เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19  (อ่าน 12380 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติ ตัวละครและสถานที่ก็สมมุติขึ้นมานะคะ




 พูดคุยเม้ามอยด์กันได้ที่ ทวิตเตอร์(@MonkeyD_IY)

แฟนเพจ Monkey D IY

 :3123:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2019 22:49:11 โดย Monkey D »

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

นิยายเรื่อง  เขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด



เพราะ ‘เขา’ คนที่ผมตกหลุมรักอย่างจัง
ดันเป็นโรคกลัวผู้ชายขึ้นสมอง
ผมจึงต้องยอมเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ใกล้ชิด

แม้จะโดนมองว่าเป็นกระเทยยักษ์ก็ตามที!!!

รักครั้งนี้ไอ้อันโทนิโอ้สู้ตาย!!!!!!!!



ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


EP.1


    “นังเซ่น นังเซ่นนน นังเซ่นนนนนนโว๊ย  อยู่ไหนของเอ็งวะ”  ผมตะโกนร้องหานังแมวแสบที่เก็บมาเลี้ยงร่วม 3 ปี  ตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกแมวตัวกระจ้อยส่งสายตาใสแบ๊วมาให้ ร้องแง๊วๆขอข้าวกิน  ไอ้ผมรึก็สงสาร ลูกแมวมันคงไม่มีที่ไปเลยเก็บมาเลี้ยงถือว่าเอาบุญ  ที่ไหนได้เหอะๆ  เอามันมาเป็นเจ้านายชัดๆ! 


    หลังจากมันครองใจคนทั้งบ้านลูกชายอย่างผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่าทันที   แถมต้องรับใช้มันอีก  อย่างเช่นตอนนี้ ถึงเวลาให้อาหารเย็นมันแต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มา  จะทำไม่สนใจก็ไม่ได้เดี๋ยวนายแม่รู้ว่าลูกรักคุณเธอยังไม่ได้ทานอาหารจะกริ้วแล้วโบกกระหม่อมผมได้   หึ่ย ลำบากกูจริงจริ๊ง


    “ลื้อจะออกไปไหนน่ะ อาอันโทนิโอ้”  อาม่าที่แก่จนหัวขาวโพลน  เดินถือโบกพัดมาถามผมที่กำลังจะเปิดประตูร้านออกไปตามหานังแมวแสบ มาเรียฟิเซ๊นนน  สุดที่รักของคุณนาย

    “อั๊วะ จะออกไปหานังเซ่นไหว้ซะหน่อย  ไม่รู้มุดหนีออกไปแอ๊วแมวตัวผู้ที่ไหนหรือเปล่า  เรียกให้มากินข้าวก็ไม่มา”


    “ไอย๊า  มาเรียฟิเซ่นหายไปหรอ  งั้นลื้อรีบไปตามหานางเร็วๆเลยน่า  หาไม่เจออย่าเสนอหน้ากลับมา เข้าใจไหม  อาอันโทนิโอ้”


    “นี่อาม่าห่วงแมวมากกว่าอั๊วะอีกหรอ”  ผมทำหน้าน้อยใจสุดชีวิต  ตั้งแต่มีนังแมวนั้นเข้ามาใครๆก็ไม่รักผม  กระซิกๆ  ชีวิตเปลี่ยนเพราะแมวตัวเดียวแท้ๆ  จากลูกชายร้านทองกลับกลายเป็นบ่าวทาสรับใช้ไปซะแล้ว


    “เออสิวะ  ลื้อตัวใหญ่ยังกับควายทมิฬ  หน้าก็เถื่อนยังกับโจรปล้นแบงค์ แถมยังดำผ่าเหลาผ่ากออีก มีอะไรให้ต้องน่าห่วง ห่ะ  อั๊วะเสียดายชื่ออันโทนิโอ้ที่ม๊าลื้อตั้งให้จริงๆไม่ได้เข้ากับหนังหน้าเลย พับผ่าสิ!” 


    “แรงอ่ะ อาม่า”  ผมเบะปากทำเป็นน้อยใจไปอย่างงั้น   ทั้งที่จริงผมโคตรจะภูมิใจกับรูปร่างสมชายชาติชาตรีนี้สุดๆอ่ะ อาม่าไม่รู้หรอกกว่าผมจะได้กล้ามแน่นๆ ซิกแพกเป็นลอนๆแบบนี้ต้องออกกำลังกายหนักแค่ไหนกินไก่หมดไปตั้งกี่ฟาร์ม  ไหนจะสีผิวที่ผมลงทุนไปนอนตากแดดบนดาดฟ้าชั้น 4 ของบ้านทุกวันกว่าได้สีแทนเข้มนี้มา  ส่วนชื่อสุดเท่ ‘อันโทนิโอ้’ ไปที่ไหนใครก็ต้องถามว่าใครตั้งให้เท๊เท่ นี่ผมก็ภูมิใจกับชื่อนี้เหมือนกัน ม๊าบอกว่าสมัยยังสาวแกชอบดาราฝรั่งที่ชื่ออันโทนิโอ้มาก ตอนท้องผมก็นั่งมองรูปตาคนนี้ทุกวันเพราะอยากให้หล่อเหมือนเขา  แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาหรอกครับ เพราะผมเชื่อว่าผมหล่อกว่า โฮ๊ะๆๆๆ


    ส่วนหน้าตาผมก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไปแต่จะเท่หน่อยก็ตรงหางคิ้วที่เป็นรอยแผลเป็นนูนขึ้นมายาวสัก 1 นิ้วครึ่งได้   แผลนี้ได้มาจากไปยกพวกตีกับเด็กอาชีวะมาครับ  โดนปลายมีดของพวกมันจะฟันเข้าที่หน้าแต่หลบทันเลยโดนที่หางคิ้วแทน   และเพราะเกือบตายหรือหน้าเสียหล่อ  คนทั้งบ้านเลยยืนยันว่าถ้าผมเรียนจบเทคนิคต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น  ถ้าขืนดื้อไม่ทำตามโดนตัดออกจากกองมรดกแน่นอน  ผมก็เลยต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้  คือแบบก็รักเพื่อนนะแต่ก็รักมรดกมากกว่าอ่ะ


    “ไปๆ อย่ามายืนเฉยๆเสียข้าวสุกไปตามหามาเรียฟิเซนให้เจอ เร็วเข้า”   อาม่ารีบโบกมือไล่ผมออกจากร้านอย่างร้อนใจ   แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลกจริงๆนะเว้ย  เริ่มจากครองครอบครัวผมสำเร็จไปแล้วล่ะตอนนี้


    จับไปปล่อยตอนนี้ทันไหมนะ เหอะ!


    แต่ถ้าขืนทำอย่างงั้นจริงมีหวังม๊าผมตัดออกจากกองมรดกแน่นอน เลยได้แต่พาตัวเองเดินตามหาแมวไปตามทางเท้าริมถนนที่คนพลุกพล่านเพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว  อีกอย่างคือร้านทองของม๊าอยู่ใกล้กับตลาดด้วยคนเลยเยอะเป็นพิเศษ  แล้ววันนี้ผมจะเจอนังเซ่นไหว้ไหมวะเนี่ย...


    เดินหาจนทั่วตลาด  ถามป้าร้านขายของที่คุ้นเคยกันก็ไม่มีใครเห็นนังเซ่นไหว้สักคน  ถามไอ้แมวหนุ่มฝาแฝดการ์ฟิลด์กิ๊กนังเซ่นไหว้ตัวที่1000 ก็ไม่ยอมตอบร้องแต่ ง๊าววว ง๊าววว อยู่นั่น  ผมเลยต้องเดินหาไปเรื่อยๆจนเมื่อยน่อง


    นังเซ่นไหว้นะนังเซ่นไหว้  เจอเมื่อไหร่กูจะขย้ำพุง เอาจมูกฟัดๆๆให้หายแค้นเลย  คอยดู๊!



    “อึ๊ออออ อึ๊อออออ อย่างนั่นแหละ เบ่งอุนจิเข้านะ  เราเอาทิชชู่รองให้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลอะนะเจ้าแมวน้อย สู้ๆ”


    “แง๊ววว”


    เสียงนิ่มๆดังออกมาจากหลังมุมตึกทางเข้าซอยย่อยๆ  ทำให้ผมสนใจ ก็นะเกิดมาเพิ่งเคยได้ยินคนมาให้กำลังใจแมวอึ  แถมเสียงแง๊วๆนั่นมันก็คุ้นหูผมสุดๆ  ขอแอบดูหน่อยเถอะวะเพื่อจะเป็นนังเซ่นไหว้


    ว่าแล้วผมก็ทำเป็นตีเนียนไปยืนพิงผนังร้านแว่นรวยเจริญริมสุดก่อนจะยื่นหน้าออกไปมอง  ก็เห็นนังเซ่นไหว้กำลังเบ่งอึตัวโก่ง ใส่บนทิชชู่สีขาวที่วางรองไว้  โดยมีเด็กผู้หญิงตัวขาวโป๊ด  ผมยาวฟูเป็นลอนธรรมชาติมัดผมครึ่งหัวทำเป็นจุกกำลังนั่งกำมือชูขึ้นเชียร์นังเซ่นไหว้อยู่   และเมื่อนังเซ่นไหว้ทำภารกิจเสร็จสิ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก็


    “เย้  เก่งจังเลย  แมวน้อยเก่งสุดๆเลยอึเป็นที่ด้วย ฉลาดจัง”  น้องเขายิ้มหน้าแป้นตบมือแปะๆแบบชื่นชมนังเซ่นไหว้ซะเหลือเกิน   คือมันก็ธรรมดาปะวะ  ผมฝึกมันมากับมืออ่ะนะ  แมวก็ต้องฉลาดเหมือนคนเลี้ยงงี้แหละ  โด่ว  แต่ก็แปลกที่มันมาอึต่อหน้าคนแปลกหน้าแบบนี้  หรือนังเซ่นไหว้ก็ถูกชะตาน้องเขาเหมือนกับผมวะ


    “แมวน้อยรอเราก่อนนะ  เดี๋ยวเราเก็บอึไปทิ้งก่อนแป๊บนึง  ถ้าใครมาเหยียบเข้าจะแย่เอาเนอะ”  เจ้าของเสียงนุ่มพูดเสร็จก็กระวีกระวาดหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาโป๊ะลงไปบนกองอึนังเซ่นไหว้ก่อนจะจัดการห่ออย่างดีแล้วถือเอาไปทิ้งลงถังขยะ


    ผมเองก็ได้แต่มองทุกการกระทำอย่างประทับใจ  มันแบบเชี่ยเอ๊ย  ทำไมน่ารักจังวะ  แมวตัวเองก็ไม่ใช่แต่กลับอ่อนโยนต่อนังเซ่นไหว้มากๆ  แถมเก็บอึไปทิ้งอย่างไม่รังเกียจอีกโคตรมีความรับผิดชอบต่อสังคมอ่ะ  คือที่บ้านต่อให้ทุกคนจะรักนังเซ่นไหว้ยังไงแต่ก็ไม่มีสักคนที่ยอมทำหน้าที่เก็บอึนังเซ่นไหว้ครับ  เป็นผมนี่แหละที่ต้องคอยตามเก็บให้ตลอดถ้านังเซ่นไหว้ไปอึที่อื่นนอกจากกระบะทรายแมวในห้องน้ำมัน   เจอแบบนี้บอกตรงๆว่า ‘ตกหลุมรัก’ เลยล่ะครับ


    “แง๊ววว”  พอน้องเขาเดินกลับมาหานังเซ่นไหว้  นังแมวตัวแสบก็ใช้มารยาฉบับเดียวกับที่หลอกผมให้เก็บไปเลี้ยงเป๊ะใส่เลยทันที  ทั้งร้องอ้อน  เอาตัวถูแข้งถูกขา  มันน่าจับมะเหงกใส่ซะทีนึง มีตูอยู่แล้วยังจะอยากได้เจ้านายใหม่อีกนะเว้ย


    “ขี้อ้อนจังเลยน้า  เสียดายจังที่เราเลี้ยงแมวน้อยไม่ได้  พี่สาวเราแพ้ขนสัตว์แน่ะ แต่แกก็น่ารักซะจริงๆแถมเป็นตัวเมียด้วย”  น้องผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรงุบงิบคนเดียวเอามือลูบหัวเกาคางนังเซ่นไหว้อย่างเอาใจ  คงอยากได้มันไปเลี้ยงจริงๆ   รับแมวตัวนี้ไปเลี้ยงแถมฟรีเจ้าของนะคร้าบ หึหึหึ


    “เย็นแล้ว เราต้องกลับบ้านแล้วล่ะ แต่เดี๋ยวจะเข้าไปซื้ออาหารแมวในเซเว่นให้กินก่อนนะเพื่อแกหิว”  ใจดีจังวะ  มีน้ำใจซื้ออาหารให้แมวกินอีก  น่ารักแถมใจดีอย่างงี้  หัวใจพี่อันโทนิโอ้จะละลายตาม


    จีบ! แบบนี้ต้องจีบ!


    ครืดดดด  ครืดดดด


    สายจากม๊าเข้าพอดี  ผมเลยต้องรีบกดรับสายก่อนอย่างไว  ขืนรับช้าเกิน 3 ตื้ด คุณนายแกจะบ่นจนหูชาอีก  แต่เวลาผมโทรหานี่รอไปเถอะครับ  กว่าจะเดินไปหาโทรศัพท์กว่าจะยื่นโทรศัพท์ให้ไกลพอดีกับสายตา กว่าจะเล็งว่าชื่อใครโทรมา  กว่าจะกดรับได้  มาม่าแทบอืดอ่ะ  บ่นกลับไม่ได้ด้วยเพราะดันเกิดเป็นลูกเขา เหอๆ


    (เจอมาเรียฟิเซ่นรึยัง อันโทนิโอ้)


    “เจอแล้วม๊า  เห็นมันเดินอยู่เนี้ยจะเข้าไปจับล่ะ กำลังเดินตามตูดมันอยู่”  ระหว่างที่ผมตอบน้องคนน่ารักก็เดินผ่านหน้าผมไปเซ่เว่นที่อยู่อีกด้านนึงของถนนเข้าซอย   


    เห็นไกลๆก็ว่าน่ารักแล้ว  แต่พอเห็นใกล้ๆระยะ 4 เมตรแค่ถนนกั้นนี่ก็หัวใจแทบระเหยเพราะเจอความงดงามกระแทกสายตาแรงมาก   แมร่งงงงง  น่ารักเชี่ยๆ  แบบตัวสูงคือสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปแต่ก็เตี้ยกว่าผมอยู่ดี  หุ่นดีไม่ผอมบางมีกล้ามเนื้อดูเป็นผู้หญิงเฮลตี้โคตรสเป็คเลยครับ ผิวขาวโอโม่มาก  โครงหน้าชัดคือออกแนวเหมือนลูกเสี้ยวฝรั่งอ่ะครับ ตาโต จมูกก็โด่ง ผมสีช็อคโกแลต แต่งตัวก็เรียบร้อยสมวัย  คือน้องเขาใส่เสื้อยืดสีดำคอกลมสกรีนลายตรงอกที่บ่งบอกถึงเสื้อแบรนด์ดังกับกางเกงยีนส์ขาห้าส่วน รองผ้าใบสีขาว  ดูเหมือนจะธรรมดา แต่รวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน   นี่ผมหันมองตามจนคอแทบล็อค...แต่เสียดายอย่าง   


    น้องเขานมแบนไปหน่อย


    (โหลๆ อาอันโทนิโอ้  ฟังม๊าอยู่หรือเปล่าห่ะ)


    “ห่ะ ฟังๆๆ ดิม๊า”


    (เออ รีบพามาเรียฟิเซ่นกลับมาไวๆ  ถ้าอีก 5 นาทียังไม่ถึงร้านไม่ต้องมากินข้าวเย็น เข้าใจไหม อันโทนิโอ้!)


    “รู้แล้วๆ อั๊วะจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละม๊า”   จบกันไอ้ที่คิดว่าจะรอน้องเขาซื้อเสร็จแล้วจะไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของนังเซ่นไหว้  จากนั้นก็กะจะขอไลน์เอาไว้ติดต่อส่งรูปนังเซ่นไหว้ให้น้องเขาดูซะหน่อยเพราะดูเหมือนว่าจะชอบนังเซ่นไหว้มาก  หึ่ยยยยย  ม๊านะม๊าทำอั๊วะเสียแผนหาแฟนหมด  นานๆจะเจอคนที่ถูกใจแบบนี้!



    สุดท้ายวันนั้นผมก็ทำได้แค่เข้าไปอุ้มนังเซ่นไหว้แล้วรีบวิ่งกลับร้านให้ทันเวลาตามที่ม๊ากำหนด


    น้องตัวขาวจ๋า  ถ้าเรามีบุญวาสนาต่อกันขอให้ได้เจอกันอีกนะจ๊ะ  รับรองคราวหน้าพี่จะจีบน้องมาเป็นแฟนให้ได้   พี่สาบาน!



ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

“เป็นอะไรของลื้ออีกล่ะ อาโทนี่ ทำหน้าบูดเป็นตูดคิงคองอยู่นั่นรีบๆกินสิวะ เดี๋ยวหายร้อนหมดจะกินไม่อร่อย”  ป๊าผมดุเข้าให้เมื่อผมนั่งเอาแต่นั่งใจลอยใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวไปถ้วยไปมาเพราะใจยังเอาแต่นึกถึงน้องตัวขาวคนนั้นมาตั้งแต่เมื่อวาน


    “เซ็งอ่ะดิป๊า  อุตส่าห์เจอสาวถูกสเป็คทั้งที  กะจะเข้าไปจีบซะหน่อยม๊าดันสั่งให้อั๊วะรีบกลับบ้าน  อดขอเบอร์น้องเขาไว้เลย เซ็ง!”


    “อะไรกัน อาอันโทนิโอ้ ยังไม่ทันขึ้นมหาวิทยาลัย ลื้อริอาจจะแฟนแล้วรึ แก่แดดจริงๆไอ้ลูกคนนี้นิ  อาตี๋ อาหมวย พวกลื้อห้ามทำตัวแก่แดดแบบพี่ลื้อเด็ดขาดน่า  ไม่งั้นอั๊วะจะตัดออกจากกองมรดกจริงๆด้วย”   ม๊าบ่นแล้วก็ขู่เหล่าน้องชายน้องสาวของผมด้วยคำขู่เดิมๆตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน  แต่ถึงจะซ้ำซากยังไงมันก็ทำให้พวกเรากลัวอยู่ดี   แหม  มีใครไม่กลัวอดตายกันบ้างล่ะครับ  น้องสาวผมอาหลิงที่อยู่ชั้นม.3 โรงเรียนหญิงล้วนก็ได้แต่พยักหน้ารับไปตามระเบียบ  ส่วนอาฟู่ฟู่ ลูกหลงคนสุดท้องที่อยู่แค่ชั้นอนุบาล 1 ก็ได้แต่มองงงๆพร้อมกับกัดน่องไก่เข้าปากไปอย่างไม่รู้เรื่อง


    อย่าแปลกใจนะครับว่าทำไมน้องผมชื่อโคตรจีนต่างจากผมสุดๆ  เพราะว่าตอนมีน้องคนที่ 2 ป๊าก็บอกว่าคราวนี้ต้องให้ป๊าเป็นคนตั้งบ้างไม่งั้นป๊าไม่ยอม  แล้วป๊าผมก็ชอบหลินจือหลิงมากกกก  สาวในอุดมคติป๊าประมาณนั้นเลยตั้งชื่อว่า จือหลิง แล้วก็ให้ม๊ามองรูปหลินจือหลิงทุกวันเช่นกันไม่ให้น้อยหน้า  การมีลูกชายคนหญิงคนก็ถือว่าสมบูรณ์สุดๆแล้ว  แต่ป๊าดันยังมีน้ำยาที่คาดว่าน่าจะหยดสุดท้ายแล้วจริงๆ ม๊าเลยมาตั้งท้องอีกตอนผมอยู่ ม.2 คราวนี้อาม่าเลยเอามั้งขอเป็นคนตั้งชื่อหลานคนที่ 3 เอง แล้วอาม่าก็มีพระเอกในดวงใจคือ ฟู่เซิง เลยตั้งให้เป็นชื่อจริง ส่วนชื่อเล่นให้เรียกว่าฟู่ฟู่  เพราะฟู่ในภาษาจีนแปลว่าร่ำรวยครับ เรียกฟู่ฟู่จะได้รวยๆๆดับเบิ้ลรวยไปอีกตามเคล็ดที่อาม่ามโนเอาเอง  เหอๆๆ  นี่ถ้าอาม่าเอาชื่อดาราตลกที่ชอบแบบ เด๋อ ดอกกระถิน  ปานนี้ผมคงมีน้องชื่อ เด๋อเด๋อ เด๋อดั้งเดอะ เด๋อดั้งเดอะ เด๋อเด๋อดั้งเดอะเดอะ  ไปแล้วล่ะครับ - -


    “แต่เขาน่ารักมากเลยนะม๊า  มันแบบถูกใจใช่เลยมากอ่ะ  อั๊วะชอบเขามากจริงๆ”


    “ชอบมากแค่ไหน ม๊าก็ไม่ให้ลื้อมีแฟน ลื้อต้องเรียนให้จบก่อน เกิดไปมีแฟนแล้วทำเขาท้องขึ้นมา ลื้อจะมีปัญหาไปทำงานอะไรมาเลี้ยงลูกลื้อห่ะ อาอันโทนิโอ้” ม๊าบ่นไปก็ใช้ตะเกียบซุยข้าวเข้าปากไปอย่างไม่ให้ต้องเสียเวลามาด่าผมอย่างเดียว  เพราะต้องรีบไปเปิดร้าน


    “ยากอะไร  ก็ขโมยทองในร้านไปขายสัก 100 เส้นอั๊วะก็มีตังค์ล่ะ”   ไงล่ะไอเดียผมโคตรบรรเจิด  ของๆแม่ก็เหมือนของๆลูกนั่นแหละเนอะ


    “ป๊า  ดูลูกลื้อสิดูความคิดสั่วๆของมันได้มาจากใครกันห่ะ  นี่ป๊าสอนลูกป๊ายังไงห๊า”   


    “ตบปากตัวเอง 3 ทีแรงๆเดี๋ยวเลยนะอาโทนี่  พูดจาไม่เป็นมงคลจริงๆ เร็ว!”  ป๊าหันมาด่าบ่นอีกคน ผมก็เลยต้องทำตามตบปากตัวเองไป 3 ที เซ็งๆๆๆ ทำไมความรักของวัยหนุ่มสาวต้องถูกสกัดตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยวะ  วัยรุ่นเซ็ง  แล้วเหมือนนังเซ่นไหว้จะเซ็งตามเหมือนกันเลยมาถูๆขาผมก่อนจะนอนหมอบอยู่ข้างๆเท้า


    ตอนนี้ก็คงเหลือแต่มันที่ดูจะเข้าใจผมสุด  ผมเลยอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ก่อนจะระบายสารทุกข์สุกดิบกับมันเพียงตัวเดียวกลางวงโต๊ะอาหาร


    “เอ็งก็เซ็งเหมือนอั๊วะใช่ไหมนังเซ่นไหว้  นานๆจะเจอคนที่ใจดีกับเอ็ง  นั่งให้กำลังใจเอ็งตอนอึ แถมเก็บอึเอ็งไปทิ้งถังขยะอย่างไม่รังเกียจอีก  นี่ถ้าม๊าไม่รีบตามนะเอ็งคงได้กินอาหารเม็ดที่น้องเขากำลังเดินเข้าไปซื้อให้เอ็งแล้วล่ะเซ่นไหว้เอ่ย   วาสนาเอ็งมันน้อยพอๆกับข้าเลยว่ะ  ว่าไหมหึ?”  ผมพูดเสียงเศร้าๆถูตัวนังเซ่นไหว้อย่างน้อยใจในโชคตะชาซะเหลือเกิน   นังเซ่นไหว้ก็โคตรรู้งานทำหูลู่ตาละห้อยและปล่อยตัวซบไปกับแขนผมอย่างหมดอาลัยตายอยาก   คือบอกเลยว่าถ้าอาเฉลิม ภัคดีวิจัย มาเห็นการแสดงขั้นเทพของนังเซ่นไหว้ ต้องเอามันไปเป็นนักแสดงแน่นอน ไอ้อันโทนิโอ้คอนเฟิร์มมมม


    “ไม่รู้ชาตินี้จะได้เจอคนแบบนั้นอีกหรือเปล่าเนอะ เซ่นไหว้เนอะ”  ผมยังคงตีบทเศร้าเคร้าขนแมวเอาหน้าไปซบกับหัวนังเซ่นไหว้แบบคนที่เข้าอกเข้าใจกันซะเหลือเกิน


    “แง๊ววว”  นังเซ่นไหว้ก็ส่งเสียงเศร้ากลับมาเช่นกัน  อุ๊ว่ะ! ทำไมมึงรู้งานแบบนี้วะ เอาออสก้าไปเลยเถอะถ้าจะแอคติ้งดีขนาดนี้


    “โถ  มาเรียฟิเซ่น  อย่าทำตัวเหมือนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ซี้  มาม๊าใจจะสลายตามไปด้วยเลยนะรู้ไหม”  ถ้าอยากรู้ว่าม๊าเสียใจแค่ไหนก็คิดตามนะครับ  ม๊ารีบวางตะเกียบที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยลุกมาหานังเซ่นไหว้ทันทีก่อนจะทำหน้าใจสลายตามทั้งพูดปลอบทั้งเอามือลูบหัวพรมจูบไปทั่วหน้านังเซ่นไหว้


    ถามว่าเคยทำแบบนี้กับลูกแท้ๆตัวเองไม๊?


    ตอบเลยว่า ไม่เคยยยยยยย สักครั้งเดียวก็ไม่เคย  โถถังชีวิตลูกชายคนโตที่น่าจะเป็นที่รักที่สุดของบ้านครอบครัวจีนแต่ดันแพ้นังแมวแสบที่เก็บมาเลี้ยงราบคาบ -*-


    “แง๊วว”  นังเซ่นไหว้ก็ยังทำไม่หือไม่อื้อกับม๊าแถมเอาหน้าซุกหนีเข้าหาตัวผมเหมือนจะหลบหน้าม๊าแบบน้อยใจเต็มที่ เซ่นไหว้ยังไม่พร้อมจะมองหน้าคนใจร้ายที่แยกคนน่ารักไปจากเซ่นไหว้ได้ประมาณนั้น...แล้วนี้กูกลายเป็นเครื่องแปลภาษาแมวไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี้ยะ


    “มาเรียฟิเซ่น อย่าหลบหน้าม๊าแบบนี้ซิ ม๊าใจจะขาดแล้วน้า  หันมาให้ม๊าเห็นหน้าหน่อย”  ม๊าเบ้ปากตาแดงอย่างสุดจะกลั้นน้ำตาริมฝีปากสั่นระริกๆ10ริกเตอร์  พลางจีบนิ้วไปดึงผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดมาสะบัดสองสามทีก่อนจะค่อยๆเอาไปซับน้ำตาเบาๆเหมือนนางเอกงิ้วก็ไม่ปาน...เอ่อ  ตอนสมัยอาม่ายังสาว ม๊ายังเป็นเด็กเคยเปิดคณะละครงิ้วมาก่อนจะเปิดร้านทองน่ะครับ  เลยแสดงเก่งกันทั้งบ้านแบบเชื้อไม่ทิ้งแถว แม้แต่แมวก็ยังซึมซับไปด้วย


    แต่นังเซ่นไหว้ก็ยังไม่ตอบแถมเล่นใหญ่ดิ้นหลบไม่ให้ม๊าจับตัวอีก  มึงสุดยอดมากเซ่นไหว้เอ๋ย เดี๋ยวอั๊วะจะซื้อกัญชาแมวมาให้ซัก 10 ต้นเลยถ้า...


    “ก็ได้ๆ ม๊ายอมลื้อแล้วมาเรียฟิเซ่น  ถ้าแกชอบเขามากม๊าก็จะตามใจแกจะชอบเขาเหมือนที่มาเรียฟิเซ่นชอบก็ได้  ม๊าไม่ขัดขวางอาอันโทนิโอ้กับเขาแล้วล่ะ  หันหน้ามาหาม๊าหน่อยนะ ลูกรักของม๊า”  ไชโยยยยย  สำเร็จแล้วเฟร้ยยย  ผมดีใจจนแทบจะโยนนังเซ่นไหว้ขึ้นไปติดเพดาน  ถ้าไม่ติดว่าม๊าอยู่ใกล้ๆละก็นะ  เอิ๊กๆๆ  บอกเลยว่าฉายานังเซ่นไหว้ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ 555+  บนอะไรนังเซ่นไหว้ประทานให้ได้จริงๆ ผมพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว


    นังเซ่นไหว้หลังจากได้ยินก็โผล่หน้ามามองแบบ ม๊าพูดจริงหรอ ม๊าไม่ได้โกหกหนูใช่ไหม พูดแล้วห้ามคืนคำนะม๊า  ไม่งั้นหนูจะเสียใจมากๆถ้าม๊าโกหกอะไรงี๊     เออผมก็บ้าคิดแทนแมวเนอะ  มันอาจจะแค่มองเฉยๆก็ได้


    “ม๊าพูดจริงๆ มาเรียฟิเซ่น ม๊าไม่โกหกหนูหรอก  อาอันโทนิโอ้ถ้าลื้อเจอน้องเขาอีก  ลื้อลุยหน้าจีบได้เลยนะเต็มที่ ม๊าอนุญาต  เห็นไหมมาเรียฟิเซ่น ม๊าอนุญาตให้อาอันโทนิโอ้ไปจีบเขามาเป็นแฟนแล้ว  หนูพอใจหรือยัง ห๊า”  ป๊าดดด  ม๊าก็แปลภาษาแมวเหมือนกับผมเลยแห๊ะ  นึกว่าผมจะบ้าคิดไปเองคนเดียวซะอีก  แต่เรื่องนั้นช่างมัน  เพราะตอนนี้ผมโคตรรรรรรอารมณ์ดี ^^


    “ถ้าลื้อหายงอนก็มาให้ม๊าอุ้มเร็ว มาเรียฟิเซ่น มามะ”  แล้วนังแมวแสบก็กระโดดออกจากตัวผมไปสู่อ้อมกอดของแม่กาอย่างม๊าทันที  ผมก็ปล่อยให้นังเซ่นไหว้กับม๊าออดอ้อนกันไป แล้วลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย  คนกำลังมีความรักก็งี้แหละครับ  กินอะไรก็อร่อยไปซะหมด อยากกินไปซะทุกอย่าง


    “เฮ้ย ตี๋เล็ก น่องนี้อั๊วะขอนะ เป็นน้องต้องเสียสละให้พี่รู้เปล่า”  ผมพูดแล้วฉกน่องไก่ที่ถูกฟู่ฟู่กัดไปแล้วหนึ่งคำมากินต่ออย่างไม่รังเกียจ


    ผั๊วะ!


    แต่ยังไม่ทันได้กลืนก็ถูกป๊าโบกเข้าที่กะโหลกอย่างจัง


    “เอาคืนอาฟู่เดี๋ยวนี้ ไอ้โทนี่!”  ป๊าดุเสียงดังก่อนจะกระชากน่องไก่ออกจากมือผมเอาไปให้อาฟู่ที่กำลังเบ้ปากเตรียมบรรเลงเสียงโอเปล่าลั่นบ้านแน่นอน  ถ้าไม่ถูกป๊าเอาน่องไก่ยัดปากคืนซะก่อน  โด่ว  อดชมการแสดงลูกคอ 10 ชั้นของอาฟู่เลย


    “อั๊วะต้องกินเยอะๆจะได้มีแรงไปจีบสาวนะป๊า ฟู่ฟู่มันยังเด็กจะให้กินอะไรเยอะแยะ โถ”


    “ถ้ายังไม่หุบปากเดี๋ยวโดนฝ่ามือพิฆาตอีกแน่นอน  ลองไหมห่ะ” 



    สุดท้ายผมก็เลยต้องหุบปากไปกินอย่างอื่นแทน  พลางนึกถึงน้องตัวขาวไปว่าจะจีบยังไงดี ... สงสัยว่าต้องเอานังเซ่นไหว้ไปล่อแล้วนะ หึหึหึ













    แต่วันแล้ววันเล่าผมก็ไม่เคยเจอน้องเขาอีกเลย  ไปยืนคอยที่ทางเข้าซอยตั้งแต่เช้าก็แล้ว   ยืนตากฝน ตากแดดรอก็แล้ว   อุ้มนังเซ่นไหว้กวักเรียกก็แล้ว ทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ผมก็ชักทำใจว่าเราคงไม่ใช่เนื้อคู่กันจริงๆ  คงเกิดมาแค่ได้พบแต่ไม่มีบุญได้คบกันต่อ  เฮ้ออออ  อันโทนิโอ้โตรเซ็ง  เลยพากันหงอยทั้งคนทั้งแมว...


    แต่ก็เหงาได้ไม่นานหรอกครับ  เพราะไม่กี่วันต่อมาผมก็ไปรายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง  เห็นเรียนจบเทคนิคแบบนี้ผมก็สามารถเข้าคณะวิศวะได้นะคร้าบ  แบบว่าบุญเก่ายังพอมี  คือผมเคยไปแข่งหุ่นยนต์ได้รางวัลชนะเลิศมา 3 ครั้งครับตอนเรียนอยู่เทคนิค  ผลงานเลยเข้าตาอยู่บ้าง พอมีโควตาเข้ามาผมเลยได้รับเลือกให้เข้าเรียน แบบว่าเกรดเฉลี่ยมันพอดีเป๊ะๆกับเกณฑ์ที่เขากำหนดน่ะครับ   ไม่ใช่ว่าผมเรียนเก่งอะไรหรอกนะแต่อาจารย์ที่นี่เพื่อนพ่อผมทั้งนั้นเลยเกเรมากไม่ได้เดี๋ยวโดนฟ้อง  อย่างน้อยก็คือต้องมีงานส่งครบทุกวิชา โดดเรียนไม่เกิน 3 ครั้งตามที่เขากำหนดน่ะครับเลยพอรอดตัวมาได้


    หลังจากรายงานตัวเสร็จ ถ่ายบัตรนักศึกษาลงฐานข้อมูลมหาวิทยาลัย รับใบกำหนดการรับน้องและกำหนดการบลาๆๆ เสร็จ ผมก็เดินตัวปลิวออกมาหาซื้อน้ำแดงแฟนต้ากินให้ชื่นใจ   พลางกวาดสายตามองอาหารตาที่เดินผ่านไปมาให้กระชุ่มหัวใจเล่นๆ  มหาวิทยาลัยนี้มีแต่คนสวยๆสมคำล่ำลือจริงๆให้ตายเถอะ  บางคนนี่นึกว่าหลุดออกมาจากนิตยสาร สวยเกิ๊น  ผมล่ะนึกถึงไอ้พวกเพื่อนผมที่บอกไว้ว่า 


    ‘ถ้ามึงเข้ามอนั้นได้  มึงต้องจีบหลีดมอมึงมาอวดพวกกูให้ได้นะโว๊ย’


    แหม่ะ  แค่คิดภาพผมได้ควงสาวมหาวิทยาลัยนี้ก็ยืดอกโชว์ได้แล้วล่ะ  ไม่ต้องถึงกับเป็นหลีดหรอก  อีกไม่กี่วัน  กระผมอันโทนิโอ้  ก็จะได้เป็นเด็กปี 1 แล้วโว๊ยยยยยยยยยยยย  เฟรชชี่อ่ะเฟรชชี่ โฮะๆๆๆ





    “พี่ค่ะ  โทษนะคะ ตึกรายงานตัวนักศึกษาใหม่ไปทางไหนอะคะ”


    “....”  เขาไม่ได้คุยกับผมใช่ไหมวะ  เพราะผมก็ปี 1 เหมือนกันนา  ใส่ชุดเครื่องแบบนักศึกษามาเต็มยศด้วย









มีต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0





จึก จึก


    “พี่  ตอบหน่อยเถอะคะ  หนูกลัวจะไม่ทันเวลา”   ชัดๆ เต็มๆ สะกิดแขนผมขนาดนี้แล้ว  ผมเองเลยได้แต่กล้ำกลืนน้ำแฟนต้าปนความเจ็บช้ำที่ถูกมองว่าเป็นรุ่นพี่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน กลืนเอื้อกๆเข้าไปแล้วหันไปตามน้องแว่น


    “เดี๋ยวเดินตรงไปตามทางแล้วเลี้ยวซ้ายตรงตึกหน้านะครับ  จะเห็นนักศึกษาเยอะๆออกันอยู่หน้าตึก ตึกนั้นแหละครับ” 


    “ขอบคุณมากเลยค่ะพี่  งั้นหนูไปแล้วนะคะ”  เธอโบกมือบ๊ายบายก่อนจะรีบจ้ำเดินไป


    ก็แค่ผู้หญิงสายตาไม่ดีล่ะหว๊า  เขาใส่แว่นหนาขนาดนั้นอาจจะมองเราแก่กว่าความเป็นจริงไปก็ได้  อย่าสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปสิเว้ย!



    โอ๊ะ  มีผู้หญิงกำลังเข็นลังอะไรซักอย่างหลายลังมาบนรถเข็นแน่ะ  ตัวก็เล็กนิดเดียว  ผมที่เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวเลยเดินเข้าไปอาสาช่วยเข็นให้


    “มาครับเดี๋ยวผมช่วยเอง”  ผมบอกเธอ  เธอก็หันมามองงงๆแต่ก็ส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณ


    เนี๊ยะ  หน้าตาหล่อแล้วยังชอบทำตัวหล่ออีกอ่ะผม  เฮ้อเพอร์เฟ็คอะไรเช่นนี้ว่ะคนเรา *_*


    “เดินนำทางเลยครับ  ผมเข็นคนเดียวสบายมาก”  คิดจะแมนก็ต้องแมนให้สุดฟิตกล้ามมาเพื่ออวดสาวโดนเฉพาะเลยนะจะบอกให้


    เธอก็ยิ้มนิดแบบคงจะเขิลไรงี้  เดินนำหน้าผมไป เหงื่อยังไม่ทันเปียกก็ถึงหน้าคณะเศรษฐศาสตร์


    “เข็นไว้ตรงนี้แหละคะ”  เธอบอกเสียงหวาน


    “ได้เลยครับผม” ผมก็จัดการจอดตรงตามตำแหน่งที่เธอบอก  เสร็จแล้วก็ส่งยิ้มที่คิดว่าที่สุดไปให้เธอ


    “ขอบคุณมากๆนะคะรุ่นพี่  ใจดีมากเลยอุตส่าห์เข็นมาให้ตั้งไกล  พี่แข็งแรงมากอ่ะ พี่เรียนคณะไหนหรอคะ  วันนี้ก็มาเปิดซุ่มต้อนรับน้องปี 1 เหมือนกันใช่ม้า  สนุกดีเนอะมีแต่เด็กหน้าใสๆกันทั้งนั้นเลย”   เธอเอ่ยชวนคุยเจื้อยแจ้วอย่างเป็นธรรมชาติ  ผมคงเกือบจะตกหลุมรักเธอแล้วล่ะครับ  ถ้าเธอไม่คิดว่าผมเป็นรุ่นพี่  แถมป้ายที่ห้อยอยู่บนตัวเธอน่ะ....เขียนคำว่า  พี่มิกิปี 3 !!!!


    แม่งเอ๊ยยยยยย  ให้มันได้แบบนี้สิว่ะ



    นี่หน้าผมมันแก่ขนาดนั้นเลยหรอถึงขนาดพี่ปี 3 คิดว่าผมเป็นรุ่นพี่ โอ้มายก๊อดดดดด  อันโทนิโอ้รับความจริงม่ายล่ายยยย T_T



    ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆแล้วบอกไปว่า “ผมมารายงานตัวนักศึกษาใหม่น่ะครับ”  --


   
    “อ..อ้าว...น้องปี 1 หรอเนี้ย  โหตัวใหญ่จังเนอะ แหะๆ 555..5...5” พี่เขาก็ทำเป็นหัวเรอะแก้เก้อไป  ผมเลยรีบขอตัวกลับดีกว่า






    โถ่เว้ยยย  อะไรวะ แต่เล่นกล้าม  ผิวสีแทน  หน้ามีรอยบากแค่นี้มันทำให้ดูแก่ก่อนวัยขนาดนั้นเลยหรอวะเนี้ย   สาวๆสมัยนี้เขาชอบแบบตี๋ขาวแนวเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ใช่ไหมวะ....หรือผมจะกลับไปปล่อยให้ตัวเองขาวเหมือนเดิมดี   แต่กว่าจะได้ผิวสีแทนมาก็ลำบากมากนะกว่าจะได้เพราะช่วงแรกๆมันชอบลอกออกหมดพอเจอแดดแรงๆ  ฮึ่ยยย  แล้วงี้ผมจะหาแฟนไปอวดพวกเพื่อนได้ไหมวะเนี้ย


    ขณะเกาหัวอย่างคิดไม่ตกว่าจะกลับไปตัวขาวเหมือนเดิมดีหรือจะผิวแทนๆแบบนี้ต่อไป  หางตาผมก็เหมือนเห็นแสงออร่าอะไรบางอย่างพุ่งเข้าจนต้องเหลือบไปมอง




    น้องตัวขาว!!!!!




    น้องตัวขาวตัวเป็นๆที่อยู่ในชุดนักศึกษาแบบเดียวกับผมกำลังก้มหน้าและเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า 


    เหยดดดดดด  อย่าบอกนะว่าเรียนมอเดียวกัน  อ๊ากกกกกกกก  พรหมลิขิตชัดๆ



    ผมเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามให้ทัน  พลางคิดแผนการไปว่าจะไปทำความรู้จักยังไงดี  เดินชนดีไหมแต่ก็กลัวจะทำให้เขาล้มจนได้รับบาดเจ็บอีก  เอาไงวะๆๆๆๆ....แล้วอยู่ๆน้องตัวขาวที่เดินไวมากก็หยุดเอาดื้อๆจนผมก็เผลอหยุดตามไปด้วย



    น้องเขารู้ว่าผมเดินตามหรอวะ  งั้นหลบเข้าหลังเสาก่อนล่ะกัน



    หลบเสร็จก็รีบชะเง้อหน้าออกมาดู  ก็เห็นน้องตัวขาวค่อยๆยกขาสูงแล้วก้าวยาวมากๆไปข้างหน้าในก้าวเดียวก่อนจะยืนตรงและหันมามองที่พื้นนิดนึง  น้องเขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปเร่งฝีเท้าเดินต่อไปอีก   สงสารจะมีน้ำเลอะตรงนั้นล่ะมั้ง   


    พอน้องตัวขาวเดินไปผมก็รีบเดินมาตรงจุดนั้นว่ามันเปื้อนอะไร  และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้เผลอหลุดยิ้ม...



    ฝูงมดครับ......ฝูงมดเดียดที่กำลังเดินกันเป็นแถวยาวเพื่อไปขนเศษขนมแคร๊กเกอร์ที่ร่วงบนพื้นอย่างแข็งขัน   โถถัง  แม้แต่สัตว์ที่ตัวเล็กระจิดริ๊ดน้องตัวขาวก็ยังใส่ใจไม่ยอมเดินเหยียบ  โคตรน่าร๊ากกกกกกกก>///< ตกหลุมรักเข้าอีกแล้วอ่ะครับ   แม่ของลูกสุดๆ



    แต่พอนึกขึ้นได้ว่าผมกำลังจะตามจีบน้องเขาอยู่นิหว่าก็รีบเงยหน้าหา  แล้วก็เห็นว่าน้องเขากำลังเปิดประตูขึ้นรถเก๋งแล้วขับออกไปแล้ว    ชวดโอกาสทำความรู้จักกันอีกแล้ว  อันโทนิโอ้โคตรเซ็ง!!!



    แต่ไม่เป็นไรหรอกเว้ย  ยังไงก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  คงได้เจอกันอีก  เพราะถึงจะเห็นไกลๆแต่ผมก็จำได้ว่าเป็นชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันแน่นอนเพราะเสื้อก็แขนยาวเหมือนกัน   เนคไทน์ก็สีเดียวกัน  กางเกงก็สีเดียวกัน.....เดี๋ยวนะ


    เสื้อแขนยาวหรอ?


    เนคไทน์หรอ?


    กางเกง...หร๊อออออ????????



    ไอ้เชี่ย  น้องเขาเป็นผู้ชายหรอวะ!!!!!!!!









    “เป็นอะไรอีกล่ะห่ะ  อาอันโทนิโอ้  ทำหน้าเหมือนหมาโดนเจ้าของเอาไปปล่อยป่าไปได้  วันนี้ไปรายงานตัวเป็นนักศึกษาแล้วแท้ๆแทนที่จะยิ้มดีใจเหมือนคนอื่นเขา  ไอ้ลูกคนนี้นิ”  ม๊าบ่นพลางซุยข้าวเข้าปากเหมือนเดิม  ไม่รู้จะรีบกินไปไหนทั้งที่ร้านก็ปิดแล้วแท้ๆ


    “นั่นสิๆ  แล้วเป็นไง  สาวๆมหา’ลัยสวยไหมว๊า อาอันโทนิโอ้”  อาม่าเอ่ยปากถามอีกคน  มือก็ตักข้าวผสมน้ำซุปป้อนอาฟู่ฟู่ไปด้วย


    “ก็สวยอ่ะอาม่า...”  สวยแต่ไม่ใช่ผู้หญิง

    ผมตอบแล้วเขี่ยข้าวไปมาอย่างเซ็งๆ  นึกแล้วก็เสียดาย  อุตส่าห์พร่ำเพ้อถึงมาเป็นเดือน  นางในฝันกลายเป็นผู้ชายเหมือนผมไปได้ซะนิ  โคตรเศร้า


    “อ้าว  แล้วเจอคนสวยๆทำไมไม่ดีใจว๊า  หรือพวกนั้นสวยสู้ม๊าไม่ได้ใช่ไหม โฮ๊ะๆๆๆๆ”  -*-  ผมได้แต่เหล่ตามองม๊าที่หัวเราะร่วนกับการชมตัวเองจนข้าวที่กินอยู่ในปากกระเด็นไปอยู่ในถ้วยป๊า  ป๊าเองก็คงเห็นเลยได้แต่ค้างมือที่กำลังจะคีบข้าวมากินไว้กลางอากาศ  ก่อนจะวางลงบนถ้วย  แล้วยกแก้วน้ำดื่มแทน


    “เปล่าหรอกม๊า...อั๊วะแค่เซ็งๆอ่ะ  ม๊าจำน้องตัวขาวที่อั๊วะเคยเล่าให้ฟังได้ไหมที่เก็บอึนังเซ่นไหว้ไปทิ้งอ่ะ”   ผมเอ่ยปากเล่าอย่างอดไม่ได้   ปกติบ้านผมมีอะไรก็พูดกันตรงๆอยู่แล้วอ่ะครับ  ป๊าเคยบอกว่ามีอะไรก็พูดก็บ่นกับคนในบ้านพอ  ดีกว่าเอาไปบ่นไปเล่าให้คนนอกฟัง  นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรแล้วอาจจะเอาเรื่องของเราไปเล่าสนุกปากต่อก็ได้  เพราะงั้นบ้านเราเลยมักจะบ่นจะเล่าปัญหากับคนในครอบครัวมากกว่าไปปรึกษาเพื่อนน่ะครับ



    “อ๋อ  จำได้ๆสิ  ทำไมเจอน้องเขาที่มอหรอ”


    ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า   นังเซ่นไหว้ก็สะบัดหางใหญ่เหมือนรับรู้


    “อ้าวก็ดีแล้วนี่หว่า  แล้วลื้อจะทำหน้าเซ็งทำมะนาวดองอะไรว๊า  รีบๆไปจีบน้องเขาซะสิ  มาเรียฟิเซ่นคงอยากเจอจะแย่แล้วใช่ไหมลูก”  ม๊าพูดเสียงหวานท้ายประโยค  นังเซ่นไหว้ก็รีบไปคลอเคลียที่ขาอย่างเอาใจ



    “มันไม่ง่ายอย่างงั้นสิม๊า.....น้องเขา.....เป็นผู้ชาย!”   พอได้พูดความในใจไปผมก็แทบจะปล่อยโฮด้วยความเสียดาย  ทั้งๆที่ตรงสเป็คทุกอย่างแท้ๆ  ทำไมต้องเป็นผู้ชายด้วยยยย


    “เป็นผู้ชายหรอเฮีย”  อาหลิงที่นั่งกินข้าวไปกดโทรศัพท์อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นไปรีบเงยหน้ามาถาม ทั้งที่เงียบมาตลอด


    “เอออ่ะดิ  เฮียโคตรเซ็ง เห็นตอนแรกคิดว่าเป็นผู้หญิงสายเฮลตี้แท้ๆ”


    “ว้าววว  แสดงว่าเขาต้องเป็นผู้ชายหน้าสวยมากๆเลยใช่ไหมเฮีย” ><   ทำไมน้ำเสียงอาหลิงมันตื่นเต้นจังวะ


    “เออ  แต่สวยแค่ไหนก็ผู้ชายเหมือนกับเฮียป่ะล่ะ  ถึงจะชอบมากแค่ไหน เฮียก็ขอบายว่ะ  คงต้องจบความรักครั้งแรกไว้แค่ตรงนี้แล้วล่ะ” Q_Q


    โป๊ก!


    “โอ๊ย  ม๊าอ่ะ  เขวี้ยงแตงกว่าใส่อั๊วะทำไมเนี้ย  มันเจ็บนะ!”  ก็ม๊าเล่นเขวี้ยงแตงกวามาทั้งลูกโดนกลางหน้าผากเต็มๆ


    “อั๊วะแค่อยากวัดดูว่าเสียงมันจะดังไหม  แล้วก็ดังจริงๆแสดงว่าสมองลื้อเนี่ยมันกลวงไงถึงได้คิดอะไรโง่ๆแบบนั้น  นี่ป๊าเลี้ยงลูกยังไงห่ะถึงได้โง๊โง่แบบนี้”  ม๊าหันไปแว๊ดใส่ป๊าที่นั่งกอดอกฟังอยู่เฉยๆ  แต่พอโดนม๊าแว๊ดใส่ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆอารมณ์แบบ  โทษกูตล๊อดดด เรื่องลูกโง่เนี่ย



    “อั๊วะไม่ได้โง่สักหน่อย  ก็เขาเป็นผู้ชาย  อั๊วะเป็นผู้ชายจะคบกันได้ไงเล่า  ฟ้าได้ผ่าพอดี  สังคมไม่ยอมรับอีกตะหาก  นี่อั๊วะคิดการณ์ไกลหรอกถึงเลือกจะหยุดมันไว้แค่นี้”  ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้


    “โห เฮีย  เดี๋ยวนี้สังคมเขายอมรับกันมากขึ้นแล้ว  เดี๋ยวนี้มีคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันตั้งเยอะ  บางคู่ถึงขั้นแต่งงานกันด้วยนะเฮีย  น่ารักมากอ่ะ  ความรักก็คือความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนก็สามารถมีความรักดีๆได้ทั้งนั่นแหละเฮีย”   อาหลิงพูดพร้อมทำหน้าเคลิ้ม  สาบานว่าผมเห็นตาของน้องผมเป็นรูปหัวใจเลยด้วยซ้ำ  อะไรจะขนาดนั้น



    “เห็นไหม  อาหลิงเขายังฉลาดกว่าลื้ออีก  โลกเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  ลื้อยังเอาแต่มุดหัวอยู่ในกะลาอีกหรอว๊า  จะคบเพศเดียวกันม๊าก็ไม่ว่าหรอก  ม๊าเป็นผู้หญิงทันสมัย ขอแค่เลือกคนดีๆเอาที่เข้ากับครอบครัวเราได้ก็พอ อย่าเป็นคนเลว ทำเรื่องเลวๆให้ต้องเสียความรู้สึกแค่นั้นม๊าก็พอใจแล้ว”  ม๊าพูดเล่นเอาผมเกือบจะซึ้ง  ถ้าไม่เห็นว่าม๊าพูดไปดูดหัวปลาไปอย่างเอร็ดอร่อย


    “แล้วอีกอย่างนะ   ม๊าบอกมาเรียฟิเซ่นไว้แล้วว่าลื้อจะพาน้องเขามาเจออีก   ลื้อก็ต้องทำตามที่พูดให้ได้นะเห้ย  อย่าให้ม๊าต้องเสียคำพูด  เข้าใจไหมห๊า”


    สุดท้ายที่พูดดีมาทั้งหมดก็เพราะจะเอาใจแมวสินะ!  ปั๊ดโถ่



    “สู้ๆเฮีย   หลิงเชียร์เต็มที่”  ^^



    “จู้ จู้”  อาฟู่ฟู่ก็เอากับเขาด้วยถึงแม้จะพูดไม่ค่อยชัด  แถมยังชูมาตั้ง 4 นิ้ว แบบว่าทำ 2 นิ้วยังไม่ได้  เห็นความพยายามล่ะเอ็นดูเหลือเกิน   เหม่งน้อยของเฮีย  ว่าแล้วก็ก้มลงไปจุ๊บหัวโล้นๆอย่างหมั่นเขี้ยว 1 ที





    ถ้าคนในบ้านสนับสนุนขนาดนี้  ผมเองก็ควรจะลองจีบสักตั้งสิวะ!!!!





โปรดติดตาม ตอนต่อไป :3123:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ครอบครัวอันน่ารักนะ ตลกดี 55555
พล็อตน่าสนใจดีนะ นึกถึงตอนอันเปลี่ยนตัวเองก็ขำละ 55555

ออฟไลน์ skykick

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
พระเอกมาแนวตลกดี น้องสาวก็สาวกนิยายY อยากรู้ตอนต่อไปแล้วสิ
 :katai4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
บ้านนี้ต้องได้ออสการ์ ฮา

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
น่ารักกกก55555 ตลกตั้งเเต่ชื่อพระเอกล่ะ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อาโทนี่ตลกอ่ะ ฮือออออออ :laugh:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :pigha2: ฮาครอบครัวนี้จัง เป็นบ้านที่มีความสุขมาก เอาใจช่วยอาอันโทนิโอนะ รีบๆจีบน้องเค้าให้ติดล่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ครอบครัวสุขสันต์หรรษาน่าคบ  :กอด1:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


EP.2

อาการกลัวผู้ชาย





    เสียงตีกลองเล่นเพลงรับน้องของแต่ละคณะดังไปทั่วมหาวิทยาลัย   สร้างความครึกครื้นกระตุ้นต่อมเฟรชชี่ในตัวผมสุดๆ  จังหวะมันดีจนผมแทบอยากจะออกสเต๊ปการเต้นบนรถมอเตอร์ไซต์ที่ขับมามอซะกลางถนนในมหาวิทยาลัยเลยจริงๆ



    วู๊ววววววววว  รับน้องเว้ยรับน้อง  ตื่นเต้นว่ะ   ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว  ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาเรียนแล้ว  ตอนผมเห็นรุ่นพี่แถวบ้านเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาออกไปเรียนตอนบ่ายบ้าง เที่ยงบ้าง บางทีก็เย็น  ผมนี่โคตรอิจฉาอ่ะ  เพราะขี้เกียจต้องตื่นเช้า   เพราะงั้นพอม๊าบอกให้ผมต้องเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้นผมเลยไม่มีปัญหานัก  เพราะก็อยากรู้รสชาติของนักศึกษาเหมือนกัน   เกิดมาทั้งทีต้องลองให้ครบทุกอย่างสิว่ะ  อนุบาล  ประถม มัธยม เทคนิค แล้วก็มหาวิทยาลัย  ใช้ชีวิตคุ้มจริงๆ



    ขับตามแผนที่มหาวิทยาลัยที่แคปหน้าจอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน  แบบว่ากลัวหลงทางเพราะมอแม่งโคตรกว้างงงงง   แต่โชคดีที่คณะอยู่ติดทางหลักตรงอย่างเดียวก็ถึง   ผมเลยรีบจอดรถไว้ตรงที่เขาให้จอดมอเตอร์ไซต์  ถอดหมวกกันน็อคเก็บให้เรียบร้อย  เช็คความหล่อจัดทรงผมให้เท่อีกนิดกับกระจกมองข้าง  อุ๊บ๊ะ! หล่ออย่างกับพระเอกหนังแน่ะ



    พอมั่นใจในตัวเอง  ผมเลยก้าวเดินไปอย่างมาดมั่น  ไปยังจุดรับน้องที่กำลังต่อแถวเซนต์ชื่อพร้อมรับป้ายห้อยคอ   จริงๆมันก็แค่กิจกรรมเล็กๆนะแต่เพราะบรรยากาศที่ทุกคนต่างดีใจที่ได้เป็นนักศึกษาของมอนี้  ได้เข้าคณะนี้  ต้องหาเพื่อนใหม่  สังคมใหม่  มันเลยทำให้ยิ่งตื่นเต้นไปกับความแปลกใหม่  ผมเองก็เช่นกัน  เหงื่อซึมฝ่ามือไปหมด  ให้ตายเถอะ



    “ชื่ออะไรคะน้อง”  รุ่นพี่ที่นั่งอยู่เอ่ยถามโดยที่ยังไม่ได้มองหน้าผม



    “ผมชื่อ..”



    “อ้าว  พี่มาดูคณะเรารับน้องหรอคะ  ด้านนู่นเลยพี่ซุ้มศิษย์เก่า  คนที่จบไปแล้วจะนั่งในนั้นค่ะ” ^^




    “.......” -*-    เจ็บแทบกระอักเลือดตายยิ่งกว่าวันรายงานตัวนักศึกษาไปอีก  โถถัง  กูเฟรชชี่นะเว้ยยย



    “คือผม...เพิ่งเข้าปี 1  ครับ...”   พอผมบอกความจริงไป   พี่แกก็เบิกตากว้างคล้ายจะตกใจเล็กๆ...ซะเมื่อไหร่ล่ะ  ตาโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าแล้วด้วยซ้ำ  ฮึ่ยยย   สายตาไม่ดีกันทั้งมอเลยหรอวะ



    “อ..อ๋อ..จ้ะ...งั้น  น้องชื่ออะไรนะ  เอกไหน”   พอตั้งสติได้เธอก็รีบถามต่อไป



    “วิศวะกรรมการบินครับ”  หน๊อออ   โคตรเท่อ่ะ   เลือกเข้าเพราะชื่อคณะล้วนๆจะเอาไว้อวดคนอื่นเขาครับ โฮะๆ แต่จะเรียนจบไหมเอาไว้ค่อยคิดทีหลังนะ  แหะๆ



    “โอเค..เซนต์ชื่อใบนี้เลยจ๊ะ   แล้วชื่อเล่นอะไรเอ่ยพี่จะได้เขียนป้ายให้”   ผมก้มหาชื่อตัวเองพลางบอกชื่อตัวเองไปด้วย “อันโทนิโอ้ครับ  ถ้าเรียกสั้นๆก็โทนี่ครับพี่”   ผมส่งยิ้มแป้นไปให้  พูดชื่อตัวเองทีไรตัวมันยืดอกเองอัตโนมัติจริงๆ



    “อัน..โท..นิโอ้?”   เธอย้ำชื่อผมอีกครั้ง  ผมก็พยักหน้าให้ว่า แม่นแล้ววว    พี่เขาก็ทำหน้านึกอะไรอยู่นิดนึง  ก่อนจะก้มเขียนชื่อลงบนป้ายไป



    “นี่จ้ะ  ขอให้สนุกกับการรับน้องนะคะ” ^^    ผมส่งยิ้มกลับแล้วเอาป้ายชื่อห้อยคอเดินออกมาเข้าไปนั่งตามแถวชื่อเอกคณะที่ปักโชว์ไว้หน้าแถว  คนเยอะฉิบหายอ่ะ  แน่นอนว่าคณะนี้ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงประมาณ 70% ได้ครับ



    พอนั่งท้ายแถวรอเวลาที่จะเริ่มกิจกรรมรับน้อง   ผมก็กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อว่าน้องตัวขาวจะเข้าเรียนคณะเดียวกันกับผม  แต่เพ็งหาจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่หัวฟูเป็นลอนยาวของน้องเขาเลย  สงสัยเรียนคณะอื่นล่ะมั้ง  หน้าแบบนั้นจะเรียนคณะอะไรน้า  ศิลปกรรม?  คหกรรม? บริหาร?  ไม่น่าใช่ น้องเขาดูเซอร์ๆ




    “เฮ้ย  ชะเง้อหาอะไรวะ”   ไอ้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าผมหันมาชวนคุยแบบไม่มีท่าทีเนียมอาย  ก็แบบผู้ชายเหมือนกันเลยไม่ต้องเก๊กพูดเพราะใส่อ่ะครับ



    “หาคนๆนึงอ่ะดิ  แต่เขาคงไม่ได้เรียนคณะนี้วะ”



    “โห  มาวันแรกก็หาหญิงแล้วหรอมึง  เจ๋งวะ   ว่าแต่มึงชื่ออะไรวะ....อ๋อ  ชื่อโอ้เอ้”



    “โอ้เอ้บ้าอะไร  กูชื่ออันโทนิโอ้เว้ย”   เรียกชื่อผมแบบนั้นมันเสียหายนะเว้ย



    “ก็ที่ป้ายมึงเขียนแบบนั้นอ่ะ  ไม่เชื่อก็ก้มมองดูดิ”   มันบุ้ยปากไปยังป้ายชื่อผมเลยมองตามก็เห็นว่าป้ายผมเขียนว่าโอ้เอ้จริงๆ 




    “สงสัยพี่เขาแม่งได้ยินผิดแน่เลยวะ  กูไปขอให้เขาแก้ดีกว่า”   แต่พอผมทำท่าจะลุกไปมันก็ดึงแขนให้นั่งลงตามเดิม  ก่อนจะทำหน้าขันผมซะเต็มประดา



    “ไม่ต้องแก้หรอกเว้ย  ใครเขาก็ได้ป้ายชื่อที่ไม่เหมือนชื่อจริงกันทั้งนั้นแหละเว้ย  ดูของกูดิเหี้ยกว่ามึงอีก”



    ‘น้อง  ปลัดคิก’




    “ฮ่าๆๆๆ ชื่อมึงเจ๋งวะ”   ผมหลุดขำพออ่านชื่อมันเสร็จ  พอมองไปป้ายคนอื่นก็แปลกๆเยอะเช่น  น้องโนตม   น้องหมีเกี่ยวลวด  น้องอะไวยาวะ  บลาๆๆ  เออก็ตลกดี



    “แต่จริงๆกูชื่อประลองยุทธ์นะเว้ยมึง  แต่เรียกกูว่า โป ก็ได้ชื่อเล่นกูเอง”



    “โอเค  งั้นถ้ามึงไม่อยากเรียกชื่อเต็มกู อันโทนิโอ้  ก็เรียกกูว่าโทนี่ก็เว้ย”  แล้วเราก็ยักคิ้วเป็นอันรับรู้กัน




    จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงรับน้องครับ  ก็พวกรุ่นพี่เขาก็เริ่มแนะนำตัวกันไปแล้วก็ให้แต่ละเอกลุกขึ้นบอกชื่อเอกตัวเอง  แข่งกันว่าเอกไหนจะเสียงดังกว่า  เอกไหนชนะได้ไปกินข้าวก่อนครับ  โถถถถถถ  รางวัลโคตรยิ่งใหญ่อ่ะ  แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็แข่งกันอย่างสนุกสนานแบบไม่มีใครยอมใครเลย


    “เครื่องกล!!”



    “ไฟฟ้า!!!”



    “โยธา!!!!”



    “การบิน!!!!!”


    “ดังอีกน้องงงง  มีพลังแค่นี้หรอก  สู้เขา ดังกว่านี้!!!!”   รุ่นพี่ก็ตะโกนยุกันเข้าไป  ผมแม่งตะโกนจนคอจะแตกล่ะ  ก็ตะโกนสลับกันไปมาจนกระทั่ง



    “นี่พวกคุณทำอะไรกัน”   เสียงนิ่งๆแต่ดังกังวานทำให้พวกเราที่กำลังตะโกนแข่งกันหุบปากกริบกันไปโดยไม่ได้นัดหมาย  และพร้อมใจสามัคคีหันไปยังตำแหน่งของเสียง   แล้วก็พบกับ...








ต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0












    กลุ่มรุ่นพี่ในเสื้อช็อปวิศวะของคณะที่เดินเข้ามายังกับเปิดตัวพระเอก F4  แบบในซีรี่ส์ที่อาหลิงชอบเปิดดู  ดูแต่พวกพระเอกจริงๆ  เพราะพอถึงฉากพระนาง  อาหลิงชอบกดข้ามครับ  แต่ถ้าฉากหนุ่มในแก๊งค์คุยเล่นตัวกัน นี่อาหลิงเปิดเล่นซ้ำอยู่นั่น  ผมก็ไม่เข้าใจน้องผมเหมือนกันว่าฉากแค่นั้นมันน่าดูซ้ำตรงไหน



    “พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าเสียงตะโกนของพวกคุณมันดังไปถึงหน้ามอแล้ว”  พี่คนที่น่าจะเป็นตัวหัวหน้ายังทำหน้าโหด พูดเสียงเข้มต่อไป โดยมีบอดี้การ์ดยืมเอามือไขว่หลังเป็นแบ็วกราวด์ให้แม่งดูมีอำนาจไปอีก



    “ปี 2  ก็เหมือนกัน  ทำไมไม่รู้จักสั่งสอนน้องของพวกคุณห่ะ!”   พวกพี่ปี 2  ก็หน้าจ๋อยไปตามกัน



    “ขอโทษค่ะพี่”  พวกพี่ปี 2 ก็พูดขอโทษรุ่นพี่พวกนั้นเสียงหงอย



    “เมื่อกี้เอกไหนตะโกนเสียงดังสุด  ลุกขึ้นมา!”   เขาตะโกนเสียงดัง  ผมก็ได้แต่นึกขำในใจ  บ้าป่าววะ  ก็ตอนนี้พวกปี 1 ยืนกันหมดทุกคนเพราะต้องตะโกนแข่งกันพี่เขาเลยให้ยืนเสียงจะได้ออกมาเยอะๆไง   แล้วพี่เขาแม่งพูดไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้ทุกคนยืนกันหมดจะสั่งให้ยืนอีก  บ้าเปล่า



    พรึ่บ!



    แต่จู่ๆเอกผมที่อยู่ริมสุดติดผนังแม่งก็กลายเป็นแถวหน้าซะงั้น  เพราะพวกเอกอื่นพร้อมใจกันนั่งลง!  เชี่ยแม่ง  ทีงี้ล่ะโคตรพร้อมเพรียง   พวกผมก็ยืนเอ๋อกันไปสิครับ  จะลงไปนั่งด้วยก็ไม่ทันแล้ว   แมร่งเอ๊ยยยย




    ไอ้รุ่นพี่คนนั่นก็ทำหน้าโหดมองมาที่พวกผมที่ยืนเรียงหน้ากระดานกัน  เอามือไขว่หลังมองอย่างเตรียมจะเล่นงานพวกผม   ผมเหลือบไปมองแป๊บนึงก็จะหันมามองภาพตรงหน้าที่เป็นถนนแทน  เดี๋ยวพวกนั้นจะหาว่าผมมองหน้าหาเรื่อง   ไม่ได้กลัวนะครับบอกเลยว่าคนอย่างผมพร้อมมีเรื่องได้ตลอดเวลา  จะตัวต่อตัวหรือหมาหมู่ก็ได้หมดไม่เกี่ยง  แต่เพราะว่าเมื่อเช้านี้ม๊าสั่งเด็ดขาดว่า


    ‘อั๊วะส่งลื้อไปเรียนนะ อาอันโทนิโอ้  จำไว้ด้วย  ถ้าไปหาเรื่องใครก่อนล่ะน่าดูแน่  แต่ถ้าโดนเขามาตีก่อนแล้วลื้อสู้กลับอั๊วะไม่ว่าอะไร  เข้าใจไหมห๊ะ’



    ประกาศิตจากม๊าทำให้ผมเลือกที่จะนิ่งไว้ก่อน   แต่บอกเลยถ้ามาสั่งอะไรที่บ้าบอหรือทำโทษแบบไม่สมเหตุสมผล  ผมไม่ทำตามหรอก  ถ้าจะรุมกระทืบก็เอาเลยผมสู้กลับแน่นอนไม่งอมืองอเท้ายอมหรอก   ป๊าผมก็เคยพูดตอนที่มีข่าวรับน้องแบบแย่ๆอ่ะครับ  ‘ถ้าลื้อโดนแบบนี้  ลื้ออย่าไปยอมเขานะเว้ยอาโทนี่  อั๊วะส่งลื้อไปเรียนไม่ได้ให้ไปถูกทำโทษ กงเกียร์อะไรลื้ออย่าไปยึดติด  ถ้าจะถูกไล่ออกเพราะไม่รับน้องเดี๋ยวอั๊วะส่งลื้อไปเรียนเอกชนได้   ขอแค่จบมาแบบฉลาดหาเงินเลี้ยงครอบครัวตัวเองได้  นั่นแหละน่าภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว....แต่อั๊วะก็ไม่ได้หมายความว่าลื้อต้องดื้อไม่ยอมทำตามเขาท่าเดียวนะเว้ย  มีสมองก็คิดเอาว่าสิ่งไหนมันควรทำตามหรือไม่ทำตาม’



    “พวกคุณใช่ไหมที่ส่งเสียงดังที่สุด”   มันก็ดังทั้งคณะแหละโว๊ยยย  ห่า



    “ผมขอสั่งทำโทษด้วยการให้พวกคุณ...”  แล้วจะเว้นจังหวะทำไมวะนั่น



    “เต้นยังไงก็ได้  ที่สามารถทำให้ผมหัวเราะได้  ถ้าทำสำเร็จพวกคุณทั้งคณะจะไม่ถูกซ่อม!”



    โหหหหห เล่นสั่งมาแบบนี้ก็มีเฮสิครับ



    แบบว่าของถนัด!




    “มิวสิค มา!”   สิ้นคำสั่งพี่หน้านิ่ง  เปิดเพลงฮิตสุดในเวลานี้   เอกผมก็ไม่รอช้าโชว์สกิลการเต้น แบบโชว์มันทุกท่ายาก  งัดมาทุกลีลา  ส่ายยิ่งกว่าปลาไหล  พลิ้วไหวยิ่งกว่านางโชว์  แบบไม่มีใครยอมใครสักคน  ผมเองก็เช่นกัน 555+   เต็มที่มากแบบว่ากลัวเสียชื่อคณะงิ้วอันโด่งดังตั้งแต่ผมยังไม่เกิด เอิ้กๆ   หันไปมองไอ้โป  ไอ้ห่านี่ก็เต้นจัญไรพอกัน  จนผมเองก็ขำก๊ากไปกับคนอื่นๆที่อยู่ในคณะด้วย



    คือแบบมันทำหน้านิ่งอ่ะครับไม่รู้ตั้งใจเลียนแบบพวกพี่เขาป่าว  แต่ถึงจะหน้านิ่งเหมือนตายซากมา 7 ล้านปี  แต่ตัวมันนี่โคตรพลิ้ว  พลิ้วมากกกก  ท่าเต้นก็อย่างจัญไร  กวนตีนฉิบหาย  แต่ยังคงทำหน้านิ่งไว้ได้ไม่มีหลุด  มันเลยฮาแตกมากๆ  จนสุดท้ายพวกรุ่นพี่ที่เก็กหน้ามานานก็หลุดขำกันครับ  พวกเราเลยเฮกันใหญ่



    “พวกคุณเก่งมากที่ทำพวกผมหัวเราะได้   เพราะพวกผมน่ะตั้งแต่ขึ้นปี 3 มาก็แทบหัวเราะกันไม่ออกมานานแล้วโว๊ยยยยยยยยยย”   พี่หน้านิ่งตะโกนออกมาแบบเต็มที่มาก  พวกบอดี้การ์ดก็ขำกันแบบไม่เก็กเข้มกันอีกต่อไปปล่อยตัวสบายๆชิลๆ  คงแค่ทำแอคท่ามาแกล้งรุ่นน้องเท่านั้น



    “คุณจำไว้นะว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว  ยิ่งขึ้นปีสูงก็มีความยากลำบากมากขึ้นเช่นกัน  อุปสรรคในวันข้างหน้าของการเป็นนักศึกษามันอาจจะทำให้คุณท้อ  เสียใจ ร้องไห้ ผิดหวัง  จนอยากจะดรอปหรือเลิกเรียน  แต่ผมก็อยากให้พวกคุณนึกถึงตอนที่พวกคุณตั้งใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้  คณะวิศวะกรรมนี้ และแต่ล่ะเอกสาขาที่พวกคุณเลือกเข้ามาว่ารู้สึกอย่างไร  การเข้ามาเรียนได้มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดแต่มันคือจุดเริ่มต้นใหม่ที่ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะพากันไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ทุกคน”



    “ฉะนั้นวันนี้พวกผมในฐานะรุ่นพี่เลยตั้งใจมาทำกิจกรรมที่จะสร้างความสนุกสนานและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง   เพื่อในวันหน้าวันๆนี้อาจะเป็นวันที่คุณมีความสุขที่สุดในการเป็นนักศึกษาก็ได้  จดจำไว้ว่าพวกคุณมีเพื่อน มีรุ่นพี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือเสมอ”



    “ยกเว้นเรื่องตังค์!”   ตึ่งโป๊ะ!   คนตีกลองก็ตีรับมุกพี่แกอย่างรู้งาน  จนทำให้รุ่นน้องโหร้องกันไป



    “โหอะไรครับ โหอะไร  โหแบบนี้อยากเห็นพวกรุ่นพี่เต้นกันใช่ไหมมมมม”



    “อยากกกกกกก”  ทุกคนก็รีบร้องบอกอย่างไม่ให้เสียโอกาส



    “แต่เพื่อให้สนุกมากยิ่งขึ้น  พี่ขอให้แต่ละเอกส่งตัวแทนมา 1 คนออกมาเต้นแบทเทิลกับพวกพี่ครับ!”  สิ้นเสียงรุ่นพี่แต่ล่ะเอกก็รีบเลือกกันใหญ่ว่าใครจะออกไป   เอาจริงๆคือเกี่ยงกันนั่นล่ะครับว่าใครจะไป  แบบมึงออกไปสิ  มึงนั่นแหละออกไปดิวะ  ไอ้ห่ามึงเลยพลิ้วสุด



    “เหลือเวลาอีก 5 วินะครับ เอกไหนออกช้าสุดโดนทำโทษยกเอก 1..2”  พอประกาศมาอย่างนั้นแต่ละเอกก็รีบเลือกตัวแทนออกไปกัน  ส่วนเอกผมนะหรอ  ไม่ต้องเลือกครับ  เพราะผมอาสาออกไปเอง! 555+ แมนป่ะล่ะ (ใจจริงคือเป็นพวกชอบทำอะไรบ้าๆบอๆอยู่แล้วน่ะครับ)


    จากนั้นรุ่นพี่ก็จับคู่กับรุ่นน้องแต่ละเอกไล่แข่งเต้นแบทเทิลกันทีละคู่อย่างไม่มีใครยอมใคร  จนมาถึงคู่สุดท้ายคือคู่ผม  คราวนี้พวกพี่เขาไปหาขนนกที่ต่อเป็นสายยาวแบบที่พวกนางโชว์ชอบใช้คล้องคอแล้วสะบัดแขนไปน่ะครับ เอามาให้ผมกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้ฉิ่งคล้องคอกันคนล่ะอัน  จากนั้นก็เปิดเพลงชาติสาวประเภท 2 I Will Survive  ให้คู่ผมเต้น  พี่แนนนี่ก็จัดเต็มด้วยทวงท่านางโชว์พร้อมลิปซิงเพลงไปด้วย  เต้นแรงสุด จิกตาจือปากสุดดิ่ง  แถมใช้ผมเป็นเสาให้แก้เต้นยั่วรูดตัวอีกกกก  แบบกะโชว์สกิลการเต้นเต็มที่  เรียกเสียงกรี้ดได้ลั่นคณะเลย   แต่มีหรือคนอย่างอันโทนิโอ้จะยอมแพ้  พอถึงตาผมเต้นสู้ผมก็จัดเต็ม  ใช้ทุกท่วงท่าที่จดจำมาจากทั้งอาม่าและม๊าที่ชอบเต้นชอบรำเวลาร้องคาราโอเกะกันออกมาสู้มันทุกท่า  เรียกเสียงโห่ร้อง วี้ดวิ้วได้มาไม่น้อยหน้าพี่เขาเลยล่ะครับ  แต่ผมก็ยังไม่หยุดแค่นั้นทั้งจิกตา  กัดปากยั่วแบบคิดว่าเซ็กซี่สุดในชีวิต  ส่ายสะโพกหนาๆบิดเอวไปมาแบบจัดหนักจัดเต็มกันไปจนทุกหัวหัวเราะกันใหญ่เพราะท่าแม่งโคตรสาวววว   อย่างแร๊ดดดแรดไม่ได้เข้ากับหนังหน้าผมเลย 555+


    แต่ยังเต้นไม่ทันจบเพลงดีก็  “อ้าวๆๆ  น้องคนนั่นนะเพิ่งมาใช่ไหมทำไมเนียนไปนั่งหลังเพื่อนแบบนั้นล่ะครับน้อง”   พี่หน้านิ่งพูดและชี้มือไปยังแถวของผม   ผมเลยหยุดเต้นแล้วมองตาม   ก่อนจะเห็นหัวฟูๆค่อยๆโผล่ออกมาแล้วยิ้มแห้งๆ



    น้องตัวขาว!  เรียนคณะเดียวหรอวะ  ไชโยยยยย  เอกเดียวกันด้วย อ๊ากกนี่มันพรหมลิขิตชัดๆ ชัดเจนที่สุดแล้วแบบนี้  เนื้อคู่ผมแน่นอน


    แต่เวรเอ๊ยยยย  ทำไมต้องให้เขามาเห็นผมในสภาพโคฟเวอร์เป็นนางโชว์ด้วยวะ แม่ง  -*-  จบกันแล้วนี่ผมจะมีหน้าไปจีบเขายังไงล่ะเนี้ย


    “มาครับน้อง   ออกมาเลย  มาให้พวกพี่ทำโทษซะดีๆ”  น้องตัวขาวมีสีหน้ากังวลแต่ก็รีบเดินออกมาด้านหน้าแต่ยืนอยู่คนล่ะด้านกับผม   ตอนนี้น้องตัวขาวไม่ได้ปล่อยผมยาวถึงกลางหลังแล้วนะครับแต่เหมือนน้องไปตัดผมสั้นมายาวระต้นคอได้แต่ยังปล่อยให้ฟูม้วนเป็นลอนคลายๆเหมือนเดิมมันคงเป็นผมธรรมชาติของน้องเขาจริงๆพอตัดสั้นแบบนี้ก็ดูเป็นผู้ชายหน้าหวานแบบเซอร์ๆ อารมณ์ประมาณ ซิน ซิงกูล่า อ่ะครับ แต่น้องจะดูออกฝรั่งกว่าหน่อย.....แล้วทำไมผมต้องเรียกเขาว่าน้องด้วยวะทั้งที่ก็อยู่ปีเดียวกัน  อาจเป็นเพราะ...เขาดูเด็กกว่าผม -*-



    “อ่ะแนะนำตัวเองให้เพื่อนๆรู้จักหน่อย”  รุ่นพี่ก็ส่งไมค์ให้น้องเขา  น้องเขาก็รับไมค์มาแต่ตอนรับนี่ทำเหมือนรังเกียจรุ่นพี่ยังไงไม่รู้นะ  สงสัยหน้าพี่เขาดูเถื่อนจัดเลยกลัว


    “สวัสดีครับ ปี 1 คณะวิศวะกรรม เอกการบินครับ  เรียกผมว่าสโนว์ก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ”  พูดเสร็จก็รีบส่งคืนไมค์ไป  ดูเหมือนจะยังตื่นเต้นไม่หายตัวสั่นเชียว  โถถถถ พี่อันโทนิโอ้ล่ะอยากจะเข้าไปกอดปลอบขวัญจริงๆ  ชื่อสโนว์แม่งโคตรเข้ากับหน้าตาอ่ะ


    “โอเคน้องสโนว์ไวท์ ปี1  การบิน  ตอนรู้ไหมว่าการที่น้องมาสายเนี่ยมันทำให้น้องพลาดอะไรเด็ดไปเยอะมาก  พี่ขอเหตุผลหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมถึงมาช้า”  แล้วพี่เขาก็ยื่นไมค์ไปจ่อปากน้องสโนว์ไวท์ตามชื่อป้ายที่ห้อยคอ  น้องเขาเองก็เหมือนสะดุ้งที่จู่ๆก็ยื่นไมค์ไปถอยหลังไปตั้งก้าวนึง  ก่อนที่จะตอบคำถาม



    “คือรถยนต์มันเสียครับ  แล้วผมไม่เคยใช้รถสาธาระณะเลยยืนรอแท็กซี่นานมาก  รถติดมากด้วย”  แหม่ะ  พอบอกว่ารถเสียกระผมนี่อยากจะไปซ่อมให้ซะจริงๆ  ซ่อมให้ฟรีไม่คิดตังค์ด้วยถ้าเป็นน้องสโนว์ไวท์  แบบว่าตอนเรียนอยู่เทคนิคเคยไปอู่พ่อเพื่อนบ่อยครับ บ้างทีก็ไปช่วยหยิบเครื่องไม้เครื่องมือให้  เขาสอนอะไรก็จำๆมา  เคยลองซ่อมให้หลายคันมาเหมือนกันเลยพอมั่นใจในฝีมือพอตัว

“โอเคๆ  เหตุผลพอฟังขึ้น  แต่ยังไงก็ต้องมีบทลงโทษนะครับ  เอ๊  น้องๆอยากเห็นเพื่อนเต้นให้ดูไหมครับบบบ”



    “อยากกกกกกกกก”   พร้อมใจกันเหลือเกิน  อยากจะรู้จริงๆถ้าเกมพลิกพี่เขาให้น้องเลือกว่าจะให้ใครขึ้นมาเต้นแทนจะยังแหกปากเห็นด้วยแบบนี้ไหม  (พาลครับพาล  เห็นหน้าน้องเขาดูกังวลแล้วพาเครียดตามไปด้วย)   แต่สุดท้ายน้องสโนว์ไวท์ก็ถูกสั่งให้เต้นโชว์  แล้วคือแบบเปิดเพลงหนุ่มเฟ้อหล่อยักเลี้ยว  รีมิกซ์เงี้ยะ แต่จังหวะการเต้นของน้องแม่งอนุบาลหมีน้อยมากกกก  แต่เพราะเป็นน้องเขาเต้นมันเลยดูน่ารักปนฮาอ่ะครับ  แบบน่าแกล้งฉิบหาย  หูเหอแดงไปหมดแล้ว



    แล้วก็เหมือนหลายคนจะคิดแบบเดียวกับผม  “โห่ ไม่เอาๆทำไมเต้นแข็งอย่างงี้ล่ะครับน้อง รู้ไหมเอกการบินเมื่อกี้เต้นกันแรงมาก  อย่าให้น้อยหน้าเพื่อนสิครับ”   รุ่นพี่ก็ยังคงยุ  แต่เหมือนจะยุไม่ขึ้นเพราะน้องเขาก็ยังเต้นยึกยักไหล่ไปมาเหมือนเดิม   เหอๆ


    “พอๆถ้าจะเต้นแบบนี้น้องยืนเป็นเสาไปเลยดีกว่า  มาๆหนุ่มสาวทั้งหลายมาโชว์เต้นรูดเสาโชว์เพื่อนๆดีกว่า”



    “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”   เอาเข้าไปรังแกสโนว์ไวท์กันเข้าไปปปปป  ฮึ่ยยยยย ถึงอยากจะทำตัวเป็นคนแคระที่คอยปกป้องสโนว์ไวท์แต่ก็ไม่รู้จะวิธีช่วยยังไงเพราะทุกคนดูเห็นดีเห็นงามไปกันหมด  ผมก็เลยได้แต่ยืนค้างมองพวกเพื่อนและรุ่นพี่ที่เคยจับคู่กันไปเต้นล้อมรอบตัวน้องเขา  สโนว์ไวท์ก็เหมือนทำตัวไม่ถูกเลยเอาแต่ยืนแข็งก้มหน้ามองพื้นอย่างเดียวเลย  ผมแอบเห็นว่าฝ่ามือที่กุมกันอยู่สั่นด้วยล่ะ


    แม่งเห็นแบบนั้นแล้วทนดูไม่ได้วะ  ต้องหาเรื่องไปเสนอหน้าขอรับโทษแทนดีกว่า.....แต่ก้าวไปยังไม่ถึงสามก้าว   หนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นแก็งค์F4 ก็เข้าไปเอามือแตะหัวไหล่น้องก่อนจะเต้นส่ายตูดยั่วไปด้วย  พอมีพี่เปิดคนอื่นๆเลยเอามั้ง  เอาหลังไปถูสีข้างน้องบ้างแบบกะเอาตลก เอาฮากัน   น้องที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วก็ซีดเผือกไปใหญ่  แววตาเริ่มลุกลี้ลุกลนเหมือนหวาดกลัวพี่ๆเขามาก  ทำท่าฟึดฟัดเหมือนหายใจติดขัด แล้วมือก็สั่นแรงมาก  ผมที่เห็นท่าไม่ดีจะรีบวิ่งเข้าไปถามว่าไหวหรือเปล่า  แต่ก็ไม่ทันเพราะสโนว์ไวท์นั่น...








ต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0









โอ๊กกกกกกกก


    น้องอ้วกออกมาแบบพุ่งแรงมากหลบกันแทบไม่ทัน  วงแตกสิครับงานนี้  ตกใจกันยังไม่หายน้องเขาก็หอบหายใจรุนแรงมากแล้วก็เป็นลมล้มตึ้งขาตรงไปเลย  คือถ้าเป็นลมขาตรงๆแบบนี้แสดงว่าเป็นลมจริงๆครับไม่ได้แกล้งแสดง  แต่ถ้าคนที่แกล้งเป็นลมเข่าจะงอครับเพราะเหมือนมีสติไงก็จะรู้ว่าถ้าไม่งอเข่าก่อนล้มไปที่พื้นเจ็บหนักแน่ๆ   แต่นี่น้องสโนว์แบบล้มขาตรงๆน้องคงไม่ได้มีสติคิดอะไรแล้วแบบวูบล้มไปเลย  ดีว่าพี่ที่อยู่ด้านหลังเข้ามาเอาแขนรองหัวไว้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่ๆ


    “เชี่ยยยยย  น้องเขาเป็นอะไรวะมึง”   พี่แนนนี่รีบควักยาดมมาใกล้ๆจมูกพี่ผู้หญิงก็รีบเอาพัดมาโบกให้อย่างร้อนรน   พวกเราปี 1 ก็ต่างตกใจกันหน้าเหวอกันไปเป็นแถบเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ


    “รีบเอาน้องไปห้องพยาบาลก่อนดีกว่าวะ”   พี่หน้านิ่งพูดก่อนจะจับแขนน้องเขาพาดบ่ากับรุ่นพี่อีกคน  เพราะน้องสโนว์ไวท์ตัวสูงและหุ่นก็แบบเฮลตี้อ่ะครับเลยคงแบกคนเดียวไม่ไหว  ผมเลยเสนอหน้าไปแทรกแล้วอุ้มน้องสโนว์ไวท์ในท่าเจ้าหญิงแทน   ห่ามไปแบบนั้นไม่ทันกาลพอดี  พอได้อุ้มก็รับรู้ได้ถึงความหนักเหมือนผู้ชายทั่วไป  เทียบกับที่ผมเคยให้เพื่อนขี่หลังวิ่งหนีฝั่งคู่อริที่มีเยอะกว่าสมัยก่อนนะครับ - -  โชคดีนะเนี้ยที่ผมออกกำลังกายเป็นประจำเลยยังอุ้มไหวอยู่


    “ห้องพยาบาลอยู่ไหนพี่  เดินนำเลยครับ เร็วๆ”  ผมออกปากสั่งอย่างไม่เกรงใจ  ยิ่งมองเห็นหน้าซีดๆนี่ก็ยิ่งอยากพาไปให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด  พี่หน้านิ่งเขาก็รีบเดินนำไปยังห้องพยาบาลแค่คนเดียว  ส่วนที่เหลือให้อยู่คุมน้องกัน   คงไม่อยากให้รุ่นน้องเสียขวัญไปกันใหญ่น่ะครับ   โชคดีที่ห้องพยาบาลวันนี้มีหมอเข้าเวร  คงเพราะเป็นวันรับน้องทั้งมหาวิทยาลัยด้วย ทางมอเลยคงเตรียมพร้อมไว้ก่อนเพื่อมีเหตุฉุกเฉิน


    หมอเขาก็ถามอาการว่าน้องเขาเป็นอะไรมา  พี่หน้านิ่งก็เล่าไปตามจริงอย่างละเอียด  ส่วนผมก็ได้แต่กุมมือสโนว์ไวท์  ไว้แค่นั้น   ผมในตอนนี้เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของเหล่าคนแคระว่าคงจะตกใจมากแค่ไหนที่กลับบ้านมาแล้วเห็นว่าสโนว์ไวท์นอนสลบอยู่บนพื้น  ในตอนนั้นพวกคนแคระก็คงจะกลัวว่าสโนว์ไวท์จะไม่ตื่นมาอีกและถึงจะกลัวแค่ไหนคนแคระก็ทำได้เพียงแค่มองเพราะไม่รู้จะช่วยสโนไวท์กันอย่างไรเหมือนกับผมในตอนนี้...นึกแล้วก็โมโหตัวเองว่าทำไมตอนนั้นไม่รีบเข้าไปช่วยออกรับแทน  มัวยืนป๊อดห่าอะไรอยู่ ไม่งั้นสโนว์ไวท์คงไม่เป็นแบบนี้



    สโนว์ไวท์ต้องฟื้นมานะ   เราสัญญาเลยว่าต่อไปจะปกป้องเธอเอง



    พอตรวจอาการหมอก็บอกว่าต้องส่งไปโรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่าเพราะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมจู่ๆถึงเป็นลมไป  แล้วบอกให้โทรตามญาติน้องเขาด้วยว่าให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลย  ผมเลยถือวิสาสะและขออนุญาตอยู่ในใจควักโทรศัพท์ในกางเกงของสโนว์ไวท์ออกมาโทรหาเบอร์ล่าสุดที่น้องโทรไป  ดีนะที่ไม่ได้ล็อครหัสไม่งั้นคงจะแย่มากๆ  รอไม่นานรถพยาบาลก็มารับผมก็เตรียมจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนน้องเขาด้วย


    “น้องโอ้เอ้ น้องกลับไปร่วมกิจกรรมเถอะ  ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง”  พี่หน้านิ่งบอก  คงไม่อยากให้ผมสูญเสียช่วงเวลารับน้องไป  แต่ตอนนี้ใครจะสนล่ะครับเมื่อคนตรงหน้าสำคัญกว่า


    “ไม่ล่ะครับพี่  ผมจะตามไปดูแลแฟนผม!”


    “ห่ะ!  เขาเป็นแฟนน้องหรอ”  พี่เขาถามแบบไม่อยากจะเชื่อ



    “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละพี่  ยังไงอนาคตเขาก็ต้องเป็นแฟนผมอยู่ดี  ผมไปล่ะนะพี่จะตามหรือไม่ตามมาก็แล้วแต่”   พูดเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นรถพยาบาลตามไปด้วย  พี่หน้านิ่งก็ตามมาเช่นกันสีหน้าพี่เขาก็ดูเป็นห่วงและเป็นกังวลไม่ต่างกับผม  แหงสิครับถ้าน้องสโนว์ไวท์เป็นอะไรไปพี่แกต้องรับผิดชอบเต็มๆ



    แล้วรถก็ถึงโรงพยาบาลแบบรวดเร็วเพราะอยู่ไม่ไกลกัน  พวกบุรุษพยาบาลก็ไสเตียงผู้ป่วยที่น้องเขานอนอยู่เข้าห้องฉุกเฉินไป  ผมกับพี่หน้านิ่งก็ได้แต่รอหน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ  สักประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีพยาบาลเดินออกมาบอกว่าสโนไวท์อาการปลอดภัยแล้วไม่ต้องห่วง  แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นต้องปล่อยให้นอนหลับไปก่อนครับ   พอได้ฟังอย่างนั้นทั้งผมกับรุ่นพี่หน้านิ่งก็ต่างพากันโล่งใจ  พี่หน้านิ่งถึงกับทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าเลยล่ะครับ  คงเกร็งและเครียดมาตลอด  แล้วเราสองคนก็ยิ้มแบบโล่งใจให้กัน



    แล้วพี่เขาก็โทรไปบอกพวกที่มอครับ  ว่าไม่ต้องห่วงน้องปลอดภัยแล้วรอแค่ให้น้องฟื้น  พอวางสายไปไม่ทันไรก็มีสายโทรเข้ามาอีก   พี่เขาหลบไปคุยมุมเงียบๆสักแป๊บก่อนจะเดินย้อนกลับมาหาผมที่ยังนั่งรออยู่หน้าห้องเหมือนเดิม


    “โอ้เอ้  เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์ให้อาจารย์ฟังว่ะ  เอ็งจะกลับไปพร้อมพี่หรือเปล่า”


    “พี่ไปเหอะ  ผมอยู่ที่นี่รอญาติของสโนว์มาก่อนดีกว่า  โทรศัพท์สโนว์ก็ยังอยู่ที่ผมด้วยต้องรอคืนให้”



    “เอางั้นหรอวะ  เออๆงั้นพี่ฝากด้วยนะ  เอาไลน์เอ็งมาไว้ติดต่อดิ๊ ถ้ามีอะไรส่งมาบอกพี่ด้วยนะ”


    “ได้ครับพี่ ไม่ต้องห่วง”  แล้วเราก็แลกทั้งเบอร์และก็ไลน์กันไป  พี่เขาก็กลับไปผมก็นั่งรออยู่หน้าห้องเช่นเดิม  เพราะพยาบาลยังไม่ไสน้องสโนว์ออกมาจากห้องฉุกเฉินเลย  เหมือนกับว่าต้องรอญาติให้มาเซนต์อะไรก่อนน่ะครับถึงจะย้ายตัวผู้ป่วยได้   นั่งรอไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนโทรกลับมาที่เบอร์ของสโนว์พอผมรับสาย  ผู้หญิงในสายก็ถามว่าอยู่ตรงไหนกันผมก็พูดบอกไป  แล้วก็นั่งรอญาติน้องเขา







    “น้องใช่คนที่รับสายหรือเปล่าคะ”  เสียงผู้หญิงเอ่ยเรียกจากด้านหลังผมเลยละสายตาที่จ้องประตูหน้าห้องฉุกเฉินหันไปมอง  ก็เจอกับผู้หญิงแสนสวยคนนึง


    “ใช่ครับ  ญาติของสโนว์หรือเปล่าครับ”


    “ใช่จ้ะๆ  พี่เป็นพี่สาวของสโนว์เองจ้ะ”


    “สวัสดีครับพี่  ผมเป็นเพื่อนที่คณะครับ”   ผมยกมือไหว้  พี่เขาก็รับไหว้ผมแล้วตบบ่าเบาๆ


    “ขอบใจมากนะน้องที่มาอยู่เป็นเพื่อนสโนว์  แล้วเหตุการณ์มันเป็นยังไงหรอ ทำไมสโนว์ถึงได้เข้าโรงพยาบาลได้ล่ะ  น้องเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”   ผมพยักหน้ารับก่อนจะเล่าไปตามจริงตั้งแต่สโนว์มาสาย ไปจนถึงตอนที่เป็นลมล้มตึ้งไปนั่นแหละครับ



    “อ๋อ  เป็นงี้นี้เอง  พี่พอจะรู้สาเหตุแล้วล่ะว่าทำไมน้องถึงเป็นลมไปแบบนั้น”   พี่เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจเหตุการณ์


    “เอ่อ...ผมขอถามได้ไหมครับว่าสาเหตุอะไร  คือจะได้รู้ไว้แล้วป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกน่ะครับ”  ถ้าต้องเห็นสโนว์ไวท์มีอาการแบบนั้นอีกครั้งโดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย  คงจะรู้สึกแย่มากๆ


    “อืม...มันค่อนข้างเป็นความลับนะ  พี่ก็ไม่แน่ใจว่าสโนว์อยากให้คนอื่นรู้หรือเปล่า”


    “อ่า..ถ้ามันทำให้ต้องหนักใจก็ไม่เป็นไรครับ  ผมแค่ถามเพราะเป็นห่วงจริงๆไม่อยากให้เขาช็อคแล้วสลบไปแบบนั้นอีกน่ะครับ  คือทั้งคณะตกใจกันมากกลัวสโนว์จะเป็นอะไรไป..”  ผมบอกไปตามจริง  ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่มอเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง  พวกรุ่นพี่จะโดนอาจารย์ทำโทษหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงมันจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็เถอะนะ


    “งั้นพี่จะบอกให้ก็ได้  แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ไปเล่าให้เพื่อนๆฟังต่อ  ที่บอกเพราะเห็นว่าหน้าน้องดูเป็นห่วงสโนว์จริงๆหรอกนะเนี่ย”


    “ได้ครับสัญญาเลยครับว่าจะไม่เล่าให้เพื่อนฟังแน่นอน” 


    “โอเค...คืองี้นะ  สโนว์น่ะ  เขาเป็นโรค...กลัวผู้ชาย”  พี่เขากระซิบเสียงเบาบอกผม


    “ห..ห่ะ..โรคกลัวผู้ชาย?  มันมีโรคนี้ด้วยหรอครับ”  ผมงงเป็นไก่ตาแตก  เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้  เออถ้าโรคบ้าผู้ชายว่าไปอย่าง  ผมเห็นบ่อย เพราะทั้งอาม่า ม๊า อาหลิงก็เป็นโรคบ้าผู้ชายเหมือนกัน  ดูละครพี่เคนทีกรี้ดกันเป็นสาวน้อยไปหมด  แต่นี้อะไร  โรคกลัวผู้ชาย  ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันเนี่ยนะ?????  แม่งไม่เมคเซ้นเลยว่ะ


    “ก็ประมาณนั้น  มันเหมือนเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งนะจ้ะ  คือตอนน้องเด็กๆ  ครอบครัวเราอยู่ที่ต่างประเทศกัน  แบบลงหลักปักฐานที่นั่นเลย  พอน้องเข้าโรงเรียน  น้องก็โดนเด็กผู้ชายแกล้งบ่อยแถมแกล้งแรงด้วย  แบบว่าเป็นเด็กเอเชียด้วยเลยเหมือนโดนเหยียดแถมตัวก็เล็กกว่าใครสู้เขาไม่ได้น่ะ หนักสุดเคยโดนจับไปขังไว้ในตู้ล็อกเกอร์มืดๆคนเดียวด้วยทั้งวันไม่มีใครมาเจอ  กว่าจะออกมาได้ก็ตอนที่แม่เขามาตามที่โรงเรียนเพราะน้องไม่ได้กลับพร้อมรถรับส่งนักเรียนนั่นแหละเลยเหมือนฝังใจกลัวผู้ชายไปเลย”


    พอได้ฟังแบบนั้นแล้วผมโคตรโมโหอยากจะจับพวกเชี่ยนั่นมากระทืบให้หมดจริงๆ  ไอ้ห่าแกล้งอะไรแรงแบบนั้นวะ  ถ้าเขาขาดอากาศหายใจตายทำไง  แม่งไม่มีสมองคิดกันจริงๆ  เด็กเปรตฉิบหาย!


    “ใจเย็นๆน้อง  ไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวเหมือนจะไปฆ่าใครขนาดนั้นก็ได้  พี่เห็นล่ะขนลุกนะเนี่ย”  พี่เขาพูดหวาดๆ   นี่หน้าผมมันออกขนาดนั้นเลยหรือว่าอยากจะไปฆ่าคน  เลยต้องปรับสีหน้ากันใหญ่


    “ขอโทษครับผมอินไปหน่อย  แล้วแบบนี้ก็แย่เลยสิครับ  เจอเรื่องร้ายๆแบบนั้นแต่เด็ก แล้วคุณแม่สโนว์จัดการยังไงครับเอาพวกมันเข้าคุกเลยหรือเปล่า”



    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะเพราะว่าก็ยังเป็นเด็กกัน  พวกพ่อแม่เด็กก็ขอโทษจริงๆเขาก็ไม่รู้ว่าลูกเขาจะทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นพร้อมกับสัญญาว่าจะสั่งสอนลูกให้ดีกว่านี้  แม่เองเขาก็เป็นคนใจดีด้วยเลยไม่เอาความ....แต่ก็เลือกเปลี่ยนให้สโนว์มาเรียนแบบโฮมสคูลแทน  แก้ปัญหาไปเฉพาะหน้าก่อนเพราะสโนว์ไม่ยอมไปโรงเรียนท่าเดียว  แต่ก็เหมือนเป็นการหนีปัญหากลายๆนะ  เพราะสุดท้ายสโนว์ก็ยังกลัวผู้ชายอยู่ดี”



    “งั้นแบบนี้เขาคงใช้ชีวิตลำบากน่าดูสิครับ  ถ้าไปไหนมาไหนต้องเจอแต่ผู้ชายเดินทั่วมหา’ลัยแบบนี้  แถมในคณะก็มีอัตราผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงด้วย”   ผมพูดไปอย่างเป็นกังวลแทน


    “สโนว์ก็ไม่อาการแย่มากเหมือนตอนเด็กหรอกที่เห็นผู้ชายไม่ได้เลยตัวสั่นไปหมด   เพราะพอสโนว์โตขึ้นก็อาการดีขึ้นตามลำดับจ้ะ  เขาเองก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็งออกกำลังกายให้ตัวสูงใหญ่พอจะป้องกันตัวเองได้น่ะ   คืออาการของสโนว์ในตอนนี้คือเห็นผู้ชายได้นะ  แต่อย่ามาเข้าใกล้ในระยะ 1 เมตรจะเริ่มอาการออกล่ะ  ยิ่งถ้ามาถูกตัวนี่ก็จะช็อคไปแบบนั้นล่ะ ...”



    “ก็ค่อนข้างใช้ชีวิตยากนิดนึง  แต่ทำไงได้สโนว์เองก็ต้องเรียนมหา’ลัย  มันเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ   ที่เขาเลือกกลับมาไทยก็เพราะเห็นว่าผู้ชายไทยตัวเท่าๆกันกับเขานี่แหละ  ไม่ได้ตัวใหญ่น่ากลัวเหมือนพวกฝรั่ง  เลยคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหามากนัก  แต่ยังไม่ทันไรก็เข้าโรงพยาบาลซะล่ะ....เฮ้ออออ  พี่เองก็หนักใจแทนเหมือนกันนะ ก็เลยเลือกกลับมาหางานทำที่ไทยอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย”


    ยิ่งฟังผมก็ยิ่งเห็นใจสโนว์ไวท์   เหตุการณ์การกลั่นแกล้งแบบนั้นมันไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องพบเจอจริงๆ  ไอ้พวกเด็กเปรตมันจะรู้ไหมว่าสร้างแผลบาดลึกแค่ไหนในใจของเด็กคนนึง  แล้วถ้าพวกมันรู้ พวกมันจะสำนึกหรือเปล่า...



    “พี่ไม่ต้องห่วงนะ  จากนี้ไปผมจะปกป้องเขาเองครับ”
   







    แต่ขอไปปรึกษามันสมองของบ้านอย่าง ม๊า! ก่อน






โปรดติดตามตอนต่อไป :3123:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น่าสงสารสโนว์นะ คงจะฝังใจอย่างมาก ว่าแต่พี่โอ้เอ้ ต้องดูแลน้องดีๆ นะ
 :man1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการใช้ชีวิตในสังคมนะ
ทางบ้านของสโนว์น่าจะพาไปพบจิตแพทย์ จะได้แก้ไขได้ตรงจุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2018 20:27:08 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เมื่อสโนไวท์กลัวผู้ชาย โอ้เอ้เลยกลายเป็นตุ๊ด(?)ชั่วคราว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปปรึกษาม๊า คงจะได้คำแนะนำดี ๆ มาแน่นอน  :hao3:

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


EP. 3. รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ



    ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นสโนว์ก็ไม่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรมอะไรกับคณะอีกเลย   ผมก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากว่าทำไมถึงทำแบบนั้นได้  เพราะตัวผมเองก็ยุ่งๆทั้งเรื่องกิจกรรมต่างๆแล้วยังต้องวุ่นกับการหาหอย้ายหออีก    แต่ก็เบาใจไปหนึ่งเปราะที่เขาไม่ต้องมาเจอกับสถานการณ์น่าอึดอัดใจอีก  แต่เมื่อถึงวันเปิดเรียนซึ่งปี 1  วิศวะเขาจะเรียนวิชาบังคับพื้นฐานรวมอยู่แล้วยังไม่ได้แยกเอกกัน  ก็เลยมีกลุ่มผู้หญิงรวมตัวกันอยู่หลายกลุ่ม   สโนว์เองก็อยู่กับกลุ่มผู้หญิงเช่นกันครับ   ในหนึ่งอาทิตย์จะมีแค่ 2 วิชาเท่านั้นที่ผมกับสโนว์ได้เรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน เซคเดียวกัน  นอกนั้นก็เรียนไม่ตรงเวลากันเลยครับ  แอบเศร้าเล็กๆ  แต่เรื่องแค่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนักเพราะผมน่ะ...ไปแอบดูน้องเขาทุกวัน



    ก็ไม่รู้ว่าจะเหมือนโรคจิตหรือเปล่าแต่ทำไงได้ล่ะครับ  เพราะว่า...ม๊าบังคับ! 555+  คืองี้ช่วงที่น้องนอนโรงพยาบาลไอ้ผมก็กลัวน้องเขาจะยังขวัญเสียเลยขอเฟสบุ๊คพี่เบลล์ พี่สาวของสโนว์ไว้ติดต่อกัน  แล้วก็กลับไปเปิดเพจนังเซ่นไหว้ครับ  ถ่ายรูปไปลงเพจหลายรูปตอนแรกนังเซ่นไหว้ก็ทำท่ารำคาญผมมากจะถ่ายอะไรนักหนา  แต่พอผมบอกว่าจะเอาไปให้น้องสโนว์ดูมันก็แอ็คท่าเป็นแมวน้อยใสซื่อใส่กล้องทันที  โถถถถถ มึงมันร้ายจริงๆนังเซ่นไหว้! ม๊ามาเห็นก็ถามว่าทำอะไรผมก็บอกไปว่าน้องสโนว์ป่วยเลยจะถ่ายรูปนังเซ่นไหว้ไปให้กำลังใจ  แต่ไม่ได้บอกสาเหตุนะครับว่าทำไมถึงป่วยเพราะผมก็มีสัจจะพอตัวไม่บอกต่อตามที่สัญญา   (จริงๆเกือบจะไปเล่าแล้วขอคำปรึกษาม๊าแล้วล่ะแต่นึกขึ้นได้ว่าสัญญากับพี่เบลล์ไว้แล้ว  อีกอย่างผมอยากลองคิดหาวิธีช่วยปกป้องสโนว์เองด้วย  ม๊าจะได้ไม่ด่าว่าผมโง่อีก!)


    ม๊าก็เห็นดีเห็นงามไปหาซื้อชุดซื้อพร็อพมาตกแต่งให้นังเซ่นไหว้ใหญ่   จนพอผมอัพรูปลงเพจไปหลายรูปแล้วก็ไปทักแชทหาพี่เบลล์ว่าให้ไปกดแชร์เพจนังเซ่นไหว้หน่อย  แล้วก็ตามคาด  น้องสโนว์ก็ตามมากดไลค์เพจนังเซ่นไหว้ครับ  คงยังจะจำมันได้อยู่ แถมกดหัวใจที่รูปให้ด้วย  ผมงี้ยิ้มหน้าบาน ^__^  เป็นไงความคิดผมโคตรฉลาดเลยใช่ไหมล่ะ  ม๊าจะได้รู้สักทีว่าผมน่ะไม่ได้โง่สักหน่อย  ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้าไปอยู่ใกล้ๆแต่ก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้สโนว์ไวท์ของผมมีความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มกับที่ทุ่มเทไปแล้วครับ  โหแม่ง โคตรพระเอกเลยว่ะ  เขินนน  555+


    แล้วน้องสโนว์เขาก็ชอบแชร์รูปนังเซ่นไหว้ด้วย  ก็เลยทำให้เพจนังเซ่นไหว้มีคนมากดไลค์มากขึ้นเกือบถึงร้อยแล้ว  แต่ยอดไลค์เพจจะเยอะหรือไม่เยอะไม่สำคัญหรอกครับ  เพราะเพจนี้น่ะ ‘ผมทำมาเพื่อสโนว์คนเดียว’ สโนว์มีมาทักคุยเหมือนกันแบบชมนังเซ่นไหว้ว่าน่ารัก อะไรประมาณนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรคือกลัวหลุดอ่ะครับ  แล้วทีนี้ม๊าก็เห็นว่าทำไมไม่เอารูปสโนว์มาให้นังเซ่นไหว้ดูบ้าง  อย่างงี้นังเซ่นไหว้ก็ขาดทุนสิ  แล้วก็สั่งให้ผมไปหารูปน้องมาให้นังเซ่นไหว้ดูทุกวันเช่นกันเพราะไม่งั้นม๊าจะไม่ถ่ายรูปนังเซ่นไหว้อัพลงเพจให้  เพราะจันทร์ถึงศุกร์ผมอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย  อย่างที่รู้ๆกันว่าปี 1 กิจกรรมเยอะเลิกก็ดึก เช่าหออยู่จะสะดวกกว่า  เลยต้องรับบัญชาการของม๊ามาแอบตามถ่ายรูปน้องเขา  คือผมไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คสโนว์ไง  เคยให้อาหลิงสร้างเฟสปลอมไปแอดน้องเขาก็ไม่รับ  เหมือนจะรับแต่คนที่สนิทกันจริงๆแล้วตั้งเป็นส่วนตัวทุกอย่างเลยหารูปน้องไม่ได้เลย  จะให้ไปขอรูปจากพี่เบลล์ทุกวันก็ดูจะบ้าเกินไป   เลยต้องมาแอบตามถ่ายแบบเนียนๆไป  รู้นะว่าโคตรละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  แต่ขัดใจม๊าไม่ได้เดี๋ยวโดนตัดจากกองมรดก TT 


    แต่ก็พยายามเอาแต่รูปที่น้องดูดีส่งให้ม๊าแค่วันละรูปพอ  ไม่ได้ถึงขั้นตามถ่ายมันทุกวันขนาดนั้นนะครับ  แบบว่าผมจะแค่แว๊บไปดูน้องเขาตรงที่นั่งประจำกลุ่มแล้วทำเนียนเป็นเล่นโทรศัพท์แต่จริงๆคือถ่ายรูปสโนว์หลายๆรูปเอาอาทิตย์ล่ะครั้ง  แต่ไปแอบมองเฉยๆน่ะทุกวันประมาณว่าถ้าไม่ได้เห็นหน้าสโนว์ไปแค่วันเดียวมันรู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไปน่ะครับ  แม่งโคตรเป็นการกระทำที่เหมือนสาวแรกรุ่นแอบชอบรุ่นพี่ฉิบหาย


    แต่ก่อนตอนผมอยู่มัธยมก็เคยคิดว่าเพื่อนผู้หญิงในห้องมันจะอะไรกับคนที่แอบชอบนักหนาแค่เห็นเขาเดินผ่านหน้าห้องก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เขินจนเอาหน้าซุกโต๊ะแทบพัง  แต่พอมาเป็นกับตัวเองถึงได้เข้าใจว่า   การที่เราชอบใครสักคนนึง  แค่ได้เห็นหน้าเขาเราก็มีความสุขจนฟินไปทั้งวันแล้วล่ะครับ


    แค่ได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของใบหน้า  ใจพี่อันโทนิโอ้หนาก็สั่นไหว


    ถึงได้มองจากมุมไกลๆอยู่ร่ำไป   แต่หัวใจไอเลิฟยูทุกนาที


    ฮิ้ววววววว  แต่งกลอนสมกับที่ได้เกรด  2  ภาษาไทยจริงๆ!  โถถัง  ความสามารถไม่มีแต่อยากจะโชว์อีกนะผม




    “มึงๆนั่นไงน้องสโนว์ไวท์  เจ้าหญิงแห่งวิศวะปี 1  หน้าตาดีสัส”  ไอ้เด็กอีกกลุ่มนึงที่นั่งรวมกันอยู่ 3 คนโต๊ะข้างๆผมพูดถึงน้องสโนว์  ทำให้ผมรู้ว่าสโนว์เองก็ป๊อบเหมือนกันมีคนรู้จักเยอะเลยแหะ



    “คนนี้เองหรอวะ เออแม่งตัวขาวสมฉายาจริงว่ะ  น่าทำให้เป็นรอยแดงๆไปทั้งตัวฉิบหาย”



    “ไอ้สัสเสือกคิดเหมือนกูอีก”



    “ฮ่าๆๆๆๆ”  แล้วพวกมันก็รวมหัวกันหัวเราะกับความคิดต่ำๆแบบรู้กัน  เล่นเอาหางคิ้วผมกระตุกจิ้กๆๆๆ  ปลายตีนผมคันยิบๆๆ กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกรอดชัดเจน


    “มึงเข้าไปจีบน้องเขาดิวะ ไอ้ชาร์ล  มึงหล่อแบบนี้เพื่อน้องเขาจะเล่นด้วย”


    “เฮ้ย  แต่ระวังหน้าแหกกลับมานะเว้ย  ได้ข่าวว่าน้องเขาหยิ่งฉิบหายใครเข้าไปจีบไม่เคยเปิดปากคุยด้วยเลย  ขนาดไอ้เดือนมหา’ลัยทั้งปี 1 กับปีของรุ่นเราไปจีบ น้องแม่งยังเดินเชิดหนีใส่เลยนะเว้ย” ก็เพราะน้องเขาเป็นโรคกลัวผู้ชายหรอก  ไม่ได้หยิ่งสักหน่อยเถอะออกจะใจดีมีเมตตาต่อสัตว์....แต่เรื่องเมินกระทั่งเดือนมหา’ลัยนี่แสดงว่าหน้าตาไม่มีผลต่อน้องสโนว์เลยสินะ    งั้นผมก็มีสิทธิ์สิวะแบบนี้ เพราะถ้าตัดเรื่องหล่อไม่หล่อออกไปที่เหลือก็เป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ  น้องเขาอาจเป็นคนชอบคนที่จิตใจงี้ โอ้โห  แม่นางฟ้ากลับชาติมาเกิดแท้ๆสโนว์ไวท์ของพี่อันโทนิโอ้........นี่ผมมองโลกในแง่บวกเกินไปป่าววะ - -



    “เขาอาจจะชอบผู้หญิงก็ได้มึง  ถึงเขาจะหน้าออกหวานไปนิดแต่โดยรวมก็ผู้ชายคนนึงนะเว้ย  คงไม่ได้ชอบผู้ชายเลยปฏิเสธโดยการเมินใส่แบบนี้ป่าว”   เออ ไอ้ห่าชาติชั่วอะไรนี่พูดมีเหตุผล  น้องเขาอาจจะชอบผู้หญิงก็ได้วะ  งี้โอกาสกูก็เท่ากับศูนย์เลยดิว่ะ  ทำไมถึงลืมนึกถึงข้อนี้ไปได้นะ


    “แต่ไม่ลองดูสักตั้งก็ไม่รู้นะเว้ย  มึงอาจจะฟลุ๊คก็ได้เทรนหน้าเก้วกราดๆแบบมึงกำลังมาเว้ย  อาจจะเป็นสเป็คน้องเขา  ลองเลยมึงกูเชียร์เต็มที่”   เฮ้ย จริงหรอวะหน้าเก้วกราดๆ  เฮ้ยไม่ใช่ดิ มันต้องเกี้ยวกราดไหมล่ะ  เอ๊ะ หรือเกรี้ยวกราดวะ เห้ย อันไหนกันแน่วะเนี้ย  ครูสอนภาษาไทยผมคงน้ำตาไหล โตเป็นควายยังสะกดไม่ถูก  ถุย! ใช่เวลามาสงสัยไหม  ไอ้ชาติชั่วนั่นลุกขึ้นเตรียมจะไปจีบน้องสโนว์แล้ว  ม่ายยยยยยยย



    “โทษนะครับ!  จะเข้าไปคุยกับน้องสโนว์หรอครับ!”  ผมถามไอ้ห่าชาติชั่วพร้อมกับทำหน้าเก้วกราดๆไปด้วย



    “..ใช่...มีอะไรป่ะ”   มันถามแบบลองเชิง  ก้มมองผมที่นั่งอยู่ประนึงว่ามันเหนือกว่าทุกอย่าง  ผมเลยลุกยืนแม่งให้มันรู้ว่าผมน่ะเหนือกว่ามัน  หึหึหึ เพราะผมตัวสูงกว่า!  พอเห็นความสูงที่แตกต่างกันเยอะตัวมันก็เริ่มหดไปหน่อยแต่ก็ยังทำใจเสือสู้


    “ผมน่ะไม่มีอะไรหรอก....แต่เจ้านายผมมีแน่  ถ้าขืนคุณยังคิดจะเข้าไปยุ่งกับคุณสโนว์ต่อ  อย่าหาว่าผมไม่เตือน”   ไงล่ะ อึ้งดิอึ้ง  เจอการแสดงประนึงเจ้าพ่อเซียงไฮ้มาอยู่ตรงหน้าไปถึงกับเหวอสิท่า  คิดจะเป็นตัวโกงแบบมีระดับมันต้องแบบผมนี่อาม่าอดีตนางเอกงิ้วเทรนมาอย่างดีนะเฟร้ย  ตาต้องนิ่งไม่ไหวติง  แสดงถึงความเอาจริงไม่ล้อเล่นผ่านออกมาจากดวงตาถึงจะดูมีอำนาจ  น่าเกรงขาม    ส่วนเรื่องเจ้านายนั่นผมเมคเอาตามที่เคยดูหนังฮ่องกงมา  มันดูแบบยิ่งใหญ่ดี  เอิ๊กๆๆๆ  แต่ถ้าสโนว์มีพ่อเป็นเจ้าพ่อจริงๆ  ผมคงไม่กล้าเล่นมุกนี้ เหอๆ



    แล้วก็ได้ผลไอ้ชาติชั่วรวมถึงเพื่อนมันพากันกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ   สำรวจตัวผมไปด้วยว่าแม่งพูดจริงหรือพูดเล่น



    “คิดว่ารอยแผลเป็นที่หน้าผม  มันโดนหนามเกี่ยวมาหรือไง ถึงได้มองนัก”  ฮัดช่า  เล่นใหญ่เข้าไปอีก  ไอ้พวกนั่นก็คงเริ่มเชื่อแล้วล่ะว่าผมไม่ได้พูดเล่นๆ เป็นคนมีหน้าตาเป็นอาวุธก็งี้แหละ โฮะๆๆๆ  เฮ้ย แม่งสนุกดีว่ะ



    “พวกมึงใกล้เวลาขึ้นเรียนแล้วกลับขึ้นห้องเหอะว่ะ  เดี๋ยวอาจารย์แม่งจะล็อคห้องไม่ให้เข้า”  เพื่อนมันคงนึงพูดแก้สถานการณ์  ซึ่งก็พูดได้แบบดูฉลาดฉิบหาย แบบดูเท่อ่ะ ต้องไปก่อนเพราะมีธุระนะไม่ได้กลัวมึงเลยงี้  ห่า แม่งได้ว่ะประโยคนี้  กูจะจดไว้ก๊อปปี้เอาไปใช้บ้าง เหอๆๆ   แล้วพวกมันก็พากันไปเดินไปครับแต่ผมก็นึกอะไรได้มาบางอย่าง  ที่ผมคิดว่าโคตรเจ๋งและต้องพูดเดี๋ยวนี้ตอนนี้ด้วย   “เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป”  พวกมันก็หยุดหันมามองผมอีกแบบหวาดๆเพราะผมยังเก็กหน้าเป็นตัวโกงแบบมองระยะ 100 เมตรก็ยังรู้ว่าเป็นตัวโกงอ่ะครับ



    “หวังว่าพวกคุณจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่มีคนของเจ้านายผมแฝงตัวเขามาจับตาดูคุณสโนว์นะ  เหยียบให้มิด  เข้าใจไหมครับ”


    พวกนั้นไม่พูดอะไรแต่รีบหันหลังจ้ำเดินหนีไปอย่างไว   พอพวกนั้นไปจนพ้นสายตาผมก็ปล่อยก๊ากขึ้นมาทันที  55555+   โหแม่ง ฉากเมื่อกี้ถ้าช่องหลายสีมาเห็นต้องจับผมไปเป็นพระเอกบู๊ไม่ก็ตัวโกงในละครแน่นอนอ่ะ ทำไปได้ไงวะผม  ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่อาม่าสอนให้จะเอามาใช้ได้จริง  ยอดเยี่ยมสุดๆ



    ส่วนเรื่องที่บอกให้เหยียบความลับไว้ นั่นก็เป็นเพียงอุบายครับ  เพราะสันดานมนุษย์ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากทำ  ยิ่งบอกว่าความลับก็ยิ่งคันปากอยากเล่าให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองน่ะรู้อะไรๆมากกว่าคนอื่นนะโว๊ย  เพราะงั้นผมเชื่อว่าหนึ่งในสามคนนั้นต้องคันปากไปเล่าให้ใครฟังบ้างแน่ๆ  แล้วคิดว่าข่าวนี้ก็จะถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ  ถ้ามีคนเชื่อก็น่าจะลดจำนวนผู้ชายที่จะเข้าหาน้องสโนว์ไปได้.....เนี่ยเห็นป่ะว่าผมอ่ะ  แอบฉลาดอยู่นะจ๊ะ  แต่ม๊าไม่รู้บ้างเลย~  แอบมีสมองอยู่นิดๆ ไม่ได้กลวงไปหมดเลย~~  555+



    คราวนี้แหละก็จะไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าหาสโนว์ไวท์ของผมแล้วววววววว



    แล้วสโนว์ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสักที   ดีใจจังที่ผมเป็นคนที่สามารถปกป้องเขาได้ตามที่เคยสัญญาไว้.....











มีต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0





    แต่เหมือนว่าผมจะคิดน้อยเกินไป.....


    “มึงๆ  กูได้ข่าวมาเว้ย เม้าท์ๆๆๆ”   เสียงผู้หญิงคนนึงพูดเสียงค่อนข้างดังขึ้นมาจากโต๊ะด้านหน้าผม  โคตรรบกวนการนอนในห้องเรียนมาก 


    “ว่าๆๆๆๆๆอะไรมึง เม้าท์ด่วนค่า”  แม้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาดูก็รู้ว่าพวกหล่อนคงกำลังนั่งสุ่มหัวกันเป็นวงกลมแน่นอน


    “มึงรู้จักสโนว์ใช่ไหม”  หืม  เกี่ยวกับสโนว์หรอ?  สงสัยคงจะเม้าท์ว่าสโนว์มีบอดี้การ์ดมาตามคุมใช่ไหมล่ะ   ตัวการอยู่ข้างหลังนี่เองคร้าบผม  ไม่อยากจะพูดขัดเลยปล่อยให้สาวๆเขาเม้าท์กันไป


    “มีใครไม่รู้จักบ้างวะ  เล่นชักกลางวันรับน้องซะขนาดนั้น ว่าแต่สโนว์มีเรื่องอะไรหรอมึง”


    “เออก็วงในเขาเม้าท์กันมาว่าสโนว์อ่ะ....คือรู้แล้วเหยียบไว้เลยนะเว้ยเพราะลับมากๆท๊อปซีเครทสุดๆ”  แหมประโยคคุ้นๆคล้ายว่าผมจะเคยพูดไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง



    “เออมึงรีบเล่าเหอะน่า  กูอยากเสือกจนตัวสั่นล่ะ”



    “เออๆเล่าแล้วนี่ไง  คือเขาเม้าท์กันว่าสโนว์อ่ะ...เด็กเสี่ยเว้ยแก  แล้วแบบไม่ใช่เสี่ยไก่กาอ่ะ คือแบบเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียเลยนะมึง  ถึงขนาดให้ลูกน้องมาเฝ้าที่มอเลยเว้ยแก  เห็นเขาบอกว่าไอ้จั๊มเด็กบริหารที่เคยมาขอไลน์สโนว์ก็โดนกระทืบด้วยฝีมือลูกน้องเสี่ยของสโนว์แหละ”    เฮ้ย  เม้าท์เรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี้ย  ข่าวมั่วฉิบหายวงในห่าอะไร  ไอ้จั๊มนั่นที่โดนกระทืบเพราะไปแอบอึ๊บแฟนเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนผมหรอกถึงได้โดนรุมตีนต่างหาก! ผมลุกเงยหน้าขึ้นมาตั้งใจฟัง  เพื่อหูจะฝาดไปเองก็ได้ นอนทับหูด้วยเมื่อกี้


    “จะจริงหรอวะมึง  สโนว์นิสัยดีนะเว้ยดูเป็นคนมีชาติตระกูลด้วยไม่น่าเป็นเด็กเสี่ยหรอก  ดูเหมือนจะไม่ชอบอยู่กับผู้ชายด้วยซ้ำ”  ผู้หญิงคนนึงที่ตัวเตี้ยพูดแย้งขึ้นมา  ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ขอบคุณมากที่ช่วยแก้ข่าวให้



    “แต่มันก็ 50 50 นะเว้ยมึง  กูแปลกใจตั้งแต่สโนว์ไม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของมอก็ได้แล้วล่ะ  ตอนนั้นยังนึกเลยว่าเส้นใหญ่มาจากไหนวะ  พออีกนุ๊กเล่ามาแบบนี้กูก็แอบเชื่อนะ  ไหนจะรถพอร์ชนั่นอีกถ้าที่บ้านไม่รวยมากกกก  จะมีปัญญาที่ไหนไปออกรถว่ะ  พวกมึงไม่สงสัยหรอ”   อ้าวอีหน้าแหลม  ทำไมมาพูดใส่ร้ายสโนว์แบบนั้นล่ะวะ



    “จริงมึง  กูว่าที่สโนว์ไม่ค่อยอยู่ใกล้ผู้ชายเพราะกลัวเสี่ยรู้มากกว่าว่ะ  คือที่กูเชื่อแบบนั้นเพราะคนที่เล่าให้กูฟังมาเขาวงในจริงๆนะมึง  แบบเชื่อถือได้อ่ะ”  อีนังตัวต้นเรื่องก็ยังเสี้ยมไม่หยุด



    “วงในพ่องงงง   ไหนไอ้คนวงในนั่นมันอยู่ไหนพามาเจอหน่อยดิ  ข่าวมั่วชัดๆก็เชื่อกันไปได้นะคนเรา!”  ใช่ครับ  ผมด่าเองแหละไม่มีใครมาด่าแทนทั้งนั้น  หน้าตัวเมียก็ยอมล่ะนาทีนี้  เพราะสิ่งที่ฟังมันเสนียดหูจริงๆ  ทนฟังต่อไม่ไหวแล้วไง   กลุ่มผู้หญิงตรงหน้าก็เหวอกันไป  คนทั้งห้องก็หันมามองว่าผมเป็นบ้าอะไรยืนด่าผู้หญิงเฉย 



    “ไอ้จั๊มที่โดนกระทืบเพราะมันไปแย่งเมียคนอื่นเขาเว้ยเลยโดนเจ้าของเขามาตามกระทืบไล่ความเหี้ย!  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสโนว์เขาเลย  แล้วสโนว์ก็ไม่ได้เป็นแบบที่พวกเธอเม้าท์แน่นอน!”   ผมยังตะโกนลั่นเล่าความจริงกลับไปจะได้ไม่ต้องเข้าใจกันไปผิดๆอีก


    “เฮ้ย  ใจเย็นดิไอ้โทนี่  อย่าหัวร้อนดิวะ”  ไอ้โปพยายามจะดึงผมให้กลับลงไปนั่ง



    “ใจเย็นไม่ไหวว่ะ  กูไม่ชอบที่จะปล่อยให้เม้าท์กันไปผิดๆแบบนี้  ก่อนจะเม้าท์เชี่ยอะไรก็หัด ค.ว.ย คิดวิเคราะห์แยกแยะมั่งนะ!  ว่ามันน่าเชื่อถือหรือเปล่า  ไม่ใช่แม่งสักแต่จะเม้าท์  ใครจะเสียหายชีวิตพังยังไงไม่สนกูขอเม้าท์เอามันส์ไว้ก่อน  ทำตัวให้มันเหมือนคนมีการศึกษามีความคิดหน่อย! ไม่งั้นก็อย่ามาเรียนมหา’ลัยให้มันเปลืองตังค์เลยถ้ายังคิดได้แค่นี้”  ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องแม่ง   ยอมรับว่าโคตรหงุดหงิด หัวร้อนสุดๆ ขืนยังอยู่ข้างในต่อผมคงคุมอารมณ์เลือดร้อนตัวเองไม่ได้แน่นอน



    ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!  ปั้ก!  ปั้ก! 


    พอเดินมาหลังตึกคณะผมก็ชกผนังปูนแข็งๆไปเต็มแรงหลายๆหมัดเพื่อระบายความโกรธ  โกรธตัวเองนี่แหละครับ…


    ทำไมมึงโง่แบบนี้ห่ะไอ้อันโทนิโอ้   ปั้ก! 

    ทำอะไรทำไมไม่คิดให้ถี่ถ้วน  ปั้ก!

    เห็นไหมผลจากการปล่อยข่าวไปแบบนั้นทำน้องเขาเสียหาย  ปั้ก!

     มึงมันโง่แบบที่ม๊าพูดไม่มีผิด  ไอ้โง่เอ๊ย ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!


    ต่อยจนหลังมือเป็นแผลเหวอะจนเริ่มรู้สึกเจ็บผมก็เลยหยุด  ทรุดตัวลงพิงกับผนังแบบไม่เหลือสภาพ  ผมคิดน้อยไปจริงๆ  ลืมไปว่านิสัยคนอีกอย่างคือชอบใส่สีตีไข่ผสมไปด้วย  ปากต่อปาก แต่ตีความไปคนละทิศละทางแทบไม่เหลือเคล้าความจริงหลงอยู่เลย   ตอนรับน้องพี่เขาก็เคยให้เล่นเกมปากต่อปากที่ให้ต้นแถวอ่านประโยคๆหนึ่งแล้วพูดต่อไปเรื่อยๆจนถึงแถวท้ายให้ลุกขึ้นพูดว่าได้ยินประโยคอะไร  ซึ่งแต่ล่ะแถวแม่งก็พูดไม่เคยตรงกับในกระดาษสักคนเดียว  ทำไมตอนนั้นผมลืมนึกถึงข้อแบบนี้ไปทั้งที่มันสำคัญฉิบหาย


    ผมในตอนนี้โคตรรู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุทำให้คนเข้าใจสโนว์ไปในทางที่ไม่ดี  ไม่รู้ว่าปานนี้สโนว์จะได้ยินเรื่องแบบนั้นเข้าหูหรือเปล่า ถ้าได้ยินจะรู้สึกแย่อีกไหม จะหวาดกลัวผู้คนไปด้วยหรือเปล่า  แค่คิดว่าสโนว์จะเป็นแบบนั้นผมก็ยิ่งโคตรรู้สึกผิด  เหมือนผมไปเพิ่มแผลในใจให้น้องเขาเลย  ทั้งที่รับปากว่าจะปกป้องแท้ๆแต่กลับกลายเป็นทำลายไปซะอย่างนั้น   ผมมันแย่จริงๆ  โคตรเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง พอคิดแบบนั้น ผมเลยเลือกที่จะโดดเรียนเพราะวิชานี้ได้เรียนตรงกับน้องสโนว์ ยอมรับว่าไม่กล้าจะไปเจอหน้าน้องเขาแล้ว   




    “ฮัลโหล อาม่าหรอ”   หลังจากรอสายอยู่เป็นนาทีเสียงพูดแก่ๆสำเนียงจีนก็ดังขึ้นที่ปลายสาย


    (เออ ก็อั๊วะนะซี  ลื้อโทรมามีอะไรว๊าอาอันโทนิโอ้  คิดถึงอั๊วะหรือไง)


    “อาม่า...วันนี้อั๊วะจะกลับบ้านนะ”  พอได้ยินเสียงของอาม่า  ผมแม่งก็น้ำตาคลอมาซะงั้นแต่ก็ต้องฮึ๊บไว้  มาร้องไห้กลางมหาวิทยาลัยแบบนี้อายเขาตายเลย   คนแมนอย่างผมไม่ยอมหลุดน้ำตาไหลง่ายๆหรอก



    (...เออ จะมาก็มาสิว๊า   ขับรถมาดีๆแล้วกันไม่ต้องรีบบิดนัก รู้ไหมห๊าอาอันโทนิโอ้)



    “อื้อ  อั๊วะรู้แล้ว งั้นแค่นี้นะอาม่า”   ผมรีบกดตัดสาย แล้วเงยหน้าทำเป็นมองฟ้า  น้ำตาจะได้ไหลคืนเข้าไป  พอเริ่มเข้าที่ผมก็เดินไปคว้ามอเตอร์ไซต์คู่ใจที่อ้อนม๊าอยู่ 1 เดือนกว่าจะใจอ่อนยอมซื้อให้ และสวมหมวกกันน็อคอันเก่งที่ป๊าเอาไปให้พระเจิมกันเหนียวมาใส่ให้เรียบร้อย  ไขกุญแจที่มีพวงกุญแจอักษรจีนผิงอันแปลว่าปลอดภัยที่อาม่าปักครอสติกใส่ให้คล้องกับกุญแจรถ  ในเวลาที่รู้สึกอ่อนแอฉิบหายแบบนี้  เห็นอะไรก็นึกถึงครอบครัวไปหมดเลยจริงๆ  ไอ้อันโทนิโอ้คนเขลาขอกลับไปให้ม๊าด่าก่อนนะครับ






    กว่าจะถึงร้านก็ห้าโมงเย็นแล้ว  เพราะผมขับรถมอเตอร์ไซต์ไปเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน  วันนี้ร้านปิดเร็วกว่าทุกวัน  แต่ก็เห็นป๊ากับม๊ากำลังช่วยกันเรียงสร้อยทองอยู่ในคอกกั้นส่วนอาม่านั่งรออยู่ตรงโซฟาในร้านแต่เพราะล็อคประตูไว้  ผมเลยเดินไปเคาะเบาๆอาม่าก็หันมามองแล้วรีบมาเปิดประตูให้เข้า



    “อาม่า หวัดดี  ป๊า หวัดดี ม๊า หวัดดี”  ผมยกมือไหว้ทุกคนในครอบครัวเหมือนเดิมเวลาที่กลับถึงบ้านแล้ว  ป๊า ม๊า อาม่าก็พยักหน้ารับรู้


    “อ้าว  มาแล้วหรออาอันโทนิโอ้  หิวไหมเข้าไปหาอะไรกินในบ้านก่อนสิ”   ม๊าพูดหยุดเรียงทองไปก่อน


    “ไม่เอาอ่ะม๊า  มีอะไรให้อั๊วะชอบทำไหม  อั๊วะเบื่อๆ”   จริงๆคือพยายามจะไม่อยู่เฉยให้คิดอะไรฟุ้งซ่านอีก


    “เอางั้นหรอ  เออๆงั้นเข้ามาช่วยกันเรียงทองหน่อยจะได้เสร็จไวๆ”   ผมก็เข้าไปช่วยแบบไม่อิดออดเหมือนทุกที  พองานนี้เสร็จก็หางานอื่นทำ  ช่วยม๊าสรุปยอด จนไม่เหลืออะไรให้ทำก็มานั่งลูบตัวนังเซ่นไหว้เล่น   นังเซ่นไหว้ก็นอนทับตักผมแต่โดยดี  ผมคิดว่ามันคงจะรับรู้ได้ถึงความเสียใจของผมเลยยอมมานอนอยู่ด้วย  เพราะปกติแค่ผมจะจับทีต้องเดินหนีเหมือนรำคาญผมตลอด




    “มาๆ กับข้าวเสร็จแล้วรีบมากินกันเดี๋ยวจะหายร้อนหมด”   ม๊าตะโกนลั่นบ้านจนผมที่อยู่ในห้องนอนชั้น 3 ยังได้ยิน   เลยอุ้มนังเซ่นไหว้ลงมาด้วย


    “อาอันโทนิโอ้วันนี้มีปลาเก๋าสามรสของโปรดลื้อด้วยน้า  กินเยอะๆจะได้เก๋าๆเท่ๆ  กินปลาเยอะจะได้ฉลาดด้วย”   อาม่าหมุนกระจกบนโต๊ะกินข้าวให้จานปลาเก๋ามาอยู่ตรงหน้าผม


    “ไม่จริง  อาม่าโกหกอั๊วะ  อั๊วะกินปลามาตั้งเยอะไม่เห็นจะฉลาดเลย  ดีแต่ทำเรื่องโง่ๆให้คนอื่นเดือดร้อนตลอดเลย”  ผมพูดไปอย่างที่ใจคิด  โลกนี้มันช่างหมองหม่นซะเหลือเกิน  คนอื่นเขากินปลาแล้วฉลาดแต่ทำไมผมถึงไม่ฉลาดแบบคนอื่นเขาบ้างวะ



    “อาอันโทนิโอ้  ลื้อว่าอาม่าหรอห๊ะ”   ม๊าหันมาทำตาเขียวใส่



    “เปล่านะม๊า....อั๊วะขอโทษ แต่อั๊วะไม่ได้ตั้งใจจะว่าอาม่า  อั๊วะแค่จะว่าๆตัวอั๊วะโง่เฉยๆ”



    “เฮ้ออออ  จะกินข้าวให้อร่อยซะหน่อย  แต่พอเห็นหน้าหมาหงอยเหมือนถูกเจ้าของทิ้งไป 3 เดือนของลื้อแล้วอั๊วะกินไม่ลงจริงๆ   ไหนมีเรื่องอะไรเล่ามาสิ  เล่ามาให้หมดด้วยอย่าให้ต้องถามซ้ำ”  ม๊าวางตะเกียบลง คว้าน้ำขึ้นมาดื่มแทน   ผมมองม๊าที่ท้องร้องโครกครากด้วยความหิวแต่ก็ตัดใจมาสนใจผมแทน  และผมก็รู้ว่าถ้าผมไม่พูดเรื่องจริงไปม๊าคงไม่ได้กินข้าวแน่ๆวันนี้ 



    “แต่ต้องสัญญานะว่าจะไม่เอาไปบอกคนนอก”   แล้วผมก็เลยเล่าให้ม๊า ป๊า อาม่า อาหลิง และก็อาฟู่ฟู่ที่กินไปหันมามองระหว่างที่ผมเล่าไปด้วย    ขอโทษที่ผิดสัญญานะพี่เบลล์แต่ผมก็โง่เกินกว่าจะแก้ปัญหานี้คนเดียวจริงๆ


   




ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


    “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละม๊า  .... อั๊วะมันโง่มากเลยใช่ไหมม๊า”  ผมเล่าจบก็ก้มหน้ารอให้ม๊าด่าอย่างทุกครั้ง



    “เออ  แต่ม๊าก็เข้าใจว่าลื้อทำไปด้วยเจตนาที่ดี  ถึงจะลืมคิดถึงผลเสียไปก็เถอะนะ  วันหลังจะทำอะไรก็คิดให้มันรอบคอบซะก่อนสิว๊า  ไอ้ลูกคนนี้นิ”   ผมเงยหน้ามามองม๊าอย่างแปลกใจทำไมวันนี้ไม่ด่าซ้ำเติมแบบทุกครั้ง  แต่ก็พยักหน้ารับไป



    “อาหลิง   เห็นตัวอย่างจากเฮียลื้อก็จำไว้เป็นบทเรียนไปด้วยเลยนะ  จะทำอะไรคิดให้ดีๆ ว่ามันจะส่งผลกระทบกับใครเขาหรือเปล่า  ถ้าไม่แน่ใจก็มาปรึกษากับคนในบ้าน  6 หัวช่วยกันคิดยังดีกว่าหัวเดียวเข้าไหมห๊า”  อาหลิงก็พยักหน้าบอกเข้าใจแล้วม๊า


    “ป๊าว่าลื้อควรจะไปขอโทษเขาก่อนดีกว่านะอาโทนี่   ลูกผู้ชายทำผิดก็ต้องกล้ารับผิด  ตอนนี้ลื้อไม่ใช่เด็กแล้วนะ  ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว  ลื้อเองยังชอบเขาได้แล้วทำไมคนอื่นจะชอบไม่ได้  อีกอย่างถึงจะทำไปเพราะหวังดี  แต่ถ้าเขาไม่ได้ขอร้องแล้วลื้อไปทำอะไรให้เองแบบนี้  มันเรียกว่าเสือกนะอาโทนี่”



    “ครับป๊า  อั๊วะก็คิดว่าจะไปขอโทษน้องเขาอยู่”  ถึงจะแรงไปหน่อยแต่มันก็ตรงตัวกับผมที่สุด ผมเสือกไปเองจริงๆ



    “เออ คิดดีแล้วแบบนั้นน่ะโทนี่”



    “แต่ก็น่าสงสารพี่สโนว์เขาเหมือนกันนะ   เป็นโรคกลัวผู้ชายแบบนั้นใช้ชีวิตลำบากแย่  คณะเฮียยิ่งมีแต่ผู้ชายด้วยอ่ะ   ม๊า ถ้าอั๊วะแบ่งเลือดบ้าผู้ชายไปให้พี่เขา  เขาจะอาการดีขึ้นไหมอ่ะ”


    “อั๊วะก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ก็น่าสงสารอาสโนว์จริงๆแหละ   ลื้อต้องดีกับน้องสโนว์เขาให้มากๆนะอาอันโทนิโอ้”   ม๊าทำหน้ายุ่งเมื่อถูกอาหลิงถามคำถามน่าสงสัยแบบนั้น   ก่อนจะหันมาสั่งผมอีกครั้ง


    “อั๊วะก็อยากทำดีกับน้องเขาจะแย่  แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็น้องเขากลัวผู้ชายอ่ะม๊า  แล้วดูตัวอั๊วะดิอย่างกับเป็นน้องแรมโบ้อ่ะ  เขาคงช็อควันละ 10 รอบ ถ้าอั๊วะเข้าไปใกล้”   ปัญหานี้ก็ยังแก้ไม่ตกสักที คิดยังไงก็คิดไม่ออก



    “จริงๆมันก็มีวิธีนึงนะที่ลื้อจะเข้าใกล้อาสโนว์ได้...”  ม๊าทำท่าคิด  พวกผมสามคนพี่น้องก็ต่างตั้งใจฟังไปด้วย


    “วิธีอะไรอ่ะม๊า  บอกเลยอั๊วะอยากรู้จะแย่”


    “ก็...ลื้อก็ไปเป็นตุ๊ดไง!”


    “เฮ้ย!!!  จะบ้าหรอม๊า  ใครจะบ้าทำอะไรแบบนั่นได้”


    “โห  ม๊าอย่างเฮียเนี่ยนะ....ไม่ไหวมั้ง   เสียสถาบันสาวสองเขาหมดอ่ะ”   อ้าว ไอ้น้องเลวแล้วทำไมหันมามองผมตีนจรดหัวด้วยสายตาสะพรึงแบบนะล่ะโว๊ย   


    “อั๊วะ ก็ไม่ได้อยากทำสักหน่อย ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลยอาหลิง”  ผมเอาตะเตียบชี้หน้า ยัยน้องตัวดีก็ย่นหน้าใส่อย่างไม่กลัว


    “อั๊วะอิ่มแล้ว  ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะ”  อยู่ๆป๊าก็วางตะเกียบรีบยกน้ำขึ้นดื่มทั้งที่กินไปไม่กี่คำ


    “เดี๋ยวววว  นี่ยังไม่สองทุ่มเลย  ลื้อจะรีบไปไหนห๊ะ  อามิ่งขวัญ  นั่งลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”   ม๊าหันไปแว๊ดใส่ป๊าทันทีก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ  ป๊าก็ได้แต่นั่งตามที่ม๊าสั่งทำตาปริบๆ  เม้มปากไปด้วย



    “ไม่บ้าหรอกน่า   ไอ้เรื่องปลอมเป็นตุ๊ดไปตีสนิทหญิงเนี่ยมีคนทำมาแล้วพวกลื้อรู้ไหม”



    “มีคนเพี้ยนแบบนั่นจริงๆหรอม๊า  ไม่อยากเชื่ออ่ะ”   ยอมรับว่าก่อนมาบ้านผมคิดว่าม๊าจะมีคำแนะนำดีๆกว่านี้นะ  แต่นี่อะไรวะจะให้ผมแกล้งเป็นตุ๊ด บ้าป่าว  ใครมันจะกล้าทำวะ


    “หึหึหึ   อาอันโทนิโอ้~  ลื้อเห็นรูปนั้นไหม”  ม๊าชี้ไปที่รูปที่ติดอยู่ตรงผนังข้างรูปแต่งงานของป๊ากับม๊า


    “ก็เห็นมาตั้งแต่เกิดอ่ะ  รูปม๊ากับเพื่อนม๊าไงล่ะ”   เป็นรูปตั้งแต่ม๊าสาวๆเลยครับใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสดถือพัดแอ็คท่าคู่กันกับเพื่อนผู้หญิงของม๊า



    “ลื้อลองไปมองรูปให้ดีๆสิ  ว่าคนในรูปนั่นน่ะเป็นใครกันแน่”   ม๊ายิ้มกริ่ม  พยักเพยิดหน้าไปทางรูป  ผมเลยลุกไปยืนมองดูให้ชัดๆอีกทีเพราะรูปมันก็เก่ามากแล้ว


    “เฮียๆ  เอารูปลงมาเลยหลิงอยากดูด้วย”   อาหลิงมาเขย่งขาพยายามดูด้วยอีกคน


    “ฟู่..ฟู่..ก็..อยาก..ดู..ด้วย..นะ”  อาฟู่ฟู่เองก็หันมาส่งเสียงบอกผมด้วยอีกคน   แต่กว่าจะฟังอาฟู่พูดจบนี่ลุ้นกันจนตัวโก่งทั้งบ้าน   คืออาฟู่แกเป็นเด็กที่พูดไม่ชัดครับ เวลาพูดจะเหมือนพวกฝรั่งที่พยายามพูดภาษาไทยน่ะครับแบบ ซาหวาดดีคราบ  โผ้มม๋ายข้าวจายคราบ ประมาณนั้นเลย  ตอนแรกเราทั้งบ้านก็หัวเราะเอ็นดูเป็นเรื่องตลกไป  แต่พออาฟู่เริ่มพูดเป็นแค่คำๆแล้วเว้นไป 2 วิ ถึงจะเอ่ยคำต่อมา  ก็เริ่มเป็นห่วงกลัวน้องเป็นเด็กพัฒนาการช้าเพราะม๊าก็มามีอาฟู่ตอนอายุมากแล้วด้วย   เลยพาไปหาหมอให้ช่วยประเมินว่าอาฟู่พัฒนาการช้าหรือเปล่า   ก็ได้ความว่าอาฟู่ปกติดีทุกอย่าง  แต่ที่พูดช้าเพราะเหมือนตอนที่พวกเราไปหัวเราะเวลาอาฟู่พูดไม่ชัด  ทำให้อาฟู่รู้สึกว่าตัวเองแปลกและไม่มั่นใจเลยพยายามจะพูดให้ชัดๆ แบบนึกก่อนว่าออกเสียงยังไง แล้วถึงพูด พูดเสร็จก็นึกคำต่อไปว่าออกเสียงยังไงต่อก็เลยช้าแบบนี้   คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวโตไปก็จะดีขึ้นเองแต่ตอนนี้ก็อย่าไปล้ออาฟู่อีก  ฉะนั้นเวลาอาฟู่พูดทีพวกเราก็ต้องตั้งใจฟังให้มากๆ



    “ได้เลยอาตี๋น้อย  เดี๋ยวเฮียถอดไปให้ดูนะ”  ผมหันไปบอก  อาฟู่ก็ยิ้มแฉ่งจนตาเป็นไม้ขีดมาให้  แบบดีใจจัดที่พูดแล้วพวกเราฟังรู้เรื่อง   น่ารักไหมล่ะครับอาตี๋น้อยของบ้านผม  มีเอกลักษณ์ตั้งแต่เด็กเลย


    พอผมถอดเสร็จก็ยกมาวางไว้ตรงที่ว่างๆบนโต๊ะทานข้าว  หยิบทิชชู่มาเช็ดฝุ่นออกเสียหน่อยแล้วช่วยกันดูสามคน  ผม อาหลิง อาฟู่


    “ก็ไม่เห็นมีอะไรนิม๊า  ก็คนนี้ม๊า คนนี้เพื่อนม๊าไง  ใช่ป่ะอาหลิง  ลื้อเห็นเหมือนอั๊วะใช่ไหม”


    “อือๆ ใช่เฮีย  ม๊าจะให้ดูทำไม”


    “สวย..สวย”  อาฟู่เอานิ้วชี้ไปที่รูปม๊าแล้วก็ชมว่าสวย ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนม๊าแล้วก็ชมว่าสวยอีกครั้ง


    “คริคริ  ฟู่ฟู่ชมม๊าแบบนี้ก็เขินแย่ซี  ตาแหลมตั้งแต่เด็กเลยนะเรา  สมเป็นลูกชายม๊าจริงๆ”  ม๊าทำท่าเหนียมอายทั้งที่ยิ้มจนหน้าบานเป็นกระโล่  ก่อนจะหอมฟัดแก้มอาฟู่ให้รางวัลที่พูดถูกใจคนแก่จัด


    “ตกลงไม่มีอะไรใช่ไหมม๊า  อั๊วะจะได้เอาไปแขวนคืนที่เดิม”


    “มีๆๆสิว๊า  นี่ตั้งแต่เกิดกันมาเคยเห็นเพื่อนม๊าคนนี้กันสักครั้งไหมล่ะ”


    “ไม่เคยอ่ะ”  ผมกับอาหลิงพูดพร้อมกัน   เพราะเคยเห็นก็แต่ในรูป


    “เขากลับบ้านเก่าไปแล้วหรอม๊า”  ผมถามไปอย่างนั้น


    “ปากหมา! ตบปากตัวเอง 3 ครั้งแรงๆเดี๋ยวนี้ไอ้โทนี่!”  อยู่ป๊าที่นั่งก้มหน้าเงียบมานานก็เงยหน้ามาว๊ากใส่ผมจนสะดุ้งด้วยความตกใจ  แต่ก็รีบตบปากตัวเองตามป๊าสั่ง


    “โฮะๆๆๆ”  ม๊าเองก็ขำใหญ่  ผมกับอาหลิงมองหน้ากันงงๆว่าคนทั้งคู่เป็นอะไรกัน   ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างแว๊บเข้ามาในหัว  แล้วเหมือนอาหลิงก็จะคิดแบบเดียวกันกับผม  เราเลยก้มไปมองเพื่อนม๊าอีกครั้งให้แน่ใจแล้วหันมาสบตากัน   ก่อนจะหันไปยังเป้าหมายโดยพร้อมเพรียง         



    “ป๊า!!!”


    “.......เออ   อั๊วะเองแหละ”



    “อ๊ากกกกก  ป๊าทำอะไรลงไปปปป”  ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสาวหน้าคมเพื่อนม๊าจะกลายเป็นป๊าไปได้   นี่โลกมันอยู่ยากมาตั้งแต่สมัยป๊าม๊าแล้วหรอวะ!


    “แอร๊ยยยยย  ป๊าตอนนั้นป๊าน่ารักอ่ะ! กรี้ดๆๆๆ”   ยัยหลิงกลับกรี้ดวี้ดว๊ายยิ้มชอบใจออกหน้า  เหมือนกันค้นพบขุมทรัพย์ความฟินอะไรสักอย่าง ยกโทรศัพท์มาถ่ายรูปใหญ่


    “o_o  -_- o_o  -_- o_o”  ---→ อาฟู่ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ มองหน้าป๊าที หันมาดูรูปที


    “ใช่..หรอ...ป๊า..หรอ”   ก่อนจะเอ่ยถามแบบหน้างงๆ  พลางยกมือป้อมๆมาเกาหัวเหม่งอย่างสงสัยเป็นอิคคิวซัง



    ป๊าก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ  ทั้งหน้า ทั้งหูแดงไปหมด  แขวนโชว์มาตั้งนานไม่อาย  เพิ่งจะมาอายตอนลูกรู้ความจริงเนี่ยนะ  โถถถถถถ


    “ป๊า...ทำไมอ่ะป๊า  ป๊าทำแบบนั้นไปทำไม”  เฮ้ยแบบทั้งช็อค ทั้งตกใจ ทั้งยังรับไม่ได้ด้วย  เป็นใครมาเจอแบบนี้ก็ต้องอึ้งเหมือนผมนี่แหละ


    “ก็เพราะป๊าลื้อชอบอั๊วะมากไงล่ะ   บอกเลยสมัยนั้นม๊าเนี่ยสวยสุดในตลาดเลยนะยะ แบบหน้าก็งาม หัวก็ฉลาด หุ่นก็เซี้ยะเปรี๊ยะจนน่ากิน  โฮะๆๆๆ”   ม๊าก็ยังคงอวยตัวเองต่อไปแบบไม่มีความรู้สึกอายฟ้าดินเลยสักนิด - - ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ


    “ก็ตอนนั้นน่ะ   อาม่าเขาหวงลูกสาวมาก  ส่วนม๊าลื้อก็ตั้งท่าเกลียดผู้ชายอย่างออกนอกหน้า  แต่ทำไงได้อั๊วะหลงผิด.”


    ป๊าบ!


    “พูดใหม่อีกทีซิ อามิ่งขวัญ”  ม๊าตบเข้าที่ไหล่ป๊าก่อนจะตวัดตาขวับไปมองอย่างนางมาร


    “อั๊วะหลงรักๆจ้า   เออก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงก็ชอบม๊าลื้อไปแล้ว  อยากจะจีบเขาให้ติดก็ต้องลงทุนหน่อย...แต่บอกไว้เลยว่าถ้าไม่ใช่ม๊าลื้อ  ให้ตายป๊าก็ไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก...แต่ที่ยอมเพราะรักมากจริงๆ”  พอป๊าพูดแบบนั้นม๊าก็เขินใหญ่ เขินแบบเขินอายจริงๆไม่ใช่เขินแบบเล่นใหญ่เหมือนตะกี้   อาหลิงเองก็ทำหน้าฟินจนแก้มปริตามไปด้วย









มีต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


“แล้วยังงี้ตอนนั้นม๊าก็เชื่อหรอว่าป๊าเป็นตุ๊ดอ่ะ  อาม่าก็ด้วย”  อาม่าไม่ได้ตอบอะไรยังตั้งหน้ากินข้าวพร้อมกับอาฟู่ต่อไปไม่รู้ว่าเพราะหูตึงเลยไม่ได้ยินหรือเปล่า ส่วนม๊าก็บอกว่า “ตอนนั้นอั๊วะก็สงสัยแหละแต่ป๊าลื้อก็ค่อนข้างเนียนลงทุนไว้ผมยาวจนเลยบ่า  จริตจกรานก็ดูเป็นตุ๊ด ทำเป็นเข้ามาสมัครเป็นนักแสดงงิ้วบอกว่าจะหาตังค์ไปทำนม แต่ก็นะอั๊วะมันเป็นคนฉลาดไม่นานก็จับได้  แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ปล่อยให้ป๊าลื้อแกล้งเป็นตุ๊ดต่อไปอยากรู้ว่าจะไปได้ซักกี่น้ำแต่ป๊าลื้อก็อึดจริงๆ  ที่ยอมแต่งก็เพราะแพ้ความพยายามของป๊าลื้อหรอกนะ”  ม๊าระลึกความหลังให้ฟังเล่าไปก็ยิ้มไป 


    “ตอนนั้นป๊ายอมรับนะว่าอายอยู่เหมือนกัน  แถมโกหกพ่อกับแม่ป๊าด้วยว่าไปหางานทำที่กรุงเทพ  ทั้งที่จริงหนีมาเข้าคณะงิ้วม๊าลื้อที่นครสวรรค์นู่น  ตอนนั้นอั๊วะก็อายุเท่าๆกับลื้อเนี่ยแหละยังคิดอะไรไม่เข้าท่านัก  แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับที่เสี่ยงนะ แม้กระทั่งอาม่าที่หวงลูกสาวยังยอมแพ้ต่อความพยายามของอั๊วะเลย”  ป๊ายืดตัวยักคิ้วอย่างภูมิใจนักหนาที่พิชิตหัวใจผู้หญิงทั้งสองคนนี้ได้



    “แต่ขนาดตอนนั้นป๊าดูเป็นผู้หญิงกว่าอั๊วะยังถูกม๊าจับได้เลย   อั๊วะเองก็คงถูกจับได้ตั้งแต่แรกเลยมั้ง  แผนนี้ไม่เวิร์คอยู่ดีอ่ะ”



    “โอ๊ยยยย เฮีย  ไม่ได้อยากจะว่านะแต่เฮียโคตรซื่อบื้อเลยอ่ะ....คือที่ป๊ากับม๊าเขาเล่ามาทั้งหมดเนี้ยเพื่อจะบอกว่า ให้เฮียอ่ะพยายามเข้า ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกับป๊าก็ได้  ป๊าก็บอกอยู่ว่าตอนนั้นยังเด็กคิดอะไรไม่เข้าท่าเท่าไหร่ไง..... น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนถ้าเฮียขยันทำดีกับพี่สโนว์เข้าไว้  ยังไงพี่สโนว์ต้องรับรู้ถึงความพยายามของเฮีย  แล้วก็รู้ว่าเฮียไม่ใช่ผู้ชายประเภทเดียวกับพวกนั้นที่ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้  สักวันพี่สโนว์อาจจะเปิดใจให้กับเฮียก็ได้นะ  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  เหมือนที่ป๊าจีบม๊าและชนะใจอาม่าสำเร็จไง   เพราะความพยายามล้วนๆเลยใช่ไหมป๊า!”


    “ใช่แล้วอาหลิง”   ป๊ายิ้มหน้าบานเหมือนนั้นคือความภูมิใจสูงสุดในชีวิต


    “อาจือหลิง  ลื้อเป็นลูกที่ม๊าภูมิใจจริงๆ  สมแล้วที่เป็นลูกม๊า ฉลาดเหมือนอั๊วะเลย โฮะๆๆๆ”  ใครฉลาดก็เป็นลูกม๊าหมดแหละ เห๊อะ   


    “อีกอย่างนะอาโทนี่  ลื้อโดดเรียนมาใช่ไหมวันนี้”


    “...อือ  อั๊วะขอโทษ...”


    “เออ  รู้ว่าผิดก็ยังดี  ตอนนี้ลื้อเรียมหา’ลัยแล้วนะ  ต้องจริงจังกับการเรียนและหัดมีความรับผิดชอบให้มากขึ้นได้แล้ว  อั๊วะเข้าใจว่าลื้อไม่สบายใจเลยอยากกลับบ้าน  แต่ลื้อก็น่าจะรู้ว่าบ้านมันไม่หนีลื้อไปไหนหรอก  เรียนเสร็จค่อยกลับมาก็ได้   อีกอย่างการหนีปัญหามันแค่ยืดเวลาไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงนะอาโทนี่  จำคำป๊าไว้  เข้าใจไหม”


    “ครับป๊า  ต่อไปอั๊วะจะไม่โดดเรียนแล้ว   อั๊วจะเอารูปรับปริญญามาแขวนที่ฝาผนังบ้านให้ได้!”


    “เออ  มันต้องแบบนี้สิวะ ลูกชายคนโตของบ้าน  เอาๆรีบกินกันซะ  อาม่าตั้งใจทำปลาเก๋าให้ลื้อเลยนะ”


    “อาม่าน่ารักที่สุด  ปลาเก๋าที่ไหนก็ไม่เด็ดเท่าของอาม่า อั๊วะจะกินให้หมดเลย”  ผมหันไปยอเอาใจคนแก่ที่ยิ้มอย่างชอบใจ  ผมไม่ได้โกหกนะครับว่าของอาม่าเด็ดสุด เพราะผมน่ะเคยกินแต่ปลาเก๋าฝีมืออาม่าไงของคนอื่นไม่เคยกินเพราะม๊าบอกกินข้าวนอกบ้านมันเปลือง!  อาหารของอาม่าจึงเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดของบ้านไป


    แล้วหลังจากคุยกันเสร็จผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกก็พากันกินข้าวอีกครั้งอย่างอารมณ์ดีจนกับข้าวหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ   ป๊ากับม๊าก็ขึ้นห้องไปลำลึกความหลังกันสองต่อสอง ส่วนอาหลิงเก็บจานไปล้าง   ผมเองก็อุ้มอาฟู่พาอาม่าขึ้นไปส่งที่ห้องนอน  คู่นี้เขานอนห้องเดียวกันครับ  ระหว่างที่อาม่าเข้าไปอาบน้ำผมก็นอนอ่านนิทานให้อาฟู่ฟังจนหลับไป  เพราะอาฟู่อาบน้ำตั้งแต่ตอนเย็นแล้วครับเลยไม่ต้องปลุกมาอาบน้ำ   ห่มผ้าให้ตี๋น้อยของบ้านเสร็จผมก็ก้มไปจุ๊บหัวเหม่งอย่างเอ็นดูอีกรอบ


    “อาม่าอาบเสร็จพอดีเลย  อาฟู่หลับไปตะกี้นี้เอง”



    “เออ ดีๆๆ อั๊วะจะได้ไม่ต้องตบตูดกล่อมให้เมื่อย  ขอบใจมากนะอาอันโทนิโอ้”  อาม่าพูดพลางเช็ดผมไป   ผมเลยไปเสียบไดร์มาเป่าผมให้แกเลย  ห่วงกลัวอาม่าจะเป็นหวัดน่ะครับ  ก็เลยรีบเป่าให้แห้งดีกว่า  ก่อนเป่าก็พนมมือไหว้หัวอาม่างามๆไปหนึ่งทียังไงหัวคนโตกว่าก็ถือว่าเป็นของสูง ผมเองก็เต็มใจไหว้ก่อนเพื่อความสบายใจส่วนตัวด้วย  ถึงแม้อาม่าจะไม่ได้หันมามองก็ตาม   ทีผมทำเรื่องดีๆไม่ค่อยมีใครจะสนใจ ผู้ปิดทองหลังพระที่แท้จริง - -   และคนแมนๆเขาก็เป่าผมให้ผู้หญิงแบบนี้แหละครับถึงจะแก่จนหัวขาวโพรนก็เถอะนะ 5555+  คิดซะว่าซ้อมก่อนมีแฟนจริง  จะดูแลให้อย่างดี ^^


    “อาม่า  อั๊วะถามจริงๆนะ  ตอนนั้นอาม่าไม่รู้จริงๆหรอว่าป๊าเป็นผู้ชายแท้ๆ”  หลังจากเป่าผมให้จนแห้ง  ผมก็ถามคำถามคาใจอีกรอบ  ถึงป๊าจะลงทุนไว้ผมยาวแต่โครงหน้าก็ยังคมๆอยู่แถมตัวสูงด้วย ดีว่าตอนนั้นผอมไม่อ้วนหุ่นอาเสี่ยเหมือนตอนนี้


    “ก็รู้น่ะสิ   สายตาป๊าลื้อที่มองอากิมย้งหวานเยิ้มซะขนาดนั้น ใครมันจะดูไม่ออกว๊า อั๊วรู้ตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ”


    “อ้าว  แล้วทำไมอาม่าถึงยังยอมให้ป๊าแกล้งเป็นตุ๊ดมาทำตัวใกล้ชิดม๊าอีกอ่ะ ไหนว่าหวงมากไง”


    “จริงๆอั๊วะก็จะห้ามนั่นแหละ....แต่ที่ไม่ได้ห้ามก็เพราะ......รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะอาอันโทนิโอ้”   ทำไมผมรู้สึกเกลียดประโยคนี้จัง  - -  แต่ก็พยักหน้ารับไปเพราะความอยากรู้มีมากกว่า


    “คืองี้....อั๊วะไปสืบรู้มาว่าอามิ่งขวัญ  อีเป็นลูกเจ้าของโรงสีข้าวที่สุพรรณ แถมแม่อีก็เป็นลูกเจ้าของร้านทองอีก   พออั๊วะรู้อย่างนั้น...ก็เลยทำเป็นไม่รู้ปล่อยให้อีตีสนิทม๊าลื้อไป”   โถถถถถถถ   ไหนบอกความพยายามล้วนๆไงวะป๊า  อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดจริงๆ   ความภูมิใจนักภูมิใจหนาชนะใจแม่ยายได้  555+  ที่ไหนได้อาม่าดันแพ้ตั้งแต่รู้ว่าเป็นลูกเจ้าของโรงสีกับร้านทองแล้ว


    พออาม่าเห็นผมขำจนน้ำตาเล็ดก็ตีใหญ่ว่าให้เสียงเบาๆเดี๋ยวคนอื่นได้ยิน “แต่อั๊วะก็คอยเฝ้าดูตลอดไม่ให้ทำอะไรผิดผีไปหรอกนะ  ถึงจะอยากได้ร้านทองแต่อั๊วะก็ห่วงอากิมย้งมากกว่าอยู่ดี     แล้วอย่าเอาไปเล่าให้ป๊าลื้อฟังล่ะ  ปล่อยให้อีภาคภูมิใจไปเหอะ  เข้าใจไหมอาอันโทนิโอ้!”


    “ฮ่าๆๆ ครับอาม่า”

    ผมกลับเข้ามานอนในห้องของตัวเอง  พลางนอนคิดแบบที่ทุกคนบอก  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ผมจะทำดีกับสโนว์ให้มากๆถึงแม้จะห่างๆอย่างห่วงก็เถอะ 



    ถ้าเรารักใคร  เราก็ควรทำให้เขามีความสุขโดยที่เราไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใช่ไหมครับ





   
    ผมยังคงทำเพจนังเซ่นไหว้ต่อไปเรื่อยๆ   แอบมองสโนว์จากทางด้านหลัง  แต่ไม่ได้ไปถ่ายรูปแล้วเพราะป๊าบอกให้เลิกทำ  ไม่มีใครชอบถูกแอบถ่ายหรอก  ซึ่งผมว่าจริงที่สุด   ถ้าจะมีใครเข้าไปจีบหรือขอทำความรู้จักสโนว์ผมจะปล่อยให้เขาทำ  เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะชอบสโนว์ได้เหมือนกันและผมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับสโนว์ด้วยจึงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรือหึงหวง   และทุกครั้งสโนว์จะปฎิเสธและเดินหนีตลอด  ถ้าหากผมเห็นว่าอีกฝ่ายยังจะตามตื้อทั้งที่สโนว์ไม่ชอบ  ผมจะเข้าไปขวางแบบเนียนๆ  แกล้งชนให้ล้มบ้าง  ทำน้ำหกใส่เสื้อบ้าง  แล้วแต่ว่าสมองตอนนั้นจะคิดได้


    ผมทำเวียนอยู่อย่างนี้มาตลอด 1 ปีเต็ม  น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเบื่อ  แม้ว่าสโนว์จะไม่เคยรับรู้ว่าผมเป็นคนทำเพจนังเซ่นไหว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ  แม้จะได้เพียงมองอยู่ด้านหลังโดยที่เขาไม่เคยเหลียวมามอง  แม้จะคอยขัดขวางพวกตามตื้ออยู่เงียบๆไม่ได้โชว์ว่าเป็นพระเอกขี่มาขาวมาช่วยซึ่งๆหน้าก็ตาม   แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ทำแบบนี้จริง   ขอแค่ได้เจอหน้าเขาทุกวันก็พอ……  โคตรพระรองเลย ให้ตายเถอะ





    จนกระทั่ง  ขึ้นปี 2   แยกเรียนแต่ละเอก...




    “มัม  เอกไอไม่มีผู้หญิงเลย  ไอ...ไอจะไปลาออก”




โปรดติดตามตอนต่อไป.... :3123:
ตอนหน้าอันโทนิโอ้จะเมคอิทแฮพเพ่นแล้วน้าทุกคน


***************************************

    มินิซีน....เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้




    “ใครโทรมา  อาอันโทนิโอ้หรอม๊า”  กิมย้งที่เพิ่งขายทองให้ลูกค้าเสร็จเอ่ยปากถาม  ทั้งที่มือก็กำลังเอาสร้อยทองเส้นที่ลูกค้าขอเลือกดูแต่ไม่ได้ซื้อไปเรียงเก็บไว้ที่เดิม


    “เออ  อาอันโทนิโอ้บอกอีจะกลับบ้านวันนี้”   


    “อ้าว  ทำไมอย่างงั้นล่ะ วันนี้เพิ่งวันพฤหัสเอง  อีไม่มีเรียนวันศุกร์หรือไง  เข้ามหา’ลัยยังไม่ทันจะจบเทอมดี  เกเรซะแล้ว  มันจะไปรอดจนจบไหมเนี่ย”  กิมย้งบ่นสีหน้าเหวี่ยงรู้สึกไม่พอใจที่ลูกชายตัวดีโดดเรียนทำตัวเหมือนเดิมไม่ปรับปรุงนิสัย


    “น้ำเสียงอาอันโทนิโอ้มันไม่ค่อยดียังไงไม่รู้เหมือนกัน  อั๊วะว่าอีคงมีเรื่องไม่ค่อยสู้ดีนักเลยอยากจะกลับบ้าน  เสียงดูซึมๆไม่ปกติ”   คนแก่ที่เลี้ยงหลานคนโตมาตั้งแต่เกิดย่อมจับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปได้โดยสัญชาตญาณ


    “แต่มันโตแล้วนะม๊า  มันต้องมีความรับผิดชอบสิขาดเรียนแบบนี้ได้ยังไงกันเมื่อก่อนอั๊วะไม่ว่าเพราะมันยังเด็กนี่เข้ามหา’ลัยแล้วจะทำตัวแบบเดิมไม่ได้  ยิ่งโง่ๆอยู่ขาดเรียนแบบนี้ก็ไม่จบกันพอดี  เดี๋ยวอั๊วะจะโทรไปว่ามันไม่ต้องกลับมาบ้าน” 


    “อากิมย้ง  อั๊วะรู้ว่าลื้อห่วงอาโทนี่กลัวเรียนไม่จบ  แต่อาม่าเขาก็บอกอยู่ว่าอาโทนี่มันน้ำเสียงไม่ค่อยจะดี มันคงจะไปเจอเรื่องร้ายแรงอะไรมาแล้วไม่สบายใจ  ถึงได้อยากกลับบ้านแบบนี้  ถ้าลื้อโทรไปห้ามมัน ลื้อคิดว่ามันจะกลับไปเรียนไหม  คนมันตัดสินใจโดดไปแล้วมันไม่กลับไปหรอกอาจจะไปหาพรรคพวกที่โรงเรียนเก่า แล้วทีนี้จะพากันไปทำอะไรพวกเราก็ไม่รู้แล้ว จะถูกชวนไปยกพวกตีกับใครอีกก็ไม่แน่ ลื้อจะเอาแบบนั้นหรอ”   มิ่งขวัญหันมาเตือนภรรยาตนให้คิดรอบคอบด้วยความปราณีปรานอม

    “มันเลือกกลับบ้านก็ดีแล้ว มันก็คงเห็นบ้านเราเป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดของมันนะอากิมย้ง  ลื้ออย่าไปบีบให้มันไม่เหลือที่ไปเลย  ถ้ามันมาเราค่อยถามสาเหตุแล้วสั่งสอนมันเรื่องโดดเรียนทีหลังก็ยังได้นะ”

    “....เออ ก็ได้ๆๆ แต่ลื้อต้องสั่งสอนมันจริงๆนะอามิ่งขวัญ อย่าให้มีอีกเป็นครั้งที่สองแล้วกัน  ถึงคราวนั้นอั๊วะไม่ยอมจริงๆด้วย”  กิมย้งยอมฟังเหตุผลของสามีแต่โดยดี  จะยอมปล่อยไปให้แค่ครั้งเดียวก่อนแล้วกัน

    “งั้นเดี๋ยวอั๊วะไปตลาดก่อนนะ  จะไปหาซื้อปลาเก๋าของโปรดอาอันโทนิโอ้ให้สักหน่อย  กินของอร่อยๆจะได้หายเครียด”   หญิงแก่พูดขึ้นหลังปล่อยให้ผัวเมียตกลงปัญหาในครอบครัวกันเองเรียบร้อย  แล้วจึงเดินไปตลาดที่อยู่ใกล้ๆ พอดีกับอาหลิงที่เพิ่งลงรถเมล์มาหลังจากเลิกเรียน  พอรู้ว่าอาม่าจะไปซื้ออะไรก็อาสาไปแทนทันที

    “อั๊วะไปซื้อให้เองได้น่า  อาม่าเข้าไปพักที่ร้านเถอะ  ม๊าเคยสอนอั๊วะเลือกปลาแล้วอั๊วะจำได้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะเลือกตัวสดๆใหญ่ๆด้วยเพราะเฮียน่ะกินจุชะมัด  อั๊วะรู้”   พูดเสร็จก็รับเงินเข้าไปในตลาดไม่รอให้อาม่าพูดอะไรอีก


    ...ครอบครัวควรจะเป็นเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตให้ร่มเย็นพึ่งพาอาศัยกันได้    บ้านที่ร้อนเป็นไฟไม่มีใครอยากอยู่...



รักนะแต่ไม่เคยบอกอันโทนิโอ้ ~~~




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ครอบครัวนี้น่ารักสุดๆ ขอบอก ทั้งอาม่า ป๊า ม๊า อาหลิง และน้องเล็ก
ว่าแต่ละคน มีความลับของกันและกันแบบน่ารักๆ ซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


EP.4

    หลังจากที่ผมรับบทบาทเป็น ‘คนแคระทั้ง7’ ที่ต่อตัวรวมพลังมาเป็นผมที่สูงรวม 186 ทำหน้าที่ดูแลปกป้องสโนว์ไวท์แบบเงียบๆมานานจนผมคิดว่า  ผมคงเป็นได้แค่นี้ไปตลอดจนเรียนจบโน้นแหละครับ  เพราะความหวังช่างริบรี่มากๆที่จะได้เข้าไปในชีวิตของสโนว์  คือทำใจแล้วไงว่าคงเป็นได้แค่นี้จริงๆ


    จนกระทั่งขึ้นปี 2  ก็ต้องแยกเอกกันแล้ว  ยังจำกันได้ใช่ไหมครับว่าผมกับสโนว์น่ะเรียนเอกเดียวกัน  แปลว่าผมจะได้เจอสโนว์ทุกวัน  อาจจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นก็ได้นะ...หวังว่า 


    “ไงมึง  เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนแบบเต็มรูปแบบยังวะ  ไอ้โอ้”  ไอ้โปที่เข้ามาที่หลังเอาหนังสือเคาะหัวผมที่นอนฟุบฆ่าเวลารออาจารย์เข้ามาสอน  เดี๋ยวนี้มันไม่เรียกผมว่าอันโทนิโอ้ หรือ โทนี่แล้วครับ มันบอกยาวไป เรียกโอ้เฉยๆพอ   ตอนแรกผมก็จะคัดค้านแหละเพราะชื่อผมมันโคตรเท่  แต่คิดๆไปมันคงเห็นผมหล่อเหมือนมาริโอ้ล่ะ  เลยเรียกแบบนั้น  เลยปล่อยๆมันไปก็ได้


    “พร้อมยิ่งกว่าพร้อมอีกเว้ย  ระดับอันโทนิโอ้ซะอย่าง กระจอกมากบอกเลย” 


    “มึงหรือวิชาเรียนที่กระจอก”


    “ถามได้  ก็ต้องกูสิวะ!”


    “ฮ่าๆๆๆ ไอ้ห่า โง่แล้วยังทำอวดเก่งอีกสัตว์”  ผมยอมรับแบบหน้าด้านๆ  ตอนปี 1 ก็มีไอ้ปลัดคิกนี่แหละครับที่ช่วยติวให้จนผ่านมาได้   มันจึงกลายเป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณของผมเลย   ผมเองก็คบมันอยู่แค่คนเดียวนี่แหละครับ  กับคนอื่นก็แค่คุยๆกันเฉยๆไม่ได้สนิทมาก   คือถ้าอยู่มหา’ลัยแล้วเพื่อนน้อยนี่ไม่ถือว่าแปลกนะครับ  ปกติมากๆ  ตอนปี 1 เคยพยายามจะหาเพื่อนเยอะๆเหมือนตอนมัธยมหรือตอนเทคนิคแล้ว  แต่มันไม่ค่อยโอเท่าไหร่  อาจเพราะต่างคนก็ต่างโตมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว  ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเหมือนๆกันอย่างตอนเด็ก  อยู่มหาวิทยาลัยก็จะเจอคนหลากหลายแบบมีทั้งดีไม่ดีหาผลประโยชน์กัน   ดีนะว่าผมมันรูปชั่ว ตัวดำแถมไม่ค่อยฉลาดเลยไม่มีอะไรให้ใครเข้ามากอบโกย  อีกอย่างอยู่กันแค่ 2 คนก็ดีแล้ว  ผมว่ามากคนก็มากความนะ


    นั่งขำกันอยู่สองคน  สายตาก็พลันไปเห็นตอนน้องสโนว์เดินเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนพอดี  ช่างเป็นวันเปิดเรียนที่โคตรสดใสสำหรับผมเลย  แต่กับสโนว์คงจะไม่เพราะพอน้องเขาทำหน้าสะพรึงนิดๆเหมือนตกใจก่อนจะรีบเดินไปนั่งตรงโต๊ะที่ใกล้หน้าโต๊ะอาจารย์ที่สุด  ที่นักศึกษาทุกคนต่างพากันหลีกเลี่ยง   แต่ผมพอเข้าใจนะว่าทำไมถึงเลือกตรงนั้น  เพราะในห้องตอนนี้ยังมีแต่ผู้ชายเต็มห้องแถมส่งเสียงดังเป็นฝูงลิง  พอไม่มีผู้หญิงก็เหมือนปลดปล่อยความเป็นตัวเองกันล่ะครับ ไม่ต้องเก็กต้องคีพลุคอะไรทั้งนั้น  แต่เดี๋ยวก็คงมีผู้หญิงเข้ามาล่ะครับเพราะเหลือเวลาอีกตั้ง 10 นาทีกว่าจะเริ่มเรียน  พวกเธอคงแวะไปเติมแป้งแต่งหน้ากันก่อน  เพราะผมจำได้ว่าเอกผมมีผู้หญิงอยู่ 4-5 คนนี่แหละครับ   

    น้องสโนว์รอพวกหล่อนแป๊บนึงนะเดี๋ยวก็มีเพื่อนผู้หญิงเข้ามาแล้ว   ผมอยากจะบอกแบบนี้แต่ก็ได้แต่บอกในใจส่งไปจากด้านหลัง


    จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาสอน



    “โอ้โห  ทำไมรุ่นพวกคุณถึงได้น่าสงสารกันแบบนี้นะ”   อาจารย์ผู้ชายที่เข้ามาแล้ววางเอกสารโน้ตบุ๊คอะไรต่างๆเรียบร้อยหันมามองนักศึกษาในห้องและกล่าวทักทายพอเป็นพิธี   ก่อนจะหยิบใบรายชื่อนักศึกษาขึ้นมาดู


    “มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย...อืมม  มีผู้หญิงแค่คนเดียวเองหรอเนี่ย  ไหนอยู่ไหน สาวสวยที่สุดในห้องโชว์ตัวหน่อยสิ”   อาจารย์ถามยิ้มๆ  ผมถึงจะงงๆว่าทำไมเหลือผู้หญิงอยู่แค่คนเดียวแต่ก็รีบกวาดสายตาหาผู้หญิงที่เปรียบเหมือนเป็นโอเอซิสของสโนว์


    “จิราภรณ์ใช่หรือเปล่าครับอาจารย์”  ไอ้เอ็มยกมือขึ้นถาม   ผมรู้จักเพราะตอนปีหนึ่งก็เรียนพร้อมกันบ่อยๆเคยได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน


    “ใช่ๆ  อยู่ไหนล่ะ”


    “เขาดรอปไปแล้วครับ  ไปเล่นเจ็ทสกีแล้วไม่มองด้านหน้าดันมองแต่ฝรั่งหล่อนอนอาบแดด เลยชนโขดหินขาหักไปข้าง กระดูกร้าวอีกข้าง คงจะพักฟื้นยาวเลย เทอมนี้คงไม่ได้มาเรียนแล้วล่ะนะผมว่า”  เวรกรรม  ปั๊ดโถเว้ยยย  แล้วสโนว์จะอยู่กับใครได้วะนั่น  สีหน้าสโนว์ดูกังวลมากหลังจากที่หันหน้ามาฟังเอ็มเล่า


    “โห  น่าเห็นใจเขานะ  พวกเธอก็เหมือนกันจะทำอะไรต้องระวังไว้  เจ็บตัวไปมันเสียหายแบบนี้แหละ..” แล้วอาจารย์ก็พูดสั่งสอนอีกยาว  พลางถามนั่นนี่ไปด้วย  คนไหนที่รู้อะไรก็ตอบไป อาจเพราะเปิดเรียนวันแรกเลยต้องไถ่ถามอะไรกันก่อนให้เข้าใจสภาพห้อง สภาพนักศึกษาว่าเป็นยังไง ผูกสัมพันธ์ไว้ก่อน  เรื่องเรียนค่อยมาทีหลัง  ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะเอาแต่แอบมองสโนว์ที่นั่งคอตกอยู่...   แต่ก็สรุปใจความได้ประมาณว่าจริงๆเอกผมมีผู้หญิง 4 คน ซิ่วไปเรียนคณะอื่น 1 คน ซิ่วไปมหา’ลัยอื่น 1 คน ไปทำหน้าที่เป็นคุณแม่ 1 คน และก็อีกคนที่ขาหักนั่นแหละครับ  แม่งโคตรไม่เหลือตัวช่วยให้สโนว์เลย


    จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มสอนทฤษฏีอะไรๆก่อนให้แม่นก่อนจะไปปฏิบัติจริงในอนาคต  ผมก็ตั้งใจฟังที่เขาสอนก่อน เอาโทรศัพท์มาถ่ายสไลด์ที่วิ่งไวยิ่งกว่าหนูวิ่งในท่อให้ทันจะได้เอาไว้ทบทวนทีหลัง  จนเรียนเสร็จก็แยกย้ายกันไปกินข้าว   ผมกะจะชวนสโนว์ไปทานข้าวด้วยเพราะเห็นว่าไม่มีเพื่อน  แล้วยังต้องเรียนต่ออีกวิชาตอนบ่ายอีก  แต่สโนว์ก็เก็บของเร็วมากลุกออกไปก่อนที่ผมจะอ้าปากเสียอีก   ผมกับไอ้โปเลยต้องไปกินกันแค่สองคน (หมายถึงกินข้าวกันแค่สองคนนะครับ อย่าได้คิดลึกเชียว)


    “มึงขึ้นไปก่อนเลยไอ้โป  เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน”  ผมบอกไอ้โปหลังจากซื้อขนม ลูกอมแล้วของอื่นๆจากในเซเว่นเสร็จ


    “เคๆ  แล้วรีบขึ้นไปล่ะมึง”   ผมพยักหน้าให้  แล้วเดินไปห้องน้ำหลังโรงอาหารของคณะ






    “ฮัลโหลมัม  นี่ไอเองนะ”   เสียงคุ้นๆดังมาจากห้องน้ำด้านในสุด  ผมที่กำลังเดินเข้าไปเลยหยุดนิ่งฟัง


    (สโนว์หรอ  ยูโทรมาดึกๆแบบนี้มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า)   ไม่รู้ต้องขอบคุณห้องน้ำที่ทำให้เสียงก้องกังวานหรือเปล่า  ที่ทำให้ผมได้ยินเสียงในโทรศัพท์รอดออกมาให้ได้ยินด้วย  แม้จะเบาแต่ก็พอฟังรู้เรื่องว่าพูดอะไรกัน


    “มัม  เอกไอไม่มีผู้หญิงเลย  ไอ...ไอจะไปลาออก”



    เชี่ย!!! ถึงกับจะลาออกเลยหรอวะ   ไม่นะเว้ยยยย


    พอได้ยินแบบนั้นผมก็สติแตกตามไปด้วย  คือคิดไม่ถึงว่าสโนว์จะยอมถึงกับลาออกเลย


    (ทำไมล่ะ  ยูก็เรียนมาได้ตั้งหนึ่งปีแล้วนะ)


    “ตอนปีหนึ่งมันเรียนรวมกันทั้งคณะไงมัม  เลยยังมีผู้หญิงเป็นเพื่อนไออยู่บ้าง  แต่พอขึ้นปีสองมันแยกเอก  แล้วเอกไอก็ไม่มีผู้หญิงเลย  เพื่อนผู้หญิงไอที่เคยบอกว่าเรียนเอกเดียวกันกับไอก็ออกไปแต่งงานมีลูกแล้ว  ตอนนี้ไอไม่เหลือเพื่อนแล้วจริงๆนะมัม  ในห้องไม่มีผู้หญิงเลย  แม้แต่อาจารย์ก็เป็นผู้ชาย  ไอเรียนไม่รู้เรื่องเลยมันระแวงไปหมด  มันอึดอัด  ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไอไม่ไหวแน่ๆ”    พอได้น้ำเสียงที่หวั่นๆของสโนว์ผมก็อดเห็นใจไม่ได้  คือเข้าใจนะถ้าคนเรามันกลัวอะไรมากๆมันก็กลัวอยู่แบบนั้นแหละ  เหมือนตอนที่ผมยังเด็กๆผมเคยโดนหมากัดขาครับ  ร้องไห้ง๊ากลั่นตลาด  จนกลายเป็นคนที่กลัวหมาฝังใจไปเลย  ถึงจะโตแล้วแต่ไอ้โรคกลัวหมานี่ก็ไม่เคยหายไปสักที   ผมว่าสโนว์ก็คงเป็นแบบเดียวกับผม


    (แล้วไม่มีใครเป็นเกย์เลยหรอ  มันน่าจะมีบ้างนะในห้อง ยูลองหาดูก่อนสิ เดี๋ยวนี้เกย์รับเยอะนะยูน่าจะเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้  ที่ไทยเขาถึงขั้นแต่งหญิงกันเลยไม่ใช่หรอ แสดงออกเยอะกว่าเมืองนอกมากเลยนะ)  ใช่ๆในเอกผมน่าจะมีกันบ้างแหละ   ถึงผมจะไม่เคยเห็นก็ตามที  แต่คิดว่ามันน่าจะมีสักคนล่ะว๊า


    “ไอ..ไอไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่าน่ะสิมัม  วันนี้ไอนั่งหน้าสุด  หันไปทางด้านหลังไม่กี่วิเอง  ไม่ได้กวาดสายตามองใครเลย  ไอกลัวจะไปสบตาใครเข้า”   ไอ้อาการไม่กล้าสบตาใครผมเข้าใจนะ  สโนว์คงจะกลัวว่าถ้าไปสบตาใครเข้าจะโดนหาว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าประมาณผมแหละ  ที่ไม่อยากมองหน้าใครมากเพราะถูกหาว่ามองหน้าหาเรื่องบ่อยๆ ทั้งที่แค่มองเฉยๆ....เออ  ตกลงผมกลายเป็นเครื่องแปลภาษาสโนว์ไปอีกหนึ่งอย่างแล้วใช่ไหมวะ  นอกจากนังเซ่นไหว้ - -

   

    (ยูลองหาดูก่อนนะ  ไอว่าน่าจะมีสักคนแหละ  อีกอย่างถ้ายูลาออกตอนนี้  ยูต้องรอถึงหนึ่งปีเลยนะกว่าจะสอบเข้าใหม่ปีหน้า  แล้วอีกอย่างจะไปที่ไหนมันก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นแหละสโนว์  ผู้ชายเขาก็ไม่ได้นิสัยแย่เหมือนพวกที่ยูเคยเจอตอนเด็กกันหมดทุกคนหรอก  ยูต้องเข้มแข็งนะ  ไอเชื่อว่ายูจะผ่านมันไปได้  ไออยู่ข้างๆยูเสมอนะ)



    “...ก็ได้มัม....ไอจะลองหาดูก่อน   แต่ถ้าไม่มีจริงๆยังไงไอก็คงจะลาออก  กลับไปช่วยมัมทำอาหารอยู่แต่ในครัวก็ได้  ไอยอม”



    (ค่อยคุยกันอีกทีแล้วกัน  ยังไงไอจะขอพรพระเยซูให้ยูเจอกับคนดีๆนะสโนว์)


    “ขอบคุณนะมัม  งั้นไอไม่กวนเวลานอนแล้วล่ะ  บาย กู๊ดไนน์นะมัม”  เสียงกดวางสายไปแล้วอีกเดี๋ยวสโนว์ก็คงจะออกมาแน่  ผมเลยรีบย่องเงียบออกไปนอกห้องน้ำก่อนที่สโนว์จะเดินออกมา





    ถ้าผมไม่รีบทำอะไรสักอย่าง  ผมคงต้องเสียเขาไปตลอดชีวิตแน่ๆ  เพราะผมคงไม่มีปัญญาไปเมืองนอกได้  และถึงมีเงินไปผมก็คงไม่รู้ว่าจะไปตามหาสโนว์ที่ไหนได้  เพราะงั้น ..... ฉันต้องทำ  ทำอะไรสักอย่างแล้ว ให้เธอนั้นไม่แคล้วไม่คล้าดกัน ให้เธอรู้ตัวว่ามีคน คนอย่างฉัน แอบมองเธออยู่ตรงนี้ รอเธออยู่ตรงนี้ ฉันนี่ไง~



    เอาวะ  สักตั้งสิโว๊ยยยยย  ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย!


    สูดหายใจลึกๆสามครั้งครับ  ทุบอกเป็นคิงคองเพิ่มความฮึกเฮิม  แล้วก็ลุยเลย สู้!!!






    “ก็ความรักไม่ใช่ความลับถ้าอยากจะรักทำไมต้องปิด ก็ความรักไม่ใช่ความลับถ้าอยากจะรักทำไมต้องปิด เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ๊นนน”  ผมแหกปากร้องเพลงที่เคยได้ฟังผ่านแว๊บๆในรายการที่ม๊ากับอาหลิงชอบดู  ร้องผิดร้องถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ช่างมัน เพราะผมมัวแต่บิดสะโพกเดินไขว่ขาตรงเข้าไปในห้องน้ำใหม่อีกรอบก่อนจะฟูลเทิร์นด้วยจริตเวเนซูเอล่าไปอีกหนึ่งที



    “ว๊า...ว๊ายยยยยย”   ผมกรี้ดร้องเมื่อเกือบจะล้มเพราะฟูลเทิร์น ดีไม่ล้มหน้าทิ่ม  จริงๆคือจะร้องว๊ากกกกครับ  แต่เดี๋ยวไม่เนียนเลยต้องรีบเปลี่ยนเป็นว๊ายยย แทน   ทุ่มทุนเล่นใหญ่ไหมล่ะ   พอทรงตัวได้ก็หันไปจิกหน้าใส่กระจกที่เห็นสโนว์กำลังจะเปิดประตูเดินออกมาพอดี  แต่ผมก็แอ๊บเป็นว่าไม่เห็นแล้วเอามือล้วงไปในถุงที่ซื้อของมา หยิบเอาลิปสติกลายการ์ตูนตัวโปรดของผู้หญิงที่อาหลิงไลน์มาฝากให้ผมซื้อให้ถ้าเจอเพราะหายากมาก ซึ่งผมก็เจอมันในเซเว่นเมื่อกี้พอดี  ขอเฮียเอามาใช้ก่อนนะอาหลิง




ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0




ผมจือปากแบบที่เคยเห็นอาม่าทำบ่อยๆเวลาจะทาลิปสติกสีแดง  เปิดฝาหัวตุ๊กตาออกแล้วปาดไปที่ริมฝีปากล่างพร้อมทำตาปรือไปด้วย


    “เมคอิทฮ๊อตตตต”  ผมพูดเสร็จแล้วจิกตายิ้มมุมปากอย่างนางพญา   ก่อนจะปาดไปที่ริมฝีปากบนอีกครั้ง


    “เมคอิทพ๊อทททท”  แล้วยิ้มด้วยท่าทางปานนางฟ้าแม้หนังหนาจะโคตรน้องแรมโบ้ก็ตาม  โชคดีเหลือเกินที่เทปรายการนั้นเขาแข่งโชว์ทาลิปสติกบนรถไฟให้ดูเป็นตัวอย่างผมเลยทำท่าจิกตาจิกหน้าได้อยู่บ้าง  แต่ชื่อลิปสติกนี่ออกเสียงยากชะมัด ผมเลยจำง่ายว่า ฮ๊อตพอทๆ ร้านที่ไปกินกับเพื่อนบ่อยๆง่ายดี


    “เฟอมาร์รีน หนองจอก  เป๊าะ”   ก่อนจะแอคท่าโชว์ลิปสติกแบบเก๋ๆเอียงหน้าเคียงคอโชว์สันกรามไปมาแล้วทำปากจู๋จุ๊บตบท้ายไปอีกที   


    “อุ๊ย!  มีคนอยู่ด้วยอ๋อ  ไม่เห็นเลยนะเนี้ยยย”  ผมแสร้งทำเป็นตกใจ  เอามือปิดปาก ดัดเสียงให้แหลมเล็ก  เล่นใหญ่ขนาดนี้มันจะคุ้มค่าไหมวะเนี้ยไอ้อันโทนิโอ้…


    แต่พอเห็นแววตาที่เริ่มเปล่งประกายสุกใสเหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งของสโนว์  ผมก็รู้เลยว่าที่ผมลงทุนทำไปน่ะ  โคตรคุ้มค่า


    “แหะๆ  ตัว ตัวเห็นร่างจริงเราแล้วอย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังน้า  แบบว่าเราอายอ่ะแกร๊  ยังไม่พร้อมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนในเอกรู้อร๊า”   ผมทำกระมิดกระเมี้ยนเนียมอายมากแล้วดัดเสียงให้เหมือนที่ดูละครว่าคนที่เป็นเพศที่สามจะดัดเสียงกันแบบ คาปูวชิ่ส์โน่ร้อน แค้วหญ่าย หวั๊นน้อย คี่นี่ อ่ะครับ  เป็นไงผมเล่นใหญ่ได้ไม่แพ้ม๊าแน่นอนอ่ะตอนนี้ โคตรมั่นใจ


    “ด..ได้สิ  เราไม่บอกใครหรอก”   อร๊ากกกกกกกก  ในที่สุดก็ได้คุยกับสโนว์แล้วโว๊ยยยยย  หลังจากแค่ได้แอบมองมาตลอด 1 ปี วันนี้กูได้คุยกับสโนว์แล้วโว๊ยยยยยย   เชี่ยแม่ง โคตรๆๆๆมีความสุขเลย  ถึงแม้จะในระยะห่างประมาณ 2 เมตรก็ตามทีเถอะ  คือสโนว์เปิดประตูแต่ก็ยังยืนอยู่ในห้องน้ำห้องริมสุด  ส่วนผมยืนอยู่หน้ากระจก



    “ขอบใจน้าตัว....ตัวชื่อสโนว์ใช่ป่ะ เราเรียนเอกเดียวกันนิ”  หลังจากพูดขอบคุณไปก็เหมือนจะเกิดเดดแอร์  ผมเลยทำเป็นถามต่อไป   ก็อุตส่าห์ได้คุยกันแล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้บทสนทนาหยุดลงแค่ตรงนี้ล่ะครับ  ไม่มีทาง!


    “อื้อ  ส่วนนาย...เธอ  ใช่คนที่เต้นวันรับน้องป่ะ”   เฮ  สโนว์ถามผมกลับด้วยแหละครับ  อยากจะยิ้มให้หน้าบานจนจานดาวเทียมจับภาพได้แต่ก็ต้องเก็บอาการดีใจไว้



    “อ๋อ  ใช่แก เราเองแหละ เห็นด้วยหรอ”   ป๊าดดดด เรื่องตั้งนานมาแล้วสโนว์ยังจำได้อีกอ่ะ  แต่ก็นึกขอบคุณที่วันนั้นผมเต้นแรงเป็นนางโชว์เพราะมันเหมือนจะเข้าทางผมมากในตอนนี้   ถ้าตอนนั้นสโนว์เห็นก็คงเชื่อว่าผมเป็นตุ๊ดจริงๆแหละนะ  ไม่ได้แกล้งแอ๊บเป็นตุ๊ดมาหลอก (ถึงจะหลอกจริงๆก็เถอะ)  ป๊าครับอั๊วะขอโทษที่เคยคิดว่าการทำแบบนี้มันโคตรบ้า  ไม่มีศักดิ์ศรีลูกผู้ชายสักนิด  แต่อั๊วะมันไม่ฉลาดคิดหาวิธีที่ดีกว่าป๊าไม่ได้เลย  ....อั๊วะจนมุมแล้วจริงๆ  อั๊วะไม่อยากให้สโนว์ไปลาออก  เพราะงั้นอั๊วะขอลอกความคิดป๊าแล้วกันนะ



    “อือๆ  เต้นเก่งมากเลยนะวันนั้น  เราคิดว่าเธอร้องเพลงจริงๆซะอีกเหมือนนางโชว์มากเลย”  ผมได้แต่ยิ้มแบบอายๆไป  แต่ในใจได้แต่คิดว่า  กูควรดีใจกับคำชมดีป่ะวะ -*-



    “นิดหน่อยอ่ะตัว  นั่นแค่เบาๆนะไม่อยากจะแสดงออกมากเท่าไหร่ โฮะๆๆ”  ผมเลียนแบบเสียงหัวเราะที่น่าหมั่นไส้ของม๊าเสริมเข้าไปด้วย เพราะจะหัวเราะฮ่าๆๆก็กลัวจะแมนไป  สโนว์เองก็หลุดยิ้มกับเสียงหัวเราะผมเหมือนกัน   พอสโนว์ยิ้มแล้วโลกโคตรสดใสเลย  แม้แต่ห้องน้ำที่โสโครกก็กลายเป็นสวนดอกไม้หอมฉุยได้ในพริบตา  นี่ใช่ไหมพลังอนุภาพของความรัก   มันเป็นแบบนี้นี่เอง  อาห์  โคตรสดชื่นนน



    “โห  ขนาดเบาๆนะนั่น....ถ้าเธอจัดเต็มคงได้แสดงบนเวทีใหญ่แน่เลยเนอะ”  คนหน้าหวานพูดต่อมาอีกรอบ  เห็นท่าทางพยายามจะพูดด้วยแล้วก็เอ็นดู   คือถึงแววตาสโนว์จะฉายแบบเห็นผมแล้วมีความหวัง  แต่มันก็มีความกังวลรวมอยู่ด้วย  เขาคงยังไม่มั่นใจว่าผมเป็นตุ๊ดจริงหรือเปล่าจะเชื่อได้ไหม  แต่ก็คงอยากหาเพื่อนด้วย



    “อื้อ  ถ้าอนาคตก็ไม่แน่  เราก็สนใจอยู่แต่รอให้เรียนจบก่อนค่อยคิดต่ออีกไปอ่ะแก…เออ แกเรียกเราว่าโอ้เอ้ก็ได้นะเหว้ย  ผัวเราก็เรียกเราแบบนี้แหละแก”  อะไรก็ตามที่จะทำให้สโนว์มั่นใจและไม่หวาดระแวงไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ยอมทำหมดแล้วจริงๆ  เพื่อสโนว์คนเดียวเท่านั้น  โคตรเข้าใจความรู้สึกป๊าเลย



    “ผ..ผัว?..โอ้เอ้มีผัวด้วยหรอ”      สโนว์ตาโตเป็นไข่หงส์ (สวยเกินกว่าจะเป็นห่าน)


   
    “ก็มีสิแก  เราก็มีหัวใจนะเว้ย  แต่ก็แอบๆคบกันไปอ่ะไม่ค่อยเปิดเผยหรอก”  แถ ถะแด่ดแถดแถ แถๆๆๆถะแด่ดแถ๊ดแถ   แถสีข้างจะแหกอยู่แล้วผม  อย่าว่าแต่มีผัวเลย  แฟนสักคนผมยังไม่เคยมี  ชีวิตหมดไปกับการเล่นเกมส์  ขายทอง และเฮฮาเล่นเพื่อนทั้งนั้น  ไม่ได้เหลียวมองใครเลย


    “ใช่คนที่เดินกับโอ้เอ้บ่อยๆป่ะ  ที่ตัวขาวเหลืองๆ  เจาะหูด้วยใช่ไหม”   นั่นมันไอ้โปนี่หว่า  เอาไงดีวะเกิดมาไม่เคยจะคิดเอาเพื่อนมาเป็นผัวเลยสักคน   แต่ถ้าตอบว่าไม่ใช่เกิดสโนว์สงสัยว่าผมไม่ใช่ตุ๊ดจริงแล้วชิ่งไปลาออกก็แย่สิ   ตอนป๊ายังยอมลงทุนไว้ผมยาวให้ม๊าเชื่อ  แต่ผมไว้ผมยาวไม่ทันแล้วไง  ลดหุ่นให้กล้ามหายก็ไม่ได้ด้วย   เพราะงั้นทางออกเดียวคือ  ผมต้องมีผัวเป็นไอ้โปนี่แหละ  สโนว์ถึงจะได้เชื่อใจว่าผมเป็นตุ๊ดจริงๆ....โป  รับกรรมไปกับกูก่อนนะไอ้เพื่อนยาก  -/\-



    “ดูออกด้วยหรอ  ว่าเนียนสุดแล้วนะเนี่ย  เขินจัง เขาชื่อโปเป็นแฟนเราเองจ้า” 



    “แต่เขาเตี้ยกว่าโอ้เอ้เยอะเลยนะ   ดูน่าจะเป็น..เอ่อ อย่างนั้น มากกว่าอีก”   สโนว์ถามต่อแบบยังคงสงสัย  ช่างถามแบบนี้เกิดผมทนไม่ไหวกระชากเข้ามาจูบปิดปากแบบในละครจะได้ไหมครับเนี่ย....แต่หน้าอย่างผมคงได้ถูกจับเข้าไปนอนในคุกอ่ะเผลอๆอาจะโดนรุมประชาทัณฑ์  เหอๆ  ไม่หล่อก็เหนื่อยแบบนี้แหละครับ


    “โอ๊ยยยแก  ส่วนสูงไม่มีผลในแนวนอนเว้ยยยย  ตะแคงก็เช่นกัน”   ผมทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจนี้แบบ  แม่ง แค่คิดกูก็สยองแล้ว  ผมกับไอ้โปเนี่ยนะท่าไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละโว๊ย



    “อ่อ  แล้ว..”   ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อสโนว์ทำท่าสงสัยอะไรอีก  ไม่ได้รู้เลยว่าไอ้อันโทนิโอ้คนนี้มันพกสมองมาน้อยแค่ไหน  คิดคำโกหกไม่ทันแล้วนะสโนว์ที่รัก   ก็พอดีที่มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำสโนว์จึงปิดปากเงียบก้มหน้าแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำ (สักที)  มาล้างมือ  ผมเองก็กลับมาเก๊กแมนเหมือนเดิม   แล้วเดินออกจากห้องน้ำสโนว์ก็ตามมาด้วย   เห็นนะว่าไอ้หมอนั่นมันส่งยิ้มให้สโนว์ด้วย  หึ่ยยย  รอวันที่กูได้เป็นแฟนสโนว์ก่อนเถอะ  กูจะจับหน้าสโนว์ให้มาซุกกับอกหนานี้ไม่ให้ใครได้มองเลย   คอยดูสิ!         




    “แล้วนี่แกจะขึ้นเรียนเลยป่ะ   เดินไปพร้อมกันม่ะ”   พอพ้นสายตาคนอื่นผมก็กลับมาร่างจำแลงอีกครั้ง  เอาจริงๆก็คือยังมีความอายอยู่บ้างไม่กล้าทำท่าแต๋วต่อหน้าคนอื่นอยู่ดี


    “...อืม  ไปสิ  โอ้เอ้เดินนำเลย”   



    “โอเคๆ  ป่ะไปกันแก”   แล้วผมก็หันหลังเดินนำให้สโนว์เดินตามโดยเว้นระยะห่าง 2 เมตรเช่นเคย  แบบว่าเข้าใจให้เวลาสโนว์ปรับตัวสักพักก่อนเนอะ  พอได้หันหลังใส่สโนว์ผมก็ได้แต่เป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ  แถมเหงื่อแตกซิกๆด้วยใจเต้นแรง



    ผมไม่รู้เลยว่าการแสดงละครครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมจะทำให้สโนว์เชื่อจริงๆหรือเปล่า  จะจับได้ในเร็ววันไหม จะถูกเกลียดไหม  แต่ถ้าหากมันจะยืดเวลาให้ผมได้อยู่กับเขามากขึ้นไปอีกแม้จะเพียงสัก 1 ชั่วโมง  ผมก็ยังอยากทำต่อไป  คงเป็นเพราะผมมันแค่คนแคระโง่ๆที่อยากทำทุกอย่างเพื่อปกป้องและได้ดูแลสโนว์ไวท์ไปนานๆโดยไม่สนใจวิธีการว่ามันถูกหรือผิด...





    “มาๆๆนั่งโต๊ะเดียวกันนะสโนว์”   ผมเดินไปนั่งข้างไอ้โปที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์เล่นเกมอยู่ ทำมือตบเก้าอี้อีกคนให้มานั่งข้างกัน   สโนว์มองแบบลังเลแล้วมองไปรอบห้องถึงได้เดินมานั่งข้างผม  เขาคงอยากมองหาอีกรอบว่าในห้องจะมีผู้หญิงหลงเข้ามาอีกไหม  แต่มองไปก็เห็นแต่ไอ้พวกลิงกังที่จับกลุ่มเล่นเกมในโทรศัพท์แข่งกันทั้งนั้น   จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสารนะแต่ด้านมืดในใจผมก็กลับดีใจที่เขาไม่สามารถอยู่กับผู้ชายคนอื่นได้   หมดปัญหาเรื่องกิ๊กไปอีกหนึ่ง!    ยังไม่ได้เป็นแฟนแต่ขอมโนถึงข้อดีไว้ก่อนครับจะได้มีแรงจูงใจ 555+



    “นี่ไอ้โป..หรือปลัดคิกของโอ้เอ้เองจ้า”   ผมเผลอหลุดเสียงเข้มไปในตอนแรกก่อนจะรีบดัดเสียงแทบไม่ทัน


    “เหี้ยอะไรของมึงวะโอ้เอ้  กู.โอ๊ยย”  ผมหยิกขามันแทบไม่ทัน  กลัวมันจะหลุดอะไรออกมาก่อนที่ผมจะบอกแผนการน่ะสิครับ



    “แหมๆ เตงไม่ต้องทำแอ็คท่าเป็นเพื่อนโอ้เอ้แล้วล่ะ  สโนว์เขารู้ความจริงหมดแล้วว่าเราอ่ะ  เป็นแฟนกัน”   ผมทำเป็นยิ้มหวานเขินอาย  แล้วทำท่ากระซิบบอกเสียงเบาแบบให้ได้ยินแค่ในกลุ่ม


    “ห๊ะ!!!  กูเนี่ยนะแฟนมึง”   แต่ไอ้เหี้ยไอ้โปเสือกตะโกนลั่นห้องด้วยความตกใจ  สโนว์เองก็สะดุ้งกับเสียงไอ้โปไปด้วย แล้วทั้งห้องตอนนี้ก็หันกันมามองพวกผมเป็นตาเดียว   ดีใจฉิบหายมีคนสนใจผมด้วย  ถุ๊ย!



    “เตง  เตงควรจะคบเค้าอย่างเปิดเผยได้แล้วนะ  รู้ไหมว่าเค้าต้องอดทนปกปิดความรู้สึกมาตั้ง 1 ปี มันทรมานหัวใจเค้ามากแค่ไหน....เค้าก็อยากเดินจับมือเตงบ้าง คุยหวานๆกับเตงบ้างแค่นั้นเอง  เลิกปิดเรื่องของเราเถอะนะตัว”  แม่งโคตรไม่มีอะไรจะเสียหายไปกว่านี้อีกแล้วครับ   ไอ้แผนที่ว่าจะเนียนบอกสโนว์ว่าเก๊กเป็นผู้ชายเพราะโปขอกลายเป็นต้องพับทิ้งไปก็มันเล่นปฏิเสธซะเสียงดังแบบนี้   กลายเป็นแกรนโอเพนนิ่งต่อประชากรทั้งห้องเลยไอ้สัตว์   แล้วผมจะเลือกอะไรได้ล่ะนอกจากเดอะโชว์มัสโกออนต่อไป  TT



    ไอ้โปทำปากพะงาบๆทำท่าจะปฏิเสธอีกรอบแต่ผมก็ชูมือขึ้นมาห้านิ้วไว้ตรงหน้าท้องให้มันเห็นคนเดียวแล้วขยับปากว่า ‘ห้าพัน’  ผมมั่นใจว่ามันต้องรู้ความหมายและรู้ว่าผมอยากให้มันทำอะไร ไอ้โปสะดุดกึกหุบปากไปแป๊บนึง  ก่อนจะทำท่าคิดหนักเอามือปิดหน้าอีกมือเท้าเอวแต่ที่มือของมันน่ะ  กระดิ้กนิ้วชี้รัวมาก  มากซะจนผมเข้าใจความหมายของนิ้วนั่น    มันลอบมองผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วว่าผมจะทำอย่างไร  ผมเลยต้องทำมือว่าโอเคส่งไปให้แทนอย่างเสียไม่ได้   ฮึ่ยยยยย  ไอ้เพื่อนน่าเลือด!


   
    พอมันเห็นแบบนั้นก็ยิ้มมุมปากแล้วทำหน้าแบบเอาล่ะเป็นไงเป็นกัน  “ถ้าโอ้เอ้ต้องการอย่างนั้นก็ได้..”  มึงแหละต้องการหนึ่งหมื่นไอ้ห่า  ผมได้แต่คิดในใจแทบจะแยกเขี้ยวใส่ด้วยซ้ำ






ต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0



“โอเค  ทุกคนกูกับโอ้เอ้เป็นแฟนกันจริง  อ่ะ  แบบนี้พอใจยังที่รักกกก”  ไอ้โปทำหน้าแป้นแล้นแล้วหยิกแก้มสากๆของผมอย่างหมั่นเขี้ยว   แม่งบีบโคตรเจ็บเลย  แต่ผมก็ต้องปั้นหน้าเป็นเคลิ้บเคลิ้มต่อไปไม่ให้หลุดฟอร์ม



    “ฮิ้วววววววว  คู่รักคู่แรกของห้องว่ะ มีคนเปิดแล้วใครจะเปิดต่อเลยไหมสัตว์กูจะได้แสดงความยินดีทีเดียว  555+”



    “ผัวเผลอแล้วเจอกันนะโว๊ยยยย โอ้เอ้  กูชอบถึกๆแบบมึง”



    “เหี้ยไรวะเนี้ย  ไอดอลกูเป็นอีแอบตั้งแต่ตอนไหนวะ  กูเสียดายหุ่นมึงจังไอ้โอ้เอ้”



    ไอ้พวกลิงกังก็ร้องแซวกันสนุกปาก  ผมก็ได้แต่ช่างแม่ง  แค่สโนว์เชื่อว่าผมไม่ใช่ผู้ชายแท้ก็เป็นพอ



    “ถึงใครจะพูดยังไงแต่ความรักก็เป็นเรื่องสวยงามเสมอนะโอ้เอ้  เธออย่าเพิ่งใจแป้วไปนะ  เราเป็นกำลังให้”    แค่สโนว์พูดนิ่มและส่งยิ้มน้อยมาให้อย่างใจจริง   โลกของผมก็กลายเป็นสีชมพูไปทันที   ชายคนเดียวที่อยู่ในสายตาและความสนใจของผม




      โชคดีที่อาจารย์เข้ามาสอนพอดีพวกมันเลยหยุดเห่าหอนกันไปได้  สโนว์เองก็ดูผ่อนคลายขึ้นด้วยไม่มีท่าทีลังเลอะไรกับผมอีกต่อไป   ตลอดเวลาเรียนผมได้แต่แอบลอบมองใบหน้าที่งดงามนั่นอยู่ทุกแทบทุกนาที  จากที่เคยได้แค่มองจากทางด้านหลัง  จากที่ต้องเดินไปหาสโนว์ตรงที่นั่งประจำเพื่อได้แอบมองเพียงไม่กี่นาทีอยู่ทุกวันมาตลอด 1 ปีเต็ม  วันนี้ผมกลับได้มานั่งอยู่ข้างๆเขาแล้วมันมีความสุขมากยิ่งกว่าในฝันซะอีก   และถ้าหากนี่เป็นความฝันจริงๆ  ผมก็ได้แต่หวังว่าโทรศัพท์ผมจะพังจนไม่ทำงานปลุกผมให้ตื่นไม่ได้  หรืออาจจะขอให้ม๊าขึ้นมาปลุกผมช้าไปอีกสัก  10 นาที  ให้ผมได้เก็บเกี่ยวความสุขตรงนี้ไปนานๆก่อน







    และก็โชคดีที่นี่มันเป็นความจริง ^^  หลังเลิกเรียน  กลุ่มผมก็ออกเป็นกลุ่มสุดท้ายไม่อยากให้สโนว์ต้องไปเบียดกับไอ้พวกลิงกังนั่นที่ยังคงแซวเรื่องผมอย่างสนุกปาก  ห่าแม่ง -*-   พอพวกมันไปหมดผมก็ถามสโนว์ว่าจะกลับยังไง  สโนว์บอกว่าเอารถมาจอดไว้หน้าตึกผมกับไอ้โปก็เลยเดินมาส่ง



    “โอ้เอ้   เราถามอะไรอีกอย่างนึงได้ไหม”    เจ้าหญิงของผมมีคำถามมาให้คนอย่างผมต้องกดปุ่มสตาร์ทเปิดการทำงานของสมองอีกแล้ว  ผมนี่กลั้นหายใจไป 2 วินาทีเลยกว่าจะปั้นหน้ายิ้มหวานกลับไป



    “ว..ว่ามาเลยจ้า”



    “คือ...แผลเป็นที่คิ้วเธออ่ะ   ไปโดนอะไรมาหรอ   ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะแต่มัน....อยากรู้จริงๆ”



    “อ๋อออ  แผลนี่อ่ะหรอ  คืองี้...ตอนเด็กๆเราก็แบบอยากสวยคิ้วโก่งเหมือนม๊าอ่ะ  เลยแอบไปจิ๊กใบมีดโกนมาลองกันคิ้วเอง  กำลังกันคิ้วได้สวยๆอยู่แล้วเชียวม๊าเปิดประตูมาซะก่อน เราตกใจหันไปมองใบมีดโกนมันเลยบาดอ่ะ โฮะๆๆๆตลกเนอออะ”   ฮืออออออ  ความภูมิใจในรอบแผลเป็นสุดเท่ที่ได้มาเพราะหลบมีดดาบกลายเป็นความผิดพลาดในการกันคิ้วกับใบมีดโดนอันล่ะ 5 บาท ไปแล้วกู    ไอ้โปเองก็แทบหลุดขำกลั้นยิ้มอยู่ เพราะมันรู้ไงว่ารอยแผลเป็นนี่ผมได้จากอะไรมา  ที่รู้ก็เพราะผมเคยพูดอวดมันไง  แม่ม



    “อ๋อออ  เข้าใจแล้วเป็นงี้นี่เอง แต่ก็สวยไปอีกแบบนะดูเป็นคนมีเอกลักษณ์ดี จดจำได้ง่ายมากๆ” 



    “ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแหละจ้า”   จริงๆคิดไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรต่อดีเพราะสมองที่มีมาทั้งหมดถูกใช้ไปหมดแล้วในวันนี้   ป๊าให้แรมมาน้อยก็งี้แหละครับ



    “งั้น  ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะโอ้เอ้....ป..ป..โป  เรากลับก่อนนะ”   สโนว์ยิ้มให้ผมกับไอ้โปที่ยืนห่างออกไประยะมากกว่า 2  เมตร  เพราะผมแอบส่งไลน์ไปสั่งมันไว้ตั้งแต่ในห้องเรียน


    “โอเค  แล้วเจอกันนะสโนว์”   ผมยืนส่งสโนว์และโบกมือจนรถสโนว์ขับเลี้ยวออกไปจนลับตา




    “เฮ้อออออออออออออออ”    รอดแล้วกู   การทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองนี่มันโคตรเหนื่อย     



    “มีอะไรจะอธิบายให้กูฟังไหมครับอีโอ้เอ้”  ไอ้โปกอดอกถาม    แม่งนี้ผมต้องเล่าตั้งแต่ต้นจนจบอีกแล้วใช่ไหมเนี้ย  -*-



   




    “เชี่ยยยย  มึงบ้าป่ะเนี้ย  มึงต้องบ้าไปแล้วไอ้โอ้   มึงแค่เห็นหน้าเขาแล้วชอบเขาแค่นี้มึงถึงกับลงทุนทำให้เขาขนาดนี้เลยหรอวะ  แม่งโคตรไม่เมคเซนส์เลยว่ะ”   



    “เออกูรู้ว่ากูบ้า  แต่ให้ทำไงวะกูชอบเขาไปแล้ว  กูถอยหลังไม่ได้แล้วเว้ยเล่นใหญ่ไปขนาดนั้นแล้วด้วย....อีกอย่างกูอยากทำให้เขาสามารถเรียนต่อไปได้จนจบก็ยังดี”




    “แน่ใจนะว่าหวังแค่นั้น  มึงจะยอมเล่นเป็นอีแอบไปจนเรียนจบเพื่อคนๆเดียวที่เขาก็คิดกับมึงแค่เพื่อนสาวคนหนึ่งอ่ะนะ   พูดมันง่ายเว้ยแต่ทำจริงอ่ะมันยากนะมึง ยังไงสักวันมึงก็ต้องหลุดไม่ก็เขาจับตอแหลมึงได้  มึงเชื่อกูดิ อย่าใช้แต่ความรู้สึกใช้สมองกับเหตุผลด้วย คิดสิคิด”   ไอ้โปพูดตรงๆอย่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง   ผมเข้าใจมันนะถ้าเป็นคนนอกก็คงคิดแบบมัน  แต่ผมที่ติดอยู่ในห้วงความรู้สึกนี้มันก็ยังคิดอยากไปต่ออยู่ดี  สถานะไหนก็ยอม....



     
    “ก็รู้....แต่มึงจะให้กูอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้เขาลาออกไปยังงั้นหรอวะ   มันไม่ง่ายนะมึงที่คนเรามันจะเจอคนที่ใช่  ถ้าเจอแล้วก็อยากรักษาไว้ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ   กูเตรียมใจไว้สำหรับอนาคตแล้วจะดีจะร้ายกูก็พร้อมรับว่ะ   แต่ถ้าวันนี้กูไม่ได้ลงมือทำห่าอะไรเลยสักอย่างแล้วปล่อยให้เขาหลุดไป  กูแม่งคงโทษตัวเองไปทั้งชีวิตแน่”   

    ตอนสมัยเด็กสมัยที่ยังเป็นไอ้ตี๋ตัวขาวหุ่นขี้ก้าง  ผมก็เคยมีผู้หญิงให้ลูกอมหัวใจหรือดอกไม้บ้างเหมือนกันนะครับ  เพียงแต่ผมไม่รู้สึกอะไรกับพวกเธอเลยไม่ได้สานต่อ  เพื่อนก็บอกว่าผมหยิ่งแต่ผมรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปเป็นแฟนกับคนที่ไม่ได้รัก  ถึงจะไม่ได้หล่อเลือกได้แต่ผมก็เคารพในความเชื่อมั่นของตัวเองนะ  ว่าสักวันนึงผมจะได้เจอคนที่ทำให้ผมรู้สึกตกหลุมรักได้  และถ้าผมได้เจอผมสาบานว่าผมจะทุ่มเทให้เขาทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายอกสามศอกคนนี้จะทำให้ได้   แล้วเมื่อวันนึงที่ผมได้เจอแล้วถึงจะเป็นแค่ผมที่ไปชอบเขาอยู่ฝ่ายเดียวแต่มันก็ไม่ทำให้สิ่งที่ผมตั้งใจไว้แต่แรกลดน้อยลงไปเลย   คนอย่างอันโทนิโอ้ถ้าลองได้ตั้งใจอะไรได้สักอย่างทุ่มไม่อั้นครับ



    “เฮ้ออออ  สรุปจะเดินหน้าต่อให้ได้ว่างั้น?”



    “เออ  แล้วมึงก็ต้องช่วยกูด้วยไอ้โป  มึงรับปากแล้วโว้ย”    ผมพยักหน้าหนักแน่น



    “กูถอนตัวได้ไหมวะ   แม่ง  ทำใจมีเมียกล้ามใหญ่กว่ากูไม่ได้จริงๆว่ะ”   ไอ้โปทำหน้าเซ็งโลก  แถมลองเบ่งกล้ามมาเทียบกับแขนผมอีก  โคตรเหมือนเอาไม้ซี่มางัดท่อนซุง



    “ไม่ได้นะมึง  มาขนาดนี้แล้ว  ถึงมึงไม่อยากทำกูก็จะบังคับให้มึงทำไอ้สัตว์”



    “กูไม่น่าเป็นเพื่อนกับมึงเลยจริงๆ  ไอ้เลวเอ๊ย  เวรกรรมฉิบหายมีเพื่อนสติไม่สมบูรณ์!”



    “55555+  น่ามึง  ได้เงินตั้งหมื่นหนึ่งนะโว้ยค่าเหนื่อย  เดี๋ยวกูไปกดตังค์ให้เลยแล้วกันมึงนั่งรออยู่นี่แหละ”   พูดเสร็จก็นึกขึ้นได้เลยหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาหาบัตร ATM




    “เห้ย  ไม่ต้องไอ้โอ้  กูแกล้งแหย่มึงไปอย่างนั้นแหละ  จะวัดใจเฉยๆว่ามึงจะกล้าไหม ไม่ได้คิดเอาจริงเว้ย”   ไอ้โปรีบโบกมือปฏิเสธ  แต่นี่ใคร?  นี่อันโทนิโอ้นะโว้ย  คำไหนคำนั้นครับ  ไม่หล่อแต่พอมีตังค์นะครับพี่น้อง (จะบอกว่ารวยก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะร้านทองนั้นมันของป๊ากับม๊า เหอๆ)



    “กูบอกจะให้คือจะให้  มึงรับไว้อ่ะดีแล้วจะได้ไม่มีข้ออ้างมาเบี้ยวกูอีก  เข้าใจ๊?”   ผมมัดมือชก แล้วเดินไปกดเงินที่ตู้ATM ใกล้ๆ  โดยมีเสียงไอ้โปตะโกนห้าม  “กูบอกไม่เอาๆ ไอ้ห่า  ได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรโว้ยยย”



    “เอาไปเติมเกมส์  ไปจ่ายค่าหอ ค่าเทอม ค่าโน้นนั่นนี่ก็ได้หมดแหละโว้ย  ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว หุบปาก!”  ผมตะโกนบอกกลับไปแล้วกดเงินออกมาตามจำนวน




    “อ่ะ  เอาไป  นับให้แน่ใจอีกทีก็ได้ว่าครบหรือเปล่า”   ผมบอกจริงๆตอนกดมาก็นับไปหนึ่งรอบแล้วล่ะครับว่าครบ



    “เหี้ยแม่ง  มึงโคตรทำกูลำบากใจเลย”   ไอ้โปทำหน้านิ่วอย่างไม่ชอบใจ



    “เอาไปเดี๋ยวนี้  กูกดมาแล้ว  แล้วอย่าลืมเล่นเป็นแฟนกูให้เนียนๆด้วยล่ะ”  ผมสั่งมันอีกรอบ  งานนี้ถอยไม่ได้



    “แล้วถ้ากูเล่นได้ไม่เนียนล่ะ”




    “หึหึหึ  มึงก็จะกูใช้ตัวมึงยกแทนดัมเบลล์ไง ^_^”   ผมบอกไปพร้อมรอยยิ้มสยอง  ไอ้โปกลืนน้ำลายเอื้อก  ผมเลยดึงกระเป๋ามันมาแล้วจับเอาเงินยัดใส่กระเป๋าให้รับๆไปจะได้จบสักที




    “คืนนี้รออ่านไลน์กูด้วยล่ะ  เดี๋ยวกูกลับไปคิดแผนการ  คิดสตอรี่ชีวิตรักกูกับมึงก่อนแล้วจะส่งบอกในไลน์  แล้วอ่านด้วยล่ะมึงเวลาสโนว์ถามจะได้ตอบตรงกัน  เคนะ”



    “เอออออ”   ไอ้โปตอบรับแบบเอือมๆ




    “ดีมาก  แล้วมึงจะกลับเลยไหม  ซ้อนมอเตอร์ไซต์กูเปล่าเดี๋ยวเมียไปส่งเองน้าพี่ปลัดคิกคิก~”   ผมยิ้มร่าทำเป็นซ้อมพูดหวานไปในตัว   ไอ้โปไม่ตอบแต่ส่งนิ้วกลางให้ผมพร้อมหน้าเบื่อโลกของมันให้หนึ่งที   



    “ไอ้โอ้   ก่อนไปกูจะบอกอะไรมึงให้เอาบุญสักอย่าง”



    “อะไรวะ?”



    “ปากมึงแดงมากไอ้สัตว์  ไปแดกลาบเลือดมาหรอวะ  มองไกลๆกูนึกว่าเงาะป่าหลงถิ่น!”   เออลืมไปเลยว่าผมทาปากมาแล้วก็ยังไม่ได้ลบออก  มิน่าล่ะอาจารย์ถึงมองผมแปลกๆระหว่างสอนหลายครั้ง   แต่ผมก็หาได้สะท้านไม่  วันนี้มีความสุขเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นขี่รถกลับหอด้วยความสบายใจ   ยิ้มหน้าบานจนโต้ลมได้เลยล่ะครับ   





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด