เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19  (อ่าน 12355 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0




ตอนที่ 6  ลมหายใจ















   หลังจากผมต้องนอนเจ็บใจ  อยู่บนพื้นห้องคนเดียวเพราะเต็มใจเสียสละที่นอนให้สโนว์และนังเซ่นไหว้ที่อ้อร้อจนได้นอนซุกอยู่ในอ้อมกอดสโนว์ทั้งคืน   ทิ้งให้ผมนอนเหงาอยู่คนเดียว กระซิกๆ...แต่เอาจริงๆแค่ได้เห็นสโนว์นอนอยู่บนเตียงนอนของผม ผมก็โคตรมีความสุขแล้วล่ะครับ อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มมุมปากเมื่อผมแอบมองสโนว์ที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มเล็กๆแม้กระทั่งตอนหลับชวนให้น่ามองไม่รู้เบื่อเลยสักนิดเดียว  รู้ตัวอีกที เสียงของประทัดก็ดังขึ้นแล้ว...



   ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง โป้ง!!!!!


   เสียงจุดประทัดดังต้อนรับวันปีใหม่จีนสนั่นไปทั่วไม่ขาดสาย  ร้านของครอบครัวผมก็เช่นกัน  เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาจัดเรียงของให้เสร็จทันฤกษ์ยามไหว้เจ้ากัน  ทุกคนต่างรีบอาบน้ำชำระเนื้อตัวให้สะอาดใส่เสื้อตัวใหม่สีแดงสดที่อาม๊าจัดการซื้อเตรียมไว้ให้ทุกคนรวมถึงสโนว์ด้วย...อ่อ ของนังเซ่นไหว้ก็มีเช่นกัน ชุดอลังการทุกเทศกาลเลยล่ะรายนั้น   วันนี้ป๊าใส่เสื้อจีนแขนกระบอกยาวปักลวดลายมังกรเต็มตัวที่ด้านหน้า ส่วนม๊าใส่กี่เพ้าสีแดงแรงฤทธิ์ปักลายหงส์สวยงามแต่งหน้าทำผมจัดเต็มจนผมเองแอบสงสัยว่าม๊าได้นอนหรือเปล่าเพราะหน้าแน่นมากกกก คาดว่าคงใช้เวลาแต่งนานแน่ๆ แต่ก็สวยสมใจแหละน่า ถึงจะผ่านมากี่สิบปีม๊าก็ยังสวยเหมือนเดิมจริงๆ  ส่วนลูกๆอย่างผม อาหลิง อาฟู่ และสโนว์ว่าที่ลูกสะใภ้ก็ใส่แค่เสื้อที่ม๊าซื้อให้ใหม่สีแดงคอปกธรรมดาครับปักตัวอักษร ฮก ที่หมายถึงโชคลาภ วาสนา ไว้ที่อกด้านซ้าย แค่นั้น อาม่าเองก็ใส่เสื้อคอจีนปักอักษร สิ่ว ที่หมายถึงอายุยืน ไว้ให้เป็นมงคลต่อตัวเองในวันขึ้นปีใหม่จีน  ส่วนนังเซ่นไหว้นี่ผมยอมใจม๊าจริงๆที่สรรหาชุดมาให้มันใส่ได้  เซ่นไหว้มันใส่ชุดเสื้อคอจีนแขนกุดสีแดงแรงฤทธิ์พอๆกับหม่อมแม่ของมัน(และของผมด้วย) แถมใส่กระโปรงบานๆพองๆแบบที่เต้นบัลเล่ต์ใส่น่ะครับ นังเซ่นไหว้จึงกลายเป็นกาคาบพริกอย่างเต็มตัว! ม๊าก็ไม่ได้ดูลูกตัวเองเลยว่านังเซ่นไหว้มันดำอ่ะ แล้วยังให้ใส่สีแดงทั้งตัวอีก แฟชั่นถูกแพงแดงไว้ก่อนใช้กับนังเซ่นไหว้ไม่ได้นะม๊า!  แต่ทั้งม๊าทั้งนังเซ่นไหว้ก็ดูจะแฮปปี้ดีนะครับ...


        “หนูสวยมากเลยน๊า อามาเรียฟิเซนใส่สีแดงแล้วขึ้นจริงๆเลย อั๊วะว่าแล้วชุดนี่ต้องเหมาะกับลื้อ  แล้วก็เหมาะจริงๆด้วย ใส่แล้วสวยเหมือนม๊าไม่มีผิด โฮะๆๆๆ”


และนี้คือสีหน้าของลูกๆเมื่อได้ฟังม๊าพูดแบบนั้น  (- -*) (- -“) (? ?)   


         “น้องน่ารักใส่อะไรก็น่ารักครับม๊า  ใส่สีแดงตัดกับสีขนน้องมันขึ้นมากจริงๆ  เหมือนนางพญาเลยเนอะ มาเรียฟิเซน(^_^)” สโนว์เองก็เห็นดีเห็นงามไปกับม๊าด้วยเช่นกัน  เนี่ย เข้าข้างม๊าผมตลอดแบบนี้ ตำแหน่งลูกสะใภ้จะไปไหนนนน หุหุหุ


         “เมี๊ยววววววว”   นังเซ่นไหว้ขานรับด้วยน้ำเสียงแบ๊วๆและหน้าตาแบบแบ๊วๆ แบบ อุ๊ย จริงหรอคะ มาเรียฟิเซนก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะน่ารักอะไรขนาดนั้นน้า เขินจังเลย แต่ถ้าทุกคนชมกันขนาดนี้คงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าหนูสวยจริงๆ เฮ้ออ อยากขี้เหล่อ่ะ อยากขี้เหล่.....หารู้ไม่ว่าที่มันทำอายเอาหน้าซุกอกม๊านั้น ผมเห็นมันแสยะยิ้ม!  นังนี้มันร้ายนะม๊า  แต่ม๊าไม่รู้บ้างเลย



         “เอ๊า มาๆ เตรียมตัวไหว้เทพเจ้ากัน อย่าลืมขอบคุณพวกท่านล่ะที่ทำให้เรามีกินมีใช้ถึงทุกวันนี้”   ป๊ารีบเรียกทุกคนมารวมตัวกัน  ก่อนจะต่างคนต่างกล่าวขอบคุณเทพเจ้าทั้งหลายในใจอย่างสงบและตั้งใจจริง 









หลังจากนั้นป๊าก็ทำหน้าที่จุดประทัดอย่างเช่นทุกปี   อาฟู่ก็รีบเอามืออุดหูซบไหล่อาม่าอยู่ในบ้าน  ผม อาหลิง สโนว์ก็ถอยห่างเช่นกัน


ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง โป้ง!!!!!



หลังสิ้นเสียงประทัดนัดสุดท้าย ม๊าก็รีบกินส้มก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อความรุ่งเรือง  ส่วนผมก็คว้ากล้วยเป็นอันดับแรก เพราะชอบครับ ไม่ได้สนความหมายอะไรทั้งนั้น ฮ่าๆๆ


หลังไหว้เสร็จพวกเราก็มานั่งที่โต๊ะกินข้าวกันเช่นเคย  มื้อแรกของวันปีใหม่จีน เต็มไปด้วยเมนูอาหารเจทั้งนั้นเลยครับ  บ้านเรากินอาหารเจเป็นมื้อแรกในวันตรุษจีนทุกปีครับ  และก็มีเกี๊ยวที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วย เป็นเกี๊ยวไส้ผักหมดครับ


       “พอกินได้ไหมจ๊ะสโนว์ อาหารเจ”  ผมถามเพราะไม่รู้ว่าสโนว์เคยกินอาหารเจไหม


       “อาม่ากับม๊า ไม่ได้ใส่อะไรที่เป็นถั่วลงไปสักหยดเลยน๊า  อาสโนว์ วางใจได้ๆ”  ม๊ารีบบอกทันที


       “ขอบคุณครับม๊า อาม่าด้วย  ถ้าเป็นอย่างงั้นผมทานได้หมดครับไม่ต้องห่วง”  สโนว์ยิ้มหวานและลงมือทานข้าวด้วยสีหน้าสดใส   พอให้พวกเราหายกังวลไปเพราะสโนว์บอกว่าอร่อย อาม่ากับม๊าเลยยิ้มหน้าบานกันไปอีกยก



   “อาสโนว์  ลื้อเคยดูแห่มังกรม๊าย”   ม๊าถามหลังจากที่เราทานอาหารกันเสร็จและกำลังนั่งทานผลไม้กันต่อ



   “แห่มังกร?...ยังไม่เคยดูเลยครับม๊า”



   “แล้วลื้อยากดูแห่มังกรม๊าย”   พอเห็นว่าสโนว์มีท่าทีสนใจ  ม๊าผมก็รีบพูดต่อทันทีไม่ให้เสียเวลา



   “อยากสิครับม๊า”   เข้าแผน...



   “งั้นเดี๋ยวอั๊วะพาลื้อไปดูขบวนแห่มังกรที่นครสวรรค์  บ้านเกิดม๊าเอง ลื้ออยากไปม๊ายอาสโนว์ มีหลายขบวนเลยน๊า ทั้งชบวนการแสดงของเด็กนักเรียนแต่ละโรงเรียน แห่เจ้าพ่อเจ้า เชิดสิงโต มีเวทีแสดงตอนกลางคืนที่ริมน้ำให้ดูด้วย น่าสนใจม๊าย”



   “อยากครับแต่จะรบกวนอาม๊าเกินไปหรือเปล่า”



   “รบกงรบกวนอะไรกันละคะพี่สโนว์  ยังไงพวกเราก็กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องกันทุกปีอยู่แล้ว  พี่สโนว์ไปเถอะน้า  เดี๋ยวหลิงพาเที่ยวรอบนครสวรรค์เองนั่นอ่ะถิ่นหลิงเลยนะจะบอกให้ อิอิอิ”   อาหลิงก็รีบชวนตัดหน้าผมที่กำลังจะอ้าปากชวนไปก่อน  หึ่มมม  เล่นพูดประโยคถิ่นผมไปก่อนงี้  ผมก็คิดไรไม่ออกแล้วดิ ปัดโถ่


   “ใช่ๆ สโนว์ไปด้วยกันเถอะนะ  ปีนี้ที่นครสวรรค์ก็จัดงานใหญ่เหมือนเคย แถมปีนี้วันแห่กลางคืนตรงกับวันอาทิตย์พอดีด้วย  ส่วนแห่ตอนเช้าวันจันทร์พวกเราก็ไม่มีเรียนกันวันนั้น  เราจะได้ไม่ต้องขาดเรียนไง  จังหวะดีๆแบบนี้มีไม่บ่อยนะสโนว์  ไปกับเราเหอะ  น๊าๆๆๆ”  ผมทำท่าออดอ้อนเลียนแบบนังเซ่นไหว้แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะสโนว์ดูท่าคิดหนักอยู่....ผมเลยใช้ท่าไม้ตาย  แอบใช้ตีนสะกิดนังเซ่นไหว้ให้ทำหน้าที่แสนถนัดของตัวเองให้ไว



   “เมี๊ยววว”  นังเซ่นไหว้กระโดดดึ๋งขึ้นไปนั่งอยู่บนตักสโนว์ทันที  แล้วเชยตามองด้วยดวงตากลมใส ตีหน้าเศร้านิดๆ น้อยใจหน่อยๆ แบบจะไม่ไปกับหนูจริงๆหรอ  หนูอยากให้พี่สโนว์ไปเที่ยวกับหนูมากเลยนะจ๊ะพี่จ๋า  ถ้าพี่ไม่ไปหนูคงจะเหงามากๆ หนูคงหมดกำลังใจที่จะกินจะนอนจะตบจิ้งจกเล่นแน่ๆ  วิ๊ง วิ๊ง



   “คิดซะว่าไปเที่ยวกับน้องมาเรียฟิเซนไงล่ะสโนว์  ใช่ไหมน้องมาเรียฟิเซน ̴ ”  ผมยิ้มหวานให้นังเซ่นไหว้แบบจริงใจ๊จริงใจที่สุด



   “เมี๊ยววววว”  นังเซ่นไหว้ก็ร้องตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวานซ้ำไปอีกระลอก  และแน่นอนขึ้นชื่อว่านังเซ่นไหว้!....



   “ไปก็ได้ครับ  แพ้สายตาของมาเรียฟิเซนแท้ๆเลยนะเนี่ย”   



   …..ไม่มีคำว่าพลาด!




   




   วันเสาร์


   ครอบครัวผมก็รีบออกจากบ้านกันตั้งแต่ตี 5 เพราะว่าต้องขับไปรับสโนว์อีก แน่นอนว่าครอบครัวยังคงอยู่ในธีมเสื้อแดงเช่นเคย  แต่ก็ไม่ได้อลังการเหมือนวันตรุษจีนแล้วล่ะครับ เสื้อยืดธรรมดาๆกัน วันนี้นังเซ่นไหว้ก็แต่งเบาๆเหมือนกันไม่ได้ใส่ชุดอะไรแล้วมีแค่ผ้าพันคอผืนบางสีแดงพันเกร๋ๆแค่นั้น เบาๆ 



   วันนี้รับอาสาเป็นสารถีขับรถตู้ให้ทุกคนนั่งกัน  เพราะผมก็รู้ทางไปคอนโดของสโนว์อยู่บ้างเพราะอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก 



        “อาโทนี่  ขับรถดีๆนะ บ้านเราไม่เน้นถึงจุดหมายเร็ว เน้นปลอดภัยไว้ก่อน ยิ่งคราวนี้ลื้อต้องขับพาทั้งบ้านและอาสโนว์ไปนครสวรรค์อีก  ยิ่งต้องระมัดระวัง คนเราจะดูกันว่าอีกฝ่ายดูแลเราได้หรือเปล่า ตอนขับรถก็มีส่วนนะอาโทนี่  ถ้าลื้อขับรถดีขับปลอดภัยเขาก็จะไว้วางใจลื้อกล้านั่งรถกับลื้อไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันอีก  แต่ถ้าลื้อขับรถเลว ปาดซ้ายปาดขวาสักแต่จะรีบไปไม่สนรถคันอื่นต่อไปเขาคงไม่กล้าไปไหนมาไหนด้วยเพราะกลัวว่าจะได้ไปสวรรค์ก่อนวันอันควร ถ้าลื้อรักใครลื้อก็ต้องดูแลเขาให้ดีๆแม้แต่เรื่องเล็กน้อย”  ป๊าพูดสั่งสอนระหว่างทางที่ผมกับป๊าเดินไปเอารถด้วยกันเพราะฟ้ายังมืดอยู่ป๊าเลยเดินมาเป็นเพื่อน  แม้ม๊าจะบอกว่า ‘จะไปห่วงมันทำม๊ายแค่เห็นหน้าก็ไม่มีใครกล้าปล้นมันแล้ว โฮะๆๆ’ก็ตามที  ผมเองก็ตั้งใจฟังเพราะรู้ว่าป๊าพูดด้วยความเป็นห่วงและเจตนาดี  แต่ถ้านึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ ผมคงจะทำหน้าหงุดหงิดและต่อล้อต่อเถียงอยู่ในใจว่าขับรถช้ามันเป็นเรื่องของคนแก่มากกว่า เป็นวัยรุ่นก็ต้องขับรถแรงๆไวๆดิ เท่ห์จะตาย ดูมีสกิลในการขับรถเยอะดีออก ตอนนั้นชอบหนังฟาสฟาสมากด้วยแหละครับ   แต่พอโตขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไปตามวัยตามความรับผิดชอบของมัน


พอผมขับรถนั่งหน้าคู่กับป๊าไปรับคนที่บ้านเสร็จก็ขับไปรับสโนว์ต่อเพียงไม่นาน ก็มาถึงคอนโดใหญ่ใจกลางเมือง  เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปก็โทรหาสโนว์ทันทีว่าถึงแล้ว  รอไม่ถึงนาทีสโนว์ก็เดินออกมาจากคอนโดในชุดเสื้อแดงเข้าธีมอย่างไม่ได้นัดหมาย  สโนว์ใส่เสื้อยืดสีแดงกับกางเกงสีขาวขาสามส่วนดูสบายๆสะพายเป้ใบใหญ่สีน้ำตาลมาด้วย   ม๊ากับอาหลิงก็รีบเปิดประตูรถรับกันใหญ่ นังเซ่นไหว้ก็รีบร้องเรียกอย่างเร็ว


   

   “สวัสดีครับทุกคน”  สโนว์ยกมือไหว้ทุกคนในบ้านก่อนจะขึ้นรถมานั่งรวมกับม๊าและก็อาหลิงที่เบาะด้านหลังคนขับ  อาม่ากับอาฟู่นั่งอยู่แถวถัดไปด้วยกันสองคนยายหลานเหมือนเดิม



   “วันนี้ใส่เสื้อสีแดงเหมือนกันเลยเนอะอาสโนว์  เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเลยว่าม๊าย”  ม๊าพูดชมสโนว์แบบชงเข้มมากกกก อาหลิงเองก็รีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงามอย่างออกนอกหน้า



   “ผมลองดูข้อมูลในเน็ต เห็นว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนต้องใส่เสื้อสีแดงเลยไปหาซื้อมาหลายตัวเลยครับอาม๊า  กลัวไปนครสวรรค์แล้วจะใส่เสื้อไม่เข้ากับธีม”  สโนว์ยิ้มตอบเบาๆก่อนจะหันหน้าไปทางด้านหลังเหมือนหาอะไร  ซึ่งผมคิดว่าเขามองหาผมแน่นอนอ่ะแกร๊  ฮ่าๆๆๆๆ  อุ๊บ แล้วทำไมผมต้องทำเสียงดัดจริตแม้กระทั่งในความคิดด้วยวะ   ชักจะแยกสิ่งที่ต้องแสดงกับตัวตนข้างในจริงๆไม่ออกแล้ว เหอๆ


   “อาอันโทนิโอ้ขับรถอยู่ข้างหน้าจ้ะ อาสโนว์” 



   “อ้อ  อยู่นี่นิเอง ถึงว่าหันไปด้านหลังไม่เห็นโอ้เอ้เลย”  สโนว์พอรู้ว่าขับรถอยู่ด้านหน้าก็ยื่นหน้ามาทักทายยิ้มหวานให้เช่นเคย 



   “คิดถึงล่ะซี้ อิอิ”  ผมยกมือออกจากพวงมาลัยข้างนึงไปเซไฮย์เก๋ๆแล้วทำเป็นพูดเล่นไปอะไรไป แต่ในใจน่ะโคตรหวังกับคำตอบ






   “ก็คิดถึงน่ะสิ”

   

   “....”  สิ้นเสียงพูดของสโนว์ มันเหมือนกับว่าโลกได้หยุดหมุนไปแล้วจริง  ไม่เคยคิดว่าจะได้คำตอบตรงๆแบบนี้กลับมามันทำให้ผมสติหลุดลอยไปหลายวินาที



   ผั๊วะ!

   “อาโทนี่! รถจะตกถนนแล้วโว๊ย  ลื้อมองทางดีๆซิวะ”  ป๊าตบหัวเรียกสติแบบไม่ออมแรงสักนิด เล่นซะผมเห็นดาววิ๊งค์ๆ ลอยไปมาเลย  สติกลับมาแบบสมบูรณ์สุดไรสุด รีบหักรถกลับเข้าเลนแทบไม่ทัน


   “นี่เราจะไปนครสวรรค์นะอาอันโทนิโอ้ ไม่ได้ไปทะเล ลื้อจะพาพวกอั๊วะไปดำน้ำในคูข้างถนนแบบนี้มันได้รึไง ห๊า!”  โดนม๊าซ้ำไปอีกหนึ่งดอก  ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าหน้าตาม๊าตอนนี้คงแทบอยากทึ้งหัวผมให้หลุดเลยล่ะถ้าทำได้



   “แล้วพี่สโนว์คิดถึงพี่โอ้เอ้ทำไมอะคะ! ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวเอง หรือเจ้โอ้ไปติดเงินพี่สโนว์ไว้ พี่ถึงคิดถึงอ่ะคะ ฮ่าๆๆๆ”  อาหลิงหันไปถามเสียงดังแก้ไขสถานการณ์  ช่วยให้ผมรอดจากการโดนบ่นไปมากโข



   “ป่าวหรอกน้องหลิง ก็....”




   “คิดถึงก็คือคิดถึง....แค่นี้แหละครับ” 









   “อาโทนี่..”   เสียงป๊าดังขึ้นทำลายบรรยากาศเดธแอร์ในรถ



   “ครั..คะ...ป๊า”  ผมรับคำไปอย่างมึนงง
 


   “ลื้อจอดตรงศาลาข้างหน้านี่แหละเดี๋ยวเปลี่ยนให้อั๊วะขับเองดีกว่า”  ผมหันไปมองหน้าป๊าว่าทำไม  ผมก็พยายามประคองสติอยู่นะ  แม้ในหัวตอนนี้จะมีแต่คำว่า คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง เต็มไปหมด แต่ก็เห็นป๊าทำปากอ่านได้ใจความว่า ‘สติไม่ไหวก็อย่าฝืนโว๊ย  อั๊วะยังไม่อยากรถคว่ำตาย!’   



   “นั่นสิ  ลื้อไปนั่งเบาะหลังกับอาสโนว์ดีกว่านะ อีจะได้ไม่เหงา เปลี่ยนๆๆ”  ม๊าสั่งอีกครั้งอย่างไม่ค่อยชงเท่าไหร่   ผมเลยได้ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่เบาะหลังอาม่ากับอาฟู่โดยมีสโนว์มานั่งอยู่คู่กัน   ระหว่างทางสโนว์ก็เป็นเจ้าหนูทำไมเหมือนเดิม ถามนั่นถามนี่เวลาที่เห็นอะไรไปเรื่อย  แน่นอนว่าผมเต็มใจตอบเหมือนเดิม  ตอบไปตอบมาคนหน้าสวยก็หลับคอพับไปแล้วคงเพลียจากการต้องจัดกระเป๋าและตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเดินทาง...



   ผมนั่งจ้องมองสโนว์ที่หลับคอพับไปอีกทางไม่ได้หันมาหลับซบไหล่ผมเหมือนในละคร  เป็นผมเองที่หันมามองเขาอยู่อย่างนั่น  หนุ่มหน้าสวยที่กำลังหลับใหลมีแสงอาทิตย์อ่อนๆยามสายสาดแสงเข้ามากระทบผิวขาวให้ดูเปล่งประกายน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ  มันดูสวยงามจนผมต้องแอบหยิบโทรศัพท์มาบันทึกภาพนี้ไว้อยู่หลายรูป   นังเซ่นไหว้เองก็เดินมาหาดูเหมือนว่ามันอยากจะกระโดดขึ้นมานอนบนตักสโนว์  ผมเลยถ่ายติดนังเซ่นไหว้มาด้วย  ก่อนจะจุ๊ปากให้มันรู้ว่าไม่ควรรบกวนการนอนหลับของสโนว์ไวท์เลย   เซ่นไหว้เองก็เหมือนจะเข้าใจมันเลยเดินผ่านเท้าสโนว์มาที่ผมแล้วส่งสายตาว่า  ‘อุ้มฉันขึ้นไปสิ เจ้าทาสมองทึ่มอะไรอยู่ ให้ไว!’ ผมลอบยิ้มขำกับการแปลความหมายในหัวผมเองแล้วอุ้มมันขึ้นมาบนตักก่อนจะลูบตัวนังเซ่นไหว้อย่างเอาใจไม่นานมันก็หลับตามสโนว์ไปอีกตัว   ผมดึงผ้าม่านปิดบังแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นเรื่อยด้วยกลัวว่าจะแย้งตาอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมไปกับห้วงนิทราตามอีกคน....







   เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้




   “ม๊า ปีนี้เขามีให้แก้ชงป่ะ  อั๊วะว่าจะไปแก้ชงสักหน่อย ม๊าพาอั๊วะไปด้วยนะ”



   “มีๆ อั๊วะถามป้าแก้วแล้ว จัดที่ริมแม่น้ำเหมือนเดิม  นี่ดูสิป้าเขาส่งรูปมาอวดด้วยงานเป็นไง”  สองคนแม่ลูกพูดคุยชวนกันวางแพลนว่าจะทำอะไรบ้างที่นครสวรรค์  คนแม่คิด คนลูกจดกันลืมอยู่นานสองนานจนทั้งรถเงียบไปหมดแล้ว  เหลือก็แต่คนพ่อที่ทำหน้าที่สารถีขับรถให้


   “ม๊าถ่ายรูปกันเถอะ กำลังว่างๆ”



   “ดีๆแล้วลื้อส่งไลน์ให้ป้าแก้วด้วยนะ  อีจะได้รู้ว่าเรากำลังไปนครสวรรค์แล้ว”



   “จ้าม๊า อ่ะจะถ่ายแล้วนะ”   อาหลิงยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่กับแม่ตัวเองที่โพสหน้าเล่นกล้องอย่างชอบใจ  ดูผ่านๆเหมือนเป็นคู่พี่สาวน้องสาว  จนได้หลายรูปก็ส่งไปให้ป้าแก้ว


   
   “ม๊า  ป้าแก้วถามมากันแค่สองคนหรอทำไมถ่ายกันแค่สองคน”



   “อ้าว งั้นลื้อก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายให้เห็นทุกคนซี เร็วๆ”



   “ค่า รับทราบแล้ว”   อาหลิงรีบรับคำกันไม่ให้แม่ตัวเองบ่นอีก  ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นสูงเล็งว่าให้เห็นทุกคนอยู่ในเฟรมเดียวกัน แล้วเก็กหน้าถ่ายรูปต่อตามระเบียบ


   แช๊ะ  แช๊ะ  แช๊ะ



   เด็กสาวเอาโทรศัพท์มาเปิดเช็ครูปอีกครั้งด้วยกลัวว่าภาพจะสั่นเพราะถ่ายรูปในรถ



   “โอเค หน้าหลิงสวยแล้วส่งได้ อิอิ”



   “ไหนๆแล้วหน้าม๊าล่ะ สวยหรือเปล่าอาหลิงเอามาดูสิ”  ม๊ารีบกดซูมหน้าจอดูเช็คใบหน้าตัวเองจนมั่นใจว่าสวยทุกโมเลกุลเลยเลื่อนไปดูหน้าคนภายในรูปต่อ



   “อาหลิง ลื้อดูอาม่ากับอาฟู่สิหลับน้ำลายไหลเหมือนกันเปี๊ยบเลย ฮุๆๆๆ”  สาวสูงวัยกลั้นขำเบาๆเมื่อเลื่อนดูใบหน้าของอาม่าและอาฟู่สลับกันไปมา



   “น่ารักอ่ะม๊า ไหนลองเลื่อนไปดูหน้าเฮียหน่อยว่าจะน้ำลายไหลเหมือนกันหรือเปล่า คิกคิก” 



   “เดี๋ยวม๊าเลื่อนเอง  ถ้าตลกๆจะเอาไว้แบล็กเมล์มันเนอะ ฮุๆๆๆ”



   ม๊ารีบเลื่อนไปหาหน้าลูกชายคนโตของบ้านก็เห็นว่าหน้าของอาอันโทนิโอ้หลับคอพับไปด้านข้าง  โชว์สันกรามและจมูกโด่งได้เป็นอย่างดี  ใบหน้าที่หลับใหลยกยิ้มมุมปากน้อยๆไม่รู้ว่าฝันดีอะไร...



   “ม๊า เฮียนี่ก็แอบหล่อเหมือนกันเนอะ  ถ้าอยู่นิ่งๆอ่ะ  แต่ขยับทีละหมดหล่อตลอด กากสุดไรสุด”



   “ว่าอะไรเฮียตัวเองแบบนั้น  ตบปากตัวเองสามที เดี๋ยวนี้”  คนเป็นแม่ตวัดตาส่งความรู้สึกไม่พึงพอใจ



   “ง่ะ  ม๊าอ่ะ  พูดเล่นนิดเดียวเอง”  อาหลิงโอดครวญแต่ก็ตบปากตัวเองตามคำสั่งเพราะก็รู้ตัวว่าพูดเล่นเกินจริงไปหน่อย



   “ทีหลังอย่าว่าอะไรเฮียแบบนี้นะ  เราเป็นน้องจะไปว่าเขาได้ไง  ว่าเขากากแต่ตอนลื้อยังเล็กก็มีแต่อาอันโทนิโอ้นี่แหละที่วิ่งหยิบขวดนม เอาแพมเพิสเปื้อนอึลื้อไปทิ้ง ทำท่าประหลาดไม่รู้กี่ร้อยท่าเพื่ออยากให้ลื้อหยุดร้องไห้งอแง เก็บเงินค่าขนมไว้ไม่ยอมซื้อกินเพราะอยากซื้อตุ๊กตารอให้ลื้อตอนคลอดออกมา  รู้อย่างนี้ยังจะคิดว่าเฮียลื้อกากอีกไหม ห่ะอาหลิง”  ผู้เป็นแม่เล่าย้อนถึงความหลัง อันโทนิโอ้ตัวน้อยที่ยอมทำทุกอย่าง ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ยอมไม่ดื้อไม่ซนเพราะกลัวแม่เหนื่อยแล้วจะไม่มีแรงเลี้ยงน้องในอดีตยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำเสมอ   ตอนนั้นอาอันโทนิโอ้น่ารักมากราวกับเทวดาตัวน้อย  น่าจนม๊ารู้สึกว่า....เอ็งไม่โตเลยจริงๆ โฮะๆๆๆๆ



   “ไม่กากแล้วค่ะม๊า  เฮียหลิงเจ๋งที่สุดในโลก”  อาหลิงสำนึกอย่างแท้จริงเมื่อได้ฟังวีรกรรมของพี่ชายตัวเอง



   “อืมๆ ดีแล้วแค่เราพูดความจริงว่าอาอันโทนิโอ้มันซื่อบื่อนั่นก็มากพอแล้ว  เหลือเรื่องดีๆไว้ให้เฮียแกมั้งเหอะเนอะ”  อาหลิงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องกลับไปดูรูปต่อ



   “ม๊า ดูอะไรนี่สิ”  อาหลิงเอ่ยเสียงดังจนม๊าต้องตีแขนให้พูดเสียงเบาๆเพราะกลัวคนอื่นจะตื่น



   “ม๊าดูพี่สโนว์ดิ”   อาหลิงชี้ให้รูปใบหน้าสโนว์ที่หลับอยู่ให้ม๊าดู



   “อื้อก็อาสโนว์ไง  อีหล่อเนอะ สวยด้วย หลับยังดูดีเลย ม๊าชอบอ่ะ”



   “ไม่ใช่แค่นั้นสิม๊า  เอาใหม่ๆม๊าซูมสุดไป  หลิงย่อให้เล็กลงหน่อยแป๊บ”   อาหลิงเอาโทรศัพท์ไปจัดการแป๊บเดียวก็เกิดเป็นรูปใหม่ที่เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น ภาพบนหน้าจอที่ย่อจนเห็นรูปของคนสองคนที่หลับอยู่เบาะติดกัน 



   “อั๊ยย๊า  ทำไมมันโรแมนติกอย่างงี้ว๊า”



   “เนอะม๊า  กรี้ดดสุดๆเลยอะ  หลิงฟินนนนน”



   ทั้งม๊าและอาหลิงต่างพร้อมใจกันลุกหันไปมองทางเบาะหลังสุดให้เห็นกับตา


คนหนึ่งหลับหันไปด้านขวา คนหนึ่งหลับหันมาด้านซ้าย  แล้วใบหน้าทั้งคู่ก็มาบรรจบหันเข้าหากัน ใกล้จนปลายจมูกห่างกันเพียงมดเดินผ่าน...เหมือนกับว่าใช้ลมหายใจเดียวกันไม่มีผิด



   “พวกเขากำลังแลกเปลี่ยนลมหายใจกันอ๊าห์ม๊า”  อาหลิงฟินเอาเล็บจิกเนื้อแทบหลุด ใบหน้ากักเก็บความรู้สึกไม่มิด


   “อาหลิง”



   “คะม๊า?”  อาหลิงตอบรับทั้งที่ใบหน้ายังฟินเพ้อยิ่งกว่าพี่ชายตัวเองตอนได้ยินคำว่าคิดถึงเสียอีก




   “เมมเหลือเท่าไหร่  ถ่ายมันให้เต็ม!”




   “จัดไปค่ะม๊า  ̴̴̴”





         มือเรียวรีบจัดโทรศัพท์ให้นิ่ง  ม๊าเองก็หันไปสั่งป๊าว่าให้นิ่งๆหน่อย  อาหลิงยิ้มกว้างค่อยๆบรรจงหามุมหาแสงที่ดูลงตัวที่สุดและกดถ่ายอย่างตั้งใจ



          ภาพที่คนทั้งสองนอนหลับหันหน้าเข้าหากันและยิ้มมุมปากอย่างเป็นธรรมชาติ  โดยมีเจ้าแมวสุดที่รักของบ้านนอนหลับอยู่บนตักและเหมือนกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน








          ไม่รู้พวกเขาทั้งสองคนและแมวอีกหนึ่งตัว  จะกำลังฝันเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่าเนอะ







------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ นาทีนี้อิจฉาอาหลิงมากที่ได้เห็นนอะไรฟินๆ ฮ่าๆๆ :-[


แต่ก็แอบสงสารอาอันโ?นิโอ้ที่ไม่เคยรู้อะไรเลยเหมือนเดิม :laugh:


ตอนหน้าเป็นตอนอาอันโทนิโอ้พาสโนว์ทัวร์นครสวรรค์นะคะ

มาลุ้นไปพร้อมกันนะว่าจะรอดไหม  เพราะพรรคพวกญาติพี่น้องของโอ้เอ้ที่นครสวรรค์ก็เยอะเช่นกัน

นางจะรอดจากการถูกจับได้หรือไม่  ฮ่าๆๆๆๆ


ขอบทุกคอมเมนต์น๊า

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
บางทีเซ้นไหว้ก็แสนรู้เกินแมว 555555 อะไรจะรู้งานปานนี้!! เอ็นดูมาก  :-[

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อร๊าย อย่าว่าแต่หลินสาววายฟินเลย เราเองก็ฟินคิดไปไกลแล้ว
อะไรจะมุ้งมิ้งน่ารักได้ขนาดนี้
 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีม๋าดี คอยหนับหนุน มันก็ดีแบบนี้ละโอ้  o13

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ครอบครัวโอ้เอ้น่ารักมากหัวสมัยใหม่
มองข้ามรักเพศเดียวกันแถมสนับสนุน
อะไรที่เป็นความสุขของลูกด้วยเต็มทีเลย

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

บทที่ 7  แห่มังกรขอพรรัก 30%

ใช้เวลาเพียง 3 – 4 ชั่วโมงรถก็เข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดนครสวรรค์ผมที่รู้สึกตัวก่อนเพราะนังเซ่นไหว้กระโดดลงจากตักไปหาม๊า  ผมก็สะลึมสะลือพยายามลืมตาขึ้นแต่พอโดนแสงแดดจ้าก็จำต้องหลับตาไปอีกครั้ง ว่าแต่ทำไมเบาะรองคอวันนี้ถึงได้นิ่มลื่นจังวะหอมด้วย ฟุดฟิด ฟุดฟิด  ผมหันจมูกไปตามกลิ่นหอมก่อนที่จมูกโด่งๆของผมมันจะไปจรดอยู่กับกลุ่มผมนุ่มต้นเหตุของความหอม   ผมลืมตาขึ้นมองทันทีก็เห็นกลุ่มผมนุ่มลื่นม้วนตัวเป็นเกลียวลอนชัดเจนของสโนว์  เกือบจะเด้งตัวออกด้วยความตกใจแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่า  โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะโว้ยยยย ทุกวินาทีมีค่า ชะลาล่า ลาล่า  นานๆทีจะได้ใกล้ชิดตัวซบตัวแบบนี้กับสโนว์อ่ะครับ...

ตัวซบตัว

ตัวซบตัว

เฮ้ย!  นี่มันครั้งแรกเลยนะที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดเนื้อชนเนื้อกับสโนว์ขนาดนี้!!!   

ใจไอ้อันโทนิโอ้คนนี้แทบหลุดออกจากร่างเมื่อฟันเฟื่องในสมองเริ่มทำงานแล้ว พอรู้อย่างงั้นมือผมก็สั่นขึ้นมาเฉยๆแถมผมยังหยุดมันไม่ได้ด้วย  หัวใจผมเต้นแรงมากจริงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากอกแข็งๆนี่


เจ้าพ่อเจ้าแม่ครับ  ไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ตายตาแล้วครับ...



แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะตายจริงๆนะครับ แฮ่ๆ


“อืมม”  สโนว์เริ่มขยับตัวด้วยคงถูกแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านรูผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทสาดส่องที่ใบหน้างาม   เขาขยับศีรษะไปมาอย่างพยายามหามุมที่หลับสบายที่สุดบนไหล่ผมดูๆไปเหมือนนังเซ่นไหว้ตอนเป็นแมวน้อยไม่มีผิดมันน่ารักแบบนี้เลยล่ะ  ผมเองก็ได้แต่ยิ้มให้กับภาพเหล่านี้ที่มองเห็นผ่านสายตาตัวเองอย่างใกล้ชิด

แต่แล้วจู่ๆสโนว์ก็ลืมตาแบบสะลึมสะลือขึ้นมามองหน้าผม  ผมงี้แทบทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว  องค์แม่จงมา องค์จงมา


“ว่าไงจ๊ะสโนว์  หลับสบายเลยสินะ”  ผมดัดเสียงทักทายสโนว์ไวท์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล

“นั่นสิ  เผลอหลับไปซะได้ มานอนซบไหล่โอ้เอ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ขอโทษทีนะ เมื่อหรือเปล่า โอ้เอ้น่าจะปลุกเรานะจะได้ไม่เป็นภาระไหล่โอ้เอ้แบบนี้”  สโนว์พูดตาปรือไม่รู้ว่ารู้สึกผิดหรือยังรู้สึกง่วงอยู่กันแน่ผมก็ไม่แน่ใจนัก 

แต่ที่มั่นใจสุดคือสโนว์ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสั่นกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองนอนซบอยู่กับผู้ชายที่แอ๊บเป็นเพื่อนสาวเลยสักนิด   


ผมคิดว่าผมได้ใกล้เข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วนะ



“ไม่เป็นไรแก  เราเต็มใจเว้ย ซบได้เลยน้า”  โคตรเต็มใจให้นอนซบไหล่ตลอดชีวิตเลยล่ะ! อยากจะตะโกนบอกแบบนี้  แต่ก็ไม่กล้า

“แล้วนี้เราถึงไหนแล้วหรอโอ้เอ้”

“ใกล้ถึงบ้านพักเราแล้วล่ะ เดี๋ยวเลยสี่แยกหน้าค่ายนี้ไปก็เข้าใจกลางเมืองนครสวรรค์แล้วจ๊ะสโนว์”  ผมบอกพลางชี้ให้ดูด้านนอกรถ  ตอนนี้เรารถติดอยู่สี่แยกหน้าค่ายเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์จึงมีตลาดหน้าค่ายเปิดผู้คนจึงมาจับจ่ายซื้อของเพราะตลาดแห่งนี้มีของขายมากมายจริงๆสากกระเบือยันเรือรบก็ไม่ปาน  กรอปกับเป็นช่วงเทศกาลที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวปากน้ำโพชื่อเรียกอีกอย่างคนนครสวรรค์  ทำให้ลูกหลานที่ไปอยู่ที่อื่นหรือทำงานอยู่จังหวัดอื่นก็พากันกลับบ้านช่วงนี้เหมือนกัน  ทำให้บนถนนจึงมีรถมากมายและติดหนักเป็นแถวยาว

“โห  ตลาดใหญ่จัง  โอ้เอ้เคยมาเดินไหม”

“เคยสิ มาทุกปีเลยหลับตาเดินยังได้”  ผมโม้ใหญ่

“จริงอ่ะ”  สโนว์มองตาโต

“จริง...แต่ขอแอบเปิดตาดูเป็นระยะๆนะ  อิอิอิ” 

“ฮ่าๆๆๆ เราก็ว่าอยู่ใครจะไปหลับตาเดินได้กัน”  สโนว์หัวเราะร่า  พอดีกับที่ไฟเขียวให้สัญญาณรถเคลื่อนตัวไปได้

“โอ้เอ้ แล้วเราจะผ่านสะพานวงๆไหม”  อะไรสะพานวงๆฟระ

“สะพานเดชาติวงศ์หรอ?”

“ใช่ๆนั่นแหละ เรียกว่าสะพานเดชาติวงศ์หรอ  เราอ่านเจอในเน็ตนึกว่าอ่านว่า สะพาน ชาติ วงศ์ ซะอีก ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” คนตัวขาวหัวเราะแห้ง บอกเลยว่าถ้าคนที่อ่านชื่อสะพานเด ชา ติ วงศ์ เป็น สะพานเด ชาติ วงศ์ ไม่ใช่สโนว์ป่านนี้ผมคงตบกระโหลกมันเน้นๆไปสามทีแล้วล่ะข้อหาโง่เกิน  แต่เมื่อเป็นสโนว์แน่นอนว่าทุกอย่างจะดูซอฟลงและน่ารักเป็นบ้า อ่านผิดก็ดูอ๊องๆดี ผมชอบบบบ (สองมาตรฐานสุดๆ)

“เดี๋ยวก็จะถึงแล้วอีกนิดเดียวจ้า” ผมชี้นิ้วไปข้างหน้าก็พอดีที่รถเคลื่อนตัวมาถึงทางขึ้นสะพานที่มีรถติดอยู่บนสะพานเต็มไปหมด  รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปทีละเล็กละน้อยตามสภาพการจราจร  คนตัวขาวรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพด้วยความสนใจ สะพานเดชาติวงศ์ตกแต่งไปด้วยไฟและตัวมังกรที่พาดยาวไปตามความโค้งของขอบสะพาน  ถ้าตอนกลางคืนจะเปลี่ยนสีไฟวิ่งไปวิ่งมาด้วย  ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะพาสโนว์มานั่งดูไฟเล่นกัน

เพราะรถติดทำให้สโนว์ถ่ายรูปได้อย่างหน้ำใจจนรถเราก็หลุดจากสี่แยกมาได้ก็ใช้ทางลัดขับไปตามเขื่อนกั้นน้ำเพื่อเข้าตัวตลาดด้านใน ตลาดด้านในนครสวรรค์ก็จะเต็มไปด้วยอาคารตึกแถวพาณิชย์ที่เปิดขายของกันทุกแถวเลยล่ะครับ  ด้านล่างเปิดร้านขายของ ด้านบนก็พักอาศัยกัน เป็นวิถีชีวิตแบบบ้านๆแต่ก็ครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยอยู่ทุกวัน

“ป๊า ป๊าขับเลยบ้านป้าแก้วแล้วนะคะ” ผมรีบเตือนเมื่อเห็นว่ามันเลยทางไปบ้านป้าแก้วแล้วจริงๆ  ปกติเวลาพวกเรามานครสวรรค์ก็จะไปพักบ้านป้าแก้วกันครับ ป้าแก้วเปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆของม๊าเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนไม่มีคำว่าต้องเกรงใจกันและกันระหว่างม๊ากับป้าแก้วเลยล่ะครับ เหมือนเป็นญาติฝั่งแม่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่

  ส่วนบ้านเก่าของม๊าที่มีอยู่ที่นี่นั่นขายทิ้งไปแล้วเพราะไม่มีใครอยู่ดูแล ม๊ากลัวบ้านจะทรุดโทรมแล้วราคาตกเลยชิ่งขายไปตั้งแต่ผมยังไม่รู้ความเพราะย้ายไปอยู่กรุงเทพกัน  มาตอนนี้ก็ได้แต่บ่นเสียดายว่าไม่น่าขายเพราะบ้านเก่ามันอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาครับพอเขื่อนกั้นน้ำสร้างเสร็จมีถนนวิ่งไปมาสะดวกแบบนี้ราคาที่ดินก็ขึ้นสูงจนม๊าบ่นเสียดายไม่หยุด

“ป๊าจะขับไปส่งหนูกับอาสโนว์ที่โรงแรมก่อนไง”  ม๊าหันมายิ้มหวานใส่  ผมได้แต่ทำหน้าเป็นหมางง  ไม่ต้องค้างบ้านป้าแก้วเหมือนทุกทีหรอวะ

“อาสโนว์อยู่โรงแรมน่าจะสะดวกใจกว่าไงอาอันโทนิโอ้  ลื้อก็รู้ว่าบ้านป้าแก้วคนเยอะขนาดไหน จุดรวมพลญาติพี่น้องเลยน๊า  ม๊าไม่อยากให้อาสโนว์อึดอัดจาย เลยจองห้องพักที่โรงแรมว้ายห้ายไง  ลื้อก็ไปพักเป็นเพื่ออาสโนว์ ตามนี้ จบนะ ม๊าขี้เกียจพูดซ้ำๆ มานเหนื่อย”  ม๊าพูดจบก็หันหน้ากลับไปโบกพัดในมือรัวๆอย่างไม่รอให้มีใครพูดขัดได้  ผมได้แต่หันมามองสโนว์ว่าน้องจะโอเคไหม  แต่สโนว์ก็ดูชิลมากนั่งกดดูรูปที่ถ่ายไว้ไปเรื่อยอย่างไม่มีท่าทีต่อต้านอะไร  หรือเมื่อกี้สโนว์จะไม่ทันได้ฟังวะ

จนรถวิ่งมาถึงโรงแรม ป๊าก็จัดการทำเรื่องเช็คอินส่วนผมที่ยังงงไม่หายก็ยกกระเป๋าส่วนของผมและก็ของสโนว์ออกจากรถ

“นี่อาอันโทนิโอ้”  ม๊าแอบมากระซิบตอนที่ผมกำลังยกกระเป๋าลงจากทางหลังรถอยู่

“อะไรอีกอ่ะม๊า”   พอสโนว์เข้าไปนั่งในล๊อบบี้โณงแรมไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้วผมก็หลุดเสียงห้าวออกมาเหมือยเคย

“ม๊าจองห้องสวีทไว้ให้ลื้อเลยน๊า  วิวสวยมากๆ บรรยากาศดีสุดๆ” ม๊ายักคิ้วหลิ่วตาใบหน้ายิ้มหวานจนผมขนลุก

“นี่ม๊าวางแผนอะไรไว้ป่ะเนี้ย  ผมชักไม่แน่ใจแล้ว”

“เปล๊า  ก็แค่บอกไว้เฉยๆว่าตอนกลางคืนมันน่าจะโรแมนติกม๊ากมาก บรรยากาศดีๆ มีเบียร์สักสองกระป๋อง จิบไปคุยไป เคลิ้มไปแล้วก็..”

“หยุดความคิดไว้แค่นี้แหละม๊า  เพ้อเจ้อน่า อั๊วะไม่ใช่คนที่จะฉวยโอกาสจากความไว้ใจหรอกนะ  สโนว์ไว้ใจอั๊วะมากๆเลยตอนนี้  อั๊วะไม่อยากทำลายมันลงด้วยตัวอั๊วะเอง”   ทำไมพูดจาได้พระรองอย่างงี้วะผม

“ย่ะ! ไอ้พระรอง ไอ้คนดีมีคุณธรรม  วันไหนโดนหมาคาบไปแดกตัดหน้าอย่ามานั่งร้องไห้โฮให้อั๊วะเห็นล่ะกาน เชอะ!” พอเห็นว่าผมรู้ทันแผนการม๊าก็ทำเป็นเคืองเดินคอตั้งกลับเข้าไปนั่งในรถใหม่อีกรอบ  ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม  ป๊าส่งกุญแจห้องให้ก่อนจะพูดจาเตือนให้ระวังนี่นั่นโน่นตามสไตล์ป๊า  แล้วจึงพากันขับรถกลับไปบ้านป้าแก้ว  ทิ้งผมกับสโนว์ไว้ที่โรงแรมกันสองคน

“สโนว์ แกโอเคป่าวที่จะต้องนอนห้องเดียวกับเราอ่ะ”  ผมพูดบีบเสียงเหมือนเดิมและถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ

“เราโอเค โอ้เอ้ล่ะโอเคหรือเปล่า” 

“โอเคดิแก งั้นไปขึ้นห้องกัน”  ผมยิ้มหวานแล้วยกกระเป๋าทั้งของผมและของสโนว์ไปขึ้นลิฟท์ไปบนชั้น 5 ของโรงแรม แล้วเดินไปจนสุดมุมก็ได้เจอห้องของตัวเองเสียที  เปิดห้องไปก็เจอกับเตียงนอนขนาดคิงไซต์สีขาวสะอาดตา ห้องพักก็กว้างพอสมควร สโนว์เดินไปเปิดประตูระเบียงรับลมที่ไม่เย็นเอาเสียเลย  มันร้อนมากครับ  ร้อนจริงๆ นครสวรรค์แต่ร้อนไม่ต่างจากนรกอ่ะความรู้สึกผม  แต่ดีอย่างที่วิวสวยมาก เห็นแม่น้ำทอดยาวและเห็นสะพานเดชาติวงศ์อยู่ไกลๆ  ถ้าตอนกลางคืนน่าจะเห็นไฟสวยๆที่ตกแต่งให้เข้ากับเทศกาลในบริเวณรอบๆริมเขื่อนกั้นน้ำ น่าจะสวยมาก

“เข้ามาในห้องก่อนเถอะสโนว์ อากาศข้างนอกร้อนมาก เดี๋ยวผิวเสียนะแก”

“ก็จริง ที่นี่อากาศร้อนมากจริงๆแหละ  รับตับแตกจริงๆ” สโนว์เห็นด้วยแล้วเดินหน้างอกลับเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงที่เตียง  ผมเลยเดินเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าไปแขวนในตู้เสื้อผ้า ระหว่างที่กำลังจัดเสื้อผ้าผมก็อดจะนึกถึงคำพูดม๊าไม่ได้  ถ้าวันหนึ่งสโนว์เจอหมาคาบไปแดก เอ๊ย เจอคนที่รักแล้วเลือกไปกับเขาผมเองก็คงจะต้องเสียใจมากแน่นอน  แต่ผมในตอนนี้มันยังมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ได้ดูแลเขา ได้แอบรักเงียบๆอยู่ฝ่ายเดียว มันเพียงพอแล้วสำหรับผมในตอนนี้  ผมไม่กล้าพอที่จะก้าวข้ามเฟรนด์โซนนี้ไป เพราะผมกลัว  กลัวว่าถ้าก้าวข้ามไป แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่หลงเหลืออยู่  เพราะงั้นผมจะไม่คิดทำอะไรเกินเลยไปกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้แน่นอนครับ  ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายนายอันโทนิโอ้คนนี้  ผมจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับสโนว์ไวท์เด็ดขาด!

เพ้อเจ้อกับความคิดตัวเองจนแขวนเสื้อผ้าผมเสร็จพอ ผมก็หันไปบอกสโนว์ว่าให้เอากระเป๋าเสื้อผ้าของเขามาเพื่อที่ผมจะแขวนให้


“สโน...โนนนนนนนน”  ผมแหกปากลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน คากรรไกรค้างชะงัก ตาโตเบิกกว้างเป็นไข่นกกระจอกเทศ!  ก็จะไม่ให้เป็นนกกระจอกเทศได้ยังไงในเมื่อสโนว์ตอนนี้น่ะ



ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงลิง!!!!!


 :pighaun: :pighaun: :m25: :m25:
_______________________

แล้วงี้อันโทนิโอ้ของเราจะยังคงมั่นปณิธานไว้ได้ม้ายยยยยยย 55555+


คลานเข่าเข้ามาลงนิยาย หายไปนานมาก มาลงก็ดันมาน๊อยน้อยอีก  :z6:
ขอโทษที่หายไปนานมากๆนะคะ ตอนนี้เราคิดว่างานเราลงตัวแล้วคงจะมีเวลามาต่ออีก

ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ดีใจมากจริงๆ :L2:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :เฮ้อ:
นึกว่าทิ้งไปซะแล้ว คนอ่านก็ร้อรอ แต่พอมาแล้วหายคิดถึง
ว่าแต่อาสะโนว์ ถอดเสื้อผ้าแบบนี้ ไม่เกรงใจส่วนกลางของโอ้เอ้หน่อยเหรอ
สงสัยต้องหาอะไรปิดให้ เดี๋ยวกระโดดออกมาแล้วคงแย่ อิอิอิ
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โอ้เอ้ อะไรแดง ๆ มันไหลมาจากรูจมูกลื้ออ่ะ  :haun4:

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

ต่อ


“ร้องเสียงดังทำไมน่ะโอ้เอ้ เราตกใจหมด”  สโนว์ถามซื่อๆแถมยังคงดึงกางเกงออกจากข้อเท้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ต่างจากไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ที่หัวใจจะวายตายก่อนวันอันควร 

ผมหันหลังกลับไปอีกด้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก “ก..ก็..จ..จู่..จู่” โอ๊ยไอ้เชี้ยเอ๊ย  ปากสั่นติดอ่างไปหมด สติเว้ย สติ  ผมเอามือลูบหน้าหนึ่งทีไล่เลือดให้ไหลลงล่างไปก่อนที่จะทะลุออกทางจมูก พยายามปรับอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ ขาวหนอ ชมพูหนอ..เฮ้ย! ไม่ใช่งี้ดิวะ  ยุบๆๆหนอออ อย่าตั้งเลยหนอ ใจเย็นไว้ไอ้เหลือมลูกพ่อ

“โอ้เอ้เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือเธอไม่โอเคที่เราถอดเสื้อ โทษทีนะพอดีอากาศมันร้อนมากเลยจะเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ ไม่คิดว่าจะทำให้ตกใจมากขนาดนี้”  ไม่ใช่ไม่โอเค  แค่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นผิวกายสโนว์ไปทั้งตัวแบบนี้ต่างหาก อยากจะมองให้เต็มสองตาแต่ก็กลัวว่าจะหน้ามืดจับเขาทำเมียไปเสียก่อน -.,-

“เปล่าแก แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ โฮ๊ะๆๆๆ”  ผมตอบไปแต่ยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปอยู่ดี  จะหันไปได้ไงล่ะครับลูกชายเล่นไม่ยอมยุบแบบนี้

“หรอ  เราใส่เสื้อผ้าใหม่แล้วโอ้เอ้หันมาได้แล้วล่ะ” อยากหันไปแต่หันไปไม่ได้  อาการปวดหนึบลูกชายก็ไม่มีทีท่าจะเบาลงเลยผมเลยชิ่งขอเข้าห้องน้ำแทน   “ตามสบาย เดี๋ยวเราเข้าห้องน้ำก่อนนะเหมือนข้าศึกจะบุกอ่ะแก ขอใช้เวลาในห้องน้ำแป๊บ”   พูดเสร็จก็รีบเข้าห้องน้ำทันที


พอเจอกระจกก็เห็นใบหน้าที่แดงซ่านและดูหื่นกามมากมาย  ดีนะที่ผมไม่หันไปให้สโนว์เห็นไม่งั้นได้อับอายตายห่า แถมลูกชายก็ไม่ยอมยุบสักนิดไอ้ผมก็ไม่อยากเป็นพ่อใจร้ายที่ปล่อยให้ลูกอึดอัดตัวเลยต้องเปิดซิปกางเกงปล่อยมันออกมาสูดอากาศเสียหน่อย 

ผมหลับตานึกภาพเมื่อครู่ที่ยังติดตาอย่างชัดเจน ก่อนจะใช้นิ้วทั้งห้าทำอะไรๆไปตามความต้องการของตนเองเบื่อระบายส่วนที่แข็งขื่นให้สงบลงอย่างที่ควรจะเป็น....

 


สโนว์ครับ  อภัยให้คนบาปอย่างอั๊วะด้วยนะ






กว่าจะออกจากห้องน้ำมาอีกทีก็เห็นว่าสโนว์ได้นอนหลับอีกรอบบนเตียงไปแล้ว  ผมเลยนั่งบนเตียงอยู่ข้างๆแล้วถือโอกาสแอบถ่ายรูปคนน่ารักนอนหลับเก็บไว้  แล้วก็เล่นเกมในโทรศัพท์รอสโนว์ตื่น ระหว่างนั้นป๊าก็โทรมาว่าให้เด็กที่ร้านป้าแก้วเอามอเตอร์ไซต์มาให้ผมไว้ใช้ขับเพื่ออยากไปไหนให้ผมลงไปรอเอากุญแจรถด้วย


หลังจากที่ผมลงไปเอากุญแจและกลับขึ้นมาก็เห็นว่าสโนว์ตื่นแล้วพอดี

“หิวหรือยังสโนว์”  ตอนนี้ก็บ่ายสองกว่าแล้ว  ผมเองก็ไม่รู้ว่าก่อนออกจากคอนโดสโนว์ได้ทานอะไรมาบ้างหรือยัง

“หิวมากๆเลยล่ะโอ้เอ้  เราโทรสั่งอาหารขึ้นมาทานดีไหม”

“ไม่ต้องหรอก  เดี๋ยวเราพาแกไปกินของอร่อยๆในนครสวรรค์เอง  เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงถิ่น อิอิ” ผมยิ้มหวานกรีดนิ้วชูกุญแจรถให้สโนว์ดู  แล้วเราก็พากันขี่มอเตอร์ไซต์ท้าแดดนรกออกมาหาอะไรทานกัน  อากาสมันร้อนมาก ร้อนผมอดคิดไม่ได้ว่ากว่าผมจะขับรถไปถึงร้านอาหารตัวผมเองอาจจะถูกย่างจนสุกก่อนก็เป็นได้

ผมพาสโนว์มาทานก๋วยเตี๋ยวน้ำใสร้านดังถึงคนจะมาทานเยอะขนาดไหนแต่ก็ไม่เคยต้องรอคิวเพราะร้านเขาใหญ่โต๊ะเยอะครับ ด้วยความหิวก็สั่งกันไม่ยั้ง ทั้งก๋วยเตี๋ยวทั้งปอเปี๊ยะกุ้งที่อร่อยมากๆผมสั่งมาสี่จานเลยล่ะ สโนว์ดูอึ้งๆเมื่อเห็นว่าผมสั่งเยอะมากแต่พอของกินมาเสิร์ฟและได้ลองชิมกลายเป็นสโนว์ขอสั่งปอเปี๊ยะกุ้งเพิ่มอีกสองจาน ฮ่าๆๆ คงจะอร่อยถูกใจมากๆ เพราะกินไปปากก็บอกว่าอร่อย อร่อย ไม่มีหยุดเลย 

หลังจากท้องอิ่ม  ผมก็ทำหน้าที่เป็นไกด์พาสโนว์ไปเที่ยวไหว้พระประจำเมือง  เดินดูร้านค้าที่มาตั้งเรียงรายไปตามท้องถนนทั้งสองข้าง  ตอนนี้คนยังเดินกันน้อยอยู่แต่พอถึงช่วงเย็นไปจนถึงกลางคืนคนจะเยอะมากๆเลยครับเดินเบียดเสียดกันเลยล่ะ  ผมเลยพาสโนว์มาเดินก่อนเพราะไม่อยากให้ต้องเดินเบียดกับใครน่ะครับ  สโนว์ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ของกินติดไม้ติดมือมาพอหอมปากหอมคอ 

“โอ้เอ้ เราอยากไปเห็นน้องสมบูรณ์จัง”  สโนว์หันมาบอกตอนที่เรากำลังเดินไปที่รถมอเตอร์ไซต์ที่จอดไว้

“น้องสมบูรณ์?  หน้าตาน้องเขาเป็นยังไงอ่ะแก  นึกหน้าไม่ออกไม่คุ้นกับชื่อนี้เลยจริงๆ”  ผมพยายามนึกว่าลูกหลานใครบ้างที่ชื่อน้องสมบูรณ์

“ไม่ใช่ๆ น้องสมบูรณ์ที่เป็นสวนๆ มีสระน้ำ มีปลา ที่คนไปให้อาหารปลากันเยอะๆน่ะ มีคนไปออกกำลังกายด้วย เราหาในเน็ตก่อนมา” สโนว์รีบอธิบายใหญ่  พอได้ฟังสิ่งที่สโนว์พยายามอธิบายผมก็แอบลอบยิ้มขำก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่


“หนองสมบูรณ์ ไม่ใช่ น้องสมบูรณ์ สโนววว์ ฮ่าๆๆๆๆ”  สกิลการอ่านภาษาไทยของสโนว์อ่อนแอจริงแหละครับ

“อ้าวหรอ หนองสมบูรณ์หรอ แฮ่ๆ” สโนว์แลบลิ้นแก้เก้อ มันน่ารักมากจนผมเผลอเอามือไปขยี้หัวสโนว์อย่างไม่รู้ตัว..

“...”

“...”

กว่าจะสำนึกได้ว่าเผลอทำอะไรลงไปก็ตอนที่ต่างฝ่ายต่างเงียบแล้วมองหน้ากันนี่แหละครับ

“...ไปกันเถอะแก นี่ก็เย็นมากแล้ว ป่ะๆๆ” เป็นผมเองที่ทนความเงียบและเกมจ้องตานี้ไม่ไหว เลยทำเนียนรีบเดินไปหา รถมอเตอร์ไซต์  สโนว์เองก็เดินตามมาคล่อมรถแล้วพากันขับไปยังสถานที่จุดหมาย  สโนว์อยากไปไหนผมก็ขับรถพาไปอย่างเอาใจ  เราตะลอนไปทั่วจนรอบตัวกลายเป็นเวลากลางคืนที่มีโคมไฟสีแดงประดับประดาเต็มท้องถนน

“กลับโรงแรมเลยไหมแก”  ผมถามหลังจากที่เรากินข้าวมันไก่เสร็จ

“อืม ก็ได้นะโอ้เอ้” 

“จัดไปจ้า”  ผมจ่ายเงินเสร็จก็พอดีกับม๊าที่โทรเข้ามา

“ว่าไงคะม๊า”  ผมรับสายไม่ลืมจะดัดเสียงเช่นเคย แม้ว่ามันจะทำให้น้องพนักงานที่เอาเงินมาทอนทำหน้าสะพรึงอึ้งแตกก็ตาม

/ลื้ออยู่ไหนตอนนี้/

“เพิ่งกินข้าวมันไก่เสร็จ  กำลังจะกลับโรงแรมแล้วจ้า” 

/ลื้ออย่าเพิ่งกลับๆ ลื้อไปแก้ปีชงขอพรเจ้าพ่อเจ้าแม่ก่อนนา อาอันโทนิโอ้ พาอาสโนว์อีไปด้วย เข้าใจม้าย/

“โอเคค่ะ รับทราบค่า  เกือบลืมแล้วเชียว”

/โอเค โอเค งั้นแค่นี้แหละ  อั๊วะไปฝึกสมองกับเพื่อนก่อนกำลังคะแนนพุ่ง โฮ๊ะๆๆๆ/ 

ม๊าพูดแค่นั้นก็วางสายไปฝึกสมองนับเลขบนไพ่ต่ออย่างไม่ต้องคาดเดา  ม๊าไม่ได้ติดการพนันหรอกนะครับ  เพียงแต่เวลากลับมาที่นี่จะต้องเล่นตลอด ห้าบาทสิบบาทก็ว่ากันไป

“สโนว์  เดี๋ยวเราขอแวะไปแก้ชงก่อนนะ แกจะไปด้วยกันไหมหรือให้เราไปส่งที่โรงแรมก่อน  เพราะว่าคนมันเยอะน่ะถ้าไปอาจต้องเดินเบียดๆกันหน่อยนะ” 

“เรา...ไปด้วยดีกว่า  อยากลองแก้ชงบ้าง เบียดคนหน่อย...คงไม่เป็นไรมั้ง”

“แน่ใจนะ?”

“อื้ม”

“โอเค  งั้นไปด้วยกัน  แต่ถ้าแกอยากกลับตอนไหนก็บอกได้เลยนะ”   ถึงสโนว์จะยีนยันหนักแน่นแต่ผมก็แอบกังวลอยู่ดี

“ไปกันเลยเถอะ”  สโนว์บอกอย่างนั้น ผมเลยขับไปยังริมแม่น้ำจอดรถไว้ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานเท่าไหร่แล้วเดินอ้อมขึ้นไปเดินบนทางเดินบนคันกันน้ำแทน  เพราะบนนี้จะอยู่สูงกว่าถนนและไม่มีร้านขายของมาวางขายให้เกะกะเลยจะเดินสะดวกหน่อยไม่ต้องไปเบียดใครเขา   

เราเดินกินลมชมวิวมาเรื่อยๆก็เห็นละครงิ้วโรงเล็กๆมีนักแสดงบนเวทีกำลังแสดงกันอย่างเข้าถึงบทบาท สีหน้าท่างทางการร่ายรำประลองต่อสู้กันนั้นชวนให้ผมกับสโนว์ยืนมองดูการแสดงอย่างสนใจถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาจีนสักคำเลยก็ตามที คนเฒ่าคนแก่ก็พากันนั่งดูอย่างตั้งใจแม้จะมีเพียงไม่กี่คนก็ตาม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีอาม่าผมที่กำลังนั่งดูอยู่หน้าเวทีด้วยสีหน้าที่กำลังอินไปกับการแสดงจนผมไม่กล้าเรียกอาม่าด้วยกลัวว่าจะไปขัดอารมณ์แกซะก่อน

พอฉากต่อสู้จบผมกับสโนว์ก็เลือกจะเดินต่อไปจนถึงสถานที่แก้ปีชง  ก็จัดการซื้อแผ่นแก้ปีชงกันคนล่ะชุดครับ การแก้ปีชงเป็นสิ่งที่ผมทำทุกปีเวลามา ถึงไม่ชงก็ทำเพื่อเสริมสิริมงคล ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปให้กับตัวเองน่ะครับ พอได้มาก็เขียนชื่ออายุ บลาๆ ของตัวเองลงไป  จากนั้นก็จะมีคนคอยบอกว่าขั้นต่อไปเราต้องทำอะไรต่อ  สโนว์กับผมก็ทำตามทุกขั้นตอน จนถึงขั้นตอนเกือบสุดท้าย เจ้าหน้าที่ก็ให้เราหันไปหน้าไปทางศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่และอธิษฐานขอพรจากท่านเป็นสิริมงคลและให้เอาใบแก้ชงปัดไล่สิ่งไม่ดีออกจากตัวเอง

พรที่ผมขอทุกปีก็คงเป็นขอให้คนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรงอายุยืนนานแคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกสิ่งครับ  ส่วนเรื่องความรัก ผมแอบหันไปมองสโนว์ที่กำลังตั้งใจอธิษฐานแล้วก็ได้แต่ยิ้มในใจ

ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่คือการโกหกในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะงั้นผมจึงไม่กล้าขอพรเรื่องความรักจากเทพเจ้าเพราะละอายใจ  แต่ก็หวังว่าท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ผมทำนะครับ  หากวันหนึ่งความลับถูกเปิดเผยขึ้นผมก็หวังแค่เพียงว่า...


 ‘อย่าให้เขาเกลียดผมเลยนะครับ’







วันอาทิตย์

หลังจากที่เมื่อวานเราตะลอนไปทั่ว วันนี้ผมกับสโนว์เลยเลือกที่จะพักผ่อนนอนตื่นสายกันอย่างสบายใจและคลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน......ก็คงมีแต่สโนว์คนเดียวนั้นแหละครับที่สบายใจ  เพราะผมน่ะนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้นขั้นสุด  ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้างวะถามจริง ได้นอนข้างๆคนที่ตัวเองแอบชอบทั้งคืนเลยนะโว้ย 

และถึงแม้ว่าสโนว์จะใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสามส่วนตัวบางนอน พร้อมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หอมฟุ้งไปทั่วปอดผมขนาดไหน  แต่ก็ไม่ได้ทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าก็ผมกลายร่างได้หรอก หึหึหึ  ก็ตั้งใจไว้แล้วไงว่าจะไม่ฉวยโอกาสเด็ดขาด!  แค่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆแค่นั้นเอง เหอๆ


พอใกล้ถึงเวลาเย็นพวกเราก็อาบน้ำแต่งตัวขับรถออกไปจับจองสถานที่ดูขบวนแห่มังกรตอนกลางคืนกันครับ  พวกป๊าม๊าอยู่ดูขบวนแห่ที่หน้าร้านป้าแก้วเหมือนเคย  แน่นอนว่าผมคงไม่ไปดูขบวนแห่มังกรที่ร้านป้าแก้วแน่ๆ ขืนไปมีหวังความแตกพอดี ป้าแก้วยิ่งเป็นคนพูดเก่งพูดมากพูดทุกอย่างอยู่ด้วยไม่อยากเม้าท์เลยจริงๆ  เอาเป็นว่าป้าแก้วรู้คนทั้งตลาดก็รู้ครับ - - ป๊าม๊าก็คงรู้ถึงข้อนี้ดีเลยไม่ได้โทรตามผมให้ไปหาที่นั่น  ผมคิดว่าม๊าก็คงมีข้ออ้างที่จะบอกป้าแก้วว่าทำไมปีนี้ผมถึงไม่ไปดูขบวนแห่มังกรที่หน้าร้านแกเหมือนทุกปีล่ะนะ



ผมคิดว่าจะพาสโนว์ไปดูต้นขบวนแถวหน้าเทศบาล  แต่ก่อนจะไปถึงผมก็ขับรถไปร้านขายของพลาสติกก่อน

“โอ้เอ้จะซื้ออะไรหรอ” สโนว์เอียงหน้ามาถามจากทางด้านหลังอย่างสงสัย 

“เดี๋ยวเราแวะซื้อเก้าอี้พับได้ก่อนนะ ขบวนมันยาวเพื่อเมื่อยจะได้นั่งได้  เอาไว้ให้สโนว์ยืนถ่ายรูปได้ถนัดๆด้วยไง”  ผมตอบก่อนจะเดินเข้าร้านไปเลือกเก้าอี้พับได้เอาขนาดพอเหมาะที่ถ้ายืนแล้วจะดูไม่สูงโดดเด่นเกินไปก็ได้มาหนึ่งตัวเล็กๆส่งให้สโนว์ที่ยังนั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซต์

“โอเค เสร็จธุระแล้วไปได้จ้า”  ผมพูดอย่างอารมณ์ดี

“ขอบใจมากนะโอ้เอ้ เธอดีกับเราตลอดเลยจริงๆ” สโนว์มองผมด้วยความซาบซึ้งใจจนผมเองทำตัวตัวไม่ถูก

“แหม่ๆๆ เรื่องแค่นี้เองแก อย่าคิดมาก ไปกันเถอะเดี๋ยวไม่มีที่ว่างแล้วจะเสียใจนะแก”  ผมทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรแค่เรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะทำให้เพื่อนแค่นั้นเอง  แต่ลึกๆในสมองก็แอบคิดว่า  หรือผมจะทำหน้าที่เกินเพื่อนไปจริงๆ




พอมาถึงต้นขบวนผมก็จอดรถไว้หน้าร้านค้าแถวๆนั้นแล้วเดินขึ้นเนินไปยืนรอขบวนแห่มังกรมา  คนอื่นๆก็เริ่มทะยอยมาเยอะขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ยืนรอเต็มสองฝากถนนยาวไปจนสุดลูกตานั่นแหละครับ  ผมพาสโนว์ไปยืนตรงทำเลเหมาะที่จะเห็นขบวนได้ชัดเจน  โชคดีว่าพวกเราตัวสูงกันการที่จะต้องยืนอยู่ด้านหลังให้ผู้หญิงที่มาที่หลังแทรกตัวไปยืนด้านหน้าจึงไม่มีปัญหาอะไรนัก  จนเมื่อขบวนเริ่มเดินความรู้สึกเมื่อยที่ยืนรอมานานก็หายไปทันที  เปลี่ยนไปเป็นตื่นตาตื่นใจแทน ปีนี้มีลูกเล่นใหม่ๆหลายอย่าง ทั้งขบวนพาเหรดวงดนตรีของโรงเรียนในจังหวัดนครสวรรค์ที่เล่นเพลงที่กำลังเป็นกระแสนิยมได้อย่างสนุกสนาน แถมยังเล่นดนตรีไปเต้นไปอีกด้วย  เหล่าดัมเมเยอร์ก็ควงไม้ไปตามจังหวะและเต้นไปตามเพลงอย่างคึกคัก  ตามด้วยขบวนการแสดงต่างๆจากโรงเรียนอื่นๆ บางก็คั้นด้วยขบวนคณะแห่สิงโต อังกอร์ ตั่งต่าง เยอะแยะไปหมด  แต่ที่ผมชอบมากที่สุดคือขบวนเด็กที่เล่นโรลเลอร์สเก็ตครับ มันแปลกใหม่ดี เด็กๆเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นธรรมชาติแสดงไปตามคิวแปลแถวอย่างพร้อมเพียงไม่มีหลุดหรือพลาดกันเลยประทับใจมากครับ 

“เก่งเนอะโอ้เอ้ ทำไมเด็กที่นี่เก่งกันจัง”  สโนว์ชมใหญ่ ตาก็เล็งกล้องถ่ายต่อไปอย่างพึงพอใจ  ผมก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย  ยิ่งขบวนเริ่มมากันเยอะคนก็ยิ่งเยอะตาม โดยเฉพาะเมื่อขบวนแห่มังกรและรถขบวนองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมออกมาผู้คนก็พยายามจะออกมายืนอยู่ด้านหน้าให้ได้มากที่สุดเพื่อเก็บภาพเพราะถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานและอยากจะสัมผัสผิวกับมังกรที่เชื่อว่าถ้าได้จับผิวมังกรแล้วจะเป็นสิริมงคลนะครับ  มังกรจะเคลื่อนตัวไปมาโดยมีคนแบกจำนวนหลายชีวิตที่จะเคลื่อนไหวพามังกรไปตามทิศทางต่างๆ  แล้วจะมีหนึ่งคนที่ถือลูกแก้วหลอกล่อมังกรให้ไล่ตาม คนถือลูกแก้ววิ่งไปทางไหน มังกรก็จะไล่ตามไปทางนั้นอย่างรวดเร็วจนราวกับว่ามังกรนั้นมีชีวิตจริงๆ 


“สโนว์ มารอแตะตัวมังกรเร็ว”  ผมจับแขนสโนว์ให้ยื่นออกไปด้านหน้าเพราะเห็นว่าคนล่อลูกแก้วใกล้จะมาถึงทางนี้แล้ว โดยผมประกบด้านข้างสโนว์ไว้ส่วนอีกด้านก็เอาเก้าอี้พับกั้นคนเบียดสโนว์ไว้อีกทาง  เพราะว่าเป็นผู้ชายซะหลายคนสโนว์เองก็เหมือนจะเกร็งๆไม่อยากเข้ามาเบียดด้วย  แต่เมื่อมังกรมาถึงใกล้ๆก็ได้แตะตัวมังกรพอดีแม้จะแค่แป๊บเดียวเสียววินาทีก็ตามแต่ก็ถือว่ามิสชั่นคอมพลีสแล้วล่ะครับ  เราเลยถอยออกมาอยู่ด้านหลังเช่นเคย

“ถ้าได้ถูกตัวมังกร จะโชคดีนะสโนว์ เราได้ถูกตัวมังกรแล้วต้องโชคดีแน่ๆ” 

“แค่ได้มาเห็นขบวนสวยๆแบบนี้ก็ถือว่าโชคดีมากๆแล้วล่ะโอ้เอ้” สโนว์ยิ้มหวานเตรียมจะหันกล้องไปถ่ายรูปต่อแต่ก็ถูกพวกผู้ชายบังสโนว์มิดซะแล้ว ผมเลยเอาเก้าอี้ให้สโนว์ขึ้นยืนถ่ายแทนซึ่งก็สูงพ้นพอที่จะถ่ายรูปได้อย่างไม่มีอะไรมาบังพอดี  เมื่อขบวนแห่มังกรเล่นลูกแก้วผ่านไป ต่อมาก็เป็นขบวนองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมครับ คนรอถ่ายรูปเพียบเพราะองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมสวยทุกปี คนที่จะได้เป็นองค์สมมติต้องผ่านการคัดเลือกหลายอย่างครับ และต้องผ่านพิธีการคัดเลือกจากเทพเจ้าด้วย ที่สำคัญต้องเป็นคนดีอย่างแท้จริง เมื่อได้แล้วก็ต้องถือศีลกินเจเป็นเวลาประมาณหกเดือนจนกว่าจะถึงวันแห่ขบวนครับ ไม่ง่ายเลยจริงๆ  ผู้คนจึงให้ความนับถือและให้ความสนใจกันมาก  ผมเองยังยกกล้องโทรศัพท์ออกมารอถ่ายเลยล่ะครับ

ยิ่งเมื่อขบวนใกล้ถึงจุดที่พวกผมยืนกันอยู่ผู้คนก็ยิ่งเบียดกันไปด้านหน้า ส่วนผมก็ยังยืนอยู่ข้างสโนว์ที่กำลังกดชัตเตอร์ไม่หยุด

“ถอยหลังหน่อยครับ ถอยหลังหน่อย  เบียดมาแบบนี้รถขบวนไปต่อไม่ได้ครับ ถอยๆๆๆ”  เจ้าหน้าที่เอ่ยปากบอกไล่ให้คนถอยหลังซึ่งพอคนจำนวนมากถอยหลังมาทั้งที่ตายังมองจอกดถ่ายรูปทำให้มีบางคนถอยมาชนสโนว์อย่างจัง

“สโนว์ ระวัง!”  ผมอุทานเมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวใหญ่ถอยหลังมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือชนสโนว์เต็มๆจนเจ้าตัวร่วงหล่นจากเก้าอี้  ผมเลยรีบกอดรับร่างโปร่งไว้ไม่ให้กระแทกไปกับพื้นถนนเสียก่อน มันเลยกลายเป็นเหมือนว่าผมดึงสโนว์เข้ามากอดไว้ในอ้อมอก

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ผมถามอย่างร้อนใจเพราะเก้าอี้ถึงจะไม่ได้สูงมากแต่ถ้าร่วงลงมาแบบนั้นก็มีสิทธิข้อเท้าพลิกได้เหมือนกัน

“ไม่เจ็บ...ปล่อยเราได้แล้วมั้ง โอ้เอ้” สโนว์พูดเตือน ผมเลยรีบผละออกอย่างลืมตัวไปหน่อย

“ฮะฮะ ลืมตัวน่ะ...เอ่อ  นี่ก็ดึกแล้วนะ สโนว์จะกลับโรงแรมเลยไหมหรืออยากจะอยู่ดูต่อล่ะ”  พอขบวนไฮไลท์ผ่านไปคนก็เริ่มทะยอยกลับกันบ้างแล้วเพราะตอนนี้ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วครับ  แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังยืนรอดูขบวนอื่นๆที่ตามมาต่อ

“กลับเลยก็ได้  เราเริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกันร้อนมากด้วย” พอสโนว์บอกอย่างนั้นเราก็เดินกันไปหารถที่จอดไว้


“เฮ้ย!  ไอ้โทนี่ จา  มึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ห่า มาไม่บอกเพื่อนฝูงกันเลยนะมึง”  เสียงคุ้นเคยของเพื่อนๆผมเอ่ยทักดังลั่นก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว    พวกนี้เป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กครับแบบว่าบ้านพวกมันก็อยู่แถวร้านป้าแก้ว ผมกลับมาก็เล่นกับพวกมันตลอดเจอกันตลอดตั้งแต่เล็กจนโต   แต่ปีนี้กูไม่อยากเจอพวกมึงเลยโว้ยยยยยย  ให้ตายเถอะพับผ่า!

“มึงนะมึงมาไม่บอกจะได้นัดเที่ยวกัน  ว่าแต่ทำไมไม่เห็นมึงที่ร้านป้าแก้วเลยวะ  กูก็นึกว่ามึงไม่กลับซะอีกปีนี้” ไอ้โมกข์เดินเข้ามากอดคอถามอย่างสนิทสนม  มึงช่วยดูหน้ากูบ้างได้ไหมว่าหน้ากูยินดีจะเจอพวกมึงไหมอะไรไหม สาส   ใครก็ได้เอาไอ้พวกนี้ออกไปที   หรือผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพวกมันเอาตัวรอดดีวะ

“เออ กูก็นึกว่ามึงไม่กลับเหมือนกัน  ไอ้ห่าทำไมมาคราวนี้มึงขาวขึ้นเยอะเลยวะ ไม่ดำเหมือนแต่ก่อนเลยอ่ะ แดกกลูต้าเข้าไปหรอวะมึง   ตอนแรกกูกับไอ้โมกข์ก็ไม่มั่นใจว่าใช่มึงเปล่า  แต่พอเห็นรอยโดนดาบฟันที่คิ้วกูเลยจำได้ว่าต้องเป็นมึงแน่นอน”  ไอ้ปิงพูดสมทบต่ออีกคน  ไอ้สัส มึงเล่นระบุตัวตนชัดขนาดนี้กูจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพวกมึงไม่ได้แล้วล่ะ   วินาทีนี้ผมอยากได้ผ้าคลุมร่องหนมากจริงๆ

“ทำไมไม่พูดไม่จาบ้างวะไอ้โทนี่ เป็นเชี้ยอะไร ส้นตีนติดปากไง?”  ไอ้โมกข์ถามกวนตีนอย่างปกติเวลาที่อยู่ด้วยกัน

“แล้วนี่ใครวะ เพื่อนมึงหรอ?”  ไอ้ปิงหันไปมองสโนว์ที่ยืนห่างไปราว 3 เมตรได้ สโนว์มองพวกผมสลับกันไปมาอย่างพยายามหาความเชื่อมโยงว่าตุ๊ด(หลอกๆ)อย่างผมไปรู้จักไอ้หน้าโหดหนวดเต็มหน้าทั้งสองคนได้อย่างไร  อย่าว่าแต่สโนว์จะพยายามหาความเชื่อมโยงเลย  เพราะขนาดผมเองยังคิดไม่ออกว่าจะไปอธิบายกับสโนว์ยังไงดีเลย


“อ..เอ้อ..เพื่อนเราเองแหละ”  ผมบีบเสียงขึ้นจมูก ถึงสถานการณ์จะเสี่ยงความแตกแค่ไหน แต่วิญญาณกระเทยต้องมาเพื่อนช่างแม่งตอนนี้กูแคร์ความรู้สึกสโนว์สุด

“เป็นเชี้ยอะไร พูดเสียงซะเหมือนกระเทยไอ้โทนี่ กูขนลุกว่ะ”

“..ค..แค่กๆๆ  กู..เราไม่ค่อยสบาย..ไอว่ะแก”  งานแอ็คติ้งก็ต้องมาอย่าให้เสียสถาบันไปอีก

“อ้าวหรอวะ  โห่ เซ็งเลยกะจะชวนไปเที่ยวสาวซะหน่อย สวยๆทั้งนั้นเลยนะมึงสนเปล่าวะ ไปไหวไหม อกเป็นอกเอวเป็นเอวสเป็คมึงเลยนะเว้ย”  ยัง ยังไม่หยุดอีกไอ้เชี้ยโมกข์  ถ้ามึงยังไม่หยุด กูจะเอาแข้งขากูอุดปากมึงซะไอ้เวร   ผมได้แต่คิดในใจ ถ้าไม่ติดว่าสโนว์ยืนมองอยู่ผมทำไปแล้ว

“ฮะๆๆ ไม่ไปหรอกจ้า  ขอตัวไปพักผ่อนก่อนน้า บั่ยบายนะสุดหล่อออ”  ผมยิ้มหน้าระรื่นเอามือบีบแก้มมันแรงๆไปด้วยความหมั่นไส้คนละที จนพวกหมามันทำหน้างงก็ใช้จังหวะนั้นเผ่นสิครับ


“ไปเร็วสโนว์กลับโรงแรมกัน”  ผมจูงมือสโนว์เดินไปที่รถอย่างไวก่อนจะสตาร์ทรถขับกลับโรงแรมด้วยความเร็ว


ระหว่างทางกลับโรงแรมสโนว์เงียบมากไม่พูด ไม่จา ไม่เอากล้องขึ้นมาถ่ายรูประหว่างทางเช่นเคย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดัน คิดหาคำพูดแก้ตัวไปเรื่อย จะบอกว่ามันจำคนผิดดีไหม หรือจะบอกว่าพวกมันไม่รู้ว่าผมเป็นตุ๊ดแต่ความจริงแล้วผมเป็นตุ๊ดจริงๆนะสโนว์เชื่อเราสิ หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตีเนียนเป็นตุ๊ดต่อไปดี  ผมคิดจนสมองยุ่งเยิงไปหมดจนกระทั่งถึงโรงแรม


พวกเราเดินเข้าห้องวางสัมภาระต่างๆ  ผมลอบมองท่าทีของสโนว์ที่นั่งกดกล้องดูรูปอยู่ที่ปลายเตียงนอน  คิดว่าสโนว์คงไม่ได้ติดใจอะไรแล้วมั้งนะ


“สโนว์ น้ำเย็น  ดื่มให้ชื่นใจจ้า” ผมถือแก้วน้ำเดินไปให้สโนว์ดื่มให้หายร้อน  สโนว์เงยหน้าขึ้นมามองและยื่นมือมาจับแก้วน้ำพร้อมกับจับมือผมไว้





“โอ้เอ้ไม่ได้เป็นตุ๊ดจริงๆใช่ไหม?”



************************************************************************
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

เอาล่ะเหวย เอาล่ะวา โอ้เอ้จะตอบสโนว์ว่ายังไง  เอาใจช่วยคนทึ่มด้วยนะคะ :call:

ขอบคุณที่คอมเม้นท์นะ  ดีใจที่ยังเข้ามาอ่านกันค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 ครอบครัวโอ้เอ้นี่หรรษาดีจังน่ารักหัวสมัยใหม่มาก
โถ่มันน่าตบกะบาลเพื่อนสองคนนั้นจริงความจะแตกมั้ยเนี่ยโอ้เอ้อุตส่าห์สร้างภาพจนสโนว์ไว้ใจ รอๆตอนต่อไป :katai1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โอ้เอ้ ลืมนึกไปแน่ๆเลยว่าต้องมาเจอเพื่อน หาคำแก้ตัวไปละกันนะ เอาใจช่วย อิอิอิ
 :beat:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ความแตกแล้ววว แต่รู้สึกเหมือนสโนว์ก็ไม่ได้กลัวโอ้แล้วนะ ยอมรับแล้วสานสัมพันธ์ต่อเลยโอ้

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

บทที่ 8  ขอโทษ




“โอ้เอ้ไม่ได้เป็นตุ๊ดจริงๆใช่ไหม?”


คำถามที่เถรตรงพุ่งเข้าชนผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว  หากว่าสโนว์ไม่ได้จับแก้วน้ำในมือผมไว้ด้วย ป่านนี้แก้วในมือคงตกลงแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดีเหมือนกับสติผมในตอนนี้เป็นแน่  ทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด  ผมชะงักนิ่งไปนานหลายวินาทีราวกับหยุดหายใจไปแล้ว จนสโนว์ดึงแก้วน้ำในมือออกไปวางบนโต๊ะทานอาหารผมจึงเริ่มหายใจได้อีกครั้ง


“ถ้าโอ้เอ้ยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไรนะ”


“...”  ทั้งที่ผมควรจะรีบปฎิเสธไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้นานที่สุด 


แต่ความรู้สึกข้างในมันกลับบอกว่า อย่าโกหกอีกต่อไปเลย


“แต่คืนนี้...รบกวนนายออกไปนอนที่อื่นเถอะนะ  เราอยากนอนคิดอะไรคนเดียว”


“...” 


“ลืมไปเลยว่าเราต่างหากที่ควรต้องออกไป งั้นนายอยู่นี่แหละเราไปเองดีกว่า”


“ไม่ต้อง...เดี๋ยวเราออกไปเอง” ผมชิงบอกตัดหน้าก่อนสโนว์จะเดินไปที่ประตู  พูดด้วยน้ำเสียงของผมจริงๆไม่ได้ดัดเสียงเช่นทุกครั้งเวลาที่ผมคุยกับสโนว์


“...”  สโนว์ไม่ได้พูดค้าน  เพียงแต่มองมาที่ผมก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ถึงตอนนี้สโนว์คงรู้แล้วล่ะว่าผมคงไม่ใช่ตุ๊ดจริงๆ  เขาเองก็คงไม่ต้องการให้ผมอยู่ใกล้อีกต่อไป  คนที่เป็นฝ่ายผิดอย่างผมก็ละอายใจเกินกว่าจะอยู่ต่อไป 


“สโนว์  เราขอโทษนะ...” แต่ก่อนจะไปผมก็อยากพูดคำที่ติดค้างอยู่ในใจเสียก่อน  เพราะผมไม่รู้เลยว่าหากผมก้าวเท้าออกจากห้องนี้ไปแล้ว  ผมจะได้กลับมามีโอกาสพูดคุยกับสโนว์อีกหรือไม่


ผมสูดหายใจลึกๆก่อนจะพูดความจริงออกไป “เราไม่ได้เป็นตุ๊ด”


“......งั้นหรือ” น้ำเสียงเนิบๆของสโนว์ที่ไม่ได้มีความรู้สึกโกรธ เคือง ประชด เกลียด หรือ เสียใจเจือปนอยู่ในน้ำเสียงสักนิดเดียวเลยนั้น  แต่มันยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ  เพราะอะไรนะหรือ  เคยได้ยินไหมครับว่า ‘คนที่ทำให้เราเสียใจได้มากที่สุดคือคนที่เรารักมากที่สุด’  แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดมหันต์ในการที่เราโกหกคนที่ตัวเองรักและพยายามปิดบังมาตลอดจนคิดว่าถ้าความลับแตกขึ้นมาเขาคงจะเกลียดผมจนเข้าไส้ โกรธจนไม่อยากมองหน้า  แต่สโนว์ในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงพูดจาดีๆกับผมเช่นเคย และยังคงรักษาท่าทางเหมือนเดิม....สิ่งเหล่านี้มันบ่งบอกว่าตัวผมเองนั้น ‘ไม่ได้มีความสำคัญ’ อะไรกับสโนว์มากมายนักเลย




“...ใช่ ขอโทษนะที่โกหกมาตลอด  เรา..เรา........”  มีหลายอย่างที่ผมอยากจะอธิบาย อยากจะแก้ตัว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเก็บไว้ในใจ  เพราะถึงพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว



“เรารู้ว่าเราทำผิดมากๆ สโนว์จะโกรธหรือจะเกลียดเราก็ได้นะ...แต่ขออย่างหนึ่งได้ไหม”  ถึงผมจะเคยขอพรไว้ว่าอย่าให้สโนว์เกลียดผมเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมว่าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับอยู่แล้ว  ทว่าผมก็มีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้นมากกว่า


“...”  สโนว์ไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้หันหน้าหนี  ยังคงมองมาที่ผมอย่างรอฟัง


“อย่าลาออกจากมหา’ลัยเลยนะ”   นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ สโนว์ดูจะแปลกใจกับคำขอของผม


“ทำไม?”


“เพราะว่า...ถ้าสโนว์ลาออกไป” 


“...”


“เราคง...คิดถึงมาก” 




 

“เรื่องนั้น เราจะตัดสินใจของเราเอง”  น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นทำให้ผมยิ่งแน่ใจไปอีกว่าผมน่ะไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของสโนว์เสียเลยจริงๆ 


จากนั้นผมก็เดินออกจากห้องมานั่งที่ล๊อบบี้ของโรงแรม ก่อนจะหงายหลังพิงกับโซฟาไปทั้งตัว พลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก


ถ้าวันนั้นนังเซ่นไหว้ไม่หายหัวไป ผมก็คงไม่ได้เจอกับสโนว์


ถ้าวันนั้นผมไม่ได้บังเอิญไปได้ยินตอนสโนว์โทรคุยกับแม่ว่าจะลาออกผมก็คงไม่ได้แอ๊บเป็นตุ๊ดมานานขนาดนี้


ผมถามตัวเองว่าถ้าย้อนไปได้ยังจะทำแบบเดิมไหมนับพันครั้ง


แต่คำตอบที่ตอบตัวเองกลับมาเป็นพันหนก็ยังเหมือนเดิม



นั้นคือ ‘ทำ


ขอบคุณโชคชะตาเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ผมได้ไปบังเอิญได้ยิน  เพราะไม่งั้นสโนว์ก็คงลาออกไปโดยที่ผมเองไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆให้เขาอย่างเช่นทุกวันนี้

ไม่ได้พูดคุยกัน


ล้อเล่นกัน


ขี่มอเตอร์ไซต์ด้วย


เดินเล่นด้วยกัน


กินข้าวบ้านเดียว


มาเที่ยวด้วยกัน


หรือแม้กระทั่งได้นอนอยู่ข้างๆกันในยามค่ำคืน เฝ้ามองเขายามหลับใหล อย่างที่ผ่านมา...





สิ่งเหล่านั้นผมถือว่ามันมีค่ามากจริงๆ น่าเสียดายที่เวลาเหล่านั้นมันผ่านไปไวมากจริงๆ


ผมรู้ว่าผมผิดเอง  ผิดเองล้วนๆ แต่ส่วนลึกในสมองมันก็แอบตะโกนว่า









ไอ้เหี้ยปิง ไอ้เหี้ยโมกข์  กูไม่น่ามาเจอพวกมึงเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย!!!










มีต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


เช้าวันจันทร์




หลังจากนั่งคิดอะไรคนเดียวมาทั้งคืนจนผมจะแปลงร่างเป็นญาติหมีแพนด้าได้  ผมก็ขึ้นไปเคาะห้องเพราะต้องเตรียมเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพกัน  สโนว์เปิดประตูให้แล้วบอกว่าจะไปนั่งทานอาหารด้านล่าง แล้วเดินอ้อมผมไปไม่เดินเข้าใกล้อย่างเคยออกจากห้องนี้ไป  ไอ้อันโทนิโอ้คนนี้เลยได้แต่คอตกแล้วรีบจัดการทำธุระตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะโทรหาป๊าว่าเขาจะอยู่ดูแห่มังกรตอนเช้าไหม  ซึ่งป๊าก็บอกว่าคงไม่ได้อยู่เป็นห่วงร้านไม่อยากทิ้งไว้นาน  ผมเลยบอกให้ป๊ามารับและวางสายไป  ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าพอดีกับที่สโนว์กลับขึ้นมาบนห้อง


“สโนว์  เดี๋ยวเราต้องเช็คเอ้าท์แล้วนะ  ป๊าไม่ได้อยู่ดูแห่มังกรตอนเช้าแล้ว เขาห่วงร้านน่ะ คงต้องกลับกันเลย”


“..นายกลับไปก่อนเลย เราว่าจะนั่งรถตู้กลับเอง เมื่อคืนเราลองหาในเน็ตแล้วว่ามีรถตู้วิ่งไปกรุงเทพทุกชั่วโมง”


“...มันนั่งไม่สบายนะ  แล้วรถตู้ช่วงเทศกาลแบบนี้ต้องโทรจองที่ล่วงหน้านะสโนว์ไม่งั้นมีที่ว่าง  สโนว์ได้โทรจองไว้หรือยัง” ใจแฟบเลยสิครับ  เล่นบอกแบบนี้เหมือนไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วจริงๆ...แล้วนี่ผมควรรู้สึกยังไงดีวะ  เมื่อคืนพอสว์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธมาก ผมก็เสียใจเพราะคิดว่าผมมันไม่ได้สำคัญอะไร  แต่พอสโนว์ทำเหมือนไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากอยู่ใกล้ ผมก็ใจแห้งไม่แพ้กันเลย  ย้อนแย้งฉิบหายไปอันโทนิโอ้เอ้ย


สโนว์หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ตามที่เขาคงบันทึกเบอร์ไว้เมื่อคืน ก่อนจะพูดเรื่องจองรถตู้


“จองรถตู้หนึ่งที่ครับ”  ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร  แต่ก็ภาวนาว่าขอให้เต็มทีเถอะ


“งั้นหรอครับ..ไม่เป็นไรครับ”   สโนว์กดวางแล้วเงียบไปซึ่งผมคิดว่ารถคงเต็มหมดทั้งวันแน่ๆ


“กลับด้วยกันนะสโนว์  เดี๋ยวเราจะไปนั่งขับรถเอง สโนว์จะได้ไม่ต้องรู้สึก..อึดอัดนะ”  ตอนขามายังนั่งด้วยกันแบบมีความสุขแท้ๆ  ทำไมขากลับมันความรู้สึกมันแตกต่างกันสุดขั้วแบบนี้วะ  เฮ้อ  ได้แต่ยอมรับผลกรรม


“อืม”





หลังจากที่ผมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ป๊าก็ขับรถมารับ ซึ่งผมก็ขอเป็นคนขับรถเองตามสัญญา ป๊าก็ไปนั่งเบาะข้างคนขับแทน  ม๊า อาม่า อาหลิง ยังคงยิ้มต้อนรับพูดคุยกับสโนว์อย่างดี้ด๊าเหมือนเคยเพราะยังไม่รู้ว่าความแตกแล้ว


“อาสโนว์ เป็นงาย สนุกม๊ายมาเที่ยวดูมังกรเมื่อคืน ลื้อชอบม๊าย” ม๊าถามทันทีที่พวกเราเดินไปขึ้นรถ  วันนี้ผมเลือกใส่แว่นกันสีดำปกปิดรอยคล้ำใต้ตาเพราะไม่อยากให้ใครเห็น


“สนุกครับม๊า” สโนว์เองก็ทำตัวเป็นปกติ  ผมนึกขอบคุณทีสโนว์ไม่โกรธม๊า ป๊า อาม่า อาหลิง อาฟู่ ที่ช่วยกันปกปิดความลับของผมไปด้วย


“ดีดีดี ไว้ว่างๆเราไปเที่ยวด้วยกันอีกนะคะพี่สโนว์”  อาหลิงพูดชวนพูดเรื่องทริปไปเที่ยวหลายที่ ที่อยากจะไป  สโนว์ไม่ได้ตอบรับเพียงแต่ยิ้มให้เฉยๆ


“อาสโนว์ อั๊วะซื้อเป็ดพะโล้มาฝากลื้อนา เจ้านี้อร่อยมาก เป็นเจ้าประจำของอาม่าตั้งแต่ยังสาวๆเลยนา อยากให้ลื้อได้กิน เอาไว้ไปกินที่บ้านนะอาสโนว์”  อาม่ายิ้มให้สโนว์อย่างเอ็นดูและยื่นกล่องใส่เป็ดให้สโนว์  ผมคิดว่าคนที่บ้านผมเองก็คงเอ็นดูสโนว์อยู่มากทีเดียว  เสียดายที่ผมไม่สามารถเอาสโนว์มาเป็นสะใภ้ให้ได้


ขอโทษนะทุกคน...รวมถึงตัวผมด้วย


“เมี๊ยววว”  นังเซ่นไหว้กระโดดหาผมก่อนจะฟุบนอนอยู่บนตักแล้วเงยหน้ามองผม  ก่อนจะทิ้งตัวลงหมอบอย่างหงอยๆ เหมือนกับว่า  ฉันรู้นะว่าแกไม่ปกติ นี่คงความแตกแล้วสิท่า เฮ้อ อดได้คนหล่อมาเป็นเป็นทาสเลย เศร้าจริงๆ


ผมได้แต่เอามือข้างหนึ่งไปลูบหัวมัน  ขอโทษนะเซ่นไหว้ที่มีทาสกากๆแบบข้า  ผมคิดว่ามันคงรับรู้ความรู้สึกผมจริงๆนั่นแหละ  เพราะพอผมคิดแบบนี้ไป มันก็เชยตาขึ้นมามองผมแป๊บนึง ก่อนจะถอนหายใจทิ้งไปหนึ่งเฮือกแบบปลงๆ


ผมขับรถมาส่งสโนว์ที่คอนโดก่อน  ทุกคนแย่งกันล่ำลาสโนว์อย่างไม่มีใครยอมใคร  เหมือนเอาใจว่าที่สะใภ้ในอนาคตก็ไม่ปาน 


“บ๊าย..บาย”  อาฟู่ฟู่ โบกมือลาน้อยๆ


“พี่สโนว์ ไว้เจอกันใหม่นะคะ  หลินมีการบ้านยากๆอยากให้พี่สโนว์สอนเยอะแยะเลย ไว้ให้เจ้โอ้พามาบ้านอีกนะ”  เขาคงไม่ไปแล้วล่ะอาหลิง


“ใช่ๆ อาสโนว์ไปหาม๊าที่บ้านอีกนา อยากกินอะไรเดี๋ยวม๊าทำให้กินม่ายอั้นเลยนา จะนอนค้างอีกก็ได้นา อามาเรียฟิเซนต์ต้องดีใจแน่ถ้าลื้อไปบ่อยโฮ๊ะๆๆๆ”  ของอร่อยแค่ไหนก็คงรั้งใจใครไว้ไม่ได้หรอกม๊า


“เมี๊ยวววว”   นังเซ่นไหว้รีบตอบรับอย่างมีความหวัง


“อาสโนว์อย่าลืมกินเป็ดที่อั๊วะซื้อให้ลื้อนา ขึ้นห้องไปก็ล็อคประตูให้เรียบร้อยนา ใครมาเคาะก็อย่าเปิด เพื่อเป็นคนไม่ดีมาทำร้ายลื้อ  มีอะไรก็โทรตามอาโอ้เอ้ได้เลยนาอย่าเกรงใจ  อาโอ้เอ้อีเต็มใจมาช่วยลื้ออยู่แล้ว  ใช่ม้ายอาโอ้เอ้”  อาม่าพูดปิดท้าย  ซึ่งผมก็หันไปมองสโนว์พอดีกับที่สโนว์มองมา 


“ใช่แน่นอน..ครับ”  ผมตอบไป สโนว์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายกมือไหว้ลาทุกคนก่อนจะเดินขึ้นห้องไป


“อาอันโทนิโอ้  ทำไมเมื่อกี้ลื้อพูดครับล่ะ ต้องพูดว่าค่ะซี้  ทำไมขี้ลืมแบบนี้วะฮ๊า”  ม๊าเอาพัดยื่นมาเขกหัวด้านหลังผมหนึ่งที


“ใช่เฮีย เฮียลืมดัดเสียงด้วยแหละ พลาดได้ยังงายยยยย”  อาหลิงทำท่าทางล้อเลียนความบื้อของผม


“ขืนลื้อพลาดบ่อยๆแบบนี้ ก็ถูกจับด้ายกันพอดี!”  ม๊าบ่นใหญ่  ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแต่ถอดแว่นตาแล้วหันกลับไปมองทุกคน




“ทุกคน...สโนว์เขารู้แล้วว่าผมไม่ได้เป็นตุ๊ด”






“ห๊ะ!!!!!!”



*******************************************************
 :ling2: :ling2: :ling2: :ling3: :ling3: :ling3:


อันโทนิโอ้โดนจับได้แล้วแบบนี้  เรื่องจะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี้

ปวดหัวแทนโอ้เอ้เลยจริงๆๆๆๆ


แต่พูดความจริงออกไปแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะเนอะ 


เพราะความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานต้องไม่เกิดจากการหลอกลวง

ว่าไหมคะ


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆๆค่ะ    อย่าลืมให้กำลังใจอันโทนิโอ้คนทึ่มด้วยนะคะ เพราะแอดคิดว่านางคงช้ำใจจนอยากไปนั่งแทะไผ่เป็นเพื่อนหมีแพนด้าแล้วล่ะค่ะ ฮ๋าๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 01:00:30 โดย Monkey D »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสัยต้องไปง้อสโนว์ทั้งครอบครัวล่ะมัง  :hao4:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
แล้วทีนี้จะง้อยังไงละโอ้เอ้

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
โอ้เอ้สู้ๆๆๆๆ อธิบายเหตุผลเค้าไปสิว่าทำเพราะอะไร

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
สงสาร
แต่โกหก เพราะเจตนาดีนะสโนว์
ให้อภัยโทนี่เถอะน้าาา   :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


ตอนที่ 9   ง้อ




วันเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ 


ความสัมพันธ์ของผมกับสโนว์ได้ย้อนกลับไปสู่ช่วงเริ่มต้นในเวลาอันรวดเร็วจนน่าตกใจ  เหมือนกับตอนเด็กๆที่ผมชอบต่อโดมิโนให้ตั้งเรียงกันไปให้ไกลมากที่สุดโดยหวังว่ามันจะไม่ล้ม  จนถึงตอนที่ผมใกล้จะวางโดมิโนตัวสุดท้ายอย่างสวยงาม กลับกลายเป็นว่าผมดันสะดุดเท้าตัวเองไปโดนโดมิโนจนมันล้มพรืดเรียงกันไปในเพียงเวลาไม่กี่วินาที  ความพยายามอย่างยาวนานของผมก็มลายหายไปในพริบตา....ไม่ต่างอะไรกับผมในตอนนี้เลย  ผมกลับมาอยู่ในสถานะแค่คนที่แอบมองอยู่ทางด้านหลังอีกครั้ง  ต้องแอบมองอยู่ไกลๆเหมือนเมื่อก่อน 

ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามเดินเข้าไปปรับความเข้าใจนะ   แต่เมื่อไหร่ที่เดินเข้าใกล้สโนว์ก็จะรีบเดินหนี  เดินหลบตลอด  เอากระเป๋า เอาหนังสือมาวางคั่นทั้งสองข้างไม่ให้ใครมานั่งใกล้  เรียนเสร็จรีบกลับไวเหมือนเดิม  พอมีโอกาสที่จะได้พูดด้วย  สโนว์ก็พูดเพียงสั้นๆว่า


“อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลยนะ  เรายังไม่พร้อม” ผมก็ได้แต่หงอยอยู่อย่างนี้แหละครับ


แต่ก็ยังดีที่ว่า  สโนว์ยังคงเรียนที่นี่ต่อไป  ไม่ได้หนีหายไปไหนอย่างที่ผมกลัวอีก


“ไอ้โอ้  มึงไหวเปล่าวะ?”  ไอ้โปถามผมที่กำลังนั่งมองสโนว์จากทางด้านหลังในโรงอาหาร  เราเรียนช่วงเช้าเสร็จแล้วกอรปกับตอนบ่ายอาจารย์ยกเลิกคลาส  ผมกับไอ้โปเลยเดินตามสโนว์มานั่งหาอะไรกินที่นี่


“...กูโอเค”  ผมตอบมันแบบหมดอาลัยตายยาก


“สภาพมึงตอนนี้แม่ง...เฮ้ออออ”  ไอ้โปมองผมจากหัวจรดตีนแล้วมองย้อนกลับขึ้นมาอีกรอบก่อนจะส่ายหน้าถอนหายใจแล้วกลับไปกินข้าวของมันต่อ


ผมพอจะเข้าใจความคิดไอ้โปนะ ว่ามันมองผมด้วยสายตาอนาถใจขนาดไหน  เพราะผมในตอนนี้สภาพไม่ต่างจากผีบ้า ผมเลิกทำตัวเป็นคนเจ้าสำอางค์ กลับมาเป็นไอ้อันโทนิโอ้ตัวดำผิวกร้านเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือปล่อยผมปล่อยหนวดให้ยาวรุงรังจนอาจารย์คิดว่าผมแหกคุกออกมาจากเรือนจำที่ไหนก็ไม่ปาน  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กลับบ้านมาสองอาทิตย์แล้วเพราะกลัวม๊าจะโทรแจ้งตำรวจมาจับก่อนที่ผมจะเดินเข้าร้านเสียอีก


“อย่างน้อยโกนหนวดสักหน่อยก็ดีนะมึง  ยามมหา’ลัยเขาจะได้ไม่ต้องตกใจว่าจะให้หน้าโจรๆแบบมึงผ่านเข้ามาในมอดีหรือเปล่าอยู่ทุกวันไอ้ห่า มึงไม่ขี้เกียจต้องโชว์บัตรนักศึกษาให้ยามดูทุกวัน อยู่คนเดียวบ้างหรอวะ?”


“กูไม่มีกะจิตกะใจจะทำเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละมึง”  พูดแล้วก็เศร้ายิ่งกว่าหมาหงอยอีก


“ไหนตอนกูค้านว่าแกล้งเป็นตุ๊ดมันไม่โอเคสักวันต้องถูกจับได้แน่ แต่มึงก็บอกกูว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงมึงก็รับได้ไงวะ  แล้วทำไมพอมันพังไม่เป็นท่ามึงถึงโคตรรับไม่ได้แบบนี้วะไอ้ห่าโอ้”  แต่ตอนนี้กูรับไม่ได้โว้ย  เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ความคิดกูก็เปล่ยนเช่นกัน


“...กูเคยบอกมึงหรอวะ  ว่ากูรับได้”  หรอวะ  ผมเคยพูดหรอวะ


“เอออออ  ไอ้ควาย เคยจำห่าอะไรได้บ้างไหมมึงอ่ะ  หลายครั้งกูก็แปลกใจนะว่ามึงหลุดเข้ามาเรียนมหา’ลัยได้ยังไงทั้งที่ความจำสั้นยิ่งกว่าหางกบแบบนี้” 


“...” ผมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรต่อ...เพราะผมกำลังคิดอยู่ว่ากบมันมีหางด้วยหรอ  ทำไมผมไม่เคยเห็น ไอ้ห่าโปแม่งมั่ว!


“ถึงกูจะความจำสั้นแต่กูก็รู้นะโว้ยว่ากบมันไม่มีหาง! มึงมันก็ควายพอกับกูแหละวะ”  ชิชะมาทำเป็นด่าผมอยู่ได้  เห็นผมกำลังเศร้าล่ะเอาใหญ่


“...ไอ้โอ้...กูว่าสมองมึงเกินเยียวยาแล้วจริงๆนั่นแหละวะ”  ไอ้โปทำหน้าปลงสุดขีด


“อะไรของมึงอีกวะ  กูพูดผิดตรงไหนก็กบมันไม่มีหางจริงๆ”  ผมเถียงต่อ  เริ่มหงุดหงิด  รักพังไม่พอโดนเพื่อนมากวนตีนอีก


“ใช่  มึงพูดถูก  กบมันไม่มีหาง...และกูก็ขอยืนยันว่าความจำมึงก็สั้นยิ่งกว่าหางกบซะอีก”  ไอ้โปยังยืนยันหนักแน่น จนผมเริ่มเอะใจ

“...”  ความจำผมสั้นยิ่งกว่าหางกบ  แต่กบมันไม่มีหาง  มันไม่มีหางก็แสดงว่า...


“ไอ้ควาย! โดนกูด่าว่าไม่มีความจำตรงๆขนาดนี้ยังคิดไม่ออกอีก  บุญของสโนว์แล้วล่ะไม่ได้คนโง่แบบมึงไปเป็นแฟน”


แล้วทำไมต้องตอกย้ำด้วยวะ!  T T แค่นี้ก็โคตรเจ็บปวดอยู่แล้วป่ะวะ  ไอ้เพื่อนเหี้ย  กูอยากร้องไห้


“เลิกทำหน้าหมาหงอยสักทีเถอะวะ  กูรำคาญลูกกะตาเต็มทน  ขืนมึงยังเป็นสภาพแบบนี้ได้ดรอปเรียนแน่ไอ้โอ้”  ไอ้โปหันมาพูดอย่างจริงจัง แต่เหมือนว่าจิตสำนึกผมจะต่ำไปหน่อยเลยไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรือคิดได้มากขึ้นเลยสักนิด


“...”


“อยากง้อสโนว์ไหม?” 


“อยากดิวะ  ถามมาได้”


“กูมีวิธีนะมึง  แต่ไม่รู้จะได้ผลเปล่า”  พอไอ้โปพูดแบบนี้ผมเลยหันไปมองมันด้วยความสนใจ 


“ว่ามามึง  กูพร้อมทำทุกอย่าง”  ผมตั้งใจฟังสิ่งที่มันจะพูดออกมา จนแทบกลั้นหายใจ


“มึงก็จ้างคนไปรุมทำร้ายสโนว์  พอสโนว์เริ่มกลัว  มึงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าต่อสู้กับพวกนั้น  ทีนี้สโนว์ก็จะรู้สึกเหมือนมึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไง ไง ไง ไงงงง  เจ๋งป่ะความคิดกู”  ไอ้โปกอดอกหัวเราะคิกๆ


“สาบานว่ามึงไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าคิด?”  ผมมองมันอย่างเอือมระอา   นี่มันอ่านนิยายหนักมากเกินไปหรือเปล่าบอกผมที


“เอ้า  นี่มันคลาสสิกสุดๆเลยนะมึง”


“ให้ตายก็ไม่ทำ...กูไม่อยากสร้างเรื่องหลอกเขาอีก   ไม่อยากไปตอกย้ำปมในใจเขาด้วย”   ถ้าผมทำตามไอ้โปแนะนำก็บ้าสิ้นดี  สโนว์ไม่ควรต้องมาพบเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว


“ทีงี้ล่ะฉลาดขึ้นมาเชียวถ้าเกี่ยวกับสโนว์ เหอะ  งั้นมึงก็เป็นหมาแอบมองเขาแบบนี้ต่อไปเถอะ  กูไม่รู้จะช่วยยังไงล่ะ”


“อืม... กูคงทำได้เท่านี้จริงๆ”  ผมหันไปมองสโนว์ที่เดิมแต่ร่างขาวกลับไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว


“อ้าวเฮ้ย สโนว์ไปไหนแล้ววะ?”  ผมชะเง้อคอมองหา  รีบลุกไปตรงโต๊ะที่สโนว์นั่งเมื่อกี้นี้ก็ไม่เจอแม้แต่เงา  เห็นก็แต่กระเป๋าสตางค์หนังของสโนว์ร่วงอยู่ใต้เก้าอี้   ผมเลยก้มเก็บมา


“เวรกรรมดันทำกระเป๋าสตางค์ตกอีก  แล้วจะมีเงินใช้ไหมล่ะนั่น”  ไอ้โปพูดลอยๆ ผมหันไปมองมันอย่างฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า  วันนี้เป็นวันศุกร์ ถ้าสโนว์ไม่มีกระเป๋าตังค์เสาร์ อาทิตย์จะเอาอะไรกิน บัตรกดเงินก็น่าจะอยู่ในนี้หมด


“มัวแต่ยืนคิดนาน  เดี๋ยวเขาก็ขับรถกลับไปเสียก่อนหรอกไอ้โอ้  รีบตามไปดิวะ” 


ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไปแต่ขาทั้งสองข้างกลับวิ่งออกไปจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว   วันนี้สโนว์จอดรถไว้หน้าคณะอื่นผมจำได้เพราะขับรถมอเตอร์ผ่านซึ่งก็ไกลจากคณะผมทีเดียว  ผมเลยต้องรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดด้วยความกลัวว่าสโนว์จะอดข้าวตายในวันเสาร์อาทิตย์นี้เสียก่อน



ผมวิ่งออกมาไม่ทันไร  ฝนประเทศไทยที่นึกอยากจะตกวันไหนตอนไหนก็ตกดันตกลงมาตอนนี้ซะอย่างนั้น  ให้มันได้อย่างนี้สิพับผ่าเอ๊ย!  ผมกุมกระเป๋าสตางค์ไว้แนบอกเอามือบังจนแน่ใจว่ามันจะไม่เปียกแล้วรีบวิ่งให้ไวกว่าเดิมไปยังจุดมุ่งหมาย  สายตาทุกคนที่เดินกางร่มกันคงมองว่าไอ้บ้าที่ไหนมาวิ่งตากฝนในมหา’ลัยกันวะ  หรือมันวิ่งชิงกระเป๋าสตางค์นักศึกษาในมหา’ลัยมากัน  แต่ผมก็หาได้แคร์สายตาเหล่านั้นไม่  ผมวิ่งมาจนถึงจุดหมายรถสโนว์ยังจอดอยู่ที่เดิม ส่วนเจ้าของรถก็ยืนหลบฝนอยู่ใต้อาคารนั่นเอง



ผมเดินเข้าไปในใต้อาคาร   ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าสโนว์ในระยะห่างหนึ่งเมตร  แล้วยื่นกระเป๋าสตางค์ส่งไปให้สโนว์


“ส..สโนว์ ทำตกไว้ที่โรงอาหาร  เราเห็นเลยรีบเอามาให้น่ะ”  สโนว์มองดูสภาพผมที่เปียกยิ่งกว่าตกถังน้ำอย่างอึ้งๆ  แล้วยื่นมือมารับกระเป๋าสตางค์ไว้


“น.นาย...ได้เปิดกระเป๋าเราดูหรือเปล่า”  สโนว์ถามเสียงอ่อมแอ้ม ทั้งยังเสสายตามองไปทางอื่นไม่มองหน้าผม


“เปล่านะ  เราไม่ได้เปิดดูเลยสักนิด  จริงๆ สาบาน”  ผมรีบชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจ


“งั้นหรอ.....แต่..ยังไงก็ขอบใจนะ..ที่อุตส่าห์เอามาคืนให้”  เพียงสโนว์พูดแค่นี้  หัวใจที่ห่อเหี่ยวของผมก็เหมือนได้รับการรดน้ำให้กลับมาฉุ่มฉ่ำอีกครั้งแล้วล่ะครับ   เพราะว่าดีใจมากทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างต่อหน้าสโนว์ไป  ก่อนจะสำนึกได้ว่ามึงยังถูกเขาโกรธอยู่นะโว้ย  ยังจะทำหน้ามีความสุขอยู่อีก


พอคิดได้อย่างนั้นผมก็หุบยิ้มโดยฉับพลัน


“สโนว์... เราขอคุยเรื่องนั้นได้ไหม  เราอยากอธิบาย..ว่าที่เราโกหก ที่เราทำไปทั้งหมด เพราะเรา...ร”   ในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มต้นอธิบายใหม่เพื่อขอโอกาสอีกครั้งก็พอดีกับโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาในกระเป๋ากางเกง  ผมลืมไปเสียสนิทว่าใส่โทรศัพท์ไว้ในนี้  โชคดีที่มันกันน้ำได้ไม่งั้นคงเป็นผมนี่แหละที่จะไม่สามารถติดต่อใครได้เลย



พอเห็นว่าเป็นอาหลิงโทรมาก็กดรับสาย


“ว่าไงอาหลิง”


/เฮีย...ช่วยอั๊วะด้วย  อั๊วะแย่แล้วเฮีย  ฮือออ/





“อาหลิง! ลื้อเป็นอะไร!!!”





*****************************************
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

เกือบจะได้บอกความในใจอยู่แล้วเชียว  ไรท์ไม่น่ามาง่วงก่อนเลย  เอ๊ย! ไม่ช่ายยยย( เอ หรือใช่หว่า :katai3:)

แล้วอาหลิงเป็นอะไรทำไมโทรมาร้องไห้แบบนี้ล่ะ 


คนรักก็ต้องง้อ น้องรักก็ดันมีปัญหา  อันโทนิโอ้คนโง่จะจัดการยังไงละเนี้ย


ส่วนตอน เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้  ทำไมไม่มีต่อท้ายเเล้ว  ที่ไม่มีเพราะว่าไรท์จะเขียนเป็นตอนเต็มๆทีหลังจ้า


เจ้าอันโทนิโอ้ไม่รู้อะไรบ้างก็จะมาเม้าท์ในตอนนี่แหละเนอะ  รออ่านกันนะคะ


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆค่ะ  น่ารักที่สุด :impress2:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อาหลิง เป็นอะไร หมาตัวไหนมารังแกนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
คายทำอารายอาหลิงอ่าา

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

/เฮีย...ช่วยอั๊วะด้วย  อั๊วะแย่แล้วเฮีย  ฮือออ/


“อาหลิง! ลื้อเป็นอะไร!!!”






/ฮืออออออออ เฮียยยยยย/


“อาหลิงตั้งสติก่อน  บอกเฮียมาซิว่าลื้อเป็นอะไร ใครทำอะไรลื้อ!”  ไม่บ่อยหรอกที่อาหลิงจะร้องไห้  ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ มันเลยทำให้ผมกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก


/เฮียมาหาอั๊วะที่โรงเรียนด่วนๆเลยนะ ตอนนี้เลยนะเฮีย  ไม่งั้นอั๊วะตายแน่ๆ ฮือออ  มาถึงก่อนแล้วอั๊วะจะเล่าให้ฟัง ฮือออออออออ/   อาหลิงเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมเล่า แถมเร่งให้ผมไปโรงเรียนอีก 

“โอเค  เฮียจะรีบไปหาลื้อที่โรงเรียนเดี๋ยวนี้แหละ” 


/อือออ เฮียรีบมานะ อั๊วะจะรอ/ แม้ใจอยากจะง้อคนตรงหน้าเพียงใด  แต่ยังไงน้องก็คือน้อง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำผมไม่มีทางทิ้งขวางคนในครอบครัวหรอก นาทีนี้ก็ต้องเลือกช่วยอาหลิงก่อนล่ะครับ 

เรื่องของหัวใจเอาไว้ทีหลัง  หน้าที่พี่ชายต้องมาก่อน 



แต่ก่อนไปก็ขอลาสโนว์สักหน่อย


“เราไปก่อนนะสโนว์..อาหลิงมีปัญหานะ  เราต้องรีบไป  สโนว์กลับบ้านดีๆนะ...แล้วไว้ค่อยคุยกันใหม่”  ใช่ ต้องได้คุยกันใหม่อีกครั้งแน่นอน  ผมพูดเสร็จก็หันหลังเตรียมวิ่งฝ่าฝนไปเอามอเตอร์ไซต์ที่จอดไว้หน้าคณะอีกรอบ



แต่พอจะวิ่งไปก็รู้สึกถูกดึงเสื้อจนวิ่งไปไม่ได้ซะงั้น


“ส..สโนว์?”  คนตัวขาวดึงเสื้อผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ไป


“รีบไม่ใช่หรือไง..เอารถเราไปก็ได้”  สโนว์ส่งกุญแจรถมาให้


“ทำไม..” 


“อาหลิงก็เหมือนน้องสาวเราอีกคน  เราก็อยากช่วยน้องเหมือนกัน”  คำพูดตรงๆจากสโนว์ทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจแม้ว่าร่างกายจะเย็นด้วยเพราะเปียกน้ำฝนก็ตามที  มันแบบดีใจ อุ่นใจ ที่สโนว์เองก็ห่วงคนในครอบครัวผมเหมือนกัน ไม่ได้โกรธจนไม่สนไม่แคร์อะไรทำนองนั้น


“แล้วสโนว์จะกลับคอนโดยังไง?”   ผมถามอย่างอดห่วงไม่ได้เพราะรู้ว่าสโนว์ไม่นั่งแท็กซี่ถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆ


“...” 


“งั้นไปด้วยกันนะเดี๋ยวเราจะขับมาส่ง”  เมื่อสโนว์ไม่ตอบผมเลยรวบรัดเอาเอง  แล้วจับมือสโนว์วิ่งฝ่าฝนมาที่รถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้ๆกับตึกเรียน  ผมเลือกจะเปิดประตูให้สโนว์เข้าไปนั่งก่อนที่ผมจะวิ่งอ้อมมาขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วเปิดกูเกิ้ลแมบหาเส้นทางที่จะไปถึงโรงเรียนอาหลิงให้ไวที่สุด  แล้วรีบออกรถไปยังจุดหมาย

โชคดีที่รถยังพอเคลื่อนตัวไปได้ไม่ได้ติดแหง็กอยู่กับที่  คิดว่าน่าจะถึงโรงเรียนภายในหนึ่งชั่วโมงอยู่นะครับ 


เพิ่งโล่งใจว่ารถไม่ค่อยติดไม่ทันไร  ผมก็เจอไฟแดงที่ขึ้นเลขสามหลักนับถอยหลังให้รอกันไปยาวจนรู้สึกเซ็ง  ฝนก็ยังไม่หยุดตกด้วย  อากาศตอนนี้เลยหนาวมากๆครับ เพราะเสื้อผมเปียกด้วย เลยต้องปัดช่องแอร์ให้ไม่โดนตัวผมเอา

แล้วจู่ๆก็มีเสื้อฮู๊ดสีเทายื่นมาตรงหน้าเหมือนรู้ว่าผมหนาว


“ใส่เสื้อนี่ซะสิ   เดี๋ยว..ก็ไม่สบายหรอก”   


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


เสียงหัวใจที่หมดแรงมานาน  ตอนนี้กลับเต้นแรงอย่างหยุดไม่อยู่  ผมหลุดยิ้มกว้างถึงแม้จะแอบอึ้งอยู่บ้างก็ตามก่อนจะรับเสื้อที่สโนว์ส่งมาให้

“แล้วสโนว์ไม่ใส่หรอ  อากาศหนาวนะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา  เราทนได้อยู่แล้วไม่ป่วยหรอก”  เพราะว่าเสื้อสโนว์เองก็เปียกอยู่เหมือนกันแต่น้อยกว่าผม


“...”  สโนว์ไม่ตอบ แต่หันมามองและทำหน้าที่ผมแปลเป็นภาษาได้ว่า ‘อย่าให้ต้องพูดซ้ำ’ เหมือนนังเซ่นไหว้ไม่มีผิด เอิ่มมม  ผมไม่น่าให้สโนว์รู้จักนังเซ่นไหว้เลยจริงๆ ติดนิสัยนังเซ่นไหว้มาแน่ๆ


กระนั้นผมก็เลยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่เปียกออก  สโนว์ถึงกับหันขวับไปทางอื่นอย่างรวดเร็วตอนที่ผมปลดกระดุมมาจนโชว์ซิกแพ็ก  เอ  หรือจะเขินหว่า???  ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้ๆคือใบหูสโนว์แดงมาก 


พอผมถอดเสร็จก็สวมเสื้อฮู๊ดเข้าไป รู้สึกอุ่นขึ้นมากจริงๆแถมเสื้อตัวนี้ยังมีกลิ่นประจำตัวของสโนว์อยู่ด้วย  มันหอมแบบไหนผมก็อธิบายไม่ถูก แต่มันหอมแบบที่...อยากจะหอมไปเรื่อยๆน่ะครับ


“สโนว์  ขอบคุณที่ช่วยนะ” 


“อืม  ไม่เป็นไร”  สโนว์ยังคงไม่หันหน้ากลับมาแม้ว่าผมจะไม่ได้โป๊แล้วก็ตาม


เวลาบนไฟแดงถอยหลังลงเรื่อยๆจนกลายเป็นเลขสองหลัก บรรยากาศภายในรถก็กลับไปเงียบงันท่ามกลางฝนตกหนักที่ดูเหมือนจะไม่หยุดตกในเวลาอันใกล้นี้


“เราขอพูดเรื่องของเราสองคนได้ไหม?” 


“เรื่องที่เราโกหก..ว่าเป็นตุ๊ด เราตั้งใจนะ”   




“ที่ทำไปเพราะเรา...ชอบสโนว์” 


บอกไปแล้ว บอกไปแล้วกับความรู้สึกที่แท้จริงที่ปิดไว้มานาน  และเหมือนกับเป็นการเปิดประตูในห้องแห่งความลับ  เมื่อได้เปิดประตูปล่อยความรู้สึกในใจออกไปแล้ว สิ่งต่างๆที่เก็บไว้มานานก็ไหลออกมาอย่างยากจะปิดกั้นมันอีกต่อไป


“สโนว์เป็นคนน่ารัก ใจดีกับมาเรียฟิเซนต์ รักสัตว์ นิสัยดีมาก  แคร์คนรอบข้างตลอด  มันยิ่งทำให้เราชอบสโนว์มากขึ้นเรื่อยๆ  อยากจะอยู่ใกล้ๆ  อยากดูแล อยากให้สโนว์มีความสุข อยากปกป้องไม่ให้มีใครมาทำร้ายได้ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดเรื่อยๆ...”


“...”


“แต่ถ้าเราเป็นผู้ชายแบบนี้เดินเข้าไปหาสโนว์คงต้องกลัวเราแน่  อาจจะลาออกไปตั้งแต่วันนั้นเลยก็ได้  คงไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้  เราโง่เองที่ไม่มีสมองหาวิธีอื่นที่ทำให้เป็นเพื่อนกับสโนว์ได้นอกจากวิธีแกล้งเป็นตุ๊ดนี้...แต่ถึงย้อนกลับไปได้  เราก็คงทำเหมือนเดิม  ฮะฮะ....เพราะถึงตอนนี้เราเองก็ยังคิดวิธีที่จะเข้าไปเป็นกับสโนว์โดยที่สโนว์จะไม่กลัวเราไม่ได้เลยจริงๆ”  ผมได้แต่หัวเราะฝืดๆให้กับตัวเอง  พูดจาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไปบ้าง  แต่ก็รู้สึกโล่งที่ได้พูดมันออกไป


“...”


“ขอโทษนะที่เราโง่คิดหาวิธีดีๆกว่านี้ไม่ได้เลย”  ผมหันไปหาสโนว์ที่ยังคงไม่หันหน้ากลับมาตาละห้อย   ในเมื่อพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้วขนาดนี้  สว์ยังไม่สนใจ  ผมคงต้องปลงแล้วจริงๆ



ถ้าไม่ติดว่าภาพสะท้อนตรงกระจกรถ  มันสะท้อนใบหน้าของคนหลับอยู่!











ต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0




เวรกรรม  - -  พูดไปตั้งเยอะแยะคิดว่าจะเคลียร์ให้จบ  คู่กรณีดันหลับเฉย   ให้มันได้แบบนี้สิครับ


ปิ๊นนน ปิ๊นนนนน


เสียงแตรรถจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง เพิ่งเห็นว่าเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว  จึงขับรถต่อไปพร้อมกับสโนว์ที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตรรถเช่นกัน


อาหลิงโทรมาอีกครั้ง แต่ผมเปิดจีพีเอสนำทางอยู่ที่คอนโทรนรถเลยต้องเปิดลำโพงคุย


/เฮียยย ถึงไหนแล้วอ่ะ ฮือออ/  เสียงอาหลิงที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดสร้างความกระวนกระวายใจให้ผมไม่น้อย


“เฮียใกล้จะถึงโรงเรียนลื้อแล้วล่ะ  รออีกแป๊บเดียวนะ ใจเย็นๆ” 

/ฮือออออ...เฮีย เร็วๆครูจะมาลากอั๊วะเข้าห้องปกครองแล้วนะ แงงง/


“ทำไมลื้อต้องเข้าห้องปกครองห่ะอาหลิง?”  ผมเริ่มเอะใจ และแปลกใจว่าเด็กอย่างอาหลิงที่ดีมาตลอดมีเหตุอะไรให้ต้องเข้าห้องปกครอง   เออถ้าเป็นผมสมัยเรียนมัธยมล่ะว่าไปอย่าง  โดนเรียกผู้ปกครองเป็นว่าเล่นจนครูทั้งโรงเรียนจำหน้าป๊าได้เลยล่ะครับ เหอๆ


/อั๊วะ.. ฮึก ฮือออ..อั๊วะโดนเรียกผู้ปกครองอ่า ฮือออออ  ฮึกๆๆ/


“...” ผมรู้สึกแดกจุดไปสามวิ  แค่โดนเรียกผู้ปกครองแค่นี้ ร้องไห้ใหญ่โตซะนึกว่าถูกเชือด ใจหายหมด


“แล้วลื้อไปทำอีท่าไหนห๊ะ อาหลิง”


/ฮืออออ ไว้ค่อยเล่า ฮึก  ได้ไหม  ตอนนี้ ฮือออ เฮียรีบมาหาอั๊วะที่โรงเรียนก่อนเถอะ ฮือออ/


“แล้วทำไมลื้อไม่โทรหาป๊าล่ะ”   ป๊าน่าจะจัดการปัญหานี้ได้ดีที่สุด  เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอาหลิงโดนเรียกผู้ปกครองทำไม 


/ไม่เอา ฮือออ ถ้าป๊ารู้ว่าอั๊วะโดนเรียกผู้ปกครอง ป๊าไม่ให้อั๊วะไปแฟนมีตอปป้าแน่เลยอ่ะเฮีย ฮืออออออ อั๊วะรอมาตั้งนานแล้ว อั๊วะไม่อยากโดนกักบริเวณแล้วอดไปงานอ่า  ฮือๆๆๆ เฮียมาหาอั๊วะหน่อยน้า ช่วยอั๊วะหน่อยนะเฮีย ฮือออ/  ฟังเหตุผลของอาหลิงแล้วผมเองก็จะน้ำตาไหลตาม  เข้าใจแล้วว่าทำไมอาหลิงถึงร้องไห้หนักมากขนาดนี้  มันไม่ได้กลัวที่ถูกเรียกผู้ปกครองหรอกครับ  แต่มันกลัวจะโดนป๊าลงโทษไม่ให้มันไปเจออปป้า! ฮ่วย! คือบ้าผู้ชายที่แท้ทรู  มันน่าช่วยไหมนิ


“มาขนาดนี้ก็ต้องช่วยลื้ออยู่แล้วล่ะ  เฮียจะขับรถเข้าไปในโรงเรียนลื้อแล้วนะ  แล้วเอาเฮียมาแทนป๊าแบบนี้ครูเขาจะไม่ว่าอะไรหรออาหลิง”   ปกติครูที่โรงเรียนผมต้องเป็นพ่อแม่มารับทราบเท่านั้นครับ  แต่ของโรงเรียนอาหลิงผมก็ไม่แน่ใจ


/ไม่บอกครูเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเฮียเป็นแค่พี่อ่ะ...อั๊วะบอกครูไปว่าจะโทรตามป๊ามาเฮียก็แกล้งทำตัวเป็นป๊าให้หน่อยนะ  ครูจับไม่ได้แล้วหน้าเฮียแก่อยู่แล้ว/  ฟังน้องสาวตัวเองพูดเสร็จแล้วคิ้วก็กระตุกจึกๆ 


“คึคึคึ”  นั่นปะไหร่ คนข้างๆยังถึงกับกลั้นขำ


“ลื้อพูดงี้อั๊วะกลับรถออกไปดีกว่า”


/ฮืออออออออออออ  อั๊วะต้องตายแน่ๆถ้าป๊ารู้ โฮฮฮฮฮฮ ทำไมใครๆก็ไม่รักอั๊วะ มีพี่ชายก็ไม่สนใจน้อง ใจร้ายยยยย/ อาหลิงโวยวายพูดจาตัดพ้อใหญ่  ผมฟังแล้วยังแอบขำ  ส่วนสโนว์นี่เอามือปิดปากหัวเราะคิกๆเลยทีเดียว


“อ่ะๆ ก็ได้  เฮียจอดรถแล้ว ลื้ออยู่ตรงไหนเดี๋ยวเดินไปหา”  เห็นแก่ที่ทำให้สโนว์หัวเราะได้หรอกนะ ชิชะ


/เย้ๆ เฮียใจดีที่สุด ครูเดินมาตามอั๊วะแล้วเฮีย เจอกันที่ห้องปกครองนะ ติ๊ด/


แล้วยัยหลิงก็วางสายไป  ผมได้แต่ถอนหายใจปรับกระจกมองหลังมาส่องหน้าตัวเอง 



โจรป่าที่ไหนวะเนี้ย  โอ้มายก๊อดดดด


ผมก็ได้แต่เอามือเสยๆผมไปด้านหลังให้มันดูเรียบร้อยขึ้นหน่อย  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้นสักเท่าไหร่เพราะหนวดยังเฟิ้มอยู่เหมือนเดิม   เอาเท่าที่ได้ก่อนแล้วกันวะ 


แต่ฝนยังตกอยู่นี่เลยสิ  ตกไม่ยอมหยุดเลยนะมึง


“สโนว์นั่งรอในรถก่อนก็ได้นะ  ฝนยังไม่หยุดตกเลย”  ผมหันไปบอกคนตัวขาวที่กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมได้แล้ว


“....มีร่มอยู่เบาะหลัง  แล้ว..เราก็เป็นห่วงอาหลิงด้วย”  ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป  ผมคิดว่าสว์คงอยากจะลงไปด้วยกันแน่นอน   ผมเลยเอื้อมตัวไปเบาะหลังหยิบร่มที่วางไว้อยู่คันหนึ่งมา  แล้วออกจากรถกางร่มเดินอ้อมไปรับสโนว์อีกด้าน  สโนว์เองก็ลงมาโดยดี  แล้วเราทั้งสองคนก็เดินหาทางไปห้องปกครองด้วยกัน


ขอโทษที่เมื่อกี้ด่ามึงนะฝน  แต่ตอนนี้กูขอบคุณมึงมากที่ตกลงมา  เพราะมันทำให้กูได้กลับมากลับมาใกล้ชิดกับสโนว์ได้อีกครั้งหนึ่ง  แม้ว่าร่างกายซีกซ้ายจะเปียกฝนไปทั้งแทบก็ตามเพราะผมเอาร่มไปบังฝนให้สโนว์แทบหมดคันก็ตามที  แต่รู้สึกดีมากจริงๆ


“เขยิบ..เข้ามาอีกก็ได้  ตัวเปียกฝนหมดแล้วไม่เห็นหรือไง”  สโนว์เอ่ยปากบอก แน่นอนว่าผมไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ไวรีบเบียดเข้ามาใกล้ให้อยู่ร่มคันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม   


มีความสุขจริงโว้ยยยยยย



เราเดินลัดเลาะมาตามอาหารและลูกศรป้ายชี้ทางในที่สุดก็เจอห้องปกครอง  ห้องที่แอร์เย็นที่สุดในสามโลก!


เมื่อเปิดประตุเข้าไปก็พบกับความหนาวเย็นยะเยือกคูณสามไปอีก  แต่ก็ต้องคีพลุคคลูๆไว้ก่อนให้ดูน่าเชื่อถือ  ผมยกมือไหว้คุณครูในห้องปกครอง  รวมไปถึงน่าจะเป็นคุณแม่ของเด็กอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับน้องสาวผมที่นั่งก้มหน้างุด


“สวัสดีครับ สวัสดีครับ...อาหลิง ป๊าลื้อไม่ว่างมาต้องขายของ  เลยโทรให้กู๋มาแทนนะ” ผมแอ็คเสียงเข้มให้ดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วพูดกับอาหลิง   ผมคิดว่าถ้าบอกคนอื่นว่าเป็นป๊าอาหลิงคงไม่มีใครเชื่อหรอกครับ  มันดูแก่ไป บอกว่าเป็นกู๋ หรือ อานี่ยังพอน่าเชื่อถืออยู่นะครับ


อาหลิงเงยหน้ามามองงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับอย่างรู้งาน “ ไม่เป็นไรค่ะกู๋  แค่กู๋มาหลิงก็ดีใจแล้ว”  ปากพูดว่าดีใจแต่ทำไมสายตามองผ่านไปหาสโนว์ที่อยู่ด้านหลังด้วยตาระยิบระยับอย่างงี้วะ  แถมยังแอบบยิ้มมุมปากนิดพร้อมส่งสายตามาประมาณว่า ‘ดีกันแล้วหรออออ’


“อ้อ คนนี้กู๋เธอหรอจือหลิง”  คุณครูในห้องเอ่ยถาม  คงไม่อยากจะเชื่อว่ากู๋จะหน้าเด็กกว่าที่คิดไว้น่ะครับ

“ค่ะครู”

“อ้อๆ กู๋นี่เท่ากับเป็นลุงใช่ไหม สวัสดีนะคะคุณลุง  ดิฉันเป็นครูประจำชั้นของจือหลิงค่ะ เรียกว่าครูพิมพ์ก็ได้ค่ะ”

ฉึก!!! โอ้โห โคตรเจ็บปวดจนไอ้อันโทนิโอ้คนนี้แทบกระอักเลือดช้ำใจตาย อ่ะเฮือกกก   เป็นกู๋ก็ว่าแก่แล้วนะ  นี่ครูยังจะให้ผมเป็นลุง พี่ชายป๊าไปอี๊กกกก   โคตรรับไม่ด้ายยยย น้ำตาจะไหลแล้ว  อาหลิงหน้าเหวอไปก่อนจะจิกเล็บที่ขาตัวเองอย่างกลั้นขำ  สโนว์เองก็พอกัน  ผมเห็นนะว่าเขาเม้มปากแน่นเชียว ฮึ่ยยย

“แล้วคนนั้นใครคะ?  พี่ชายจือหลิงหรือเปล่า”


“เปล่าครับ  นี่เด็กฝึกงานที่บริษัท  พอดีว่าป๊าจือหลิงโทรมาตอนที่เราออกมาดูงานกันน่ะครับ  เลยต้องมาด้วยกัน”  ผมโกหกหน้าตาย  คุณครูก็พยักหน้ารับรู้ไม่ได้ว่าอะไร


“ดิฉันว่าเราควรจะรีบพูดธุระกันให้เสร็จนะคะ  เพราะตัวดิฉันเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น  นี้ก็นั่งรอมานานมากแล้วด้วย”  คุณแม่ของเด็กอีกคนเอ่ยปากพูดขึ้นน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทระนงตัวไม่น้อย


“นั่นนะสินะคะ  งั้นเดี๋ยวเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” ครูพิมพ์แอบหน้าเสียไปนิดเมื่อถูกผู้ปกครองอีกฝ่ายพูดจาเหมือนติเตียน

“คือว่าวันนี้ จือหลิงเขาเอาแก้วน้ำปาใส่ณัฐวราน่ะค่ะ  แล้วไปโดนหางคิ้วแตกเฉียดตาไปนิดเดียวเอง  จากนั้นพวกเธอก็...มีเรื่องที่เข้าขั้นทำร้ายร่างกายกัน  ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างร้ายแรง ครูเลยต้องเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมาคุยกันเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน  ไม่อยากให้เรื่องต้องถึงขั้นเข้าโรงพักไปแจ้งความกัน”


“แค่ค่อนข้างร้ายแรงเองหรอคะครู  นี่มันเฉียดลูกตาลูกดิฉันไปนิดเดียวเองนะคะ หรือต้องรอให้ปามาถูกจนตาบอดก่อนถึงจะเรียกว่าร้ายแรง  ดิฉันไม่ยอมนะคะทางโรงเรียนปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!  ไม่ได้อบรมสั่งสอนหรอคะ!!!”  เจ้คนนี้ดูเกรี้ยวกร้าวเวอร์  คิดว่าประโยคหลังก็คงพูดแดกดันผมเต็มๆ แต่ก็นะลูกตัวเองทั้งคนโดนปาของใส่จนเลือดออกแบบนั้นก็ต้องโมโหมากเป็นธรรมดา   ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรไปเพราะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดเลยเลือกหันไปถามอาหลิงแทน




“อาหลิง  บอกอั๊วะมาซิว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง  พูดความจริงมา อั๊วะจะรับฟัง” คนเราต้องฟังความทั้งสองข้างถึงจะตัดสินได้ถูกต้องว่าฝั่งเราผิดจริงอย่างที่เขาพูดหรือไม่


“ก็นัตตี้อ่ะ มาว่าหลิงก่อน  บอกให้หยุดพูดจาชุ่ยๆ เขาก็ไม่หยุด หลิงโมโหก็เลยคิดจะสาดน้ำใส่เฉยๆแต่แก้วมันดันหลุดมือตามไปด้วยเลยไปโดนหางคิ้วนัตตี้เข้า...แต่หลิงไม่ได้ตั้งใจจะปาจริงๆนะ”  อาหลิงเองก็ฟ้องอย่างไม่ยอมถูกปรักปรำข้างเดียว  ก่อนจะเสียงอ่อยเมื่อพูดว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ


“แล้วก็เลยมีเรื่องกันหรอ”


“ก็พอแก้วมันไปโดนนัตตี้  นัตตี้ก็จะเข้ามาตบหลิง  หลิงก็ต้องป้องกันตัว”


“ก็แกทำฉันซะขนาดนั้น จะให้ยืนเป็นแม่พระยิ้มหวานให้อภัยโปรดสัตว์หรือไงล่ะ!”  นัตตี้เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้  แม่เป็นอย่างไงลูกก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เกรี้ยวกร้าดเวอร์

“ก็แกพูดจาสุนัขไม่รับประทานก่อนทำไมล่ะ!” อาหลิงเถียงกลับ ต่างคนต่างโยนความผิดให้กันอย่างไม่ยอม


ปัง! 

ครูพิมพ์ตบโต๊ะเสียงดังเพื่อยุติเสียงโต้เถียงกัน

“กรุณาเคารพสถานที่ด้วยนักเรียน  ที่นี่โรงเรียนไม่ใช่ตลาดรักษามารยาทด้วย”


“แต่ดิฉันคิดว่าลูกดิฉันไม่ผิดนะคะ  และคิดว่าอีกฝ่ายต้องชดใช้ค่าเสียหายเพราะว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  พยานก็เต็มโรงอาหารนี่คะ” 


“ใช่ค่ะคุณแม่  หลิงมันทำนัตตี้ก่อน  นัตตี้ไม่ผิด”  ยัยนัตตี้รีบพูดสมทบ  แอบแลบลิ้นให้อาหลิงด้วย  อาหลิงเองได้แต่กำมือแน่นคงจะแค้นน่าดู


“อาหลิง  อั๊วะขอถามได้ไหม  ว่านัตตี้เขาพูดอะไรทำไมถึงทำให้ลื้อหัวร้อนจนไปทำร้ายเขาก่อนได้ขนาดนั้น  เขาพูดจาร้ายแรงมากเลยหรออาหลิง”   ผมพยายามใจเย็นถามอาหลิงดีๆ  เพราะผมเชื่อว่าน้องสาวผมเป็นคนมีเหตุผลพอสมควร


“ก็...ก็นัตตี้อ่ะ..ฮึก...”  แต่พออาหลิงจะเล่าก็ดันน้ำตาคลอมาอีกรอบซะงั้น






ต่อ

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0



“ใจเย็นๆ ค่อยเล่า อั๊วะฟังลื้อเสมอ”   หรือว่ายัยนัตตี้อะไรนี่จะไปพูดว่าอปป้าของอาหลิงวะถึงได้หัวร้อนขนาดนี้  ความรักไอดอลของพวกผู้หญิงนี่เขายากจะเข้าใจได้จริงๆ


“ฮึก..ก็..นัตตี้อ่ะ  เขาว่า ฮึก ว่าเฮียหลิงเป็นโรคจิต วิปริตอ่ะ ฮือออ เขาบอกว่าผู้ชายฮึก ที่แต่งหน้าก็เป็นเกย์ทั้งนั้น เป็นพวกบ้าวิกลจริต ฮึก ไม่เต็มบาท เสียชาติเกิด อั๊วะยอมให้ใครมาว่าเฮียอั๊วะไม่ได้  ฮึก  ก็บอกให้นัตตี้ถอนคำพูดซะ ฮึกฮึก ฮือออ แต่นัตตี้ก็ไม่ยอมถอนคำพูด  แถมยังพูดย้ำซ้ำๆไม่ยอมหยุด  อั๊วะโมโหเลยจะสาดน้ำใส่นัตตี้หวังแค่ให้หุบปากแค่นั้นเอง ฮือออ”  อาหลิงร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามปาดน้ำตาให้หายร้องแต่ดูเหมือนว่าความเสียใจมันมีมากเกินกว่าที่จะห้ามไว้ได้


ผมได้แต่นิ่งงัน  ไม่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้อาหลิงหัวร้อนได้มากขนาดนี้จะเกิดมาจากผมเป็นต้นเหตุ  ไม่คิดว่าที่อาหลิงทำไปเพราะอยากปกป้องผมมากขนาดนี้เลย


ผมได้แต่โอบบ่าอาหลิงตบไหล่เบาๆอย่างปลอบโยน


“ไม่ต้องร้องอาหลิง  ถ้าเฮียลื้อรู้ว่าหลิงร้องไห้เพราะเขาขนาดนี้  เดี๋ยวเฮียลื้อจะร้องไห้ตามเอาได้นะ”  ผมยิ้มให้อาหลิงที่หันมามองผมด้วยน้ำตาท่วมหน้า  ก่อนจะพยายามหยุดร้องไห้อีกครั้ง


“ผ้าเช็ดหน้า อาหลิง”  สโนว์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองส่งให้อาหลิงเช็ดหน้าเช็ดตารวมไปถึงขี้มูกที่ไหลออกมารวมกันด้วย


“นัตตี้...ลูกได้พูดแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า”  แม่ยัยนัตตี้ถามเสียงเย็น  เมื่อได้ฟังความจากปากน้องผมเสร็จ


นัตตี้หน้าเจื่อนลงไป  ก่อนจะค่อยๆพูดเสียงเบาว่า “จ..จริงค่ะแม่” 


ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในสภาวะเดธแอร์ มีเพียงเสียงแอร์รุ่นเก่าที่ยังคงทำงานอยู่อย่างไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของคนในห้อง


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...”  แม่ยัยนัตตี้หันมามองพวกผมด้วยแววตาที่ผมเดาไม่ออก


“ดิฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อบรมสั่งสอนลูกมาได้ไม่ดีพอ ขอโทษจริงๆค่ะ”  ไม่ใช่แค่พูดเฉยๆแต่แม่ยัยนัตตี้ยังยกมือขึ้นมาไหว้อย่างเต็มใจทำอีกด้วย


“แม่! จะไปไหว้ขอโทษเขาทำไม”  ยัยนัตตี้หน้าเหลอหลา  คงไม่คิดว่าแม่ตัวเองที่ดูทระนงตัวจะยกมือไหว้ขอโทษคนอื่นง่ายๆแบบนี้  ผมเองยังเหวอเลยครับ  ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน


“แกน่ะสิเป็นบ้าอะไรถึงยังไม่ขอโทษเขาอีก  แม่ไม่เคยสอนให้แกเป็นคนหยาบคาบแบบนี้นะนัตตี้  ถ้าเขาทำแกก่อนแล้วแกสู้กลับแม่ไม่ว่า  แต่การที่แกไปด่าว่าพี่เขาอย่างหยาบคาบแบบนั้นก่อนแม่เองก็รับไม่ได้เหมือนกัน  แม่สอนให้แกเข้มแข็ง ไม่ใช่สอนให้แกเป็นคนหยาบกระด้างแบบนี้”  แม่ยัยนัตตี้ดุลูกตัวเองอย่างจริงจังคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจกับพฤติกรรมลูกตัวเองจริงๆ


“น..นัตตี้ก็แค่  พูดล้อเล่น ขำๆเอง  หลิงนั่นแหละทำจริงจังไปได้”  ยัยนัตตี้ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆตามประสาเด็กที่ไม่ยอรับความผิดของตัวเอง


“แต่คนที่ฟังเขาไม่ได้รู้สึกตลกไปด้วยนี่ครับ  คุณอาจจะรู้สึกสนุกปากแต่คนฟังเขาเจ็บปวดกับคำพูดของคุณจริงๆและมันจะฝังใจเขาไปตลอดไม่มีวันลืม...และไม่เคยลืม  รู้แบบนี้แล้วคุณยังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องขำๆอีกหรอครับ”  สโนว์เอ่ยปากพูดบ้างหลังจากที่นิ่งมานาน  ผมกับอาหลิงหันไปมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าสโนว์จะพูดว่าอีกฝ่ายตรงๆ


“ที่คุณพูดมาก็ถูกแล้วล่ะค่ะ ดิฉันต้องขอ.”   


“แม่! พอแล้ว ฮือ  ไม่ต้องขอโทษแทนนัตตี้แล้ว ฮืออ”  ยัยนัตตี้รีบเอามือมากุมมือแม่หล่อนไว้เมื่อเห็นว่าทำท่าจะยกมือไหว้ขอโทษพวกผมอีกรอบ


“...”  แม่นัตตี้เงียบใส่ลูกตัวเอง  ยังพยายามจะยกมือขอโทษอยู่  ดีที่ว่ายัยนัตตี้ก็คงไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดีไปหมดเสียทีเดียว เพราะว่าเธอ...


“เดี๋ยวนัตตี้ ฮึก ขอโทษเองค่ะ ฮึก”  พอได้ยินอย่างนั้นแม่ยัยนัตตี้เลยวางมือลง นัตตี้จึงค่อยๆยกมือขึ้นมาไหว้ขอโทษ “หนูขอโทษนะคะ ฮึก  ที่พูดจาหยาบคาบใส่ พี่ชายหลิงแบบนั้น ฮึก  ต่อไปจะไม่พูดจาแย่ๆแบบนั้นแล้วค่ะ ฝากขอโทษพี่ชายหลิงด้วยนะคะคุณลุง” พอยัยนัตตี้พูดขอโทษด้วยความสำนึกผิดแบบนี้แล้วผมก็ไม่ได้ถือโทษอะไรแล้วเข้าใจธรรมชาติของเด็กวัยนี้ว่าต้องมีหัวร้อนไม่มีเหตุผลกันบ้าง  แต่อาจจะมีเคืองบ้างนิดหน่อยที่เรียกผมว่าลุง แค่นั้นเอง - - ผมยกรับไหว้ขอโทษ  ก่อนจะหันไปมองอาหลิงและสื่อสายตาว่าลื้อก็ควรขอโทษเขาเช่นกัน


“หนูเอง..ก็ต้องขอโทษคุณน้านะคะที่ทำให้ต้องเดือดร้อนมาโรงเรียนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง...เราขอโทษนัตตี้ด้วยที่หัวร้อนไปทำให้แกต้องเจ็บตัว  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอโทษจริงๆ”  ผมตบบ่าให้กำลังใจอาหลิง  อย่างน้อยก็กล้าหาญพอที่จะยอมรับความผิดของตนเองและแก้ไขมันเสีย  ทั้งอาหลิงทั้งนัตตี้ต่างปาดน้ำตา  แม่ยัยนัตตี้เองก็กุมมือลูกตัวเองไว้ไม่ปล่อย  เห็นแล้วก็นึกถึงม๊าตอนที่ผมโดนครูดุครูด่าว่ายังไงม๊าก็ยังนั่งกุมมือผมไว้แบบนี้เสมอเหมือนกัน


ในวันที่เราได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดโดนคนอื่นว่ากล่าวอย่างไร  คนที่ไม่เคยปล่อยมือเราไปไหนและยังจับมือเราก้าวข้ามความผิดพลาดไปด้วยกันก็คงมีแต่คนๆนี้แหละครับ


คนที่เราเรียกว่า ‘แม่’


“ครูดีใจนะที่พวกเธอต่างยอมรับความผิดของตัวเองและรู้จักขอโทษเมื่อทำผิด  ในอนาคตชีวิตพวกเธอยังต้องเจออะไรอีกมาก  ครูขอให้เก็บประสบการณ์นี้ไว้เป็นบทเรียนสำคัญของพวกเธอเอง จะพูดจะทำสิ่งใดขอให้มีสติและคิดถึงผลที่ตามมาไว้เยอะๆ  เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะได้รับผลจากการกระทำของเธอก็คือตัวเธอเองเต็มๆพ่อแม่พวกเธอไม่ได้อยู่คอยช่วยพวกเธอได้ตลอดไปนะเด็กๆ....”  ครูพิมพ์สอนย้ำอีกครั้ง  ทุกคนต่างรับฟังและยกมือไหว้ขอบคุณคำสั่งสอนของครู


“ถ้าต่างฝ่าย  ต่างเข้าใจกันแล้ว ครูขอให้เรื่องจบลงเพียงตรงนี้นะคะ...แต่ครูก็ต้องลงโทษไปตามกฏระเบียบของโรงเรียน  ณัฐวรากับจือหลิงจะถูกหักคะแนนความประพฤติ แล้วต้องช่วยกันทำความสะอาดห้องน้ำหญิงชั้นสี่ทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์   ถ้าเข้าใจตรงกันตามนี้แล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ”   ครูพิมพ์สรุป  ต่างคนจึงต่างลุกขึ้นเตรียมกลับบ้านกัน


“คุณแม่น้องนัตตี้ครับ  ผมขอชดใช้ค่ารักษาพยาบาลนะครับ เพราะถึงยังไงหลานผมก็ผิดที่ไปทำร้ายน้องนัตตี้”  ผมเดินเข้าไปหาคุณแม่ยัยนัตตี้เพื่อตกลงเรื่องค่ารักษาพยาบาล  ผมเองก็ไม่รู้ว่าคิ้วแตกมากหรือน้อยเพราะน้องเอาพลาสเตอร์ยาปิดไว้อยู่  แต่ตามตัวก็มีรอยถูกเล็บข่วนเยอะอยู่เหมือนกัน
“ถ้าทางคุณเต็มใจชดใช้ให้ ดิฉันก็จะรับไว้ค่ะ”  แม่นัตตี้พูดเสียงเรียบแต่ยังคงความทระนงตัวไว้อยู่


“ผมยินดีชดใช้ครับ  เอาเป็นว่าถ้าไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล ขอบิลใบเสร็จค่ารักษามาให้อาหลิงด้วยนะครับ  ผมจะจ่ายคืนให้ทีหลัง  แบบนี้คุณแม่โอเคไหมครับ”


“ตกลงค่ะ   ถ้าหมดธุระแล้ว ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ลาล่ะค่ะ คุณลุงของหลิง”   จะไปทั้งทีก็ยังไม่วายพูดจาเชือดเชือนใจผมอีก   หน้าผมมันแก่คราวลุงจริงๆหรอวะ


ผมถอนหายใจแรงๆ  หลังจากออกมาจากห้องปกครองได้  หมดเรื่องสักที


“ขอบคุณนะเฮียที่มาช่วยอั๊วะอ่ะ”  อาหลิงเข้ามาทำปริบๆใส่  คิดว่าน่าสงสารมากหรือไงล่ะนั้น


“อืม  คราวหน้าก็อย่าหัวร้อนให้มันมากล่ะอาหลิง  เฮียดีใจที่ลื้ออยากปกป้องเฮียนะ  แต่เฮียก็ไม่อยากแก่จนเป็นพี่ชายป๊าอีกหรอกนะ หึหึหึ”  ผมพูดขำๆ เอามืบลูบหัวอาหลิงไปด้วย


“แหะๆ โอเคคร้าบ จะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน อั๊วะเข็ดแล้ว”  อาหลิงชูสามนิ้วขึ้นสาบานอย่างหนักแน่น  ผมเลยไม่ได้ว่าอะไรอีก


“แล้วเพื่อนอาหลิงรู้จักโอ้เอ้ด้วยหรอ  ถึงได้พูดจาแบบนั้นใส่ได้”  สโนว์ถามขึ้น  ผมพยักหน้าอย่างอยากรู้ด้วยเหมือนกัน...โอ้เอ้   โอ้เอ้   


เฮ้ย!  สโนว์กลับมาเรียกผมว่าโอ้เอ้เหมือนเดิมแล้วอ่ะ  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก  เพียงแค่นั้นสติผมก็ลอยไปไกลไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาหลิงพูดตอบอีกเลย  จับใจความได้ประมาณว่า นัตตี้เห็นรูปที่อาหลิงอัพลงเฟสเป็นรูปที่อาหลิงเพิ่งลองแต่งหน้าให้ดูสาวให้ผมน่ะครับ  รูปถ่ายไว้นานมากแล้วแต่อาหลิงเพิ่งเอามาอัพผมก็แปลกใจเหมือนกัน  แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเพราะยังเพ้อดีใจที่สโนว์เรียกชื่อผมอยู่นั่นเอง ฮ่าๆๆๆๆๆ


“แล้วนี่หลิงจะกลับบ้านเลยไหม  ติดรถกลับไปพร้อมกันเลยเป็นไง”  สโนว์ออกความเห็น


อาหลิงส่ายหัวเป็นพัลวัน “ไม่เอาอ่ะค่ะพี่สโนว์  ขืนป๊าเห็นว่าพี่สองคนไปส่งหลิงคงต้องสงสัยและถามเยอะแน่ๆ  ความแตกพอดี  หลิงนั่งรถเมล์กลับพร้อมเพื่อนเหมือนเดิมดีกว่า”


“เอางั้นหรอ  แน่ใจนะฝนยังตกพร่ำๆอยู่เลยนะหลิง” 


“แน่ใจค่ะ พี่สองคนกลับไปเถอะ  เดี๋ยวหลิงจะกลับไปหาเพื่อนที่ห้องแล้ว”


“งั้นก็ตามใจ”  ผมบอกและโบกลาอาหลิงที่โบกมือบ๊ายบายให้


“เฮีย  กลับไปโกนหนวดเถอะ หลิงขอ  เห็นครั้งแรกตกใจนึกว่าโจรแน่ะ ฮ่าๆๆ ไปล่ะค่า”  ยัยหลิงรีบพูดว่าผมเสร็จก็วิ่งหนีไปทันที  ทิ้งผมไว้กับสโนว์สองคน  เราทั้งคู่ต่างคนต่างมองหน้ากัน  ก่อนจะเดินกางร่มกลับไปที่รถเหมือนเดิม  พอนั่งกันอยู่ในรถเรียบร้อย  ผมก็ตั้งจีพีเอสนำทางเช่นเคย  เพราะกลัวหลงครับ  ก็อย่างที่ไอ้โปบอกว่าความจำผมมันสั้นจริงๆ


“ไหนบอกว่าโง่คิดอะไรดีๆไม่เป็นไง   ทำไมเมื่อกี้ถึงคล่องจังล่ะ”   จู่ๆสโนว์ๆก็พูดขึ้นมา  ผมถึงกับหันขวับไปมองตาโต



“สโนว์...ได้ยิน ที่เราพูดด้วยหรอ”


“อืม  ได้ยินหมดแหละ”  กรรม  ผมพูดอะไรออกไปมั้งวะนั่น  จะดูตลกในสายตาสโนว์ไหมวะ


“ตั้งแต่ตอนไหน...”


“ก็ตั้งแต่...ที่..บอกว่า...ชอบเรานั่นแหละ”



ฉ่า -/////-   อยู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสนใจสภาพอากาสที่หนาวเย็น  แม่งเอ๊ย  ตอนพูดไปก็เขินนิดๆแล้วนะ  แต่พอได้ยินสโนว์พูดประโยคนั้นกลับมาแล้วเขินกว่าเหี้ยๆๆๆๆ



“ถ้างั้นสโนว์..เข้าใจในสิ่งที่เราทำไปหรือยังครับ”   ผมทำไปด้วยเจตนาดีล้วนๆเลยนะ


“อืม  เข้าใจแล้ว  ยิ่งมาเห็นว่าโอ้เอ้ยอมแกล้งเป็นลุงให้หลิง  เพื่อช่วยปกปิดความผิดไม่ให้ที่บ้านรู้  เราก็ยิ่งเข้าใจ  ว่าโอ้เอ้ทำไปเพราะเจตนาดีจริงๆ   มันทำให้เราย้อนกลับมาทบทวนว่าที่โอ้เอ้ต้องแกล้งเป็นตุ๊ดก็เพราะหวังดีไม่อยากให้เราเลิกเรียนไปกลางคัน  อยากให้เรามีเพื่อนบ้างใช่ไหม”  คนตัวขาวพูดความคิดตัวเองออกมา  ยิ่งทำให้ผมใจชื้นที่เขาเข้าใจในความหวังดีของผม


“ใช่   งั้น...ถ้าสโนว์เข้าแบบนี้แล้ว   เรา..กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม?”   สาบานว่าหลังที่ผมพูดออกไปแล้วต้องรอคำตอบนั้น  ลุ้นยิ่งกว่าตอนรอผลเข้าเรียนมหา’ลัยอีกครับ!


“โอ้เอ้  บอกว่าชอบเรามากและยังดูแลเราดีมากมาตลอดขนาดนี้....ยังคิดให้เรากลับ..กลับไปเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆหรอ”  สโนว์หันมาสบตาแล้วถามออกมาตรงๆ  ผมนิ่งอึ้งไปพยายามคิดว่าสิ่งที่สโนว์พูดมามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่  สโนว์ไม่อยากกลับมาเป็นเพื่อนผมอีกแล้วหรือไม่อยากเป็นแค่เพื่อนอีกแล้ว  ถึงอยากจะกลั่นกรองคำพูดสโนว์ให้เข้าใจความหมายถี่ถ้วนแต่ก็กลัวว่ากว่าจะคิดได้คงบ่ายสามของวันพรุ่งนี้  ผมเลยเอ่ยปากพูดตอบไปว่า








“ถ้างั้น...เราขอสโนว์เป็นแฟนได้ไหมครับ”





 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:

อร๊ากกกกกกกก เจ้าอันโทนิโอ้พูดอะไรออกไป  ไม่ค่อยเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆ ฮ่าๆๆๆ


เรื่องของอาหลิงก็เคลียร์แล้วเนอะ  ความผูกพันธ์ของพี่น้องที่แท้จริง

ตอนเราคิดจะเขียนเรื่องนี้  เราก็อยากแต่งให้เป็นแนวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวด้วย

ไม่อยากให้โฟกัสแต่ชีวิตรักของคนสองคนเท่านั้น  เพราะความรักจากคนรอบตัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันค่ะ


อาจจะแต่งได้ไม่ดีมาก  แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ด้วยนะคะ


อีกอย่างที่อยากฝากไว้คือเฟสบุ๊คปรับลดการมองเห็นของเพจเราค่ะ  โพสลิ้งค์นิยายไปไม่มีใครเห็นเลย ฮ่าๆๆๆ

ถ้าใครอยากติดตามไปตามเราได้ที่ ทวิตเตอร์ @MonkeyD_IY นะคะ  จะพยายามอัพให้มากขึ้นค่ะ  เพราะทวิตร้างมากเลย ฮ๋าๆๆๆ  นิยายเรื่องนี้ใช้ #เขากลัวผู้ชาย  นะคะ   เม้นๆบอกความรู้สึกที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ :3123:
 

ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยน้า   สโนว์จะตอบอันโทนิโอ้ว่ายังไง มาลุ้นไปด้วยกันค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
คุณพระ นี่มันง้อแบบสปีดมากเว่อร์
ง้อเสร็จ ขอเปนแฟนเลยว่างั้น
สโนว์ เป็นแฟนเลยมั้ยทีนี้
:impress2:  :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด