุนแรงป่าเถื่อนในทันที แต่ค่อยๆ รุกเร้าเพิ่มลำดับความดุดันทีละนิด ด้วยชั้นเชิงและประสบการณ์ที่มีมาสามสี่ปีเชื่อมั่นว่าต้องทำให้รอยซีฟัสพอใจได้แน่ๆ เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะงั้นมีไม้ตายอะไรเขาก็ควักออกมาใช้จนหมด

การทำรักของเขากับคู่ขากินระยะเวลาจนถึงเช้า รอยซีฟัสรู้สึกเหมือนว่ากามกิจที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นเทียบไม่ได้กับคืนวานทั้งคืนที่กกกอดกับเจ้านั่นเลยแม้แต่นิดเดียว

ทว่าเมื่อเช้าพอตื่นมาเขาก็รีบออกจากโรงแรมทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ตื่น แม้แต่ตอนนี้ยังเกิดความสับสนในตัวเอง มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนะถึงได้ยอมทำรักอย่างถึงอกถึงใจกับคนแปลกหน้าอย่างนั้น

<ชอบไหมหรือก็เปล่าแค่อยากเอาชนะเท่านั้น แต่ว่า...>

ภาพใบหน้าชื่นเหงื่อ เสียงกระซิบแหบพร่า ความทรงจำแสนเร้าอารมณ์รอยซีฟัสสลัดมันไม่หลุดเสียที <เรากลายเป็นบ้าไปแล้วหรือไงนะ คิดถึงแต่เรื่องลามกอยู่ได้ อาจเป็นเพราะความเข้ากันได้ดีบนเตียงก็เป็นได้>

ที่ผ่านมารอยซีฟัสไม่เคยเจอใครที่สนองตอบเขาเข้าใจความต้องการทางเพศได้ดีเท่ากับหมอนั่นมาก่อน

<บ้าจริงลืมถามชื่อไปเสียได้> คิดถึงตรงนี้รอยซีฟัสก็ยิ้มขื่นๆ <นี่ติดบ่วงหมอนั่นจนถึงกับนึกอยากรู้ชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ> เขาไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้เลยซักนิด

“ฉัน...พอดีเจอคนรู้จักน่ะเลยไปดื่มกับเขาต่อที่อื่น”

“อย่างนี้นี่เอง” เดียร์น่าพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ “เออนี่ฉันว่าพรุ่งนี้จะไปธุระกับนาตาลีซักหน่อย” วินาทีต่อมาเดียร์น่าเข้ามากระซิบข้างหู “อยากไปกันแค่สองคน รอยไม่ต้องไปด้วยหรอกนะ” รอยซีฟัสขมวดคิ้ว

“ไปไหน”

“ไปซื้อของ ของผู้หญิงสิคะ” เดียร์หน้าหัวเราะ

“ก็ได้ แต่ฉันจะให้คนของเราแอบส่องดูแลเธอนะ”

“ขอบคุณมากนะรอย” เดียร์น่าโผกอดเขาแน่น รอยซีฟัสยิ้มจนแก้มปริ แค่เดียร์น่ามีความสุขเขาก็พอใจแล้ว แต่ทำไมไม่รู้ดันนึกถึงเปรียบเทียบรอยยิ้มของเจ้าคู่ขาคืนเดียวไปเสียได้

วันถัดมาเพราะยังไงก็เป็นห่วงเดียร์น่าอยู่ดีจึงแอบตามดูห่างๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะบังเอิญพบหน้าเจ้าคู่ขาคนนั้นอีกแล้ว ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไปที่ไหนก็พบหน้าหมอนี่ตลอดเลย



คุยท้ายเรื่อง

อืม....ทิ้งไปตั้งสามวันกลับมาแล้ว นี่กำลังจะเข้าสู่การจัดอาร์ตเล่มที่จะตีพิม อาจจะไม่ลงถี่เท่าเดิมนะคะ

แต่หาเวลาแต่งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างน้อยที่สุดอาทิตละตอน

แสดงความคอดเห็นให้กำลังใจกันบ้างนะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ดักเจอรุุเป่าหะแกร๊

ออฟไลน์ Fern666

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คนแต่งหายไปไหนน หรือย้ายไปเว็บอื่นแล้วงะ รอติดตามอยู่น้าาา :katai5:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ lostinthelight

  • 엑소엘
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากอ่านต่อจังเลยค่า :hao5: :m15:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด