XBrother :: ไม่ใช่พี่ชาย {ตอนที่ 15 เปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนไป - ตอนจบ}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: XBrother :: ไม่ใช่พี่ชาย {ตอนที่ 15 เปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนไป - ตอนจบ}  (อ่าน 15409 ครั้ง)

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
พี่โอมหื่นมากกกก

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ตอนที่ 10 เด็กมันยั่ว


ข่าวเรื่องการบุกจับแก๊งค้าประเวณีข้ามชาติถูกถ่ายทอดออกสื่อทุกแขนง ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรที่ตัวเองได้มีส่วนร่วมในการเข้าจับกุมครั้งนี้

ตลอดมาผมทำหน้าที่เป็นครู แต่รู้สึกว่าการเป็นตำรวจก็ไม่เลวเหมือนกัน

“พี่โอมจะพาปิ๊กไปเที่ยวไหน”

“สวนสนุกดีมั้ย” ผมกระชับมือน้อยๆ ที่กอบกุมกันเอาไว้ตั้งแต่เดินออกจากห้องมาเมื่อก้มลงถาม

“ไม่ค่อยชอบเลย”

“แล้วอยากไปไหนครับ”

“ที่ไหนก็ได้ถ้ามีพี่โอม” หลังจากเจอเรื่องราวไม่ค่อยดีมา ปิ๊กก็ดูเหมือนจะขี้อ้อนขึ้นเยอะมากเลย

“งั้นกลับห้อง พี่อยากกอดปิ๊ก”

“ออกไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่า”

วันที่อากาศร้อนๆ แบบนี้การเลือกมาเดินเล่นตากแอร์ในห้างสรรพสินค้าดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ปิ๊กยิ้มร่าจนดวงตากลมปิดสนิทเมื่อความเย็นปะทะที่ผิวกาย แอบเห็นเด็กน้อยอ้าแขนออกกว้างแต่คงนึกได้ว่าเป็นที่สาธารณะเจ้าตัวจึงหุบแขนลง

ผมหัวเราะคนน่ารักในลำคอให้เจ้าตัวหันมาค้อนใส่ แต่ไม่ทันไรก็เข้ามาเกาะแขนผม

“อ้อนอยากได้อะไรครับ”

“เปล่า” ส่ายหน้าน้อยๆ “ปิ๊กกลัวหลง”

“งั้นก็จับมือพี่ไว้แน่นๆ นะ”

เรากระชับมือที่จับกันให้แน่นด้วยความรู้สึกราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยมือจากกันถึงแม้ใครจะแยกเราก็ตาม

ผมพาปิ๊กขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้น 3 ซึ่งเป็นส่วนของร้านอาหาร เงินเดือนรวมกับค่าสอนที่เพิ่งเข้าบัญชีเมื่อวานมากพอที่จะเลี้ยงอาหารดีๆ ให้น้องสักมื้อ

“ปิ๊กชอบกินอาหารญี่ปุ่นมั้ย”

“ไม่ค่อยชอบครับ” ปิ๊กไม่แม้แต่จะมองเมนูอาหารที่ติดโชว์ที่หน้าร้าน ผมว่าไม่ใช่ไม่ชอบหรอก แต่คงเกรงใจ

“วันนี้พี่มีเงินนะ”

“ปิ๊กก็มีเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ล้วงเอากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดโชว์ ผมหรี่ตามองแล้วก็ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักนั่น

“มีเงินเยอะนี่ งั้นเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นพี่ซักมื้อสิ”

“กินแฮมเบอร์เกอร์กันดีกว่า”

ไม่รอให้ผมแสดงความคิดเห็นเจ้าตัวก็ลากผมไปยังร้านเบอร์เกอร์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม จัดแจงสั่งอย่างชำนาญเหมือนคนที่กินอยู่แล้วเป็นประจำ

“พี่โอมเอาอะไร” ผมก็อึ้งรับประทานสิครับ เคยกินอะไรแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ

“เอ่อ...”

“งั้นเอาเหมือนปิ๊กเนอะ” เด็กน้อยยิ้มแฉ่งแล้วสั่งเบอร์เกอร์ให้ผมบ้าง

รอสักครู่ก็ได้แฮมเบอร์เกอร์กับน้ำมาคนละแก้ว โดยที่ผมเป็นฝ่ายแย่งจ่ายตังค์เอง แหม จะปล่อยให้น้องจ่ายก็กระไรอยู่ อย่างไรผมก็เป็นผู้ใหญ่กว่า

แต่ว่า...แฮมเบอร์เกอร์นี่มันแพงจริงๆ แฮะ

“เมื่อก่อนคงกินบ่อยเลยสิ สั่งคล่องเชียว”

เราเลือกที่นั่งติดกระจกซึ่งมองเห็นบรรยากาศข้างนอกได้ชัดเจน

“ปิ๊กแค่รู้สึกคุ้นเคย” ตอบผมแล้วก็กัดเบอร์เกอร์ในมือเข้าไปเต็มคำ “คงจะเคยกินบ่อยๆ ตอนก่อนความจำเสื่อมมั้งครับ”

“งั้นบ้านปิ๊กก็คงมีฐานะ” ผมพูดอย่างที่คิด

ถ้าน้องฐานะอย่างผมคงไม่มีทางได้กินแฮมเบอร์เกอร์นี้บ่อยๆ หรอก แต่ก็สงสัยนะว่าคนมีฐานะดีนั้นเวลาลูกหลานหายตัวไปเขาไม่ตามหากันเหรอ

“ฐานะดีแล้วไง ไม่เห็นจะมีใครตามหาปิ๊กเลย”

น้ำเสียงของปิ๊กเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด จนต้องยื่นมือไปบีบแก้มนิ่มๆ แล้วยิ้มให้อีกคนยิ้มตอบ

“กินเสร็จแล้วเราไปเล่นเกมกันมั้ย”

“ปิ๊กอยากเล่นเกมคีบตุ๊กตาอะ ปิ๊กเล่นเก่งมากเลยนะ”

“โม้รึเปล่า”

“ไม่ได้โม้”

อื้อหือ ไม่ได้โม้จริงๆ ครับ

ปิ๊กปรี่เข้าหาตู้คีบตุ๊กตาทันทีเมื่อเรามาถึงโซนเกมส์ เริ่มเล่นทันทีเมื่อผมส่งเหรียญให้ ผ่านมาเกือบ 20 นาที ตอนนี้ตุ๊กตาล้นมือผมจนต้องคาบเอาไว้ด้วยปากแล้ว

“ปิ๊ก พี่โอมถือไม่ไหวแล้ว” ผมบอกเสียงอู้อี้เมื่อไม่สามารถขยับริมฝีปากได้ให้เด็กน้อยเหลือบมองแล้วก็ขำก๊ากจนตัวงอ

“พี่โอมตลกจัง”

“ช่วยถือเลย” ผมโน้มลำตัวลงไปหาให้หยิบตุ๊กตาออกไปจากปาก

จุ๊บ!!

คนถูกขโมยจูบที่แก้มเบิกตากว้างแล้วลูบแก้มตัวเองป้อยๆ มองผมราวกับคาดโทษที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ

“เก่งจริงๆ เลยนะปิ๊กเนี่ย”

“ก็บอกแล้วว่าเก่ง” ไม่ถ่อมตัวสักนิดอะคนเรา

เราเดินเตร็ดเตร่ในห้างอย่างไร้จุดหมายกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะกลับบ้านกันได้แล้ว และเด็กข้างๆ ผมก็ดูเหมือนจะล้ากับการเดินเรื่อยเปื่อยของเราเต็มทนแล้ว

“เหนื่อยรึยังครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“ลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ก่อนได้มั้ย เย็นนี้พี่จะทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน” พอได้ยินเรื่องของกิน คนที่ดูเหมือนเมื่อยล้าในคราแรกก็ดูเหมือนจะมีพลังขึ้นมา

เราเดินลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นซุปเปอร์มาเก็ต อาหารสดในนี้แพงกว่าในตลาดแน่แต่ว่าป่านนี้แล้วผมไม่มีทางถ่อไปตลาดหรอก

“ซื้ออันนี้ได้มั้ยพี่โอม”

“เอาสิ” ผมหยิบขนมปังแพที่ปิ๊กอยากกินใส่รถเข็นแล้วเดินไปยังเชลล์ขายแยม บอกให้เขาเลือกที่ตัวเองชอบมาหนึ่งอย่าง

“ปิ๊กอยากกิน...” คิ้วขมวดมุ่นมองขวดแยมที่วางเรียงรายอย่างพิจารณา เอิ่ม แค่เลือกแยมต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอครับน้อง

“สตรอเบอร์รี่มั้ย”

“อ่า เอาๆ เอาสตรอเบอร์รี่ครับ” และเป็นเจ้าตัวที่หยิบขวดแยมมาใส่รถเข็นไว้เอง

“ปิ๊กอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย”

“ไม่เอาแล้ว” พอซื้อของเสร็จก็ดูเหมือนคนเหนื่อยทันที ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าปิ๊กเหนื่อยจริงหรือแอคติ้งกันแน่

“น้องดีน!!!”

เสียงเรียกทำให้ผมที่ใช้มือข้างหนึ่งจับมือปิ๊กแล้วเข็นรถด้วยมือเดียวหันขวับไปมอง แล้วก็สบตากับหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดีในระดับหนึ่ง

เธอปรี่เข้ามาหาเรา แล้วจ้องปิ๊กเสียจนตาแทบถลนออกมา

“น้องดีนนี่อาช้องนางเอง จำได้มั้ยคะ”

คนถูกถามมองคนตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองหน้าผม สีหน้าปิ๊กดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก่อนเขาจะก้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ใช่น้องดีนหรอกเหรอ ทำไมเหมือนขนาดนี้” เธอบ่นเบาๆ แต่ผมได้ยินนะ “น้องดีนมองหน้าอาดีๆ สิคะ ค่อยๆ คิดว่าเรารู้จักกันหรือเปล่า”

“พี่โอม” เมื่อถูกคะยั้นคะยอ มือที่กุมมือผมไว้หลวมๆ ก็บีบแน่นพลางขยับเข้ามายืนจนชิดแล้วว่าเสียงอ่อน “ปิ๊กอยากกลับบ้าน”

“น้องดีนลูก...”

“ขอโทษนะครับ คุณคงจำคนผิด นี่น้องชายผมชื่อปิ๊ก ไม่ได้ชื่อดีน”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง” เธอยังคงบ่นกับตัวเองเสียงแผ่วก่อนจะมองตรงมาที่ผมขณะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ขอถ่ายรูปน้องไว้ได้มั้ย”

“พี่โอมปิ๊กอยากกลับบ้าน” เด็กน้อยว่าพลางกระตุกมือผมแรงๆ ให้จำต้องเดินห่างออกมา

ปิ๊กดูลุกลี้ลุกลน เขาสอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณเหมือนกับระแวงว่าคุณอาช้องนางอะไรนั่นจะตามมา ท่าทางที่ผมแอบคิดว่าบางทีปิ๊กอาจจะจำเธอได้แต่ไม่อยากยอมรับ

“กลับบ้านกันครับ”

พอผมบอกอย่างนั้นปิ๊กก็แทบจะลากให้เดินเร็วๆ ออกจากซุปเปอร์มาเก็ตเลยทีเดียว

“ปิ๊กครับ”

“ครับ” เด็กน้อยขานรับเมื่อเราขึ้นมานั่งบนรถแท็กซี่แล้ว

“จำอะไรได้บ้างแล้ว”

“จำอะไรครับ ปิ๊ก...”

“อย่าโกหก ถ้าปิ๊กโกหกพี่จะพาเรากลับไปหาคุณอาช้องนางอะไรนั่นนะ”

“ปิ๊ก...” เด็กน้อยก้มหน้าละล่ำละลักให้ผมบีบมือเขาเบาๆ สร้างความมั่นใจว่าถ้าบอกผมจะไม่ว่าอะไรเขาอีก “คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเพื่อนแด๊ดครับ”

“เพื่อนพ่อ?? ปิ๊ก เขาเป็นคนที่จะพาปิ๊กกลับบ้านนะ”

“แต่ปิ๊กไม่อยากกลับ ปิ๊กอยากอยู่กับพี่โอม ปิ๊กไม่อยากไปไหนแล้ว”

ปิ๊กอยู่กับพี่ไม่ได้...

ความจริงข้อนั้นแม้ไม่อยากยอมรับแต่สักวันหนึ่งเขาก็ต้องไป






✧✧✧






“พี่โอมโกรธอะไรปิ๊กรึเปล่าครับ”

แขนเล็กโอบเอวของผม ใบหน้าซบลงบนแผ่นหลังเมื่อเราก้าวพ้นประตูเข้ามา

ถามว่าที่ทำตัวเฉยชาตั้งแต่บทสนทนาบนรถแท็กซี่จบลงเพราะโกรธเขาหรือเปล่า ไม่นะ ผมโกรธตัวเองมากกว่า โกรธที่อยากรั้งน้องเอาไว้กับตัวเอง

“เปล่าครับ ปิ๊กหิวข้าวรึยัง”

ผมหมุนตัวไปมองหน้าเจ้าตัวเล็กแล้วยิ้มอบอุ่น อย่างที่คนได้รับก็ส่งยิ้มสดใสตอบกลับมา

“หิวมากเลย”

“งั้นมาช่วยพี่ทำกับข้าวดีกว่าเนอะ”

“ครับผม” เด็กน้อยขานรับด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว

ปิ๊กช่วยผมตอกไข่แล้วตีให้เข้ากัน หั่นต้นหอมแล้วใส่ลงไป ก่อนจะเรียกผมมาปรุงรส ไม่นานไข่เจียวก็ถูกเทลงในกระทะ อย่างที่คนตีไข่ก็ยืนมองอย่างสนอกสนใจ

“พี่โอมสอนปิ๊กทำบ้างสิ”

“เอาไว้คราวหน้าเนอะ”

“ฮือออ หอมจัง” เด็กน้อยหลับตาพริ้มขณะสูดดมกลิ่นหอม น่ารักจนต้องยื่นมือไปบีบแก้มเบาๆ “เจ็บนะ ขี้แกล้งว่ะ”

“นี่!! ไปเอาคำว่า ‘ว่ะ’ มาจากไหน” ผมดุเขาไม่จริงจังนักให้ปิ๊กหัวเราะแห้งๆ

“พี่ร้านสะดวกซื้อ”

“จำอะไรแบบนี้มา เดี๋ยวก็ไม่ให้ไปทำงานซะหรอก”

“จะไม่พูดอีกแล้วครับ” เด็กน้อยว่าเสียงอ่อนแล้วซบหน้าลงบนอกผมอย่างอ้อนๆ ทำแบบนี้ผมก็หิวน่ะสิครับ

เอาล่ะ อาหารเย็นพร้อมเสิร์ฟแล้ว

เราช่วยกันตั้งโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามกันเพื่อจัดการอาหารธรรมดาๆ ตรงหน้าที่ให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เคยกินคนเดียว

“พี่โอมกินนี่สิ อร่อยมากเลย” ปิ๊กตักไข่เจียวให้ผมขณะพูดงึมงำเพราะมีข้าวอยู่เต็มปาก

ผมยิ้มขำมองเขาแล้วจึงแกล้งเย้า “พี่ชายปิ๊กทำกับข้าวอร่อยเนอะ”

“พี่ชาย?” เด็กน้อยขมวดคิ้วเมื่อทวนคำ “แค่พี่ชายเองเหรอครับ”

หืม?

ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินเขาว่าอย่างนั้น เมื่อลองทวนคำตอบในหัวใจที่กำลังเต้นแรงก็ได้รับคำตอบว่าความสัมพันธ์ของเราตอนนี้มันไม่ใช่แค่พี่น้องซักหน่อย

พี่น้องที่ไหนเขาอยากมีเซ็กส์กันล่ะ

“ไม่อยากเป็นน้องชายพี่เหรอครับ” ผมลองแกล้งถาม อยากรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของปิ๊กที่มีต่อผมเป็นแบบไหน

“ไม่อยาก” เด็กน้อยแก้มแดงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบ

“แล้วอยากเป็นอะไรครับ”

“อยากเป็นคนที่ถูกพี่โอมกอด”

ช้อนในมือแทบจะร่วงหล่นลงบนจานข้าวที่พร่องไปกว่าครึ่งตรงหน้า

ผมวางช้อนลง ตั้งศอกไว้บนโต๊ะ เท้าคางมองหน้าปิ๊กตรงๆ อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ยังคงตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ แม้ว่าใบหน้าน่ารักนั้นจะขึ้นสีระเรื่อแต่เขาก็ทำตัวปกติเกินไปจนผมเริ่มจะใจแป้ว

เจ้าเด็กนี่ ที่พูดเมื่อกี้เข้าใจความหมายหรือเปล่าหรอก

“พี่ก็อยากเป็นคนที่ถูกปิ๊กกอดเหมือนกันนะ”

“อื้อ” รอยสีแดงแล่นริ้วไปยังใบหูเล็กๆ เมื่อผมพูดเช่นนั้น

โด่ว เขินอะดิ

“แล้วคืนนี้กอดได้มั้ยครับ”

“อาบน้ำด้วยกันมั้ยครับ” เด็กน้อยว่าเสียงแผ่วคล้ายพึมพำแต่มันทำให้ผมแทบจะคว่ำโต๊ะกินข้าวแล้วหิ้วเขาเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลย

หลังจากนั้นเราก็นั่งกินข้าวกันเงียบๆ แม้ว่าหัวใจในอกซ้ายจะกำลังเต้นระรัวเป็นจังหวะชะชะช่า จะว่าอย่างไรดีล่ะ ตั้งแต่เกิดมา มีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอดทั้งชีวิตแต่ไม่เคยเห็นใครรุกผมได้หน้าตายเท่าคนนี้มาก่อนเลย

“ปิ๊กอายุเท่าไหร่แล้ว”

“หืม ทำไมอยู่ๆ เพิ่งถาม”

“จำอายุตัวเองไม่ได้เหรอ”

“16 ปี เกรด 10 ครับ”

“แปลว่าจำเรื่องของตัวเองได้เยอะแล้วสิ”

คนถูกถามพยักหน้าเบาๆ ก้มหน้าเหมือนคิดอะไรครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองผม “ถ้าตอบว่าเยอะพี่โอมจะส่งปิ๊กกลับบ้านเหรอ”

สิ่งที่ปิ๊กพูดคือสิ่งที่ผมควรทำ แต่ผมกลับไม่อยากทำ

“อิ่มแล้ว เดี๋ยววันนี้ปิ๊กขอล้างจานนะ”เสียงใสเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ “แล้วพี่โอมอิ่มรึยัง”

“อิ่มละ ว่าแต่เราล้างจานเป็นเหรอ”

“พี่โอมก็สอนสิครับ”

นั่นไง คิดว่าเด็กอ่อยได้มั้ยเนี่ย






✧✧✧







นั่นแหละ ผมคิดว่าปิ๊กกำลังอ่อยผมจริงจัง

คนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานโดยที่มีผมยืนคร่อมอยู่ไม่ได้ช่วยผมเลยสักนิด เจ้าตัวเล็กที่สูงแค่ไหล่ พิงศีรษะลงตรงนั้น ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้ผมล้างจานใบแล้วใบเล่า ปล่อยให้ผมพรมจูบบนเส้นผมเขาซ้ำๆ โดยไม่หือไม่อืออะไรเลย

“คิดอะไรอยู่”

ผมถามเมื่อผละริมฝีปากออกจากเส้นผมนุ่ม

“คิดถึงพี่โอม” นั่นไง! รู้ใช่ไหมว่าพูดแบบไหนแล้วผมหวั่นไหวถึงได้พูดบ่อยๆ เนี่ย

“คิดถึงอะไรพี่ก็อยู่นี่ทั้งคน”

“ถ้าปิ๊กกลับบ้าน ปิ๊กต้องคิดถึงพี่โอมมากแน่ๆ เลย” เด็กน้อยช้อนตามองให้ผมก้มหน้าลงไปจูบปากเขาเบาๆ แล้วผละออก

“พี่ก็จะคิดถึงปิ๊ก”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วอะ ล้างจานเสร็จรึยังครับ”

ถามแล้วก็เหลือบมองผมที่วางจานใบสุดท้ายลงพอดี

เจ้าตัวเล็กหมุนตัวหันมาเผชิญหน้า ใช้ท่อนแขนเล็กคล้องคอผมแล้วเขย่งเท้ายืดตัวให้สูงขึ้นมาจนใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน

เขามอบจุมพิตอ่อนหวานให้ผมก่อนจะค่อยๆ ละเลียดชิมทีละนิดด้วยเรียวปากนิ่มที่ขบเม้มดูดดึงริมฝีปากของผมราวกับว่าที่กำลังสัมผัสอยู่นี้คือขนมรสชาติเยี่ยม

“อือ อืม...”

จุมพิตที่เริ่มต้นด้วยความอ่อนหวานค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเร่าร้อนเมื่อผมเป็นฝ่ายครอบครองเรียวปากนิ่มเอาไว้เสียเอง

มือบางลูบไล้ที่ท้ายทอยอย่างยั่วเย้าเมื่อผมถอยเรียวลิ้นที่เคยสัมผัสกันข้างในโพรงปากออกมาเพื่อไล้เลียริมฝีปากสีแดงจัด ไล้ตรงรอยแยกด้วยความนุ่มชื้นให้เจ้าตัวส่งลิ้นชื้นออกมาแตะกับผมภายนอก

“อื้อ...”

ลิ้นของเราแตะต้องหยอกล้อกันที่ภายนอก เมามันในอารมณ์หวามโดยไม่สนใจความชื้นแฉะที่เปรอะเปื้อน

ผมดันปิ๊กไปข้างหลังจนสะโพกของเขาชนเข้ากับอ่างล้างจาน

แลกจูบกันราวกับโหยหา อืม ที่จริงผมก็โหยหาสัมผัสของปิ๊กอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“อาบน้ำมั้ย”

ผมผละออกอย่างแสนเสียดายเมื่อปิ๊กเริ่มหายใจลำบากจากการแลกจูบเป็นระยะเวลานาน

เด็กน้อยยังคงก้มหน้า โห ขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องอายแล้วมั้งครับ

ผมเอื้อมมือไปเชยคางเขาให้เงยหน้าขึ้นสบตา ให้ตายเถอะ ผมคิดว่าตัวเองคิดผิดแล้ว ดวงตาฉ่ำๆ นี่ฆ่าผมได้เลยนะ

ไม่อยากอาบน้ำแล้วอะ อยากกอดตอนนี้เลย

“อาบน้ำกับพี่มั้ยครับ”

ถึงผมจะถามซ้ำเจ้าเด็กตรงหน้าก็ยังไม่ตอบอยู่ดี ดังนั้นผมจึงปล่อยมือจากเอวบาง ก้าวถอยหลังมาราว 1 ช่วงตัว ใช้ดวงตาคมกดมองร่างเล็กในเสื้อผ้าราคาถูกที่ผมซื้อมาจากตลาดเพื่อเขา ถ้ากระชากมันจนขาดวิ่นก็คงไม่น่าเสียดายซักเท่าไหร่

“ถอดเสื้อให้พี่หน่อย”

“หือ” คนถูกขอร้องพ่นเสียงออกจมูก เงยหน้าใช้ดวงตาสั่นระริกมองผมสลับกับเสื้อเชิ้ตบนร่าง “ทำไมไม่ถอดเองล่ะ”

“อยากให้ปิ๊กถอดให้นี่ครับ” ผมยิ้มอ้อนเขาอย่างผู้ใหญ่ใจดี ไม่รู้ว่าเด็กตรงหน้าผมรู้หรือเปล่าว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวง

“แต่ว่า...”

ฟอด!!!

ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธอีกแล้ว ผมกดปลายจมูกลงบนแก้มสีปรั่งแรงๆ จนคนตัวเล็กเซไปด้านหลังนิดหน่อย ยื่นมือไปจับมือเขานำพามาวางไว้บนรังดุมแล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบชิดใบหูเล็ก

“ไหนบอกว่าอยากกอดพี่ไง อาบน้ำกัน จะได้กอดกันไงครับ”

ปิ๊กลังเล ผมปล่อยให้เขาเม้มริมฝีปากครุ่นคิดครู่หนึ่งกระทั่งเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองหน้ากัน ผมจึงบดนิ้วลงบนเรียวปากให้เขาคลายมันออก เด็กน้อยหน้าแดงไปถึงหู ลามไปยันลำคอ และใต้ร่มผ้านั่นก็คงเป็นสีระเรื่อเหมือนกัน

ผมมองเขา บอกความหมายผ่านนัยน์ตาที่เหมือนว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้าผมจะเข้าใจดี

กระดุมถูกปลดออกทีละเม็ด ทุกครั้งที่ปลายนิ้วบังเอิญสัมผัสกับผิวเนื้อร่างกายของผมก็รู้สึกคล้ายกับว่าเกิดไฟฟ้าสถิต มันปลาบแปลบไปทั่วบริเวณ

กระทั่งกระดุมถูกปลดออกทั้งแถว เด็กน้อยจ้องร่างกายเปลือยเปล่าของผมด้วยดวงตาพราวระยับ

“อ๊ะ!” ผมแกล้งจับมือเล็กวางลงบนอกแล้วลากต่ำลงมา

ผิวแก้มของปิ๊กแดงมาก ร่างกายของผมก็ร้อนผ่าวแล้วเช่นกัน

“ช่วยพี่ถอดตรงนี้ด้วยได้มั้ยครับ” ผมกระซิบเขา จงใจให้ริมฝีปากสัมผัสกับใบหูเล็กๆ จนเจ้าของมันย่นคอเพื่อหนี ช้อนสายตามองผมแล้วค้อนเล็กๆ

“แล้วทำไมไม่ถอดเอง”

“พี่อยากให้ปิ๊กถอดให้นี่ ช่วยพี่หน่อยไม่ได้เหรอครับ หืม”

“พี่โอมอะ” ตัดพ้อผมด้วยน้ำเสียงน่ารักๆ แต่กระนั้นก็ยอมไล้มือลงต่ำเพื่อสัมผัสกับหัวเข็มขัดของผม

อย่าว่าแต่ปิ๊กเลยที่สั่น ผมเองก็ใจสั่นไปหมด

เพราะมือสั่นๆ กว่าจะแกะเข็มขัดออกได้ก็ใช้เวลาพอประมาณ

ครืดดดด~

เสียงดึงเข็มขัดหนังออกจากหูกางเกงทำให้คนตรงหน้าผมสะดุ้งน้อยๆ ให้ผมยกยิ้มที่มุมปากส่งให้

“ทีนี้ก็...” ผมวางมือลงบนกระดุมกางเกงที่ยังเกาะกันแน่นสนิท บอกปิ๊กด้วยสายตาให้เขารู้ความหมาย และปิ๊กก็เป็นเด็กดีมาก มากเสียจนเกือบจะทำให้ผมสติหลุดทีเดียว

กระดุมของผมถูกปลดออกในวินาทีเดียวกับที่เด็กตรงหน้าผมทรุดตัวนั่งคุกเข่าบนพื้น

“ปิ๊ก” ผมร้องเรียกเขาด้วยความตกใจ

เด็กน้อยวางมือลงบนหน้าขาของผม แนบแก้มลงบนกลางกายที่กำลังโป่งพองอยู่ในกางเกง ริมฝีปากอิ่มพรมจูบซ้ำๆ ให้ขนทั้งกายของผมตั้งชัน ความเสียวซ่านวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายจนต้องส่งเสียงครางเครือออกมา

“พี่โอมรู้สึกดีเหรอ”

“อื้อ ดีมากเลยครับ” ผมวางมือลงบนศีรษะของน้องลูบไล้ด้วยความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

กระทั่ง

ครืดดดด~

ซิปถูกรูดลงด้วยปาก มือเล็กที่วางอยู่บนหน้าขาทำหน้าที่ดึงกางเกงให้หลุดออกจากสะโพก

“ของพี่โอมตื่นแล้วอะ” เด็กน้อยช้อนตามอง แนบแก้มลงบนส่วนที่ถูกปลุกให้ตื่นมาสักพักแล้ว

“เพราะปิ๊กแหละ รับผิดชอบเลย”

“อื้อ ปิ๊กจะรับผิดชอบ”

“อ๊า...” คงกลัวว่าผมจะไม่เชื่อถึงได้จรดริมฝีปากลงบนส่วนนั้นที่ถึงแม้จะมีกางเกงชั้นในกั้นไว้แต่ผมก็รับรู้ถึงความอุ่นของริมฝีปากอิ่มได้เป็นอย่างดี

ให้ตายเถอะ ไม่ต้องอาบมันแล้วน้ำเนี่ย เอาไว้ทำเสร็จแล้วค่อยอาบทีเดียว

“ปิ๊กครับ” ผมไล้มือที่กรอบหน้าเรียวก่อนจะเชยคางให้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน “ถอดสิ”

เด็กน้อยพยักหน้าแล้วทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

กางเกงชั้นในของผมถูกถอดและดึงลงมาค้างไว้ที่หัวเข่าให้ส่วนที่ซุกซ่อนอยู่ภายในดีดผึงออกมาชี้หน้าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน

“มันชี้หน้าปิ๊กอะ อย่ามาชี้หน้านะ”

ซี้ดเลย แม่งเอ้ย!!!

ผมกำมือข้างที่ว่างแน่น เท้าที่กำลังเขี่ยกางเกงชั้นในให้พ้นขาก็หยุดชะงักเมื่อลิ้นเล็กๆ เลียแผล้บลงบนส่วนหัวปริ่มน้ำ

คิดผิดหรือคิดถูกวะที่ยอมให้น้องใช้ปากให้เนี่ย

“ของพี่โอมร้อนมากเลย ปิ๊กจะทำให้มันเย็นนะ”

“อื้อ” ไม่ใช่คำตอบรับแต่เป็นเสียงครางของผมที่กำลังถูกปิ๊กปรนเปรอให้ด้วยปาก ลิ้นเล็กทำหน้าที่เลียไปทั่วทั้งความยาว ถึงส่วนโคนแล้วก็เลียกลับมาที่ส่วนปลาย ใช้ริมฝีปากจูบตรงนั้นซ้ำๆ แล้วแลบลิ้นออกมาเลีย

ทำซ้ำๆ จนผมที่ความอดทนสูงแทบจะปริแตก

ไม่ใช่เพราะฝีมือของเจ้าเด็กตรงหน้าแต่เพราะท่าทางไร้เดียงสานั้นต่างหาก

“อืม ปิ๊ก”

ผมละมือจากไหล่บางแล้วไล้ที่กรอบใบหน้าของคนที่ยังไม่หยุดเลียตัวตนของผมสักวินาที

“ปิ๊ก...” ผมร้องเรียกเคล้าเสียงครางให้เขาหยุดแล้วเงยหน้ามอง ผมจึงไล้ริมฝีปากสีสดที่เปรอเปื้อนด้วยน้ำของผมเบาบ้างหนักบ้างให้คนถูกสัมผัสหลับตาพริ่ม “อ้าปากให้พี่หน่อย”

เด็กน้อยเผยอริมฝีปากแล้วแลบลิ้นออกมา

ภาพตรงหน้าทำให้ผมแทบจะสติแตก

ผมใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสตัวตนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของเขา ใช้ส่วนปลายลูบไล้ไปทั่วริมฝีปากอิ่มให้ปิ๊กตวัดลิ้นตาม

“อื้อพี่โอม อย่าแกล้ง” พอเขาสัมผัสผมก็ผละออกให้เด็กน้อยร้องประท้วงเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่น

“อยากกินเหรอครับ” คนถูกถามช้อนดวงตาฉ่ำขึ้นมองแล้วพยักหน้าพลางแลบลิ้นออกมาเพื่อรอ

ไม่ให้เดี๋ยวจะหาว่าใจร้าย

“อื้มมมม~”

ลิ้นชื้นตวัดเลียที่ส่วนหัวฉ่ำทันทีเมื่อตรงนั้นสัมผัสกับลิ้นชื้น ปิ๊กปัดมือผมออก กอบกุมแท่งร้อนด้วยมือของตน ส่งมันเข้าไปในโพรงปากครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งก็ชักรูดมันด้วยมือ

สมองของผมพร่าเบลอ ดวงตาที่ตั้งใจว่าจะมองคนที่กำลังปรนเปรอให้ก็จำต้องหลับลง อยู่ๆ ริมฝีปากก็แห้งผากจนต้องแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก

“อื้อ” ปิ๊กละมือออก วางลงบนต้นขาแล้วค่อยๆ ส่งแท่งร้อนเข้าไปในโพรงปากเขาจนสุดความยาว

ได้ยินเสียงปิ๊กดังแผ่วๆ อยู่ด้านล่างจนต้องลืมตาขึ้นมอง

ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิด เพราะภาพของเด็กที่กำลังโยกศีรษะขึ้นลงอยู่ระหว่างกายของผมนั้นช่างเย้ายวนชวนให้ปริแตกเสียเหลือเกิน

“ซี้ด อาห์ ปิ๊ก”

ผมร้องไม่เป็นภาษา ลากมือสะเปะสะปะไปทั่วทั้งร่างกายนุ่มนิ่มก่อนพิษสวาทจะลามไปทั่วทั้งร่างกายจนไม่สามารถหักห้ามความปรารถนาเบื้องต่ำได้อีก

ใบหน้าของปิ๊กถูกล็อคไว้ด้วยมือหนาก่อนที่ผมจะเริ่มขยับสะโพกกำหนดจังหวะด้วยตัวเอง

“อ๊า ปิ๊ก ปิ๊ก”

ข้างในปากปิ๊กให้ความรู้สึกดีมาก ยิ่งในยามที่ลิ้นชื้นตวัดเกี่ยวพันกับแท่งของผมยิ่งให้ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

“อื้อ อื้อ อื้อ”

เสียงหวานดังผ่านลำคอในทุกจังหวะที่ผมกระแทกกายเข้าออก มือเล็กที่เคยวางอยู่บนหน้าขาเลื่อนมากอดสะโพกของผมเอาไว้ ขณะที่ผมก็ล็อคศีรษะของปิ๊กแน่น สอนให้เขาขยับศีรษะไปในจังหวะเดียวกับสะโพกของผม

น้ำสีแปลกไหลเลอะที่ขอบปากอิ่ม หยดแหมะลงบนกางเกงของคนตัวเล็ก ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ

ปิ๊กยังคงขยับตามจังหวะของผม เขาช้อนสายตามอง ยิ่งสบตากันความร้อนรุ่มก็ยิ่งถูกพัดโหมจนผมแทบจะปริแตกเดี๋ยวนี้

ไม่! มันไม่ถูกต้อง ผมจะชิงเสร็จก่อนน้องไม่ได้

คิดได้ดังนั้นผมก็รีบถอนตัวตนออกให้น้ำลายเหนียวๆ ที่ผสมกับน้ำของผมยืดออกมาเป็นสาย เด็กที่กำลังกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อยก็ถึงกับอารมณ์ค้าง

ผมเองก็ค้าง แต่เชื่อพี่โอมสิว่าหลังจากนี้มันจะดีมาก มากกว่านี้พันเท่าเลย


[TBC]
 :hao3:



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องจำได้แล้ว  แต่...น้องติดใจพี่โอม   จนไม่อยากกลับบ้านไปหาครอบครัว

หรือไม่ก็ อยู่กับครอบครัวไม่มีความสุข  อยู่กับพี่โอมมีความสุขมากกว่า  โดยเฉพาะเรื่อง.....นั้น

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า  สนุกมาก

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จำได้ แต่คงเป็นบางเรื่อง ยิ่งตอนนี้ติดใจพี่โอม จนไม่อยากจะแยกกัน  :hao3:

ปอลอ   ผู้ใดเอา + เป็ด ไป รบกวนเอามาคืนด้วยจ้า   :m5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องคงจำอะไรได้เยอะแล้วมั้งเนี่ย :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:

คัมแบ็ค  พลีส

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จะดราม่ามั้ยอ้ะถ้าน้องจำได้ ฮือออ พี่โอมคือหื่นเสมอต้นเสมอปลายมากๆ จนตอนนี้น้องหื่นตามไปแล้วเนี่ยย

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ตอนที่ 11 รอน้องโตก่อน


ร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กตรงหน้าทำให้ผมถึงกับต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้โอมจะปล่อยเนื้อสวยๆ หวานๆ นี้หลุดรอดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่คืนนี้แหละ ไม่พลาดแน่

ผมช้อนมือเข้าไปใต้รักแร้แล้วยกเด็กน้อยขึ้นนั่งบนซิงค์ล้างจาน

แนบหน้าผากกับหน้าผากน้องแล้วยิ้มใส่ดวงตาเขา เกลี่ยปลายจมูกที่แก้มใส ไล้ลงมาตามสันกราม เลียที่ปลายคางอย่างที่เจ้าตัวเล็กก็เงยหน้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้

ปิ๊กวางมือเล็กๆ ลงบนไหล่ของผม ลูบขึ้นมาที่ท้ายทอย กดใบหน้าผมลงบนลำคอของเขา

“อื้อ” เขาร้องเมื่อผมฝังเขี้ยวลงบนลำคอระหง

“เจ็บเหรอครับ” ปิ๊กส่ายหน้าเมื่อผมเงยหน้าขึ้นถาม

“งั้นพี่ทำต่อนะ”

เด็กในอ้อมกอดกดหน้าลงผมจึงตามไปจูบที่ลำคอหอมๆ อีกรอบให้ปิ๊กส่งเสียงครวญครางเร้าอารมณ์ออกมาเป็นระรอก

ผมผละออกเขาก็กดท้ายทอยผมลง ผมรุกเขารับ ผมรับเขารุก ทำซ้ำๆ จนผิวสีน้ำนมถูกแต่งแต้มด้วยร่องรอยสีกุหลาบไปทั่วบริเวณ

ในตอนนี้ร่างกายของปิ๊กก็ไม่ต่างกับผลงานศิลปะชิ้นเอกของผม

ผมผละออก กวาดสายตามองร่างเกือบเปลือยตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการกลืนกินเขาไปทั้งตัว

เรือนร่างของปิ๊กที่กำลังสะท้านไหวด้วยแรงหอบช่างยั่วยวน

ผมช้อนตัวน้องขึ้นมาในอ้อมกอด

ก้าวขายาวๆ ไปที่กลางห้อง วางน้องลงแล้วดึงเอาที่นอนมาปูลวกๆ ด้วยความร้อนรนที่กำลังลุกไหม้ในหัวใจและร่างกาย

ผมลูบไล้ที่ปลีน่องขาว กดจูบแล้วแลบลิ้นเลียอย่างละเมียดละไม เงยหน้าขึ้นสบตากับปิ๊กบ้างในบางครั้ง

ผมค่อยๆ ชิมน้องอย่างใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายร้อนผ่าวจนแทบปริแตก ปิ๊กเองก็มีอาการไม่ต่างกัน

กลางกายเล็กชูชัน ส่วนปลายฉ่ำวาวด้วยน้ำอยากที่เปรอะเปื้อน เห็นอย่างนั้นผมที่แทบจะไม่อยากรอคอยอะไรอีกแล้วจึงใช้ปลายลิ้นเลียตั้งแต่นิ้วหัวแม่เท้า หน้าแข้ง ดูดเม้มที่หัวเข่า ขาอ่อน ลูกบอลที่แสนจะน่ารักน่าชังให้เจ้าของมันส่งเสียงครวญครางแทบขาดใจ

“พี่ขอกินนะครับ” เงยหน้าขึ้นสบตาเด็กน้อย เราจ้องกันขณะที่ผมแลบลิ้นเลียที่ส่วนหัวแดงก่ำ ดูดแรงๆ จนเกิดเสียง

ปิ๊กแหงนเงยใบหน้าร้องคราง แผ่นอกแอ่นขึ้น มือเล็กกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น

ผมลูบไล้ที่เรียวขาน้อง พามันขึ้นมาพาดไว้ที่ไหล่ ขณะดูดรีดน้ำหวานรสเด็ดให้หลั่งไหลออกมาให้ดื่มกลิ่น

เสียงผิวเนื้อที่เสียดสีกันในปากยิ่งทำให้ผมตบะแตก

“พี่โอม ปิ๊กไม่ไหว อื้อ ไม่ไหวแล้ว แรงอีก อ๊ะ แรงครับ”

เด็กน้อยครวญครางพลางกดหัวผมให้จมอยู่ที่กลางกายของเขา แต่ผมก็ต้องขัดใจเขาด้วยการถอนปากออก

“พี่โอม ฮือ ใจร้าย” เด็กน้อยตัดพ้อ

“ใจร้ายอะไรกันครับ พี่กำลังจะทำให้ปิ๊กมีความสุขมากกว่าเดิมต่างหาก”

ผมลูบไล้ที่ปลีน้อง แยกหัวเข่าน้องออก แลบลิ้นเลียที่โคนขา สัมผัสช่องทางรักที่ปิดสนิทด้วยนิ้วให้ปิ๊กส่งเสียงครางอู้อี้ในยามที่เจ้าตัวเล็กเอาหลังมือปิดปากไว้

ภาพตรงหน้าทำให้ผมอยากส่งตัวตนเข้าไปภายในช่องทางคับแคบเดี๋ยวนี้ แต่ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น

“เลียครับปิ๊ก” ผมส่งนิ้วชี้กับกลางของมือข้างที่ว่างไปจ่อที่ปากเล็ก ปิ๊กมองมันตาแป๋วแต่ก็ยอมอ้าปาก แลบลิ้นเล็กออกมาเลียนิ้วอย่างที่ผมบอก

น่ารักฉิบหาย

น้องร้องอู้อี้ เสียงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดมากกว่ารัญจวน ในตอนที่ผมส่งนิ้วกลางฉ่ำน้ำลายเข้าไปก่อน

รัดแน่นมากให้ตายเถอะ

ผมพยายามสร้างความคุ้นเคย เบิกทางด้วยความนุ่นนวลที่สุด ปิ๊กละมือออกจากปากเปร่งเสียงครางออกมา เด็กน้อยจิกผ้าปูที่นอนแน่นในยามที่ผมพยายามส่งนิ้วที่สอง เท้าที่ยันอยู่บนที่นอนจิกเกร็งตอนที่ผมเพิ่มนิ้วไปสาม

น้องร้องอู้วอย่างรัญจวนเมื่อผมเริ่มความนิ้วหาจุดกระสัน

ร่างกายของปิ๊กกระตุกเกร็ง น้ำตาไหลเป็นสาย น้ำลายไหลเลอะขอบปากเมื่อผมเจอจุดกระสันที่เป็นดั่งขุมทรัพย์ของการมีเซ็กส์

ยิ่งผมขยับเข้าออกรัวเร็วน้องก็ยิ่งแสดงสีหน้ารัญจวนจนผมไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“ปิ๊กครับชอบมั้ย” ผมถอนมันออกเกือบสุดหากน้องก็คว้ามือผมเอาไว้ซะก่อน

“พี่โอมอย่าไป ทำปิ๊ก อ๊า” น้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางร้องขอ

ได้ครับ เดี๋ยวพี่ให้ ให้อะไรที่ใหญ่กว่า

“เอาของพี่ดีกว่าเนอะ” ผมก้มลงไปกระซิบที่ใบหูเล็กแล้วเลียก่อนจะสบตากันอย่างสื่อความหมาย

น้องมองตามสายตาผมลงมาที่ท่อนเนื้อที่แข็งตั้งอยู่ระหว่างกาย ผมชักรูดมันขณะสบสายตากับเด็กน้อย ยิ่งมองยิ่งรูดยิ่งกระสัน

“เป็นของพี่นะเด็กดี”

ผมขยับเข้าไปหา ใช้ส่วนหัวลูบไล้ที่ช่องทางซึ่งถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว

“อื้อ เจ็บ พี่โอม มันใหญ่” กดเข้าไปเพียงนิดเด็กน้องใต้ร่างก็ร้องออกมาพลางจิกเล็บที่หัวไหล่

“ทนนะครับ พี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ผมบอกชิดเรียวปากเล็กฉ่ำชื้นก่อนแลบลิ้นออกมาให้น้องทำตาม

เราหยอกล้อกันด้วยลิ้นชื้น ปิ๊กดูดลิ้นผมอย่างหิวกระหาย ส่วนผมก็ส่งมือไปลูบไล้ผิวเนียนที่เอวคอด แยกบั้นท้ายกลมกลึงออกก่อนจะกัดฟันกลั้นใจสอดร่างกายอันใหญ่โตเข้าไปทีเดียวจนมิด

ปิ๊กร้องเสียงหลง ผมเองก็เผลอครางออกมาเช่นกัน

น้องกอดผมแน่นขณะที่ผมลูบไล้แผ่นหลังเปลือยอย่างอ่อนโยนในตอนที่ยกร่างอ่อนปวกเปียกขึ้นมานั่งบนตัก จูบซับที่หน้าผากมน เลียคราบน้ำตาบนแก้ม จูบที่ปลายจมูกแล้วจบที่ริมฝีปาก

ปลอบโยนกันอยู่สักพักทีเดียวกว่าน้องจะผ่อนคลาย

“พี่ขยับนะ” ช่องทางคับแคบที่ผมได้ครอบครองเป็นคนแรกบีบรัดเสียจนกลัวว่าของๆ ผมจะขาดเป็นเสี่ยงๆ

ปิ๊กไม่ได้พยักหน้า ไม่ได้ตอบคำถามผมเป็นคำพูด แต่น้องแทนคำตอบด้วยการโยกร่างบนตัวผม

ให้ตายเถอะ จะยั่วกันไปถึงไหน

ผมผ่อนร่างน้องลงบนฟูกอีกครั้ง ร่างกายของเราประสานกัน ผมเริ่มขยับน้องก็ครางออกมาเสียงเครือ ยิ่งขยับแรงน้องก็ยิ่งร้องดัง ตอนขยับถี่ๆ ในยามกำลังจะถึงฝั่งฝันเสียงน้องก็ทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“อ๊ะๆๆๆๆๆๆ” น้องร้องเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมกระแทกสะโพกลงไป ปิ๊กเองก็ดูเหมือนจะรู้งานดันสะโพกขึ้นมารับแรงกระทั้นของผมด้วยเช่นกัน

อู้ว โคตรเสียวเลย นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงเซ็กส์ที่ดีเยี่ยมแบบนี้

ผมดึงตัวตนออกมาในตอนที่กำลังจะถึงจุดสุดยอด ขยับตัวขึ้นไปให้ตัวตนจดจ่อที่ใบหน้าน่ารัก ไม่รู้ว่าปิ๊กเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน ตอนที่ผมชักรูดตัวตนตรงหน้าเขา อยู่ๆ เด็กน้อยก็แลบลิ้นออกมาเลียที่ส่วนหัวจนผมแตกคาปากของเขา

ให้ตายเถอะว่ะ โคตรอีโรติกเลย

“ปิ๊ก มานี่สิ”

ผมนอนลงบนฟูกข้างกันแล้วเรียกให้ปิ๊กขึ้นมาคร่อมที่หน้า ให้ตัวตนเล็กๆ ที่ปลดปล่อยน้ำรักออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจดจ่อที่เรียวปาก

เจ้าตัวเล็กซี้ดปาก ยกมือขึ้นมาบีบบี้หน้าอกตัวเองขณะที่ผมรูดรั้งและดูดเลียตัวตนตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

ไม่นานเลย น้ำรักก็ถูกปลดปล่อย

ไม่พอ แค่นี้ไม่พอหรอก

“ปิ๊กครับ ขออีกนะ ให้พี่เอาปิ๊กอีกนะครับ” ผมแม่งเหมือนตาแก่ตัณหากลับเลยว่ะ ยังไม่ทันที่น้องจะตอบตกลงผมก็จับร่างเล็กให้คลานสี่ขา

ท่านี้แม่งโคตรเอ็กซ์เลย

“อมให้พี่หน่อยสิ” เด็กน้องแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารักในตอนที่ผมชักรูดแก่นกายให้แข็งขึ้นมาอีก

ปิ๊กบรรจงเลียให้ผมตั้งแต่ส่วนยอดจรดโคน แถมยังหยอกเย้าที่ลูกบอลของผมอีก

แม่งเอ้ย ไม่ไหวแล้วว่ะ

“อ้าปากครับ” ผมส่งมือไปบีบกรามน้องจนปากเล็กอ้าออกให้ผมส่งตัวตนเข้าไปได้ถนัด “ขอแตกในปากอีกนะ”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายอนุญาตเลย ผมก็โยกเอวรัวสะโพกใส่ปากน้องแล้ว ลิ้นเล็กก็แสนจะซุกซน ลูบไล้แก่นกายของผมในปากจนแตก

“อ๊า” ผมครางเสียงพร่าเมื่อถอนตัวตนออก มองภาพเด็กน้อยที่น้ำสีขุ่นไหลย้อยออกจากปากแล้วก็ก้มลงไปจูบแลกลิ้น

“พี่โอมปิ๊กเหนื่อย”

“พี่ยังอยากกอดปิ๊กอยู่เลยครับ” ผมดันร่างน้องไปข้างหน้าให้ยันมือที่ผนัง “ขอพี่อีกนะครับคนเก่ง ตรงนี้” ช่องทางรักของปิ๊กติอดรัดนิ้วของผมตุบๆ

และเมื่อส่งของที่ใหญ่กว่าเข้าไปคนที่ร้องบอกว่าเหนื่อยเมื่อครู่ก็รับมันไปจนหมด

ผมวางมือทาบมือปิ๊กไว้ที่ผนัง ส่วนอีกข้างลูบไล้ที่แผ่นอกน้อง หยอกเย้ายอดอกที่แข็งตึงน่าดูด ขยับสะโพกส่งตัวตนเข้าไปในตัวน้องอย่างกับอดอยากปากแห้ง ปิ๊กเองก็รองรับทุกอารมณ์ของผมได้เป็นอย่างดี

แม้ปากจะบอกว่าเหนื่อยๆ แต่พอผมขอต่อน้องก็ไม่เคยปฏิเสธเลย

กระทั่งน้องหลับตัวตนของผมก็ยังคงขยับขยายอยู่ภายใน

ให้ตายเถอะ น้องแม่งโคตรน่ารักเลย

ค่ำคืนที่แสนเร่าร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่าเราจะตื่นขึ้นมาก็สายเกินกว่าจะกินข้าวเช้าแล้ว ผมมองเด็กที่นอนหลับไหลอยู่ข้างกาย พลันภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ

นานแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสความบริสุทธิ์ ความอ่อนหวาน ความยั่วเย้า ความน่ารักแบบนี้

นานเหลือเกินที่ไม่ได้รักใครจนหมดแรงแบบนี้

ถ้าปิ๊กอยู่กับผมตลอดไปได้ก็คงดี

ผมเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของเด็กน้อยอย่างนึกเอ็นดู ก้มลงประทับจูบที่แก้มใสแล้วจึงลุกเข้าห้องน้ำทั้งร่างกายเปลือยเปล่า

เมื่อคืนผมเอาแต่ใจตัวเองและรังแกปิ๊กจนเจ้าตัวหมดแรง ปล่อยให้นอนเยอะๆ หน่อยคงไม่เป็นไรหรอก




✧✧✧




ทั้งวันผมยุ่งอยู่กับการเตรียมของอร่อยและยาต่างๆ ไว้ให้ปิ๊กเผื่อเจ้าตัวอาจจะเจ็บป่วยจากการถูกผมรัก จนบ่ายคล้อยเจ้าตัวเล็กจึงงัวเงียตื่นขึ้นมา

“พี่โอม” เมื่อตื่นก็เรียกหาผมเลย โคตรอยากจะจับปู้ยี่ปู้ยำอีกหลายๆ ครั้ง

“ครับ” ผมขานรับพลางขยับเข้าไปใกล้ “ปิ๊กเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“เจ็บไปทั้งตัวเลย” เด็กน้อยยู่หน้าน่าสงสาร แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะตอนอยู่บนเตียงเจ้าตัวอยากทำตัวให้น่าเอ็นดูทำไมเล่า

“ลุกไหวมั้ย”

เด็กน้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ “ปิ๊กหิวน้ำอะ”

“งั้นรอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวพี่ไปรินน้ำมาให้”

แก้วน้ำถูกส่งถึงปาก เจ้าตัวดื่มมันเร็วๆ อย่างคนกระหาย ปล่อยให้หยอดน้ำไหลเลอะขอบปากลงมาที่คอ ช่วงอก ระเรื่อยลงมาในจุดที่ต่ำกว่านั้น ผมมองตาม ลอบกลืนน้ำลายให้กับความไร้เดียงสาที่ยั่วยวนเกินจะห้ามใจไหว

“ปิ๊กครับ” ผมยื่นมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือแก้วไปลูบที่ไหล่เล็กอย่าเผลอไผล เด็กน้อยสะดุ้งกระนั้นก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร

ถ้าไม่เห็นว่าน้องยังเจ็บตัวด้วยเรื่องเมื่อคืนอยู่ล่ะก็ผมไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปแน่

“ลุกขึ้นมาอาบน้ำไหวมั้ย”

“ขยับตัวยังไม่ได้เลย” น่าสงสารจริงๆ ถามว่ารู้สึกผิดมั้ย ก็ไม่นะ เพราะอย่างไรเสียเมื่อคืนเราก็มีความสุขกันทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว

“งั้นเดี๋ยวพี่โอมเช็ดตัวให้นะ”

“ครับ” เด็กน้อยตอบรับอย่างน่ารักให้ผมผละออกไปหาอุปกรณ์มาเช็ดตัวให้

บางทีผมก็รู้สึกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทุกครั้งที่ผ้าชื้นๆ ลูบไล้ไปตามผิวเนียนเด็กน้อยตรงหน้าผมก็จะส่งเสียงออกมาเพราะความเย็นที่สัมผัสผิวกาย โดยไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นมันกระตุ้นของที่หลับใหลอยู่ระหว่างกายของผม ทั้งความเย็นก็ทำให้ขนอ่อนของน้องลุกขึ้นมาไม่เว้นแม้กระทั่งยอดอกเล็กๆ นั่น

ผมมองมัน เผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความกระหายอยากอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทนความต้องการเบื้องล่างไหว

แผล้บ!

อ๊ะ!

ปิ๊กร้องออกมาเมื่อผมก้มหน้าลงไปใกล้อกเขาแล้วเลียยอดอกเล็กๆ นั่นแผ่วเบา

“พี่โอม ไม่เอา ปิ๊กเจ็บ” เด็กน้อยร้องประท้วง มือเล็กสอดเข้าไปในเส้นผม พยายามดึงรั้งให้ผมผละออก และถึงแม้จะเสียดายมากแต่ผมก็ยอมถอย เพราะไม่อยากขืนใจ

“พี่แค่แกล้งเล่นหรอก”

“ตรงนี้มันเจ็บ” ผมหลุบตามองตามก็พบว่าส่วนที่ถูกปดปิดด้วยผ้าชิ้นเล็กขยับขยายขึ้นมาเล็กน้อย

“ให้พี่ช่วยมัน” ผมวนผ้าชื้นๆ บริเวณขาอ่อน ดวงตายังคงจับจ้องส่วนที่กำลังขยับขยายขึ้นอีก “พี่ไม่เข้าไปหรอกครับ นะ ให้พี่ช่วยนะ”

เมื่อถูกผมออดอ้อนเด็กน้อยไร้เดียงสาก็พยักหน้ารับ เพียงเท่านั้นผ้าชื้นๆ กับกะละมังใบเล็กก็ถูกดันออกไปไกล

ผมก้มลงจูบที่ท่อนขาเรียว ระเรื่อยมาตามปลีน่อง ขบเม้มที่ต้นขา และกดจูบลงบนกลางกายเล็กผ่านเนื้อผ้า เงยหน้ามองปิ๊กก็พบว่าเด็กน้อยของผมใช้หลังมือปิดปากตัวเองไว้ซะอย่างนั้น

ไม่น่ารักเลยอะแบบนี้ ผมอยากได้ยินเสียงน้องมากกว่าอีก

ดังนั้นผมจึงถอนปากออก ยืดตัวขึ้นให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกันแล้วประทับจูบลงบนมือน้อยๆ นั่น เลียที่ปลายนิ้ว ดูดเบาๆ ให้เกิดเสียงจุ๊บ เพราะเราทำกันตอนสว่างจึงเห็นสีหน้าทรมานของน้องได้ชัดเจนขึ้น

ให้ตายเถอะ ผมจะห้ามใจตัวเองไหวแน่เหรอวะ




✧✧✧





การมีปิ๊กอยู่ข้างๆ เป็นความสุขของผม แต่ไม่รู้เลยว่าความสุขนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่

หลังจากความสัมพันธ์ของผมกับน้องเลยเถิดไปไกล สมุดวาดภาพของปิ๊กก็ไม่มีรูปภาพเพิ่มขึ้นอีก ราวกับน้องจงใจปล่อยมันทิ้งเอาไว้ เพื่อยืดเวลาของเราออกไปอีกหน่อย

แต่สุดท้ายการจากลาก็มาถึง

ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังสวมรองเท้าเพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน เสียงพูดคุยที่หน้าห้องก็ดังเข้ามาให้หยุดมือที่กำลังบบิดลูกบิดประตู

ก๊อกๆๆ

ผมถอยออกมาจากประตู ช่างใจอยู่ว่าควรเปิดประตูดีหรือไม่

“คุณโอมครับ” เสียงผู้หมวดก้องดังขึ้นให้ผมไม่มีทางออกนอกจากเปิดประตู

และเมื่อประตูเปิดออกก็พบกับนายตำรวจเจ้าของเสียงและใครอีกมากมายซึ่งยืนกันอยู่ด้านหลังเขา และหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น ผมสบตาเข้ากับผู้หญิงที่เคยเจอกันในซุปเปอร์มาเก็ต

ผมสูดลมหายใจเข้าก่อนจะยิ้มให้ผู้หมวดแล้วเอ่ยถามเหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

“มีอะไรเหรอครับหมวด มาแต่เช้าเลย”

“น้องปิ๊กอยู่มั้ยครับ” ผู้หมวดมองตามผมเข้าไปในห้องแคบๆ ซึ่งปิ๊กยังคงหลับอยู่ในนั้น

“ยังไม่ตื่นเลยครับ ว่าแต่... ใครเหรอครับ” ผมมองไปยังด้านหลังผู้หมวดพลางถาม เขามองตามแล้วค่อยไขข้อข้องใจของผม

“คุณแม่น้องปิ๊กครับ” คนถูกเอ่ยถึงก้าวเข้ามาหาเรา เธอเป็นหญิงต่างชาติวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานมาก ปิ๊กคงได้ดวงตาสวยๆ และสีผมมาจากคุณแม่แน่ๆ

“คุณโอมใช่มั้ยคะ” ภาษาไทยสำเนียกแปลกๆ ทำให้ผมนิ่งไป ไม่รู้ว่าเธอรู้จักผมได้อย่างไร ผู้หมวดจึงเอ่ย

“ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณแม่น้องปิ๊กฟังหมดแล้วนะครับ”

“ขอบคุณคุณโอมมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ ป่านนี้น้องจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ผมไม่กล้ารับคำขอบคุณ เพราะผมเองก็ไม่ได้ทำดีกับปิ๊กมากนัก ซ้ำยังหาความสุขจากร่างกายของน้องอีกต่างหาก

ผมยิ้ม อย่างไม่รู้ว่าต้องตอบรับเธออย่างไร ด้วยสังคมและสภาพแวดล้อมที่ผมเกิดมาทำให้ทำตัวไม่ค่อยถูกนัก

“ขอฉันเข้าไปหาน้องได้มั้ยคะ” อยากปฏิเสธแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีสิทธิ์ ผมจึงเบี่ยงตัวหลบให้เธอก้าวเข้าไปในห้องอันแสนจะคับแคบนั้น

ผมมองตาม เห็นเธอนั่งลงข้างฟูกนอนที่ปิ๊กยังคงนอนหลับอยู่ ไม่นานหลังจากมือเรียวข้างหนึ่งลูบไล้ที่แก้มปิ๊กก็ลืมตาขึ้นมา มองจากตรงนี้ผมไม่รู้ว่าน้องทำหน้าแบบไหน แต่ผมกำลังทำหน้าเศร้าแน่นอน เพราะการปรากฏตัวของครอบครัวปิ๊กหมายความว่าถึงเวลาที่เราต้องบอกลาแล้ว

“คุณแม่จะรับน้องกลับไปเลย” ขณะที่ผมกำลังอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้า ผู้หมวดก็ว่าอย่างนั้นให้ต้องหันไปมองหน้าเขา

ก็ไม่แปลกหรอก เจอกันแล้วก็ต้องพากลับไปน่ะถูกแล้ว

“ช่วงแรกก็คงเหงาหน่อยนะครับคุณโอม”

“ดีแล้วล่ะครับที่ปิ๊กเจอครอบครัวซักที ผู้หมวดมั่นใจแล้วใช่มั้ยครับว่าใช่ครอบครัวปิ๊กจริงๆ”

“เราตรวจสอบกันมาระยะนึงแล้ว”

“งั้นเหรอ ก็ดีครับ ดีแล้ว” ผมบอกตัวเองซ้ำๆ อย่างนั้น หากหัวใจกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยซักนิด

ผมขอตัวออกไปทำงานเพราะทำตัวไม่ค่อยถูกและรู้สึกอึดอัดมาก ผู้หมวดก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นว่ารบกวนผมมามากแล้ว

ทั้งวันผมทำงานด้วยสติที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจนหัวหน้าคิดว่าไม่สบายและไล่ให้กลับบ้านมาพักผ่อน ผมพยายามค้านแต่เขาก็ไม่ฟังกันสักนิด

ผมน่ะ ไม่อยากกลับไปที่ห้องนั้นเลย ไม่อยากกลับไปพบกับความว่างเปล่ายามที่ไม่มีปิ๊กอยู่ด้วยกัน แค่คิดก็เหงามากแล้ว

และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อประตูห้องเปิดออก ผมก็พบกับความว่างเปล่า ในห้องนี้ไม่มีปิ๊กอีกต่อไป ห้องแคบๆ นี้เหลือเพียงกลิ่นของความทรงจำและเสื้อผ้าราคาถูกที่ผมเคยซื้อให้เขาเท่านั้น

มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมากที่ผมได้เจอกับน้อง เด็กผู้ชายที่อยู่ในอีกสังคมหนึ่งซึ่งห่างกับผมเหลือเกิน

การได้เจอปิ๊กทำให้ผมได้รับความสุขมากมาย อย่างน้อยเราก็ควรได้บอกลากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ตอนนี้ ในขณะที่ปิ๊กจากผมไปแล้ว ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกลาเขาด้วยซ้ำ




✧✧✧





ยามที่เรารู้สึกเหงา เวลามักผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ขณะที่ผมกำลังเดินกลับบ้าน ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือผู้หมวดตั้งใจแวะมาเจอกัน แต่ตอนนี้เราก็มานั่งกันอยู่ในร้านกาแฟแล้ว

“น้องปิ๊ก อ่า ไม่สิ ที่จริงปิ๊กชื่อดีนนะครับ ตอนนี้คุณแม่พาน้องกลับแคนาดาไปแล้ว ผมมาอกเผื่อคุณโอมอยากรู้ เผื่อคุณโอมเป็นห่วง”

“ก็ดีแล้วครับ”

“คุณโอเคใช่มั้ย หมายถึงว่า คุณไม่ได้บอกลาน้อง”

“เสียดายครับ แต่ว่า ถ้าบอกก็กลัวจะร้องไห้”

“ผมเข้าใจคุณโอมนะ ช่วงแรกๆ ก็คงเหงาหน่อยครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำดีๆ ระหว่างคุณกับปิ๊กจะทำให้คุณยิ้มได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งทางเราและครอบครัวของปิ๊กต่างก็รู้สึกขอบคุณคุณโอมนะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมเองก็ไม่ได้ดูแลปิ๊กดีขนาดนั้น”

“อย่างน้อยน้องก็ไม่ต้องนอนข้างถนน ปิ๊กน่ะที่จริงเป็นเด็กดื้อมากนะครับ...”

ผู้หมวดก้องเล่าว่า ระหว่างช่วงปิดเทอม ช่วงที่ครอบครัวบินไปทำงานต่างประเทศ ปิ๊กแอบซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อบินมาเยี่ยมคุณย่าที่ไทยโดยไม่บอกกล่าวใคร ที่จริงการเดินทางลำพังก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่คงเป็นความซวยของน้องเองที่ระหว่างลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากสนามบิน เกิดอยากเดินทางด้วยรถอย่างอื่นที่ไม่ใช่แท็กซี่ จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง คนขับรถชนแล้วหนี สถานที่เกิดอุบัติเหตุเป็นที่เปลี่ยวจึงไม่มีใครเห็น และปิ๊กก็ฟื้นขึ้นมาเอง หลังจากนั้นเขาก็คงเดินมาเรื่อยๆ จนเจอผม

ผู้หมวดบอกว่าปิ๊กโชคดีที่เจอผม แต่สำหรับผม ผมไม่แน่ใจเลยว่าการเจอกันของเราเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของน้องกันแน่

ก่อนไป ผู้หมวดทิ้งนามบัตรใบนึงไว้ให้ผม บอกว่าคุณย่าของปิ๊กอยากเจอ พร้อมบอกสถานที่นัดหมาย



สถานที่นัดหมายเป็นโรงแรมหรู ผมทำตัวไม่ค่อยถูกนัก แถมยังสวมชุดวอร์มซึ่งไม่เข้ากับสถานที่ซักนิด

เมื่อมาถึงและบอกชื่อของคุณย่าปิ๊ก พนักงานในชุดที่ดูดีกว่าผมมากก็พาขึ้นลิฟต์มา เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ก็พบกับหญิงสูงอายุซึ่งท่าทางดูใจดีมาก และนั่นทำให้อาการเกร็งสถานที่ของผมทุเลาลง

ผมยกมือไหว้ท่าน และท่านก็ยิ้มรับพลางบอกให้ผมนั่งลง

“คุณโอมใช่มั้ย ตอนนี้ทำอะไรอยู่”

“เอ่อ...” ผมไม่รู้ว่าท่านต้องการอะไร แต่คำทักทายแรกมันดูแปลกๆ นะว่ามั้ย

“เห็นเจ้าตัวแสบบอกว่าคุณอยู่ห้องเช่าทั้งเล็กและแคบ เคยเป็นครูแต่ตอนนี้เป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ฟิตเนส ใช่รึเปล่า” ยามที่คนใจดีถามด้วยน้ำเสียงจริงจังมันน่ากลัวมากครับ

เพราะพูดไม่ออกผมจึงพยักหน้ารับแทน

“อยากมาทำงานที่โรงเรียนของฉันมั้ย ตอนนี้ขาดครูพละอยู่ ฉันจะจ้างเธอ ตอบแทนที่ดูแลเจ้าตัวแสบของฉัน” ข้อเสนอทำให้หัวใจของผมเต้นแรง อยากตอบตกลงเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำแต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน

“ผมไม่ได้เดือนร้อนขนาดนั้นครับ”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเธอเดือดร้อน ฉันแค่อยากตอบแทน และถ้าไม่ได้ตอบแทน ฉันคงตายตาไม่หลับ รับไว้เถอะคุณโอม เห็นแก่ผู้หญิงแก่ๆ อย่างฉันก็แล้วกัน”

“แต่มันมากไปนะครับ”

“ไม่มากหรอก ฉันจ้างเธอทำงานนะ ไม่ได้ให้เงินฟรีๆ ฉันมีห้องพักให้ด้วย” คีย์การ์ดและกุญแจถูกคุณเลขาที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งมาวางไว้ตรงหน้าผม

“ผม...” ผมอึกอักมองหน้าท่านกับกุญแจห้องสลับกันไปมาอย่างชั่งใจ

“ห้องที่คอนโดนี้ฉันประกาศขายไปตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครซื้อซักที ทิ้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เธอรับไว้ซะ ย้ายเข้าอยู่ได้ตลอดเวลา แล้วพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ก็แจ้งเลขาฉันมา”

“คุณนายครับ สิ่งที่คุณนายตอบแทนผมมันมากเกินไปเมื่อเทียบกับความช่วยเหลืออันน้อยนิดที่ผมทำให้น้อง ที่จริงผมก็อยากรับไว้ทั้งหมดนะครับ แต่ก็กระดากอายเหลือเกิน”

“มันไม่น้อยเลยคุณโอม สิ่งที่คุณทำคือการช่วยชีวิต ถ้าเจ้าตัวแสบไม่เจอคุณ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ความช่วยเหลือที่คุณมองว่ามันเล็กน้อยแต่สำหรับพวกเรามันยิ่งใหญ่มาก สิ่งที่ฉันให้คุณมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ อย่าคิดมากเลย รับไปเถอะ ฉันขอร้อง”

ผมถูกทิ้งเอาไว้ในห้องนั้นกับคีย์การ์ดคอนโด และหลังจากนั่งงงอยู่พักนึง ชื่อคอนโดและหมายเลขห้อง พร้อมด้วยแผนที่ก็ถูกส่งเข้ามา รวมทั้งรายละเอียดเรื่องเข้าไปรายงานตัวที่โรงเรียนในฐานะครูพละคนใหม่ด้วย

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาจนผมตั้งตัวไม่ทันเลย

ประมาณ 1 เดือนหลังจากตัดสินใจรับน้ำใจของคุณย่าปิ๊กไว้ ผมก็ย้ายเข้าคอนโดด้วยสัมภาระที่มีไม่มากนัก

ผมมีบ้านแล้ว มีการงานที่มั่นคง มีทั้งหมดนี้ก็เพราะปิ๊ก สิ่งต่อไปที่อยากมีก็คือมีเขาอยู่ข้างๆ




✧✧✧





วันเวลาผ่านไป

ก็จริงอย่างที่ผู้หมวดเคยบอกว่า ‘เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำดีๆ ระหว่างคุณกับปิ๊กจะทำให้คุณยิ้มได้’

ทุกครั้งที่กลับมาถึงห้องด้วยความเหนื่อยล้าจากการสู้รบปรบมือกับนักเรียนตัวแสบ แค่ผมนึกถึงปิ๊ก นึกถึงรอยยิ้ม ดูรูปคู่ของเรา ถึงแม้ทั้งหมดนี้จะไม่ทำให้หายเหนื่อยแต่ก็ทำให้ยิ้มได้

“ครูเตะบอลกัน” บอลลูกเล็กๆ กลิ้งมาหยุดที่เท้าในตอนที่ผมเดินผ่านสนามเพื่อกลับบ้านหลังเลิกเรียน

เสียงเจ้านักเรียนตัวแสบทำให้ต้องหันไปมอง

“ไม่ล่ะ ครูจะกลับบ้านแล้ว พวกเธอล่ะไม่กลับบ้านรึไง”

“ต้องไปเรียนพิเศษต่อครับ” เป็นแค่เด็กประถมแท้ๆ จำเป็นต้องเรียนหนักขนาดนี้เชียวหรือ

ผมเตะบอลกลับไปให้ลูกศิษย์ก่อนบอกลา

คอนโดที่ได้รับมาจากคุณย่าของปิ๊กตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้ามากๆ นั่นทำให้ผมเดินทางมาทำงานอย่างสะดวกสบาย น่าแปลกใจที่คอนโดหรูขนาดนี้จะขายไม่ออก จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เชื่อนะ ตอนนั้นท่านก็คงแค่พูดไปอย่างนั้นเพื่อให้ผมยอมรับน้ำใจเท่านั้นเอง

ปี๊นๆๆ

ขณะที่สองเท้ากำลังย่ำไปตามฟุตบาธเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้า เสียงแตรรถก็ดังขึ้นด้านหลังให้ผมหยุดเดินแล้วหันไปมา จังหวะเดียวกับที่เจ้าของรถคันสวยจอดลงข้างๆ พร้อมกับกระจกฝั่งตรงข้ามคนขับที่ถูกลดลง

เมื่อสบสายตากับเข้าดวงตาคู่สวยที่คุ้นเคยผมจึงยิ้มให้เขา

ไอซ์

“ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“ขึ้นรถสิ” ผมลังเลแต่ก็ยอมขึ้นรถมากับเขาง่ายๆ ไอซ์ไม่พูดไม่จาไม่พูดพร่ำทำเพลง หากเขาเลือกที่จะออกรถไปอย่างเร็วแต่เพราะการจราจรในกรุงเทพทำให้เราไปได้ไม่ไกลจากจุดเมื่อกี้มากนัก

“เซ็งเลย ถนนในกรุงเทพแม่งน่าเบื่อเนอะ”

“อือ แล้วนี่แค่บังเอิญมาเจอโอมเหรอ”

“เมื่อวานไอซ์เข้าไปที่ฟิตเนสมา”

“อ๋อ แล้วมาหาโอมมีอะไรรึเปล่า”

“เหงา” ตั้งแต่เลิกทำงานที่ฟิตเนสผมก็ไม่ได้ติดต่อกับไอซ์อีก ไม่ได้ข่าวคราวกันและกันเลยด้วยซ้ำ การเจอกันอีกครั้งของเราจึงทำให้ผมค่อนข้างตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย

ที่จริง หลังจากแยกกับปิ๊กผมก็ไม่ได้มีเซ็กส์กับใครเลยด้วยซ้ำ

“ไปห้องไอซ์มั้ย”

“แฟนล่ะ”

“เลิกแล้ว”

“จริงดิ ทำไมล่ะ”

“หลายเรื่อง ก็ไม่รู้จะทนทำไมก็เลยเลิก”

“เพิ่งเลิกล่ะสิ ถึงมาหาโอม”

“แสนรู้นะครับ” ไอซ์หันมายิ้มก่อนจะกลับไปมองสัญญาณไฟจราจรที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว “แล้วยังไงอะ ไปห้องไอซ์ได้มั้ย”

“ได้สิ”

“แล้วน้องชายล่ะ”

“ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

“ใจเย็นนะ รอน้องโตก่อน” ไอซ์พูดเหมือนรู้อะไร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจจะถามต่อ

สำหรับผมกับปิ๊กไม่รู้อนาคตในตอนที่น้องโตแล้ว พวกเราจะยังมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ย ถึงแม้จะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากเจอเขาซักครั้ง



[TBC]


หายไปนานมาก ลืมกันไปแล้วรึยัง
อย่าเพิ่งลืมกันได้มั้ย
กลับมาคราวนี้ มาพร้อมดราม่า แต่นิดเดียวแหละ ฝากติดตามความบาปของพี่โอมต่อไปด้วยนะคะ
 :katai5: :katai5:



ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พาไอซ์ขึ้นคอนโด ถ้าปิ๊กรู้นะ พี่โอมตายแน่ๆๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

คุกคุกคุก 

คือเสียงไอชนิดหนึ่ง

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ตอนที่ 12 เปิดกล้องคุยกัน



หลังจากกลับมาเจอกันอีกครั้ง และต่างคนต่างเหงา จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะหักห้ามใจ ถึงแม้จะอยู่ในสถานะไม่ชัดเจนแต่พวกเราก็มีความสุขกับสิ่งที่กำลังดำเนินไป

ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน หากเจอคนที่คิดว่าอยากจะรักจริงๆ ในซักวันนึง พวกเราก็พร้อมที่จะอวยพรอีกฝ่าย

แต่ถ้าบอกว่าไม่ผูกพันเลยก็คงไม่ถูกต้องนัก

“วันนี้ไม่กลับเหรอ” กลางดึกหลังจากความเร่าร้อนบนเตียงของเราจบลง ไอซ์ในสภาพกึ่งเปลือยก็ขยับเข้ามานอนหนุนอกผม พลางช้อนสายตามองเมื่อถาม

“พรุ่งนี้วันเสาร์ไง อยากให้กลับเหรอ”

“อยู่คนเดียวแล้วเหงารึไง”

“ก็ไม่นะ ปกติก็อยู่คนเดียว”

“โกหก โอมโคตรขี้เหงาเลย ขี้เหงากว่าไอซ์อีก”

“รู้ดี”

“รู้ดีพอๆ กับที่ว่าทำยังไงโอมถึงจะมีความสุขนั่นแหละ”

“คนเก่ง ไหนบอกซิว่าทำยังไงโอมถึงจะมีความสุข”

“ไม่เอาอะ เหนื่อยแล้ว โอมน่ะทำแรง”

“ไม่ใช่คุณเหรอที่บอกให้ผมทำแรงๆ”

ถึงจะบอกว่าไม่เอาแต่เขาก็อ้อนผมทั้งคืน กระนั้นการได้กอดไอซ์ก็ไม่เคยทำให้ผมลืมปิ๊กได้เลย ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน บางทีเวลาอาจจะไม่สามารถช่วยเยียวยาผมได้








✧✧✧









ช่วงปลายเดือนธันวาคม อยู่ๆ อากาศในกรุงเทพมหานครก็หนาวขึ้นมา

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงในช่วงบ่ายวันเสาร์ คิดว่าจะนอนเล่นซักพักก่อนออกไปฟิตเนส มือถือเครื่องใหม่ที่ไอซ์ช่วยเลือกให้ถูกถือเอาไว้ในด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาของผมมีกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ที่ได้มาจากผู้หมวดตอนเราเจอกันล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้

ข้อความในกระดาษใบนี้จะทำให้ผมหายคิดถึงปิ๊กหรือคิดถึงเขามากกว่าเดิมก็ไม่รู้

ชั่งใจอยู่นาน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจกดเข้าไปในแอพเฟซบุ๊ก พิมพ์ชื่อในกระดาษลงในช่องค้นหาด้วยใจสั่นระรัว ไม่นานรูปโปรไฟล์ที่ปรากฏรอยยิ้มสดใสก็แสดงที่หน้าจอ

ผมคิดว่าหัวใจของผมอาจจะหยุดเต้น ทุกความรู้สึกมันอัดแน่นอยู่ในอกนี้ เพียงได้เห็นหน้าปิ๊กอีกครั้ง

ลองกดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์ แต่ก็ต้องพบกับว่าผิดหวังเมื่อน้องตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้

ชั่งใจอยู่อีกนานพอสมควรผมจึงส่งคำขอเป็นเพื่อน

กดเสร็จก็ถึงเวลาที่ต้องไปฟิตเนสพอดี แต่เชื่อเถอะว่าตลอดเวลาหลายชั่วโมงกับเครื่องออกกำลังกายเหล่านี้ ผมไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับมันเลยซักนิด

“วันนั้นผู้หมวดให้อะไรโอมมาเหรอ” ไอซ์ที่วันนี้ขอมาออกกำลังกายด้วยกันนั่งลงข้างๆ พลางถาม

“ทำไมเหรอ อยากใส่ใจหรือไง”

“ก็ใช่แหละ แต่ไอซ์สังเกตโอมมาซักพักแล้ว ตั้งแต่ได้กระดาษนั่นมาเธอก็ดูเหม่อๆ แต่ถ้าไม่สะดวกใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่สะดวก”

“ก็ไม่ว่ากัน เออนี่ มีคนมาจีบแหละ”

“นี่คือจะอวดหรืออะไร”

“เปล่าๆ แค่จะบอกว่าเค้าก็ดีนะ แต่ไอซ์ยังไม่อยากเปิดใจให้ใคร”

“ดีในแง่ไหน”

“ก็ตรงไปตรงมาดี ชอบก็เข้ามาบอกว่าจะจีบ ตรงจนตกใจเลยล่ะ”

“แล้วไม่ชอบเหรอ”

“ไม่นะ”

“ถ้าไอซ์ไม่คิดอะไร ไอซ์คงไม่มาเล่าให้โอมฟังหรอก ลังเลใช่มั้ย”

“เปล่า”

“ยังไม่ต้องรีบตอบก็ได้ ไปลองทบทวนความรู้สึกตัวเองก่อน ไอซ์ไม่จำเป็นต้องกลับมาตอบโอม แค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอว่าทำไมถึงยังไม่กล้ายอมเปิดใจซักที”

ผมบอกไอซ์อย่างนั้น ปล่อยให้เจ้าตัวคิดทบทวนเรื่องของตัวเองเงียๆ ก่อนจะเดินออกจากฟิตเนสมา ผมไม่ได้ชวนไอซ์ขึ้นมาบนห้อง ที่จริงผมไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องส่วนตัวเลยซักครั้ง








✧✧✧











กว่าจะได้จับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่อีกครั้งก็หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วนั่นแหละ

ผมที่ยังไม่ทันได้แต่งตัวหลังจากออกจากห้องน้ำหยิบมือถือขึ้นมาดูด้วยหัวใจที่สั่นระรัวเมื่อพบว่าสัญญาณไฟแจ้งเตือนเล็กๆ กำลังกระพริบอยู่ และเมื่อปลดล็อกก็พบว่าปิ๊กรับผมเป็นเพื่อนแล้ว และเขาก็ทักทายผมมาในอินบ็อกซ์ด้วย

เพียงแค่น้องส่งคำว่า ‘พี่โอม’ มา ก็เหมือนกับได้ยินเสียงน้องดังจากที่ไหนซักแห่ง

‘เปิดกล้องคุยกัน’

ผมอยากทำตามที่น้องขอเดี๋ยวนี้ แต่ผมเปิดกล้องไม่เป็น

‘เปิดกล้องยังไงอะ’

‘พี่โอม!!!!’ เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของน้องผ่านตัวอักษรเหล่านั้นมา และหลังจากนั้นปิ๊กก็สอนผมเปิดกล้อง มันเหมือนจะไม่ยากนะ แต่สำหรับคนโลวเทคโนโลยีอย่างผมมันไม่ง่ายเลย

และเมื่อเปิดกล้องได้ ผมก็เห็นหน้าปิ๊กชัดๆ

เด็กน้อยของผม พวกเราไม่เจอกันไม่ทันถึงครึ่งปี แต่ปิ๊กที่อยู่ตรงหน้ากลับดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย

“พี่โอม” น้ำเสียงออดอ้อนที่คุ้นเคยดังผ่านสัญญาณความคิดถึงมาให้ผมน้ำตารื้น อยากร้องไห้เดี๋ยวนี้แต่ก็ต้องฝืนส่งยิ้มให้น้องไป

“ปิ๊กสบายดีมั้ย”

“คิดถึงพี่โอม แต่ ไม่คิดถึงดีกว่า พี่โอมใจร้ายมาก มากที่สุดเลย” น้ำเสียงเล็กๆ ติดงอนนั่นไม่จริงจังนัก ถึงกระนั้นผมก็ตระหนักดีกว่าผมใจร้ายมากจริงๆ

ไม่หรอก ผมไม่ใช่คนใจร้ายธรรมดา แต่เป็นคนใจร้ายที่ขี้ขลาดมากๆ ต่างหาก

“จะไม่ขอโทษปิ๊กซักคำเลย”

“โกรธพี่มากมั้ยครับ”

“ไม่เท่าคิดถึงหรอก นี่ฝากเฟซบุ๊กผู้หมวดไปตั้งนานแล้วทำไมถึงเพิ่งแอดมา”

“เพิ่งสมัครเฟซบุ๊กครับ” น้องหัวเราะก๊ากก่อนจะจ้องหน้าผมนิ่งๆ พลางมุ่นคิ้วสงสัย

“ทำไมแต่งตัวแบบนั้น ทำอะไรอยู่ครับ” ผมมองต่ำลงตามสายตาของน้องที่มองมา ใช่ว่ะ ลืมไปเลยว่าตอนนี้นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว

“เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดี๋ยวพี่ขอแต่งตัวก่อนได้มั้ย”

“ไม่ต้องหรอก ปิ๊กอยากดู”

“เด็กแก่แดด”

“คิดถึงพี่โอมมากเลย” สายตาออดอ้อนทำใจผมอ่อนยวบ

“คิดถึงปิ๊กเหมือนกันครับ”

“ไม่เชื่อ”

“แล้วทำยังไงถึงจะเชื่อ”

“อยากกัดพี่โอมว่ะ”

“พูดไม่เพราะ”

“อยากกัดพี่โอมจังเลยครับ” น้องว่าเสียงใสเหมือนรอยยิ้ม “พอใจรึยังครับ”

เห็นอย่างนั้นแล้ว ผมอยากดึงน้องเข้ามากอดแน่นๆ ซักที แต่ถึงแม้เทคโนโลยีนี้จะเห็นหน้าแต่ก็สัมผัสไม่ได้อยู่ดี และยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึง

“แล้วปิ๊กอยากกัดตรงไหน”

“แขน” บอกพลางมองมาที่ต้นแขนของผม

“ตรงไหนอีก”

“พี่โอมอยากให้กัดตรงไหน”

“ค...”

“คอ” น้องเอ่ยก่อนที่ผมจะพูดจบ และน้องก็เดาถูกซะด้วยสิ ผมอยากให้ปิ๊กฝังเขี้ยวลงบนลำคอของผม อยากให้เขาประทับร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้

ปิ๊กเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังมากมาย ทุกเรื่องเล่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและนั่นทำให้ผมมีความสุขมาก เป็นความสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานานเหลือเกิน

ตอนนี้คงไม่แปลกถ้าผมจะบอกว่าปิ๊กคือความสุขของผม

“พี่โอมเล่าเรื่องของพี่โอมให้ปิ๊กฟังบ้างสิ” พอเล่าเรื่องตัวเองจบก็วกเข้ามาเรื่องของผม แสดงถึงความใส่ใจมากมายจนปิดไม่มิด

“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

“น่าสนสิ สำหรับปิ๊กเรื่องของพี่โอมน่าสนใจทุกเรื่องเลยนะ”

“เอาไว้กลับมาเจอกันแล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

“เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย” ปิ๊กมุ่นคิ้วคิดหนัก นั่นสินะ เมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน “เพราะปิ๊กหนีเที่ยวจนเกิดเรื่องหม่ามี๊ก็เลยกักบริเวณ ห้ามออกนอกประเทศจนกว่าจะอายุ 18 โคตรเซ็งเลยอะ”

ได้ยินอย่างนั้นผมเองก็ช็อค

ตอนนี้ปิ๊กอายุ 16 ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าอีกตั้ง 2 ปีกว่าเราจะได้เจอกัน

“อยากให้พี่โอมมาหาปิ๊กจัง” ปิ๊กทำหน้าอ้อนเมื่อเอ่ย

บังเอิญชะมัดที่เรากำลังคิดอย่างเดียวกัน ด้วยสถานะของผมและเงินเดือนตอนนี้ มันก็พอมีทางเป็นไปได้ แต่ผมน่ะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยน่ะสิ แย่จัง

“ทำไมทำหน้างั้นอะ ไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเหรอ ยืมปิ๊กก่อนมั้ย”

“เห็นพี่เป็นคนจนขนาดนั้นเชียว”

“จนสิ หรือไม่จริง” น้องก็ช่างปากตรงกับใจอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมเคยอยู่ในฐานะยากจนจริงๆ จนเจอปิ๊กนั่นแหละถึงลืมตาอ้าปากได้

จะว่าไปการได้เจอปิ๊กนี่มันยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ซะอีก หากพอคิดว่าตัวเองลืมตาอ้าปากได้เพราะน้องก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างไรก็ไม่รู้

“ทำไมเงียบไปอะ ปิ๊กขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม”

“ปิ๊กพูดไม่ดีใช่มั้ย”

“เปล่าครับ”

“เอาไว้เจอกันแล้วปิ๊กจะขอโทษนะ”

“ขอโทษไปแล้วไงเมื่อกี้”

“ไม่ใช่สิ ขอโทษที่มากกว่าขอโทษอะ” ไม่ได้เจอกันไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าปิ๊กจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย คำพูดคำจาส่อไปเรื่องอย่างว่าเสียจนผมเองก็แอบคิดตามไปด้วยเหมือนกัน

“พี่จะตั้งใจทำงานเก็บเงินนะ”

น้องหัวเราะคิกคักและเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อยจนปิ๊กฟุบหลับไปหน้าคอมพ์

โซเชียลมีเดียร์ทำให้ผมไม่เหงาอีกต่อไป ปิ๊กวิดีโอคอลมาคุยด้วยบ่อยเสียจนลืมไปแล้วว่าเราอยู่คนละซีกโลก ถึงแม้จะสัมผัสไม่ได้แต่ก็อุ่นใจมากอย่างเหลือเชื่อ

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี

หลังจากกลับมาคุยกับปิ๊ก ผมกับไอซ์ก็ห่างๆ กันไป โทรคุยกันครั้งล่าสุดได้ข่าวว่าไอซ์กำลังเปิดใจให้กับคนใหม่ ผมยินดีกับเขาอย่างที่เราเคยให้สัญญาต่อกันไว้ ไอซ์เองเมื่อรู้ว่าผมกำลังสนุกกับการวิดีโอคอลคุยกับปิ๊กก็แซ็วผมเรื่อย แต่ทั้งหมดนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังดี

ระหว่างเราถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยการเป็นเซ็กเฟรนด์ แต่อย่างน้อยสถานะตอนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเดิม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อเชียวล่ะ








✧✧✧











“โค้ช” หลังจากสอนที่โรงเรียนของคุณย่าปิ๊กมาเป็นเวลา 1 ปี ผมก็ถูกทาบทามให้มาเป็นโค้ชฟุตบอลของชมรมฟุตบอล เห็นอย่างนี้ครั้งนึงตอนเป็นเด็กผมเคยฝันนะว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในซักวัน แต่เพราะความยากจนทำให้ไปไม่ถึงฝัน

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน กลับบ้านไปทำการบ้านเถอะเด็กๆ”

“โหย โค้ช อะไรอะ ยังอยากเล่นต่ออยู่เลย” เด็กๆ พวกนี้พลังเยอะมาก แต่ว่านะ ทำหน้างอแงใส่ก็ไม่ยอมใจอ่อนหรอก

“กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวผู้ปกครองเธอก็โทรมาโวยโค้ชอีก ไหนจะครูคณิตศาสตร์อีกล่ะ ไม่ไหวหรอกนะ”

“ช่างสิ”

“ใช่สิ เธอไม่โดนด่านี่นา” ถึงจะเป็นโค้ชแต่ก็ใช่ว่าจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มร้อยหรอก เด็กๆ ยังต้องเรียนหนังสือ ต้องทำการบ้าน ต้องเรียนพิเศษ แม้อยากให้ซ้อมกันอย่างเต็มที่ก็ทำไม่ได้

ผมเคยให้เด็กๆ ซ้อมหนักในช่วงแรกที่เข้ามารับหน้าที่โค้ช เพราะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ มากนัก กลายเป็นว่าหลังจากซ้อมกันได้ประมาณ 1 สัปดาห์ทั้งครูฝ่ายวิชาการ ทั้งผู้ปกครองเด็กๆ โทรมาตำหนิผมจนสายโทรศัพท์แทบไหม้ทีเดียว

เจ็บแล้วก็ต้องจำครับ หลังๆ ก็เลยให้เด็กๆ อยู่ซ้อมกันถึงเย็นๆ แล้วบังคับกลับบ้าน

ผมเองก็จะได้กลับไปคุยกับปิ๊กเหมือนกัน








✧✧✧











ประเทศไทยทุ่มนึงแล้ว ที่แคนาดาที่เวลาต่างกัน 12 ชั่วโมงก็คงเป็นเวลา 7 โมงเช้า

ปิ๊กเคยบ่นว่าเพราะอยากคุยกับผมมาก ทำให้เขากลายเป็นคนตื่นเช้าไปโดยปริยาย วันนี้ก็เช่นกัน เด็กน้อยที่ปรากฏตรงหน้าผมอยู่ในสภาพเพิ่งตื่น มือเรียวล้วงเข้าไปในเสื้อยืดเพื่อเกาพุงตัวเอง

เขาคงไม่รู้หรอกว่าท่าทางแบบนั้นก็เซ็กซี่ไปอีกแบบ

“พี่โอมเพิ่งกลับเหรอ กินข้าวยังอะ”

“เดี๋ยวส่งปิ๊กไปเรียนเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกิน”

“ยังไม่ได้อาบน้ำด้วยล่ะสิ”

“ตัวเหม็นเหงื่อมากเลย” ผมถอดเสื้อวอร์มออกให้เหลือเพียงเสื้อกล้ามพอดีตัว สายตาที่ปิ๊กใช้สำรวจผมทำให้ร่างกายวูบวาบไปหมด

ถ้าหากได้ทำมากกว่ามองและคุยกันก็คงดี

“พี่โอมเมื่อคืนตอนเล่นอินเตอร์เน็ตปิ๊กเจออะไรเจ๋งๆ ด้วยแหละ”

“อะไรครับ”

“เซ็กส์โฟน เรามาลองเล่นกันมั้ย” ที่จริงผมเองก็อยากลอง เคยคิดจะชวนน้องหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำแต่ก็ไม่กล้า และแน่นอนว่าเมื่อน้องชวนแบบนี้ผมไม่มีทางปฏิเสธหรอก

“ทำยังไงครับ”

“ปิ๊กมีเวลาไม่มากนะ” น้องบอกพลางเหลือบมองไปยังประตูห้อง

“จริงจังป่ะครับเนี่ย”

“จริงจังสิ ตรงนี้มันตั้งแล้วอะ” น้องหลุบตามองต่ำพลางกดกล้องให้ต่ำลงตามสายตาด้วย และผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าภายใต้เสื้อตัวโคร่งที่น้องสวมอยู่มีเพียงกางเกงชั้นในสีขาว เผยท่อนขาเรียวที่ทำให้ผมหายใจติดขัดเมื่อได้มอง

ให้ตายเถอะไอ้โอม

คงเพราะนานแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้กับใครซักคน เพียงแค่น้องเลิกชายเสื้อขึ้นสูงจนถึงเอวให้เห็นว่าเด็กตัวน้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในกางเกงชั้นในกำลังขยับขยายเพราะตื่นตัว ของผมที่อยู่ในกางเกงก็ปวดร้าวตามไปด้วยแล้ว

“พี่โอมเร็วเข้าปิ๊กต้องไปโรงเรียน” เสียงน้องดังมาให้ตื่นจากภวังค์

ผมค่อนข้างมั่นใจมากเชียวล่ะว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่เอาเข้าจริงพอน้องชวนเล่นเซ็กส์โฟนผมกลับไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน

และคงเพราะผมเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ยอมทำอะไรซักทีปิ๊กจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“อยากดูของพี่โอมอะ เอาออกมาหน่อยสิ” ผมเหมือนกำลังต้องมนต์ พอน้องบอกให้เอาออกมาผมก็ล้วงมันอออกมาจากกางเกง ลูบคลำมันจนตื่นตัวเต็มที่ ขณะจ้องมองปิ๊กที่มองผมตาแป๋ว

ริมฝีปากอิ่มอ้าเผยอ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องที่มือของผม และนั่นก็ทำให้อารมณ์ของผมพุ่งสูงขึ้นเหมือนกับน้ำเหนียวเหนอะที่กำลังปริ่มที่ส่วนปลาย

“ปิ๊ก” เสียงเรียกกลายเป็นเสียงคราง

ผมเห็นปิ๊กยิ้มพอใจก่อนเจ้าตัวจะถอดเสื้อกับกางเกงชั้นในออกจนร่างกายเปลือยเปล่า มือเล็กๆ ลูบไล้ที่ร่างกายตัวเอง หยอกเล่นกับยอดอกจนมันชูชันขึ้นมา

อยากเลียจัง

แค่คิดคอและริมฝีปากก็แห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียให้มันชื้น

อืม ให้ตายเถอะ อยากเข้าไปในตัวปิ๊กจัง

“ของพี่โอมใหญ่ขึ้นรึเปล่า” เก้าอี้ที่ปิ๊กนั่งอยู่ถูกเลื่อนออกไปให้ผมสามารถเห็นน้องได้ทั้งตัว หลังจากนั้นผมเองก็ทำตามเหมือนกัน

เสื้อผ้าถูกถอดออกจากร่างกายของผมให้เราอยู่ในสภาพเดียวกัน

“พี่โอม ตรงนี้ของปิ๊ก” นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามความยาวของท่อนกายที่เหมือนจะเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก ปิ๊กไล้มันจากปลายไปที่โคน แล้วเลื่อนต่ำลงไปที่ช่องทางเร้นลับให้ผมยิ่งขยับมือที่กำลังรูดรั้งท่อนกายตัวเองเร็วขึ้น

“อยากเข้าไปในตัวปิ๊กจังเลยครับ”

“เข้ามาสิครับ อื้ม” ปิ๊กครางออกมาอย่างสุขสมเมื่อนิ้วหนึ่งถูกส่งเข้าไป “เจ็บจัง”

ถึงจะบอกว่าเจ็บแต่ก็ยังคงเล่นกับตรงนั้นจนเสียงเล็กๆ เปลี่ยนเป็นเสียงคราง

“ปิ๊ก อื้อ ดี ตอดพี่อีกสิครับ อื้ม”

ผมโคตรอิจฉานิ้วปิ๊กเลยว่ะ ตรงนั้นต้องเป็นของผมสิ ต้องเป็นของผมเท่านั้น

“ไม่ไหวแล้วอะพี่โอม ทำแรงๆ อีกสิ” ขาเรียวถูกกางออกอีก ให้ผมมองเห็นจุดเร้นลับที่กำลังกลืนกินนิ้วเล็กๆ ได้เต็มตายิ่งขึ้น และเมื่อน้องบอกให้เร็วผมก็สาวกายให้เร็วเป็นจังหวะเดียวกับน้องที่กำลังปรนเปรอตัวเอง

“อื้อปิ๊ก พี่จะไม่ไหวแล้ว อื้ม” จบประโยคน้ำสีขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา ทว่าตัวตนของผมกลับยังไม่ยอมอ่อนตัวลงเลย ปิ๊กเองก็ไม่มีทางทีว่าจะเสร็จง่ายๆ เหมือนกัน

“อือ พี่โอม อยากได้ อยากได้ของพี่โอมจัง” ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องมองตัวตนของผมด้วยความเสน่หา ลิ้นชื้นถูกส่งออกมาเหมือนต้องการจะกลืนกินของผม

“ส่งนิ้วเข้าไปอีกสิครับ แค่นิ้วเดียวมันจะช่วยอะไร” ผมบอกพลางยื่นมือเข้าไปใกล้ๆ กล้อง

ปิ๊กตวัดลิ้นเหมือนกำลังเลียนิ้วผม สีหน้าน้องโคตรเร้าอารมณ์จนผมต้องยื่นมือไปลูบไล้แก่นกายของตัวเองอีก

“ปิ๊กครับ ตอดพี่แน่นอีกสิ ขยับสะโพกหน่อยคนดี”

น้องขยับสะโพกตามคำสั่ง นิ้วที่กำลังถูกกลืนกินก็ขยับเข้าออกเร็วขึ้น เสียงครางของปิ๊กดังถี่ๆ ประสานไปกับเสียงของผม

“เร็วอีก เร็วกว่านี้ พี่ อื้อ พี่จะแตกแล้ว ให้พี่แตกใส่ที่ไหนดีครับ”

“ปาก” ตอบผมด้วยเสียงอักแหบพร่า และเมื่อน้องบอกอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้ๆ กล้อง ขณะชักรูดแก่นกายเร็วๆ กระทั่งปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

น้ำสีขุ่นเปรอเปื้อนหน้าจอโน๊ตบุ๊ก

เมื่อผมขยับออกมานั่งบนเก้าอี้ก็พบว่าปิ๊กเองก็เสร็จแล้วเหมือนกัน เสร็จโดยที่ไม่ได้ยุ่งกับแก่นกายเลยด้วยซ้ำ

“เก่งมากครับคนดี” พอถูกผมชมก็ยิ้มอาย

เรามองกันนิ่งๆ ในสภาพที่ชวนให้ตบะแตก

พอได้สำรวจร่างกายเปลือยเปล่าของปิ๊กแล้วก็พบว่านอกจากน้องจะโตขึ้นแล้วยังดูเย้ายวนมากขึ้นด้วย คงเพราะผมชอบน้องมากล่ะมั้งก็เลยคิดแต่เรื่องแบบนี้

เซ็กส์โฟนครั้งแรกของเราทำให้ผมนึกถึงครั้งต่อๆ ไปตลอดเวลา อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีเวลามากกว่านี้ต้องสนุกมากแน่ๆ เลย








✧✧✧











“โค้ชไปทำอะไรมา” ขณะกำลังช่วยเด็กๆ เก็บบอลหลังเลิกซ้อมนั่น อยู่ๆ เจ้าแชมป์ซึ่งเป็นกัปตันทีมก็เอ่ยถามให้ผมหยุดมือแล้วเงยหน้ามอง

“ทำไม”

“หน้าตาดูมีความสุข”

“แล้วโค้ชมีความสุขไม่ได้เหรอ”

“มีความรักแน่เลย”

“แก่แดดนะเรา”

“ตอนมีความรักหัวใจเต้นแรงมากเลยใช่มั้ยล่ะ” แชมป์ว่าพลางยกมือขึ้นมากุมหัวใจ

“รู้ได้ยังไงเคยมีความรักเหรอ”

“หล่อขนาดนี้ก็ต้องเคยมีอยู่แล้วสิ”

“พูดจาไม่มีหางเสียงอีกแล้ว บอกตั้งหลายทีแล้วไม่ใช่เหรอว่าพูดกับผู้ใหญ่ต้องพูดยังไง” ถึงแม้จะเกิดมากับฐานะร่ำรวยแต่มารยาทของเด็กในทีมผมก็ไม่ค่อยดีนักหรอก คิดในแง่นึงอาจเพราะเจ้าพวกนี้ยังเด็กอยู่ล่ะมั้ง คงต้องรอให้โตกว่านี้คงได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น

“ไม่ต้องนอกเรื่องเลยครับโค้ช สรุปว่ามีแฟนจริงป่ะ”

“ไม่ยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่สิ”

“ใช่พี่ผู้ชายที่เคยมารับโค้ชหลังเลิกเรียนป่ะ” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุและดูเหมือนว่าแชมป์จะไม่ยอมหยุดซักผมง่ายๆ ซะด้วย เอาแต่ใจชะมัด

คนที่มารับผมตามที่เจ้าตัวว่าก็คือไอซ์แต่ก็นานมากแล้วที่เขาไม่มา

“ไม่ใช่” ดังนั้นผมจึงตอบตัดความรำคาญไป

“แล้วโค้ชชอบผู้ชายหรือผู้หญิง”

“ไม่ตอบได้มั้ยคำถามนี้” ผมคิดว่าเด็กนี่ควรเลิกถามได้แล้วจึงก้มลงเก็บบอลต่อ ทว่าเด็กก็คือเด็กแหละ พออยากรู้ก็ไม่ยอมจบง่ายๆ เลย

“ชอบผู้ชายใช่มั้ย ตอนนั้น ผมเห็นโค้ชจูบกับพี่คนนั้นในรถ” มือที่กำลังเอื้อมไปหยิบลูกบอลหยุดชะงัก ผมหันมองแชมป์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด

“มันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“โค้ชไม่ต้องคิดมากหรอก ใครๆ ก็มีแฟนเป็นผู้ชาย ผมก็มีแฟนเป็นผู้ชายนะ” คำนี้ทำให้ผมช็อกกว่าที่ได้ยินว่าแชมป์เห็นผมจูบกับไอซ์ซะอีก

“ได้ไง”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ยิ่งลูกศิษย์ทำหน้าไม่สนฟ้าสนฝนผมก็ยิ่งกังวลใจ

ความรักระหว่างชายกับชายไม่ผิด แต่กับเด็กที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น วัยที่กำลังอยากจะเรียนรู้ ผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะแค่กำลังสนุก และถ้าพลาดล่ะ นั่นจะส่งผลต่อชีวิตเขาเลยนะ

“เล่าให้ครูฟังได้มั้ย”

“เล่าอะไร”

“แฟนแชมป์เป็นใครเหรอ โค้ชรู้จักมั้ย”

“พี่ม.2 อะ เจอกันที่โรงเรียนกวดวิชา เนี่ยพี่เขาอาสาสอนการบ้านผมด้วยนะ”

“ใจดีจังเนอะ แล้วเป็นแฟนกันเนี่ย ทำอะไรกันบ้างเหรอ”

“สอนการบ้านไง โค้ชถามอะไรเนี่ย” น้ำเสียงแชมป์ติดหงุดหงิดนิดหน่อย และก็คงรำคาญที่ผมถามมากล่ะมั้งถึงได้รีบเก็บบอลให้เสร็จแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากสนามไป

โล่งอกนะที่คำตอบของแชมป์มีเพียงเท่านั้น ถ้าหากเขาตอบมากกว่านั้นผมเองก็ไม่รู้เลยว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี

สำหรับเด็กอายุ 11 ย่าง 12 เรื่องมีความรักน่ะอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่ความรักแบบชายกับชายขนาดโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่ได้รับการยอมรับเลย



[T B C]



เจ้าปิ๊กอิสแบ็คค่า
กลับมาคราวนี้ไม่ธรรมดาเลยล่ะ
อ๊ะๆ อนุญาตให้เกลียดพี่โอมได้ แต่อย่าเกลียดนนานนะ สงสารพี่มัน

ที่จริงแล้วเรื่องนี้มีอีบุ๊คด้วยนะคะ เผื่อว่าอยากอ่านแบบที่จบแล้วจะได้ไม่ต้องเรานานเนอะ
เสิร์ช ไม่ใช่พี่ชาย ใน MEB ได้เลย
ยังไงก็ฝากติดตามด้วย
เรื่องนี้เราอัพจนจบนะ  แต่ก็คงใช้เวลาหน่อย เพราะภารกิจเยอะเลย

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีน้อง ใจกล้านะ มีชวนเล่นSP ด้วย  :hao6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เด็กสมัยนี้  แก่แดดเนอะ  อิอิ

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
หายไปนานจนเกือบลืมไปแล้ว

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ตอนที่ 13 ทุกอย่างของโอม



ผมไม่เคยคิดว่าบทสนทนาระหว่างผมกับแชมป์ในวันนั้นจะบานปลายจนทำให้ผมเดือดร้อนขนาดนี้

ในห้องท่านผู้อำนวยการถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีครึ้ม บรรยากาศเหมือนก่อนฝนจะตก และผมก็หวังว่าหลังฝนตกอากาศจะแจ่มใสขึ้นมา

ภายในห้องประกอบด้วยท่านผู้อำนวยการหญิงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะประจำตำแหน่ง โดยฝั่งตรงข้ามกันมีหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานซึ่งผมทราบมาว่าเป็นคุณแม่ของแชมป์ และผมที่ยืนทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่เยื้องมา

“คุณอัจฉราพรรณแจ้งมาว่าอาจารย์เบี่ยงเบนทางเพศ”

“ครับ?” ผมมุ่นคิ้วทันที ไม่เข้าใจว่าผมผิดตรงไหนที่เป็นเกย์

“ว่าอย่างไรคะคุณครู สรุปคุณเบี่ยงเบนทางเพศจริงหรือเปล่า”

“ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ”

“แต่ตอนนี้คุณอยู่ในฐานะลูกจ้าง และฉันมีสิทธิ์ทราบเรื่องนี้” ผู้อำนวยการออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงขึงขัง หัวใจของผมสั่นระรัว ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์ไม่คุ้นเคยนี้

“ผมขออนุญาตไม่ตอบครับ และถึงแม้ว่าผมจะมีอาการเบี่ยงเบนทางเพศแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีผลต่อการเป็นครูตรงไหน”

“ทำไมจะไม่มีผล” คราวนี้เป็นคุณแม่ของแชมป์ที่เอ่ยขึ้นเสียงดัง

“ยังไงครับ”

“เพราะการสั่งสอนของคุณ เพราะลูกชายของฉันอยู่ใกล้คุณ ทำให้เขาเป็นเกย์” เพราะผมอย่างนั้นเหรอ ไม่จริงหรอก ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับรสนิยมทางเพศ ไม่ใช่ว่าแค่สั่งสอนก็เป็นได้

“คุณแม่คงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ”

“ใครแม่คุณ พวกวิปริตผิดเพศอย่างคุณอย่าริอาจมานับญาติกับฉัน” เธอขยับออกห่างผม ทำหน้าเหมือนรังเกียจ เห็นแบบนั้นแล้วก็ออดรู้สึกแย่ไม่ได้เลย

“ใจเย็นก่อนค่ะคุณอัจฉราพรรณ เดี๋ยวทางโรงเรียนจะสอบสวนเรื่องนี้เอง หากคุณครูผิดจริง เราจะจัดการให้ค่ะ”

“ผอ.ครับ การที่เด็กคนนึงจะเบี่ยงเบนทางเพศได้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสั่งสอนของใคร”

“ฉันยังไม่ได้ถามคุณ อย่ามาทำเป็นสั่งสอน” ใจแคบขนาดนี้ สงสัยนะว่าทำไมถึงได้ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน และเมื่อเธอไม่ให้พูดผมก็ได้แต่สงบปากสงบคำ

“ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ต้องการให้คนๆ นี้สอนลูกของฉัน ไม่ว่าจะในฐานะครูพละหรือโค้ชฟุตบอล” เธอชี้หน้าผมราวกับตราหน้าว่าผมเป็นตัวประหลาด “และถ้าผอ.ไม่จัดการเรื่องนี้ล่ะก็เรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวดังแน่”

คุณแม่ของแชมป์เอ่ยคำประกาศิตก่อนเธอจะเดินลงส้นเท้าออกจากห้องไป

คราวนี้ในห้องจึงเหลือเพียงผมกับท่านผู้อำนวยการเท่านั้น

“ไปลาออกซะ” ประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทด้วยซ้ำ ท่านผู้อำนวยการก็บอกผมอย่างนั้น

“ว่าไงนะครับ”

“บอกให้ไปลาออก คุณก็ได้ยินแล้วนี่ว่าถ้าคุณไม่ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียน”

“แต่ผมไม่ผิด การเป็นเกย์ไม่ได้ติดต่อกันได้เหมือนโรคติดต่อนะครับ ความรักเกิดจากคนสองคน ไม่ว่าเค้าจะเป็นเพศอะไรเค้าก็มีสิทธิจะมีความรักไม่ใช่เหรอครับ”

“เลิกพร่ำเรื่องไร้สาระได้แล้วครู ที่จริงเธอก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าคุณย่าไม่ใช้เส้นสายเธอก็ไม่มีทางได้เป็นครูของที่นี่หรอก และถ้าไม่อยากให้ท่านเดือดร้อนก็ลาออกไปดีๆ ซะ”

ก็จริงอย่างที่ท่านผู้อำนวยการว่าทุกประการ แต่ไม่ว่าการเข้ามาเป็นครูของผมจะเกิดจากเส้นสายหรือสอบเข้ามาเอง ตลอดเวลาในฐานะครูผมก็ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ไม่มีขาดตดบกพร่องเลย อีกอย่างการเป็นครู การได้สั่งสอนเด็กๆ ทำให้ผมรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมีค่าเหลือเกิน และผมคงเสียใจมากถ้าหากยอมถอดใจง่ายๆ

ผมไม่ได้ลาออกทันทีเมื่อถูกออกคำสั่ง ตอนนี้กำลังลังเลว่าควรจะปรึกษาคุณย่าดีหรือเปล่า











ผมใช้เวลาวันหยุดคิดเรื่องนี้ทั้งวัน กระทั่งปิ๊กคอลมาผมจึงหยุดคิด ปั้นหน้าให้เป็นปกติก่อนจะทักทายเขา แต่ปิ๊กเป็นเด็กฉลาด ผมไม่เคยโกหกเขาได้เลย

“หน้าไม่ค่อยดีเลย” แล้วดู นี่มันคำทักทายประเภทไหนกัน “มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ”

กำลังคิดอยู่ว่าเล่าเรื่องนี้ให้ปิ๊กฟังดีไหม มันจะไม่เป็นการเอาเรื่องเครียดใส่หัวคนที่กำลังอยู่ในช่วงสอบหรอกใช่มั้ย

“พี่โอม มีเรื่องอะไร เล่าให้ปิ๊กฟังนะครับ”

“มีเรื่องที่โรงเรียน”

“เรื่องอะไร”

“ถ้าพี่เล่า ปิ๊กเก็บเป็นความลับของเราได้มั้ย”

“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ”

“รับปากพี่ก่อน” ปิ๊กมีสีหน้าลังเล แต่ก็ยอมพยักหน้ารับ และผมก็ไว้ใจน้องมากเลยนะ คิดว่าเขาจะไม่มีทางผิดคำพูดแน่นอน

“รับปากแล้ว เล่าได้ยังอะครับ”

“เมื่อวันก่อน...” ปิ๊กตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างมีมารยาท แม้บางทีจะอ้าปากเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่พูดแทรกเลย กระทั่งเล่าจบนั่นแหละจึงระเบิดอารมณ์ออกมา

“ทำแบบนี้ได้ไงอะ เป็นผู้ใหญ่ที่โคตรไร้เหตุผลเลย แล้วพี่โอมจะลาออกเหรอ”

“ปิ๊กคิดว่าพี่ควรลาออกมั้ย”

“พี่โอมดูมีความสุขกับการเป็นครู มันคงยากเนอะที่จะทิ้งความสุขของตัวเองแล้วเดินออกมา เป็นปิ๊ก ปิ๊กคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

“แต่ถ้าพี่ดันทุรัง มันจะส่งผลเสียต่อโรงเรียนของคุณย่านะ”

“พี่โอมไม่ลองปรึกษาคุณย่าล่ะ เห็นอย่างนั้นคุณย่าหัวสมัยใหม่มากเลยนะ ท่านเข้าใจเรื่องรสนิยมทางเพศดี ตอนที่ปิ๊กบอกว่าปิ๊กรักพี่โอมคุณย่าก็ไม่ว่าอะไรซักคำ”

เดี๋ยวนะ เมื่อครู่ผมไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย บอกว่ารักหมายความว่ายังไง

“หมายถึงยังไงครับปิ๊ก”

“ก็ตอนนั้นทีหม่ามี๊ไปรับปิ๊กจากห้องพี่โอม ก่อนที่จะบินกลับ ปิ๊กบอกคุณย่าว่าพี่โอมกับปิ๊กรักกัน คุณย่าก็ไม่เห็นจะว่าอะไร”

“รักที่ว่า หมายความว่ายังไง”

“ก็รักแบบที่มีเซ็กส์กันได้ไง ทำไม พี่โอมไม่รักปิ๊กเหรอ”

“รักสิ ถ้าไม่รัก พี่จะโสดรอปิ๊กอยู่อย่างนี้เหรอ แต่คุณย่าเข้าใจมั้ยว่ารักที่ปิ๊กพูดหมายความว่ายังไง” น้องนิ่งไปเลย คงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ล่ะมั้ง และพอน้องทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมที่เผลอท้วงขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้จะปลอบยังไงเลย

“พี่โอม ปิ๊กสงสัยว่าทำไมความรักของผู้ชายกับผู้ชายถึงเป็นเรื่องผิดอะ ทั้งที่มันก็คือความรักเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้สิ ที่จริงความรักไม่ผิดหรอก มันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนล่ะมั้ง ถ้ามองว่าผิดก็ผิด ถ้ามองว่าถูกก็ถูก”

“ซับซ้อนจัง แต่ถึงยังไงพี่โอมก็น่าจะปรึกษาคุณย่านะ”

“ถ้าท่านรับพี่ไม่ได้ล่ะ ปิ๊กจะทำยังไง”

“ไม่รู้สิ ก็ลองคุยดูก่อนถ้ามันไม่โอเคเราก็ค่อยช่วยกันหาทางแก้ ดีมั้ยครับ” ครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าปิ๊กพึ่งพาได้ ปิ๊กน่ะนอกจากร่างกายจะโตเป็นหนุ่มแล้ว ความคิดของน้องยังพัฒนาไปไกลมาแล้วด้วย

“ขอบคุณปิ๊กนะ”

“มันเป็นเรื่องที่ปิ๊กควรทำใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าน้องคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ชื่อแชมป์ใช่มั้ย”

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้าพลางคิดถึงลูกศิษย์ตัวเอง ถ้าหากแชมป์เป็นเกย์จริงๆ และต้องเติบโตมากับแม่ที่ไม่ยอมรับในเพศสภาพของเขา คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะกดดันมากแค่ไหน

“ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้างเนอะ”

“พี่คิดว่าคุณแม่ของแชมป์อาจจะวิตกกังวลจนเกิดไป ปิ๊กรู้ใช่มั้ยว่าช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่เราอยากรู้อยากลอง แทนที่คุณแม่จะคอยให้คำปรึกษากลับเอาแต่ดุด่าแบบนี้ ไม่ดีเลย”

“ใช่ๆ แต่ปิ๊กโชคดีนะ ถึงแม้หม่ามี๊จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยแต่ก็คอยให้คำปรึกษาตลอดเลย อยากเรื่องของเราหม่ามี๊ก็รับรู้นะ หม่ามี๊บอกว่าเอาไว้ปิ๊กโตแล้วค่อยคิดเรื่องนี้จริงจัง”

“หมายความว่าตอนนี้ไม่จริงจัง”

“จริงจังสิ ไม่เชื่อเหรอ”

“ไม่เชื่อ”

“ต้องทำยังไงถึงจะเชื่อ”

“ทำให้ดูหน่อย”

“ทำอะไร” เชื่อเถอะว่าปิ๊กรู้ว่าผมอยากให้น้องทำอะไร ที่ถามน่ะก็แค่แกล้งทำเป็นใสซื่อเท่านั้นเอง และพอน้องแกล้งผมเองก็อยากจะลองเล่นไปตามน้ำดู

“ก็ทำ...” ผมเว้นคำเอาไว้พร้อมกับคลึงที่เป้ากางเกงตัวเองบอกเจตนาที่แท้จริงให้ปิ๊กมุ่ยหน้าใส่แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปลง

วันนี้ปิ๊กใส่กางเกงชั้นในสีขาวอีกแล้ว และเจ้าตัวเล็กที่กำลังถูกคลึงในจังหวะเดียวกับมือของผมก็ค่อยๆ พองโตขึ้นอย่างน่าเอ็นดู

“จะสอบแล้วอ่านหนังสือบ้างรึเปล่าเรา”

“หือ พี่โอมว่ายังไงนะ” ปากก็ถาม คิ้วก็ขมวดหากมือก็ยังไม่หยุดเคล้าคลึงเจ้าตัวเล็ก “เรื่องสอบเหรอ อืม พี่โอม ถอดกางเกง อยากดู”

“ดูอะไรครับ” ผมเย้า พลางแกล้งรั้งกางเกงลงมาเพียงนิด

“ของพี่โอม อยากดู”

“ปิ๊กถอดก่อน”

“ทำไมปิ๊กต้องถอดก่อนอยู่เรื่อยเลยล่ะ” ตัดพ้อแต่ก็ยอมรั้งกางเกงออกจากขาเหลือเพียงกางเกงชั้นใน ปิ๊กยกเท้าขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ให้ท่วงท่าที่น้องนั่งเปิดเผยกว่าครั้งไหนๆ

ให้ตายเถอะ ภาพน้องที่นั่งอ้าขาทำให้เลือดกำเดาผมแทบจะพุ่งออกมา จะบอกว่าผมหื่นก็ได้แต่ตอนนี้โคตรอยากใส่เข้าไปในตัวน้อง อยากจะเลียตั้งแต่นิ้วเท้าจนถึงหน้าผาก อยากกลืนกินเข้าไปทั้งตัว

“ไหนปิ๊กบอกมีของจะอวดพี่ไงครับ”

“ของ” น้องว่าตามพลางกัดปากครุ่นคิด ปิ๊กบอกผมเมื่อวันก่อนว่าเจอร้านของเล่นในเว็บและสั่งบางอย่างมา ถ้าคิดไม่ดีผมว่าของเล่นที่ปิ๊กพูดถึงต้องเป็น...

ของเล่นสำหรับผู้ใหญ่

เจ้าแท่งสีชมพูนั่นถึงแม้จะใหญ่ประมาณนึงแต่เชื่อเถอะว่าสู้ของผมไม่ได้หรอก

“เท่าของพี่โอมเลย” น้องโชว์มันตรงหน้ากล้องก่อนจะเอาลงไปเทียบกับเจ้าตัวเล็กที่ถูกปลดปล่อยออกสู่โลกภายนอกเมื่อครู่ “โคตรใหญ่”

ผมไม่รู้ว่าควรจะมีอารมณ์หื่นหรืออารมณ์ขำดี

“พี่ว่ามันเล็กกว่าของพี่นะครับ”

“งั้นเหรอ เดี๋ยวเอาไว้ลองมาเทียบกันดูนะ แต่ยังไงก็ใหญ่กว่าของปิ๊ก กินอะไรเข้าไปเนี่ยทำไมใหญ่จัง”

“ถามพี่เหรอครับ” คงไม่ใช่ว่าน้องคุยกับเจ้าแท่งปลอมนั่นหรอกนะ

เมื่อถูกถามน้องก็ยิ้มแฉ่ง “ต้องเจ็บแน่เลย ไม่มีอะไรใหญ่ๆ เข้าไปในนี้นานแล้ว” ตอนที่บอกว่าในนี้ น้องใช้นิ้วสัมผัสตรงช่องทางเร้นลับที่ยังปิดแน่นพลางทำหน้าแหย

ได้ยินอย่างนั้นแล้วค่อยโล่งใจว่าตลอดช่วงเวลาที่เราห่างกัน น้องไม่เคยให้ใครกอดหรือสัมผัสเลย อย่างมากก็คงใช้แค่นิ้วตัวเอง

“จะใช้อันนั้นเหรอ”

“ใช้ได้มั้ยอะ ถ้าพี่โอมไม่อนุญาตปิ๊กไม่ใช้ก็ได้”

“ตรงนั้นเป็นของพี่คนเดียวนะ”

“อืม” สีหน้าน้องผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ยอมพยักหน้ารับก่อนจะทำท่าเหมือนจะวางเจ้าสิ่งนั้นลงแต่ผมห้ามไว้ซะก่อน

“ห้ามเอาใส่เข้าไปแต่ใช้ทำอย่างอื่นได้นะ”

“ทำ ทำอะไร”

“มันสั่นได้ใช่มั้ย”

“ได้มั้ง ปิ๊กไม่รู้อะ” ตอบผมพลางสำรวจเจ้าแท่งนั้นอย่างพิจารณา และเมื่อเห็นปุ่มที่ใช้ทำให้มันสั่นน้องก็ยิ้มเต็มแก้มจนตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ของเล่น

มันก็ดูไร้เดียงสาอยู่หรอก หากของในมือไม่ใช่ของเล่นผู้ใหญ่

“นี่ไงพี่โอม มันสั่นแล้ว” พอกดให้มันสั่นแล้วก็ยกขึ้นมาโชว์

“สนุกมั้ยนั่น”

“พี่โอมไม่สนุกเหรอ งั้นวันหลังปิ๊กซื้อฝากไปให้พี่โอมดีมั้ย” ก็ขอบคุณที่น้องนึกถึงกัน แต่มันไม่ค่อยถูกที่ถูกเวลาเท่าไหร่ ถ้าจะซื้อของพรรคนั้นมาฝากสู้น้องบินมาหาให้ผมกอดแน่นๆ เสียยังจะดีกว่า

“พี่ไม่ต้องใช้หรอก แต่ถึงไม่มีไอ้นั่นปิ๊กก็ทำให้พี่สนุกได้นะ”

“ยังไง”

“อมให้พี่หน่อยสิครับ”

“หืม”

“อมไอ้นั่นให้พี่ดูหน่อยสิครับ ทำเหมือนตอนที่ทำให้พี่ไง จำได้มั้ย” ผมแม่งโคตรหื่นเลยว่ามั้ย แต่ก็ว่าไม่ได้นะครับ เห็นปิ๊กมองเจ้าแท่งสีชมพูนั่นแล้วไอ้แท่งของผมก็อยากถูกสัมผัสบ้างเหมือนกัน

ปิ๊กมองผมอย่างชั่งใจ เมื่อผมมองนิ่งๆ และยิ้มเล็กๆ ให้เขา เจ้าตัวก็เอาของในมือเข้ามาใกล้ปาก จุ๊บมันเบาๆ ทักทายก่อนส่งลิ้นออกมาแตะ คล้ายกับลองชิมว่ามันเอาใส่ปากได้จริงเหรอ

“ไม่เหมือนของพี่โอมอะ” มันจะเหมือนได้ยังไงกันเล่า

ถึงจะบอกว่ามันไม่เหมือนแต่น้องก็ส่งลิ้นออกมาเลียมันตั้งแต่โคนจรดปลาย

แม่งเอ้ย!!!

ผมมองปิ๊กเล่นกับเจ้าแท่งนั้น มือก็รูดของตัวเอง ไม่นานก็ปริแตกออกมา











ผมยังคงมาทำงานทั้งในฐานะคุณครูและโค้ชอย่างเช่นปกติ

ตอนเช้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หากไม่นับเรื่องที่ถูกท่านผู้อำนวยการเรียกไปเซ็นใบลาออกแต่ผมไม่ยอมทำตามคำสั่งก็ถือว่าทุกอย่างยังปกติดี

เด็กๆ ยังคงมาซ้อมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่สนาม

ในขณะที่ผมยืนมองเด็กๆ ที่ข้างสนาม ลูกบอลก็ถูกส่งมา ก่อนแชมป์จะวิ่งเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้า

“โค้ช” เด็กน้อยเงยหน้ามองผม สีหน้าแชมป์ไม่ค่อยดีนักต่างจากทุกครั้งที่เจอกันจนสังเกตเห็น

“ว่าไงครับ”

“ผู้ชายกับผู้ชายรักกันไม่ได้เหรอ” เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ “แม่บอกว่ารักไม่ได้ ทำไมอะ แชมป์ไม่เข้าใจ”

“เอาไว้โตก่อนแล้วแชมป์จะเข้าใจ”

“ทำไมอะ ต้องโตเท่าโค้ชเหรอถึงจะมีแฟนเป็นผู้ชายได้”

“โตแค่ไหนก็มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” เสียงแว้ดดังมาจากด้านหลังตามมาด้วยคุณแม่ของแชมป์ที่ยื่นมือเข้ามาดึงลูกชายตัวเองออกห่างจากผม

เธอมองผมราวกับจ้องเศษขยะที่น่ารังเกียจ

กิริยาของเธอไร้มารยาทที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา

“คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ เลยนะ”

ถ้าหากเธอจะมองว่าหน้าด้านก็ไม่แปลกหรอก แต่สำหรับผม ผมไม่คิดว่าการกระทำนี้เรียกว่าหน้าด้านหรอกนะ ในเมื่อผมไม่ผิดอะไร ทำไมต้องลาออกด้วยล่ะ

“ท่านผอ.ให้คุณลาออกแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมยังมาเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีก”

“ผมไม่ออกครับ”

“ฉันให้โอกาสคุณแล้วนะ ถ้าไม่ยอมไปดีๆ ฉันก็จะทำให้คุณเห็นว่าการขัดคำสั่งของฉันมันเป็นยังไง” เธอชี้หน้าขู่ผมก่อนจะกระชากแขนลูกชายตัวน้อยของตนให้เดินตามไปอย่างยากลำบาก

ผมมองตามแชมป์ มองสายตาเว้าวอนนั่น มองเขาร้องไห้ ทุกภาพสะท้อนเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ผมเองก็เคยเจอมา

เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถทำใจยอมรับได้ง่ายๆ หรอก แต่การแสดงออกของแม่แชมป์ก็ไม่ถูกต้องเลย











ผมกลับบ้านมาด้วยความสับสน

แม้จะคุยกับปิ๊กแต่ผมก็เอาแต่คิดเรื่องการลาออกซ้ำไปซ้ำมาจนถูกน้องตัดพ้อหลายครั้ง

“ไม่อยากคุยกับปิ๊กใช่มั้ย” น้องหยุดมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อ

“พี่กำลังคิดว่าจะลาออกจากโรงเรียนดีมั้ย”

“ถ้าไม่อยากทำแล้วก็ลาออกไปเลยสิ”

“ถ้าออกง่ายๆ ก็เหมือนพวกขี้แพ้น่ะสิ”

“ผู้ใหญ่นี่เข้าใจยากจัง ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลยอะ” คนในจอเบ้หน้าก่อนจะติดกระดุมกลับเหมือนเดิม

“ทำไม” เห็นอย่างนั้นผมจึงเอ่ยถาม

“พี่โอมไม่อยากเล่นกับปิ๊กหรอก”

“อยากเล่นสิครับ” แค่ปิ๊กยั่วผมเพิ่มอีกนิดหน่อยก็พร้อมจะเล่นด้วยแล้ว

“ไม่ดีกว่า เอาไว้สบายใจก่อนแล้วค่อยมาเล่นกัน”

“ขอโทษนะ”

“ไม่ใช่ความผิดของพี่โอมหรอก พี่โอม ไม่ว่าพี่โอมจะเลือกทางไหน ปิ๊กก็ยังอยู่ตรงนี้นะ อยู่ข้างๆ พี่โอมเสมอ”

“ขอบคุณครับ”

เราบอกลากันด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกๆ คืน

ถ้าผ่านคืนนี้ไป ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ของผมกับน้องจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน











และก็จริงอย่างที่คิด

รอบกายของผม ตั้งแต่เดินผ่านประตูเข้ามาในบริเวณโรงเรียนไม่มีอะไรที่เป็นปกติเลย

เมื่อเช็คเว็บบอร์ดของโรงเรียนก็ได้พบกับคำตอบทั้งหมด

คิดว่าผมจะถอดใจไหม

ยังหรอก ของแบบนี้ต้องลองสู้กันอีกซักตั้ง

หากการสู้คนเดียวไม่มีทางชนะได้เลย

ในชั้นเรียนผมถูกเด็กๆ มองเหมือนตัวประหลาด ที่ชมรมก็เช่นกัน และวันนี้ผมก็ไม่เจอแชมป์แล้ว

การต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดของผม











บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่จบง่ายๆ แน่หากผมไม่ลาออก

ผมรู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี แต่เพื่ออนาคตของเด็กคนนึง ทางออกนี้อาจจะดีแล้วก็ได้ ถ้าการลาออกของผมเป็นประโยชน์กับใครบ้างก็คงดี

ผมกลับมาร่างจดหมายลาออกที่ห้องพัก ใช้เวลานานทีเดียวเพราะไม่คุ้นเคยกับเอกสารราชการนัก

ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสที่ดีมากมาย ได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาก่อเกิดเป็นมิตรภาพดีๆ

มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายให้คนไร้ประสบการณ์อย่างผมได้ลองแก้ไขผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี

ถึงแม้วันนี้ผมจะลาออก แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองขาดทุนหรอก เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตถือว่าเป็นกำไรทั้งนั้น

หลังจากยื่นจดหมายลาออกแล้วผมก็เดินออกมาจากโรงเรียนโดยไม่ได้ร่ำลาใคร

ไม่ได้แวะไปที่ชมรมฟุตบอลด้วยซ้ำ ทั้งที่อยากไปลาใจจะขาดแต่คงไม่ดีแน่ถ้าผมไปเจอเด็กๆ ทั้งที่พวกเขาแสดงท่าทางหวาดกลัวผมขนาดนั้น

ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่ารสนิยมทางเพศของผมมันน่ากลัว พอนึกถึงภาพเด็กๆ ที่เคยทำดีต่อกัน แต่วันนี้กลับทำหน้ารังเกียจก็อดเศร้าใจไม่ได้เลย

ผมต่อสายหาคุณย่าของปิ๊กทันทีเมื่อกลับมาถึงคอนโด แต่กว่าจะได้คุยกับท่านก็ใช้เวลานานทีเดียว

คุณย่าของปิ๊กน่ะถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังคงทำงานการกุศลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย

“ว่าไงครูโอม”

“สวัสดีครับคุณท่าน”

“คุณท่านอะไรกันจ้ะ เรียกคุณย่าก็ได้”

“เอ่อ...”

“ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ว่าแต่มีธุระอะไรล่ะ ถ้าไม่ด่วนก็ออกมาทานอาหารค่ำด้วยกันแล้วค่อยคุยได้มั้ยจ้ะ” ผมไม่กล้าปฏิเสธหรอก แต่พอนึกว่าต้องบอกรสนิยมทางเพศของตัวเองให้ผู้มีพระคุณทราบก็ไม่รู้ว่าต้องปั้นหน้าอย่างไรดี

“ผมสะดวกคุยโทรศัพท์มากกว่าครับ”

“งั้นเหรอ ว่ามาสิ”

“ผมลาออกจากโรงเรียนแล้วนะครับ ขอโทษคุณท่านด้วยที่หุนหันพลันแล่นออกมาโดยไม่ปรึกษา”

“ไม่เป็นไรๆ ฉันได้ยินข่าวจากเลขามาบ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าเธอจะใจเสาะแบบนี้นะครู”

“คุณท่านทราบว่าผมเป็นเกย์”

“ก็เธอเป็นคนรักของหลานชายฉันไม่ใช่หรือไง”

“คุณท่าน” ผมไม่คิดว่าท่านจะเข้าใจคำที่ปิ๊กเคยบอกลึกซึ้งขนาดนี้ และพอได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ กระทั่งลืมวิธีการออกเสียงไปเลยด้วยซ้ำ

“อย่าคิดมากเลยคุณโอม การที่หลานชายฉันเป็นเกย์มันก็ยังดีกว่าเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”

“เพราะแบบนี้คุณท่านก็เลยช่วยเหลือผมเหรอครับ”

“ไม่ใช่หรอก ฉันอยากตอบแทนเธอจริงๆ แต่การที่เธอลาออกมาง่ายๆ แบบนี้ทำให้ฉันไม่ค่อยปลื้มนะ”

“ผมสงสารแชมป์ครับ คิดว่าถ้ายังอยู่น้องอาจจะแย่เพราะโดนเพื่อนๆ บุลลี่เรื่องรสนิยมทางเพศ”

“เธอคิดว่าทางนี้มันดีที่สุดแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ”

“เธอจะหนีไปอีกนานแค่ไหน”

“ผมหยุดข่าวลือไม่ได้ แต่อย่างน้อยข่าวลือพวกนี้ถ้ามันจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดกับคนที่มีภูมิคุ้มกันมากพอ ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอย่างแชมป์”

“แล้วเธอจะทำยังไงต่อ ฉันหมายถึงงานใหม่น่ะ”

“ยังไม่มีแผนครับ บางทีอาจจะกลับไปทำงานที่ฟิตเนสเหมือนเดิม”

“เห็นเจ้าหลานชายบอกว่าเธออยากเป็นครู”

“ครับ ผมจบครูพละมา”

“จำเป็นต้องเป็นครูโรงเรียนในกรุงเทพด้วยเหรอ”

“ครับ เอ่อ ก็ไม่จำเป็นครับ”

“ลองคิดดูดีๆ นะ”











พอกลับมาคิดๆ ดูอย่างที่คุณท่านกล่าวไว้ก่อนวางสาย ก็พบว่าตัวเองยึดติดกับเมืองหลวงมากเกินไป ทั้งที่ผมก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนนึงแท้ๆ

ระหว่างที่ใช้เวลาทบทวนตัวเอง ผมตัดสินใจว่าจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อเยี่ยมยายทั้งที่ไม่แน่ใจนักหรอกว่าท่านจะอยากเจอผมหรือเปล่า

“พี่โอมออกเดินทางกี่โมงอะ” ผมเก็บเสื้อผ้ามือเป็นระวิงขณะเปิดกล้องคุยกับปิ๊กไปด้วย

“พรุ่งนี้เช้า ว่าแต่เราเถอะ ไม่ไปเรียนเหรอวันนี้”

“อยากคุยกับพี่โอมนี่นา แล้วก็อยากไปบ้านนอกกับพี่โอมด้วย” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วนั้นแสดงความอยากไปบ้านผมมากกว่าตัวผมเองเสียอีก

“เอาไว้ปิ๊กกลับมาแล้วเราไปเที่ยวด้วยกันนะ”

“ไปบ้านพี่โอมเหรอ ไปพบครอบครัวพี่โอมอะนะ” ไม่ใช่หรอก ผมไม่กล้าพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น ในเมื่อคุณยายไม่เคยยอมรับเพศสภาพของผมเลย

“พี่คงพาปิ๊กไปบ้านไม่ได้หรอก”

“งั้นเหรอ ไม่เป็นไร แค่ไปเที่ยวด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวปิ๊กต้องไปโรงเรียนแล้วอะ ไว้คุยกันนะครับ รักพี่โอมนะ” เด็กน้อยในจอโบกมือลาผมพร้อมกับรอยยิ้มสดใส แน่นอนว่าปิ๊กยังคงทำให้ผมยิ้มได้เสมอ เขาเป็นดั่งหยาดฝนที่ชโลมลงบนความแห้งแล้งในหัวใจของผม

ปิ๊กน่ะ เปรียบเสมือนทุกอย่างของผมเลย



[T B C]



อีก 2 ตอนก็จบแล้วจ้า





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่โอมจะทำยังไงต่อไปน้อ?

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อ่าเป็นการบรรยายถึงสังคมที่รังเกียจเพศที่สามได้สะเทือนใจมาก หดหู่มาก

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสารแชมป์เนอะ มีแม่แบบนี้ต้องทำใจ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 14 เรื่องของโอม


ด้วยความกระวนกระวายและตื่นเต้นทำให้คืนนี้ผมนอนไม่หลับเลย

ผมใช้ช่วงเวลาระหว่างรอให้เช้าลองเช็คตำแหน่งงานว่างในเว็บก็พบว่าตำแหน่งครูพละที่ต่างจังหวัดว่างอยู่หลายอัตราทีเดียว ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ตำแหน่งครูอัตราจ้างผมก็ไม่เกี่ยงหรอก

ลองหาข้อมูลคุณสมบัติของผู้เข้าสมัครเผื่อเขาจะไม่รับผู้สมัครที่เป็น LGBT แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอข้อห้ามนี้ เห็นอย่างนี้แล้วก็ค่อยโล่งอกหน่อย

ตำแหน่งที่โรงเรียนทางภาคเหนือก็ไม่เลวนักหรอก ที่นั่นมีสถานที่เที่ยวสวยๆ เยอะด้วย ปิ๊กน่าจะชอบ

หาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อยเงยหน้าขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าเช้าแล้ว

นั่งรถอีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะได้พบกับยายที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะรถไฟวิ่งเข้าใกล้บ้านผมเข้าไปทุกขณะ ความกังวลต่างๆ นานาถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีทางให้หลีกหนี

ผมไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่ายายจะดีใจเมื่อได้เจอหน้าหลานชายที่ถูกตราหน้าว่าผิดปกติคนนี้

บ้านของยายอยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกไปราว 5 กิโลเมตร เชื่อมั้ยว่าตอนที่ผมตัดสินใจออกจากบ้านมาผมต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตรเพื่อมาที่สถานีรถไฟ แต่ตอนนี้ตอนที่ผมมีเงินพอผมไม่มีทางเสียเวลาเดินอีกแน่

รถรับจ้างจอดที่หน้าบ้านไม้ 2 ชั้น มีรั้วรอบขอชิดทำให้คนนอกรั้วไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าของบ้านทำอะไรอยู่ข้างในนั้น

หลังจากลงรถ ผมก็ยืนเคว้งอยู่นาน ใจหนึ่งก็อยากเปิดประตูรั้วเข้าบ้านเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับยาย มากกว่าการถูกดุด่า ผมกลัวว่าการได้เจอหน้าผมจะทำให้ความอับอายในอดีตวนกลับมาอีกครั้ง

“ใครน่ะยืนทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่นอกรั้ว” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงยายดังผ่านรั้วมา

“ผม...”

ระหว่างเราถูกปกคลุมด้วยความเงียบนานทีเดียวจนประตูรั้วเปิดออก

“แกกล้าดียังไงถึงกลับมา” คำของยายไม่ต่างไปจากที่ผมจินตนาการไว้นัก

ผมได้แต่ยิ้มเก้ออย่างไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร แต่ท่ามกลางความอึดอัดใจ ดวงตาที่กำลังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใสนั้นทำให้ผมตัดสินใจก้าวเข้าไปหาแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ประนมมือแล้วก้มลงกราบแทบเท้ายายด้วยความรู้สึกผิดทั้งหมด

“ยาย โอมขอโทษ”

“แกทิ้งฉันไปได้ยังไง แกทิ้งยายแก่ๆ ของแกไว้คนเดียวได้ยังไงฮะไอ้หลานเนรคุณ”

ผมนั่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้ยายทุบตีและด่าทอจนสาแก่ใจ ก่อนท่านจะหมดแรงแล้วนั่งลงกอดผมเอาไว้

ถ้าผมไม่ขี้ขลาด ถ้าผมกล้าที่จะเผชิญหน้า ยายก็คงไม่ทนทุกข์นานขนาดนี้













กับข้าวฝีมือยายยังคงอร่อยเหมือนเดิม ผมปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาขณะส่งน้ำพริกเข้าปาก สิ่งที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ความเสียใจอีกแล้ว แต่มันคือความตื้นตันใจที่อย่างน้อยจากผู้คนเป็นล้านบนโลกใบนี้ก็ยังคงมียายแก่คนนึงที่เข้าใจผมเสมอ

“หลังจากที่โอมไปทางนั้นเขาเป็นยังไงบ้างยาย”

“มันไม่ได้หนีตามแกไปหรอกหรือ”

“หนีตามอะไรกันล่ะยาย หลังจากวันนั้นโอมก็ไม่เจอเขาอีกเลยนะ”

“หลังจากที่แกออกจากบ้านไปเดือนกว่าๆ เด็กนั่นก็หนีออกจากบ้านด้วยเหมือนกัน ชาวบ้านเขาลือว่ามันไปอยู่กับแก”

“แล้วยายก็เชื่อเหรอ”

“เชื่อสิ อย่างน้อยการที่เขาลืออย่างนั้นก็หมายความว่าแกยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ยล่ะ”

“ยาย โอมขอโทษนะ” ผมหยุดมือที่กำลังส่งข้าวเข้าปาก แล้วบอกขอโทษ ซึ่งไม่รู้ว่านี่เป็นคำขอโทษคำที่เท่าไหร่ แต่สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะบอกอีกกี่ครั้งความรู้สึกผิดในใจก็ไม่มีทางหมดไป

“เลิกขอโทษซักที แล้วนี่คิดยังไงถึงกลับมาล่ะ ไม่คิดว่ายายแกตายไปแล้วหรือไง”

“ไม่หรอก ยายไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่ว่ายังไงยายก็ต้องรอโอมกลับมาใช่มั้ยล่ะ”

“เอาอะไรมามั่นใจ ยายก็แก่ขนาดนี้”

“โอมเอาปริญญามาฝากยายด้วยแหละ” ยายเผยรอยยิ้มน้อยๆ ตอนที่ผมยื่นใบปริญญาบัตรไปตรงหน้า มองยายลูบคลำมันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปรีติยินดี การกลับบ้านครั้งนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย และมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมคิดได้เร็วอีกหน่อย

“จบอะไรมาล่ะ”

“ครูพละ”

“ตอนนี้เป็นครูพละเหรอ”

“เคยเป็นครับยายแต่ตอนนี้โอมลาออกแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะสิ่งที่โอมเป็นนี่แหละ”

“อีกแล้วเหรอ” นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเดือดร้อนเพราะรสนิยมทางเพศของตัวเอง ครั้งก่อนมันทำให้ยายเสียใจและเดือดร้อนมากจนผมต้องหนีออกจากบ้านมา “การชอบผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปมันยากนักหรือเจ้าโอม”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

สำหรับผม การหาผู้หญิงซักคนมาไว้ข้างกายไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันในเมื่อไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่มีทางชอบผู้หญิงได้เลย

“แต่โอมไม่ยอมแพ้หรอกนะยาย โอมจะมีความสุข ไม่ว่ายังไงโอมก็จะมีความสุขกับสิ่งที่โอมเป็นให้ได้”

“ก็ดี ถึงฉันจะไม่เข้าใจแกมากนักแต่ฉันก็อยากเห็นแกมีความสุข”

“ขอบคุณนะครับยาย” ผมโอบกอดท่าน ยายเองก็กอดตอบพลางลูบหัวผม ความอบอุ่นนี้ทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา คิดดูแล้วก็นานมากเหมือนกันที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากการกอดที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยแบบนี้ กอดที่คนรักก็ไม่สามารถมอบให้กันได้











ที่จริงผมตั้งใจจะอยู่บ้านยายซักระยะ แต่เพราะญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงมองผมเหมือนตัวประหลาด ในเช้าวันที่ 5  ของการมาบ้านยายผมจึงบอกลาท่าน ให้สัญญาว่าจะใช้ชีวิตอย่างดีและกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ

อีกชั่วโมงกว่ารถไฟจะเทียบชานชาลา ผมจึงใช้เวลาว่างระหว่างรอวิดีโอคอลหาปิ๊ก เพราะเป็นเวลาเที่ยงของประเทศไทย ที่แคนาดาจึงเป็นเวลาดึกแล้ว ภาพที่ปรากฏบนจอมือถือจึงเป็นเด็กคนนึงที่งัวเงียจนคุยกันไม่รู้เรื่องเลย

“พี่โอม คอลมาทำไมดึกๆ”

“พี่กำลังกลับกรุงเทพแล้ว”

“กลับไงอะ”

“กลับรถไฟเหมือนเดิม”

“เดินทางปลอดภัยนะ”

“จะวางแล้วเหรอ”

“ง่วงอะ ปิ๊กจะนอน”

“แต่พี่อยากคุยกับปิ๊กนี่นา”

“ดื้อจัง เดี๋ยวก็ตีซะหรอก”

“มาหาสิ พี่จะให้ปิ๊กตีจนพอใจเลย”

“ปากเก่งไปเถอะ พี่โอมก็รู้ว่าอีกนานกว่าปิ๊กจะไปหาพี่โอมได้”

“นั่นสินะ งั้นปิ๊กรีบโตแล้วรีบมาหาพี่นะครับ”

“พี่โอมเก็บเงินค่าตั๋วเครื่องบินแล้วบินมาหาปิ๊กง่ายกว่านะ” ก่อนอื่นผมต้องหางานที่ได้เงินเดือนเยอะๆ ถึงจะได้มีเงินเก็บเพื่อบินไปหาปิ๊ก

ถ้าการทำตามความฝันไม่สามารถพาผมบินไปหาปิ๊กได้ ในตอนนี้ผมขอเลือกงานที่ทำแล้วได้เงินเยอะๆ ก่อนก็แล้วกัน

“โอม โอมใช่มั้ย” ในตอนที่วางสายจากปิ๊กและกำลังค้นหางานฟิตเนสที่ได้ค่าแรงดีๆ อยู่ๆ เสียงที่เหมือนจะคุ้นหูก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่เหมือนจะเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อเงยหน้ามองก็พบกับเขาจริงๆ

“พี่ก้อย”

“โอมไปอยู่ที่ไหนมา พี่ติดต่อเราไม่ได้เลย”

“อยู่กรุงเทพน่ะแหละพี่ พี่ล่ะเป็นยังไงบ้าง” ถ้าจะบอกว่าพี่ก้อยเป็นรักครั้งแรกของผมก็คงใช่ เวลาเปลี่ยน ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวบางหน้าตาน่ารักเปลี่ยนไปมากแล้ว เขาดูดีขึ้น แววตาที่มองผมยังคงเปล่งประกายเหมือนครั้งแรกที่เราตกหลุมรักกัน ที่จริงผมน่ะ ลืมความรู้สึกนั้นไปแล้วล่ะ กระทั่งกลับมาเจอเขาอีกครั้งโดยบังเอิญ

“หลังจากเกิดเรื่อง พี่ก็ตามหาเรานะ พี่อยากขอโทษ แต่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเลย ยายก็ไม่บอกอะไรพี่”

“ผมไม่ได้ติดต่อกับยายเลย นี่ก็เพิ่งกล้ากลับมาเจอท่าน”

“ดีจังเลยนะ”

“ดียังไงพี่”

“พี่กลัวมาตลอด กลัวว่าเรื่องของพี่จะทำให้ชีวิตโอมพัง”

“มันก็ไม่ได้พังขนาดนั้นหรอก แค่ต้องใช้ชีวิตลำพังมาตั้งแต่ตอนนั้น มันก็เหงาๆ หน่อย แต่ตอนนี้ผมไม่เหงาแล้วล่ะ”

“เจอคนที่ใช่แล้วใช่มั้ย”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละ พี่ก้อยล่ะ เจอคนที่ใช่รึยังครับ”

“คงจะใช่แล้วล่ะ อยู่ด้วยกันมา 3 ปีแล้ว”

‘ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ...’

เสียงเตือนรถไฟเข้าชานชาลาทำให้ทสนทนาของเราจบลง ทั้งผมและพี่ก้อยเพียงแค่ยิ้มให้กันแทนคำบอกลา รอยยิ้มที่ไม่ต่างกับตอนที่เจอกันครั้งแรกต่างกันแค่ความหมายเท่านั้นเอง

ผมเจอพี่ก้อยตอนอายุ 17 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ล่ะมั้ง เขาเป็นญาติของใครซักคนในหมู่บ้าน เป็นคนหน้าตาดี เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้รสนิยมทางเพศของตัวเอง ทำให้มั่นใจว่าเพราะแบบนี้นี่เองถึงคบกับผู้หญิงไม่ยืดนัก

ครั้งแรกที่เราคุยกัน หัวใจของผมเต้นแรงมาก และในคืนเคาท์ดาวน์ที่ผมอยู่บ้านคนเดียวเพราะยายไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัด ผมก็นัดพี่เขามาแล้วพวกเราก็เกินเลยกัน ครั้งแรกของเรามันดีมาก ดีเสียจนผมห้ามตัวเองไม่ได้ พวกเราทำกันซ้ำๆ จนหมดแรง

เมื่อความสุขผ่านพ้นไป ความทุกข์ก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความไวแสง

เช้าวันต่อมาขณะที่เรานอนหยอกล้อกันอยู่ในห้องของผมนั้น ประตูห้องก็เปิดออก ทั้งยายและญาติของพี่ก้อยยืนมองพวกเราด้วยสายตาตื่นตกใจ

ในตอนนั้นไม่มีใครพูดอะไรเลย มีเพียงความอึดอัดที่ชวนให้หายใจไม่ออก

หลังจากนั้นยายก็ไม่ยอมคุยกับผมอีก ญาติพี่ก้อยซึ่งมีหน้ามีตาในหมู่บ้านก็เอาแต่พูดเรื่องของผมจนคนทั้งหมู่บ้านเริ่มไม่ชอบหน้าเรา ผมทนเห็นยายถูกคนเหล่านั้นมองด้วยสายตารังเกียจไม่ได้ เมื่อเรียนจบม.ปลายผมจึงตัดสินใจออกจากบ้านมา

ทางเดินชีวิตของผมไม่ราบรื่นนัก แต่มันก็ไม่แย่หรอก เจอคนดีบ้างไม่ดีบ้างก็เรียนรู้และปรับตัวกันไป

และตอนนี้เค้าพายุหนักที่ปกคลุมผมอยู่ก็ได้สลายตัวไปแล้ว ต่อจากนี้ผมจะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าในเส้นทางนั้นต้องมีปิ๊กเดินไปด้วยกัน













ผมกลับมาทำงานที่ฟิตเนสได้เกือบ 3 เดือนแล้ว

คุยกับคุณย่าของปิ๊กครั้งล่าสุดท่านบอกว่าข่าวลือของผมที่โรงเรียนซาลงไปมากแล้ว ถ้าอยากกลับมาทำงานต่อก็มาได้ ผมรู้สึกขอบคุณโอกาสดีๆ ที่ได้รับ แต่ผมคงไม่กล้ารับมันไว้อีกแล้ว ผมกลัว กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแน่ ถ้าผู้คนในประเทศนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องของ LGBT อย่างแท้จริง ไม่สิ อย่างน้อยถ้าเขาเปิดใจและมองว่าพวกเราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง เรื่องราวเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น

ความสัมพันธ์ของผมกับปิ๊กก็ยังคงดำเนินไป ถึงแม้ระยะทางจะห่างไกล ถึงแม้จะไม่ได้กอดกันจริงๆ ซักครั้งแต่ปิ๊กก็ทำให้ผมสนุกมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์แต่รวมถึงชีวิตประจำวันของเขาด้วย

ทั้งผมและปิ๊กกลายเป็นมนุษย์โซเชียลไปแล้ว ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือกับอินเตอร์เน็ตผมคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้จริงๆ

“พี่โอมๆ พรุ่งนี้มางานพรอมพ์ที่โรงเรียนแหละ”

“งานพรอมพ์?” พอผมทำหน้าไม่เข้าใจเด็กน้อยของผมก็หัวเราะร่วน ที่จริงผมเคยได้ยินคำนี้มาบ้างในละครแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันจริงจังนักหรอก

“ปาร์ตี้ครับ มีสาวมาชวนปิ๊กไปงานด้วยนะ”

“แล้วปิ๊กตอบตกลงมั้ย”

“ตอบตกลงดีมั้ยนะ” ยังมีหน้ามาทำทะเล้นอีก มันน่าบีบจมูกให้แดงเป็นลูกตำลึงจริงๆ “พี่โอมอยากให้ปิ๊กไปกับเธอมั้ย”

“ถ้าปิ๊กอยากไปพี่ก็ไม่ห้ามนะครับ”

“ที่จริงมีรุ่นพี่กัปตันทีมบาสมาชวนปิ๊กด้วยแหละ”

“ผู้ชายเหรอ”

“ช่าย ตัวสูง หล่อด้วย”

“หล่อกว่าพี่รึเปล่า”

“อืมมมม...” ปิ๊กไม่ตอบผมทันที แต่เขาใช้ดวงตากลมๆ จ้องมองผมอย่างพิจารณาด้วยสีหน้าจริงจังมากจนน่าหมั่นเขี้ยว ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันจะจับตีก้นซะให้เข็ดเลย

“คนละแบบอะ แต่ปิ๊กชอบแบบพี่โอมมากว่านะ” ปากหวานจนอยากจูบให้ปากเจ่อเลย

“พี่ไม่อนุญาตให้ปิ๊กไปกับผู้ชายนะ”

“รู้น่าๆ เดี๋ยวปิ๊กอวดชุดที่ใส่ไปพรุ่งนี้นะ” ว่าแล้วก็ถอดเสื้อยืดออก ปลดกางเกงจนเหลือเพียงกางเกงชั้นในสีขาวตัวเดียว

ให้ตายเถอะ ผมละสายตาจากยอดอกเล็กๆ บนแผ่นอกสีน้ำนมนั่นไม่ได้เลย อยากละเลงมันด้วยลิ้น อยากขยี้ด้วยมือ อยากฝากรอยรักเอาไว้แสดงความเป็นเจ้าของทั้งตัว

ตอนนี้ ตอนที่ปิ๊กกำลังวิ่งวุ่นหาเสื้อผ้ามาอวดผม ผมก็มองด้วยสายตาหื่นกระหาย ถึงแม้จะเล่นสไกฟ์เซ็กส์กันแทบทุกคืนแต่เชื่อเถอะว่าแค่นั้นมันไม่เพียงพอกับความต้องการของผมหรอก

“พี่โอมๆๆๆ”

เสียงปิ๊กเรียกผมให้ตื่นจากความคิดลามกในหัว เมื่อมองไปตรงหน้าก็ยังพบว่าปิ๊กยังคงสวมกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว ยอดอกสีสวยตัดกับผิวขาวใสสะกดสายตาของผมไว้ได้เป็นอย่างดี

“ชุดหล่อเปล่า?” น้องถามพลางชูเสื้อสูทกับกางเกงสีดำขึ้นให้ผมดู

ชุดมันก็ดูดีอยู่แล้วล่ะ

“ลองใส่ให้พี่ดูหน่อยสิครับ” อยากบอกว่าเวลาน้องไม่ใส่อะไรเลยดูดีที่สุดแล้ว แต่นั่นมันก็จะดูหื่นจนเกินไปใช่มั้ยล่ะ

“แป๊บนึงนะครับ” แป๊บนึงของปิ๊กไม่มีอยู่จริงหรอก

ไม่แน่ใจว่าน้องมันไร้เดียงสาจริงๆ หรือกำลังยั่วยวนผมกันแน่ เมื่อปิ๊กขยับเข้ามายืนในจุดที่ผมสามารถมองเห็นเขาทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า

มือเล็กหยิบเสื้อมาสวม เขาค่อยๆ สอดแขนเข้าไปในแขนเสื้ออย่างอ้อยอิ่ง พอสวมเสร็จก็ค่อยๆ ติดกระดุมอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับตั้งใจโชว์ผมอย่างนั้นแหละ

แต่ก็ดี น้องชอบโชว์ ผมเองก็ชอบดูเหมือนกัน

“ที่ฟิตเนสเป็นยังไงบ้างอะครับ แอบนอกใจปิ๊กรึเปล่า”

“นอกใจอะไรกันล่ะ ไม่มีหรอก”

“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้จับได้”

“ไม่ให้จับได้หรอก”

“พี่โอม!!” เด็กน้อยแหว ใบหน้าน่ารักยุ่งเหยิง มือที่กำลังติดกระดุมหยุดชะงัก “ฟ้องคุณย่านะ”

“พี่ล้อเล่นน่า กำลังตั้งใจเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินอยู่เนี่ย”

“ซื้อตั๋วเครื่องบินไปไหน” มือเล็กกลับมาวุ่นวายกับกระดุมเสื้ออีกครั้ง

“ปิ๊กคิดว่าไงอะ”

“มาหาปิ๊กเหรอ” น้ำเสียงน้องตื่นเต้น เห็นอย่างนั้นแล้วผมเองก็รู้สึกดีไปด้วย ทั้งตื่นเต้นกับการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก

“เขาจะให้พี่เข้าประเทศมั้ย” ปิ๊กหัวเราะชอบใจ เขาละมือจากเสื้อตัวเองทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จแล้วขยับมานั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าคอมพิวเตอร์

คิดว่าคงลืมเรื่องที่ทำก่อนหน้าไปแล้วแน่นอน เพราะคงตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเพิ่งบอก

“อยากเจอพี่โอมพรุ่งนี้เลย” แล้วก็อ้อน “พี่โอมมาวันไหนอะ ช่วงคริสมาสต์ดีมั้ย”

“อีกไม่กี่เดือนเอง”

“เก็บเงินไม่ทันเหรอ”

“ทันสิ”

“แล้วทำไมทำหน้างั้นอะ” ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร คงกังวลแหละมั้ง ผมไม่รู้เรื่องการไปต่างประเทศก็เลยรู้สึกกลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

“พี่ไม่เคยนั่งเครื่องบิน” ผมบอกน้องด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างไม่มั่นใจนัก

ก็ต้องไม่มั่นใจอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ อายุเกือบจะ 30 แล้วแต่ไม่เคยนั่งเครื่องบินเลยซักครั้ง สำหรับสังคมคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำอย่างผม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลย แต่สำหรับสังคมของปิ๊ก ผมไม่รู้ว่าน้องจะมองผมอย่างไร

ขณะที่ผมทำหน้าไม่ถูก ปิ๊กก็หัวเราะออกมา

“ปิ๊กก็เคยกลัวการนั่งเครื่องบิน แต่พี่โอม มันไม่น่ากลัวหรอก”

“พี่กลัวเครื่องบินตก” ผมบอกด้วยความสัตย์จริง คิดว่าปิ๊กจะหัวเราะแต่น้องไม่พูดอะไร เขามองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะ ถ้าพี่โอมยังไม่พร้อมยังไม่ต้องบินมาก็ได้ รอจนกว่าปิ๊กอายุครบ 18 แล้วเราค่อยเจอกันยังได้เลย”

ไม่ได้หรอก ผมรอจนถึงตอนนั้นไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นไม่ใครก็ใครคงต้องเฉาตายกันไปข้างแน่

“แล้วนี่ไม่ลองชุดให้พี่ดูแล้วเหรอครับ”

“นั่นสิ รอแป๊บนะ”

“ไม่ต้องแล้วก็ได้มั้ง”

“ทำไมอะ” น้องทำหน้าน่ารักพลางเอียงคอถาม

“ถอดออกดีกว่าไม่ต้องใส่แล้ว” ผมบอกพร้อมกับถอดเสื้อตัวเองออก

“พี่โอมลามก” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ก็ยอมปลดระดุมแล้วแยกสาบเสื้อออกเผยยอดอกน่ารักที่ผมมองแล้วรู้สึกคอแห้งจนต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

“โคตรอยากกัดปิ๊กเลย”

“เจ็บนะพี่โอม อย่ากัดแรงดิ” ปากบอกอย่างนั้นพร้อมกับบดขยี้ยอดอกตัวเองด้วยนิ้วเรียว

“เด็กดื้อพี่จะกัดให้ขาดเลย”

“ใจร้าย อื้อ” ปิ๊กหลับตาลง ริมฝีปากเล็กอ้าเผยอเปล่งเสียงน่ารักขณะปรนเปรอยอดอกตัวเองด้วยมือ

แน่นอนว่าภาพตรงหน้าทำให้กลางกายของผมค่อยๆ ขยับขยาย

“ปิ๊กครับ กินสิ” ผมถลกกางเกงลงปลดปล่อยลูกชายออกสู่โลกภายนอกพลางกดกล้องลงต่ำ และเด็กน้อยของผมก็ลืมตาขึ้นมา

กล้องถูกกดลงไปให้เห็นปิ๊กที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ปากอิ่มอ้าเผยอ มือบางคว้าสะเปะสะปะหาอะไรสักอย่างอยู่นอกเฟรม ครู่หนึ่งของที่เจ้าตัวตามหาก็ปรากฏแก่สายตาผม

มันคือเจ้าแท่งสีชมพูที่น้องซื้อมาเล่น

ที่จริงผมไม่ค่อยชอบมันนัก แต่ในยามนี้ก็ต้องยอมรับแหละว่าของเขาดีจริงๆ

ผมมองปิ๊กที่ถือเจ้าสิ่งนั้นไว้ในมือ ลิ้นชื้นถูกส่งออกมาแตะส่วนยอดของเจ้านั่น ใบหน้าเคลิบเคลิ้มทำให้ผมเริ่มขยับมือที่กำลังรูดรั้งของในมือตัวเองเร็วยิ่งขึ้น

“ปิ๊ก อมมันครับ อื้ม” ห้องที่ผมได้รับมาเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผมจึงเปล่งเสียงออกมาได้อย่างที่ต้องการ

ของในมือถูกส่งเข้าปาก ปิ๊กรูดอมมันด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม เขาปล่อยให้น้ำลายไหลออกมา ไม่สนใจว่ามันจะหยดลงพื้นเลยสักนิด

“อีกครับปิ๊ก เร็วอีก” น้องก็ช่างน่ารัก บอกให้ทำเร็วๆ ก็ทำ

“ใหญ่ อืม ของพี่โอมมันใหญ่” ดวงตาเยิ้มๆ เปิดขึ้น น้องจับจ้องมาที่ผม ลิ้นเล็กตวัดเลียและบดขยี้ที่ส่วนปลายเช่นเดียวกับมือผมที่กำลังขยี้ของตัวเองจนแทบจะแตกอยู่รอมร่อ

“แล้วปิ๊กไม่ชอบเหรอครับ อื้ม เด็กดี พี่จะออกแล้ว”

“อย่า อย่าทิ้งปิ๊ก พี่โอม”

“ให้พี่แตกใส่หน้านะครับ คนดี อื้ม” ผมสาวมือแรงๆ พร้อมกับปิ๊กที่ขยับเข้ามาใกล้ในมุมที่เหมือนผมจะแตกใส่หน้าเขาได้จริงๆ ลิ้นเล็กถูกส่งออกมา ไม่รู้ว่าน้องกำลังจินตนาการเรื่องลามกระหว่างดูผมหรือเปล่า แต่ผมกำลังคิด คิดลามกมากๆ เลยด้วย

“ใจร้าย” ผมลืมตาขึ้น หอบหายใจ และได้ยินเสียงปิ๊กแผ่วเบา “ไม่รอปิ๊ก”

“ขยับเข้ามาหาพี่เร็ว”

น้องก้าวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ แต่คราวนี้นั่งคร่อมหันหน้าเข้าหาพนักพิงหันหลังให้ผม เชื่อเถอะว่าภาพนั้นทำให้ผมตื่นตัวอีกครั้ง แผ่นหลังและลำคอระหงเรียบเนียนทั้งก้นกลมๆ ท่อนขาเรียว ทั้งหมดที่ประกอบขึ้นมาเป็นปิ๊กผมอยากฝากรอยรักเอาไว้ ตีตราจองตลอดชีวิต

“ปิ๊ก พี่จะใส่เข้าไป” น้องเอี้ยวตัวมายิ้มหวาน ยกขาข้างนึงขึ้นเผยให้เห็นช่องทางสีหวาน “เลียนิ้วพี่หน่อยสิครับ”

ผมยื่นมือเข้าไปหา และปิ๊กก็อ้าปากส่งนิ้วตัวเองเข้าไปในปาก ไล้เลียแล้วชักออก ส่งลิ้นตามออกมา มองผมด้วยสายตาที่ฆ่ากันตายได้เลย

“พี่จะใส่นิ้วเข้าไปก่อน”

“อืม” ช่องทางรักถูกเค้นคลึงด้วยนิ้วของเจ้าตัวแทนนิ้วผม ชั่วอึดใจเดียว นิ้วกลางก็ถูกส่งเข้าไปจนสุด สะโพกอวบส่ายเบาๆ พลางสั่นระริก ปิ๊กกัดปากยั่วยวนกันก่อนจะส่งนิ้วที่สองเข้าไป

“ดึงออกแล้วกระแทกเข้าไปแรงๆ เลย” ปิ๊กทำตามคำสั่ง เขากระแทกกระทั้นช่องทางรักของตนเองด้วยนิ้วแรงๆ อย่างใจปรารถนา

ผมเองก็เริ่มคลึงเจ้าตัวที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาหลังจากได้ปลดปล่อยเมื่อครู่

ถ้าได้สอดใส่เข้าไปในช่องทางนั้นจริงๆ มันจะตอดรัดดีซักแค่ไหนกันนะ

ผมมองน้องไม่คลาดสายตา จับจ้องนิ้วนั้นพลางจินตนาการว่าตัวเองได้สอดใส่เข้าไป

“พี่โอม ไม่พอ ปิ๊กอยากได้” น้องพูดกับผมแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ของบางอย่าง แน่นอนว่ามันคือของเล่นที่มีขนาดใกล้เคียงกับของผม

สีหน้าปิ๊กทรมานมาก เขามองเจ้าแท่งด้วยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา สะโพกเล็กบิดเร่าเหมือนตอนที่เคยอ้อนขอของผม

“ปิ๊กใช้มันนะ นะครับ” ถึงแม้น้องไม่อ้อน ครั้งนี้ผมก็ยอมอยู่แล้ว ก็น้องน่ารักเสียขนาดนี้

“พี่จะใส่ของพี่เข้าไป” ผมลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ ทำเหมือนว่าจะใส่ของตัวเองเข้าไปได้จริงๆ

เหมือนรู้กัน พอผมว่าอย่างนั้นน้องก็หยิบเจ้าของเล่นนั้นมาดูดอมเคลือบมันด้วยน้ำลายก่อนจะส่งมันไปลูบไล้ตรงแก้มก้น เสียดสีตรงรอยแยกก้นอิ่มๆ

ปิ๊กค่อยๆ สอดส่วนยอดเข้าไป

เสียงน้องคล้ายทรมาน แต่มือก็ไม่หยุด เขาส่งมันเข้าไป ร้อง ร้องคราง กระทั่งสุด

“อื้อ พี่โอม มันแน่น”

“พี่ขยับได้รึยังครับ ปิ๊กโคตรแน่นเลย อย่าเพิ่งตอดพี่สิ” มองด้วยตาก็รู้ว่าช่องทางนั้นคับแคบเพียงใด

ผมมองเจ้าแท่งที่ค้างคาอยู่ในก้นของคนรักพลางชักรูดของตน สักพักปิ๊กก็ละมือออก เขาจับพนักพิงด้วยมือข้างนึง ส่วนอีกข้างเอื้อมลงมาข้างล่างตรงส่วนหน้าที่ตื่นเต็มตัวพร้อมปลดปล่อย

เจ้าแท่งนั้นสั่น ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงมัน

ปิ๊กครางเสียงแผ่ว ปล่อยให้น้ำตาและน้ำลายไหลย้อยด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง เขาร่อนสะโพกรับของที่เสียบคาอยู่ในก้น มือเรียวชักรูดของตัวเอง

เราสบตากัน ปิ๊กมองผม ผมมองเขา เด็กน้อยแลบลิ้นออกมาเหมือนรอให้ผมปลดปลดใส่ใบหน้าน่ารักของเขา

ให้ตายเถอะ ขนาดไม่ได้สัมผัสกัน คืนนี้ผมก็ใกล้จะเสร็จสมรอบที่สองแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าตอนที่ได้ร่วมรักกันจริงๆ เราจะหมกมุ่นกันแค่ไหน

“พี่โอม ปิ๊กจะเสร็จ อ๊า แรง เอาแรงๆ ฮือ” สิ้นคำร่างบอบบางก็กระตุกเกร็ง ผมเองก็ปลดปล่อยออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน

“อยากกินของปิ๊กจังเลยครับ”

เด็กน้อยยิ้มน้อยๆ อย่างเหนื่อยหอบ มือเล็กที่เปรอะเปื้อนน้ำรักยื่นเข้ามาใกล้หน้าจอ

“แลกกัน” น้องว่าอย่างนั้นพลางอ้าปากขอ ผมจึงยื่นมือเข้าไปหา

เราต่างก็เลียมือในจินตนาการ รับเอาสิ่งที่ปลดปล่อยออกมาเข้าปากจนหมด

และเมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติปิ๊กก็หัวเราะ เสียงใสๆ ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นการเติมความสุขให้เราทั้งคู่ ไม่ใช่การเอาเปรียบกันเพื่อความสุขสมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แคนาดาเหรอ

นั่งเครื่องกี่ชั่วโมงนะ

ผมน่ะ จะนอนกกปิ๊กเท่ากับจำนวนชั่วโมงการเดินทางเลย นับตั้งแต่ออกจากบ้านไปถึงสนามบินก็ใช้เวลามากโขแล้วล่ะมั้ง





[T B C]



ตอนหน้าพี่โอมกับเจ้าปิ๊กเจอกันแล้ววววววววววววววววววววววว



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนหน้าก็ไม่ต้องเซ็กส์โฟนจินตนาการแล้วเนอะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อีกตอนเดียวก็จบแล้วสิเนี่ย :katai1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ความหื่นยังคงเส้นคงวาเสมอเลยทั้งคู่  :hao6:

ออฟไลน์ joborcusier

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :pighaun: ตายๆ พี่โอมไปไหนรอดเลยเนียยย ยั่วขนาดนี้ลูกก

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 15 เปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนไป – ตอนจบ




ผมมาถึงแคนาดาแล้วจริงๆ

ที่จริงแล้วการนั่งเครื่องบินไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย หรือบางทีผมอาจจะจดจ่ออยู่กับการได้เจอปิ๊กมากเกินไปจนลืมความกลัวพวกนั้นไปเป็นปลิดทิ้ง

แต่อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ผมจะได้เจอปิ๊กตัวเป็นๆ แล้ว

อากาศในช่วงเทศกาลคริสมาสต์หนาวมาก ผมคิดว่าตัวเองคงแข็งตายแน่ๆ ถ้าออกไปสัมผัสหิมะนอกสนามบินนั่น

และเพราะเป็นช่วงเทศกาล ค่าเครื่องบินจึงแพงมาก ค่าห้องพักที่โรงแรมก็คงไม่ต่างกัน ปิ๊กจองห้องพักด้วยชื่อของเขา เจ้าตัวบอกว่าที่พักของผมเป็นกิจการของครอบครัวเพื่อนคุณพ่อ ถ้าใช้ชื่อเขาก็จะได้ส่วนลดมากหน่อย

ยังไงก็ได้แหละ ถ้ามันจะเซฟเงินในกระเป๋าของผมได้บ้าง

บรรยากาศตอนลงจากเครื่องแล้วเดินมาที่ประตูขาเข้าก็คล้ายๆ กับที่เคยเห็นในทีวี มีผู้คนมารอรับญาติมากมาย และผมก็เป็นส่วนน้อย ปิ๊กไม่ได้มายืนถือป้ายรออย่างที่ผมคิด จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่มา แถมไม่ยอมติดต่อมาอีกด้วย

ผมนั่งอย่างคนอับจนหนทางอยู่ในอาคาร มองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างเลื่อนลอย

คงไม่เกิดเรื่องแย่ๆ กับน้องระหว่างเดินทางมาที่นี่หรอกใช่มั้ย

“เฮ้!” ผมมองซ้ายมองขวาเมื่อเด็กหนุ่มผมดำขวับที่กำลังโบกมือทักทายเดินเข้ามาใกล้กัน

อย่ามาทักนะเว้ย ผมพูดภาษาอังกฤษได้เสียที่ไหนกัน

“ทำไมทำหน้างั้นอะ” เขาเข้ามาหยุดตรงหน้าผมพลางใช้สายตาที่คุ้นเคยจ้องมองกันอย่างพิจารณา

คุ้นๆ แฮะ ปิ๊กเหรอ แต่จำได้ว่าผมปิ๊กไม่ใช่สีนี้ อีกอย่างดวงตาเขาก็เป็นสีทองไม่ใช่สีดำอย่างเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ซักหน่อย

“พี่โอม จำปิ๊กไม่ได้เหรอ”

“ปิ๊ก” ผมมองเขาอย่างพิจารณา “ทำไมผมสีนี้ ตาด้วย” ผมชี้ที่ผมและดวงตาเขาด้วยสีหน้าของคนโง่ๆ คนหนึ่งให้เด็กหนุ่มตรงหน้าผมหัวเราะร่วน

“ไม่รู้จักนวัตกรรมการย้อมผมเหรอ คอนแทคเลนส์รู้จักมั้ยครับ”

“แต่ก่อนที่พี่จะบินผมปิ๊กยังเป็นอีกสีอยู่เลย”

“ก็เพิ่งไปย้อมมา”

“ที่มาช้าก็เพราะไปร้านทำผม”

“ใช่แล้ว” เด็กหนุ่มตรงหน้าตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่สะทกสะท้านกับการมารับผมสาย แถมยังใช้นิ้วม้วนเส้นผมตรงหน้าเล่นอีก

ทำไมกลายเป็นเด็กแบบนี้ไปได้ล่ะ

ที่จริงปิ๊กเปลี่ยนไปมากเลย เมื่อ 2 ปีก่อนเขาตัวเท่าอกผมเอง ดูเด็กกว่าอายุมาก แต่ตอนนี้น้องสูงขึ้น ดูมีกล้ามเนื้อมากขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และสีผมเปลี่ยนไป

“มองอะไร ที่นี่สนามบินทำเรื่องอย่างว่าไม่ได้หรอกนะ” แต่ยังคงชอบหยอกผมเหมือนยามเราวิดีโอคอลคุยกัน

“ที่นี่หนาว”

“ใช่หนาวมาก” น้องพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “อยากให้พี่โอมช่วยทำให้อุ่นจังเลย”

“กลับที่พักกัน” ปิ๊กยิ้มร่า เขายื่นมือมาเหมือนจะขอช่วยถือกระเป๋า น้องตัวโตขึ้นก็จริงแต่ก็ยังเล็กกว่าผมแหละ เรื่องใช้แรงงานนี่ไม่ต้องมาขอช่วยหรอก

ผมบอกให้น้องเดินนำออกไป เรามาหยุดที่รถคันหนึ่ง ไม่มีคนขับ กำลังจะถามก็พบว่าเด็กน้อยของผมล้วงเอากุญแจออกมาควง คงคิดว่าตัวเองเท่มากล่ะมั้ง

“ขับมาเอง?”

“ใช่”

“มีใบขับขี่แล้วเหรอ”

“ไม่มี” ตอบอย่างฉะฉานพร้อมกับปลดล็อครถ พยักพเยิดให้ผมเก็บกระเป๋า

เราเข้ามานั่งประจำที่ คาดเบลท์ แล้วปิ๊กก็ออกรถ

ผมมองตรงไปข้างหน้า ครู่เดียวก่อนจะหันมามองปิ๊กด้วยความรู้สึกแปลกๆ

คนข้างๆ ผมเปลี่ยนไปมากจริงๆ มากจนผมรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่คุยกันอยู่ทุกวัน ในหน้าจอ เรามองเห็นกัน แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องดูเป็นผู้ใหญ่มากขนาดนี้

“มองอะไรครับ” น้องถามทั้งที่ไม่ละสายตาจากถนนตรงหน้า

“ปิ๊กเปลี่ยนไปเยอะเลยเนอะ”

“เปลี่ยนอะไรครับ ก็เห็นกันในจอทุกวัน”

“ไม่เหมือนกัน ในจอปิ๊กดูเด็กกว่าตัวจริงมาก”

“เหรอ ทำไม เจอตัวจริงแล้วไม่รักเหรอ” น้องเหลือบมองผมแว้บหนึ่ง ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาลูบต้นขาผมก่อนจะจับหมับเข้าที่กลางกาย

ผมสะดุ้งเฮือก แต่ก็ไม่คิดจะห้ามปราม

“ตรงนี้พี่โอมยังใหญ่ขึ้นได้เลย แล้วปิ๊กไม่มีสิทธิ์โตขึ้นเหรอครับ”

“มะ อื้ม มี มีครับ” ผมเอ่ยไม่เต็มเสียง เพราะแค่ถูกลูบไล้ด้วยมือของคนที่ผมปรารถนาตลอดมามันก็ขยายใหญ่พร้อมใช้งานแล้ว

“พี่โอมไม่อดทนเลยอะ อยากทำตรงนี้นะแต่ทำไม่ได้ รถเพื่อน” ปิ๊กโคตรร้ายเลยว่ะ บอกผมอย่างนั้นแล้วก็ชักมือออกพลางยิ้มร้าย

“ระวังไว้เถอะ”

“เรื่อง?” พอถูกขู่ก็หันมาถามด้วยใบหน้าระรื่น แต่ก็สมเป็นปิ๊กดี

“จะเอาจนลุกไม่ได้เลย”

“ไม่กลัวหรอก” ไปเรียนท่าทางการยักคิ้วมากจากไหนกันนะ

ความเร็วของรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างที่ผมเองก็สังเกตได้ถึงความเร่งรีบ ไม่นานก็เข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม ปิ๊กรีบเช็คอินแต่ถึงกระนั้นเคาท์เตอร์ก็ไม่รีบอย่างใจเขา สักพักทีเดียวกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

พนักงานเดินนำเราขึ้นมาบนห้อง ผมไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับปิ๊กเพราะไม่ถนัดภาษาอังกฤษ

ประตูห้องถูกเปิดออกและปิดลงแทบจะทันที และผมก็เข้าสวมกอดน้องทันทีเช่นกัน

“คิดถึงนะครับ” ผมสูดดมกลิ่นหอมที่ซอกคอขาว ประทับจูบแล้วดูดแรงๆ ให้เกิดรอยอย่างที่อยากทำมาตลอด

ปิ๊กหัวเราะคิกคัก เขากอดตอบผม ลูบไล้เส้นผมอย่างรักใคร่

“เดินทางมาตั้งไกล ไม่เหนื่อยไม่หิวเหรอครับ”

“หิวปิ๊ก” ผมบอกก่อนยกเจ้าตัวน้อยของผมขึ้นพาดบ่า คิดว่าครั้งแรกน่าจะเริ่มที่เตียงจึงเดินตรงไปยังห้องนอน จะหาว่าผมหมกมุ่นก็ได้ แต่ผมคิดมาจากบ้านแล้วว่าผมจะทำกับปิ๊กในทุกๆ ที่ของห้องพักนี้ แน่นอนว่ารวมระเบียงห้องด้วย

ร่างน้องถูกทุ่มลงบนเตียง ผมพยายามถอดเสื้อ แต่มันช่างยากลำบาก

ความต้องการทำให้มือไม้สั่น เสื้อผ้าที่สวมก็หลายชั้นจนนึกหงุดหงิด

“พี่โอมใจเย็น” เสียงน้องติดขำ และก่อนที่ผมจะอารมณ์เสียมากไปกว่านี้เจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืนเข่าแล้วคลานเข้ามาหาผมซึ่งยืนอยู่ที่พื้นตรงปลายเตียง

มือของผมถูกกุมเอาไว้ ปิ๊กส่งมันลงข้างลำตัวก่อนจะยื่นมือตัวเองเข้ามาช่วยถอดเสื้อหนาวตัวที่หนาโคตรๆ ออกจากร่างผม

ขณะที่น้องทำอย่างใจเย็น แต่ใจผมโคตรร้อน อยากทำเดี๋ยวนี้ อยากกอดปิ๊กเดี๋ยวนี้เลย

“ปิ๊กก็ถอดสิ” ผมบอกขณะสูดดมเส้นผมของเขา

“พี่โอมก็ถอดให้สิ” ปิ๊กว่าพร้อมกับที่เสื้อหนาวของผมถูกถอดออกไปจนเหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวเพียงตัวเดียว

ผมถอดมันออกแล้วขึ้นไปบนเตียง ดึงน้องขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก เริ่มต้นด้วยการปลดผ้าพันคอแล้วตามด้วยเสื้อกันหนาวผืนหนา จนเหลือแค่เสื้อไหมพรมผมจึงซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกเขา สอดมือผ่านชายเสื้อเข้าไปลูบไล้เอว ทำทุกอย่างอย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้ตอนเล่นกันผ่านกล้อง

“พี่โอม...” มือเรียวซุกเข้ามาในกลุ่มเส้นผมบนศีรษะ เขาพยายามดึงผมให้ผละออกจากอก แต่ผมก็ไม่ยอมง่ายๆ นอกจากจะไม่ยอมทำตามแล้วยังครอบริมฝีปากลงบนยอดอกใต้เสื้อไหมพรมนั้น

ได้ยินเสียงคนบนตักดังขึ้นด้วยความซ่านเสียว

“พี่โอมถอดเสื้อแล้วค่อยเลียสิ”

“ไม่ถอดก็เสียวนี่ครับ”

“แต่ถอดเสียวกว่า” เขาเถียงและเป็นฝ่ายถอดเสื้อออกแล้วโยนมันทิ้งไปราวกับของไร้ประโยชน์

ที่จริงในยามนี้ บนเตียงที่กำลังจะถูกเผาด้วยไฟรัก เสื้อผ้าก็ไม่ใช่ของจำเป็นเท่าไหร่หรอก

เมื่อเห็นน้องทำอย่างนั้นผมเองก็ถอดเสื้อตัวเองทิ้งเหมือนกัน ก่อนจะเริ่มลงมือกับท่อนบนอันเปลือยเปล่าของน้อง ทุกซอกทุกมุมอย่างโหยหา

เมื่อก่อนจุดอ่อนของปิ๊กอยู่ที่ยอดอก แต่ตอนนี้เหมือนว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ตรงปลายลิ้นของผมนี่แหละ เพราะไม่ว่าจะแตะต้องตรงส่วนใด ทั้งไหปลาร้า แผ่นท้อง สีข้าง กระทั่งรักแร้น้องก็ครางไม่ขาดปากเลย

และเชื่อเถอะว่าเสียงของปิ๊กกระตุ้นผมได้มากทีทีเดียว

“ฮือ พี่โอม ตรงนั้น” น้องกดหัวผมให้ซุกลงบนหน้าท้องเขาขณะกำลังหยอกล้อกับหลุมสะดือน่ารัก

เห็นมั้ย กระทั่งที่สะดือน้องก็ครางเสียงดังเชียว

“ตรงนี้ก็ดีเหรอครับ” ผมหยุดการกระทำแล้วมองหน้าน้อง ปิ๊กก้มลงมาสบตา ใบหน้าน่ารักแดงเชียว

“ถอดกางเกงจะเสียวกว่านี้อีก” ปากดีจริงๆ

“แล้วอย่ามาขอให้พี่หยุดล่ะ”

“ไม่หรอก ไม่บอกให้หยุดแน่นอน” เมื่อน้องว่าอย่างนั้นผมจึงปลดเข็มขัด ถอดกางเกงแล้วดึงรั้งมันออกรวดเดียวอย่างผู้เชี่ยวชาญ

เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เห็นในจอกับของจริงแม่งโคตรต่างกันเลย

ปิ๊กที่อยู่ตรงหน้า ปิ๊กที่ผมสัมผัสได้ ดีกว่าปิ๊กที่อยู่ในจอเป็นไหนๆ ขาวกว่า เต็มไม่เต็มมือกว่า แม่งเอ้ย! แค่ลูบนิดๆ หน่อยๆ ก็จะแตกให้ได้เลย

ผมพลิกร่างปิ๊กให้นอนคว่ำหน้า ยกสะโพกเขาขึ้นก่อนกดจูบลงบนก้นกลมๆ นั้นอย่างหมั่นเขี้ยว

“ฮือ พี่โอม ปิ๊กเจ็บ” น้องเหลียวมองเมื่อถูกฝังเขี้ยวลงบนแก้มก้นแรงๆ แต่มีหรือที่ผมจะยอมหยุด

ปิ๊กแค่บอกว่าเจ็บ ไม่ได้บอกให้หยุดซุกหน่อย

แก้มก้นทั้งสองข้างถูกแยกออกให้ช่องทางคับแคบปรากฏแก่สายตา

สภาพผมตอนนี้เหมือนตาแต่ตัณหากลับ เพียงแค่มองก็อยากจะตีตราจองเป็นเจ้าของเดี๋ยวนี้

เร็วกว่าความคิดตัวเอง นิ้วเรียวถูกส่งไปสัมผัสให้เด็กที่นอนอยู่บนเตียงตัวกระตุก ปิ๊กเหลียวมามองผมอีกครั้งด้วยสายตาเชื่อมปรอย เห็นอย่างนั้นก็อดที่จะก้มลงไปป้อนจูบให้เขาไม่ได้เลย

เสียงครางอู้อี้ดังในปากที่ถูกป้อนด้วยลิ้นเมื่อนิ้วถูกสอดเข้าไปในช่องทางที่โคตรคับแน่น มันแน่นเสียจนกลัวว่าถ้าไม่เบิกทางล่ะก็ ของที่หลงเข้าไปต้องถูกบีบรัดจนขาดแน่ๆ

ผมผละจูบออก น้ำลายที่ยืดเป็นสายยิ่งที่ให้ภาพตรงหน้าดูลามกขึ้นไปอีก

ปิ๊กแลบลิ้นตามออกมา โหยหาให้ผมจูบ แต่ไม่ครับ ตอนนี้ผมอยากจูบที่อื่นมากกว่าปากของเขา

ผมเลื่อนตัวลงต่ำ พรมจูบตั้งแต่ใต้รักแร้ สีข้าง แผ่นหลัง เอวบาง เลียก้นกลมๆ ของเขาให้เจ้าของมันขยับกลายคล้ายจะหนี แต่ผมก็ห้ามเขาด้วยการจับเอวเอาไว้

ขาน้องบิดเกร็งเมื่อช่องทางสีระเรื่อที่ปิดสนิทนั้นถูกเลียด้วยลิ้น

เสียงปิ๊กดังขึ้นคล้ายจะขนาดใจเมื่อถูกจ้วงแทงด้วยลิ้นชื้นๆ ของผม

ไม่พอ...

ปิ๊กเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เขาจึงยื่นมือมากดใบหน้าของผมให้จมอยู่กับก้นของเขา ให้ลิ้นเข้าไปลึกอีก

แก่นกายของผมคับแน่นเต็มกางเกง มันเจ็บปวดจนต้องคลึงมันเพื่อบรรเทา ปิ๊กเองก็คงรู้สึกเหมือนกัน เขาจึงยกสะโพกขึ้นโดยทิ้งร่างกายท่อนบนไว้บนที่นอน มือบางข้างหนึ่งถูกส่งมารูดรั้งตัวตนที่แข็งขึ้นมา ขยับด้วยจังหวะเดียวกับลิ้นของผม

แม่งเอ้ย!! ไม่ไหวแล้วว่ะ

ผมผละออกจากน้องอย่างแสนเสียดาย ลุกนั่งด้วยเข่าแล้วปลดกางเกงอย่างลุกลี้ลุกลน

ตุบ!!

และคงเพราะเร่งรีบเกินไป ตอนยกขาขึ้นเพื่อรูดกางเกงออกจึงหงายหลังร่วงลงมานอนกับพื้น

“พี่โอม” เสียงปิ๊กดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและเมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบว่าน้องนั่งมองผมอยู่ที่ปลายเตียงพลางหัวเราะชอบใจ

ผมแม่งรีบจนลนลานไปหมด

“หัวเราะอะไรตัวแสบ”

“พี่โอมตลกอะ” ยัง ยังไม่หยุดหัวเราะอีก

“มาช่วยพี่ถอดกางเกงเลย” และปิ๊กก็เป็นเด็กดีมาก พอผมบอกอย่างนั้นก็ยื่นมือมาช่วยดึงกางเกงยีนส์ออกจากขาตามด้วยกางเกงชั้นในจนตอนนี้ผมอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

ผมลุกขึ้นยืนด้วยเข่า ยื่นมือไปคว้าแขนปิ๊กแล้วดึงร่างเล็กๆ นั้นลงมาหา เพียงสบตาในระยะประชิด ลิ้นของเราก็ถูกส่งออกมาแตะต้องกันอย่างโหยหา

มือเล็กๆ ลูบไล้ที่แผ่นอกของผม ผมเองก็ไม่น้อยหน้า ไม่มีส่วนไหนของแผ่นหลังน้องที่ผมไม่ได้สัมผัส

“ปิ๊กพี่เข้าไปนะ” ผมถามชิดกลีบปากอิ่ม ขณะหยอกเย้าช่องทางรักที่ยังคงฉ่ำแชะเพราะน้ำลายของผม

เด็กน้อยก็ช่างน่ารัก พอผมขอก็หมุนตัวไปเกาะขอบเตียงเอาไว้แล้วยกสะโพกขึ้น

ใจผมสั่นระรัวเมื่อภาพที่แสนยั่วยวนนี้ปรากฏตรงหน้า และไม่รอช้าที่จะเข้าไปในตัวเขา

ผมชักรูดส่วนที่กำลังแข็งขันจนพร้อมพรัก ใช้ส่วนปลายลูบแก้มก้นน้องเป็นออร์เดิร์ฟแล้วค่อยดันมันเข้าไป แต่เข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ น้องก็ร้องว่าเจ็บให้ต้องหยุดการกระทำลงระหว่างทาง

“ไหวมั้ยครับ” ผมปลอบโยนน้องด้วยจูบที่ท้ายทอย

“เจ็บ แต่ไหว พี่โอมเข้ามาเถอะ” น้องยื่นมือมาแยกแก้มก้นอิ่มออกให้ผมเข้าไปในตัวได้ถนัด

น้องแม่งโคตรเอาใจผมเลยว่ะ

พอน้องทำตัวน่ารักผมเองก็อยากทำตัวเป็นคนรักที่ดีเช่นกัน

ผมค่อยๆ ดันร่างกายส่วนที่ยังค้างคาเข้าไป แต่มันคับแน่น แถมน้องยังร้องไห้อีกด้วย ผมไม่รู้ว่าควรทำต่อดีมั้ย แต่ปิ๊กก็ช่างแสนดี พอผมหยุดน้องก็ดันสะโพกเข้ามาหา จนในที่สุดแก่นกายของผมก็เข้าไปอยู่ในตัวน้องทั้งหมด

“อื้ม” อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นสูดปากส่งเสียงครางเมื่อความคับแน่นที่กำลังกลืนกินของๆ ผมให้ความรู้สึกดีจนแทบปริแตกในทันทีที่เข้ามาจนสุดความยาว

“พี่โอม ขยับสิ” น้องเอี้ยวตัวมามองพร้อมออกคำสั่ง

“ไม่เจ็บเหรอครับ”

“เจ็บ” เอ้า! ผมมองน้องอย่างไม่เข้าใจนัก และพอผมไม่ยอมขยับเจ้าตัวแสบก็ดันสะโพกเข้ามาหาเสียเอง

“อื้ม ปิ๊ก แกล้งเหรอครับ”

“พี่โอมอะช้า”

“แล้วอย่ามาบอกให้หยุดล่ะ” จบประโยคผมก็เริ่มสอบสะโพก เริ่มต้นอย่างเนิบช้าแต่เหมือนว่ามันจะไม่ค่อยถูกใจน้องนัก ผมจึงเพิ่มความเร็วจนกลายเป็นถี่รัว

ผมจับแขนปิ๊กทั้งสองข้างไว้มั่น ดึงตัวน้องให้ลุกขึ้นมาจนแผ่นหลังแนบไปอกผม

น้องเอี้ยวหน้ามาขอจูบ ผมก็ตามใจโดยการป้อนจูบให้

ปิ๊กครางอู้อี้ ปล่อยให้น้ำลายของเราไหลเลอะขอบปากเมื่อยอดอกถูกผมหยอดล้อและบดคลึงอย่างสนุกมือ

“ฮือ พี่โอม แรง แรง ปิ๊กไม่ไหวแล้ว”

เสียงเนื้อกระทับกันดังอย่างหยาบโลนประสานกับเสียงครางหวานๆ ของปิ๊กและเสียบแหบพร่าของผม ไม่ว่าจะใกล้ชิดกันมากแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ปิ๊กก็คงจะรู้สึกเหมือนๆ กัน

ผมสอบสะโพกใส่น้องก็ดันก้นเข้าหา ทุกจังหวะของเราเร่าร้อนรุนแรงสมกับที่โหยหากันมาเนิ่นนาน

กระทั่งเดินทางมาถึงปลายทาง

ผมยื่นมือไปสัมผัสแก่นกายเล็กๆ ของน้อง ชักรูดไปตามจังหวะที่ผมกระแทกกระทั้นใส่เขา

“ดีนครับ เสร็จพร้อมพี่นะ ไปด้วยกัน”

น้องไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่ครางอย่างคนเสียสติ กระทั่งทุกหยาดหยดถูกปลดปล่อยออกมา เราทั้งคู่ทิ้งร่างอ่อนปวกเปียกให้แนบไปกับเตียง โอบกอดสอดประสานกันอยู่อย่างนั้น รอให้เรี่ยวแรงกลับมาเพื่อจะได้รักกันต่อ

จนผ่านไประยะหนึ่ง ตอนที่ลมหายใจของเราทั้งคู่กลับสาสภาวะปกติน้องจึงพลิกตัวมาซุกอกผม

“ขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ มั้ย”

“ลุกไม่ไหว” น้องบอกว่าลุกไม่ไหวผมก็อุ้ม ง่ายๆ แค่นี้

สถานการณ์ร้อนๆ เมื่อกี้กลับสู่สภาวะปกติ ถึงกระนั้นสิ่งที่กำลังกรุ่นๆ อยู่ในอกเรานี้ก็พร้อมที่จะประทุขึ้นมาทุกเมื่อ

“เมื่อกี้ พี่โอมเรียกปิ๊กว่ายังไงนะ”

“ดีนไงครับ”

“ทำไมเรียกดีน”

“ก็เราชื่อดีนไม่ใช่เหรอ”

“แล้วทำไมเพิ่งมาเรียก”

“ไม่ชอบเหรอครับ”

“ชอบ แต่สงสัยว่าทำไมถึงเพิ่งมาเรียก”

“มันคงถึงเวลาแล้วล่ะมั้ง ทำไม ไม่ชอบที่พี่เรียกชื่อเหรอ”

“ชอบสิ ชอบมากเลย แต่ก็ชอบให้พี่โอมเรียกปิ๊กเหมือนกันนะ สงสัยอะ ถามได้มั้ย”

ไม่รู้ว่าน้องสงสัยเรื่องอะไรแต่ผมก็พยักหน้าอนุญาต

“ชื่อปิ๊ก ทำไมตอนนั้นถึงตั้งชื่อนี้ให้ปิ๊กล่ะ ชื่อแฟนเก่าเหรอ” ที่จริงน้องเป็นเด็กฉลาดมาก มากจนน่ากลัวเลยทีเดียว และเมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็นิ่งไป รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าควรบอกความจริงหรือเงียบเอาไว้ดี

“ใช่ ชื่อแฟนเก่า” การที่เราจะรักใครซักคน เราก็ควรที่จะทิ้งอดีตเอาไว้ข้างหลังใช่มั้ยล่ะ

“ว่าแล้วเชียว แล้วเมื่อก่อนเวลามีอะไรกัน พี่โอมเห็นหน้าดีนเป็นคนนั้นมั้ย”

“ไม่เคย”

“จริงเหรอ”

“จริง ปิ๊กก็คือปิ๊ก ดีนก็คือดีน”

“แล้วตอนนี้รักใครมากกว่า”

“ก็ต้องดีนอยู่แล้ว”

“ปากหวาน”

“อย่างอื่นก็หวาน” เด็กแสบเบ้ปากก่อนจะซุกหน้าลงบนอกของผม มือเล็กลูบไล้หน้าท้องที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างเพลิดเพลิน หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นปลุกเสือร้ายในตัวพี่โอมขึ้นมาแล้ว

“วันคริสมาสต์ไปเดินเที่ยวข้างนอกกันนะ”

“หนาวจะตาย”

“หนาวก็ใส่เสื้อหนาๆ สิ หรือพี่โอมไม่มี” เสื้อกันหนาวแพงมาก แน่นอนว่าผมไม่มีปัญญาหอบเสื้อหนาๆ มาที่นี่หลายๆ ตัวหรอก และพอผมเงียบน้องก็คงรู้ทันจึงช้อนสายตามองแล้วยิ้มอ้อน “เดี๋ยวดีนพาไปช๊อปดีมั้ย”

“พี่ไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก”

“ยืมของดีนก่อน แล้วค่อยใช้คืนเป็นอย่างอื่น”

“อย่างเช่น” น้องทำหน้าครุ่นคิดแล้วยิ้มร้าย

“ทำให้ปิ๊กมีความสุขตลอดไป”

“เรื่องนั้นพี่ทำอยู่แล้วนี่” ร่างเล็กถูกผมดึงขึ้นมานั่งบนหน้าท้อง ร่างกายเปลือยเปล่าปรากฏตรงหน้า ตัวตนของน้องแนบไปกับผวเนื้อของผม แม่งเอ้ย!! ความหื่นกระหายของผมค่อยๆ ประทุขึ้น

เริ่มต้นมอบความสุขให้น้องตอนนี้เลยก็ได้นะ

คิดแล้วก็ทำโดยการเริ่มลูบไล้หน้าท้องแบนเรียบมีกล้ามเนื้อน้อยๆ ของดีนเบาๆ อย่างที่เจ้าตัวเองก็ครางรับอย่างพออกพอใจ ผมลากนิ้วขึ้นสูง หยอกเย้าที่ปลายคางและสันกรามให้น้องเอียงคอพลางหลับตาพริ้ม

แม่งโคตรๆ ของความยั่ว

ส่วนมืออีกข้างสัมผัสท่อนขาน้อง ค่อยๆ ลูบสูงขึ้นมาจนถึงขาอ่อน บีบคลึงก้นกลมก่อนแยกมันออกเพื่อสอดนิ้วเข้าไปหยอกเย้า

ดีนวางมือลงบนหน้าท้องของผมในคราแรก และเมื่อถูกผมสัมผัสน้องก็ช่วยปรนเปรอให้ผมเช่นกัน

มือเล็กเอื้อมไปด้านหลัง สัมผัสตัวตนของผมที่ลุกขึ้นมาแล้วรูดรั้งทั้งที่ไม่มองมันสักนิด

เราทั้งคู่สบตากัน ดีนกัดปากพลางส่งสายตายั่วยวน

ไม่รอด ยังไงก็ไม่รอดแน่ๆ

“อื้ม” ผมนี่แหละไม่รอด เมื่อน้องขยับลงไปต่ำอีก ให้บั้นท้ายสัมผัสกับตัวตนอันแข็งแกร่งของผม ดีนกำมันไว้เต็มมือ ส่งส่วนปลายเข้าไปหยอกเย้ากับช่องทางของเขา

น้องหลับตาพริ้ม กัดปากจนกลัวว่าเจ้าตัวจะเจ็บ

“ดีนครับ เดี๋ยวเจ็บนะ”

“อื้อ ไม่เจ็บ ดีนไม่เจ็บ” น้องว่าอย่างนั้นแต่สีหน้าไม่ใช่เลย ถึงแม้จะผ่านการถูกรักมาแล้วครั้งนึงแต่ช่องทางก็ยังคงแคบอยู่ ถึงกระนั้นน้องกลับพยายามดันมันเข้าไป

ส่วนหัวเข้าไปแล้ว  หากสีหน้าน้องยังคงดูทรมาน

ผมลุกขึ้นนั่ง ลูบไล้แล้วดันแผ่นหลังบางให้อกแอ่นขึ้น ยอดอกชูชันอยู่ตรงหน้า และผมก็เลียมันอย่างไม่ลังเล

เสียงหวานครางเครือ เงยหน้ามองก็พบกับสีหน้าสุขสม ดังนั้นผมจึ้งครอบปากลงบนยอดอกเขา ตวัดลิ้นเลียให้น้องส่งมือมาขย้ำเส้นผม ทั้งดันให้ผมฝังใบหน้าลงไป

ท่อนกายถูกดันเข้าไปจนสุด ข้างในของน้องบีรัดจนผมแทบทนไม่ไหว

“ให้ดีนทำ” น้องว่าอย่างนั้นก่อนดันตัวผมให้นอนลงกับเตียง

เราสบตากัน ขณะน้องยกสะโพกขึ้นแล้วทิ้งลงมา

แม่งเอ้ย!!

“แรงอีก” ผมบอกและน้องก็ทำตามอย่างว่าง่าย

เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นอีกครั้ง ผมวางมือลงบนเอวบาง กำหนดจังหวะขณะยกสะโพกเข้าใส่น้องที่ทิ้งตัวลงมา

มันวิเศษมาก ยิ่งในยามที่น้องลูบไล้หน้าอกตัวเอง แหงนเงยใบหน้าน่ารักขึ้นมองเพดาน อ้าปากส่งเสียงหวานไม่สนใจน้ำต่างๆ ที่ไหลเปรอะเปื้อน

ดีนเต้นระบำอยู่บนร่างของผมจนเหนื่อยล้าเจ้าตัวค่อยทิ้งตัวลงบนอกผม สะโพกเล็กหยุดขยับ และคงเป็นหน้าที่ผมที่ต้องสานต่อ

เสียงหวานดังชิดหูของผม และนั่นยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผมหนักมือยิ่งขึ้น

ครั้งนี้น้องสุขสมได้โดยที่เราไม่ได้ยุ่งกับข้างหน้าเลย แค่เพียงผมกระแทกซ้ำ น้องก็ปล่อยปลดน้ำสีขุ่นออกมาจนเปียกชุ่มหน้าท้องของผม เช่นเดียวกัน ตรงนั้น ตรงที่ผมได้อิงแอบก็เต็มไปด้วยน้ำรักของผมเช่นกัน













พวกเราหลับไปหลังจากนั้น ตื่นขึ้นมาอีกทีทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดแล้ว

“มืดแล้วอะ ทำไรดี” เจ้าตัวแสบลืมตาขึ้นมาก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดไฟให้บริเวณหัวเตียงสว่างขึ้น

“หิวข้าวแล้ว”

“ก็ควรหิวหรอก” น้องว่าอย่างนั้นพร้อมกับส่งยิ้มหยอกๆ มาก่อนจะลุกขึ้นยืนทั้งร่างกายเปลือยเปล่า

“เจ็บมั้ย”

“เจ็บสิ ของพี่โอมไม่ใช่เล็กๆ”

“ถ้าเจ็บก็นอนพักเถอะ”

“ถ้าดีนนอนพักแล้วพี่โอมจะไปกินข้าวยังไง อาบน้ำกัน” ก้าวลงจากเตียงแล้วยื่นมือมาตรงหน้า ผมลังเลแต่ก็ยอมส่งมือให้

เราเดินจูงมือกันเข้าไปในห้องน้ำ

รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง

“ไม่กลัวพี่จะตบะแตกเหรอ”

“อดทนหน่อยสิ” ว่าพลางถูฟองสบู่บนอกของผม ก็เนี่ยเด็กมันยั่วผมจะทนได้ยังไงล่ะ “ไว้วันหลังเราแช่น้ำในอ่างด้วยกันนะ”

ผมพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลสักนิด ถ้าวันนี้ไม่ติดว่าท้องกำลังร้องด้วยความหิวโหยผมคงชวนน้องแช่น้ำแล้วก็เล่นกันจนหมดแรงแน่ๆ













ดีนพาผมลงมากินอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม บอกตรงๆ เลยว่าผมทำตัวไม่ถูกเลย เอาแต่เดินตามน้องต้อยๆ หากน้องก็น่ารัก บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ผมฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย

“อุปกรณ์บนโต๊ะชิ้นไหนที่ใช้ไม่สะดวกก็ไม่ต้องใช้นะ ทำตัวสบายๆ”

อุปกรณ์บนโต๊ะเยอะมาก และบรรยากาศก็ไม่ค่อยคุ้นเคยจะให้ผมทำตัวสบายๆ ได้ยังไง

“คุณย่าเล่าว่าพี่โอมไม่ยอมกลับไปสอนที่โรงเรียน ทำไมล่ะ” ขณะส่งสเต็กเข้าปาก น้องก็ถามออกมา ไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบไหม เพราะเมื่อถามเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าตัวเองต่อหน้าตาเฉย

“กลัวจะซ้ำรอยเดิมอีก”

“เป็นครูนี่เป็นเกย์ไม่ได้เหรอ” นี่ก็ตรงประเด็นจนน่าตกใจเลย

“ไม่มีกฎห้ามนะ แต่สังคมยังไม่ยอมรับ”

“แล้วมีครูที่เป็นผู้ชายแต่งหญิง กับผู้หญิงแต่งเป็นผู้ชายมั้ย”

“มีนะ เพื่อนพี่เป็นทอมก็เป็นครูสอนอยู่โรงเรียนประถมตั้งหลายคน”

“ทีอย่างนี้ทำไมรับล่ะ นี่มันไม่ใช่สองมาตาฐานแล้ว เรียกว่าไม่มีมาตรฐานถูกกว่าอีก” ดีนพูดเก่งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ฟังที่เขาพูดก็เผลอคิดตาม

ก็ถูกนะ บางเรื่อง ประเทศนั้นก็โคตรจะไร้มาตรฐานเลย

“แล้วพี่โอมก็ต้องทำงานที่ฟิตเนสต่อไปเหรอ มีความสุขเหรอครับ ไม่อยากเป็นครูแล้วหรือไง”

“อยากเป็นสิ พี่กำลังคิดอยู่ว่ากลับไทยคราวนี้จะกลับไปเป็นครูแล้ว”

“ที่ไหน”

“ซักแห่งในประเทศนั้นที่ต้องการพี่”

“ตอบแบบนี้ไม่ตอบดีกว่าอีก”

“คงจะไปอยู่ต่างจังหวัด”

“มีอินเตอร์เน็ตมั้ย”

“ไม่รู้สิ ถ้ามีก็คงไม่แรงเท่ากรุงเทพหรอก”

“ไม่ดีเลยอะ งี้ก็ไม่ได้คุยกันแล้วสิ”

“ดีนทนได้มั้ยล่ะ”

“อยากไปอยู่กับพี่โอมจัง แต่กว่าจะเรียนจบก็อีกตั้งหลายปี เหงาแย่เลย”

“หรือพี่จะไม่เป็นครูดีนะ”

“ไม่เอาสิ ทำสิ่งที่พี่โอมอยากทำเถอะ อีกเดี๋ยวดีนก็อายุครบ 18 แล้ว พอถึงตอนนั้นจะบินไปหาพี่โอมบ่อยแค่ไหนก็ได้”

“ขอบคุณนะครับ”

“พี่โอมต่างหากที่ต้องได้รับคำขอบคุณ คุณย่าบอกว่าถ้าดีนไม่เจอพี่โอมป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”

“แต่พี่ทำให้ดีนเป็นเกย์”

“พี่โอมทำให้ดีนมีความรักต่างหาก” คำของน้องทำให้ผมตื้นตันใจมาก อาหารในมือถูกวางลงที่เดิม เราปล่อยเวลาให้เดินผ่านไปด้วยการสบตากันนิ่งๆ

ไม่รู้ว่าการเจอกันของเราเรียกว่าพรหมลิขิตได้มั้ย และควรจะดีใจหรือเปล่าที่อะไรก็ตามเหวี่ยงให้เรามาเจอกัน เพราะกว่าจะพบความสุขดีนก็ผ่านความเจ็บปวดมามากมาย เขาเกือบถูกส่งไปค้าประเวณีเพราะความประมาทเลินเล่อของผม กลายเป็นเกย์เพราะการกระทำที่ขาดการยับยั้งชั่งใจของผมอีก

ผมสงสัยอยู่ว่า สิ่งที่ตัวเองได้รับนี้มันสวมควรแล้วเหรอ

กระทั่งรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กตรงหน้าของผม

ผมได้คำตอบของทุกคำถามแล้ว

ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดทุกอย่างมาเพียงใด แต่สุดท้ายน้องก็มีความสุข ความสุขที่เกิดจากการได้รักกับผม เกิดจากความช่วยเหลือของผมในอดีต

ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมาะสมแล้วจริงๆ



[The end]




ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนจบ

เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนได้หื่นขนาดนี้

ยากมากเลยกว่าจะเขียนจบ

แต่ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนค่ะ

ยังไงก็ฝากติดตามเรื่องอื่นๆ ด้วยนะ



น้องดีนกับพี่โอมมีฉบับอีบุ๊คด้วยแหละ
เอาชื่อ ‘ไม่ใช่พี่ชาย’ ไปค้นใน Meb ได้เลย

ราคาก็ไม่แพงมาก มีตอนพิเศษด้วยนะ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด