บทที่ 24
สภาพของมันยังคงคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ภาพเก่า ๆ ที่ผมโดนกระทำเริ่มเข้ามาในหัวสมอง ทำไมผมต้องแยกรินกับรันด้วย ก็ในเมื่อเราทั้งสองนั้นเป็นคนเดียวกัน
รันคือริน
รินก็คือรัน
รินก็แค่เจ็บปวดเกินไปจนต้องสร้างผม และผมเองก็ต้องทำหน้าที่รับความเจ็บปวดพวกนั้นเอาไว้คนเดียวเพื่อให้รินมีชีวิตรอด ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วก็ในเมื่อรินและรันต่างก็ได้รับความเจ็บปวดพอ ๆ กัน ดังนั้นตอนนี้เราสองคนก็กลายเป็นคนเดียวกันโดยสมบูรณ์แล้ว
“เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ”
ไม่ต้องมีใครที่ต้องรับความเจ็บปวดเพียงคนเดียวอีกต่อไป
ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในทางเดินบ้านหลังนั้นด้วยเส้นทางอีกเส้นทาง ผมเพิ่งรู้ว่าเรากลัวขนาดไหนในยามที่รู้ว่าภัยอันตรายกำลังจะอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่สิ ความกลัวที่เราต้องฆ่าต่างหาก ถ้าจะบอกว่าผมนั้นเก่งใช่ไหมถึงกล้ามาที่นี่คนเดียว ผมก็ตอบได้เลยว่าไม่ ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบเท่านั้นเอง
บ้านหลังเดิมที่ดูทรุดโทรมผมเพิ่งได้เห็นมันเต็มตาในวันนี้ เพราะมันยังคงสว่างที่ทำให้เห็นได้ว่าสภาพที่นี่น่ากลัวกว่าที่คิดแม้ในเวลากลางวันก็ตาม ผมเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยุดที่ประตูหน้าบ้าน ผมเคาะประตู รอคอยเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ
เพียงไม่กี่อึดใจ ประตูบานนนั้นก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคิดถึงมันมาตลอด คิดถึงในแง่ที่ว่า ผมจะทำยังไงให้มันตายอย่างทรมานดี ผมจะทำยังไงให้มันได้รับความเจ็บปวดที่ผมมีส่งไปถึงมันได้มากที่สุด
“สวัสดีครับเมียสุดที่รัก เข้ามานั่งก่อนสิครับ”
มันผายมือผมไปที่โต๊ะอาหารสุดหรูที่ดูขัดแย้งกับสภาพของบ้าน ตรงกลางมีอาหารมากมายวางอยุ่ดูน่ากิน ผมมองไปรอบ ๆ ก็เจอกับคนชื่อมิ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ตรงข้างหลังของลูกสาวคุณธารา เธอกำลังโดนมัดปาก มัดมือ หน้าตาดูไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยน้ำตา ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตาของเธอกำลังเว้าวอนของความช่วยเหลือ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบเธออะไรลับไป
“อาหารอร่อยมาก นี่ให้เชฟดังทำให้เลยนะ ถือว่าเป็นการบำรุงก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องใหม่ไง”
“หนัง”
“ใช่”
มีดเล็ก ๆ ที่ไอ้มิ่งถือค่อย ๆ จี้ไปที่คอของหญิงสาว
“ให้เล่นเป็นอะไร”
“หลายอย่าง แต่เริ่มด้วยการทรมานจากนั้นก็มีเซ็กซ์ จากนั้นก็…ฆ่า!”
มันจับหน้าผมแล้วตบ จนผมหล่นลงไปที่พื้น
“เหมือนที่มึงทำกับเพื่อนกู อีชั่ว!”
“มึงควรโทษตัวเองก่อนดีกว่านะ ไอ้โรคจิต”
ผมลุกขึ้นนั่งแล้วปัดผมของตัวเอง
“เพราะพวกมึงมันชั่วไง”
สักพักเสียงยิงของปืนก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้ไอ้มิ่งที่กำลังจ้อมีดอยู่ล้มลง
“โอ๊ย”
“ไอ้มิ่ง”
ผมใช้โอกาสนั้นแย่งมีดจากมันมาแล้วก็แทงมีดไปที่ขาของมัน ก่อนที่จะมีคนบุกเข้ามา คุณธาราเดินเข้ามาพร้อมใครหลาย ๆ คนก่อนที่คนบางคนจะใช้สันปืนตีไปที่หน้าของพวกกระจอกทั้งสอง
“ที่เหลือคุณจัดการเองนะคะ”
แล้วพวกเขาก็เดินออกไป เหลือแต่ร่างของพวกมันสองคนที่กำลังนอนแน่นิ่ง แต่ไม่ได้ตายอยู่บนพื้น ผมลากพวกมันไปนอนกองกันก่อนที่จะใช้เชือกแถวนั้นมัดมันไว้ติดเก้าอี้ ผมวางกล้องวีดีโอของไอ้หมีที่ในนั้นยังคงมีคลิปของผมอยู่ ผมลบมันทิ้งก่อนที่จะตั้งไว้ตรงที่มันเคยตั้งในวันนั้น
“เรามาเริ่มถ่ายหนังจริง ๆ ดีกว่า”
อาวุธที่เตรียมมาดูท่าจะไม่ได้ใช้ ผมรู้แต่ว่าที่พวกมันมีก็มีเพียงพอแล้ว ที่จะจัดการได้ทันเวลาก่อนที่พวกตำรวจจะมา เครื่องทรมานที่มันเคยทรมาน”เหยื่อ”ของมันที่ผ่านมา
ผมพบว่ามีอุปกรณ์มากมายจนผมเองตัดสินใจหยิบมีดหมอมาอันนึง
“ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อผมเดินออกมาผมก็พบว่าไอ้หมีกำลังตื่นแล้วจ้องหน้าผมยังโกรธแค้น
“มึงร่วมมือกับพวกนั้นเหรอ”
“ก็ใช่ นึกว่าจะรู้ตั้งนานเสียอีก”
“มึง…”
“มึงมันโง่ มันประมาทคิดว่าคนอย่างกูทำอะไรไม่ได้ ที่มึงขู่ว่าจะปล่อยคลิปกู กูไม่ได้กลัวสักนิด เพราะสุดท้ายกูก็จะมาที่นี่ มาเพื่อฆ่ามึงและมึง”
ผมชี้ไปที่ไอ้มิ่งที่กำลังนอนสลบไสลอยู่
“มึงทำไม่ได้หรอก”
“เพื่อนมึงที่ตายก็ฝีมือกูทั้งนั้น”
ผมหยิบมีดขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปหาไอ้มิ่ง
“มึงอย่าทำอะไรไอ้มิ่ง”
“แหมรักเพื่อนจริงนะ ไม่เป็นไรหรอกมันไม่เจ็บปวด…แค่ตอนนี้นะ”
ผมใช้มีดกรีดลงไปบนแก้มมัน น่าแปลกที่มันแหลมคมพอที่จะกรีดลึกเข้าไปมากกว่านั้น จนถึงริมฝีปาก
“ไอ้เหี้ย”
เสียงของไอ้หมียังคงดังอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้สนใจนอกจากกรีดอีกข้าง จนสภาพของไอ้มิ่งกลายเป็นหนุ่มปากฉีก ที่เหมือนกับสาวปากฉีกในตำนานของญี่ปุ่น ไอ้หมีร้องอย่างโหยหวนและทรมาน ราวกับเป็นมันซะเองที่โดนกรีด
ผมเดินไปหยิบอาหารที่ดูมีสีจัดจ้านมากที่สุด หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปหาร่างของไอ้มิ่งที่แน่นิ่ง
“มึงจะทำอะไร”
“เล่นนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง”
“มึงมันโรคจิต”
“ไม่เท่ามึงหรอก”
ผมพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพยายามปลุกไอ้มิ่งขึ้นมา มันสะลึมสะลือก่อนที่จะตกใจและพยายามร้องอย่างเจ็บปวด ผมเทอาหาใส่ปากของมันทันที จนมันร้องแกมาเสียงหลงอย่างทรมาน ปากของมันที่ถูกฉีกกว้างก็พะงาบ ๆ ออกอย่างน่าเวทนา มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย ผมเดินไปหยิบกระจกขึ้นมาก่อนที่จะส่องไปที่หน้าของมัน มันดูตกใจสุดขีดที่เห็นสภาพตัวเองเป็นอย่างนั้นและส่ายหัวไปมา
“ฮ่า ๆ”
ผมบ้าสุด ๆ ไปแล้ว ผมหัวเราะกับภาพตรงหน้า ผมขำกับอาการหวาดกลัวที่ปากของมันที่กว้าง ผมเดินไปหยิบมีดก่อนที่จะไปหาไอ้หมีที่พยายามดิ้นหนี คราวนี้ผมเดินไปหากล้องแล้วหยิบมันขึ้นมา แพนไปที่ตัวมันที่กำลังกลัวสุดขีด
“ใจเย็น ๆ เดี๋ยวมึงจะได้โดนสิ่งที่โหดร้ายกว่านั้น”
ผมหยิบยาชาที่เตรียมไว้ ก่อนที่จะเดินไปแล้วฉีดให้กับมัน มันดูอึกอักก่อนที่จะแน่นิ่ง ส่วนไอ้มิ่งดูเหมือนจะสลบไปนานแล้ว ผมหยิบเลื่อยที่นำมาจากห้องทรมาน แล้วเล็งไปที่ขาของมันก่อนที่จะหั่นช้า ๆ
ด้วยความที่ยาชาเพิ่งฉีด และยังไม่ได้ออกฤทธิ์ดีจึงทำให้มันทรมานกว่าที่เป็น แม้มันพยายามดิ้นขนาดไหน แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นใบมีดของเลื้อยที่ผมกำลังเลื้อยมันช้า ๆ เลือกของมันไหลทะลักออกจากต้นขา มันกระเด็นใส่หน้าของผม และไหลลงเต็มพื้น เสียงของมันพยายามร้องแต่ร้องไม่ออกเพราะติดยาชาทำให้ผมเลื้อยขามันอย่างง่ายดาย
และตอนที่ยากที่สุดก็คือตอนที่มันเลื้อยถึงกระดูก ผมไม่สามารถที่จะทำได้ถึงขั้นนั้นจึงหยุดเลื้อยและหันมาหั่นต่ออีกข้าง แม้ไอ้หมีพยายามจะดิ้นแต่ก็หมดแรงเสียแล้ว เพราะมันกำลังจะตายในไม่ช้า
“กูจะไม่สั่งเสียอะไรกับพวกมึง กูไม่ต้องการคำขอโทษจากพวกมึง”
ผมพูดต่อไปเรื่อย ๆ แม้คนที่ฟังเริ่มที่จะหมดสติลงแล้วก็ตาม
“กูแค่อยากให้พวกมึงตาย ตายเท่านั้น ตาย ตาย ตาย”
ในหัวและคำพูดมีแต่คำว่า ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!
ร่างภูมิฐานของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างเงียบเฉียบ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากข้างนอกนานแล้วแต่เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเข้ามาตอนไหนดี แต่หลังจากที่ทุกอย่างเงียบมานานจนเขาคิดว่าเป็นเวลาที่ดีพอที่จะเดินเข้าไป
ภายในบ้านที่โกโรโกโสตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่กระจายไปทั่วทุกที่ น่าแปลกมันควรจะเป็นภาพชินตาสำหรับเขาถ้าไม่ติดตรงที่ว่า สาเหตุที่เลือดเหล่าเปรอะผนังและกระจายไปทั่วเป็นฝีมือของคนที่กำลังนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่มุมห้อง เด็กผู้ชายวัยยี่สิบที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมากมาย มันทำให้เขารู้เห็นใจคนนั้นมากกว่าศพสองศพที่โดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
“ริน” รัทชาติเรียกและเขย่าตัวของรินนภัทร
รินนภัทรทำเพียงเงยหน้ามองขึ้นมา ด้วยแววตาเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ถูกปลุกจากที่นอนในยามเช้า รัทชาติสังเกตว่าอาจจะเป็นเรื่องผิดปกติเขาจึงตัดสินใจที่จะอุ้มเด็กคนนั้นออกมา
อีกสักพักพวกตำรวจคงมาถึง แต่นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่ยืนรอเขาอยุ่ตรงรถเก๋งสีดำ เธอยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเปิดประตูด้านหลังให้ เขาวางของรินนภัทรใส่เบาะหลังก่อนที่จะมาสนทนากับผู้หญิงตรงหน้า
“คุณจะทำยังไงต่อไป”
“อันนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน คุณแค่ไปส่งรินนภัทรให้ถึงมือหมอก็พอ”
รัทชาติพยักหน้า จากทุกอย่างที่ผ่านมาเขาควรที่จะไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ถ้าไม่มีเธอรินนภัทรคงทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาก็เช่นกัน
มีเรื่องบางเรื่องที่ตำรวจธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เลยสักนิด การที่เขาจะเล่นสายมืดที่เขาเคยเกลียดเพื่อทำลายมัน มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ แต่มันก็แลกมากับเด็กบริสุทธิ์อย่างรินนภัทร ถึงแม้ตาของรัทชาติเพ่งไปที่ถนนแต่ในบางครั้ง เขาก็จะเหลือบมองไปที่รินนภัทรเพียงแค่เสี้ยววิ เพื่อพูดคำว่า “ขอโทษ”
การเป็นตำรวจของเขาในครั้งนี้ มือของเขาไม่ได้ใสสะอาดเลยสักนิด ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่เขาควรจะทำคือการพารินนภัทรกลับไปหาคุณหมอกฤษณะ เขาเหยียบคันเร่ง ขับผ่านรถตำรวจมากมายที่กำลังมาถึง เขาไม่ได้สนใจพวกนั้น เพราะกว่าพวกนั้นจะรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง เขาเองก็อาจจะไม่อยู่ที่นี่รวมถึงเด็กที่อยู่ข้างเขา
ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงที่เดินทางมาถึงบ้านของหมอกฤษนะ เขาอุ้มร่างของรินนภัทรที่ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งเฉย ๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่รู้สึกตัวกับอะไรทั้งนั้น
“คุณตำรวจ! ริน!” หมอกฤษณะเดินมา
“คุณหมอช่วยด้วยคุณรินหน่อยครับ”
หมอกฤษณะพารินไปที่เตียง อาการของรินนภัทรเหมือนไม่รู้สึกตัวอะไรแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง นอกจากนั่งเหมอลอยไปเรื่อย ๆ
“เขาอาจจะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาไปแล้วครับ” กฤษณะตอบ ตอนนี้เขากำลังน้ำตาไหลออกมา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดได้เกิดขึ้นจนได้
“รินเคยเป็นแบบนี้ตอนสมัยเด็ก ๆ แต่เขาก็หายในระยะเวลาไม่นาน แต่นี้อาจไม่มีโอกาส”
กฤษณะพูดจบก็หันมามองตำรวจหนุ่ม
“ผมอยากให้คุณตำรวจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังได้ไหมครับ”
รัทชาติพยักหน้าก่อนที่กฤษณะจะพาตำรวจหนุ่มไปที่ห้องรับแขก เมื่อทั้งสองนั่งลงรัทชาติก็เล่าทันทีตามฉบับของตำรวจหนุ่มที่ทำอะไรค่อนข้างรวดเร็วและรวบรัด
“ตามจริงผมกำลังจับพวกนั้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่ผมช่วยรินจากเหตุการณ์ที่หอก็ยิ่งทำให้ผมอยากจับพวกนี้มากขึ้น แต่ไม่สำเร็จพวกมันมีแบ็คที่ใหญ่เกินไป หัวหน้าของผมก็มีส่วนเขาจึงโยกย้ายผมไปมาหรือไม่ก็พยายามทำให้ผมอยู่ห่างจากเรื่องพวกนี้มากที่สุด จนสุดท้ายผมได้เจอคุณธาราเธอยื่นข้อเสนอเรื่องหนึ่งให้ผม และแน่นอนเรื่องของรินเธอก็รู้เพราะผมแอบจับตารินอยู่”
“คุณรู้เรื่องนี้มาตลอด แล้วทำไมปล่อยให้รินเจอเหตุการณ์นั้น”
“มันเป็นสิ่งที่ผมให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย ผมพยายามไปช่วยแต่ทุกอย่างก็สายไป ถึงแม้ผมจะไปเร็วกว่าตอนที่คุณไม้โทรบอกผมก็ตาม แต่ไม่ทัน จากนั้นผมพยายามเฝ้าดูรินอยู่ห่าง ๆ จนรู้ว่าเขามีอาการทางจิตที่มีโรคหลายบุคลิกตามที่คุณบอก”
“หมายความว่าไงครับ”
“คุณธารารู้เรื่องนี้ ผมเองก็เลยตัดสินใจที่จะให้รินแก้แค้นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเพราะมันจะทำให้งานเราสะดวกแล้วพวกนั้นก็ตายแทนที่จะเข้าคุก”
“คุณหลอกใช้ริน พวกคุณทุกคน”
“จะว่าไปผมก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากขอโทษริน ผมรู้สึกผิด ผมมันทำอะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจแท้ ๆ”
“คุณควรจะเป็นอย่างนั้น” กฤษณะลุกขึ้นทันทีเพราะไม่สามารถรับฟังอะไรต่อได้อีกแล้ว ความโกรธของเขามากพอที่ฆ่านายตำรวจตรงหน้า
“ผมขอโทษ”
“คำนี้คุณควรจะพูดกับรินมากกว่านะครับ”
“ผมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยรินมากที่สุดหลังจากนี้”
“ถึงทำรินก็อาจกลับมาไม่ปกติ…”
ไม่ทันที่กฤษณะจะได้พูดจบ เสียงมือถือของผู้กองรัทชาติดังขึ้น เจ้าตัวรับสายก่อนที่จะทำหน้าแปลกใจ
“ครับ” จบคำของรัทชาติก็วางสาย
“ผมต้องกลับไปที่สน. ตอนนี้เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคดีนี้”
“คุณจะจับรินเข้าคุกเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเพราะคนที่ทำสารภาพหมดแล้ว”
“หมายความว่าไง”
“เดี๋ยวผมกลับมาใหม่ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่ส่วนนี้นะครับ”
รัทชาติก็เดินออกไปทิ้งไว้แต่กฤษณะที่กำลังยืนคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา บางทีทุกอย่างมันอาจจะเกินความคาดหมายของเขามากเกินไป แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องราวทุกอย่างได้แน่นอน
เขาเดินกลับมาหารินทั่งนั่งตรงมุมห้อง แววตาของรินไม่ได้มีความหวาดกลัว ความกังวล แววตาของรินเหลือเพียงแต่ความบริสุทธ์เรื่องราวทุกอย่างในตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปถึงรินได้และรินเองก็คงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
กฤษณะเอื้อมมือไปช้าเพื่อลูบหัวริน รินไม่ได้หนีหรือหวาดกลัว มีแต่ทำหน้าสงสัยแล้วก็ยิ้ม
ยิ้มอยู่อย่างนั้น ยิ้มราวกับเด็กเล็กที่ไม่ประสา
รัทชาติเดินเข้ามาในสน. ก็พบความวุ่นวายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือไม่ก็ตำรวจที่พยายามจะทำข่าว
“ผู้กองครับทางนี้”
นายตำรวจที่ยสน้อยกว่าเขา พาเขาเดินไปที่ห้องขัง ในตอนนั้นที่เขาได้ยินว่ามีฆาตกรที่สารภาพความผิดเขาก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่เท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
“นาย…”
“ครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นฝาแฝดของหนึ่งในคนที่ข่มขื่นรินนภัทรที่ชื่อ "ลิน" คนตรงหน้าคือลูกชายคนเดียวที่รอดชีวิตจากฆาตกรรมยกครัวบ้านของตัวเอง เด็กคนนั้นหน้านิ่งและไม่ตอบคำถามอะไรที่นอกเหนือจากการฆาตกรรม เมื่อพูดถึงแรงจูงใจคนทำเด็กคนนั้นตอบเพียงว่า
“เพื่อช่วยเขาครับ”
คนอื่นไม่อาจรู้ความหมาย บางคนอาจคิดว่าหมายถึงเหยื่อที่กำลังโดนไปค้ามนุษย์แต่สำหรับรัทชาติเขารู้เหตุผลนั้น เด็กคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนที่เหลือแต่ความว่างเปล่าในจิตใจ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
การสอบสวนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ระดับของฆาตกรต่อเนื่องที่อาจลงทุนฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง สารภาพอย่างง่ายดายรวมถึงหลักฐานที่เด็กคนนี้พยายามโยงเข้าหาตัวเอง ไม่มีร่องรอยของรินไปเกี่ยวข้องเลย ต่อไปก็เป็นกระบวนการตามกฎหมายให้ทำหน้าที่ต่อไป
เขาถามคนอื่นว่าเจอเด็กคนนี้ที่ไหน ทุกคนพูดว่าเด็กคนนั้นกำลังนั่งข้าง ๆ ศพทั้งสองในบ้านร้างและในมือของเขาถืออาวุธทุกชิ้นด้วยมือเปล่า รัทชาติได้แต่พยักหน้าแล้วเดินหลบมุมไปที่แห่งหนึ่ง เขาโทรหาธาราแต่เจ้าตัวไม่รับสาย
บางทีทุกอย่างมันควรจะจบแล้วตรงนี้
.
.
.
หนึ่งปีผ่านไป
ทุกอย่างในโลกยังคงดำเนินต่อไป ชีวิตมนุษย์กลับมาเป็นสงบสุขอีกครั้ง ถึงแม้ ว่าความสงบนั้นไม่ได้อยู่เป็นนิรันดร์แต่ ณ ตอนนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนได้พักหายใจ เพื่อต่อสู้อะไรหลาย ๆ อย่าง
คดีสะเทือนขวัญที่ใหญ่โตถูกขุดคุ้ย เด็กที่สารภาพว่าตัวเองฆาตกรอย่าง ลิน มีใครหลายคนที่พยายามจะช่วยเหลือเพราะว่าข่าวลือเรื่องเด็กคนนั้นถูกทารุณกรรมและถูกกลุ่มค้ามนุษย์ที่ใหญ่โตและอื้อฉาวที่สุดในเมืองไทยจะนำไปขาย ดังนั้นเขาจึงลุกมาแก้แค้น แน่นอนเด็กคนหนึ่งที่เคยตกเป็นเหยื่อจริง ๆ กลับไม่ได้ถูกกล่าวถึง มีเพียงชื่อปรากฎเล็ก ๆ ว่าเคยมีคดีเรื่องข่มขืนซึ่งเป็นหนึ่งในคดีย่อย ๆ ของพวกที่ตายไปแล้วเท่านั้น ตอนนี้ลินกลายได้ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอนมันอาจจะดูโหดร้ายแต่เจ้าตัวกลับยิ้มแล้วยอมรับสภาพโดยไม่ปริปากใด ๆ ทั้งสิ้น
รัทชาติเดินทางมาเยี่ยมลินบ่อย ๆ จนหลายคนแปลกใจ แต่สำหรับเขาการมาเยี่ยมก็เพื่อที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เขาเองก็รู้สึกผิด ถ้าเรื่องทุกอย่างเขาทำเต็มที่คนบริสุทธ์ทุกคนคงไม่ต้องมีชะตากรรมแบบนี้ ธาราก็ฝากเขามาเยี่ยม เธอไม่สามารถมาได้เพราะกำลังถูกตามล่าจากหลายฝ่าย แต่เขาเองก็เริ่มมีแบ็คที่ใหญ่พอที่จะช่วยเหลือเธอ รวมถึงคนตรงหน้า อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำมันก็มีประโยชน์ มันทำให้เขาได้รู้ว่าอำนาจมันก็ดีเหมือนกัน
ส่วนโลกอีกด้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งหลังจากที่รักษาร่างกายเป็นปกติ วีรภัทรกลับมาทำงานและใช้ชีวิตปกติ เขาไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัด รู้แต่เพียงว่าตอนนี้รินได้จากไปไกลแสนไกลแล้วพร้อมกับหมอกฤษณะ เขาไม่ได้ข่าวในตอนที่เขาฟื้นมีแค่รัทชาติกับจดหมายจากกฤษณะเท่านั้น ที่บอกว่าจะพารินไปพักผ่อน เขาไม่ได้ความหมายของข้อความนั้นเท่าไหร่ แต่เขาก็มั่นใจได้ว่ารินอาจไม่กลับมาแล้ว
น่าแปลกที่ชีวิตมนุษย์คนเรานั้นซับซ้อนบางทีก็ดีบางทีก็โหดร้าย แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่มีใครคาดเดากับมันได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่กฤษณะกำลังนั่งอ่านหนังอยู่ตรงชิงช้าที่สวนหลังบ้าน ที่แสนสงบ เขาตัดสินใจมาที่นี่เพราเขาอยากจะพัก บางทีการที่เขาเกษียนตัวเองก่อนวัยมาก ๆ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขามีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและคนข้าง ๆ ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้างเขา
ร่างบางไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการนั่ง กฤษณะชอบมองแววตาของรินนภัทรในตอนนี้ มันว่างเปล่าแต่ก็มีความสุข...ความสุขในโลกของเขา
รินนภัทรไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงต้องทำหน้าที่ในการดูแลเจ้าตัวทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่ารินนภัทรกำลังเดินทางไปที่ใดแต่เขาก็เฝ้ารอสักวัน วันที่รินนภัทรจะกลับมา แต่ทว่าอีกใจหนึ่งของเขาก็ต้องการให้รินนภัทรเป็นอย่างนี้ต่อไป เพื่อที่ว่าร่างบางจะไม่ต้องนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ตัวเองถูกกระทำและรวมถึงที่ตัวเองกระทำ
“รินพี่อยากรู้ว่าตอนนี้รินกำลังคิดอะไรอยู่” กฤษณะกล่าวพร้อมกับที่ป้อนข้าวรินนภัทร
“พี่อยากรู้ว่ารินเป็นยังไงบ้าง” ดูเหมือนแววตาของรินนภัทรจะขยับมองมาที่เขา แวบนั้นหัวใจของเขาเต้นแรง แต่ว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น รินนภัทรยังคงสงบนิ่งบนรถเข็นเช่นเดิมเหมือนทุกวัน
“รินฝันว่ารินอยากเปิดร้านกาแฟ” กฤษณะพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง เขาชอบมักเล่าในสิ่งที่ร่างบางเคยบอกเมื่อตอนที่ยังรักษาตัวกับเขา เขาเองถึงจะหยุดงานเป็นหมอแต่ว่าเขาก็ยังคงที่จะรักษารินนภัทรต่อไป ในแบบของเขา
“รินบอกว่ารินอยากเรียนให้จบ เรียนให้สูง รินอยากที่จะทุกอย่างด้วยตัวเองมากที่สุด” ชายหนุ่มก็ยังคงเล่าต่อไป ในช่วงหนึ่งที่เขาต้องเก็บจานที่ซิงค์ ตอนนั้นที่เขามักจะปล่อยให้รินนภัทรอยู่ตามลำพังปกติ แต่ว่าคราวนี้เมื่อเขากลับมากลับไม่เห็นรินนภัทรนั่งอยู่บนรถเข็นเช่นเดิม
“ริน!” เขาร้องตะโกนวิ่งหาไปทั่วบ้าน “ริน!
ห้องนอน ห้องน้ำ หน้าบ้าน ไม่มี เขารีบวิ่งเข้าไปตรงป่าหลังบ้าน เขาเห็นรอยเท้าที่คุ้นเคยอยู่บนโคลน กฤษณะรีบวิ่งตามก่อนที่จะเจอรินนภัทรยืนอยู่ที่เหว
“ริน” รินนภัทรหันมาแล้วยิ้มให้กับเขา
“ขอบคุณนะครับพี่กิตต์”
“จะทำอะไร อย่านะ พี่ขอร้อง”
“ยังไงมันก็ลบล้างความจริงไม่ได้อยู่ดีว่าผมเป็นฆาตกร” รินมองไปที่เบื้องล่างที่ห่างกันหลายเมตรเป็นน้ำทะเลที่ลึกพอสมควร รินนภัทรกำลังจะก้าวขา
“หยุดนะริน พี่ขอร้อง”
“ขอโทษนะครับพี่กิตต์” ไม่ทันที่จะโดดลงกฤษณะรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปคว้ารินนภัทรเอาไว้
“หยุดนะ คิดว่าแค่โดดลงแล้วทุกอย่างมันจะจบหรือไง”
“ปล่อยผม” รินนภัทรตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ริน ฟังพี่รินต้องอยู่ ตอนนี้รินไม่ต้อง...”
“ผมรู้ดี แต่ผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมไม่อยากอยู่กับความทรงจำบ้า ๆ แบบนี้อีก” รินนภัทรกล่าวพร้อมกับร้องไห้ ในตอนนี้จิตใจของเขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่อาจทนได้เมื่อนึกถึง
“พี่กิตต์ขอโทษนะ แต่ปล่อยผมไป”
“ไม่”
“...”
“ขอร้องรินอยู่เพื่อพี่ได้ไหม”
รินนภัทรหยุดดิ้นก่อนที่จะค่อยหันหน้ามาแล้วกอดกฤษณะไว้ ไม่มีการขัดขืนหรืออะไรจากรินนภัทรอีกเลย
กฤษณะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน เขาพบว่าคนที่ควรนอนเตียงข้าง ๆ กลับหายออกไป กฤษณะรีบลุกออกจากเตียงแล้วลงมาข้างล่าง
กลิ่นหอมของกาแฟและไข่ดาวทำให้เขาเดินเข้าไปตรงครัว
ร่างผอมบางข้างหน้ายังคงง่วนกับการทำนั้นนี่ในครัว โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครสักคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าตัว
“ริน” เสียงของกฤษณะแหบพร่าในยามเช้า ทุกอย่างมันตีบตันอยู่ในลำคอ เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า เขาถามตัวเองในหัวหลายรอบ ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นที่ดีที่สุด
รินนภัทรหันหน้ามาช้า ๆ ก่อนที่จะปากของร่างบางจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่กิตต์”
End
จบแล้วนะครับสำหรับนิยายเรื่องนี้ ขออภัยที่ไม่ได้อัพนานมากติดอะไรหลายอย่างจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะจบเรื่องแบบไหนดีก็เลยจบที่เป็นอ่านนี่แหละครับ 55555
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แนวรักโรแมนติก ค่อนข้างหนักหน่วงดราม่ามาก เจอกันใหม่ในเรื่องหน้านะครับ