รักของนายเอกหนังโป๊ [20+] >>> ตอนที่ 10 ผลงานใหม่ [Part 2] [26-Sep-18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ทีมใครกันเอ่ย

ฟรองค์
9 (36%)
โชน
16 (64%)
ราม
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 25

ปิดการโหวต: 09-11-2018 11:45:21

ผู้เขียน หัวข้อ: รักของนายเอกหนังโป๊ [20+] >>> ตอนที่ 10 ผลงานใหม่ [Part 2] [26-Sep-18]  (อ่าน 26955 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เชียร์โชนค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอตอนต่อไปฮับ

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
สู้ๆๆ คนเขียน   รอต่อไปคร้าาาา :mew1:

ออฟไลน์ iikol

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เซงเป็ดรอบหน้าจะช่วยเสนอดองเค็ม 555555 รีบมาน้าาาา คถ <3

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
คนเขียนเขาจะคิดถึงเราไหมน๊าาาาาาา

รอจร้าาาาาาาาา :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
ตอนที่ 5 ความเข้าใจ




     “ปัดโธ่โว้ย! คุณจะให้ผมรักมันได้ยังไงก็ในเมื่อ ไอ้เด็กนั่นไม่ใช่ลูกผม”

     ประโยคที่คุณรามลั่นออกมาเมื่อครู่นี้ทำเอาผมต้องชะงัก นี่เขาอยากได้ผมมากถึงขนาดเล่นไม้นี้เลยหรือ

     “คุณรู้ไหมหนึ่งว่าผู้หญิงแพศยาคนนั้นทำอะไรกับผมบ้าง วันที่เธอรู้ตัวว่าท้องเธอลอยหน้าลอยตาบอกทุกคนว่าเรากำลังจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุข เธอกำลังจะมีลูกให้ผม จะเป็นครอบครัวที่ผมสมบูรณ์บ้าอะไร ก็ในเมื่อผมเป็นหมัน” ผมอึ้งไปกับประโยคสุดท้ายที่คุณรามลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นราวกับว่ากลั่นออกมาจากความเจ็บแค้นในจิตใจ และประโยคนั้นก็ทำเอาผมรู้สึกสับสนไปไม่น้อยเหมือนกัน น้ำเสียงที่สั่นเครือและกรุ่นไปด้วยอารมณ์แบบนั้น ถ้าหากว่านี่เป็นเพียงการแสดงเพื่อตบตาผม ผมก็คงจะต้องขอส่งชื่อเขาเข้าชิงออสการ์

     “ที่ผ่านมาผมต้องทนอยู่กับเขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโดนสวมเขาก็เพราะบุญคุณของพ่อเขาที่ค้ำคอผมอยู่ คุณรู้ไหมหนึ่งว่าที่ผ่านมาผมทรมานแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วเพราะผมต้องการคุณ หนึ่ง” ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมว่าผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่หยดลงเปียกบนบ่าผม ผมไม่อยากจะเชื่อว่านั้นคือน้ำตาของคุณราม คนอย่างเขาจะร้องไห้เป็นด้วยหรือ

     “ผมอยากกลับบ้าน” ผมพูดเพื่อตัดบท เพราะผมไม่อยากจะรับรู้อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องที่เขาพูดมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม เพราะอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดี

     “แต่ว่า.. หนึ่ง..”

     “แค่ตอนนี้ผมเจ็บที่ตัวมันก็หนักพอแล้วนะคุณราม คุณอย่าเพิ่งเอาเรื่องอะไรมาให้ผมหนักสมองอีกเลยนะ ให้ผมกลับเถอะ” ผมยังย้ำชัดในความต้องการ โดยไม่สนว่าคุณรามอยากจะพูดอะไรเพื่อโน้มน้าวใจผมอีก

     ครั้งนี้คุณรามยอมลดมือลงและปล่อยผมออกจากอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี ผมเลือกที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองเขา และไม่สนใจว่าเขาจะพยายามทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผมสักเพียงใด ส่วนประโยคที่เขาพูดตามหลังผมออกมานั้น ผมก็จะถือว่าผมไม่ได้ยินก็แล้วกัน

     “ผมจะรอคำตอบจากคุณนะหนึ่ง”




☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่หนึ่ง” เจ้าสองที่ยังคงนั่งรออยู่หน้าห้องทำงานของคุณรามรีบตรงเข้ามาไถ่ถามทันทีเมื่อเห็นผมเปิดประตูออกมาจากด้านใน

     “ไม่มีอะไรหรอกกลับบ้านกันเถอะ” ผมเลือกจะตอบคำตอบที่คิดว่าจะทำให้น้องสบายใจและไม่ต้องเป็นห่วงผม แต่ผมคิดว่าเจ้าสองก็คงจะพอดูออกว่าผมกำลังรู้สึกไม่สบายใจ แต่คงจะเพราะไม่อยากทำให้ผมต้องลำบากใจเจ้าสองเลยไม่ได้ซักไซร้อะไรต่อ

     เรื่องของคุณราม ถึงผมจะพยายามที่จะไม่ใส่ใจ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมก็อดคิดมากไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ว่าเรื่องที่เขาเล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่นิทานที่เขาแต่งขึ้นมาหลอกผม อย่างไรเสียผมว่าผมก็มีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้ครอบครัวเขาต้องพังเช่นนี้




☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     “หนึ่ง” ผมหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาต้นเสียงที่ร้องเรียกชื่อผมเสียงดัง ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นหนึ่งของอาคาร และผมเพิ่งจะก้าวเท้าออกมา

     และเจ้าของเสียงที่เรียกผมนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือพี่แองจี้ สาวประเภทสองวัยกลางคน เจ้าของอดีตโมเดลลิ่งที่ผมเคยสังกัดอยู่ และเป็นผู้ที่ชักนำผมเข้าสู่วงการหนังผู้ใหญ่ พี่แองจี้กำลังยิ้มร่าโบกมือทักทายผมด้วยท่าทางดีอกดีใจอยู่ตรงหน้าห้องแคสติ้ง จะว่าไปแล้วผมกับพี่แองจี้ก็ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีแล้วนี่นะ ผมโบกมือและยิ้มให้พี่แองจี้ตอบรับการทักทาย ก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาเธอเพื่อพูดคุยกันตามประสาคนรู้จัก โดยที่เจ้าสองก็ยังเดินตามผมไม่ห่าง

     “เป็นยังไงบ้าง พี่เห็นข่าวที่หนึ่งโดนแทงแล้วตกใจแทบแย่ พี่ขอโทษจริง ๆ นะ พี่เพิ่งจะกลับจากต่างประเทศไม่ได้ไปเยี่ยมหนึ่งเลย”

     “ไม่เป็นไรเลยครับ ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แล้วนี่.....” ผมหยุดพูดไปพลางหันมองเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่แองจี้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะถามว่าพี่แองจี้มาทำอะไรที่นี่แต่พอหันไปเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ผมก็พอจะนึกปะติดปะต่อได้กับที่ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ตรงที่หน้าห้องแคสติ้ง ก็เป็นอันว่าผมเข้าใจโดยไม่ต้องซักถามใด ๆ แล้ว

     “นี่น้องป้อง พี่พามาออดิชั่นที่นี่น่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พี่อยากให้หนึ่งช่วยฝากฝังน้องมันกับคุณรามหน่อยนะ เห็นค่ายนี้ชอบแต่นายเอกขาว ๆ ใส ๆ พี่กลัวน้องมันไม่ได้งาน น้องมันกำลังเดือดร้อนจริง ๆ ไหว้พี่หนึ่งเขาสิป้อง”

     “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำงานนี้ เพราะหลังจากนี้ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนะ” ผมหันไปพูดกับน้องที่ชื่อป้องพลางพนมมือรับไหว้น้องมันที่กำลังพนมมือไหว้ผมตามคำที่พี่แองจี้บอก

     “เอ่อ น่ะ แน่ใจครับ”  เด็กนั่นตอบผมอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และมีสีหน้าที่ดูเหมือนพร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา

     ถึงอาชีพนี้มันจะได้เงินดี แต่ผมก็ไม่ได้อยากแนะนำให้ใครมาทำหรอกนะครับ ไม่ใช่เพราะว่ากลัวใครจะมาแย่งอาชีพ แต่เพราะสิ่งผมได้เจอมากับตัวหลังจากที่ก้าวขาเข้าสู่วงการนี้มันค่อนข้างโหดร้าย ผมต้องถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ทุกวัน และต้องคอยรองรับคำด่าทอและคำดูถูกจากกลุ่มคนที่รับอาชีพนี้ไม่ได้ และที่เลวร้ายที่สุดคือผมเกือบจะต้องสูญเสียครอบครัวไป และกว่าที่ผมจะได้มันกลับคืนมาผมแทบจะต้องแลกมาด้วยชีวิต ผมถึงต้องถามเด็กนั่นให้ชัดเจนว่าเขาแน่ใจแล้วจริง ๆ ใช่ไหมที่จะก้าวเข้าสู่วงการนี้

     สำหรับป้องแล้ว ป้องเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารัก ตัวไม่สูงและดูรูปร่างบอบบางดู ๆ แล้วก็คงจะตัวเท่า ๆ กับผมนี่แหละมั้ง แต่ป้องไม่ใช่คนขาวอย่างที่พี่แองจี้ว่า ป้องเป็นคนผิวออกแทนแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นผิวเข้มอะไร แต่รสนิยมของคุณรามดันชอบแต่นายเอกผิวขาว ๆ นี่สิ และรูปร่างแบบป้องก็คงจะให้ไปเล่นเป็นพระเอกไม่ได้ด้วย

     ถ้าจะให้พูดถึงขั้นตอนการออดิชั่นน่ะหรือ สำหรับตอนที่ผมมาออดิชั่นนั้นในห้องจะมีทีมงานอยู่สองคน มีตากล้องและทีมงานอีกคนที่คอยเป็นคนกำกับว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ตอนนั้นผมถูกสั่งให้ถอดเสื้อผ้าจนหมดทุกชิ้น และถูกสั่งให้โพสต์ท่าหลาย ๆ ท่า รวมไปถึงต้องถ่างแข้งถ่างขาเพื่อโชว์ทุกส่วนในร่างกายไม่ว่าจะเป็นจุดที่ซ่อนเร้นสักเพียงใดให้กล้องบันทึกภาพไว้ และที่โหดร้ายที่สุดสำหรับผมคือการที่ผมถูกสั่งให้ช่วยตัวเองโชว์หน้ากล้อง ผมจำได้ดีเลยว่าตอนนั้นทำผมแทบจะต้องทำไปทั้งน้ำตา ผมอายมากและไม่อยากทำเลยสักนิด แต่ก็ต้องจำใจทำเพราะอยากได้งาน อยากได้เงินมาช่วยที่บ้าน

     หลังจากที่บันทึกภาพจนทีมงานพอใจ เทปบันทึกภาพของผู้มาออดิชั่นทั้งหมดจะถูกส่งไปให้คุณรามเป็นผู้คัดเลือกว่าใครบ้างที่จะได้เข้ามาทำงานกับค่าย พอลองนึกย้อนกลับไปแล้วผมประมาณไม่ได้เลยว่าตอนนั้นผมต้องใช้ความเข็มแข็งขนาดไหนถึงจะผ่านมันมาได้ มันโหดร้ายมากจริง ๆ สำหรับผม




☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     ก่อนที่จะแยกตัวออกมาผมตอบพี่แองจี้ไปว่าผมจะช่วยเท่าที่ผมพอจะช่วยได้ แต่ทว่าเจ้าสองนี่สิตั้งแต่ที่ผมไปคุยกับพี่แองจี้มาเจ้าสองก็ดูมีอาการเหม่อ ๆ ลอย ๆ อย่างไรก็ไม่รู้

     “พี่หนึ่ง ๆ คนที่ชื่อป้องเขาจะเล่นหนังโป๊เหรอ” เจ้าสองว่าพลางช่วยประครองผมขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์คู่ใจของเจ้าตัวอย่างทุลักทุเล แค่ขยับตัวแรงนิดหน่อยแผลเจ้ากรรมนี่ก็เล่นประท้วงด้วยอาการเจ็บแปลบทันที

     “อืม ท่าออดิชั่นผ่านก็ได้เล่น” ผมตอบในสิ่งที่เจ้าสองถามไปตามตรง อย่าบอกนะว่าที่ดูเหม่อ ๆ ไปนั้นเป็นเพราะเด็กที่ชื่อป้องคนเมื่อครู่นี้

     “ทำไมแกชอบเขาหรือไง” ผมกระเซ้าน้องชาย เมื่อเห็นว่าเจ้าสองหน้าจ๋อยไปทันทีเมื่อผมย้ำในสิ่งที่เด็กที่ชื่อป้องกำลังจะทำ

     “เฮ้ย ปะ เปล่านะ ไม่ได้ชอบสักหน่อย” เจ้าสองรีบแก้ตัวอยากพัลวันด้วยท่าทางที่แสนจะเลิ่กลั่ก ผมถึงกับส่ายหัวและขำในท่าทางของน้องชาย โกหกไม่เนียนเอาเสียเลยนะไอ้น้อง

     แต่นึก ๆ แล้วผมเองก็เห็นใจป้องอยู่ไม่น้อยนะ ในฐานะคนที่เคยยืนอยู่จุดเดียวกัน ผมรู้ว่ามันทำใจไม่ง่ายเลย ใช่ว่าผมจะไม่อยากช่วยเหลือเด็กนั่นนะ แต่ทุกคนก็ต้องยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ผมเองก็ไม่ได้รวยล้นฟ้า และผมก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ แม้จะสามารถเลี้ยงดูแม่และน้องให้อยู่สุขสบายได้ แต่ที่ผ่านมาผมทั้งใช้หนี้ทั้งซื้อบ้าน และยังต้องเผื่อเงินเอาไว้สำหรับยามฉุกเฉินและสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนของเจ้าสองอีก ตอนนี้ผมไม่ได้มีเงินเหลือมากมายขนาดนี้ที่จะช่วยเหลือใครก็ได้หรอกนะ





☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     ผมยังไม่ได้กลับบ้านตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรกหรอกนะ เพราะคิดว่าไหน ๆ ก็ออกจากบ้านมาแล้ว ผมก็เลยอยากจะแวะเข้าคุยกับฟรองค์ให้เข้าใจด้วยเลยในคราวเดียว เพราะสภาพของผมในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากจะออกจากบ้านบ่อย ๆ สักเท่าไหร่

     ผมแวะมาหาฟรองค์ที่ร้านกาแฟของเขา เวลานี้ฟรองค์ก็น่าจะอยู่ที่ร้านนี่แหละ ผมเดินตรงเข้าไปหาไปฟรองค์ถึงหลังร้านในส่วนที่เป็นห้องครัวตามคำที่พนักงานบอกว่าฟรองค์ที่อยู่นั่น เพราะฟรองค์พาผมมาที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง เลยไม่ได้มีใครหวงห้ามกับการที่ผมจะเดินเข้านอกออกในส่วนที่เป็นพื้นที่เฉพาะคนใน

     ผมยืนแอบมองฟรองค์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำเค้กอยู่ครู่ใหญ่ เห็นเขากำลังขะมักเขม้นอยู่ผมก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ แต่เวลาที่ฟรองค์อยู่ในโหมดพ่อครัวนี่เขาก็ดูเท่และมีเสน่ห์ดีเหมือนกันนะ และฟรองค์เองก็ดูมีความสุขเอามาก ๆ กับการทำขนมซึ่งเป็นสิ่งเขารัก จนผมที่ยืนมองอยู่ยังเผลอยิ้มตามไปด้วย จริง ๆ แล้วผมก็แอบรู้สึกอิจฉาฟรองค์เหมือนกันนะที่เขาสามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบได้แล้ว แต่ผมนี่สิวัน ๆ เอาแต่นับวันรอว่าเมื่อไหร่จะหมดสัญญาจากบริษัทคุณราม ทั้งที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าเลยว่าถ้าถึงวันที่หมดสัญญาจริง ๆ แล้ว ผมจะไปทำอะไรต่อดี





-----------------------------------------------------

[มีต่อในรีพลายถัดไปครับ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2018 12:31:44 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
[ต่อ]



     “ฟรองค์” เสียงเรียกจากผมทำเอาคนที่กำลังดูมีความสุขกับการทำขนมอยู่ต้องหยุดชะงักลง

     “หนึ่ง” เมื่อหันมาเห็นหน้าผมฟรองค์ฉีกยิ้มกว้าง แววตาที่ฟรองค์มองมาที่ผมตอนนี้มันช่างดูเป็นประกายและดูมีทั้งความประหลาดใจและดีใจแฝงปะปนกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับว่าผมไม่เคยมาที่นี่อย่างนั้นแหละ

     แต่สีหน้าดีใจของฟรองค์ก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฟรองค์รีบละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่และเดินจ้ำอ้าวตรงเข้ามาหาผม และจับตัวผมหันซ้ายขวาและมองสำรวจเสียทั่ว เขาทำราวกับว่ากำลังค้นหาร่องรอยสึกหรอบนตัวผมอย่างนั้นแหละ

     “หนึ่ง ออกจากบ้านได้ยังไงแผลยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวมันก็กระเทือนแผลหรอก แค่ฟรองค์ไม่ได้ไปหาไม่กี่วันคิดถึงฟรองค์ขนาดต้องมาหาฟรองค์เองเลยเหรอ คราวหลังวีดีโอคอลเอาก็ได้นะ”

     “นี่หลงตัวเองมากไปแล้ว” ผมว่าอย่างติดตลก เมื่อประโยคที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจากฟรองค์เมื่อครู่นั้นดันมีคำหวานที่ดูออกแนวจะหลงตัวเองไปสักหน่อยติดสอยห้อยท้ายมาด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็ยังขำที่ได้ยินผมว่ากลับไปอย่างนั้น

     “แล้วแผลเป็นยังไงบ้าง ฟรองค์เป็นห่วงมากนะรู้ไหม” รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ก็ตอนช่วงที่ผมออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ ฟรองค์แทบจะไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านผมทุกวัน จนตอนนี้ฟรองค์สนิทกับทั้งแม่และน้องของผมไปแล้ว ผมเองก็อดเกรงใจเขาไม่ได้ เพิ่งจะมีช่วงหลังมานี้ที่เจ้าตัวบอกว่างานที่ร้านยุ่งจริง ๆ เลยไม่มีเวลาได้เข้าไปเยี่ยมผมที่บ้านบ่อย ๆ แต่ก็ยังโทรหาเพื่อไถ่ถามอาการอยู่ทุกคืน

     “เราดีขึ้นมากแล้วล่ะ พอดีเรามีธุระอยากจะคุยกับฟรองค์น่ะ” ดีขึ้นมากอย่างนั้นหรือ ที่ออกมาข้างนอกวันนี้แค่มีอะไรกระทบกระเทือนนิดหน่อยก็เล่นเอาเจ็บแปลบจนผมแทบจะตัวงอ แต่ปากผมมันก็ยังจะเลือกที่จะอวดเก่งอยู่นั่น

     “หนึ่งมีเรื่องอะไรเหรอ” ฟรองค์เอียงหน้ามองผมด้วยแววตาช่างสงสัย

     “ทำไมฟรองค์ถึงเบี้ยวงาน รู้ไหมสปอร์นเซอร์โกรธมากเลยนะ” เมื่อเริ่มพูดเข้าเรื่องสำคัญผมปรับสีหน้าที่ยิ้มแย้มให้ดูจริงจังขึ้นในทันที แต่เมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้นฟรองค์ก็ถึงกับแสดงสีหน้าและท่าทางที่ดูออกไปทางเซ็ง ๆ หรือไม่ค่อยอยากจะรับรู้ พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาอย่างดูเหนื่อยหน่าย

     “คุณรามเขาสั่งให้หนึ่งมาพูดกับฟรองค์เหรอ”

     “มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเราจะมาพูดเพราะใครสั่งมา แต่ฟรองค์ควรจะมีความรับผิดชอบมากมากกว่านี้นะ รู้ไหมการที่ฟรองค์เบี้ยวงานไปดื้อ ๆ อย่างนี้ มันทำให้ทีมงานหลายคนต้องเดือดร้อนนะ ฟรองค์กลับไปแสดงเถอะนะ”

     “หนึ่งไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอกับการที่บอกให้ฟรองค์ไปมีอะไรกับคนอื่น แต่หนึ่งรู้ไหมว่าทุกครั้งที่ฟรองค์รู้ว่าหนึ่งจะต้องแสดงคู่กับคนอื่น ฟรองค์แทบจะเป็นบ้า” ผมถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินฟรองค์พูดออกมาอย่างนั้น

     “ฟรองค์....” ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับฟรองค์ไปว่าอย่างไรดี และผมก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องตัวอย่างไรให้ฟรองค์เลิกรู้สึกกับผมไปมากเกินกว่าความเป็นเพื่อนดีคนหนึ่งได้สักที ทั้ง ๆ ที่ผมก็คิดว่าที่ผ่านมาผมก็พยายามที่จะไม่ทำอะไรที่ดูเหมือนเป็นการให้ความหวังฟรองค์แล้วนะ แต่เพราะฟรองค์ดีกับผมมาก ผมเลยไม่กล้าที่จะตัดเหยื่อใยฟรองค์ขั้นเด็ดขาดเหมือนที่ทำกับคุณราม

     ฟรองค์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังให้กับผม ดูเหมือนว่าฟรองค์จะกำลังพยายามหลบซ่อนไม่ให้ผมเห็นสีหน้าและแววตาที่เขากำลังเป็นอยู่

     “หนึ่งก็รู้ว่าฟรองค์อยากจะรีไทร์จากวงการตั้งนานแล้ว แต่ที่ฟรองค์ยังรับงานอยู่ก็เป็นเพราะหนึ่ง มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะ แต่ฟรองค์มีความสุขทุกครั้งที่ฟรองค์มีอะไรกับหนึ่งเพราะมันทำให้ฟรองค์รู้สึกว่าหนึ่งเป็นของฟรองค์ถึงมันจะเป็นแค่เพียงบทบาท เพราะในความเป็นจริงฟรองค์ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งไม่เคยสนใจฟรองค์เลย แต่ถ้าการจะให้ฟรองค์ไปแสดงคู่กับคนอื่นเป็นความต้องการของหนึ่งฟรองค์ก็จะทำให้”

     ฟรองค์พูดไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังตัดพ้อ ผมก็เข้าใจว่าฟรองค์ก็คงจะรู้สึกลำบากใจ ผมก็ไม่ได้อยากจะบังคับจิตใจฟรองค์หรอกนะ แต่มันจำเป็นจริง ๆ นี่ เพราะฟรองค์เป็นคนรับงานไว้เองถึงตอนที่รับงานนั้นจะรับเพราะคิดว่าจะได้แสดงคู่กับผมก็เถอะ แต่เพราะผมมีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ จึงจำเป็นต้องถอนตัวและทางสปอนเซอร์ก็เข้าใจดีแต่สำหรับฟรองค์นั้นไม่ใช่ หากว่าบริษัทของคุณรามมีปัญหากับสปอนเซอร์ขึ้นมาทีมงานอีกหลายชีวิตก็คงจะต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะอย่างนั้นผมจึงจะปล่อยให้ฟรองค์ทำตามใจตัวเองไม่ได้ อย่างไรงานก็ต้องเดินต่อ

     “ขอบคุณนะฟรองค์” ผมว่าพลางวางมือบนบ่าของฟรองค์ ผมคิดว่านี่คงจะเป็นการถนอมความรู้สึกของฟรองค์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ โดยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังล้ำเส้นคำว่าเพื่อน

     “เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมหนึ่ง หนึ่งถึงไม่เหลือที่ว่างในสายตาที่จะหันมามองฟรองค์”

     ผู้ชายคนนั้นที่ฟรองค์พูดถึงผมเข้าใจว่าฟรองค์คงจะหมายถึงคุณโชน ฟรองค์และคุณโชนเคยเจอกันอยู่สองถึงสามครั้งตอนที่ไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล ถึงแม้ทั้งสองคนแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยแต่ผมก็พอจะรู้สึกได้ว่าเขาสองคนดูเขม่นกันอย่างไรก็ไม่รู้

     “ไม่ใช่นะฟรองค์ ตอนนี้ไม่ว่าจะฟรองค์หรือเขาไม่มีใครเป็นมากกว่าเพื่อนของเราทั้งนั้น ตอนนี้เรายังไม่พร้อมที่จะมีใครทั้งนั้น” ผมยังคงย้ำชัดในคำ ๆ เดิมที่เคยพูดไปแล้วตอนที่แนะนำให้ฟรองค์และคุณโชนรู้จักกันที่โรงพยาบาล ว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนของผม ไม่มีใครเป็นอะไรมากไปกว่านั้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกับผมที่สุดมีแค่แม่กับน้องเท่านั้น และตราบใดที่ผมยังต้องทำอาชีพนี้อยู่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น และบางทีคุณโชนเขาก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรกับผมมากไปกว่าแฟนคลับที่ชื่นชอบในผลงานเลยด้วยซ้ำ

     “ฟรองค์ยังรอหนึ่งอยู่เสมอนะ” น้ำเสียงนุ่ม ๆ ของฟรองค์ในตอนนั้นมันช่างฟังดูเศร้าจับใจเหลือเกิน ฟรองค์ว่าพลางเลื่อนมือขึ้นมากุมมือของผมที่ยังวางอยู่บนบ่าของเขา

     “ถ้าวันไหนที่หนึ่งพร้อม ขอให้ฟรองค์เป็นคนแรกที่หนึ่งจะพิจารณาได้ไหม”

      “เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันนะ” คำถามของฟรองค์นั้นช่างทำให้ผมลำบากใจเหลือเกิน ผมให้คำตอบเขาได้ดีที่สุดแค่เพียงบอกปัดไปเท่านั้น ผมทำใจไม่ลงจริง ๆ ที่จะปฏิเสธฟรองค์อย่างเด็ดขาด เพราะเขาคงจะต้องเสียใจมาก

      อย่างไรก็ตามฟรองค์ก็ยังคงเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ผมรักมากที่สุด แต่รักในฐานะเพื่อนเท่านั้น

      ไม่ว่าอย่างไรผมเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับฟรองค์มากไปกว่าการเป็นเพื่อนรักและเพื่อนที่ดีเท่านั้นจริง ๆ ทุกครั้งที่ผมกับฟรองค์มีอะไรกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรก็ตามแต่ แต่สำหรับผมมันไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการทำงาน จริงอยู่ว่าเขาสามารถทำให้มีอารมณ์ร่วมไปกับบทเพลงสวาทของเขาได้ แต่ผมว่ามันเป็นแค่เรื่องปกติของคนที่มีกำลังเซ็กส์กัน ผมก็แค่การอินกับบทบาทที่กำลังแสดงก็เท่านั้น

     ผมได้ยินเสียงฟรองค์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูฝืน ๆ หน้าอาจจะพอฝืนยิ้มได้นะ แต่ในแววตาของเขานั้นมันไม่สามารถซ่อนเร้นความเศร้าเอาไว้ได้เลย ยิ่งเห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

     “เอ่อ แม่เราเขาบ่นคิดถึงฟรองค์น่ะ ถ้ามีเวลาว่างก็อย่าลืมแวะไปทานข้าวที่บ้านเรานะ”

     “อืม ไปอยู่แล้ว จะไปจนกว่าจะได้เป็นลูกเขยแม่นั่นแหละ”

     เฮ้อ ผมล่ะยอมรับจริง ๆ ในเรื่องของความดี ความมุ่งมั่น และความเสมอต้นเสมอปลายที่ฟรองค์มีให้ผม ถ้าผมสามารถรู้สึกกับเขาเหมือนที่เขารู้สึกกับผมได้ก็คงจะดี ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากรักคนดี ๆ แบบฟรองค์นะ แต่เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้จริง ๆ นี่นา

    สำหรับผมแล้วไม่ว่าอย่างไรเพื่อนก็คือเพื่อน เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก




☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     เสียงริงโทนโทรศัพท์ทำให้ผมละความสนใจจากหนังสือนิยายที่กำลังนอนอ่านอยู่เพลิน ๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาบนพนังห้องตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่า ๆ คนที่น่าจะโทรมาในเวลานี้ก็คงจะอยู่คนเดียว ผมหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดรับสายโดยแทบจะไม่ต้องมองชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลปลายสาย

     “สวัสดีครับคุณโชน” ผมกล่าวทักทายบุคคลปลายสายพร้อมเอ่ยชื่อของคนที่มักจะโทรมาในเวลานี้เป็นประจำทุกวัน

     “เฮ้อ พี่ชายสองนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ เลย” เจ้าสองที่นอนอยู่ข้าง ๆ หันมาทำแววตากระเซ้าใส่ผม ผมหันไปทำตาดุใส่เจ้าน้องตัวแสบที่พอเห็นผมทำอย่างนั้นแล้วยังจะมาขำอีก

     ทุกวันนี้ผมนอนห้องเดียวกับเจ้าสองครับ ถึงแม้บ้านหลังนี้จะใหญ่โต และยังมีห้องว่างเหลืออยู่อีกหลายห้อง แต่เจ้าสองเป็นคนออกปากเองว่าอยากให้ผมมานอนด้วยเพราะอยากจะดูแลผม ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะมันก็ได้ทำให้ผมหวนนึกถึงอดีตในวันคืนดี ๆ ตอนที่เราอยู่บ้านหลังเก่ากัน บ้านหลังเล็ก ๆ ที่อบอุ่นแม้ห้องนอนจะมีจำกัด ผมก็นอนห้องเดียวกันเตียงเดียวกันกับเจ้าสองตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ผมสูญเสียช่วงเวลาดี ๆ กับครอบครัวไปมากแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ขอชดเชยให้ตัวเองอย่างเต็มที่เลยก็แล้วกัน

     “เอ่อ คุณหนึ่งอาการเป็นยังไงบ้างครับ” คุณโชนก็ยังเป็นคุณโชน ไม่ว่าจะคุยกับผมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่เวลาคุยกับผมทุกครั้งเขาก็ยังคงมีอาการเกร็ง ๆ ดูไม่มั่นใจ ที่แสดงชัดผ่านทางน้ำเสียงอยู่ดี

     “ดีขึ้นมากแล้วครับ”

     “ถ้าอย่างนั้น ฝะ ฝันดี นะครับคุณหนึ่ง”

     “ครับ ฝันดีเช่นกันครับ”

     สิ้นสุดบทสนทนาสั้น ๆ นั้นคุณโชนก็วางสายไปอย่างง่ายดาย เขาก็มักจะโทรมาหาผมเพื่อไถ่ถามอาการ และจบด้วยการบอกฝันดีอย่างนี้เป็นประจำ คำถามเดิม ๆ ที่ผมก็ตอบกลับด้วยคำตอบเดิม ๆ มันเป็นบทสนทนาสั้น ๆ และฟังดูงง ๆ แต่มันก็ทำให้อมยิ้มได้ทุกครั้งเลยจริง ๆ


     ฝันดีนะครับคุณโชน







     TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2018 12:18:14 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เห็นทิ้งท้ายว่าจะมาต่อ...

เมนท์นี้คงไม่ได้เป็นการปาดนะ

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
:pig4: :pig4: :pig4:

เห็นทิ้งท้ายว่าจะมาต่อ...

เมนท์นี้คงไม่ได้เป็นการปาดนะ

ไม่ปาดค๊าบบ เมนท์เถอะอยากให้เมนท์ 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 02:53:49 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
ว๊ากกกกกกกกก คือ ไรท์ กลับ มาแล้วววววว ง่าาาาาา เขาคิดถึงตั้งนานนนนน :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอติดตามนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
เพิ่มเนื้อหาในพาร์ทสองแล้วนะครับ

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65228.msg3868282#msg3868282

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
ว๊ากกกกกกกกก คือ ไรท์ กลับ มาแล้วววววว ง่าาาาาา เขาคิดถึงตั้งนานนนนน :mew1: :mew1:


ขอบคุณมากจริงๆนะครับที่ยังไม่ลืมกัน หลังจากนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพยายามอัพนิยายให้ได้ทุกวัน แต่คงจะต้องมาทีละครึ่งตอนแบบตอนนี้นะครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาโชนนี่  เหมือนเด็กน้อยวัยกะเตาะที่กำลังมีฟามรักแบบปั๊ปปี้เลิฟจริง ๆ

ส่วนฟร็องค์  สงสารนางมากอ่ะ  สุดท้ายนางก็เป็นได้แค่พระรองซีรีส์เกาหลี

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
ตอนที่ 6 สร้อยทอง




     ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่ผมเข้าไปพบคุณรามวันนั้น ตอนนี้อาการที่แผลของผมก็ใกล้จะหายดีเกือบจะเป็นปกติแล้ว ก็ยังมีเจ็บอยู่บ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันอะไรมากมาย เดือนหน้านี้ผมคงจะต้องกลับไปรับงานตามปกติแล้ว เฮ้อ พอนึกได้อย่างนี้แล้วก็อยากจะป่วยนาน ๆ ขึ้นมาทันที

     หนังที่ฟรองค์ยอมกลับไปร่วมแสดงก็กำลังจะเปิดกล้องวันมะรืนนี้แล้ว แต่ฟรองค์ยังมีโทรมางอแงกับผมอยู่เลยว่าไม่อยากจะแสดง แต่ผมเชื่อว่าครั้งนี้เขาจะไม่เบี้ยวเหมือนคราวที่แล้ว เพราะเขารับปากกับผมไว้แล้ว ส่วนเรื่องเด็กที่ชื่อป้อง ผมก็ช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ตามที่รับปากกับพี่แองจี้ไว้ แต่ผมก็ทำได้แค่ต่อสายหาคุณรามเพื่อฝากฝังให้ช่วยพิจารณาเด็กนั่นสักหน่อย ส่วนเขาจะรับหรือไม่รับป้องเข้าทำงานก็คงต้องสุดแล้วแต่เขา





☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     เสียงออดที่หน้าบ้านทำเอาผมต้องดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกะทันหัน เวลาลุกแบบพรวดพราดอย่างนี้ก็ยังรู้สึกเสียวแปลบตรงบริเวณที่ถูกแทงอยู่เหมือนกันนะ ตอนนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว เจ้าสองไปทำรายงานบ้านเพื่อน ส่วนแม่ออกไปตลาด ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะไปช่วยแม่ถือของที่ตลาดเพราะวันนี้เจ้าสองไม่ได้ด้วย แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าให้ผมพักอยู่ที่บ้านดีแล้วเพราะยังไม่หายดี

     ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือคนจะมาที่บ้านผมในเวลานี้ เพราะที่อยู่ของบ้านหลังนี้ผมก็ไม่ค่อยจะได้ให้ใครไว้สักเท่าไหร่ แม้แต่คุณรามที่เป็นเจ้านายของผมหรือแม้แต่เพื่อนนักแสดงนอกจากฟรองค์แล้วก็ยังไม่มีใครรู้ที่อยู่บ้านของผมเลย และผมว่าผมก็ไม่ได้สั่งซื้ออะไรไว้สักหน่อย ถ้าเป็นฟรองค์ปกติแล้วฟรองค์ก็ไม่เคยจะกดออดแต่จะโทรมาหาก่อนจะมาถึง หรือถ้าจะเป็นคุณโชน รายนั้นก็ยิ่งไม่น่าใช่เข้าไปใหญ่เพราะตั้งแต่ที่ผมออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ยังไม่เคยมาเยี่ยมผมที่บ้านเลยสักครั้ง ได้แต่โทรมาบอกห่วงใยเป็นประโยคสั้น ๆ อยู่ทุกวี่วัน

     ตั้งแต่เดินลงบันไดมานี้ผมก็ยังคิดไม่ตกว่าใครกันนะที่เป็นผู้มาเยือนคนนั้น หรือว่าจะโดนเด็กแถวนี้มาแกล้งกดออดเล่นกันแน่




☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     เมื่อผมเปิดประตูบ้านออกมา ผมก็ได้พบกับหญิงสาวรูปร่างดี เธอสวมแว่นตาสีดำและสวมชุดแซกสีดำที่ดูวาบหวิวพอสมควร และเธอยังทาปากด้วยสิปสติกสีแดงสดจนเหมือนสีเลือด เมื่อพินิจมองเธอแล้วผมก็รู้สึกว่าพอจะคลับคล้ายคลับคลาอยู่เหมือนกันนะ แม้จะยังนึกไม่ออกว่าเธอคือใครกันแน่แต่ผมก็ยังคงเดินไปเปิดประตูรั้วให้เธอในฐานะเจ้าของบ้านที่ดี

     “คุณสร้อย” ผมเพิ่งจะจำตัวตนของเธอผู้นี้ได้ เมื่อเธอถอดแว่นตาสีดำนั้นออก เพื่อโชว์แววตาที่กำลังมองเหยียดผมอยู่

     ผมเพิ่งจะเคยเจอตัวจริงของเธอเป็นครั้งแรกก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นหน้าเธอแค่เพียงผ่านภาพถ่ายในสื่อเท่านั้น เธอชื่อสร้อยทอง เป็นภรรยาของคุณรามและยังเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่รวยติดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศผมอีกด้วย แต่ตอนนี้ผมคงจะต้องเรียกเธอว่าเป็นอดีตภรรยาของคุณรามแล้วสินะ ก็คุณรามเล่นเอาใบหย่ามาวางโชว์ตรงหน้าผมเสียขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่รู้เธอรู้จักบ้านผมได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไรในการมาที่นี่

     เพี๊ยะ

     “โอ๊ย”  ไม่ทันที่จะพูดพร่ำทำเพลงคุณสร้อยเธอก็ตบหน้าผมอย่างแรงเข้าฉาดใหญ่

     “โสเภณีชั้นต่ำอย่างแกกล้ามากนะที่คิดจะมาแย่งผัวฉัน” คำด่าว่าโสเภณีจากคุณสร้อยทำเอาผมถึงกับจุกอก ผมเงยหน้ามองฟ้าเพื่อเก็บซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นทันทีได้ถูกเรียกด้วยคำ ๆ นั้น ไม่ว่าจะโดนด่าโดนดูถูกมาเท่าไหร่ผมก็ไม่เคยรู้สึกชินชากับคำ ๆ นั้นเลยสักที ผมไม่ได้ดูถูกคนที่ทำอาชีพนั้นเพราะงานที่ผมทำก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าพวกเขาเลย แต่ผมแค่ไม่รู้สึกคุ้นชินกับการถูกเรียกแบบนี้จริง ๆ

      ผมหันกลับมามองหน้าคุณสร้อยด้วยความพยายามเก็บซ่อนทุกความรู้สึก ไม่ให้มีอารมณ์ใด ๆ แสดงผ่านทางสีหน้า เธอเหยียดยิ้มดูจะกำลังสะใจกับการที่ได้ตบหน้าและด่าทอผมด้วยถ้อยคำที่เสียดแทงเมื่อครู่

     “ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะครับ ถ้าคุณจะเรียกผมว่าโสเภณี เพราะมันก็คืองานของผม และผมว่ามันก็คงจะดีกว่าผู้หญิงที่นอกใจสามี ไปนอนกับผู้ชายคนอื่นจนไม่รู้ว่าตัวเองท้องกับใคร ผมว่าผู้หญิงแบบนั้นมันน่ารังเกียจและด้อยค่ายิ่งกว่าโสเภณีที่คุณดูถูกเสียอีกนะ” ผมยิ้มให้กับเธอและเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติให้เธอเข้าใจไปว่าผมไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ ต่อคำด่าทอของเธอ พลางใช้สายตามองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

     ดูท่าเรื่องที่คุณรามเล่าให้ผมฟังมันคงจะเรื่องจริงเสียแล้วสิ เพราะเธอแสดงอาการร้อนรนออกมาในทันทีเมื่อผมตอบกลับไปเช่นนั้น ซึ่งมันจริงก็อย่างที่ผมพูดนี่ คนที่ขายบริการทางเพศที่เขาต้องทำก็เพราะความจำเป็น เพราะมันคืออาชีพของเขา แต่สำหรับผู้หญิงที่มีเงินทองท่วมฟ้าอย่างคุณสร้อย เธอไม่จำเป็นต้องนอนกับใครเพื่อแลกเงิน และสำหรับผู้หญิงที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วอย่างเธอแต่ยังเที่ยวไปนอนกับชายอื่นฟรี ๆ เมื่อลองช่างน้ำหนักดูแล้วโสเภณีที่เธอดูถูกนั้นอาจจะดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่าพฤติกรรมของผู้หญิงอย่างเธอเสียด้วยซ้ำ

     คุณสร้อยเธอตรงเข้ามาตบตีผมอย่างไม่ยั้งมือด้วยท่าทางที่ดูแสนจะเจ็บแค้นขั้นสุด ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่ว่ายังไงคนอย่างผมก็ไม่ทำร้ายผู้หญิงอยู่แล้ว แต่สำหรับคนอื่นผมไม่รู้....



     รถสปอร์ตสีดำของคุณรามที่เคลื่อนที่มาด้วยเร็วสูงเบรคลงอย่างกะทันหันตรงหน้าบ้านผม จนยางรถเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเสียงดังสนั่น คุณรามลงจากรถด้วยท่าทางร้อนใจในทันที เขาพุ่งตรงเข้ามากระชากตัวคุณสร้อยออกจากตัวผมไปอย่างแรง แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าทำ จนผมเองถึงกับต้องอึ้งไป

     เพี๊ยะ

     คุณรามตบหน้าคุณสร้อยอย่างเต็มแรง จนตัวเธอล้มทรุดลงไปกองที่พื้น ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะทำได้ถึงขนาดนี้ คุณสร้อยเธอถึงกับเลือดกลบปาก เธอหันกลับมามองหน้าอดีตสามีด้วยแววตาที่แสนจะน้อยเนื้อต่ำใจ

     “คุณตบสร้อย เพื่อปกป้องมันเลยเหรอคะราม”

     “ไสหัวไปให้พ้น แล้วอย่าให้ฉันรู้ว่าเธอมาระรานคนของฉันอีก ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่าฉันใจร้าย” คุณรามชี้หน้าและตะคอกใส่คุณสร้อยอย่างไร้เยื้อใย สีหน้าและแววตาของเขาในตอนนั้นมันช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน

     “ก็ดีในเมื่อคุณกล้าทำแบบนี้กับสร้อย เราก็จะได้เห็นดีกัน สร้อยจะบอกให้คุณพ่อเล่นงานคุณ” คุณสร้อยพ่นคำขู่และดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทั้งน้ำตา เธอจ้องหน้าคุณรามแบบท้าตีท้าต่อย แม้ในแววตาของเธอในตอนนั้นจะดูเกรงคุณรามอยู่ไม่น้อยก็ตาม

     “เฮอะ จะให้พ่อเธอเล่นงานฉันอย่างนั้นเหรอ” คุณรามเหยียดยิ้มและยักไหล่ดูไม่ได้เกรงกลัวต่อคำขู่ของคุณสร้อยเลยแม้แต่น้อย

     “เธอแน่ใจเหรอว่าพ่อเธอจะกล้าทำอะไรฉัน วันที่พ่อรู้ว่าถึงความชั่วช้าของเธอ พ่อเธอแทบจะกราบเท้าอ้อนวอนไม่ให้ฉันเลิกกับเธอกลัวจะเป็นข่าวและเขาจะเสียชื่อ นักธุรกิจใหญ่อย่างพ่อเธอมันห่วงหน้าตาของตัวเองในสังคมยิ่งกว่าห่วงลูกเลว ๆ อย่างเธอเสียอีก ถ้าฉันเอาผลตรวจดีเอ็นเอของฉันกับไอ้มารหัวขนลูกของเธอไปประจานล่ะก็คงได้ฉาวโฉ่กันไปทั่ว คิดว่าพ่อเธอจะกล้าเสี่ยงไหมล่ะ” คุณรามพูดอย่างทะนงตนว่าเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า เขาใช้นิ้วชี้ผลักที่หน้าผากของอดีตภรรยาอย่างแรงจนเธอหน้าหงาย ก่อนที่เขาจะดึงตัวเธอกลับมาด้วยการคว้าเข้าที่คอของเธออย่างไม่เบามือ จนเธอแสดงอาการคล้ายกับว่ากำลังหายใจไม่ออก

     “บุญคุณที่พ่อเธอเคยช่วยเหลือฉัน ฉันถือว่าฉันชดใช้ให้จนหมดไปแล้ว ด้วยการที่ฉันทนอยู่กับผู้หญิงแพศยาอย่างเธอมานานเป็นปีทั้งที่รู้ว่าตัวเองโดยสวมเขาแล้ว การที่ฉันกับเธอเลิกกันไปแบบเงียบ ๆ ถือว่าฉันปรานีเธอที่สุดแล้วนะสร้อยทอง ตอนนี้ฉันเจอคนที่ฉันต้องการแล้ว เธอก็ควรไสหัวออกไปจากชีวิตฉันได้แล้ว” ว่าจบคุณรามสลัดคุณสร้อยจากมือของเขาอย่างแรง จนเธอล้มไปกองกับพื้นอีกรอบ ผมเห็นสภาพคุณสร้อยในตอนนั้นแล้วก็อดนึกเวทนาเธอไม่ได้จริง ๆ

     เหตุการณ์การที่วิวาทกันนั้นคงจะส่งเสียงดังอยู่ไม่น้อย จนเพื่อนบ้านในละแวกนั้นออกมายืนดูที่หน้าบ้านของตัวเองกันเป็นแถว ส่วนผมขอหันหลังเดินกลับเข้าบ้านก็แล้วกัน เพราะไม่อยากจะรับรู้เรื่องในครอบครัวระหว่างสองผัวเมียนี่อีกแล้ว คุณรามตามเข้ามาประครองผม ผมสลัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขาในทันที ยังไงผมก็ไม่รู้สึกสนิทใจกับการที่จะให้ผู้ชายที่น่ากลัวมากคนนี้มาแตะต้องตัวผม




     คุณรามยอมที่จะไม่สัมผัสตัวผมแต่เขาก็ยังคงเดินตามผมเข้ามาในบ้าน ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณหน้าบ้านผม คุณสร้อยเธอคงจะกลับไปแล้ว

     “คุณกับคุณสร้อยรู้จักบ้านผมได้ยังไง”

     “ผมให้คนตามสืบเรื่องที่อยู่ของคุณมาสักพักแล้วล่ะ ผมแค่ยังไม่อยากจะรีบร้อนบุกมาถึงบ้านคุณ กลัวคุณจะตกใจ แต่สร้อยผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเขามาบ้านคุณได้ยังไง” ผมถึงกับเหวอกับคำให้การของเขา นี่เขาถึงขั้นให้คนมาตามสืบหาที่อยู่ของผมเลยหรือนี่ คนอย่างเขานี่มันน่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้มากจริง ๆ

     “คุณเจ็บหรือเปล่าหนึ่ง” คุณรามยื่นมือเข้ามาจะสัมผัสตรงร่องรอยบนหน้าผมที่ถูกคุณสร้อยทำร้าย แต่ผมรีบปัดมือเขาออกในทันที ไม่ว่ายังไงคนอย่างเขามันก็น่ารังเกียจอยู่วันยันค่ำ

     “คนของผมบังเอิญเห็นรถของสร้อยขับมาทางบ้านคุณ ผมเป็นห่วงก็เลยรีบตามมาดู ผมไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำกับคุณขนาดนี้ ผมขอโทษจริง ๆ เพราะผมใช้ผลตรวจดีเอ็นเอเป็นข้อต่อรองให้เขายอมเซ็นใบหย่าให้ผม แต่เขาก็ยังตามราวีผมไม่เลิก จนผมเผลอหลุดปากไปว่าผมต้องการคุณ แต่ผมรับปากนะว่าต่อไปนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เขามายุ่งกับคุณอีก” อย่าพยายามมาทำน้ำเสียงอ่อนโยนกับแววตารู้สึกผิดอย่างนั้นเลย อย่างไรผมก็ไม่มีทางใจอ่อนหลงผิดคิดจะยอมตกล่องไปปล่องชิ้นไปกับคนอย่างเขาหรอก

     “คุณรังเกียจคุณสร้อยเพราะเธอไปนอนกับผู้ชายคนอื่น แล้วกับผมล่ะด้วยงานของผม ผมก็นอนกับผู้ชายมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่คน แล้วคุณจะมาบอกว่าต้องการผมเนี่ยนะ ย้อนแย้งสิ้นดี ถ้าผมยอมเป็นของคุณสักวันหนึ่งคุณก็อาจจะทำกับผมเหมือนที่คุณทำกับคุณสร้อยวันนี้”

     “นี่ปล่อยผมนะ” คุณรามฉวยโอกาสเข้ารวบกอดผมจากด้านหลัง ผมพยายามที่จะขยับตัวหลบหนีการจู่โจมจากปากและจมูกของเขาที่พยายามจะซุกไซร้และพรมจูบไปทั่วทั้งต้นคอและใบหน้าของผม การกระทำเช่นนี้ของเขามันทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี

     “ก่อนที่คุณจะเป็นของผม คุณจะนอนกับผู้ชายกี่ร้อยกี่พันคน ผมก็ไม่สนใจหรอก แต่ถ้าหลังจากที่คุณเป็นของผมแล้ว คุณต้องเป็นของผมแค่คนเดียวเท่านั้น และคุณไม่ต้องกลัวหรอกนะ ที่สร้อยทองต้องเจอแบบนั้นเพราะเขาทรยศผม แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น”

     คุณรามเลื่อนมือลงมาลูบไล้ตรงรอยแผลที่ถูกแทงของผม ก่อนที่เขาจะกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงกระเซ่าจนผมอยากจะอาเจียนว่า

     “คุณยังไม่ต้องกลัวหรอกหนึ่ง ตอนนี้คุณยังเจ็บอยู่ผมยังไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก เอาไว้รอให้คุณหายดีก่อนก็ยังไม่สายเกินไป”




-----------------------------------------------------
[มีต่อในรีพลายถัดไปครับ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2018 00:09:45 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
[ต่อ]

☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     ผมกดรับสายโทรศัพท์ที่ส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นมาในตอนบ่ายของวันที่แสนน่าเบื่อ ก็ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันเมื่อเห็นว่าชื่อและเบอร์โทรของบุคคลปลายสายนั้นคือฟรองค์ ทั้งที่ตอนนี้ฟรองค์น่าจะกำลังอยู่ที่สตูดิโอนี่นา

     “ว่าไงฟรองค์”

     “เอ่อ หนึ่งรู้จักกับน้องที่ชื่อป้องหรือเปล่า” ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าฟรองค์น่าจะกำลังไม่สบายใจกับอะไรบางอย่าง มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่านะ อยู่ ๆ ฟรองค์ก็ถามผมถึงน้องที่ชื่อป้อง และน้องที่ชื่อป้องที่ผมพอจะรู้จักก็น่าจะมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ

     “เอ่อ ถ้าป้องที่ฟรองค์หมายถึงเป็นเด็กของแองจี้ที่เพิ่งจะมาออดิชั่นที่ค่าย เราก็เคยเจอนะ มีอะไรกันหรือเปล่า หรือว่า.....” อยู่ ๆ สมองผมมันก็นึกปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องรอคำตอบจากฟรองค์ ก็ในเมื่อตอนนี้ฟรองค์น่าจะกำลังอยู่ที่สตูดิโอเพื่อเตรียมถ่ายหนังเรื่องใหม่ แล้วอยู่ ๆ ฟรองค์ก็โทรมาถามผมถึงเรื่องเด็กคนนั้น พอลองปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้

     นี่คุณรามกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้จับเด็กนั่นเดบิวต์เร็วขนาดนี้เลย




☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     ผมรีบดิ่งตรงมาที่บริษัทของคุณรามทันทีที่ได้ความจากฟรองค์ เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริง ๆ นายเอกคนใหม่ของฟรองค์คือเด็กป้องจริง ๆ ไม่รู้ว่าคุณรามเขากำลังคิดอะไรของเขาเด็กนั่นเพิ่งจะมาออดิชั่นไปแท้ ๆ กะจะไม่ให้เวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจกันเลยหรือไง

     เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกยังชั้นที่ใช้เพื่อเป็นสตูดิโอสำหรับถ่ายทำหนังของค่าย ผมก็ได้ยินเสียงคุณรามที่น่าจะกำลังโมโหขั้นสุดตะคอกต่อว่าใครสักคนเสียงดังมาแต่ไกล ตามความที่ได้จากฟรองค์ก็คงจะเป็นเจ้าเด็กป้องนั่นแหละที่ทำให้คุณรามระเบิดอารมณ์ได้ขนาดนี้


     “หนึ่ง” ผมหันมองตามเสียงเรียก และก็เป็นฟรองค์ที่ตอนนี้ทั้งตัวเขามีเพียงชุดคลุมอาบน้ำที่ปกปิดร่างกาย กำลังยืนโบกมือให้ผมอยู่ตรงหน้าประตูสตูดิโอที่เป็นต้นทางที่เสียงคุณรามดังลอดออกมา ผมรีบตรงเข้าไปหาฟรองค์ในทันที

     “หนึ่งยังไม่หายดี ฟรองค์ไม่น่าเอาเรื่องร้อนใจมาให้หนึ่งเลยอ่ะ พอดีฟรองค์ได้ยินคุณรามพูดตอนที่ดุน้องเขาว่าให้โอกาสน้องเขามาทำงานในค่ายก็เพราะหนึ่ง ฟรองค์ก็เลยลองไปโทรปรึกษาหนึ่งดู” ฟรองค์ว่าด้วยสีหน้าที่ดูรู้สึกไม่สบายใจ ตอนแรกฟรองค์ก็ไม่อยากจะให้ผมมาถึงที่นี่ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ตอนนี้พี่แองจี้ก็ไปต่างประเทศอีกแล้ว และคนอื่น ๆ ที่รู้จักกับเด็กนั่นผมก็ไม่รู้จักเลย จากที่ได้ยินฟรองค์เล่าทางโทรศัพท์เด็กนั่นถึงขั้นสติแตกไปแล้ว และในค่ายนี้นอกจากผมแล้วเด็กนั่นก็ไม่น่าจะรู้จักคนอื่นเลย ในตอนนี้ผมเลยเป็นคนเดียวที่น่าจะพอเป็นที่พึ่งให้กับเด็กนั่นได้ ผมจึงจำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง

     “ฟรองค์ไม่ต้องคิดมากหรอกเราไม่เป็นอะไรแล้ว ว่าแต่เรื่องเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

     “ตอนแรก ๆ ซีนกอดจูบธรรมดาน้องเขาก็พอเล่นได้นะ แต่พอถึงตอนที่ฟรองค์ถอดเสื้อผ้าออก น้องเขาก็สติแตกไปเลย ยังร้องไห้ไม่หยุดจนถึงตอนนี้ เลยถ่ายต่อไม่ได้” ฟรองค์เล่าด้วยท่าทางที่ดูลำบากใจ ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะเล่าเรื่องตอนที่เขากำลังจะมีอะไรกับคนอื่นให้ผมฟัง แต่ผมฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกคิดมากหรือหึงหวงอะไรหรอกนะ


     ผมดันประตูเปิดเข้าไปด้านของสตูดิโอทันทีหลังจากที่ฟังฟรองค์เล่า ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เด็กป้องใช้ผ้าห่มคลุมตัวเองและนั่งตัวสั่นร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียง โดยมีคุณรามที่ดูกำลังอารมณ์เสียอย่างหนักยืนชี้หน้ากร่นด่าเด็กนั่นด้วยถ้อยคำที่ไม่รักษาน้ำใจกันเลยอยู่ตรงหน้า และทีมงานคนอื่นก็ดูท่าทางเซ็งไปตาม ๆ กัน

     แต่ดูเหมือนกับว่าถ้อยคำต่อว่าจากคุณรามอาจจะไม่ได้เข้าหัวเด็กนั่นสักเท่าไหร่เพราะดูท่าแล้วตอนนี้เด็กนั่นกำลังอยู่ในสภาพที่ใกล้จะที่สติแตกอย่างที่ฟรองค์ว่าจริง ๆ


     “หนึ่งมาได้ยังไง ทำไมไม่พักอยู่บ้าน” คุณรามท้วงขึ้นตอนที่เห็นผมเดินเข้าไปเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แม้เขาจะพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้าตอนที่พูดกับผมให้ดูเสมือนว่าใจเย็นลงต่างจากตอนที่กำลังต่อว่าป้องเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีความขุ่นเคืองติดมาในน้ำเสียงของเขาอยู่ไม่น้อย คุณรามคงจะโกรธป้องมากจริง ๆ

     ผมนั่งลงตรงข้าง ๆ ป้องและจับหัวป้องเข้ามาซบที่ไหล่ผมเพื่อปลอบขวัญ เขากอดที่รอบเอวผมแน่น ตัวของป้องทั้งสั่นและเกร็งไปทั้งตัวดูท่าทางเหมือนจะกำลังขวัญเสียอย่างหนัก เด็กนี่ดูอาการหนักยิ่งกว่าตอนที่ผมเล่นหนังเรื่องแรกหลายเท่าตัวเลยนะ ผมได้แต่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน ก็ได้แต่หวังว่าจะพอทำให้เขาใจเย็นลงได้

     “คุณคิดอะไรของคุณอยู่คุณราม ทำไมถึงต้องเร่งรัดเดบิวต์ป้องขนาดนี้ เห็นไหมว่าเด็กมันยังไม่พร้อม” ผมว่าพลางมองหน้าคุณรามอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

     โดยปกติแล้วหนังเรื่องแรกสำหรับที่นักแสดงบทนายเอกหน้าใหม่ส่วนใหญ่จะได้แสดงจะไม่ใช่หนังที่มีสตอรี่แบบนี้ แต่จะเป็นการนั่งสัมภาษณ์และจบด้วยการให้พี่แว่นดำเอาของเล่นนานาชนิดมาให้นายเอกใหม่ได้ทดลองอย่างถึงพริกถึงขิงก่อนจะเริ่มมีอะไรกัน หนังสไตล์นี้หลายคนคงจะคุ้นเคยจากหนังจีวีของประเทศญี่ปุ่น สำหรับในประเทศของผมมักจะนิยมเอาหนังแนวนั้นมาใช้สำหรับเดบิวต์นายเอกหน้าใหม่ เพราะไม่ต้องจำบทจำท่าทางหรือมุมกล้องอะไรมากมาย แค่ทำไปตามที่แว่นดำเขาจะกำกับมาเท่านั้น แล้วก็ถือเป็นการได้แนะนำตัวกับแฟน ๆ ไปในตัวด้วย  เรื่องแรกของผมก็เป็นแบบนี้

     และนักแสดงหน้าใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกทุกคนหลังจากตรวจเลือดและเซ็นสัญญาแล้วทางค่ายจะให้เวลาเตรียมตัวและทำความคุ้นกับทีมงานรวมไปถึงเพื่อนนักแสดงจนกว่าเจ้าตัวจะรู้สึกพร้อมจริง ๆ ค่ายถึงจะเริ่มป้อนงานให้ แต่นี่อะไรทั้งแนวทางของหนังและความพร้อมของป้องที่เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าป้องยังไม่พร้อม ผมถึงไม่เข้าใจเลยว่าคุณรามเขาคิดอะไรอยู่

     “หนึ่งจะให้ผมทำยังไง พอสปอนเซอร์เขารู้ว่าผมรับเจ้าเด็กนี่เข้าสังกัด สปอนเซอร์เขาก็รีเควสมาว่าอยากให้นายฟรองค์เล่นคู่กับเจ้าเด็กนี่ เพื่อเรียกกระแส เพราะเขาเคยเห็นคลิปหลุดของเด็กนี่แล้วเขาถูกใจ และเด็กนี่ก็เป็นคนรับงานเองนะ”

     “คลิปหลุด คลิปหลุดอะไร” ผมเลิกคิ้วอย่างนึกสงสัย เพราะไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของคุณราม หน้าซื่อ ๆ อย่างเจ้าเด็กป้องน่ะหรือจะเคยมีคลิปหลุดมาก่อนหน้านี้

     “หนึ่งไม่เคยเห็นหรือไง แชร์กันให้ว่อนทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว คลิปที่เด็กนี่นอนกับพ่อเลี้ยงตัวเอง”  อะไรนะ!!

   ผมหันมองคนที่กำลังซบไหล่ผมอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง จากสิ่งที่คุณรามว่ามาเมื่อสักครู่นี้ เด็กป้องจะทำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ มีอะไรสามีของแม่ตัวเองเนี่ยนะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย

     แต่พอลองนึก ๆ ดูแล้วผมก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมป้องถึงสติแตกไปได้ขนาดนี้ ก็หนังที่ป้องและฟรองค์กำลังจะแสดงกันอยู่นี้เป็นแนวที่พ่อเลี้ยงและลูกเลี้ยงแอบมีอะไรกันน่ะสิ เฮ้อ สปอนเซอร์นี่ก็นะคิดจะเอาแต่กระแสแต่ไม่สนใจเรื่องมนุษยธรรมบ้างเลยหรือไง คิดได้อย่างไรที่จะตอกย้ำความผิดพลาดในอดีตเด็กนี่ด้วยการให้แสดงในหนังที่เรื่องราวใกล้เคียงกับความผิดพลาดของเขา คุณรามก็อีกคนคิดจะเอาใจสปอนเซอร์เสียจนละเลยทำเนียมที่ค่ายปฏิบัติกันมาไปแล้วหรืออย่างไร

     “เปลี่ยนคนได้ไหมครับ คุณก็เห็นว่าป้องไม่พร้อมจริง ๆ” ผมลองเสนอความคิดเห็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่สุด เพราะก็ยังมีนักแสดงที่โดนดองในค่ายอีกมากที่น่าจะพร้อมมาแสดงแทน

     “เราไม่มีเวลาแล้วหนึ่ง แค่ตอนที่นายฟรองค์งอแงสปอนเซอร์เขาก็โกรธมากแล้ว และสปอนเซอร์ก็เลือกมาแล้วว่าถ้าไม่ใช่นายเอกตัวท็อปก็ต้องเป็นเด็กนี่เท่านั้น และพวกตัวท็อปคนอื่นก็เรื่องมากจะตายไม่ยอมมาแสดงแทนหรอก” ฟังคุณรามว่าถึงความจำเป็นแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก แล้วผมจะช่วยเจ้าเด็กนี่อย่างไรดีล่ะคราวนี้

     “ถ้าอย่างนั้นผมเล่นเอง” จริง ๆ แล้วผมก็รู้ว่าร่างกายของตัวเองมันยังไม่ได้หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมเองก็หนักใจเหมือนกัน แต่ที่พูดออกไปอย่างนั้นก็เพราะมันคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในเวลานั้น เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วที่จะทำให้งานสามารถเดินต่อไปได้โดยที่ทีมงานคนอื่น ๆ ไม่ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย

     “ไม่ได้นะหนึ่ง หนึ่งยังไม่หายดี” ฟรองค์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบคัดค้านขึ้นมาอย่างทันควัน

     “นายฟรองค์พูดถูกยังไงผมก็ไม่ให้คุณเล่น เจ้าเด็กนี่นั่นแหละที่จะต้องถ่ายต่อให้จบ” คุณรามว่าสนับสนุนฟรองค์ และยังดึงดันที่จะให้ป้องถ่ายต่อ แต่ให้ทำอย่างไรล่ะในเมื่อเด็กนี่อยู่ในสภาพแบบนี้จะไปถ่ายต่อได้อย่างไร




     “คุณราม ของที่สั่งได้แล้วครับ” เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ ก็มีทีมงานอีกคนที่เพิ่งจะวิ่งมาจากข้างนอกพร้อมกับขวดน้ำเปล่าที่เขาถืออยู่ในมือ เขายื่นน้ำขวดนั้นให้กับคุณราม น้ำเปล่าธรรมดานั่นน่ะหรือคือสิ่งที่บอกว่าเป็นของที่คุณรามสั่งมา ผมชักจะเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เสียแล้วสิ น้ำนั่นจะใช่น้ำเปล่าธรรมดาจริง ๆ หรือ

     “ดื่มซะ จะได้รีบ ๆ มาถ่ายต่อให้เสร็จ” คุณรามว่าพร้อมกับยัดน้ำขวดนั้นใส่มือป้อง

     “นั่นน้ำอะไร” ผมมองหน้าคุณรามอย่างจับผิด และถามเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ ขึ้นชื่อว่าของที่คุณรามสั่งมามันไม่น่าจะใช่ของดีแน่ ๆ

     “น้ำผสมยาปลุกเซ็กส์” คุณรามตอบผมตามตรง อย่างไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร แต่ผมนั้นถึงกับตาเบิกโพลงนี่เขาเล่นอย่างนี้เลยหรือ

     “คุณจะบ้าเหรอ น้องมันไม่พร้อมก็คือไม่พร้อม จะเอายาปลุกเซ็กส์มาให้มันกินได้ยังไง” ผมโวยวายขึ้นมาในทันที จริงอยู่ว่าก็มีนักแสดงหลายคนที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ร่วมขณะแสดงจึงต้องใช้ยาช่วย แต่นั่นก็ไม่ใช่กับคนที่ยังไม่พร้อมที่จะแสดงหนังแบบเด็กนี่ อย่างไรเสียผมก็ว่ามันไม่สมควร

     “มะ ไม่เป็นไรครับพี่หนึ่ง ผมไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปมากกว่านี้แล้ว” น้ำเสียงที่ยังคงสะอื้นว่าท้วงผมขึ้น

     ผมหันมองป้องที่เพิ่งจะละออกจากไหล่ของผมนี้ ตอนนี้ป้องดูอารมณ์เริ่มเย็นลงแล้ว แต่ก็ยังคงมีคงมีอาการสะอื้นอยู่ ดวงตาแดงก่ำที่น้ำตายังไม่หยุดไหลในแววตายังคงเต็มไปด้วยความวิตก เด็กนั่นไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เขาจัดการเปิดฝาขวดและกระดกน้ำในขวดนั้นเข้าปากไปเสียจนเกือบหมดในคราวเดียว จนผมเองก็ยังตกใจ

     “ป้อง”

     “ดี ทีมงานเตรียมพร้อมอีกสักพักเราจะเริ่มถ่ายกันต่อ” คุณรามแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ คนอย่างเขานี่ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์จริง ๆ

     ผมได้แต่มองป้องอย่างอดห่วงไม่ได้ เฮ้อ แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วผมก็คงไม่คัดค้านอะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ยังพอมีข้อดีอยู่เหมือนกันที่พระเอกคนแรกของป้องคือฟรองค์ เพราะเพื่อนนักแสดงและทีมงานทุกคนต่างรู้กันดีว่าฟรองค์เป็นพระเอกที่ไม่เคยฉวยโอกาสเล่นเกินบท และเขาก็ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานของเขาทุกคนเสมอ

     ยังไงก็ขอให้โชคดีก็แล้วกันนะป้อง





     TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2018 20:56:53 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอพาร์ทสองอย่างใจจดใจจ่อ

ออฟไลน์ naplatoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
สงสารฟรองค์ ไม่อยากให้คนดีๆเป็นได้แค่พระรองไปอีกเรื่อง ฮืออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารฟรองค์ ไม่อยากให้คนดีๆเป็นได้แค่พระรองไปอีกเรื่อง ฮืออ

เห็นด้วยค่ะ

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
เชียร์ฟรองค์อีกคน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อีคุณราม นี่มันเลวชั่วจริง ๆ

เห็นแก่ได้ ไร้มนุษยธรรม  ไม่สนหมีสนแดดอะไรเลย

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
สงสารน้องป้อง หรือฟร้องค์จะคู่น้องป้อง
อีคุณรามเลวจริง

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
รามทำไมทำแบบนี้ยยยยยย เขาสงสารน้องงงงงง  ง่าาาา

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ temaripik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยกป้ายไฟทีมฟร้องงงงงงง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณรามเลวได้ใจจริงๆ

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
ตอนที่ 7 ผู้ชายขี้อาย



     ตั้งแต่ที่บาดเจ็บมาผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสออกมาหาอะไรทานนอกบ้านอย่างนี้เลย ตอนที่ยังไม่หายนั้นจะได้ออกจากบ้านแต่ละทีก็เพราะมีเรื่องตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมนั้นมันได้หายดีเป็นปกติแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสออกมาหาอะไรอร่อย ๆ ทานนอกบ้านในวันที่ผมสุดแสนจะว่างแสนว่างเช่นวันนี้

     ส่วนเรื่องเด็กป้องน่ะหรือ ตอนนี้ผมกับเด็กนั่นสนิทกันมากขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นมาผมกับเด็กนั่นมีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น ป้องเองก็ถือว่าเป็นน้องที่นิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อได้ทำความรู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ ทำให้ผมได้รู้ว่าป้องเป็นคนที่ชีวิตน่าสงสารมากเลยนะ  จากที่ป้องเล่าให้ผมฟัง ที่ป้องต้องยอมมีอะไรกับพ่อเลี้ยงจนกลายเป็นที่มาของคลิปหลุดนั้น  เพราะพี่สาวของป้องกับพ่อเลี้ยงนั้นแอบลักลอบมีความสัมพันธ์ลับกันแล้วไอ้พ่อเลี้ยงสารเลวคนนั้นก็แอบถ่ายคลิปตอนที่กำลังมีอะไรกับพี่สาวของป้องเอาไว้

     และมันก็ใช้คลิปนั้นเพื่อข่มขู่ป้อง หากว่าป้องไม่ยอมมีอะไรกับมัน มันขู่ว่าจะเอาคลิปของพี่สาวป้องนั้นไปให้แม่ของป้องที่กำลังป่วยกระเสาะกระแสะได้ดู พร้อมทั้งจะเอาคลิปไปโพสลงโซเชียลเน็ตเวิร์คให้ทั่ว ป้องรักพี่สาวและแม่มากและด้วยวุฒิภาวะของป้องในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เข็มแข็งและเด็ดเดียวมากพอ เด็กนั่นกลัวพี่สาวจะต้องอับอายผู้คน และกลัวอาการป่วยของแม่จะยิ่งทรุดหนักหากได้เห็นคลิปนั้น เขาจึงจำใจยอมให้ในสิ่งที่มันต้องการ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองก็ได้ถูกไอ้สารเลวคนนั้นแอบถ่ายคลิปเอาไว้เหมือนกัน

     และสุดท้ายในวันที่พ่อเลี้ยงสวะตัวนั้นทิ้งแม่ของป้องไปคลิปวีดีโอลับเหล่านั้นก็ถูกปล่อยออกมาทั้งของป้องและพี่สาว และสิ่งที่ป้องกลัวที่สุดมันก็ได้กลายเป็นจริง เมื่อแม่ของป้องได้เห็นคลิปที่ลูกทั้งสองมีอะไรกับอดีตสามีของตัวเองอาการป่วยของท่านก็ทรุดหนักลงไปจริง ๆ

     ป้องต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวเพื่อเลี้ยงดูแม่ที่ป่วยหนักและพี่สาวที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เงินที่ได้จากการทำงานพาร์ทไทม์แค่เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านแต่ละวันยังแทบจะไม่พอแล้วยังต้องปันไปเป็นค่ารักษาพยายบาลแม่อีก สุดท้ายป้องจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการหนังผู้ใหญ่ เพราะเคยได้ยินมาว่าได้เงินดี และป้องก็คิดว่าตัวเองก็ไม่เหลืออะไรที่จะเสียหรือจะต้องอายอีกแล้ว เพราะอย่างไรเสียคนก็ได้เห็นคลิปลับของเขาไปแล้ว

     ในวันนั้นผมยังคงนั่งรออยู่ที่หน้าสตูดิโอจนมีทีมงานออกมาบอกว่าถ่ายทำเสร็จแล้ว ตามกฎของค่ายในขณะที่กำลังถ่ายทำนั้นนอกจากนักแสดงก็จะมีแค่ทีมที่เกี่ยวข้องจริง ๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างในได้ แม้คุณรามจะไม่ได้ว่าอะไรถ้าหากผมจะอยู่ข้างในด้วย แต่ผมขอเลือกที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบดีกว่า และทางฟรองค์เอง เขาก็ไม่อยากให้ผมเห็นตอนที่เขามีอะไรกับคนอื่นด้วย

     หลังจากที่ถ่ายทำจนเสร็จเด็กนั่นก็ดูมีอาการอิดโรยและซึมหนักจนน่าเวทนา ฟรองค์เองก็ดูลำบากใจ ผมก็เข้าใจเพราะที่ฟรองค์ทำก็เพราะเป็นงานและป้องก็ยินยอมที่จะแสดงเอง ป้องบอกผมว่าที่ยอมรับงานนั้นในตอนแรกเพราะคิดว่าตัวเองจะทำใจได้และอยากจะได้เงินไปจุนเจือครอบครัวเร็ว ๆ แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อเริ่มถ่ายทำจริง ๆ ภาพบาดแผลในอดีตมันก็เข้ามาตอกย้ำจนเขาถึงกับสติแตกไปในคราวแรก ขนาดเด็กนั่นสภาพน่าสงสารออกขนาดนั้นคุณรามก็ยังจะกล้าหาว่าเด็กนั่นสำออยได้ลงคอ ผมล่ะเชื่อเขาเลยจริง ๆ อยากรู้นักว่าจิตใจเขานั้นมันทำด้วยอะไร




☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะไม่รู้ว่าหนังที่ฟรองค์และป้องแสดงนั้นได้วางขายไปหรือยัง เพราะผมเองก็ไม่ได้ตามข่าว วันนี้ผมออกมาทานผัดไทยกุ้งสดที่ร้านตรงหน้าปากซอยบ้าน เพราะเจ้าสองเคยซื้อไปให้ทานที่บ้านแล้วรสชาตินั้นอร่อยถูกปากผมมาก วันนี้ผมก็เลยออกมาทานเองถึงร้าน

     “ป้าครับ เอาผัดไทยสามที่นะครับ ทานที่นี่หนึ่งที่ อีกสองขอห่อกลับบ้านครับ อ่อ ห่อหนึ่งไม่ใส่ถั่วงอกนะครับ” ผมไม่ลืมที่จะสั่งกลับบ้านไปฝากแม่และเจ้าสอง ห่อที่ว่าไม่ใส่ถั่วงอกนั้นน่ะสำหรับเจ้าสองโดยเฉพาะ เพราะเจ้าเด็กนี่เกลียดถั่วงอกและผักอีกหลายชนิดมาแต่ไหนแต่ไร ต่างจากผมที่ชอบทานผักทุกชนิด

     ส่วนผมขอเลือกที่จะทานอยู่ที่ร้านเลย เพราะอยากจะลิ้มรสตอนที่เพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ จากเตา มันคงจะอร่อยกว่าใส่ห่อไปทานที่บ้านเป็นไหน ๆ เพราะกว่าผมจะเดินกลับไปถึงบ้านมันก็คงจะเย็นหมดแล้วและรสชาติก็คงจางลงพอดี และตอนนี้แม่กับเจ้าสองก็ออกไปตลาดกันถ้าให้ผมหิ้วกลับไปทานที่บ้านคนเดียวก็คงเหงาแย่

     “จ้า นั่งรอก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวป้าทำให้” คุณป้าคนขายนั้นแม้จะยังง่วนอยู่กับการทำผัดไทยให้ลูกค้าคนก่อนหน้า แต่เธอก็ยังไม่ลืมที่จะหันมายิ้มรับออเดอร์จากผม เพราะอาหารอร่อยและคนขายอัธยาศัยดีนี่เองถึงได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างนี้

     ผมกวาดสายตามองไปด้านในร้านที่ไม่ค่อยจะมีโต๊ะว่างเหลือสักเท่าไหร่ เพื่อหาที่นั่งในทำเลที่ถูกใจที่ยังพอจะเหลือว่างอยู่  จนสายตาของผมไปสะดุดที่โต๊ะ ๆ หนึ่ง มันไม่ใช่โต๊ะที่ว่างหรอกนะ มีผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างใจจดใจจ่อนั่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว ผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

     “ขอนั่งด้วยคนนะครับ” ผมเดินตรงเข้าไปลากเก้าอี้และนั่งลงตรงหน้าผู้ชายคนนั้นที่โต๊ะเดียวกันนั่นแหละ

     “เชิญครับ” เขาตอบรับผมโดยที่สองตายังคงเอาแต่เพ่งมองหนังสือการ์ตูนในมือ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้นะว่าผมเป็นใคร

     “เอาแต่โทรมาบอกว่าเป็นห่วง แต่ไม่เคยคิดจะมาเยี่ยมกันบ้างเลย  ใจร้ายจัง” ผมแกล้งทำพูดกระเซ้าอย่างทีเล่นทีจริงเพื่อให้คนตรงหน้านี้รู้ตัวสักที

     และก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วจริง ๆ เมื่อผมทักออกไปแบบนั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมที่อยู่ตรงหน้าของเขา

     “คุณหนึ่ง!” ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจอะไรขนาดนั้น แค่เห็นว่าผมอยู่ตรงหน้าเขาก็ถึงกับหน้าเหวอและอุทานออกมาเป็นชื่อผมเสียงดังลั่น หนังสือการ์ตูนในมือนั้นก็เป็นอันหลุดร่วงลงพื้น คุณโชนก็ยังคงเป็นคุณโชนจริง ๆ เลย

     ผมได้แต่เอานิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ปากและส่งเสียงชู่วว์เพื่อเตือนให้เขาลดเสียงลงหน่อย เพราะเสียงที่ดังสนั่นของเขาเมื่อครู่นี้นั้นทำเอาคนอื่น ๆ ในร้านเป็นอันต้องหันมามองที่พวกเราเป็นตาเดียว

     “ขะ คุณหนึ่ง หะ หายดีแล้วเหรอครับ” เขาถามผมอย่างตะกุกตะกัก เมื่อไหร่อาการตื่นเต้นของเขาเวลาคุยกับผมนี่จะหายสักทีนะ

     “หายดีแล้วครับ ผมก็เพิ่งจะบอกคุณไปทางโทรศัพท์เมื่อคืนเองนี่ ว่าแต่คุณเถอะผ่านมาแถวบ้านผมทั้งทีไม่คิดจะเข้าไปทักทายกันเลยหรือไง” ผมก็พูดเย้าเขาเล่นไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก เขาจะมาเยี่ยมผมหรือไม่มามันก็คือสิทธิ์ของเขา ผมก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขามากมายสักหน่อย

     “เอ่อ คือว่า.... เอ่อ ผะผัดไทยน่าทานจังเลยนะครับ” คุณโชนเขาทำเหมือนจะหลบสายตาผม ผมยังไม่ทันจะได้ฟังว่าเขาจะตอบผมว่าอะไร คุณป้าเจ้าของร้านก็ยกจานผัดไทยมาเสิร์ฟตรงหน้าพวกเราเสียก่อน เขาก็เลยได้โอกาสทำทีเบี่ยงเบนประเด็นและความสนใจของผมไปที่ผัดไทยในจานตรงหน้านั้นแทน อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทันนะ

     “แหม พ่อหนุ่มมาทานทุกวันอยู่แล้วจะทำเป็นตื่นเต้นอะไรจ๊ะ” ผมถึงกับเลิกคิ้วไปกับคำที่คุณป้าเขาพูดกระเซ้าคุณโชน พลางมองเขาอย่างนึกสงสัยนี่เขามาแถวบ้านผมทุกวันเลยอย่างนั้นหรือ

     คุณป้ากลับไปประจำอยู่ที่เตาแล้วหลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จ ปล่อยให้คุณโชนนั่งหน้าเหวอและอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น

     “นี่คุณมาทำอะไรแถวบ้านผมทุกวัน”

     “เอ่อ คือว่า.....” เขาก้มหน้าก้มตาดูเหมือนกับว่าจะไม่กล้ามองหน้าผม สองมือของเขาถูกยกขึ้นมาถูกันไปมาเสมือนกับว่าทำเพื่อแก้เก้อไปอย่างนั้น อะไรของเขากันนะ ผ่านมาแถวบ้านผมทุกวันแต่ไม่คิดจะเข้าไปดูดำดูดีผมเลยหรือไง โกรธดีไหมนี่

     “คือว่า ผมอยากจะมาหาคุณหนึ่งที่บ้าน แต่ผมก็รวบรวมความกล้าได้ไม่ถึงสักที กลัวว่าจะทำให้คุณหนึ่งรำคาญหรือลำบากใจ เลยได้แค่มองหลังคาบ้านคุณหนึ่งแล้วก็กลับ”

     “คุณ.....” ผมรู้สึกหวิว ๆ ไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น นี่เขาแอบมามองหลังคาบ้านผมทุกวันเลยหรือนี่ โถ พ่อเด็กน้อย ตอนนี้เขาทำหน้าหงอเสียจนดูน่าสงสารเชียว

     “ถ้าครั้งต่อไปคุณอยากมาหาผม คุณก็มาได้เลยนะ ไม่ต้องใช้ความกล้าอะไรทั้งนั้น เพราะผมอยากให้คุณมา” ผมว่าพลางอมยิ้มให้กับคุณโชน ผมไม่ได้กำลังอ่อยเขาอยู่หรอกนะ ผมก็แค่พูดไปตามที่ใจคิด ก็เวลาที่มีคนเป็นห่วงเรา อยากจะมาเยี่ยมเรา เราก็ต้องดีใจและอยากให้เขามาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่

     คุณโชนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยท่าทีที่ดูกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนที่เขาจะอมยิ้มที่แฝงไปด้วยความเหนียมอายจนเห็นได้ชัดให้กับผม เฮ้อ ก็อย่างที่ผมว่า คุณโชนก็คือคุณโชน แต่ว่าคุณโชนที่เป็นคุณโชนแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ก็นี่แหละเสน่ห์ของเขาล่ะ

     “เอ่อ คุณหนึ่งครับ” ผมเหลือบตามองเขาแทนประโยคคำถาม เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ทักขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะตักผัดไทยใส่ปาก

     “พอดีผมมีตั๋วละครเวทีอยู่สองใบ มะรืนคุณหนึ่งพอจะว่างไปดูละครกับผมไหมครับ” เขาดูเหมือนจะต้องรวบรวมความกล้าอยู่มากกว่าจะกล้าเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมา แต่เอาอีกแล้ว เขาก้มหน้าหลบสายตาผมอีกแล้ว แล้วผมนี่ก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงยิ้มไปกับท่าทางแบบนั้นของเขาได้ทุกที

     “นี่คุณกำลังจะชวนผมไปเดทเหรอ” เห็นเขาดูเหมือนกำลังเขินมากผมก็เลยนึกอยากแกล้งเล่นสักหน่อย ผมก็พูดกระเซ้าเขาเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาก็คงแค่มีบัตรละครเวทีแต่ไม่มีเพื่อนไปดูก็เลยมาชวนผมเท่านั้นเอง

     “เอ่อ คือว่า............. ถ้าคุณหนึ่งไม่ว่าอะไร................. ปะไป.....เดทกับผมได้ไหมครับ” ประโยคที่เขาพูดเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้พูดแบบติด ๆ กันหรอกนะ เขาพูดไปพลางเว้นวรรคยาว ๆ เหมือนหยุดคิด พลางแอบชำเลืองตามองผมเหมือนหยั่งเชิง ราวกับว่าใจหนึ่งก็อยากจะชวน แต่อีกใจก็ยังไม่ค่อยกล้า แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะรับมุกผมอย่างนี้เลยนะ

     ยิ่งเห็นท่าทีของเขาเป็นแบบนั้นก็ผมยิ่งนึกสนุก ถ้าอย่างนั้นก็ขอแกล้งอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะ

     “แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ไปล่ะ” ผมตอบเขาพลางแสร้งทำหน้าจริงจัง

     โถ แค่ผมตอบกลับไปแบบนั้นคุณโชนก็หน้าเศร้าไปในทันที แค่ผมไม่ไปดูละครด้วยมันทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นเชียวหรือ เล่นเสียผมรู้สึกผิดไปเลย ไม่แกล้งแล้วก็ได้

     “เอาเป็นว่ามะรืนนี้คุณมารับผมที่บ้านก็แล้วกัน”

     “จริง ๆ นะครับ!!” คุณโชนเงยหน้าขวับขึ้นมาในทันที เมื่อผมพยักหน้ายืนยันในคำตอบตาของเขาก็ดูเป็นประกาย และฉีกยิ้มร่าอย่างมีความสุขมากมาย ผมว่าเขาชักจะเล่นใหญ่เกินไปแล้ว ก็แค่ผมจะไปดูละครเวทีด้วยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นสักหน่อย

     “ขอบคุณนะครับคุณหนึ่ง!!”


__________________________________

[มีต่อในรีพลายถัดไปครับ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 16:10:54 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

ออฟไลน์ ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-8
[ต่อ]


☼​☼​☼​☼​☼​☼​​





     ผมยืนบิดไปบิดมาอยู่หน้ากระจกเช็คความเรียบร้อยบนร่างกายอยู่นานสองนาน หลังจากที่ลองเสื้อแล้วเปลี่ยนไปถึงหกตัวกว่าจะเลือกเสื้อที่ถูกใจได้ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นบ้าอะไรเหมือนกัน แค่จะไปดูละครเวทีทำไมจะต้องตื่นเต้นอะไรขนาดนี้ด้วยนะ

     ผมละสายตาจากเงาของตัวเองในกระจกเพื่อหันมองตามเสียงแง้มประตูที่ใครบางคนแอบเปิดเข้ามาจากด้านนอก ที่แท้ก็เป็นเจ้าสองที่กำลังยืนพิงขอบประตูมองมาที่ผมด้วยสีหน้าเหมือนกำลังแอบหัวเราะทำเอาผมถึงกับสูญเสียความมั่นใจไปมาก นี่ผมแต่งตัวดูตลกอย่างนั้นหรือ และจะว่าเจ้าน้องตัวแสบไม่มีมารยาทที่ไม่เคาะประตูก็ไม่ได้ด้วย เพราะนี่ก็เป็นห้องเจ้าสองเหมือนกัน

     “มีอะไร” ผมแสร้งทำหงุดหงิดกลบเกลื่อน และพยายามเบี่ยงตัวหลบสายตาเจ้าเล่ห์ของเจ้าน้องตัวแสบ

     “พี่โชนเขามารออยู่ข้างล่างน่ะ” ผมพยักหน้ารับคำเจ้าสอง แต่ก็ยังแอบคิดในใจว่าทำไมคุณโชนถึงได้มาไวอย่างนี้นะ ผมยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจกับการแต่งตัวของตัวเองตอนนี้เลย ก็เป็นเพราะเจ้าสองนั่นแหละ

     “พี่ชายสองนี่เสน่ห์แรงจริงนะ ทั้งพี่ฟรองค์ พี่โชน ไหนจะไอ้คุณรามอีก คนมาจีบเยอะขนาดนี้เลือกได้หรือยัง ว่าจะรับรักจากใคร แต่บอกก่อนนะพี่ฟรองค์กับพี่โชนน่ะสองโอเค แต่ห้ามเลือกไอ้คุณรามเด็ดขาดสองเกลียดมัน” เจ้าสองดูท่าทางอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อเจ้าตัวพูดถึงคุณราม เจ้าสองดูเกลียดคุณรามเข้าไส้แม้จะยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณรามจริง ๆ จัง ๆ เหมือนที่ได้ทำความรู้จักกับฟรองค์และคุณโชนเลยสักครั้ง

     สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็มาจากวันที่คุณสร้อยเธอมาอาละวาดที่หน้าบ้านผมนั่นแหละ ทีแรกผมก็ตั้งใจที่จะไม่บอกแม่และเจ้าสองเพราะไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วงและไม่อยากโกหกก็เลยเลือกที่จะไม่ให้พวกเขารู้เลยดีกว่า แต่คุณป้าข้างบ้านน่ะสิกลับเอาเรื่องนั้นมาเล่าให้แม่ผมฟัง เมื่อถูกแม่และน้องซักถามผมก็จำต้องเล่าความจริงทุกอย่างให้พวกเขาฟังอย่างละเอียดเพราะผมไม่อยากโกหกคนในครอบครัว ทั้งเรื่องคุณสร้อย และเรื่องที่คุณรามพยายามที่จะเอาผมไปเป็นของเขาให้ได้

     ตอนแรกที่รู้เรื่องเจ้าสองที่กำลังอารมณ์เดือดแทบจะบุกไปเอาเรื่องทั้งคุณสร้อยและคุณรามเสียเดี๋ยวนั้น ผมต้องพยายามปรามน้องชายสุดกำลังกว่าเจ้าสองจะอารมณ์เย็นลงได้ เพราะผมไม่อยากจะให้เป็นเรื่องใหญ่และอิทธิพลของคุณรามก็มีไม่ใช่น้อย ผมไม่อยากให้เจ้าสองไปมีเรื่องหรือไปยุ่งเกี่ยวกับคนพันธุ์นั้น



     เจ้าสองเริ่มมองผมด้วยแววตาแปลก ๆ ราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ก่อนที่เจ้าน้องตัวแสบจะเดินตรงเข้ามาหาผม เจ้าสองยื่นจมูกเข้ามาใกล้ ๆ ตัวผมและทำท่าสูดดมอย่างกับสุนัขตำรวจ นี่เจ้าสองกำลังทำบ้าอะไรอยู่นะ

     “แค่มีนัดกับพี่โชนนี่ถึงกับต้องฉีดน้ำหอมฟุ้งขนาดนี้เลยเหรอ แล้วยังจะเซ็ตผมเสียหล่อเชียว”  เจ้าสองว่าพลางยื่นนิ้วมาจิ้มตรงกลุ่มเส้นผมแถวหน้าของผมที่ถูกเซ็ตให้เข้ารูปด้วยเจล ผมได้แต่เหลือบมองนิ้วมือของเจ้าน้องตัวแสบอย่างเคือง ๆ กว่าจะได้แบบนี้มันไม่ได้เซ็ตกันได้ง่าย ๆ นะ

     “สองว่า สองคงไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะมั้งว่าใครจะมาเป็นพี่เขยสอง” เจ้าสองยิ้มทะเล้นเมื่อหันไปเห็นกองเสื้อผ้าที่ผมเพิ่งจะลองและถอดทิ้งไปโยนกองไว้บนเตียง ก่อนที่เจ้าน้องตัวแสบจะว่าประโยคที่ทำเอาผมถึงกับรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อครู่

     “พี่ขงพี่เขยบ้าบออะไรกัน เพื่อนกันทั้งนั้น” ผมรีบแก้ตัว เอ้ย ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าแก้ต่างถึงจะถูก ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างทันควัน ก็จริงนี่ตอนนี้ไม่ว่าฟรองค์หรือคุณโชนก็เป็นแค่เพื่อนของผมทั้งนั้น ยิ่งคุณรามยิ่งห่างไกล เจ้าสองเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว

     “ถ้าแค่เพื่อนแล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” เจ้าสองว่าทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จนผมเผลอยกมือขึ้นมาจับแก้มทั้งสองข้างตามคำที่เจ้าสองท้วงให้ ผมว่าผมก็ไม่ได้หน้าแดงสักหน่อย เจ้าสองแกล้งผมอีกแล้วแน่ ๆ เลย

     “เลิกแกล้งพี่ได้แล้วน่า ไป ๆ ลงไปบอกให้คุณโชนรออีกเดี๋ยว พี่กำลังจะรีบตามลงไป” ผมว่าพลางพยายามดันหลังเจ้าน้องร่างสูงใหญ่ให้ออกไปจนพ้นประตูห้อง ขนาดปิดประตูใส่แล้วก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่หน้าประตู ฮึ่ย เจ้าน้องบ้านี่ อยู่ ๆ ก็มาทำให้ผมหัวเสียได้




☼​☼​☼​☼​☼​☼​




     ฝากให้เจ้าสองไปบอกว่าให้รอแค่อีกเดี๋ยว แต่เอาเข้าใจจริงผมกลับปล่อยให้คุณโชนต้องรออยู่พักใหญ่ เพราะผมมัวแต่ใช้เวลาอยู่กับการจัดการสภาพตัวเองใหม่ทั้งหมด ทั้งอาบน้ำและสระผมใหม่เพื่อล้างคราบเจลปล่อยให้เส้นผมด้านหน้าลงมาปิดหน้าผากตามเดิมและเพื่อเจือจางกลิ่นน้ำหอมให้ได้มากที่สุด เสื้อเชิ้ตโก้ ๆ หรือเสือแจ็คเก็ตเท่ ๆ ก็เป็นอันต้องโละทิ้งทั้งหมดเปลี่ยนมาใส่แค่เสื้อยืดแขนยาวสีเทาที่ไร้ลวดลายกับกางยีนส์ปอน ๆ ก็เพราะเจ้าสองนั่นแหละที่มาทำให้ผมเสียความมั่นใจกับลุคเมื่อสักครู่

     และอีกอย่างตอนที่ผมจะต้องไปไหนมาไหนกับฟรองค์ผมก็ไม่ได้แต่งตัวอะไรมากไปกว่านี้ ก็ผมเป็นคนพูดเองนี่ว่าทั้งฟรองค์และคุณโชนป็นแค่เพื่อนเหมือนกันไม่มีใครพิเศษไปกว่ากัน เพราะอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นจะต้องปฏิบัติตัวกับคุณโชนพิเศษไปกว่าที่ปฏิบัติกับฟรองค์เลยนี่

     “คุณโชนครับ ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอนาน” ผมทักทายคุณโชนที่กำลังคุยกับเจ้าสองอย่างดูสนุกสนานในห้องรับแขก พร้อมทั้งกล่าวขอโทษเขาไปด้วย ก็ผมเล่นปล่อยให้เขารออยู่ตั้งหลายนาที ว่าแต่เจ้าสองนี่ดูจะเข้าได้ดีกับทั้งฟรองค์และคุณโชนเลยนะ

     ทำเอาผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก เมื่อคุณโชนหันมาตามเสียงเรียกของผม แล้วเขาก็หยุดมองผมเสียตาเยิ้มอย่างกับในละครที่พระเอกมองนางเอกแล้วเคลิ้มอยู่ในภวังค์ อย่ามามองผมอย่างนั้นนะวันนี้ผมแต่งตัวปอน ๆ ไม่ได้มีอะไรน่ามองไปกว่าปกติสักหน่อย

    แต่ว่าการแต่งตัวของคุณโชนนี่สิ เขากลับแต่งมาเสียเท่เชียว ทั้งแจ็คเก็ตหนังที่ดูน่าจะราคาไม่น้อย ไหนจะเซ็ตผมเสริมความหล่อ แล้วยังฉีดน้ำหอมคลุ้งเสียจนกลิ่นหอม ๆ นั้นลอยมาเตะจมูกผมถึงตรงนี้ เห็นแล้วทำเอาผมแทบอยากจะกลับขึ้นไปเปลี่ยนชุดอีกรอบเสียเดี๋ยวนั้นเลย

     “อ้าว พี่หนึ่งทำไมถึงได้เปลี่ยนชะ…..” เป็นเจ้าสองที่กำลังจะท้วงผมเรื่องเปลี่ยนชุด แต่เพราะผมหันไปทำหน้าดุใส่เสียก่อน เจ้าน้องตัวแสบเลยชะงักไป แต่ก็ยังแอบเหล่มองผมด้วยแววตาที่สุดแสนจะเจ้าเล่ห์

     แต่ก็เพราะเสียงของเจ้าสองที่ทำให้คุณโชนถึงกับสะดุ้ง และดูเหมือนเขากำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนที่เขาลุกจะเดินตรงมาหาผม หลังจากที่เมื่อครู่นี้เขาเหม่ออะไรของเขาก็ไม่รู้

     “วันนี้คุณหนึ่ง น่ะ...น่ารักจังเลยนะครับ” มาถึงบ้านผมขนาดนี้แล้วไม่รู้ว่าเขายังจะสั่นอะไรอีกนะ แล้วยังจะมายกยอผมแบบนั้นอีก ทั้งที่วันนี้ผมก็ไม่ได้ต่างไปจากวันอื่น ๆ สักหน่อย แต่ถ้าเปลี่ยนคำชมจากน่ารักเป็นหล่อได้ก็จะขอบคุณมาก

     “น่ารักอะไรกัน วันนี้ผมก็ไม่ได้ต่างไปจากวันอื่น”

     “ก็คุณหนึ่งน่ารักทุกวันไงครับ” คุณโชนหยอดคำหวานที่ทำเอาผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าว คำหวานที่ตัวคนพูดเองยังดูขัดเขินและดูอายที่จะสบตาผม จนเผลอแป๊บเดียวเขาก็ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผมไปอีกแล้ว แต่เอาเถอะเพราะอย่างไรเสียเขาก็ดูกล้าขึ้นมากแล้วที่พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้

     ผมหันไปทำหน้าดุใส่เจ้าน้องตัวแสบที่ส่งเสียงโห่ฮิ้วตามคำหวานของคุณโชนมาติด ๆ เจ้าสองชะงักและทำท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ ถึงจะทำดุใส่แต่จริง ๆ แล้วผมก็แอบดีใจนะที่เจ้าสองเป็นแบบนี้ได้ เพราะเมื่อสมัยก่อนเจ้าสองก็ชอบแกล้งเย้าแหย่กวนประสาทผมอย่างนี้เป็นประจำ เจ้าสองกลับมาเป็นแบบนี้ได้มันก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกชื่นใจว่าอะไร ๆ มันได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจริง ๆ

     “เอ่อ เรารีบไปกันเถอะครับคุณโชนนี่ก็หกโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวจะดูละครไม่ทัน” ผมรีบตัดบทด้วยการรบเร้าให้คุณโชนพาผมออกไปเร็ว ๆ ก่อนที่เจ้าน้องตัวแสบจะกวนประสาทผมหนักไปกว่านี้

     คุณโชนและเจ้าสองโบกมือร่ำลากันอย่างดูสนิทสนม ทีกับผมนะมองหน้าทีก็หลบสายตาที ก่อนจะออกจากบ้านไปผมหันไปทำหน้าดุใส่เจ้าสองที่ยังไม่เลิกยิ้มกรุ้มกริ่มอีกรอบ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าน้องตัวแสบจะไม่ได้สลดเลยสักนิด มันจะรู้บ้างไหมว่ามันทำให้พี่มันเสียความมั่นใจขนาดไหน




☼​☼​☼​☼​☼​☼​





     ระหว่างทางที่นั่งรถมาด้วยกันผมชวนคุณโชนพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระจนเขาดูผ่อนคลายลงมาก แต่เมื่อมาถึงโรงละครกับเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจและมีความกังวลเข้ามาเยือน ใช่ว่าจะไม่เคยอยู่กับคุณโชนสองคนในที่สาธารณะ แต่ครั้งก่อน ๆ มันก็แค่บังเอิญเจอกัน แต่คราวนี้เรามาด้วยกันอย่างโจ้งแจ้ง ผมรู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าคุณโชนจะถูกคนอื่นมองอย่างไรกับการที่มาดูละครเวทีกับดาราหนังโป๊อย่างผม

     “ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ”  คุณโชนทักขึ้นเมื่อเห็นผมยื่นชะงักนิ่งอยู่ตรงประตูทางเข้าไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปด้านในสักที เห็นผู้คนมากมายขวักไขว่อยู่ด้านในผมก็ยิ่งรู้สึกประหม่า จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักผมหรือจำผมได้ แต่คนที่จำได้ก็มีไม่น้อยเหมือนกันนี่

     “คุณไม่อายเหรอที่จะเข้าไปพร้อมผม” ผมถามเขาตามตรงด้วยความรู้สึกที่ยังอดกังวลไม่ได้

     ไม่มีคำพูดใด ๆ เป็นประโยคคำตอบกลับมาจากปากคุณโชน เขาเพียงแค่ยิ้มให้ผมก่อนจะสอดมือของเขาเข้ามาสอดประสานจับกันกับมือของผม และจูงมือผมเข้าไปด้านในอย่างไม่แคร์สายตาใคร ในตอนนี้คุณโชนแทบจะไม่เหลือคราบหนุ่มน้อยขี้อายในแบบคุณโชนที่เป็นคุณโชนเลย ตอนนี้เขาดูเป็นคุณโชนที่เท่และอบอุ่นมาก ปกติแล้วในทุก ๆ ครั้งจะต้องเป็นเขาที่เป็นฝ่ายสั่นไปทั้งตัวเมื่อเราอยู่ใกล้กัน แต่คราวนี้กลับเป็นผมเองที่มือไม้สั่นไปหมดแล้ว

     ผมเผลออมยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อก้มมองมือของเราสองคนที่จับกันอยู่ การกระทำของเขามันให้คำตอบผมได้ดีกว่าคำพูดใด ๆ เสียอีก


     ขอบคุณนะครับคุณโชนที่ไม่รังเกียจคนอย่างผม









     TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 17:13:07 โดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด