เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18  (อ่าน 13242 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 12 2/8/18
«ตอบ #30 เมื่อ09-02-2018 08:24:22 »

รันแอบหน้ากลัว ....

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
«ตอบ #31 เมื่อ13-02-2018 23:42:58 »

บทที่ 13

       
        หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ผมก็อาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ รอยต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่แต่จางลง ส่วนรอยที่อยู่จิตใจก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันที่จะหายไป

        ผมได้รับการช่วยเหลือจากพี่ไม้เรื่องทนายที่พี่เขาบอกว่าไว้ใจได้

        และหลักฐานที่ผมมีไม่ว่าจะเป็น คราบอสุจิ รอย DNA บนแผลผมที่ได้รับผลตั้งแต่ตอนที่ผมเข้ามารักษาตัวใหม่ ๆ จากเหตุการณ์นั้น

        ผมได้แต่พยักหน้าและเตรียมข้อมูลรวมถึงคำพูดที่ควรพูดเพื่อให้พวกมันไม่หลุดรอดอย่างง่าย ๆ

        ผมมั่นใจว่าผมทำได้แน่นอน

        การดำเนินการจับเองก็เป็นไปอย่างราบลื่นและทุกคนไม่สามารถหนีได้ทัน

        มีวันหนึ่งที่ผมต้องไปชี้ตัวคนร้ายเพื่อยืนยันว่าพวกเขาจับคนถูกตัวหรือไม่ และเมื่อผมก้าวเข้าไปผมก็รู้สึกถึงบางอย่าง
สายตาของพวกมันกำลังจับจ้องมาที่ผม

        ผมนั่งลงตรงข้ามห้องตู้กระจกที่มองเห็นทะลุภายในห้อง

        นอกจากห้าตัวชั่วนั้นแล้ว

        ก็ยังมีคนอื่นที่ผมไม่คุ้นเคย

        “รบกวนคุณช่วยยืนยันตัวคนร้ายหน่อยนะครับ ให้บอกไปตามหมายเลขที่ติดไว้”

        ผมหันไปมองเรื่อย ๆ ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยสักนิด

        “หมายเลขสาม”

        ไอ้ลี

        “หมายเลขหกและเจ็ด”

        ไอ้มิ่ง ไอ้แมน

        “หมายเลขสิบ”

        ไอ้ทิด

        “หมายเลขสิบสาม”

        ไอ้หมี

        แววตาของพวกมันไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดอะไรสักนิด เหมือนกับตัวผมที่ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน เพราะผมเองรู้สึกว่าชีวิตมันง่ายไปหน่อยที่จะต้องมาจับพวกมันเข้าคุก และก็ใช้ชีวิตโดยไม่ได้รับโทษอะไรมากนอกจากขาดอิสระ

        เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พวกมันทำ

        พวกมันไม่ได้กักกันอิสระนั้นไว้

        แต่พวกมันทำลายการมีชีวิตของคนอื่น หมดทั้งอิสระ หมดทั้งลมหายใจ

        “แค่นี้ใช่ไหมครับ”

        คุณเจ้าหน้าที่พยักหน้า

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อและเดินออกมาที่ข้างนอกที่มีพี่ไม้กำลังรอรับผมอยู่


        “รินเป็นยังไงบ้าง”

        “สบายดี”

        ตอนนี้ผมกำลังอยู่กับหมอกิตต์ เพราะพี่ไม้บอกว่าหมอนี้อยากคุยกับผมหลาย ๆ เรื่อง ผมเองก็ไม่ได้ขัดอะไรสักนิด

        “ดีแล้ว เพราะพี่ก็ไม่อยากให้รินนั้นคิดมาก”

        “ใช่ครับ ไม่คิดมากแค่โดนข่มขืนและเกือบตายเท่านั้น”

        ผมพูดออกไปพร้อมกับเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว้ห้างและกอดอกไว้พร้อมกับหยักไหลอย่างไม่สนใจ เหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติ

        “ถ้าพี่ไม่ได้รู้จักริน พี่คงคิดว่ารินกำลังประชด”

        “เปล่านี่ครับ” ผมยิ้มตอบกลับไปอย่างเสแสร้ง

        “เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า พี่อยากให้รินมาหาพี่ตามนัดที่มีให้ไว้”

        “ทำไม”

        “ก็รินอาจจะมีผลข้างเคียงกับ…”

        “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” ผมตวาดออกไปอย่างลืมตัว

        ผมเริ่มกลับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกลับไปยิ้ม

        “ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาหาพี่”

        “จำเป็นสิ รัน”

        ผมชะงักเล็กน้อยเกี่ยวกับคำพูดที่เขาเรียกชื่อผมออกมา

        “พี่ไม้บอก?”

        “เขาคงกังวลกลัวว่ารินจะเป็นอะไรไป”

        “คงมากเกินไป”

        ผมทำท่าไม่สนใจ

        “เราเคยเจอกันหรือเปล่า”

        “หมอพูดบ้า ๆ นะครับ เราก็เจอกันบ่อยจะตาย”

        “หมอไม่ได้หมายถึงริน หมายถึงรันต่างหาก”

        “ฮา ๆ”

        ผมหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับมองหน้าคุณหมอกิตต์ที่กำลังมองผมด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

        “ผมว่าหมอเริ่มเพี้ยน ๆ แล้วนะครับ หมอควรจะรักษาตัวเองก่อนที่จะมารักษาผมดีกว่า”

        ผมลุกขึ้นจะเตรียมกลับ

        “เดี๋ยวครับ เรายังพูดกันไม่จบ แต่หมอคิดว่าคุณคงรีบกลับดังนั้นได้โปรดมาตามนัดด้วยนะครับ”

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินออกมาจากห้องหมอบ้าคนนี้ทันที

        ผมเดินทางกลับไปที่ห้องกับพี่ไม้ทันที ตอนนี้ผมก็ยังคงที่จะพักกับพี่ไม้เพราะผมเองยังคงไม่มีเงินเลย เรื่องทนายก็เหมือน
กันพี่ไม้ก็ช่วยผม โดยไม่เอาเงินจากผมสักบาท

        ว่าไปผู้ชายคนนี้ก็ดี จนไม่แปลกใจว่าทำไมรินคนนั้นถึงชอบเขามาก

        “คุณหมอพูดอะไรกับรินบางไหม”

        “ก็เหมือนเดิมครับ ถามปกติเลย”

        “เหรอ”

        “พี่ไม้ผมบอกให้เรียกว่ารัน”

        “เอ่อ ลืมไปเลยฮา ๆ”

        พี่ไม้พยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น ผมไม่สนใจนอกจากมองออกนอกหน้าต่างรถไป ออ ลืมบอกพี่ไม้ทำงานจนผ่อนรถได้แล้ว ตอนนี้แกก็เลยมีรถขับพาผมไปไหนต่อไหนได้ ผมเองก็ยินดีกับพี่แกจนผมเองก็รู้สึกผิดนิด ๆ ที่กำลังจะหลอกใช้แกจากสิ่งที่ผมจะทำ

        “เดี๋ยวผมหาเงินคืนให้นะครับ”

        “เฮ้ย ไม่เป็นไร พี่เต็มใจช่วย”

        “มันมากเกินไป”

        “ไม่เป็นไรเลยจริง ๆ พี่เองต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดูแลริน เอ้ย รันไม่ดี”

        ผมมองไปที่ใบหน้าของเขาแล้วเอื้อมมือไปจับที่ขาของพี่ไม้ พี่ไม้ดูจะแปลกใจนิดหน่อย

        “ขอบคุณนะครับ”

        แล้วเราสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจนถึงห้อง


        ไม่กี่วันต่อมาผมก็เดินทางไปถึงที่ศาลพร้อมกับทนายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีของผม ผมได้ยินว่าฝั่งนั้นก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อที่จะช่วยพวกชั่วนั้นให้ได้มีทั้งนักการเมืองระดับใหญ่หรือไม่ก็ท้องถิ่นที่พยายามจะเข้ามาแทรกแซง แต่คดีนี้ดันเป็นข่าวดังที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย และผมเองก็เพิ่งรู้ว่า ข่าวมันดังมาก

        สลดเด็กผู้ชายถูกรุมโทรมโดยผู้ชายและพยายามที่จะฆ่าปิดปาก

        และหลายหัวข้อข่าวที่พูดถึงผม ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่พ้นเกี่ยวกับการการที่ผู้ชายคนหนึ่งถูกข่มขืนโดยผู้ชายด้วยกัน สังคมต่างมีความเห็นที่หลากหลาย และผมเองก็รับรู้มันมาบ้าง

        ผมอ่านผ่าน ๆ แต่ก็สะดุดกับบางคอมเม้นท์ที่บอกว่า ผมนั้นอ่อยผู้ร้าย ไปยั่วยวนหรือทำอะไรก็ตามแต่ และอีกประเภทที่หัวเราะกับการที่ผมถูกข่มขืนพร้อมกับแสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน

        และบางสื่อก็เขียนหัวข้อข่าวด้วยคำว่า คดีสายเหลือง

        ถามว่าผมรู้สึกยังไง ผมก็ตอบไม่ได้นัก แต่ก็รู้เพียงแต่ว่าผมควรที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผมทวงความยุติธรรมนั้นกลับมา และผมเองก็กำลังจะทำมัน

        บรรยากาศภายในศาลนั้นแปลกใหม่สำหรับผม ถึงผมจะเคยเห็นมาบ้างในทีวี แต่ผมเองก็ยังคงตะลึงกับความใหญ่โตและความศักดิ์สิทธิ์ของมัน

        ถ้ามันมีจริง

        การพิจารณาคดีเริ่มจากนั้นไม่นาน การหนีไปคนหนึ่งกำลังดำเนินการเรื่องส่งตัวนักโทษข้ามแดน แต่นั้นแหละ มันก็ไม่
สามารถที่จะทำได้สักนิด

        ผมถูกซักถามและเล่าเรื่องต่าง ๆ เหมือนฉายภาพซ้ำไปมาในหัวอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมควรชินได้แล้วเพราะผมเองก็เป็นคนเจอเรื่องพวกนี้แทนรินมาตลอด แต่ยังไงเสีย เราก็คนเดียวกัน

        เราก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

        ผมถูกกระตุ้นโดยทนายฝั่งตรงข้ามที่พยายามจะใช้ช่องโหว่ที่มี

        แต่มันไม่มีเลยสักนิด

        อัยการฝั่งผมก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่ต่างกัน หลักฐานที่ยกมาสามารถลบล้างหลักฐานที่อยู่ที่ถูกปลอมขึ้นมา หลักฐานของมันชัดเจนจนไม่ต้องจะรอพิสูจน์อะไรนัก

        และการพิจารณาคดีผมเป็นฝ่ายชนะ

        และพวกมันบางคนก็ติดคุกยี่สิบปี

        ส่วนที่เหลือที่ยังเป็นเยาวชนก็จะถูกเข้าสถานพินิจ

        หลังจากพิจารณาคดีเสร็จ หลาย ๆ คนดูจะโล่งใจที่ทำสำเร็จแต่สำหรับผมนั้นไม่เลยสักนิด ผมหันไปมองคนรอบ ๆ ที่กำลังพูดถึงอย่างดีใจแต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น

        ผมเดินเข้าไปห้องน้ำและล้างหน้าทันที

        ภายในใจของผมร้อนรุ่ม ย้ำเตือนบอกผมว่า

        มันยังไม่พอ…ยังไม่พอ

        นี่แหละคือสิ่งที่เราสองคนเห็นพ้องตรงกัน ว่ามันยังไม่พอ ผ,เดินอvกไปข้างนอก เพื่อรวมกลุ่มกับพวกพี่ไม้
ผมนั่งรถกลับกับพวกพี่ไม้ เราไม่ได้พูดอะไรกันมากนักนอกจากการพิจารณาคดีเมื่อสักครู่

        “พี่ดีใจที่รันไม่ตอบตกลงคุณลุงคนนั้นที่เสนอเงินมาให้”

        “ผมไม่ได้ต้องการมันหรอก”

        ไม่ใช่ว่าไม่มีใครที่พยายามจะเล่นตุกติก แต่ผมไม่รับเงินพวกนั้นเพราะมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ผมโดน เงินนะซื้อผมไม่ได้หรอก เพราะผมมีมันมากกว่านั้น

        “พี่ไม้ไปส่งผมแถว…หน่อยครับ”

        “ทำไมเหรอ”

        “ผมจะกลับบ้าน”

        ผมให้พี่ไม้ไปส่งแถวหน้าปากซอยหมู่บ้านหนึ่งที่มีสภาพดูดีเพราะเป็นหมู่บ้านสำหรับคนที่มีอันจะกินเท่านั้น

        “ให้พี่ไปส่งในหมู่บ้านไหม”

        “ไม่ต้องครับ ขอบคุณ” ผมพูดเสร็จแล้วก็ลงจากรถทันที

        ผมหยิบสร้อยในกระเป่าที่เตรียมมาไว้ตอนก่อนออกจากห้อง สร้อยที่เป็นเหมือนมรดกของผมที่เก็บไว้ใกล้ตัวตลอด ผมใส่มันไว้ก่อนที่จะเดินไปร้านส้มตำแถวนั้นที่ผมรู้จักดี

        เพื่อเริ่มภารกิจของผม

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
«ตอบ #32 เมื่อ14-02-2018 08:31:41 »

จะเป็น ล่า เวอร์ั่ชั่นผู้ชายรึเปล่า.   สนุกดีค่ะรอตอนต่อไปนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ ichiichi

  • รักหม่ามี้นะคับ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-5
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
«ตอบ #33 เมื่อ14-02-2018 20:55:40 »

เราก็ว่าเหมือนล่าเลย แต่ไม่มีแม่มาคอยทำให้ กลายเป็นลูกคนเดียวลุยเดี่ยว ส่วนแม่เป็นตัวร้ายซะงั้น

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
«ตอบ #34 เมื่อ15-02-2018 07:35:59 »

อ่านเรื่องนี้แล้วใจตุ้มต่อมเป็นห่วงนายเอกตลอดเลย

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 14 2/18/18
«ตอบ #35 เมื่อ18-02-2018 01:08:28 »

บทที่ 14

        ร้านส้มตำตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากความทรงจำของผม ภายนอกยังคงเป็นเพิงเล็ก ๆ มีที่นั่งเพียงแค่สามสี่โต๊ะเท่านั้น ถือว่าร้านนี้ก็อยู่ในสภาพที่พอขายได้ไม่ได้เป็นร้านดังอะไรนัก เพียงแต่คนขายนั้นเป็นที่รู้จักกันในระแวกนี้ จึงมักจะมีลูกค้าขาประจำอยู่แล้วเพราะคุ้นเคยกันดี

        ไม่เว้นแม้แต่พวกแม่บ้านของผม รวมถึงผมเองก็ด้วย

        ในสมัยเด็กของผม ไม่ใช่สิ ของรินที่มักจะโดนทิ้งไว้ให้อยู่กับพี่เลี้ยงและแม่บ้าน พวกเขาสองคนก็พยายามที่จะเลี้ยงผมให้ดีที่สุด จึงไม่ได้ทิ้งผมไว้อยู่ที่บ้านเพื่อมาซื้อของ แต่ก็พาผมมาด้วยในวันที่แดดไม่จัดมากนัก

        ในตอนนั้นที่ที่ผมสามารถเดินไปได้ไม่ได้ไกลจากบ้านนักและที่ไกลที่สุดก็คือหน้าหมู่บ้านที่มีความแตกต่างจากในหมู่บ้านชัดเจน

        ต้องเข้าใจก่อนว่าแถวนี้แต่ก่อนไม่ได้เจริญนัก การที่จะมีผู้คนที่ไม่ได้มีระดับอะไรมากมาอยู่จึงเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งความเจริญขยายเข้ามา รวมถึงหมู่บ้านจัดสรร ก็ทำให้ที่นี่ดูสวยและน่าอยู่ขึ้น

        แต่มันก็เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น

        ในหมู่บ้านผมเองก็มีเรื่องลักเล็กขโมยน้อยตลอด แต่ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้

        ทำไมเหรอ ก็เขาเป็นพวกเดียวกันนะสิ

        เป็นธรรมดาที่มีลูกตำรวจขโมยของแล้วพ่อมาไล่ตามจับ ดูเป็นภาพที่น่ารักดีจริง ๆ

        ผมเดินมาหยุดที่หน้าแผงขาย มองเข้าไปในร้านก็เจอแต่เก้าอี้ว่าง ๆ ดูเหมือนว่าจะขายไม่ค่อยดีนัก เพราะผมเห็นแม่ค้ากำลังนั่งหลับอยู่กับเก้าอี้พักผ่อน

        “ขอโทษนะครับ”

        ผมรู้สึกแย่ที่ดูเหมือนไปรบกวนคนที่กำลังนอนหลับสบาย

        “ค่า ๆ แป๊บหนึ่งนะค่า”

        ผมยืนมองแม่ค้าที่พยายามลุกจากที่นั่งอย่างลำบาก ในขณะที่ลุกขึ้นได้มือก็ไปจับที่หลังอย่างคนปวดหลังเป็นอาการที่ผมมักจะเห็นกับคนสูงอายุเสมอ

        “เอาอะไรดีคะ…”

        ผมเห็นสีหน้าของแม่ค้าตกใจนิดหน่อย

        “คุณริน คุณรินจริง ๆ ด้วย”

        แทนที่จะยืนหลังแผงขาย แม่ค้ากับวิ่งออกมาข้างนอกแล้วจับแขนผมลูบไปมา เธอลากผมไปที่นั่งทันที

        “คุณรินหายไปไหนคะ ไปถามพวกอีปอยก็บอกว่าคุณย้ายออกอยู่ที่อื่น แต่ฉันก็เห็นพวกมันอยู่บ้านเดิม แม่คุณด้วย ก็เลยคิดว่าคุณคงไปเรียนมหาลัย”

        “ผมไม่ได้ไปเรียนหรอกครับ”

        “อ้าว ไปทำอะไรล่ะคะ ป้าคิดถึงหนูมาก”

        “ไปทำงานครับ”

        “ทำงาน?”

        “ครับทำงาน”

        ผมไม่ได้ลงรายละเอียดมากเพราะดูแม่ค้าก็คงคิดไม่ตกว่าทำไม คนอย่างผมถึงต้องออกไปทำงาน นั้นสินะทำไมรินถึงอยากจะหนีออกจากบ้านไปทำงานกันล่ะ?

        “ว่าแต่คุณรินตัดสินใจจะกลับมาแล้วเหรอคะ?”

        “ไม่เชิงครับ ผมแค่มาสะสางอะไรบางอย่างนิดหน่อย”

        แกดูพยักหน้าอย่างเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจนัก

        “ร้านเป็นไงบ้างครับ”

        “ไม่ดีเลยค่ะ ช่วงนี้ก็เงียบ ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ป้าก็ขอให้ขายได้คุ้มทุนก็พอแล้ว แต่มันไม่คุ้มนะสิ”

        “ครับ”

        ผมตอบพร้อมพยักหน้า

        “เนี่ย เดือนหน้าป้าก็ต้องจ่ายค่าเทอมให้ไอ้ทีมัน”

        “ลูกชายป้านะเหรอครับ”

        “จ๊ะ”

        นี่แหละคือคนที่ผมจะใช้ทำภารกิจของผม ผมใช้แค่ป้าเป็นตัวเร่งต่างหาก

        บรื้น ๆ

        เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ดังสนั่นลั่นไปทั่วขับมาจอดอยู่หน้าร้าน พร้อมกับร่างผอมสูงจนแห้งลงมาจากรถแล้วเดินตรงมาทางพวกเรา

        ใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตร สีผิวที่คล่ำ ขาที่ใส่กางเกงขาสั้นโชว์รอยดาดของท่อไอเสีย ใส่เสื้อลายเชย ๆ ที่ใครเห็นก็แทบจะจำกัดความได้ว่านี่คือ เด็กแว้น

        “แม่ขอตังค์”

        เดินมาถึงก็แบมือขอตังค์แม่

        “ไม่มีให้หรอกไอ้ลูกเวร มีแต่ขอเงินกูหัดทำงานหน่อยสิว่ะ”

        “ทำงานทำไม แล้วไอ้นี่ใคร?”

        มันมองมาที่ผมก่อนที่จะทำตาลุกวาวกับสิ่งที่แวววับบนคอของผม

        “ทำไมมึงเสียมารยาทกับคุณรินอย่างนี้”

        “มีมารยาททำไม”

        “เขาเป็นลูกค้า”

        “ลูกค้าทำไม ไม่สนหรอก เอาเงินมา”

        “ไม่มี”

        ผมมองการเถียงของมารดากับลูกชายไม่ไหว กลัวจะเกิดการทำร้ายกันเพราะคนอย่างเด็กผู้ชายคนนี้ขึ้นชื่อเสมอเรื่องตีแม่ตัวเอง

        “เอาของผมไปครับ”

        ผมยื่นเงินให้ป้าแม่ค้า แต่ก็ถูกดึงโดยลูกชาย

        “แค่นี้ก็จบ”

        “ไอ้ลูกเวร”

        ผมยิ้มเฉย ๆ ก่อนจะยืนขึ้นแล้วมองไปที่เด็กชายคนนั้น

        “แต่เธอต้องไปส่งฉันที่บ้าน”

        “อย่าเลยค่ะ”

        “ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าเป็นค่าจ้าง”

        “เออ ๆ” มันตอบกลับมา

        ผมขึ้นไปมอเตอร์ไซค์ของมัน ก่อนที่จะยิ้มให้กับป้าแม่ค้า แล้วรถของมันก็ออกตัวไป


        หน้าหมู่บ้านกับบ้านผมไม่ได้ห่างกันมานัก แต่ถ้าเดินก็เมื่อยพอดู ผมบอกทางเจ้าเด็กนี้อย่างละเอียดจนถึงบ้านของผม

        ดูมันจะอึ้ง ๆ นิดหน่อยกับสิ่งที่เห็น

        “ขอบใจที่มาส่ง”

        “นี่บ้านแ…บ้านคุณจริงเหรอครับ”

        “ก็ไม่เชิง”

        ผมยิ้มให้มันก่อนที่จะทำท่าโดยพยายามให้สร้อยคอเด่นสุด

        มันมองที่บ้านของผมด้วยแววตาที่ผมเองก็รู้ความหมาย เด็กอย่างมันขึ้นชื่อเรื่องการปล้น การยกเค้าบ้านคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งเฉพาะกลุ่มเด็กแว้นของมันที่แม้แต่กฎหมายยังทำอะไรไม่ได้

        “คุณอยู่กับใครบ้าง”

        เป็นคำถามโง่ ๆ ที่หลายคนเลี่ยงจะไม่ตอบ แล้วก็รู้ทันทีว่าคนสภาพแบบมันถามไปก็คงมีความหมายเดียว แต่ผมเองก็ได้แต่ดีใจภายในใจเพราะเดาถูกเกี่ยวกับคำถามของมัน

        ถ้ามันเฉลี่ยวใจสักนิดก็จะคิดได้ว่า คนอย่างผมทำไมถึงให้มันมาส่งบ้าน

        “อยู่กับแม่สองคน”

        มันพยักหน้าก่อนที่จะรีบบึ่งรถออกไปทันที โดยไม่ร่ำลา ผมมองตามอย่างยิ้ม ๆ ก่อนที่จะเดินไปกดออด สักพักก็มีร่างท่วม ๆ ของผู้หญิงวัยกลางคนที่ผมคุ้นเคยวิ่งมายังประตู เมื่อเปิดออกก็พบสีหน้าตกใจของเจ้าตัว

        “คุณหนู”

        “สวัสดีครับป้าศรี”

        “คุณหนู”

        เธอรีบวิ่งเข้ามากอดแล้วพาผมเข้าบ้าน เธอคงไม่รู้เรื่องที่ผมโดนทำร้ายจึงไม่มีคำถามเหล่านั้นที่ปกติแค่ผมมีอะไรนิดหน่อย เธอก็จะห่วงผมมมาก ๆ มากกว่าแม่ของผมเสียอีก

        ตั้งแต่หน้าบ้านเธอเล่าให้ผมฟังหลายอย่างที่เปลี่ยนไป บ้านหลังนี้ไม่เหมือนเดิม แม่ของผมไม่ได้ใจดีเหมือนพ่อกับผม สิ่งที่เธอทำคือการไล่คนใช้ออกเพื่อตัดค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็เลยมีแต่คนเก่าแก่เพียงแค่สามคนเท่านั้น

        “ตอนนี้มีใครอยู่บ้างครับ”

        “มีอีปอยกับป้าแหละจ้า ส่วนศิก็กลับบ้าน”

        ผมพยักหน้าก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งเดินมา

        “มาทำไม?”

        “ผมก็มาบ้านตัวเองนะสิครับ”

        “นี่ไม่ใช่บ้านแก”

        “ไม่ใช่บ้านแม่ด้วย”

        เธอดูโกรธนิดหน่อย

        “ไหนแกว่าจะไม่มายุ่งอีก”

        ผมหันไปมองป้าศรีที่ตัดสินใจเดินออกไป

        “ผมมีสิทธิ์ เพราะผมยังมีนามสกุลอยู่นะครับจำไว้ด้วย”

        “…”

        แม่ กระดากปากจัง เรียกหล่อนดีกว่า ไม่พูดอะไรอีกนอกจากเดินเข้าบ้านไป หล่อนทำอะไรผมไม่ได้ เพราะผมยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดตัวผมอยู่คือ พินัยกรรมของพ่อที่จะเปิดออกเมื่อผมอายุ 20 ปีบริบูรณ์และแน่นอนอีกไม่กี่วันผมก็จะครบแล้ว

        ผมเดินเข้าไปในบ้านตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของผม เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าทุกอย่างนั้นยังอยู่ที่เดิม รั้งแต่สมองให้จดจำแต่ช่วงเวลานั้น แต่ผมไม่ได้เจ็บปวดกับมันสักนิด

        เหมือนที่รินรู้สึก

        ผมเดินไปรอบห้องด้วยความคิดถึงก่อนจะล้มตัวนอน

        ก๊อก ๆ

        ผมเดินไปเปิดประตูก็พบปอย แม่บ้านอีกคนที่ทำงานกับที่บ้านเป็นเวลานาน ปอยอายุห่างจากผมไม่มากผมเลยไม่ได้เรียกพี่ เราเหมือนเพื่อนสมัยเด็กกันมากว่า

        “กลับมาไม่บอก”

        ผมยิ้ม ๆ

        “นี่ ไปอยู่ไหนเล่าให้ฟังหน่อย”

        “เดี๋ยวก็รู้ มีเรื่องเล่าให้ฟังเยอะแยะ”

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากสิ่งที่ผมคิดไว้

        “ตอนค่ำ ๆ แกกับป้าศรีไปนอนที่อื่นได้ไหม”

        “ทำไม”

        “เถอะน่า ฉันอยากเคลียร์กับแม่”

        ปอยพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะรีบวิ่งลงไป ผมเดินลงไปตามสองคนนั้นก่อนจะยื่นเงินจำนวนหนึ่งที่มีเหลืออยู่และมันมากพอที่จะทำให้พวกเขาไปสักพัก

        “จะดีเหรอคะคุณหนู”

        “ดีครับ” ผมยิ้ม ๆ

        ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปทันทีหลังจากได้รับคำสั่งผม


        แม่ไม่ได้เดินลงมาชั้นล่างจนถึงค่ำ ผมเองพยายามที่จะใช้ชีวิตปกติภายในบ้าน แกลงมาครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่สนใจผมนอกจากเรียกแม่บ้านและผมก็โกหกว่าพวกนั้นมีธุระด่วนเลยกลับไปสักพัก หล่อนดูหัวเสียไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากขึ้นไปข้างบน

        ผมเตรียมของบางสิ่งติดตัวไว้ มันคือมีดพกอันเล็กที่ผมแอบไปซื้อโดยที่พี่ไม้ไม่รู้ มีดพกที่สามารถช่วยชีวิตผมได้ ผมนอนลงบนเตียงที่คุ้นเคยไม่นาน ในช่วงเวลาเกือบตีสอง เสียงบางอย่างเหมือนคนอยู่ข้างล่างก็ดังขึ้น

        ผมยิ้มอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่มีความเสี่ยงมาก แต่กลับเป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้สมบูรณ์แบบ

        ผมยิ้มออกมาก่อนตัวเองก่อนที่จะพูดกับตัวเอง เพื่อให้รินได้ยินด้วยว่า

        “ถึงเวลาสนุกแล้วสิ”



มาต่อแล้ว เย้ ๆ ขอโทษที่เวลามาต่อค่อนข้างช้านะครับ เพราะติดอะไรหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องล่า จริง ๆ ครับ ส่วนตัวแล้วเราอยากให้เห็นในมุมมองว่าถ้าเป็นผู้ชายโดนการกระทำคล้าย ๆ กันจะเป็นยังไงบ้าง ส่วนตัวแล้วอาจจะมีบางตอน ดูยืด ๆ ลอย ๆ ไม่มีเหตุผล ก็ขออภัยด้วยนะครับ ^^ 

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 15 2/22/18
«ตอบ #36 เมื่อ22-02-2018 17:59:51 »

บทที่ 15

        ผมค่อย ๆ ลุกลงมาจากเตียงช้า ๆ ใช้เท้าเหยียบลงไปบนพื้นอย่างเบาที่สุด ผมค่อย ๆ ย่องเบาไปที่หน้าประตูก่อนที่จะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดแบบเบามือที่สุด
       
        ผมแง้มประตูออกมาเพียงเล็กน้อยและนั่งลงตรงนั้นเพื่อจะส่องไปที่ข้างนอกห้องของตัวเอง

        ผมนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นน่าจะนานพอสมควรก่อนที่ผมจะเห็นพวกมันสองสามคน เดินขึ้นมาบนบ้าน พวกมันสวมหมวกปิดหน้าเอาไว้ ผมจึงเห็นเพียงแค่ตาของพวกมันลาง ๆ เพราะข้างนอกถือว่ามืดมากยากที่จะมองเห็นได้ชัด พวกมันใช้สัญลักษณ์มือในการบอกหน้าที่กันและกัน มีสองคนเข้าไปห้องผู้หญิงคนนั้นและอีกคนยืนเฝ้าประตู

        “กรี๊ดดดดด”

        เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวระคนตกใจ

        “เฮ้ย ทำให้มันเงียบสิ

        “ปล่อยฉัน!”

        ผมไม่รู้ว่าพวกมันทำอะไร นอกจากได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นขัดขืนก่อนที่พวกมันจะพาหล่อนออกมา

        “เฮ้ย ไปดูอีกห้องหนึ่ง”

        ผมรีบผละออกจากประตูแล้วรีบไปนอนที่เตียง ผมซ่อนมีดพกเอาไว้ข้าง ๆ ในกางเกงของผม เสียงกระชากประตูอย่างรุนแรงทำเอาผมที่เตรียมตัวอยู่แล้ว ร้องออกมาอย่างตกใจ

        “เฮ้ยยย”

        พวกมันรีบเข้ามาจับผม ผมทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น ผมพยายามบีบน้ำตาด้วยความกลัวทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้กลัวเลยสักนิด

        ผมกำลังสนุกอยู่ต่างหาก

        ตัวของผมถูกมัดเอาไว้พร้อมกับผ้าที่เอามาปิดปากของผม

        ผมถูกลากมานั่งลงข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้น หล่อนกำลังจ้องมองมาที่ผม เหมือนสั่งให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมได้แต่เมินเฉยมันเสีย

        เมื่อถูกบังคับนั่งลงผมก็เห็นสิ่งในมือของพวกมันถนัดตา

        คนหนึ่งถือปืนสั้นกระบอกหนึ่งในมือแล้วเล็งมาที่พวกเราสองคน

        อีกสองคนกลับไม่มีอะไรเลย

        น่าแปลกพวกมันประมาทกันได้ขนาดนี้เชียวเหรอ คงคิดว่าพวกเราสองคนนั้นเป็นแค่แม่ลูกธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องกลัวอะไรมาก

        แต่ก็จริงเพราะรินก็เป็นเด็กธรรมดาจริง

        แต่ผมล่ะ? เป็นยังไง

        ผมมองดูพวกมันที่กำลังวางแผนอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะเดินดึงผ้าปิดปากของผู้หญิงคนนั้นออก

        “บอกมาซ่อนของไว้ที่ไหน”

        “ไม่มี ฉันไม่อะไรทั้งนั้น บ้านเราล้มละลาย”

        “โกหก กูเห็นมึงยังมีชีวิตปกติดี บอกมา!!! ไม่งั้นกูยิงมึงแน่ ๆ”

        “ไม่มีจริง ๆ”

        ผู้หญิงคนนั้นพยายามที่จะต่อต้านมัน เธอกลัวว่าสมบัติของพ่อจะหมดไป แต่ก็นั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์

        “งั้นถ้าไม่บอกกูจะยิงลูกชายมึงทิ้งซะ!”

        “มันไม่ใช่ลูกฉัน ยิงมันเลย แต่ฉันไม่มีสมบัติให้เหมือนเดิม”

        นี่สินะมนุษย์แม่ที่ใคร ๆ ก็บอกว่ารักลูกนักหนา ผมมองเห็นแต่ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวเพื่อตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

        แล้วใครคนหนึ่งก็มาดึงผ้าปิดปากออก

        “แม่ดูเหมือนไม่รักมึงเลยนะ”

        “ก็ยังดีกว่าแม่รักแต่กลับทำตัวชั่วแหละกัน”

        ไอ้โจรนั้น ทำไมผมจะจำไม่ได้มันก็คือไอ้ลูกชายป้าขายส้มตำนั้นแหละ

        “ปากดีนะมึง”

        ผัวะ

        มันตบผมหน้าหันก่อนที่จะบอกก่อนที่จะบีบข้างของผม

        “มึงจะบอกไหม”

        “กูจะบอก” ผมอู้อี้ตอบกลับไป

        มันปล่อยคางผม

        “กูจะพาไป”

        “อย่านะ!”

        ผู้หญิงคนนั้นห้าม แต่ว่าผมไม่ได้สนใจเลยสักนิด พวกมันหันหน้าไปปรึกษา ก่อนที่ไอ้เด็กนั้นลูกป้าขายส้มตำจะให้ผมนำทางไปยังสมบัติของบ้าน มันยังคงมัดมือผมไว้

        ไอ้พี่ใหญ่ของมันให้ปืนกระบอกหนึ่งไว้แล้วมันก็เอามาจี้ผม

        ผมพามันเดินไปที่ห้องเก็บของต่าง ๆ ที่ในนั้นมีตู้เซฟและของมีค่ามากมายหลายอย่างแน่นอน ผมได้ยินเสียงพวกมันพยายามที่จะหยุดผู้หญิงคนนั้นไม่ให้พูด

        “ตรงนี้แหละ”

        ผมบอกถึงจุดของตู้เซฟ

        “เปิดซิวะ”

        “แก้มัดให้ก่อนสิ”

        แล้วผมก็ใช้ความโง่ของมันในการหลอกล่อง่าย ๆ

        แล้วผมนั่งลงไปหมุนตู้เซฟตามคำสั่ง ตัวของผมเองก็ถูกจี้โดยปืน

        ผมได้ยินฝีเท้าวิ่งมา

        “หยุดนะ”

        ผมหันไปมองพร้อมกับไอ้นั้นที่หันไปพร้อมกัน

        ปัง

        เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มันยิงปืนไปที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของผม ยิงไปที่บริเวณหัวใจ เจ้าหล่อนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

        “โอ๊ย”

        ผมรีบหยิบหมีดพกออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วแทงมันลงไปที่คอของมัน

        “โอ๊ย ไอ้เหี้ย!”

        มันตกใจหันมามองที่ผม ผมก้มลงแล้วก็ใช้ร่างกายพลักมันจนล้ม แน่นอนมันที่ไม่ได้ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ปืนในมือก็หล่นลงมา

        ผมรีบเก็บมันไว้ก่อนที่จะเล็งไปที่มัน พวกเพื่อนของอีกสองคนตามมาก็ตกใจกับภาพที่เห็น

        “เหี้ย”

        ผมไม่ได้หันไปมองที่ผู้หญิงคนนั้นนอกจากเล็งปืนไปที่พวกมันที่ตกใจกับผมอยู่ ผมเหนี่ยวไกปืนทันที ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยิงมันได้โดยไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย ผมยิงมันเหมือนกับปืนของเล่น

        ปัง ปัง ปัง

        ผมเล็งไปที่ขาของพวกมัน มันคนหนึ่งสลบไปส่วนอีกสองกลับร้องระงมไปด้วยความหวาดกลัว ผมหันไปมองร่างของผู้
       
        หญิงที่นิ่งสนิท ผมค่อย ๆ ใช้นิ้วบริเวณจมูกเพื่อดูว่านางตายยัง

        แน่นอนไม่มีลมหายใจออกมาเลยสักนิด

        ผมรีบเดินไปที่โทรศัพท์บ้าน กดเบอร์ออกด้วยความคุ้นเคย

        “ช่วยด้วยครับ” ผมร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวที่คุ้นชิน

        “มีโจรบุกบ้านผม”

        หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็เข้ามา ผมที่กำลังนั่งเพลินก็รีบหยดน้ำใส่ตาให้ดูเหมือนร้องไห้ แล้ววิ่งออกไป ตำรวจเข้ามาในบ้านก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น

        ตำรวจเห็นโจรโดนยิงที่ขาทั้งสามคน พวกมันพยายามที่จะลากตัวเองหนี รอยเลือดของมันปรากฏตามรอยลากของพวกมันเอง

        แน่นอนมันหนีไม่ได้หรอก

        พวกมันถูกจับ

        กู้ภัยมาขนศพของผู้หญิงคนนั้น ผมแสร้งทำเป็นร้องไห้แล้วเล่ารายละเอียดที่บิดเบือนนิดหน่อย

        ผมแสร้งร้องไห้แล้วเล่าเหตุการณ์ไป น้ำตาไหลไป

        แน่นอนแหละว่าพวกเขาเชื่อ

        “ซวยจังเลยนะครับ”

        คุณตำรวจบางคนคุ้นเคยกับผมจากเหตุการณ์นั้น

        ผมเองไม่ได้พูดอะไรนอกจากโทรหาพี่ไม้

        เมื่อเขามาถึงผมรีบวิ่งไปกอดแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

        ผมโทรไปบอกป้าศรีกับปอย สองคนนั้นตกใจแล้วร้องไห้กันยกใหญ่ หลังจากนี้ผมเองก็ต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะจัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง

        คดีของพวกนั้นก็ถูกดำเนิน พวกมันสองคนเข้าคุก ส่วนลูกขายส้มตำนั้นอาการบาดเจ็บ เพราะโดนผมแทงมีดและยิงซ้ำ
มีทนายก็ติดต่อมาหาผมเรื่องมรดกของผม ที่ผมเพิ่งทราบว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อผมอายุบริบูรณ์อีกกรณีที่แม่ของผมนั้นเสียชีวิตแล้ว
ดังนั้นมันเลยย่นเวลาอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ได้แต่บอกว่าให้งานศพผ่านไปก่อนก็ได้ ทนายเข้าใจว่าผมยังไม่พร้อม แต่ผมแค่คิดว่าผมแค่อยากให้แน่ใจว่าเจ้าหล่อนจะไม่กลับมาทำร้ายผมและรินอีก

        งานศพที่จัดผมจัดได้อย่างธรรมดา ตามมีตามเกิด หลายคนดูแปลกใจที่ผมเองเลือกวัดธรรมดา ๆ และจัดงานทุกอย่างภายในสามวัน โดยให้เหตุผลว่า

        “ผมอยากให้แม่ไปอย่างสงบสุข แม่เป็นคนดี ท่านคงอยากไปจากโลกนี้ให้เร็วที่สุด”

        หลายคนดูแปลกใจและซุบซิบรวมถึงเรื่องของผม ที่เข้าหูป้าศรีที่ตอนแรกปอยไม่กล้าเล่าเพราะป้าศรีเป็นห่วงผมมาก
หลังจากงานศพวันที่สองป้าศรีก็เข้ามาหาผมภายในห้อง ผมยังอยู่ที่บ้านและจัดงานทุกอย่างโดยพี่ไม้และหมอจิตเวชนั้นมาช่วยด้วย แน่นอนมันไม่ได้อะไรกับผมนอกจากมองอย่างสงสัย

        “มีอะไรหรือเปล่าครับป้า”

        “ป้าแค่เป็นห่วง”

        ป้าพูดไปร้องไห้ไป พลางจับหน้าผมแล้วลูบหัวของผม

        “ป้าน่าจะดูแลคุณดีกว่านี้ ไม่น่าปล่อยคุณไปเลย”

        “ไม่ใช่ความผิดป้าหรอก ความผิดผมต่างหาก ผมดื้อเองที่อยากไป”

        ผมไม่รู้ว่ารินกับป้าศรีสนิทหันมากขนาดไหน ผมเองก็ออกมาแค่ตอนที่รินอ่อนแอเท่านั้น ผมได้แต่ปล่อยให้ป้าศรีปลอบจนพอใจแล้วกลับห้องของแกไป แต่ก่อนไปป้าแกก็พูดอะไรสักอย่างที่สะกิดใจผม

        “ป้าดีใจที่คุณหนูเข้มแข็งขึ้น แต่ป้าก็คิดว่าบางทีป้าก็เหมือนรู้สึกว่าคุณหนู ดูไม่ใช่หนูรินเลย”

        ผมนั่งคิดกับคำพูดนั้นเพราะว่าป้าแกคงเห็นว่าผมนั้นเปลี่ยนแปลงเกินไป

        เปลี่ยนจนไม่ใช่คนเดิมเลย

        วันต่อมาก็ถึงวันเผา ผมแค่ไปร่วมงานอย่างเงียบ ๆ เช่นเดิม แขกที่มาก็มีแต่คนรู้จัก ป้าที่ขายส้มตำก็คอยมาขอโทษผมอยู่เรื่อย แต่ผมไม่ได้ว่าป้าแกหรอก เพราะแกไม่ผิด แกแค่รักลูกชายตัวเองเกินไป แต่ลูกชายแกมันชั่วเอง แกบอกเองว่าจะปล่อยให้มันอยู่ในคุก ผมเองก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว

        “รัน”

        ผมหันไปมองก็เจอกับคนที่ผมไม่ชอบสักเท่าไหร่

        “รันเป็นไงบ้าง”

        “ก็ปกติครับ”

        ผมรีบเดินหนีแต่โดนกระชากตัวไว้ก่อน

        “เธอมีอะไรปิดบังหรือเปล่า”

        “ก็ลองหาดูสิ คุณเป็นหมอรักษาคนบ้าไม่ใช่เหรอ?”

        ผมยิ้มก่อนที่จะผลักตัวเองออกมา

        “อย่าลืมว่าเรามีนัดกันนะครับ”

        “ไม่ลืมหรอกครับ”

        “งั้นหวังว่าจะเจอกันนะครับรัน”

        “ได้สิครับ คุณหมอ”

        ผมมองหมอโรคจิตเดินกลับไป ผมเองก็โมโหไม่น้อยที่เจ้าตัวพยายามมาวุ่นวายกับผม ในเมื่อรู้แล้วว่าผมเป็นใครก็ไม่ควรยุ่ง ผมไม่ใช่รินที่ให้คนอย่างนั้นมาก้าวก่ายชีวิต

        “รัน”

        พี่ไม้เดินมาหาผมหลังจากที่หมอนั้นกลับไป

        “ครับ”

        “วันนี้รันจะนอนที่ไหน”

        “ที่บ้านนะครับ”

        พี่ไม้พยักหน้า

        “พี่ไม้มานอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม”

        “ได้สิ”

        ผมมองไปที่พี่ไม้แล้วยิ้มออกมา ก่อนที่จะจูงแขนของพี่ไม้กลับเข้าไปในงาน

        “รันรู้ไหม”

        “ครับ?”

        “รันเหมือนไม่เสียใจกับที่แม่รันเสียเลยนะ”

       

ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 15 2/22/18
«ตอบ #37 เมื่อ22-02-2018 21:40:51 »

อ่านตอนแรก แสนจะหงุดหงิด กับรินที่ไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ยอมย้ายหอ
รินโดนกระทำ จนจิตใจต้องสร้างรันขึ้นมา แต่รู้สึกสะใจดี ที่รันจัดการได้เหี้ยม!! เก็บกวาดได้สะอาดหมดจด รอดูเกมส์ "ล่า" ที่เพิ่งเปิดตัวของนายพรานรัน...อย่าทำให้คนอ่านผิดหวังนะ..

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 16 2/24/18
«ตอบ #38 เมื่อ24-02-2018 14:03:25 »

บทที่ 16


        ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่ไม้กลับไป ผมแค่เดินเข้าไปในงานแล้วเข้าไปคุยกับป้าศรีเรื่องพี่ไม้ที่จะเข้ามานอนที่บ้าน ป้าศรีก็ดีใจที่ผมจะได้มีคนดูแลนอกจากป้าและปอย

        วันนี้มีพี่ศิแม่บ้านที่กลับบ้านไปเพราะมีปัญหา เธอกลับมาที่นี่เพื่อมางานของคุณนายที่เธอรัก
       
        “เสียใจกับคุณรินด้วยนะคะ”

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ผมมองดูคนสนิทของแม่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนสนิทกับแม่แต่เธอไม่ได้เลวร้าย เธอยังช่วยป้าศรีเลี้ยงผมตั้งแต่เด็ก

        “เดี๋ยวผมจัดการอะไรเรียบร้อยผมเองก็จะคุยกับป้าศรี พี่ศิและปอยเรื่องงานนะครับ”

        ผมบอกพวกเขาไปอย่างนั้นก่อนจะเดินไปหาพี่ไม้ที่ยืนรออยู่หน้างาน

        “กลับกันเถอะครับ”

        “ครับ”

        หลังจากที่กลับมาถึงบ้านผมก็ได้เห็นทนายมายืนรออยู่หน้าบ้าน ทนายนั้นเป็นทนายที่เคยทำงานกับพ่อมานานหลายปีตอนนี้แกก็ค่อนข้างมีอายุมากขึ้น มือข้างหนึ่งก็ถือเอกสาร ใบหน้าอ้วนกลมที่เหี่ยวย่นตามวัย ทนายคนนั้นใช้มือขยับแว่นเล็กน้อยพลางมองมาที่ผม

        “สวัสดีครับคุณริน”

        “สวัสดีครับ”

        “เสียใจเรื่องแม่ของคุณด้วยนะครับ”

        “ครับ”

        ผมนำทนายเข้าบ้าน พี่ไม้ขอตัวที่ไปที่ห้องก่อน ผมบอกห้องของผมให้พี่ไม้ไปพักก่อนที่จะกลับมาคุยกับทนาย
ทนายวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็เปิดมันพร้อมกับที่ทนายเอาเอกสารหลายอย่างมาวางเรียงรายไว้ที่โต๊ะ
ผมมองมันไปด้วยอาการที่ปวดหัว เพราะมันดูวุ่นวายเหลือเกิน

        “เดี๋ยวผมขออ่านข้อความของคุณพ่อคุณก่อนนะครับ”

        “ครับ”

        จากนั้นทนายก็เล่าข้อความของพ่อให้ฟัง ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่า ทุกอย่างจะเป็นของผมทันที เมื่อผมอายุ 20 ปีบริบูรณ์หรือไม่ก็แม่ของผมเสียไป

        ผมได้ทั้งบ้าน เงินสดจำนวนหนึ่ง เครื่องเพชร พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ผมมีฐานะที่ดีมากกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับรินที่ในตอนนั้น ไม่มีเงินแม้แต่จะหาที่อยู่ดี ๆ

        ผมได้ทุกอย่างแล้ว เพียงแค่เซ็นเอกสารไม่กี่อย่าง ทนายก็จะจัดการให้ ผมบอกลาท่านแล้วก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน
ตอนนี้ป้าศรีก็เตรียมของกินไว้ให้เรียบร้อย ผมพูดกับแกว่า

        “พรุ่งนี้ขอให้ป้าศรี ปอยกับพี่ศิมาพบผมด้วยนะครับ”

        แล้วผมก็ขึ้นไปตามพี่ไม้ที่กำลังรออยู่บนห้อง

        “เป็นไงบ้าง”

        “ดีมากเลยครับ พี่ไม้ลงไปกินข้าวเย็นกัน”

        พี่ไม้พยักหน้าก่อนที่จะลงไปกินด้วยกัน เรานั่งกินอาหารกันเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรกันมาก ผมเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพี่แกได้ เราเหมือนรู้จักกันแต่ไม่ใช่เลย

        ผมนั้นต่างจากรินตรงมนุษย์สัมพันธ์

        ผมไม่เคยมีใครเลยสักนิด ผมอยู่คนเดียวมาตลอด

        อยู่ในหัวของรินอย่างเดียว

        ผมเหมือนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาและรับรู้เรื่องราวของรินจากนั้นก็หายไป

        ถ้าผมหายไปล่ะ

        ถ้ารินกลับมา

        “เป็นอะไรหรือเปล่า”

        ผมหันไปมองรอบ ๆ ก่อนที่จะพบว่าตัวเองออกมานั่งที่สวนข้างนอกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมนั่งมองหน้าพี่ไม้อย่างสับสน

        “เมื่อกี้ยังพูดจ้อ ๆ อยู่เลย เหมือนกับรินคนเดิมเลย”

        “พี่ไม้”

        “เฮ้ย ไม่ได้อะไรแต่เมื่อกี้รันยังเรียกตัวเองว่ารินอยู่เลย”

        “เหรอครับ”

        “ใช่”

        ผมเงียบไปสักพัก

        “พี่อยากให้รินมีชีวิตใหม่ก็จริง แต่ไม่ใช่คนใหม่นะ พี่อยากได้รินคนเดิมที่ร่าเริง แต่ไม่หม่นหมอง”

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ

        “รินแบบรันก็ดี แต่พี่ก็อยากได้รินคนเดิมกลับมา”

        ผมมองหน้าพี่ไม้ก่อนที่จะลุกขึ้น

        “ผมนี่แหละก็ยังเป็นริน เพียงแต่ผมไม่อยากที่จะจำมันเท่าไหร่ ผมอยากทิ้งอดีต พี่ไม้ก็พูดได้เพราะพี่ไม่เคยโดนแบบผม”

        “ไม่ใช่นะ พี่แค่ยากให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเปลี่ยนไม่ต้องพยายาม”

        “พี่ไม้ฟังไอ้หมอโรคจิตนั้นพูดใช่มั้ย จำไว้เลยนะ ไม่ว่าจะรันหรือริน ทุกคนคือคนเดียวกัน รันเป็นเพียงแค่ชื่อที่ผมอยากเปลี่ยน ผมไม่ได้พยายามเลยสักนิด!”

        นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากเป็นเจ้าของร่างนี่ ผมอยากจะเป็นรินเพียงคนเดียวที่ไม่มีใครอื่น

        “ไม่จริง”

        ผมชะงักกับเสียงในหัวก่อนจะพูดออกไปว่า

        “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

        ผมรีบเดินเข้าไปในบ้านเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ล้างหน้าตัวเองที่อ่างล้างมือ

        ผมกวักน้ำใส่หน้าไปเรื่อย ๆ หวังให้มันดับความร้อนในจิตใจ รวมถึงความคิดของผมเอง

        ผมมองตัวเองไปที่กระจกก่อนที่จะค่อย ๆ ลูบใบหน้าของตัวเองที่เปียกไปด้วยน้ำ ตอนนี้ไม่มีริน มีแต่รันเท่านั้น

        “ริน”

        ผมลองเรียกตัวเอง ตอนนี้ผมเหมือนคนเสียสติ

        “ริน”

        เงียบไม่มีอะไรทั้งสิ้น ผมยิ้ม ยังไงซะ ผมเองก็ยังครองร่าง รินนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่วคราวแค่นั้น…แค่นั้นแน่นอน



        “ฮัลโหลครับคุณหมอ รินมีอาการแปลก ๆ อีกแล้วครับ” หมอกฤษณะได้รับสายจากวีรภัทรที่คอยรายงานอาการของรินนภัทรเป็นระยะ

        ตอนนี้ตัวของเขาเองก็กำลังศึกษาเกี่ยวกับอาการ DID (Dissociative identity disorder) หรือโรคหลายบุคลิก ที่รินนภัทรมีแนวโน้มว่าจะเป็น

        อาการของรินนภัทรเข้าค่ายอยู่ในอาการที่ว่า อยู่ดี ๆ บุคลิกก็เปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ดูก้าวร้าว ถึงแม้ตอนแรกอาการจะดูเหมือนไบโพลาห์ แต่เมื่อตรวจสอบดีมันไม่ใช่เลยสักนิด

        รินนภัทรอยากให้ใครหลาย ๆ คนเรียกตัวเองว่ารัน ลักษณะนิสัยบางอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความน่ากลัวก็คือ รินนภัทรที่เป็นลักษณะเจ้าของจะถูกกลืนกินไปได้

        หมอกฤษณะได้เก็บความสงสัยไว้เงียบ ๆ เขารอวันที่เขาจะได้เจอรินนภัทรอีกครั้งหนึ่ง

        “วันนี้แปลกยังไงครับ” เขาถามกลับวีรภัทร

        “อยู่ดี ๆ เหมือนรินคนนั้นจะกลับมา”

        “กลับมาเหรอครับ?”

        “ครับ”

        กฤษณะรีบเช็คว่าตัวเองอัดเสียงไว้หรือเปล่า

        “ช่วยเล่าอาการหน่อยได้ไหมครับ”

        “อยู่ดี ๆ รันก็นิ่งเงียบสักพัก ก็ส่งเสียงครางในลำคอผมไม่รู้ว่าอะไร แต่เหมือนกับอะไรสักอย่างที่ผมเองก้ไม่รู้ว่าอะไร แต่เสียงนั้นมันน่ากลัวมาก สีหน้าแววตาก็ดูเปลี่ยน ผมเองก็เห็นเหตุการณ์กับทุกคนในบ้าน สักพักรันก็กลับมา ไม่ใข่สิ ริน เป็นรินต่างหาก”

        “คุณรู้ได้ไงครับ”

        “แววตาและการพูดครับ เขาพูดว่าตัวเองเป็นรินแบบไม่รู้ตัวเลยครับ”

        “แล้วเขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหมครับ”

        “เขาดูเหมือนไม่รู้อะไรมากกว่า ยังยิ้มแย้มแล้วพูดกับผม แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจเขาเลย ดูเหมือนเขาจะพูดคุยกับตัวเองเสียมากกว่า”

        “แสดงว่ารันยังครอบงำได้ไม่หมด แต่ตัวรินเองจิตใจก็คงพังไปไม่น้อย” กฤษณะว่า

        “รบกวนคุณไม้ดูแลเขาหน่อยนะครับ” กฤษณะขอ

        “ได้ครับ ผมต้องทำมันอยู่แล้ว ว่าแต่คุณหมอสงสัยว่ารันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของแม่เหรอครับ”

        “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่กลัวนิดหน่อยคุณก็เห็นว่ารันน่ะ น่ากลัวแค่ไหน”

        “แต่ผมว่าไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวผมดูแลเอง งั้นไม่รบกวนแล้วนะครับ”

        “ครับ”

        สายถูกวางกลับไป กฤษณะเอารายงานการรักษาที่เคยรักษารินนภัทรในวัยเด็ก หลังจากที่เจ้าตัวถูกทารุณกรรมทางเพศจากพ่อเลี้ยง

        เขาอ่านการรักษาอย่างระเอียดก็พบว่าจุดหนึ่งมันแปลกมากในรายงานนั้น

        ในนั้นมันบอกว่าเจ้าตัวแทนตัวเองว่ารันในบ้างครั้ง แล้วยังบอกว่าสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำมันสนุก แน่นอนหลายคนในตอนนั้นกังวลหลาย ๆ อย่าง จึงพยายามรักษาแล้วรินนภัทรก็กลับมาเป็นปกติ แต่สุดท้ายเพราะชะตากรรมหรือฟ้าลิขิตที่ทำให้รินนภัทรกลายมาเป็นแบบนี้อีกครั้ง กฤษณะค่อย ๆ วางมือจากเอกสารแล้วหลับตา

        เพราะเขากำลังรู้สึกผิดที่ทำให้รินนภัทรเจออะไรแบบนี้


        วีรภัทรเดินเข้ามาในบ้านก็พบว่ารินนภัทรกำลังยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ใบหน้าของเจ้าตัวกำลังร้องไห้อยู่ วีรภัทรสังเกตถึงท่าทางที่แปลกไป รินนภัทรคนนั้นกลับมาอีกแล้ว

        “รินเป็นอะไร”

        “พี่ไม้” รินนภัทรเข้ามากอดวีรภัทร

        สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ปลอบประโลมเท่านั้น

        “ขึ้นห้องกันเถอะ”

        เขาพาเจ้าตัวกลับมาที่ห้องก่อนที่จะพาไปที่เตียง

        “พี่ไม้”

        “ครับ”

        “นี่ระ ริน นะ”

        “ครับ”

        “รินไม่ได้เป็นอะไร”

        “ครับ”

        วีรภัทรพยายามที่จะกอดปลอบ

        “รินอยากจะเป็นริน”

        “ครับ”

        เขาไม่รู้ว่าจะตอบเจ้าตัวยังไง

        “พี่ไม้ช่วยได้ไหมครับ”

        “ยังไงครับ”

        “ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น”

        แล้วรินนภัทรก็ประกบปากกับวีรภัทรทันที เขาตกใจมาก แต่ก็เคลิ้มไปกับรสจูบนั้น ขณะที่ทุกอย่างกำลังเข้าที่แต่สมองของวีรภัทรก็สั่งการว่าเขาไม่ควรฉวยโอกาส

        “พอก่อนริน” เขาผละออกจากเจ้าตัว

        “พี่ว่ามันไม่ควร”

        “พี่ไม้เป็นอะไรหรือเปล่า” รินนภัทรถาม

        “พี่ว่ามันไม่ดี”

        “จะเป็นอะไรไปครับ พี่ไม้ไม่รักรินเหรอ”

        “ครับ พี่รักริน”

        “งั้นพี่ไม้ก็ทำสิครับ”

        “ไม่ดีกว่า”

        อยู่ดี ๆ รินนภัทรก็ร้องไห้

        “ผมคิดแล้วว่าคนอย่างพี่ไม้ต้องรังเกียจริน พี่คงขยะแขยงคนที่ผ่านผู้ชายมาเยอะอย่างผมแล้วสินะครับ”

        “ไม่ใช่อย่างนั้น”

        “ช่างมันเถอะครับ”

        รินนภัทรนอนลงแล้วหันหลังให้

        “ผมง่วงแล้ว”

        วีรภัทรกำลังงง ๆ ก็ตัดสินใจที่จะปิดไฟแล้วนอนลงข้าง ๆ รินนภัทร เขามองดูด้านหลังของเจ้าตัวที่เริ่มสงบนิ่ง เขาเองตอนนี้เริ่มนอนไม่หลับเสียแล้วก็กำลังคิดว่า เมื่อกี้นั้นคือรินหรือรันกันแน่ แววตาเป็นรินก็จริงแต่ทุกอย่างก็เหมือนรัน แต่ไม่ใช่รัน จะบอกว่าเขาเริ่มคุ้นเคยกับทั้งสองร่างก็ว่าได้ แต่ยังไงก็ตามเขาเองก็ควรจะช่วยรินให้มากที่สุด แต่ตอนนี้เขาขอนอนหลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิด

        เมื่อที่ความเงียบเริ่มย่างกรายเข้ามา วีรภัทรนั้นหลับไปแล้ว มีแต่รินนภัทรที่กำลังนอนน้ำตาไหลอยู่ พร้อมกับในหัวที่มีความคิดวนเวียนกันไปหมด

        “เห็นไหม เขารังเกียจแก แกยังจะรักเขาอีกเหรอ”

        “ไม่มีใครในโลกที่ไม่รังเกียจแกริน”

        “มีแต่ฉันที่รักแกคนเดียวริน”

        “ริน มีแต่ฉันที่ช่วยแกได้นะริน”

        “มีแค่ฉันคนเดียวที่รักแกริน”



ช่วงนี้จะกลับมาอัพบ่อย ๆ แล้วนะครับ ^^ ตอนนี้เขียนไปก็ปวดหัวไปเพราะอยากให้รู้สึกถึงความไม่ปกติทางจิตของริน(รัน) เองนั้นเองครับ หวังว่าคนอ่านจะไม่หนีความแปลก ๆ ของเรื่องกันนะครับ ฮ่า ๆ

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 17 2/25/18
«ตอบ #39 เมื่อ25-02-2018 16:37:32 »

บทที่ 17


        เสียงนกร้องดังออกมาจากนอกหน้าต่าง ผมลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะพบว่าหน้าต่างมันถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับที่ข้าง ๆ ตัวผมก็ว่างเปล่าไร้ร่างกายของคนที่ควรจะอยู่ด้วยเมื่อคืน

        ผมเอามือไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบว่ามันเย็นเฉียบซึ่งแสดงถึงการลุกจากที่นอนเป็นเวลานานแล้ว

        ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้ากระจก

        ตรงหน้าของผมก็คงยังเป็น “ผม” เหมือนเดิม

        ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าที่มันเป็นของคนอ่อนแอออก ก่อนที่จะยิ้มให้กับกระจก แล้วพูดประโยคให้กำลังใจตัวเองสั้น ๆ ว่า

        “สวัสดีตอนเช้ารัน”

        ผมเดินลงมาชั้นล่างที่ห้องอาหารก็เจอปอยกำลังยืนคุยกับพี่ไม้อยู่ ทั้งสองมองหน้าผมอย่างตกใจก่อนที่จะตัดสินใจทักทายผม

        “เอ่อ อรุณสวัสดิ์ระ…”

        “รันครับ”

        ปอยมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่จะมองหน้าพี่ไม้ ทุกการกระทำของทั้งสองอยู่ในสายตาของผม

        “วันนี้มี…”

        “ขอโจ๊กครับ”

        “ได้ค่ะ”

        แล้วปอยก็รีบเดินออกไป ผมนั่งก้มลงดูหนังสือพิมพ์ตรงหน้าที่ลงข่าวการตายของ “อดีต” แม่ของผมไว้หน้าหนึ่งด้วยหัวข้อที่ตลกมาก ๆ ว่า

        “ไฮโซสาวถูกโจรยกเค้าสังหารสยอง”

        สังหารนะเรื่องจริง แต่ไฮโซนี่คงต้องเปลี่ยนไปหน่อย มันไม่จริงสักนิดเดียว

        “ฮิฮิ”

        “เป็นอะไรหรือเปล่ารัน”

        “ครับ?”

        ผมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ใคร ๆ เห็นก็คงรู้สึกข่าว

        “ดูอารมณ์ดี”

        “ข่าวมันตลกนะครับ”

        “ไหนดูสิ”

        พี่ไม้ดูสีหน้าแปลกใจกับข่าวที่ผมให้ดู พี่ไม้เงยหน้ามองผมด้วยความรู้สึกที่กำลังกังวล

        “ตลกไหมครับ”

        ผมยิ้มถาม

        “โจ๊กได้แล้วค่ะ”

        ปอยเดินมาเสิร์ฟโจ๊กให้กับผม ผมตักมันเข้าปากอย่างไม่สนใจสายของคนรอบข้าง ผมไม่ได้สนใจพี่ไม้เมื่อกินเสร็จ ผมแค่บอกปอยให้เรียกแม่บ้านคนอื่นมาหาที่ห้องนั่งเล่น

        เมื่อทุกคนมาถึงผมก็แจกแจงรายละเอียดที่ผมคิดจะทำ

        “ผมจะไม่อยู่ที่นี่นะครับ”

        ทุกคนดูมีสีหน้าตกใจ แน่ล่ะคงกลัวตกงานกันไม่น้อย

        “แต่ผมก็ยังจ้างให้ทุกคนมาดูแลบ้านผมเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมให้เงินเดือนเท่าเดิมนะครับ”

       
อ้างถึง
ดูทุกคนสบายใจ

        “แล้วคุณหนูจะไปอยู่ไหน”

        “คอนโดครับ ผมกำลังจะไปหาคอนโดอยู่”

        “คุณหนูจะไปอยู่คอนโดทำไมคะ อยู่กับป้าที่บ้านเถอะ”

        “ผมว่าไม่สะดวกเท่าไหร่นะครับ เพราะผมจะตัดสินใจเรียนต่อ”

        ผมหันไปมองพี่ไม้ที่แปลกใจ

        “ผมเลยคิดว่าอยู่คอนโดสบายกว่า”

        ป้าศรีดูดีใจกว่าทุกคน แกเดินมาหาผมแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทุกคนเช่นกัน

        “ป้าดีใจที่คุณหนูจะเริ่มชีวิตใหม่”

        “ครับ”

        “ป้าแค่อยากให้คุณหนูรู้ว่า คุณหนูยังมีป้า”

        “มีปอย”

        “มีพี่ศิด้วย”

        “ครับทุกคน”


        ผมนั่งรถออกมาชานเมืองกับพี่ไม้เพื่อที่จะหาคอนโดนที่น่าสนใจอยู่

        “คิดไว้หรือยังล่ะ ว่าจะอยู่ที่ไหน เรียนที่ไหน”

        “ผมจะเรียนมหาลัยเปิดครับ”

        “เหรอ นึกว่าจะเอกชน”

        “ผมไม่ชอบที่จะต้องเรียนตลอดเวลาขนาดนั้น ผมยังอยากมีเวลาไว้สะสางอะไรหลายอย่าง”

        พี่ไม้พยักหน้า เอกชนกับรัฐก็คล้าย ๆ กัน มหาลัยเปิดทำให้ผมมีเวลาที่จะจัดการปัญหาที่ผมค้างคาไว้ได้สำเร็จโดยไม่ต้องกังวลอะไรเลยสักนิด

        พี่ไม้ขับรถพาผมมาที่ซอยหนึ่ง ผมลงจากรถเพราะจะมาดูคอนโดบริเวณที่ใกล้กับมหาลัยผม

        “เฮ้ย จับมันให้ได้”

        พร้อมกับมีร่างสูงที่คุ้นตาผมวิ่งผ่านไป พี่ไม้ดูตกใจเล็กน้อย แต่ผมที่เร็วกว่าก็รีบวิ่งตามร่างนั้นทันที

        “รัน!”

        “พี่ไม้รออยู่ที่นี่นะครับ” ผมบอกเขาไปก่อนจะวิ่งตามแก๊งวัยรุ่นพวกนั้น มันพากันวิ่งไปมาจนเข้าซอยเปลี่ยวเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ผมเห็นเด็กกลุ่มนั้นกำลังล้อมเด็กคนหนึ่งเอาไว้

        ผมได้ยินไม่ชัดว่าพวกมีพูดอะไรกัน แต่สักพักเด็กคนนั้นก็ถูกทำร้ายอย่างน่าตกใจจนเด็กคนนั้นเหมือนจะสลบไป พวกนั้นก็พากันเดินออกไป

        ผมรีบแอบตรงมุมอับเพื่อไม่ให้เด็กพวกนั้นเห็น ก่อนที่จะเดินเข้าไปร่างที่นอนแน่นิ่ง

        สภาพของเขาแทบจะดูไม่ได้ เสื้อนักเรียนเปรอะเปื้อน มีคราบเลือดและรอยรองเท้าเต็มตัว ใบหน้าที่บวม ปากที่แตก ผมค่อย ๆ เอามือไปเขย่าร่างนั้น

        “นาย ๆ”

        สักพักร่างนั้นก็ลืมตา เขาค่อย ๆ คว้ามือไปทั่ว ผมเห็นแว่นที่ตกข้างก็หยิบให้เขา เด็กคนนั้นใส่แว่นแล้วก็มองมาที่ผมชัด ๆ
ผมที่มองร่างตรงหน้าด้วยความโทสะก็เริ่มแปลกใจที่แววตาของเด็กคนนั้นแตกต่างจากมัน

        “คุณเป็นใคร”

        มันถามผม ผมไม่ตอบก่อนที่จะลุกขึ้น

        “ลุกขึ้นไปทำแผลเถอะ”

        เด็กคนนั้นค่อยพยายามลุกขึ้นก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ผมไม่ได้ช่วยเขาสักนิด เด็กคนนั้นมองหน้าผมด้วยแววตาแปลกใจ

        ผมเองก็แปลกใจ

        เพราะหน้าตาและรูปร่างของมันเหมือนกับ ไอ้ลี คนชั่วที่ทำร้ายผมในคืนนั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด

        ยกเว้นแว่นที่มันใส่และร่างกายที่ดูผอมซูบ

        โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินออกมาและผมก็เดินนำมันไป


        ผมโทรไปบอกพี่ไม้ให้กลับก่อน แต่พี่ไม้ก็ดื้อดึง ผมตัดสายเพื่อตัดปัญหาผมพาเด็กนั้นไปคลินิกใกล้ ๆ ผมจ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดก่อนที่จะพามาร้านอาหารข้างถนน

        “อยากกินอะไรก็สั่งนะ”

        มันสั่งไปสักพักอาหารก็มาเสิร์ฟ เด็กคนนั้นก็รีบตักอาหารอย่างหิวกระหายจนติดคอ

        “ค่อย ๆ กิน” ผมพูดไปมันก็มองหน้าผมก่อนที่จะค่อย ๆ กิน

        เมื่อมันกินเสร็จมันก็มองหน้าผมสักพักก็ถามผมขึ้นมา

        “พี่เป็นใคร ทำไมถึงมาช่วยผม”

        “ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เห็นคนโดนทำร้ายก็ช่วยเหลือเท่านั้น”

        “แค่นั้น”

        “ใช่”

        “ไม่ใช่มีจุดประสงค์อื่น”

        “ทำไม หรือว่านายมีปัญหาอะไรแบบนี้บ่อย”

        “ก็ไม่เชิง”

        “ว่าแต่นายหน้าคุ้น ๆ นะ”

        “ผมว่าแล้ว” มันยืนขึ้นตบโต๊ะดังลั่นพร้อมกับคนมามอง แล้วมองหน้ามาที่ผมอย่างหาเรื่อง

        “ผมจะบอกพี่ว่า ผมไม่ใช่มัน”

        “ไม่ใช่ใคร”

        “พี่ชายผม”

        ผมยิ้ม

        “แล้วทำไมพี่ชายนายมันทำไม”

        “…”

        มันเงียบไม่ตอบผม ผมมองดูมันสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นอีก

        “ถ้านายไม่ตอบฉันก็คงจะไม่บอกนายว่าฉันเป็นใคร”

        “ผมไม่อยากรู้”

        “อยากรู้แน่ เพราะฉันคือคนเดียวที่ช่วยนายได้ นายอยากให้ฉันช่วยไหม”

        “ผมไม่ต้องการ”

        “คิดให้ดี”

        “เราลองมาคุยข้อเสนอกันดีกว่า”

        ผมใช้คำพูดหลอกล่อมันไปที่ร้านกาแฟเงียบ ๆ แห่งหนึ่งเลือกมุมที่อับสายตา ผมนั่งตรงข้ามมันที่กำลังมองหน้าของผม

        “ข้อเสนออะไร?”

        “นายช่วยฉันฉันช่วยนาย”

        “ยังไง?”

        “นายต้องบอกมาก่อนว่านายชื่ออะไรแล้วเป็นอะไรกับลี”

        มันดูแปลกใจเล็กน้อย

        “พี่รู้จักลีด้วยเหรอ”

        ผมพยักหน้า มันหลบสายตาผมสักพักก็เงยหน้าเพื่อพูดกับผม

        “ลีเป็นพี่ชายฝาแฝดผม แต่พ่อแม่รักลีมากกว่าเพราะผมไม่เก่งอะไรเลย ผมเหมือนส่วนเกินสำหรับพวกเขา”

        “เหรอ”

        “พี่ชายผมก็แกล้งผม พ่อก็ดุผม แม่ก็นิ่งเฉย ผมไม่เคยมีใครช่วยผม”

        ผมมองเด็กคนนี้ที่หัวอ่อนกว่าที่คิด ท่าทางของมันจะถูกใช้ง่ายชะมัด แต่ว่าไม่ได้เพราะครอบครัวอาจทำให้เด็กคนนี้อ่อนแอและเก็บกดกว่าที่คิด

        “ไม่มีใครดูแลผม ผมโดนแกล้งทุกคนก็เพิกเฉย พอเกิดเรื่องพี่ชายผม…พวกเขาก็เอาแต่ช่วยเหลือผมและเคยพยายามให้ผมรับผิดแทนเขา”

        ผมตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน ทำไมครอบครัวของเขาถึงทำได้ขนาดนี้ เหมือนกับผมมาก ๆ เลย ผมค่อย ๆ เอามือไปกุมมือเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นมองหน้าผม

        “ผมอยากจะหนีไปจากพวกเขาแต่ผมทำไม่ได้ ทุกคนที่แกล้งผมก็เพราะว่าผมหน้าเหมือนลี ทั้ง ๆ ที่ต่อให้ฆ่าผมตาย ลีก็ไม่มีทางเจ็บ”

        “ชีวิตนายก็เหมือนฉัน”

        มันมองหน้าผม

        “ฉันถูกแม่ตัวเองปล่อยให้โดนพ่อเลี้ยงข่มขืน”

        มันทำหน้าตกใจมาก

        “เห็นไหมว่าเราเหมือนกันขนาดไหน”

        “พี่”

        เด็กนั้นมันเอามือผมไปกุมเช่นกัน

        “นายชื่ออะไร”

        “ผมชื่อลิน”

        ชื่อคล้ายกับรินจังเลย

        “ริน ร เรือ”

        “ล ลิงครับ”

        ผมยิ้มให้กับ”ลิน” พร้อมกับกุมมือมันไว้เพื่อที่เราจะสร้างมิตรภาพเพื่อวันข้างหน้าสำหรับภารกิจของผม

        ภารกิจทวงชีวิต



มาลงแบบสั้น ๆ น่ารัก ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 17 2/25/18
« ตอบ #39 เมื่อ: 25-02-2018 16:37:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 17 2/25/18
«ตอบ #40 เมื่อ25-02-2018 17:03:14 »

สนุกกกกกกค่ะ.   :katai2-1:ติดตามๆ

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
«ตอบ #41 เมื่อ28-02-2018 17:23:38 »

บทที่ 18


        จะหาว่าผมนั้นโหดร้าย เป็นเหมือนซาตานสำหรับเด็กคนหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก ผมเองก็ไม่ต่างจากหมอกิตต์หรอกที่จะคุ้นเคยกับการพูดโน้มน้าวใจ อย่าลืมสิ ผมอยู่กับหมอกิตต์มาเกือบครึ่งชีวิต

        แต่ใช้คำว่าครึ่งชีวิตก็ไม่ถูกเพราะมีแต่รินที่อยู่กับหมอบ่อยกว่าผมอีก ดังนั้นไม่แปลกที่ผมจะกลายเป็นคนที่เข้าใจคนที่มีจิตใจอ่อนไหวแบบลิน หรือพูดแบบบ้าน ๆ เลยว่า ผมนะเข้าใจคนบ้าด้วยกัน

        เด็กลินนี่ก็ดูจิตใจอ่อนไหว ไม่มั่นคง แต่มันก็มีประโยชน์ต่อผมบางอย่าง ผมจะใช้มันในการทวงชีวิตของผมและรินคืนมา

        “พี่จะกลับยังไง”

        “มีคนมารับ”

        “แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

        “พี่มาหาห้องพัก พี่คิดว่าจะมาเรียนแถวนี้”

        “เหรอครับ”

        มันพูดพร้อมกับมองไปที่ถนน ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ม้านั่งแถวสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบ ๆ ก็วุ่นวายพลุ่งพล่านตามปกติที่มันควรจะเป็น ผมก้มมองดูเวลาก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว

        “นายจะกลับยังไง”

        “ผมเดินกลับครับ”

        “ให้พี่ไปส่งไหม”

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ลินลุกขึ้นแล้วมองที่มาผมพร้อมกับยิ้ม

        “ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือผม”

        “ไม่เป็นไร”

        ผมยิ้มตอบให้กับมันก่อนที่เราจะแยกจากกันไป ผมยังไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างให้กับมัน ผมไม่รู้ว่ามันจะกล้าทำหรือเปล่า ผมโทรหาพี่ไม้ทันทีหลังจากที่ผมจัดกรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

        “วันนี้เป็นไงบ้าง เด็กคนนั้นเป็นไง”

        “ก็ดีครับ”

        “แล้วได้ที่พักไหม”

        “ยังไม่ได้หาครับ”

        “รัน คือเรื่อง…”

        “พี่ไม้ลืมมันเถอะครับ”

        พี่ไม้เงียบไปสักพัก ก่อนที่พี่ไม้จะเลี้ยวเข้าที่บ้านของผม แล้วก็ลงไปเปิดประตูเอง สักพักพี่ไม้ก็ขึ้นมาขับรถเข้าไปในบ้านก่อนที่ผมจะสังเกตถึงรถที่ไม่คุ้นเคย ผมลงจากรถแล้วรีบตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน ผมก็เห็นแขกสองคนมาที่บ้านผม

        คนหนึ่งคือหมอโรคจิตที่ผมเกลียดเข้าไส้

        คนหนึ่งคือตำรวจที่ช่วยผมเอาไว้

        “สวัสดีน้องริน”

        ผมมองหน้าคุณตำรวจสักพัก ก็ตอบกลับไปว่า

        “สวัสดีครับคุณตำรวจ”

        สักพักพวกเราก็พากันไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ป้าศรียกอาหารที่เตรียมไว้มากมาย มาวางเรียงไว้บนโต๊ะ

        “วันนี้ไม่คิดว่าแขกคุณหนูจะเยอะขนาดนี้จะได้เตรียมอาหารไว้ให้เยอะ ๆ”

        “ไม่เป็นไรครับ พวกเราเองก็มาโดยที่ไม่บอก” หมอโรคจิตตอบ

        “แม้คุณกิตต์ก็พูดเหมือนคนไม่คุ้นเคย เห็นกันมาตั้งนาน”

        ผมมองป้าศรีสลับกับหมอกิตต์

        “เสียใจด้วยนะเรื่องแม่ของริน” นายตำรวจนั้นพูด

        “ไม่เป็นไรครับ”

        เขาดูแปลกใจกับความห่างเหินของผม ถึงผมจะอยู่กับรินแต่ผมก็รับรู้เพียงแค่บางอย่างเท่านั้น นอกนั้นผมเองไม่ค่อยได้รู้อะไรนัก

        “วันนี้มาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

        “พี่มาเรื่องคดีของเรา” ตำรวจพูดพร้อมกับตักอาหารไปด้วย

        “อะไรครับ”

        “คือพอดี เด็กคนหนี่งที่อยู่ในสถานพินิจกำลังถูกปล่อยตัว”

        “ปล่อยตัว!” เป็นพี่ไม้ที่เสียงดัง

        “ใช่ รู้สึกว่าจะชื่อลีนี่แหละ”

        “หมายความว่าไงครับ” พี่ไม้ถามย้ำอีกครั้ง

        “ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนพ่อแม่ของเด็กลีนั้นมีคนค่อยช่วยเหลือ”

        “คนชั่วอย่างนั้นมีคนค่อยช่วยเหลือด้วยเหรอครับ” พี่ไม้พึมพำ

        “ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่ทางเขาเองก็บอกว่าในบรรดาห้าคน ลีนั้นมีหลักฐานมัดตัวน้อยที่สุด”

        ผมเริ่มที่จะกำมือของตัวเองแล้วเกร็งแน่นไว้อย่างนั้น เมื่อภาพที่ผมคิดว่ามันควรจะหายไปเห็นเตือนสติขึ้นมา ภาพที่ผมกำลังถูกระทำอย่างทารุณเหมือนที่ผมไม่ใช่คน จากพวกสัตว์เดรัจฉานทั้งห้า

        “เรากลัว” เสียงในหัวยังคงย้ำเตือนผมอีกครั้งว่าที่ผมอยู่ได้เพราะใคร และผมมีหน้าที่อะไรในครั้งนี้

        “แล้วคนที่อยู่ในคุกล่ะครับ” หมอโรคจิตถาม

        “นั้นยากหน่อยครับ ไม่มีทางที่พวกมันจะออกมาแน่นอน”

        พี่ไม้ดูหัวเสีย หมอโรคจิตดูเงียบลง ผมเองก็เห็นสีหน้าของตำรวจนั้นที่เสียอย่างชัดเจน

        โธ่ น่าสงสาร หมายถึงตัวผมเองต่างหาก

        ผมค่อย ๆ วางช้อนลง ผมไม่มีอารมณ์ที่จะแตะอาหารอีกต่อไป ยอมรับว่าในใจตอนนี้มีแต่อารมณ์โทสะเต็มไปหมด แต่ผมไม่อยากจะให้ใครผิดสังเกตสักนิด

        “ผมว่า ปล่อยให้เวรกรรมทำหน้าที่ของมันไปดีกว่า”

        สามคนนั้นมองหน้าของผมด้วยสีหน้าที่แปลกใจกว่าเดิม

        “ขนาดกฎหมายยังจัดการคนชั่วไม่ได้ ก็คงจะมีแต่เวรกรรมเท่านั้นแหละที่จะจัดการพวกมันได้”

        แล้วทั้งโต๊ะก็เข้าสู่ความเงียบงัน

       
        ตำรวจที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ชาติ ขอลากลับก่อนพร้อมกับขอโทษผม ผมหันไปมองหมอโรคจิตที่ยังคงอยู่ที่บ้าน

        “ไม่คิดจะกลับบ้านเหรอครับ”

        “พี่อยากดูอาการของเราให้แน่ใจ”

        “ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เชิญคุณหมอกลับบ้านดีกว่า”

        หมอนั้นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

        “ได้ครับ แล้วเจอกัน หวังว่าคุณคงไม่ทำอะไรที่มันร้ายแรงหรอกนะครับ”

        “ดูคุณหมอจะห่วงรินจังเลย” ผมพูดออกมา

        “ก็คุณเป็นคนไข้”

        “คุณหมอชอบรินเหรอ”
       
        “ผมขอตัวกลับก่อน”

        “คุณคงเสียใจที่ตอนนี้ไม่ใช่ริน แต่ไม่เป็นไรยังไงเราก็คือคนเดียวกัน”

        “ไม่ คุณไม่ใช่ริน ไม่ใช่เลยต่างหาก”

        เขาพูดเสร็จก็เดินออกไป ผมมองหน้าหมอโรคจิตนั้นอย่างแค้นเคือง แต่ผมก็สลัดความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็วเพราะผมรู้ว่าผมไม่ควรที่จะทำร้ายใครสักคนที่ไม่เกี่ยวข้องนอกจากพวกมัน ตอนนี้ผมเองก็ควรจะวางแผนได้แล้ว

        วันต่อมาพี่ไม้ไปทำงาน ส่วนผมก็ออกจากบ้านเหมือนเดิม เป้าหมายของผมก็คือเด็กลินคนนั้น วันนี้ผมแต่งตัวดูดีกว่าปกติ มานั่งรอมันที่ร้านกาแฟ ผมนั่งรอสักพัก ก่อนที่จะเห็นเด็กนั้นวิ่งกระหืดกระหอบมา

        “ขอโทษนะพี่ พอดีกว่าแม่ผมจะปล่อยออกมา”

        “ไม่เป็นไร กินอะไรมาหรือยัง”

        “ยังครับ”

        “อยากกินอะไรไหม”

        มันยิ้มนิด ๆ ก่อนจะส่ายหน้า

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ผมเห็นสีหน้าของมันที่ดูลังเลนิดหนึ่งก่อนที่จะถามผม

        “พี่เป็นเกย์หรือเปล่า”

        “ทำไม”

        “ผมรู้สึกว่าพี่ ไม่ได้แค่อยากจะช่วยผมอย่างเดียว”

        “ถ้าพี่มีจุดประสงค์อื่นและพี่เป็นเกย์จริง ๆ นายจะทำยังไง”

        “ผมไม่ขัดครับ เพราะพี่ช่วยผมไว้” ผมยิ้มนิด ๆ ก่อนที่จะลูบแก้มของเด็กคนนั้น แต่ความรู้สึกขยะแขยงก็เริ่มเกิดขึ้น พร้อมกับความทรงจำที่พี่ชายของมันทำกับผม

        “พี่เป็นอะไร”

        “เปล่า”

        ไม่เป็นไร มันก็แค่คนหน้าเหมือนกันเท่านั้น ผมพามันไปกินอาหารดี ๆ ก่อนที่จะพาไปที่ที่หนึ่ง

        “พี่พาผมมาที่นี่ทำไม”

        “คลายเครียด”

        ผมพามันไปเตรียมตัว มีครูฝึกค่อยเราอยู่ เขาแนะนำทุกอย่างก่อนที่จะพาเราไปจุดยิง ใช่ ผมพามันมาที่สนามยิงปืน ผมได้รับการสอนนิดหน่อย ก่อนที่จะยิงไปที่เป้าอย่างแม่นยำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าความกล้าของผมมันมาจากไหน แต่นั้นแหละรินไม่มีวันทำแบบนี้ได้แน่นอน

        ผมหันไปมองเด็กคนนั้นที่กำลังงก ๆ เงิ่น ๆ กับปืน ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะกระซิบข้างหูของมัน

        “นายเห็นเป้านั้นไหม”

        มันพยักหน้า

        “นายลองจินตนาการดูว่า ตรงนั้นคือคนที่นายเกลียดมันมาก ๆ นายลองแทนจุดต่าง ๆ เป็นร่างกายของคนนั้น นายต้องตั้งสติแล้วค่อย ๆ เหนี่ยวไก”

        มันหันมามองผม แต่ผมก็ดันหน้ามันกลับไปที่เป้า

        “มันทำอะไรกับนายไว้ คิดสิ ใครที่ทำร้ายนาย คิดสิตอนนายโดนกระทำ ตอนนี้นายเองก็เป็นฝ่ายทำคืนแล้ว”

        ปัง ปัง

        มันยิงปืนออกไปแล้วหันมามองผม ผมยกนิ้วโป้งให้กับมันก่อนที่มันจะยิ้มตอบ ตอนนี้ผมกำลังเลี้ยงดูบ่มเพราะความแค้นของเด็กคนหนึ่ง ถ้าความแค้นมันสุกงอมเมื่อไหร่ กลิ่นของมันจะโชยหอมหวานจนเราแทบจะดอใจไม่ไหวเลยทีเดียว

       
        “ขอบคุณพี่มากนะครับ”

        “ไม่เป็นไร”

        ผมพามันนั่งแท็กซี่มาส่งที่บ้านหลังหนึ่งในซอยที่มีบ้านเดี่ยวปลูกใกล้ ๆ กัน แต่ก็ห่างพอที่จะไม่ได้สนใจกันนัก

        “แถวนี้น่ากลัวนะว่าไหม” ผมพูดเมื่อมองไปรอบ ๆ ว่าบ้านแต่ละหลังมีเนื้อที่มากพอที่จะปลูกต้นไม้ ถ้าเป็นกลางคืนแถวนี้จะดูน่ากลัวมาก ๆ

        “ผมชินแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวนะครับ”

        “อืม”

        ลินเปิดประตูแท็กซี่ก่อนที่จะลงไป ผมมองมันจนเข้าบ้านก็บอกแท็กซี่ให้กลับไปที่บ้านของผม เมื่อผมมาถึงผมก็เห็นพี่ไม้กำลังนั่งอยู่ห้องนั่งเล่น

        “รันไปไหนมา”

        “ผมไปธุระนิดหน่อย”

        “เรื่องที่พัก?” พี่ไม้ดูท่าทางสงสัยผมไม่น้อย จึงดูพยายามที่เค้นจอะไรจากผม

        “ประมาณนั้นครับ ผมขอตัวนะครับเหนื่อย” ผมบอกปัดพร้อมกับเดินหนีไป

        ผมเดินขึ้นไปที่ห้องก่อนที่จะได้รับรู้ถึงการสั่นของมือถือของผม ผมดูเบอร์ก็เป็นเบอร์ของลินที่ผมเพิ่งให้ไป กำลังโทรเข้ามา มันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมา ผมถามตัวเองก่อนที่ตัดสินใจรับสาน

        “ฮัลโหลพี่รัน” ลินพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่ร้อนรน

        “อะไร”

        “ช่วยผมด้วย”

        “เกิดอะไรขึ้น”

        “พ่อแม่จะฆ่าผม”

       


มาต่อแล้วนะครับ อาจจะดูสับสนตรงรินกบัรันนิดหน่อย แต่เป็นความตั้งใจของผมที่ทำให้รู้สึกว่าโรคของรินเป็นอาการหลายบุคลิกแต่บุคลิกของรันนั้นยังไม่สามารถที่จะกลืนบุคลิกรินได้ทั้งหมด อารมณ์เหมือนคนที่ไม่ปกติทางจิตเพราะเรื่องนี้เล่าในมุมมองของริน(รัน)นะครับ ถ้างงตรงไหนไรท์จะพยายามปรับให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ ^^


ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
«ตอบ #42 เมื่อ01-03-2018 08:45:26 »

ความรู้สึกเหมือนรันจะได้น้องลินมาเป็นเมีย

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
«ตอบ #43 เมื่อ01-03-2018 09:54:51 »

สงสารลิน มีพี่ชายแบบนี้และยังต้องอยู่ในสังคมแบบนี้.....

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 19 3/10/18
«ตอบ #44 เมื่อ10-03-2018 15:57:18 »

บทที่ 19


        แสงไฟสีส้มนวลตาภายในห้องปรับความรู้สึกของผมที่ตื่นกลัวให้สงบลงเมื่อคิดได้ว่า ความรู้สึกสงบที่เคยหายไปกลับมาแล้ว คนข้างหน้าผมก็ยังคงนั่งจ้องหน้า ดวงตาภายใต้แว่นหนาไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความรู้สึกเกร็งให้ผมไม่น้อยเหมือนกัน

        “หมออยากรู้ว่าตอนนี้หมอกำลังพูดกับใครอยู่ครับ”

        ตอบไปสิ

        “ระ…รินครับ”

        ใช่ เราสองคนได้ตกลงกันแล้วว่าผมจะออกมาตอนที่ต้องมารักษากับพี่กิตต์ เพราะรันทนไม่ได้ที่ต้องถูกถามคำถามที่น่ารำคาญจากเขา เรานัดแนะกันถึงเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด

        “ปิดใจ ซ่อนแววตาไว้”

        “อย่าทำให้เขาเข้ามาในความคิดของเราเด็ดขาด”

        ผมนั่งนิ่งไม่ไหวติง พอ ๆ กับพี่หมอที่นั่งนิ่งเงียบมองมาที่ผมเช่นกัน สายตาของเขาดูมีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ผมรู้ว่าเขาพยายามที่จะทำหน้าที่หมอให้ดีที่สุด

        “รินเป็นไงบ้าง” หน้าเครียดถามผมพร้อมกับเท้าคางมองมา เขาดูผ่อนคลายเมื่อรู้ว่าไม่ต้องคุยกับรัน

        หมายความว่าไงวะ เสียงรันประท้วงในหัวเมื่อผมนึกถึงเขา

        “ก็ดีครับ…ถ้าไม่นับหลายเรื่องที่เข้ามา”

        “ยังไง”

        “เรื่องแม่ เรื่องคดี”

        ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากพยักหน้ามองมาที่ผม

        “พี่อยากรู้ว่ารันมาได้ยังไง”

        ตอบออกไปตามปกติที่แกรู้สึก เสียงบัญชาจากรันยังคงดังอยู่ในหัวของผม รันรับรู้ทุกอย่างแม้เขาจะไม่ได้ออกมา ผิดกับผมที่จะหายไปและเรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถรู้ได้เลย

        “แกไม่จำเป็นต้องรู้ พักผ่อนซะ” เขามักจะพูดอย่างนี้เสมอกับผม

        “วันนั้นหลังจากจากเหตุการณ์นั้น ผมฝันว่าผมมีใครอีกคนอยู่ในตัว หมายถึง ความคิด เขาบอกว่าเขาช่วยผมได้”

        “ยังไง?”

        “ผมไม่รู้ ผมแค่ตอบตกลงไป แล้วจากนั้นผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นตัวเองซักเท่าไร มันมีเสียงในหัวตลอดเวลา คอยพูด คอยบอกผมให้ทำทุกอย่าง”

        “เขาพารินไปทำอะไรที่แบบว่า…เอ่อ…ไม่ดีหรือเปล่า?”

        อย่านะ

        “ไม่ครับ แค่บอกประมาณว่าให้ผมเข้มแข็งขึ้น”

        “ถ้าพี่จะคุยกับรันได้ไหม”

        “ไม่รู้สิครับ ผมเรียกเขาออกมาไม่ได้เพราะเขาจะออกมาเอง”

        “โอเค”

        เขาหาอะไรสักอย่างก่อนจะนำมันมาตั้งไว้บนโต๊ะ มันเป็นรูปภาพแปลก ๆ ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจนัก มันเป็นหมึกสีดำ ๆ ที่หยดลงไปบนกระดาษ เหมือนงานศิลปะที่ไม่ต้องคิดอะไร เราแค่จุ่มหมึก แล้วปล่อยให้หมึกไล่ลงจากพู่กันตามการเคลื่อนไหวของเราเอง

        รูปภาพแรกถูกเลือกขึ้นมาตั้งไว้ มันมีปีกสองข้าง แต่ก็มีช่องระหว่างปีกนั้น ผมมองว่ามันคล้ายหน้ากากเสียมากกว่า หน้ากากที่น่ากลัวเสียด้วย

          รูปอะไรหมอมันบ้าหรือเปล่า เสียงแว้ด ๆ ของรันในหัวของผมกำลังด่าพี่กิตต์อย่างหยาบคายด้วยคำที่ผมเองแทบไม่เคยพูดมันออกมาเลยสักครั้ง ตั้งแต่เกิด

        “บอกได้ไหมว่าเห็นอะไร”

        (อวัยวะเพศผู้หญิง)ตอบมันไป 

        “รูป_ครับ”

        “มองเป็นอย่างนั้นเหรอ”

          ถามมากเสียเวลารำคาญฉิบหาย พูดกับมันไป

        ‘ไม่ได้หรอก’ เสียงสองคนในหัวกำลังตีกันปั่นป่วนไปตามความรู้สึกที่มี เหมือนกับว่าตัวของผมตอนนี้ไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของร่างกายที่แท้จริงเสียแล้ว…ร่างของผมกำลังถูกยึดโดยรันอย่างช้า ๆ

        “รินได้ยินพี่ไหม”

        หันไปมองรูปที่ถูกสับเปลี่ยนใหม่ หูของเราไม่ได้ยินเสียงคำถามจากพี่กิตต์เลย เรากำลังถกเถียงประเด็นบางอย่าง เรื่องที่รันจะจัดการเอง

          แกมันช้า หมอแบบนี้ต้องเจอฉัน

        ‘นั้นแหละ เขาพยายามที่จะเอาแกออกมาดูไม่ออกเหรอ’

          ก็ให้มันเจอไปสิ

        “ครับ”

        รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ภาพในมือนั้นดูน่าสนใจดีแต่ไม่ใช่สำหรับผมเลยสักนิด ผมมองหน้าของของหมอกิตต์ที่กำลังมองผมอย่างจับผิดสังเกต

        “มันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”

        “มันเป็นการวิเคราะห์อาการของ…รันเองนะครับ”

        “ไม่ต้องเสียเวลาในการบอกเลยสินะครับ หมอฉลาดจัง”

        รอยยิ้มอันน่ากลัวของหมอกิตต์ที่เรียกเสียงในความคิดของผมว่า น่ากลัวจัง มันไม่ได้ทำให้ผมสะท้าน ผมน่ะผ่านรอยยิ้มแบบนั้นมาหมดแล้ว หลายรอยยิ้มด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าผมนะกร้านโลกแค่ไหน

        อย่าพูดถึงมันได้ไหมรัน ขอเถอะ

        ‘ดัดจริต’ แล้วเสียงในหัวก็เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

        “พี่อยากให้รัน อย่าทำอะไรรินเป็นอันขาด”

        “จะทำไมครับคุณหมอ จับผมเข้าโรงพยาบาลบ้าเหรอ”

        ผมพูดเสร็จก็คว้าเอาเครื่องเล็ก ๆ ข้างหน้านั้นโยนไปที่ผนังห้อง เสียงกระทบของมันรุนแรงบ่งบอกถึงว่าเครื่องนั้นแตกละเอียดขนาดไหน เทียบได้กับหัวใจของผมที่แตกละเอียดไม่แพ้กัน

        “รัน!”

        มือนั้นคว้าแขนของผมทันที แววตานั้นฉายความโทสะที่พยายามปิดไม่มิดเอาเสียเลย ผมได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นแล้วค่อย ๆ ดึงมือที่จับแขนออก ปัดแขนของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปที่เครื่องบันทึกเสียงนั้นที่แหลกละเอียดคาพื้นไม่ต่างจากซากเน่า ๆ ชิ้นหนึ่งที่ผมก็เคยเห็น

        “หมอลองคิดดูสิว่า เครื่องนี้หมอจะมีหนทางกลับมาซ้อมได้เหมือนเดิมไหม”

        “ได้” ดูเหมือนอารมณ์นั้นจะเบาบางลงมากเสียแล้ว แหม ไม่สนุกเลยสักนิด ผมโกยซากมันขึ้นมาแล้วยื่นไปให้หมอกิตต์ดู

        “ถึงซ่อมมันก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมเลยสักนิดต่อให้เก่งแค่ไหนก็เถอะ”



        การรักษานั้นผมไม่รู้ว่าผลจะเป็นอะไร จะถูกลงความเห็นว่าบ้าหรือไม่ก็สุดแล้วแต่พี่กิตต์ แต่สุดท้ายผมเองก็ต้องทำตามเสียงในหัวที่กำลังบอกผมทุกการกระทำ

        กลับห้องแล้วคุยกับเด็กนั้นซะ ฉันเชื่อว่าแกทำได้ริน

        ผมทำตามบัญชาทุกอย่างแม้ในใจอย่างหวั่นวิตกมาก การที่เห็นคนที่หน้าเหมือนคนที่ทำร้ายผม ต่อให้เป็นเดือน ๆ ผมก็ไม่มีทางลืมมันหรอก แต่นั้นแหละรันก็ได้แต่บอกกับผมว่า

        “ จำไว้น่ะดี เพราะเราจะสอนให้พวกมันรู้ว่าเจ็บและจำเป็นยังไง”

        ผมเปิดประตูห้องพักที่ผมเช่าไว้ ห้องขนาดกลางไม่ใหญ่มากนักเหมาะที่จะอยู่คนเดียวแบบผมทำให้ผมตกลงที่จะอยู่ที่นี่ หมายถึง รัน ที่อยากจะอยู่ที่นี่ การตกแต่งของมันดูสวยงามและเพียงพอต่อความต้องการ รันไม่อยากที่จะอยู่ที่โกโรโกโสแบบที่ผมเคยอยู่เลยสักนิด ดังนั้นทุกอย่างของผมรันจะต้องจัดการให้อยู่เสมอ แม้แต่รสนิยมบางอย่างที่ผมเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

        ผมเดินถือขนมปังนำเข้าจากร้านค้าแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ราคาของมันแทบจะเรียกได้ว่าสามารถกินข้าวแกงได้มากกว่าสามมื้อแต่นั้นแหละ เพราะความรวยของเรารันก็ไม่เคยเห็นว่าเราจะประหยัดไปทำไม ผมเดินเข้าไปข้างในวางของไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว

        ผมกวาดสายตาหาลินไปทั่วห้องแต่ก็ไม่พบ จนเดินไปที่ระเบียงจึงเห็นเจ้าตัวกำลังยืนอยู่ ผมเดินเข้าไปช้า ๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะไหล่ของเขา

        “เฮ้ย!” เสียงร้องตกใจของเขาทำให้ผมเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน

        “พี่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”

        “เป็นไงบ้าง”

        “โอเคขึ้นแล้วครับ”

        “พี่ซื้อขนมมาฝากเยอะเลย ไปกินด้วยกันไหม”

        เด็กคนนั้นพยักหน้าก่อนที่จะเดินตามผมเข้ามาในห้อง ผมเดินไปเอาขนมปังออกมาและให้เด็กคนนั้นทันที

        “ขอบคุณครับ” เด็กคนนั้นทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นขนมปังยี่ห้อไม่คุ้นเคย

        “กินไปเถอะ ของแพงนะ”

        “ของแพงผมไม่กินหรอกครับ” ลินรีบวางมันลงทันที

        “พี่ซื้อมาเยอะ ซื้อมาฝากเราด้วยกินเถอะนะ”

        ลินลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาแล้วกัดมันลงไปคำหนึ่ง ใบหน้าของเขาบอกทุกอย่างว่าสิ่งที่เขากินนั้นมันอร่อยมาก มากจนเขายิ้มอกมาให้ผมพร้อมกับทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวอยู่

        “ขอบคุณครับ”

        หลังจากนั้นผมก็ไปหยิบกล่องพยาบาล นำยามาทาที่แผลบนแขนของลิน มันเป็นรอยแผลจากการถูกกีด ด้านหลังก็รอยจี้บุหรี่มากมาย ตามตัวของรินก็มีรอยฟกช้ำจากการถูกชก สำหรับผมเมื่อเห็นครั้งแรกถึงกับตกใจในขณะที่รันนั้นเห็นเป็นเพียงรอยเล็ก ๆ ที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด

        “พี่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นได้ขนาดนี้ แม้พี่จะเคยได้รับความรู้สึกนี้จากแม่ แต่พี่เองก็ไม่คิดว่าเขาจะทรมานถึงขั้นฆ่าแกงกันได้”

        “หึหึ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของลินทำให้ผมเงยหน้าจากแผลขึ้นมามองเขา ที่กำลังหันหน้ามาทางผม

        “มันน้อยไปสิ ผมเองโดนมาทุกรูปแบบ”

        “พอจะบอกพี่ได้ไหมว่า…ทำไม”

        “ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมนั้นหัวอ่อนที่ไม่อยากร่วมทำในสิ่งที่พวกเขาทำ”

        “ทำอะไร”

        “ค้ามนุษย์”

        ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ พร้อมมองไปที่ลินที่เหมือนพยายามรวบร่วมสติ แล้วเล่าทุกอย่างออกมา

        “พ่อแม่ผมร่วมมือกับพ่อแม่เพื่อนพี่ลีทำธุรกิจค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีใครจับได้ ไม่ใช่สิ ไม่กล้าต่างหาก” เด็กนั้นมองมาที่ผม

        “ทุกครั้งที่ผมใช้เงินผมก็รู้สึกผิดเสมอ จนบางครั้งผมแอบช่วยเหยื่อที่พวกเขาจับมา แต่นั้นแหละพ่อแม่ผมจับได้และพยายามทำร้ายผม เขาไม่กล้าฆ่าผมแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากที่ปล่อยให้ผมไปไหน ผมมันหัวอ่อน หัวอ่อนเกินใคร ฮึก ผมเริ่มถูกพี่ลีและเพื่อนเขารังแกและผมเองก็นั่งมองเหยื่อที่พวกพามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

        “เหยื่อ” ผมพูดออกมาพร้อมกับมองไปที่หน้าของลินที่เต็มไปด้วยน้ำตา

        “ใช่ คนที่มีข่าวหายตัวไปทุกคนถูกจับมาค้ามนุษย์แต่เมื่อทำไม่ได้ดังใจก็ถูกฆ่า พ่อแม่พวกเขาพยายามตามหา แต่ก็ไม่มีใครที่จะทำได้ ไม่มีใครช่วย เพราะเรื่องนี้มีผู้ได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด”

        ผมกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผมกลัวว่าถ้าผมทำอะไรไปมันอาจจะส่งผลอะไรหลายอย่างที่เกินจะคาดคิด

        “ผมบอกเขาว่าจะฟ้องตำรวจทั้งเรื่องที่เค้ามนุษย์ ผมจะทำมันให้เป็นข่าวดังที่สุด”

        “ทำไม”

        “ผมเห็นพี่ในข่าว พี่เป็นเหยื่อของพวกพี่ลี ผมรู้แล้วว่าพี่เข้าหาผมเพราะอะไร”

        “…” ตอนนี้ผมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรออกมา

        “ถึงพี่จะหลอกใช้ผมยังไง แต่ผมจะช่วยพี่ทุกอย่าง”

       

        “ฮัลโหลบ้านสุขสวัสดิ์ค่า”

        “ขอสายคุณนายสมรหน่อยสิค่ะ” ผมกำลังดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้รู้ว่าผมนั้นเป็นใคร

        “มีอะไรคะ?”

        “ดิฉันรู้จักคุณนายจากนายหน้าคนหนึ่งค่ะ”

        “เรื่องอะไรคะ?”

        “เนื้อค่ะ เนื้อสด ๆ ซะด้วย”

        “สักครู่นะคะ” เสียงนั้นแผ่วเบาลงทันที พร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมบางอย่างที่ทำให้ผมที่กำลังรอฟังนั้นแทบจดจ้อไปกับโทรศัพท์แล้ว

        “คุณเป็นใคร ชื่ออะไร เป็นสายตำรวจเหรอ”

        “เปล่านะคะ ดิฉันเป็นเพื่อนกับคุณเมฆาค่ะ เราสนิทกันมาก คุณคงจะได้ยินชื่อ มิรันดา นะคะ”

        “ใช่เหรอ”

        “อย่างน้อยฉันก็รู้จักหุ้นส่วนของคุณทุกคนและรู้ด้วยว่าที่พักสินค้าอยู่ที่ไหน”

        ผมบอกชื่อและทุกอย่างที่รู้ไปกับมันและโค๊ดลับ

        “รับจัดงานแต่งไหมคะ” เสียงปลายสายนั้นเงียบลงทันที ผมหันไปมองลินที่กำลังมองผมคุยโทรศัพท์อยู่อย่างลุ้น ๆ

        “แหม พูดอย่างนี้เสียทีแรกก็คุยกันรู้เรื่องแล้วล่ะคะ” ผมยกนิ้วโอเคให้กับลินก่อนที่จะกลับไปสนใจบทสนทนาต่อ

        “ดีค่ะ เรากลับมาพูดเรื่องเนื้อของเราดีกว่าไหมคะ”

        “เนื้อแบบไหนคะเนี้ย”

        “สด ๆ ใหม่ ๆ รับรองหาไม่ได้ตามแถว ตจว. หรือสถานีขนส่งหรอกค่ะ”

        “คุณจะบอกว่าเนื้อที่ได้มาชั้นดีและเกรดในเมืองเหรอคะ”

        “ใช่ค่ะ”

        “ดิฉันจะเชื่อได้อย่างไร สมัยนี้หลอกกันมีถมเถ เผลอ ๆ ก็คงจะเป็นรีไซเคิล”

        “เดี๋ยวฉันจะส่งตัวอย่างไปให้ดูก่อนนะคะ” ผมบอกสัญญาณมือให้ลิน ก่อนที่เหมือนจะได้ยินเสียงข้อความเข้าจากมือถือของปลายสาย
       
        “อุ๊ยตาย ฉันอยากจะลองเช็คสินค้าก่อนนะคะ แต่จะมั่นใจได้ไงว่าไม่ได้หลอกลวง”

        “งั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับคุณเมฆาดีกว่าเพราะเขาเองก็สนใจไม่น้อย”

        “เดี๋ยว ๆ ตกลง แต่ฉันขอดูก่อนได้ไหม วันไหนดี” ผมยิ้มออกมา

        “วันนี้ค่ะ ดิฉันต้องการวันนี้” ผมตอบออกไป

        “ดีค่ะ แล้วเจอกัน”

        ผมวางสายก่อนที่จะหันมาพยักหน้าให้กับลิน ตอนนี้ผมกำลังยิ้มพร้อมกับความคิดในหัวของผมที่กำลังพูดไปมา

        รันเราจะรอดไหม มันเสี่ยงมากเลยนะ

        ‘กลัวทำไม ถ้ากลัวเราจะจัดการได้ไหม’

        แต่มันบาป

        ‘เธอบาปไปแล้ว แถมเป็นบาปหนาเสียด้วยที่ฆ่าแม่ตัวเองนะ จะบาปให้สุดจะเป็นอะไรไป’



        เสียงเคาะกริ๊งหน้าบ้านสุขสวัสด์ นั้นทำเอาคุณสายสมรนั้นนั่งตัวไม่ติด เธอกำลังตื่นเต้นที่จะได้เนื้อชิ้นใหม่ ที่เพิ่งมีคนกำลังเอามาให้ เธอไม่ต้องการให้พวกหุ้นส่วนรู้เลยสักนิด เธอจะนำมันไปขายที่อื่นมันจะได้เงินมากพอกับที่เธอสามารถใช้หนี้คนที่มาประกันตัวลูกชายสุดที่รักให้กับเธอ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เธอห่วงนอกจากไอ้ลูกชายเนรคุณที่หนีออกไปจากบ้าน

        เธอเกลียดมัน มันคือตัวนำความฉิบหายมาให้กับเธอ ผิดกับอีกคนที่ช่วยเธอและสามีทำมาหากิน เธอแทบกังวลว่าตำรวจจะมาเมื่อไหร่ แล้วจะมีข่าวไหม แต่ทุกอย่างเงียบกริบ แต่นั้นก็ไม่ทำให้เธอวางใจได้สักนิด เธอเลยจ้างนักสืบตามสืบอยู่พร้อมกับนั่งรอลูกชายอีกคนของเธอออกจากคุก

        คุณนายสมรเดินนวยนาดออกไปที่ประตูหน้าบ้าน บ้านของเธอค่อนข้างปลูกห่างจากผู้คน เพราะต้องการไม่ให้ใครได้ยินเสียงของเนื้อที่เธอเอามาเก็บไว้ ซึ่งมันก็ไม่เคยดังไปถึงใครเลยด้วยซ้ำ ในระแวกนี้เธอก็ซื้อไว้หมดแล้ว เพื่อกันปัญหาในภายหลัง เธอเห็นเงาของคนสองคนในความมืดหน้าบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะทุ่มแล้ว แต่คนนั้นต้องการที่จะให้เธอเช็คสินค้าก่อน พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้มันมีความโลภเข้าครอบงำเธออยู่ไม่น้อย

        คุณนายสมรเดินไปถึงหน้าประตูก็ต้องแปลกใจคนตัวสูงกว่าเล็กน้อย ดูท่าทางที่จะเป็นมิรันดานั้นกลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ ๆ มีเครื่องแต่งหน้าที่หนาจัด ผมยาวสลวยฟูฟ่อง แต่งตัวด้วยชุดที่มิดชิดจะคล้ายผู้ชายมากกว่า พอนึกถึงผู้ชายมันก็ติดอยู่ที่ปากว่าทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเสียเหลือเกิน

        “มาส่งเนื้อ” เสียงนั้นทำให้คุณนายสมรแปลกใจมันดูทุ้มกว่าตอนคุยกันผ่านโทรศัพท์เสียอีก เสียงของเขาดูออกจะไปเป็นทางผู้ชายเสียหน่อย กะเทยเหรอน่าจะใช่ สายตาของคุณนายแปรเปลี่ยนไปที่คนข้าง ๆ ที่สวมฮู้ดสีดำ ผมยาวของคนนั้นซ่อนใบหน้าไว้ในความมืด ร่างกายของเธอก็ทำให้เธอดูคุ้นมากเสียเหลือเกิน

        “เข้ามาก่อน” แปลกใจ เด็กคนนั้นไม่มีท่าทีกลัวสักนิดกลับเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับมัจจุราชที่กำลังส่งเธอไปลงนรกทั้งเป็น

        เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณนายสมรก็กำลังจะเรียกสามี แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรนั้น ร่างของหญิงสาวก็ปาอะไรบางอย่างใส่หน้าของเธอ

        เนื้อ! มันคือก้อนเนื้อสด ๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร แต่ก่อนที่เธอจะได้เกลียด เธอก็ถูกบางอย่างหวดเข้าที่หัวอย่างจังพร้อมกับที่ทุกอย่างดับมืดลงทันที



        เสียงดิ้นรนสั่นไหวของร่างทั้งสองที่กำลังถูกมัดติดกับเก้าอี้นั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองของพวกเขาจากแสงเทียนที่กำลังจุดอยู่รอบ ๆ ผมมองไปที่ลินที่กำลังนั่งเฝ้าพ่อแม่ของตัวเองอยู่อย่างนั้น ส่วนผมก็ไม่พยายามที่จะสนใจเสียงนั้นเลยสักนิด วิกผมถูกถอดออก แต่เครื่องแต่งหน้ายังคงอยู่ ผมให้ลินสับคัตเอ้าท์และตัดไฟในบ้านให้หมด เพราะผมกำลังจะสร้างซีนโรแมนติกของทั้งคู่

        “ตื่นแล้วเหรอ” คุณนายนั้นดูจะทำหน้าตกใจที่เห็นผม

        “จำฉันได้แล้วใช่ไหม” เสียงนั้นดูเหมือนพยายาจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ได้เทปกาวนั้น ปิดแน่นสนิทเสียจนเก็บเสียงของคุณนายที่เคยด่าผมแว้ด ๆ ในศาลได้ ผมหันไปมองผู้ชายร่างท้วมที่กำลังนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหวติงอยู่กับที่

        “กลัวเหรอ” มันไม่ตอบอะไร

        “ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะอีกไม่นานพวกคุณก็จะเป็นดาราดังบนโลกอินเตอร์เน็ตแล้วนะ” พวกมันสองคนมองหน้าผมด้วยสายตาที่หวาดกลัว

        “เหมือนที่ลูกชายพวกมึงทำกับกู!”

        ผมบอกให้ลินวางกล้องถ่ายวีดีโอไว้ข้างหน้า ตอนนี้แสงเทียนสลัวของมันทำให้ภาพออกมาดูมืดแต่ขณะเดียวกันก็ลึกลับพอดู พอนึก ๆ ไป ผมรู้สึกว่าเรื่องบูชาซาตานน่าจะใหม่มากสำหรับคนไทยดังนั้น ผมที่คิดพล็อตออกก็บอกลินทันที

        สีหน้าของลินดูหวั่นวิตกเล็กน้อย

        “นายไม่กล้าเหรอ”

        “ไม่ใช่” เสียงของเขาตอบออกมาสั่น ๆ

        “โกหก นายจำไม่ได้เหรอว่าพวกเขาทำอะไรนาย อะนี่” ผมเดินไปหยิบบุหรี่แล้วยื่นไปให้เขา

        “ถึงเวลานายตอบแทนบุญคุณพวกเขาแล้ว”

        “พี่น่ากลัว”

        “พวกนั้นน่ากลัวกว่าพี่เยอะ”

        ลินยื่นมือสั่นเทาของตัวเองหยิบบุหรี่ก่อนที่จะก้มลงไปจุดไฟที่เทียนนั้น สภาพของเทียนที่ล้อมเป็นวงกลมไว้ทำให้ผมแทบจะรักซีนนี้เป็นพิเศษ ผมเดินไปที่กล้องก่อนที่จะซูมไปช้า ๆ เมื่อเห็นว่าลินพยายามที่จะนำบุหรี่ที่จุดแล้วเดินตรงไปหาพ่อของตัวเอง สีหน้าของผู้ชายคนนั้นดูหวาดกลัวแล้วพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต ผมซูมไปที่หน้าของเขาอย่างชัดเจนแววตาที่สิ้นหวังนั้น มันช่างดึงดูดเสียเหลือเกิน

        ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกนั้นถึงได้รักการทรมานเหยื่อนัก ก็เพราะว่ามันสนุกนี่เอง อยากจะบอกไปถึงมันเลยนะไอ้หมี ว่ามันคงต้องยกตำแหน่งผู้กำกับไฟแรงให้ผมเสียแล้วล่ะ

        น่ากลัว อี้

        ‘สวยออก แกควรจะชอบมัน’

        มันน่ากลัว

        ตอนนี้รินเงียบไปแล้วเหลือแต่ผมที่กำลังสนุก ริน อย่าเพิ่งหลับมาดูสิ่งสวยงามนี่ก่อนเร็ว

        “ดีมากลิน” ผมพูดเบา ๆ ก่อนที่จะซูมไปใกล้ขึ้น เมื่อบุหรี่นั้นจี้ลงที่แก้มของผู้ชายอ้วนที่กำลังดิ้น ๆ ด้วยความทรมาณ ลินหันมามองหน้าผมแล้วยิ้ม

        “สนุกไหม” ผมถาม

        “สนุก” แล้วเราสองคนก็หัวเราะอย่างนั้น

        “ถ้าสนุกก็ทำอีกสิ”

        ลินยังคงหรรษากับการทรมานส่วนผมเองก็เตรียมมีดทำครัวเอาไว้ มีดใหม่นี้แหลมคมพอที่จะกรีดเข้าเนื้อหนังเหี่ยว ๆ ของทั้งสองได้ ลองจินตนาการที่เรากินเค้กที่ไส้ข้างในมันเป็นแยมสตรอเบอรรี่ เมื่อเราค่อย ๆ บรรจงตัดเค้กนั้นออกเป็นชิ้น ๆ แยมนั้นก็จะค่อย ๆ ไหลออกมาจนไปติดที่ตัวมีด

        คอคนก็เช่นกัน แค่มีดคมล่ะก็ ไม่ต่างจากการเชือดหมูเลยสักนิด ผมเห็นลินทรมานสองคนนั้นพอใจ ก่อนที่จะถอยห่างให้ผมได้ทำภารกิจของผมต่อ คิดเสียว่าช่วยชาติก็แล้วกัน

        ผมค่อยยื่นมีดไปใกล้หน้าของพวกเขาพอที่จะทำให้แววตาของพวกนั้นหวาดกลัว ผมรู้สึกสนุกที่กำลังได้ทำในสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะสนุกขนาดนี้ ผมรอคอยเหลือเกินที่จะเห็นเลือดชั่วของพวกมัน

        “สายเลือดชั่ว ๆ ต้องกำจัด” พูดเสร็จก็เดินอ้อมไปด้านหลัง มือที่สวมถุงมือก็กระชากหัวของผู้ชายไว้ เสียงของมันร้องสะอื้นเสียจนน่าสงสาร

        “ตอนที่แกเอาแต่ละคนไปขายเขาเขาก็ร้องแบบนี้ แต่แกก็ไม่เห็นใจเขาเลยสักนิด” ผมกระซิบลงไปด้วยน้ำเสียงที่ใครได้ยินคงจะรู้สึกกลัวไม่น้อย ผมคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ร่างกายของผมกำลังเป็นไปตามความสนุกเมื่อผมค่อย ๆ จ่อมีดลงไปที่คอหอย



        รอยเลือดบนผนังค่อย ๆ บรรจงเป็นรูปวงกลม ผมใช้แปรงทาสีอันใหญ่ ๆ วาด พร้อมกับตาที่มองดูในจอมือถือไปด้วย ลินไม่ได้เก็บกวาดอะไรเท่าไร แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ร่างของคนสองคนกำลังนอนหลับสนิทแบบไม่ตื่นบนเก้าอี้พร้อมกับคอที่พับล้ม เป็นราตรีสีเลือดที่ยาวนานสำหรับสองคนนั้นเหลือเกิน

        รอยเลือดบนพื้นที่หยดลงและไหลลงมาผมพยายามรองไว้ในถัง แล้วนำมันมาเป็นสีมาทาไว้บนผนัง

        “พี่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลเหรอ”

        “ดึงความสนใจชั่วคราว กว่าที่พวกตำรวจจะรู้ตัวเราก็คงฆ่าหมดก่อน”

        “พี่ไม่กลัวเหรอ”

        “พี่ต้องถามนาย ว่ารู้สึกยังไง นั้นพ่อแม่นายนะ”

        “ไม่ใช่! ผมไม่รู้อะไรสักนิด ยิ่งตอนที่ผมเห็นพี่ใช้มีดกรีดคอพวกเขามันยิ่งทำให้ผมรู้ว่าผมเกลียดพวกเขาแค่ไหน”

        ผมจับมือเขาไว้

        “นายใส่ถุงมือตลอดใช่ไหม”

        “ครับ”

        ผมวาดรูปที่เป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายซาตานเสร็จก็หันไปหยิบมีด

        “กว่าคนจะรู้ก็คงอีกนาน”

        “มั้งครับ แถวนี้ไม่ค่อยมีใครเลย”

        ผมหันไปที่หน้าประตูทันทีเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังตรงหน้าบ้าน

        “อะไรครับ”

        ผมทำท่าให้เขาเงียบเสียงและตั้งใจฟังเสียงของเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาภายในบ้าน ผมหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลาเกือบ ตีหนึ่ง ใครจะมาเวลานี้กัน

        แต่แล้วทุกสิ่งที่ผมสงสัยก็คลายออก ลักษณะของร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามา มีหน้าตาเดียวกันกับลินเลยไม่ผิดเพี้ยนสีหน้าของเขาฉายแววของความแปลกใจระคนไปด้วยความพิศวงเมื่อเห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งมือและตัวของผมตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดมากมาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

        แต่ทันใดนั้นคนข้าง ๆ ผมก็รีบวิ่งเอาไม้เข้าไปฟาดพี่ชายของตัวเองทันที แต่ดูเหมือนลีจะรู้ตัวเลยหลบหลีกได้ทัน พร้อมกับยื้อเอาไว้

        “มึงทำเหี้ยอะไร!” เสียงของลีตะโกนถามน้องชายที่ตอนนี้แววตาของเขานั้นว่างเปล่าไปเสียแล้ว ลินตอนนี้ไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ถูกผมตั้งโปรแกรมให้ฆ่า แต่เหตุการณ์ดูจะแย่ลงเมื่อลีได้เหมือนลุกขึ้นมามีชัย เอาไม้นั้นไปถือไว้ในมือแล้วกั้นไม้นั้นไปบริเวณที่คอของลิน

        “กูถามว่ามึงทำเหี้ยอะไร”

        ผมไม่ยืนรีรอมองดูอย่างนั้น ผมรีบไปหยิบแจกันใบสวยงามราคาแพง ผมลูบไล้มันอย่างเสียดายลวดลายสวย ๆ นั้นก่อนที่จะถือมันแล้วฟาดลงไปที่หัวของลีทันที ลินรีบสะบัดหลุดออกพร้อมกับลุกขึ้นทันที ส่วนลีนอนดิ้นชักกระตุกสักนิดก่อนที่จะนิ่งไป

        มันตายหรือเปล่า รินในหัวถามออกมาทันที

        “ยังไม่ตาย มันตายไม่ได้ มันไม่สิทธิ์ตาย” ลินหันมามองหน้าผม

        “ฉันไม่มีทางให้มันตายง่าย ๆ แน่นอน”


ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ติดสอบทั้งอาทิตย์เลย เพิ่งจะเคลียร์ได้ช่วงนี้แต่ว่าก็ยังมีงานรออยู่อีกเพียบ มาติดตามว่าริน(รัน) จะทำยังไงต่อไปดี อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2018 11:36:20 โดย ๋ื๋Jinnapat »

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 20 3/20/18
«ตอบ #45 เมื่อ20-03-2018 23:11:49 »

บทที่ 20


        มีคนมักบอกกับผมเสมอว่า ‘เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร’ ผมเองก็รู้สึกว่าโลกใบนี้จะสงบสุขได้อย่างไร ถ้าหามนุษย์ลุกขึ้นมาฆ่าแกงกันเพียงเพราะความอาฆาตแค้น และตัวผมในวัยเด็ก ๆ ก็หัวเราะกับการกระทำของผู้คนที่ฆ่ากันแล้วมองพวกเขานั้นน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

        แต่ตอนนี้ ผมกลับมาไกลเกินกว่าที่จะเรียกว่าหยุดได้เสียแล้ว นับจากที่ผมวางแผนต่าง ๆ มากมายและตอนที่มือของผมเองก็เปื้อนเลือดมามากพอที่จะทำให้ผมถูกตราหน้าว่า ฆาตกรต่อเนื่อง มันทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเองไม่ได้แล้ว
ผมกำลังมองดูร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจำมันได้แม่นราวกับสมองกลอัจฉริยะ

        ผมแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผมเองจะจำมันได้แม่นถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะน้องชายฝาแฝดของมัน ลินกับลีแตกต่างกันมากพอจนผมเองก็สามารถสังเกตได้…ผมแยกออกได้เลยจากภายนอกว่า ถ้าผมเจอพวกมันสองคนพร้อมกันผมสามารถเอามีดที่ผมถือนั้นพุ่งแทงไปที่มันได้เลย

        แต่ทุกอย่างมันช่างง่ายกว่านั้น

        มันกลับมา ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มันกลับมาในคืนที่ผมและน้องมันได้วางแผนฆาตกรรมครอบครัวมันยกครัว ผมกับลินแทบจะตั้งสติไม่อยู่ แต่เมื่อมันเองก็สนใจเพียงแค่น้องชายของมัน ผมเองก็ไม่ปล่อยช่วงเวลาดี ๆ นั้นหลุดลอยไปอย่างง่ายได้
นั้นจึงเป็นที่มาของเศษแจกันที่กระจายตามพื้น

        ผมมองไปที่แจกันที่ไม่มีสภาพหลงเหลือจากเมื่อสักครู่เลยสักนิด จากใบสวยงามราคาแพง กลายเป็นเศษชิ้นไร้ราคา ผมมองไปที่หน้าของลีที่กำลังหลับใหล ผมปล่อยให้ลินนั้นจัดการตามแผนต่อไป มันยังคงหลับใหลอยู่อย่างนั้น ผมเช็ครอบ ๆ ที่ตัวของมันว่า มีจุดไหนที่ผมยังมัดเชือกมันให้ติดกับเก้าอี้ยังไม่แน่นพออีกหรือไม่ เมื่อเช็คจนพอใจแล้วไปดูตรงจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ผมกับลินช่วยกันตั้งไว้ ตรงมุมห้อง ผมเช็ดสายสัญญานทุกอย่าง แล้วก็ลองเทสเปิดคลิปดูนิดหน่อย

        เสียงกุกกักดังมาจากข้างหลังผม ร่างนั้นฟื้นแล้ว ร่างของคน ไม่สิ ไม่ใช่คน มันเป็นร่างของสัตว์เดรัจฉานที่ทำร้ายผมให้ตายทั้งเป็น ผมตั้งสติช้า ๆ เพราะกลัวว่าการทำอารมณ์ชั่ววูบจนเกินไปจนไม่เป็นผลดีนัก

        มันตื่นแล้ว…แววตามันน่ากลัวจัง รินก็ยังคงเป็นรินต่อให้ร่างตรงหน้าเสียเปรียบแค่ไหนเขาก็ยังคงกลัวพวกมันเสมอ ไม่แปลกผมเองก็กลัว แต่ผมไม่ได้นำมาใช้เพื่อให้ตัวเองซ่อนหรือหลีกหนีจากโลกความจริง ผมใช้มันเพื่อเป็นการล้างแค้นต่างหาก

        “ตื่นแล้วเหรอ” ผมพูดกับลี

        “มึงจับกูทำไม ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง อีตุ๊ด!”

        “ปากยังเสียเหมือนเดิมเลยนะ คุณสามี” ผมพูดพร้อมกับลูบหน้าสุดน่ารังเกียจนั้นไปด้วย มันพยายามเบือนหน้าหนี แต่ผมก็กระชากผมมันไว้และทำให้มันประจันหน้ากับผม

        “มึงต้องการอะไร”

        “ต้องการอะไรงั้นเหรอ ต้องการชีวิตของพวกมึงไง”

        “ฮ่า ๆ” มันหัวเราะอารมณ์ดี มนุษย์นั้นมีการแสดงออกถึงความกลัวและหลีกหนีสถานการณ์ต่างกัน ดังที่ยกตัวอย่างไปกับพวกเราแล้ว แต่กรณีของลี มันใช้ความกล้าที่เกินเหตุ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกมันไว้

        “กูไม่กลัว แล้วมึงก็เตรียมรับมือเพื่อนของกูที่กำลังออกจากคุก และพ่อแม่ของพวกมันไม่ปล่อยมึงเอาไว้แน่ ฮ่า ๆ”

        “กูเตรียมพร้อมแล้ว” มันยิ้มเยาะอย่างไม่เชื่อ

        “แล้วจะทำอะไร ฆ่ากูเหรอ ก็ฆ่าสิ”

        “ไม่หรอก”

        ผมพูดกับมันออกไปอย่างนั้น มันทำหน้าพิศวงปนแปลกใจเมื่อผมเดินไปที่โทรทัศน์ผมต่อสายอะไรนิดหน่อย จากนั้นก็เสียบปลั๊ก เพียงไม่นานภาพบนจอก็ปรากกฎขึ้น ผมเดินถอยห่างออกจากโทรทัศน์แล้วลอบสังเกตไปที่มันที่กำลังตกใจจนแสดงความหวาดกลัวที่แท้จริงออกมา

        ผมมองไปที่โทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพวิดีโอสั้น ๆ แต่เป็นภาพของพ่อและแม่ของมันกำลังถูกเชือด โดยเฉพาะเสียงของพ่อแม่มันในยามโดนเชือดนั้น มันช่างฟังจนดูเหมือนเสียงสัตว์ที่ดังอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ที่กำลังร้องขอความเมตตาจากมนุษย์ที่กำลังจะเชือดมันอย่างช้า ๆ

        “อ๊ากกกก” เสียงของคนที่กำลังนั่งดูร่วมกับผมนั้นร้องออกมาเสียงดัง เมื่อภาพเหล่านั้นยังคงฉายวนซ้ำไม่จบไม่สิ้น ผมตั้งให้มันวนฉายไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        “ฆ่ากูที ฆ่ากูที ขอร้องได้โปรด” เสียงของมันร้องขอสลับไปมากับเสียงพ่อแม่ของกำลังกรี๊ดร้องและดิ้นทุรนทุรายยามโดนเชือดคอ

        “แกเห็นไหมความตายมันสวยงามขนาดไหน” เสียงของผมพูดกับมัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในตอนนี้ เหมือนกับที่ความรู้สึก ผมกับรินกำลังจะรู้เช่นเดียวกัน เราไม่ได้แยกจิตใจกันอย่างชัดเจนนัก เสียงของผมที่ออกมาตอนนี้มันจึงดูเรียบง่าย อำมหิตและเลือดเย็น

        “แต่น่าเสียดายที่ฉันเลือกความตายให้กับพ่อแม่แกเท่านั้น ส่วนพวกแกเป็นกรณีพิเศษ” ผมมองไปทางมันที่กำลังหลับตาปี๋ด้วยอาการขยะแขยง

        “อย่างที่บอกถ้าแค่พวกแกติดคุกหรือโดนประหาร โดนฆ่า ฉันก็ไม่รู้สึกว่าพวกแกได้รับโทษที่สาสมเลยสักนิด ความตายไม่ใช่ทางออกสำหรับพวกแก และฉันก็หาวิธีที่จัดการพวกแกทีละคนเรียบร้อยแล้ว”

        ผมตบไปที่หน้าของมันแล้ว พยายามยกเปลือกตาของมันขึ้น

        “พวกแกจะได้รับรู้ความตาย แล้วจะเรียกร้องมันแต่ฉันจะไม่ให้พวกแก ต่อให้พวกแกกราบเท้าฉันก็ตาม ฉันจะให้พวกแกได้รู้สึกว่าความตายนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าขนาดไหน”

        มันพยายามดิ้นไปมา แต่ผมก็จับมันไว้แน่นมากพอที่จะไม่หลุดง่าย ๆ ผมยิ้มไปที่มันอย่างเลือดเย็น พร้อมกับที่ร่างผู้มาใหม่ได้เดินเข้ามาล็อคคอมันไว้ พร้อมกับยื่นเข็มและด้ายมาให้ผม

        “สวัสดีพี่ชาย” ลีเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงน้องชายของตัวเอง ตอนนี้มันคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่มันก็สายเกินไปที่จะรอดพ้น

        น่าแปลกที่มือของผมไม่ได้สั่นอย่างที่คิด งานประณีตนั้นผมไม่ค่อยถนัดเสียเท่าไรนัก เราขอทำเอง แน่นอนเสียงของคนที่ประณีตกว่าผมพูดออกมา เรามีจิตเชื่อมถึงกัน รินอำมหิตกว่าที่ผมคิด รินค่อย ๆ ร้อยสายด้ายกับเข็มเข้าไว้ด้วยกันอย่าง่ายดาย ก่อนที่จะจัดการกับลีอย่างเด็ดขาด ไม่คิดว่าวิธีการมันจะทารุณถึงเพียงนี้ แต่ก็คุ้มค่ามากพอที่จะทำมันนั้นแหละ

        “ยินดีต้อนรับสู่นรก”


        ผมกับลินช่วยกันปิดประตูด้วยตู้ขนาดใหญ่ โชคดีที่บ้านของมันมีห้องดูหนังที่มักจะเก็บเสียงอะไรต่าง ๆ ไว้ได้เสมอ เราปิดตู้เอาไว้แล้วจัดตกแต่งให้มันดูเหมือนว่านี้คือตู้ที่ถูกตั้งไว้ตรงนี้นานมาแล้ว ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แม้แต่เสียงโทรทัศน์ก็ตาม

        “พี่แน่ใจได้นะว่าวีดีโอนั้นจะไม่เห็นหน้าเรา” ผมถามลิน

        “ผมตัดต่อออกมาเรียบร้อยครับ แล้วทุกอย่างผมมั่นใจเลยว่าไม่มีใครรู้” เด็กหนุ่มที่สดใสนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่เด็กที่อำมหิตเกินมนุษย์ เขามีสีหน้าที่ดีเกินไป จนผมรู้สึกว่า…มันน่ากลัว เขาเพิ่งจะเห็นมือของผมฆ่าพ่อและแม่ของเขาต่อหน้า ก่อนที่จะทรมานพี่ชายของตัวเอง

        อย่าดัดจริตหน่อยเถอะน่า แกก็เห็นไม่ใช่หรือว่าแกกำลังแก้แค้นให้ตัวเองและที่สำคัญกำจัดคนเลวไป ดีเสียอีกเพราะยังไง ตำรวจก็ทำไม่ได้

        “จริง”

        “ครับ?” ลินหันมามองหน้าผม

        “เปล่า ๆ กลับกันเถอะ” ผมพยายามยิ้มและเดินนำลินออกไป ต่อไปนี้ผมคงต้องพยายามพูดในใจกับรันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้คนอื่นมองแปลก ๆ

        กลัวทำไม เสียงของรันยังคงแว้ดขึ้นมา เมื่อคิดว่าเราอาจเป็นบ้า

        ฉันไม่ได้บ้า แกก็ไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือพวกมัน แล้วรันก็ร้องเพลงออกมา ลินมองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดที่ท่าทางของผมดูเปลี่ยนไป มีเสียงฮัมเพลงจากผม แม้ว่าผมพยายามที่จะกดมันไว้ไม่ให้แสดงออกมาก็ตาม

        “เมื่อกี้พี่ยังทำหน้าเหวอ ๆ อยู่เลยนะครับ”
       
        “พี่คงกลัวนะ ใคร ๆ ก็กลัวทั้งนั้นเมื่อต้องทำอะไรอย่างนี้”

        “จริงครับ” ผมตอบพลางมองยิ้มไปที่ลิน ผมเดินไปที่อ้างล้างหน้าแล้วก็ล้างมือตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้เปื้อนเลือดอะไรมาก แต่มันก็มากพอที่จะดูออกว่าเราไปทำอะไร เมื่อผมล้างมือเสร็จ สายตาก็ไปเหลือบมองที่มีดทำครัว แล้วพลางมองไปที่ลิน ในหัวตอนนี้ก็กำลังคิดถึงแผนการบางอย่างที่ไม่ได้บอกกับลินเอาไว้ แต่ถ้าทำได้นั้นหมายความว่าลินอาจจะไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยนัก

        “พี่มีคนมา”

        แต่ความคิดของผมก็ถูฏชะงักไว้เมื่อลินพูดออกมา ลินรีบลากผมแล้วไปหลบตรงมุมที่มิดชิดในบ้าน ที่เมือนกับที่เก็บของเล็ก ๆ แต่พอที่จะให้เราสองคนเข้าไปนั่งซ่อนได้

        เสียงฝีเท้าที่ได้ยินสามารถคาดเดาได้ว่าหลายคนกำลังเดินเข้ามา

        ตำรวจเหรอ? ถ้าจริงหมายความว่า ผมเองก็จะโดนจับทั้ง ๆ ที่ผมแค่ฆ่าพวกมันได้แค่คนเดียวนี่นะ ผมเริ่มสับสน พยายามหาทางที่จะหนีจากที่นี่ ถึงแม้จะกลัวแต่ผมเองก็ไม่อยากที่จะต้องเสียโอกาสในการชำระความกับพวกมันเลยสักนิด
ผมกับลินนิ่งเงียบ แต่หัวของผมนิ่งไม่เงียบพอ เสียงผีเท้าดังใกล้เข้ามา จนมาหยุดตรงที่ซ่อนของผม ผมหันไปมองหน้าลิน แต่แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมโดนกระชากออกมาพร้อมกับลินที่ตะโกนมาหาผม
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่รู้แต่ว่าผมกำลังถูกปิดปากด้วยอะไรบางอย่างก่อนที่ทุกอย่างจะดับสนิท

        “ช่วยด้วย”

        “ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะของพวกมันห้าคน

        “ช่วยด้วย”

        “ไม่มีใครช่วยหนูได้หรอกริน”

        “ช่วยด้วย”

        ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที พร้อมกับสัมผัสได้กับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงของตัวเอง ผมพยายามลืมตาแล้วมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่มีแต่กำแพงสีขาวทึบ ๆ ดูไม่มีอะไรเลย มันเป็นสีขาวที่สว่างมาก ๆ มากจนแสบตานิด ๆ มันไม่ใช่โรงพยาบาล เตียงที่นอนก็เป็นเพียงเตียงเหล็กธรรมดา ไม่ได้นุ่มเท่าไหร่

        เสียงประตูเปิดเข้ามาจากด้านมุมห้อง มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เธอใส่ชุดสีดำ ผมของเธอก็เป็นสีดำ หน้าตาของเธอพอเดาอายุได้ว่าน่าจะเป็นสี่สิบต้น ๆ แต่ท่าเดินที่กระฉับกระเฉงเกินอายุ ก็ทำให้เธอดูดีมาก ร่างของเธอตัดกับสีภายในห้องอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าถ้าที่นี่เป็นกระดาษขาว เธอก็จะเป็นจุดด่างดำลงในกระดาษใบนั้น

        “สวัสดีค่ะ คุณรินนภัทร”

        “พวกคุณ”

        “ฉันจะขอพูดอะไรกับคุณสักนิดได้ไหมคะ? ลุกไหวไหม”

        “ครับ”

        ผมลุกออกจากเตียง เดินตามเธอที่พาผมออกไปข้างนอก ไม่ผิดคาดที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลมันมีลักษณะเป็นตัวตึกสำนักงานอะไรแบบนี้มากกว่า แต่คนก็ไม่ได้เยอะเกินความคาดหมายนัก ทุกคนใส่ชุดสีดำและต่างก็ก้มหน้าเวลาที่ผู้หญิงคนนี้เดินผ่าน เธอพาผมเดินไปเรื่อย ๆ เราเลี้ยวตรงหัวมุมด้านใน เพื่อไปเจอกับประตูขนาดใหญ่และเมื่อเปิดเข้าไปก็เจอกับห้องโถงโล่ง ๆ ที่เพดานของมันสูงมาก ห้องนี้มีเพียงเก้าอี้ไม่กี่ตัวที่รายล้อมโพเดี่ยมแห่งหนึ่งที่นั่งตรงกลาง

        “ลินอยู่ไหนครับ”

        “เรื่องนั้นเธอค่อยรู้ แต่ตอนนี้ฉันอยากเห็น อีกด้านของคุณมากกว่า”

        “อะไรครับ” ผมพยายามแกล้งบ่ายเบี่ยงเพราะเธอก็คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ที่รู้เรื่องของผมดีขนาดนี้

        “อีกด้านของคุณชื่ออะไรคะ”

        ผมเงียบ

        “ฉันอยากเจอคุณจริง ๆ”

        สักพักทุกอย่างก็เงียบลง น่าแปลกที่ผมกับรู้สึกถึงความว่างเปล่ามาอีกครั้ง

        “มีอะไร”

        และแน่นอนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว



        จะว่าไปยัยนี้แต่งตัวดูเชยชะมัด ท่าทางก็อีกมันดูเหมือนพวกองค์กรลับอะไรสักอย่าง มันทำให้ผมรู้สึกว่าเสียเวลาที่จะคุย แต่นั้นแหละรินก็ทำให้ผมออกมาเผชิญหน้ากับมันจนได้

        “ฉันอยากแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ฉันธาราค่ะ คุณคงจะคุ้นเคยฉันไม่มากก็น้อยจากข่าวนี้” เธอยื่นหนังสือพิมพ์ให้ผม มันเป็นข่าวที่รินเคยอ่านตอนที่ย้ายไปอยู่หอช่วงแรก ๆ

      สลดแม่ลูกถูกรุมโทรม เกือบเอาชีวิตไม่รอด

        “นี่คือคุณ?”

        “ใช่ค่ะ”

        ผมทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นยัยธาราพยายามที่จะทำหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ข่าวนี้ก็เป็นของเจ้าตัวเองแท้ ๆ ท่าทางจะประสาทไม่น้อย

        “คุณคงไม่ไว้ใจฉัน ดังนั้นฉันจะเล่าทั้งหมดให้ฟังเองค่ะ”

        ผมพยักหน้า

        “ฉันกับลูกสาวเคยเป็นหนึ่งร่วมแก็งค้ามนุษย์แต่พวกเรากลับรู้สึกผิด จึงทรยศ พวกนั้นส่งคนมาตามล่าและพยายามปิดปากเราสองแม่ลูก แต่เรารอด แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราตกนรกทั้งเป็น ในข่าวนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเลย ตามจริงเราสองคน ไม่ใช่สิ ลูกสาวของฉันถูกพวกมันเอาไปค้ามนุษย์ด้วย”

        ผมกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอเพราะรู้สึกว่า ชะตาชีวิตของคนนี้ก็น่าสงสารเช่นกัน

        “ฉันเลยเริ่มที่จะล้างแค้นพวกมัน แต่ฉันดันมาเห็นข่าวคุณซะก่อน ก็เลยหวังว่าคุณจะร่วมมือกับพวกเรา”

        “ร่วมมือ?”

        “ใช่ค่ะ คุณคงไม่คิดว่า คุณจะสามารถใช้เด็กคนนั้นและคุณเพียงสองคนบรรลุภารกิจนี่ได้หรอกนะคะ โชคดีที่คุณยังเจอแค่ครอบครัวนี้ ส่วนนอกนั้น แค่คุณคิดจะเข้าไปถึงพวกมันยังยาก”

        “นี่คือการบังคับเหรอ?”

        “แล้วแต่ค่ะ เพราะนี่คือการตัดสินใจของคุณ แต่ฉันรับรองว่าคุณจะได้จัดการพวกมันที่ทำร้ายคุณแน่นอน ส่วนพ่อแม่พวกมันฉันจะจัดการเอง”

        อย่านะรัน

        “ตกลง” ผมตอบทันที โดยไม่ได้สนใจเสียงทัดท้านของริน ยัยนั้นดูจะพอใจมากจนกระทั่งยิ้มออกมา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกชะมัด

        “ฉันรู้จักคุณดีค่ะ ฉันรู้ด้วยว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะไหน” ยัยนั้นพล่ามต่อมาไม่หยุด

        “จากนี้ไปเราจะร่วมภารกิจกันแล้วนะคะ”



        คนชื่อแมนกำลังจะออกจากสถานพินิจ และพวกที่เหลือสามคนในคุกก็เช่นกัน เงินนั้นเป็นอำนาจของพวกมันที่กฎหมายจะต้านทานได้ แต่นั้นแหละมันยิ่งทำให้ผมเองเริ่มมีความรู้สึกถึงไฟแค้นได้อย่างเต็มที่

        องค์กรของคุณธาราจัดฉากการฆาตกรรมนั้นเป็นเพียงเรื่องราวของวัยรุ่นโรคจิตที่สะเทือนประเทศไทย ซึ่งตอนแรกผมก็ทำอย่างนั้นแต่เธอบอกว่า มันยังไม่พอ เธอได้ปล่อยให้ลินเป็นผู้รอดชีวิตในบ้านเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย และรายนิ้วมือที่ตำรวจจะเก็บได้ก็เป็นของลี ที่องค์กรได้ทรมานมันต่อจากผมด้วยวิธีการที่เธอก็ไม่บอก แต่เธอก็ยืนยันว่าถ้าผมเห็นผมจะต้องสะใจ เธอเลยเปิดคลิปของลีและสภาพศพให้ด้วย แน่นอนมันทำให้ผมนั้น…มีความสุข

        คนในองค์กรพาผมมาที่โรงพยาบาลของลิน ยิ่งตอนนี้มีแต่นักข่าวเต็มไปหมดทำให้เราต้องใช้อีกเส้นทางหนึ่ง แต่นั้นแหละมันยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมทุกอย่างมันดูง่ายเสียเหลือเกิน ดูหมอบางคนและพยาบาลบางคนจะร่วมมือกับพวกเราเสียด้วย ผมเลยเรียกพวกมันว่าองค์กร คุณธาราบอกว่าทุกคนที่นี่คือคนเก่าแก่ ที่เคยทำงานกับเธอและแต่ละคนก็มีเส้นสายในวงการต่าง ๆ ผมได้แต่ทำหน้าตกใจเพราะคิดว่า ถ้าเธอยังคงค้ามนุษย์อยู่ก็คงน่ากลัวมากแน่ ๆ

        แต่ผมเองก็ไม่รู้สึกสงสารคุณธาราเท่าไร เพราะเธอเองก็ทำบาปกับพวกผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายไว้มาก ถือซะว่าเป็นบทเรียนที่สั่งสอนเธอแหละกัน

        ผมเดินเข้าไปข้างในห้อง ในห้องมีแต่ความเงียบ ผมเห็นลินกำลังหลับไหลอยู่จึงไม่ได้ปลุกตรง ๆ

        “พี่รัน” สักพักเด็กคนนั้นก็ตื่นแล้วมองมาที่ผม

        “เป็นไงบ้าง”

        “ไม่เป็นอะไรครับ” มันมองไปลอบ ๆ เหมือนไม่ไว้ใจ

        “พี่คุยกับพวกนั้นแล้ว เราจะร่วมมือกับพวกเขา”

        “ป้าธา?”

        “รู้จักด้วย”

        “ครับ”

        “ถ้าลินไม่อยากทำก็บอกนะ”

        “ไม่ครับไม่” ลินพยายามรั้งผมไว้

        “ผมมั่นใจ ผมไม่กลัว แต่พี่อย่าทิ้งผมได้ไหม”

        “นายจะเดือดร้อนนะ”

        “ผมไม่กลัว”

        เมื่อลินยืนยันอย่างนั้น ผมก็ตัดสินใจที่จะใช้เขาให้ทำตามแผนต่อไป แผนครั้งนี้ผมต้องทิ้งเวลาไปสักพัก แล้วรอเวลาที่เหมาะสมทุกอย่างจะออกมาดูดี ผมพูดกับคุณธาราแล้วว่าจะเป็นยังไง คุณธาราจะจัดการพวกนั้นเอง ส่วนผมผก็แค่ชำระบัญชีแค้นพวกนั้นไปอย่างเดียวน่าสนุกชะมัด



        หลังจากที่ทุกอย่างจัดการอย่างเรียบร้อยแบบเงียบ ๆ เงียบจริง ๆ เมื่อเทียบกับการตายของสามชีวิตที่มีคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากคุก สื่อทุกสำนักต่างก็เงียบกริบเช่นกัน มีเพียงกรอบคดีเล็ก ๆ ที่หน้าหนังสือพิมพ์และบนโซเชียลที่เงียบกริบเหมือนเรื่องนี้ไม่มีใครสนใจเลยสักนิด

        ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่หน้าสถานพินิจ น่าแปลกที่บรรยากาศที่นี่ไม่ได้แย่มากนัก แต่มันก็หมายความว่าพวกมันไม่ได้ทรมานจากการกระทำของพวกมันเลยสักนิด ผมที่ตอนนี้กำลังแต่งตัวด้วยชุดที่ดูทะมัดทะแมง หนวดปลอมที่ดูเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ และการทาผิวให้เข้มกว่าเดิมเล็กน้อยก็ทำให้ผมแทบจะแตกต่างอย่างที่เป็นอยู่

        ผมเดินตามลินที่กำลังตรงไปที่ห้องพบผู้ต้องหา มีคนหนึ่งที่ผมก็คุ้นหน้าดีกำลังนั่งฝั่งตรงข้าม แน่นอนมันดูแปลกใจที่มองผมผิดกับอีกคนที่มันดูไม่แปลกใจเลยสักนิด

        เมื่อลินนั่ง ไอ้แมนก็เริ่มทักทายเลยทันที

        “ไอ้เชี้ยลี ทิ้งกูไปแล้วไม่ส่งข่าวมาเลยนะมึง”

        หลังจากที่แมนมันพูดจบ ผมก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเท่านั้น

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 21 4/17/18
«ตอบ #46 เมื่อ17-04-2018 23:24:30 »

บทที่ 21


        เรากำลังเดินทางไปไหนสักแห่ง ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไรดี มันเป็นหนองน้ำขนาดเล็ก ๆ พื้นที่ส่วนใหญ่มีแต่ป่า
ไร้สิ่งมีชีวิตรอบข้าง มีเพียงแต่เสียงเงียบและความว่างเปล่าเท่านั้นที่ปกคลุมบริเวณรอบ ๆ แห่งนี้

        “ที่ไหนวะ?”

        เสียงของคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับไหลตรงบริเวณเบาะด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองเพื่อดูมันให้เต็มตา หน้าตาของมันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความสำนึกผิด แม้ว่ามันจะเพิ่งออกจากสถานพินิจก็ตาม

        “เราจะอยู่ที่นี่ก่อน”

        “ทำไม” มันถามผมเสียงแข็ง

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากลงจากรถ แล้วมันลงตามมากับผม ผมในตอนนี้แต่งตัวแบบพวกค้ายา แต่งตัวไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ หนวดปลอมและผยาวที่รุงรังปิดบังตัวตนของผมได้สมควร ผมเองพยายามเดินตัวให้ตรงด้วยท่าทางที่ถูกฝึกซ้อมมาว่า ผมเองนั้นเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงเพราะไปขายยาในสมัยก่อนและตอนนี้ผมเองก็หันหน้ามาเข้าสู่วงการค้ามนุษย์เพราะเงินดีกว่า แน่นอนข้อมูลพวกนี้คนที่รู้ความจริงมีแค่ไม่กี่คนแต่ที่แน่ ๆ ไอ้คนที่ตามหลังไม่ได้รับรู้แน่นอน

        มันเดินตามผมมาช้า ๆ พร้อมสอดส่องสายตาไปทั่ว ผมเองก็เลือบมองด้วยหางจา ก่อนจะมองไปทางกระท่อมกลางป่าเล็ก ๆ ที่ถูกปลูกไว้ ผมใช้เวลาเกือบอาทิตย์หลังจากที่เที่ยวไปมาหาสู่ไอ้แมนในสถานพินิจกับลินแล้วเดินทางมาที่นี่เพื่อดูราดราวว่าที่นี่จะไม่มีคนอื่นอยู่และก็ไม่มีใครที่จะมารบกวนได้

        “ไอ้ลีไปไหน”

        มันพูดพลางจุดบุหรี่สูบอยู่บริเวณทางเข้ากระท่อมเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป

        “กำลังมา เห็นว่าจะจัดการอะไรนิดหน่อย”

        “ทำไมถึงมาที่นี่ ที่ดีกว่านี้ไม่มีเหรอ”

        “มี แต่สะดุดตาไป”

        “นี่มึงของจริงรึเปล่าวะ”

        “ก็ของจริง จนแม้กระทั่งตำรวจยังไม่รู้จักหน้ากูเลย รู้แค่ชื่อปลอมที่กูปล่อยให้พวกมันดิ้นกันไปหา”

        ผมพูดแล้วก็สำรวจบริเวณรอบ ๆ ที่มีแต่กลิ่นอับชื้นเต็มไปหมด แต่อากาศที่นี่กลับเย็นสบาย ผมกับลินได้ทำการเตรียมของบางอย่างมาไว้เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานในการที่ว่า ผมนั้นใช้ที่นี่เป็นแหล่งกบดานเวลา”พ่อ”มาหรือที่เราเรียกว่าตำรวจมาจับนั้นแหละ

        ผมเดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วทำท่าหยิบมือถือขึ้นมาเล่นตามปกติ

        “หน้ามึงคุ้น ๆ นะ”

        พอมันพูดอย่างนั้นผมแทบที่จะทำมือถือหล่นลงพื้นทันที ใจเย็น เสียงในหัวกำลังบอกผม ผมพยายามตั้งสติแล้วทำเป็นไม่สนใจเสียงของมันสักเท่าไรนัก

        “ได้ยินที่กูพูดมั้ย!”

        “คุ้น ๆ ยังไง”

        “ไม่รู้สิ” แมนพูดแล้วก็นั่งตรงเก้าอี้ตรงข้าม มันยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วก็พ่นขวัญออกมา ยามเมื่อสูบเข้าไปเต็มปอด ผมได้แต่ภาวนาให้มันสำลักขวัญแล้วก็ตาย ๆ ไปเสีย

        “กูคิดว่ามึงเหมือนกับใครสักคน แต่กูเองก็จำได้ไม่ชัด”

        ผมยังคงไม่สนใจเสียงที่มันพล่ามออกมา อยู่ดี ๆ มันก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาที่ผม จับแขนผมไว้ด้วยความแรงพอประมาณ

        “สนใจกูหน่อยสิ”

        เสียงของมันเริ่มแผ่วเบาบ่งบอกถึงความปรารถนาบางอย่างในกายของมันได้ ผมสังเกตเห็นเป้ากางเกงของมันที่กำลังตุงออกมาจนผมเองก็เห็นมันได้ชัด ผมยิ้มน้อย ๆ ให้มัน เมื่อมันกำลังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

        “เดี๋ยวสิ จะทำอะไร” ผมถามออกมา

        “กูรู้ว่ามึงกับไอ้ลี กูเห็นว่ามึงกับมันเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมธุรกิจกัน”

        มันเริ่มเอาหน้ามันมาซุกไซที่คอของผม ผมพยายามขัดขืนมันแต่ไม่จริงจังนัก

        “รู้ได้ไง”

        “ก็รู้ เพราะกูรู้ว่าไอ้ลีแม่งเป็นเกย์ แล้วกูเองก็กำลังเป็นเสียด้วย”

        “ทำไม”

        มันเอาหน้าออกจากคอของผม มองตาด้วยแววตาหื่นกระหายก่อนที่จะดึงผมให้ลุกขึ้น แล้วโยนผมลงไปที่ฟูกที่นอนใกล้ ๆ มันครอมมาบนตัวผมก่อนที่จะค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อของมันและของผมออก

        “กูเคยเอาผู้ชาย ไม่ใช่เอาสิ ขมขื่นต่างหาก และมันก็สนุกมากด้วย”

        พอมันพูดจบ อะไรบางอย่างในหัวผมก็แทบร้องออกมา คืนนั้น เรื่องนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

        “ที่ทำให้มึงเข้าคุกเหรอ”

        มันดูชะงักกับคำถามของผม ผมไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะดึงคอมันมาประกบปาก มันเองก็ดูเคลิ้มจนกระทั่งที่เสื้อผ้าของมันก็ถูกมันเองถอดออกไปจนหมดเหลือแต่ผม

        “กูว่าเราควรจะคุยกันก่อนนะ”

        “เรื่องอะไร” มันพยายามที่จะถอดกางเกงของผมออก

        “เรื่องที่มึงบอกว่ามึงเข้าคุกเพราะผู้ชาย”

        “กูยังไม่ได้พูดเลย”

        ผมค่อย ๆ หยิบสิ่งของที่อยู่ใกล้ตรงฟูก โชคดีที่ผมกับลินวางสิ่งของที่จำเป็นไว้ข้าง ๆ กรณีฉุกเฉินแบบนี้ มันกำลังง่วนกับการถอดกางเกงของผมอย่างทุลักทุเล

        “แต่กูรู้ เพราะกเป็นสาเหตุที่มึงเข้าคุกไง”

        มันเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับที่ผมฟาดท่อเหล็กขนาดพอเหมาะเข้าไปที่หัวของมันอย่างจัง มันกระเด็นออกจากตัวผมพร้อมกับร้องอย่างเจ็บปวด มันพยายามที่จะจับหัวที่เลือดไหลของตัวเองไว้พร้อมกับพยายามที่จะคลานหนี

        ผมไม่รอให้เสียเวลา ผมฟาดท่อนเหล็กซ้ำเข้าไปอีกครั้งที่สองแล้วตามาครั้งที่สาม สี่ เรื่อย ๆ จนมันแน่นิ่ง ผมตกใจมากรีบจับมันขึ้นมาเช็คชีพจร มันยังหายใจ ผมโล่งอกก่อนที่จะค่อย ๆ ลากร่างของมันไปมัดไว้ที่เก้าอี้


        เสียงจิ้งหรีดร้องเสียงดังสร้างความเงียบเหงาที่น่าวังเวงให้กับที่นี่มากขึ้น แสงไฟเล็ก ๆ จากเปลวเทียนที่ผมจุด มันช่วยทำให้ที่นี่ไม่มืดจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สว่างมากนัก

        มีดหรืออะไรดี คราวนี้รันถามผมถึงอุปกรณ์ที่จะใช้แก้แค้น เรายังไม่ได้ตกลงอย่างเป็นทางการว่าแบบไหนที่เราจะทำกันแน่ ทรมานหรือฆ่า แต่สิ่งที่ต้องทำก่อนเลยก็คือทำให้มันได้รู้ถึงสิ่งที่ทำกับผมก่อน ผมค่อย ๆ หยิบมีดที่เตรียมไว้ออกมา มันคือมีดเล่มเดิมที่เคยใช้ไปแล้วกับไอ้ลี แต่คราวนี้ผมจะใช้มันสำหรับงานนี้อีกครั้ง

        ต้องรอมันตื่นก่อนนะ

        เพราะคราวนี้รันอยากให้ผมได้ลงมือที่จะล้างแค้นเอง เพราะเขาอยากให้ผมได้ลิ้มรสชาติของคราวเลือด บาดแผลเหวอะวะ เพื่อให้ผมได้ชินและลิ้มรสของความแค้นในเวลาที่มีดคม ๆ นั้นกรีดแทงลงไปบนผิวหนังของพวกมัน

        มันทำเราด้วยมีด ด้วยไอ้นั้นของพวกมัน เราก็จะทำมันคืนบ้าง

        ผมยิ้มออกมาพร้อมกับนั่งรอภายในความมืดที่แสงไฟนั้นส่องเข้าไม่ถึง ผมนั่งอยู่อย่างนั้น นั่งลงตรงเข้าชิดบนเก้าอี้อีกตัวตรงกันข้ามกับไอ้แมน ผมนั่งมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักอย่าง ร่างกายที่โชกเลือดของมันที่สมควรตายไปแล้วจากการโดนทุบโดยท่อเหล็ก ยังคงนั่งนิ่งเพราะโดนมัดติดกับเก้าอี้ เห็นเพียงแต่เงาที่กระทบจากแสงของเทียนที่สอดส่องให้ทอดเห็นเงาของมัน กำลังขยับเขยื้อนไปมา

        สักพักไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ร่างกายของไอ้แมนก็ขยับ มันมองไปรอบ ๆ ห้องก่อนที่จะพยายามดิ้นหนีออกจากเก้าอี้

        “ปล่อยกู”

        มันตะโกนดังลั่น เมื่อเห็นผมเดินออกมาจากความมืด หน้าของมันที่ปูดบวมจากการโดนทุบ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก

        “ปล่อยกูไอ้สัด มึงต้องการอะไร”

        “ชีวิตกูไง”

        ผมพูดตอบมันไป มันพยายามที่จะดิ้นไปมาจนเก้าอี้ที่มันนั่งล้มลงไปกับพื้น ตอนนี้มัมกำลังนอนตะแคงข้าง แม้ว่าตัวจะถูกมัดติดก็กับเก้าอี้ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะค่อย ๆ คลานโดยสภาพแบบนั้นเพื่อหนีเอาตัวรอด ผมตัดสินใจวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ชิ้นแรก เปิดฝาแล้วสาดใส่มันทันที

        “โอ๊ย”

        มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงนั้น ผมสวมถุงมือแล้วจับหัวมัน ให้อยู่นิ่ง ๆ มันกำลังดิ้นทรมานไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่า มันจะต้องจดจำคำสั่งเสียนี่ที่ผมจะมอบให้มันไปจนถึงนรกแน่นอน

        “นี่คือหนี้ที่มึงติดกูไว้ ตอนนี้ไอ้ลีไปรออยู่แล้วที่เหลือก็จะตามไป อีกไม่นานแน่นอน แต่ขอให้มึงจำไว้เลยว่า ชีวิตของมึงต่อให้ไปเกิดใหม่อีกสิบชาติกูจะตามไปฆ่ามึงทุกชาติ”

        ผมหยิบมีดที่สอดเอาไว้ตรงกางเกงออกมา เดี๋ยวก่อน เสียงของรันห้ามของผม

        เปลี่ยนแผนดีกว่า


        ผมรีบวิ่งออกมาด้วอย่างกระเซอะกระเซิง ถอดเสื้อผ้า ถอดหนวด วิกผม และใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้บนรถก่อนที่จะรีบวิ่งไปตรงที่เดิมที่จากมา ตอนแรกมันเป็นกระท่อมเล็ก ๆ สกปรกตรงป่าใหญ่ แต่ตอนนี้มีเพียงเปลวไฟที่ลุกโชนเต็มไปทั่วทั้งหลังแทน มันทำให้ที่นี่ที่มืดมิดกลับสว่างไสวเพราะเปลวไฟที่กำลังเผาที่นี่อยู่ ผมโยนทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันไปบริเวณกองไฟมหึมานั้น
มันค่อนข้างร้อน เพราะผมต้องมันใจว่าทุกอย่างที่ผมโยนเข้าไปจะมอดไหม้ไปพร้อมกับบ้านและร่างของไอ้แมน ผมยืนยิ้มอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเดินออกมา

        โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบมองผมอยู่ตั้งแต่แรก

        ผมรีบขับรถไปตรงสถานที่เตรียมไว้ เพื่อไปเจอกับลิน มันเป็นม่านรูดเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บ่อยนัก ผมเดินเข้าไปข้างใน ภายในกลับว่างเปล่า ผมโทรหาลินทันที แต่ลินก็ยังคงไม่รับโทรศัพท์ผม ผมรู้สึกแปลก ๆ เลยตัดสินใจที่จะออกมาจากที่นั้น

        “พี่จะไปไหน”

        ลินเดินมาพร้อมกับถุงกับข้าวมากมาย

        “พี่นึกว่าลิน…ช่างเถอะ ไปไหนมา”

        “ผมไปซื้อของ เข้าไปข้างในก่อน”

        ลินลากผมไป เข้าข้างในก่อนที่จะล็อคประตู

        “เด็กพวกนั้นจะคิดว่ามันแปลก ๆ”

        ผมพยักหน้าก่อนที่จะนั่งบนเตียง ลินวางของก่อนที่จะเดินมาหาผมพร้อมกับปัดอะไรบางอย่างมาให้ผม

        “ขี้เถ้าน่ะ” ลินปัดแล้วก็พูดไปพร้อมกับมองหน้าผม

        “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”

        “ใช่”

        “ทางนี้ก็เช่นกัน”

        “พี่กลัว”

        “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่ก็จะผ่านไป…พี่รัน”

        ลินเดินเข้ามากอดผม แล้วเราสองคนก็ยืนกอดกันเงียบ ๆ


        ข่าวของมันดังกว่าที่คิด แต่ทุกอย่างถูกตัดสินว่าเป็นคดีฆ่าอำพรางศพ มันเป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ เพราะถูกตีความว่าเกี่ยวกับเรื่องค้ายา แต่คราวนี้ในข่าวบางช่องก็พูดถึงผมในแง่ของคดีข่มขืนที่พวกมันทำมา ถึงแม้ว่าข่าวที่ลงเกี่ยวกับผมเพียงนิดเดียว แต่นั้นก็หมายความว่าหลายคนอาจสังเกตเห็นมันได้

        คุณธาราโทรมาเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำ พร้อมกับบอกให้ผมระวังตัวมากกว่านี้ เพราะเธอคงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากถ้าข่าวมันดังเกินไป ผมรับปาก พร้อมกับนั่งมองข่างบนจอโทรทัศน์ที่มีนักข่าววิเคราะห์เกี่ยวกับการตายของมัน พร้อมกับโยงไปที่ไอ้ลีเหยื่อคนล่าสุด

        ติ๊ด

        เสียงมือถือผมดังขึ้น เมื่อดูเป็นเบอร์ของพี่ไม้โทรมา ผมรับทันที

        “ฮัลโหลครับ”

        “ทำอะไรอยู่”

        “ก็ไม่ได้ทำอะไรมากครับ นั่งเล่นนอนเล่นนี่แหละครับ”

        “พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วย”

        “เหรอครับ”

        “ว่างมั้ย”

        “ก็ว่างนะครับ เดี๋ยวเราออกไปเจอกันที่ไหนดี”

        “พี่ว่าพี่ไปรับรันดีกว่า”

        “ไม่ดีกว่าครับ เราไปเจอกันที่นัดดีกว่า”

        “ก็ได้ครับ งั้นเจอกันที่….นะครับ”

        “ครับ”

        ผมวางสายแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวทันที


        “สวัสดีครับ” เสียงพี่กิตต์ทักผมขึ้นทันทีเมื่อเจอหน้า ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่เขาแทนที่จะเป็นพี่ไม้ที่นัดกันไว้

        “สวัสดีครับ พี่กิตต์ก็มาทานข้าวเหมือนกันเหรอครับ”

        “ใช่ครับ”

        “อ้าวคุณหมอ รัน” พี่ไม้เดินยิ้มมา วันนี้พี่ไม้แต่งตัวดูดีกว่าปกติ ผมมองไปที่พี่ไม้ยิ้ม ๆ

        “สวัสดีครับคุณไม้ นัดกับ….รินเหรอครับ” พี่ไม้ดูแปลกใจนิดหน่อยก่อนที่จะพยักหน้า

        “ดูสับสนนะครับ ทำไมต้องมีหลายชื่อก็ไม่รู้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเดียวกัน”

        ไอ้หมอเหี้ย สาระแน เสียงของรันด่าออกมา จนผมเกือบเผลอที่หลุดพูดออกมาจริง ๆ

        “ไปกันเถอะครับพี่ไม้” ผมไม่สนใจคำพูดของพี่กิตต์ เหมือนกับที่รันสั่งไว้ ไม่สิผมเริ่มที่จะเป็นเหมือนรันต่างหาก ผมอาจจะกลายเป็นรันโดยสมบูรณ์สักวัน…แล้วถ้าถึงวันนั้นผมจะเป็นตัวเองไหมนะ

        “ทำไมรันถึงเดินหนีหมอกิตต์ล่ะ”

        “เขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ พี่ไม้ก็อย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่านะครับ”

        “อืม” แล้วเราสองคนก็หาเรื่องอื่นคุยกัน

        พี่ไม้กำลังเลื่อนขั้น เงินเดือนเยอะขึ้น พี่ไม้ดูมีความสุขมากแม้ว่างานจะหนักขึ้น ผมดีใจกับพี่ไม้ได้เจอสิ่งดี ๆ ผมชื่นชมและรับฟังอย่างมีความสุข

        “แล้วรัน หาที่เรียนได้หรือยัง”

        “ผมสมัครไปแล้วครับ” ผมโกหก ผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

        “มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ”

        “ครับ”

        “เออ รัน”

        “ครับ”

        “รู้มั้ย สองคนที่เพิ่งออกจากสถานพินิจตายแล้ว ตายยกครัวทั้งสองครอบครัว”

        พี่ไม้พูดแล้วมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองพยายามคงบคุมน้ำหนักมือไม่ให้สั่นออกมา ผมก้มหน้านิดหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้ามาแล้วมองหน้าพี่ไม้ พร้อมกับยิ้มให้อย่างปกติ

        “เหรอครับ”

        “ลูกชายตายที่อื่น แต่พ่อแม่ตายคาบ้านทั้งคู่”

        พี่ไม้เลือกที่จะเงียบต่อแล้วนั่งทานข้าวต่อไป หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ บรรยากาศอึดอัดกว่าตอนแรกมาก จนผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

        “รันคงเหนื่อย พี่ว่าเรากลับกันดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

        “ไม่เป็นไรครับ พี่ไม้กลับเถอะ เดี๋ยวผมกลับเอง”

        “ทำไมไม่อยากให้พี่รู้ที่อยู่ของรัน รันปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า”

        “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” ไม่รู้สึกตัวเหมือนตอนนี้ทุก ๆ อย่างกำลังดำเนินภายใต้คำสั่งของ “รัน“ จริง ๆ

        “หยุดยุ่งกับกูสักที!” รันดึงมืออกจากพี่ไม้แล้ววิ่งหนีออกไป แต่ไม่ทันพี่ไม้คว้าไว้ก่อนที่จะจับตัวไว้ หลายคนมองมาทางพวกเราด้วยสายตาที่แปลกใจ

        “ใจเย็นก่อน ๆ ไปที่รถพี่”

        “ไม่ ปล่อย ปล่อยสิวะ!” รันยังคงขัดขืนไม่ฟังอะไรทั้งนั้น สักพักคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็เดินมาหยุดที่ตรงหน้าพวกเรา รันดิ้นหลุดจากพันธนาการของพี่ไม้

        “เพราะมึงที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

        “ใจเย็นสิ…รัน”

        รันยืนมองหน้าพี่กิตต์อยู่อย่างนั้น สักพักหนึ่งพี่ไม้ก็เดินมาจับแขนของ “ผม”

        “รัน ฟังก่อนพวกพี่จะไม่ได้มาทำร้าย พวกพี่ต้องการช่วย…ริน”

        ผมหันไปมองพี่พี่ไม้

        “โกหก”

        “พี่พูดจริง ๆ เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันดีกว่า”

        ผมหันไปมองทั้งสองคนพร้อมกับคำสั่งในหัวบอกว่า อย่าไป





        กลับมาต่อแล้วครับ เย้ ๆ ขอโทษที่หายไปนานมากนะครับ พอดีว่าติดโปรเจกค์บาง ติดวันหยุดบ้าง(อันนี้ไม่น่าเกี่ยว 5555) แต่ว่าก็ไม่ได้หยุดไปเฉย ๆ นะครับ ก็ไปเขียนเรื่องนี้ให้จบเลย อีกประมาณสองตอนก็จบแล้วครับ อาจจะดูรวบรัดไปบ้างแต่ก็วางเรื่องไว้แบบนี้แล้ว แฮะ ๆ ตอนนี้ก็มาลุ้นกันว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นยังไงต่อไป ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 21 4/17/18
«ตอบ #47 เมื่อ17-04-2018 23:42:05 »

ขอบคุณที่มาต่อค่ะ

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #48 เมื่อ27-05-2018 01:24:37 »

บทที่ 22
       



        ผมนั่งรถมากับพี่ไม้ พี่กิตต์ โดยนั่งอยู่ตรงเบาะหลังพร้อมสายตาของพี่กิตต์เฝ้ามองผมมาเป็นระยะ ผ่านกระจกมองหลังราวกับกลัวว่าผมจะหนีไป ซึ่งผมอาจจไม่ใช่แต่คนในหัวของผมไม่แน่ เมื่อผมมาถึงบ้านของพี่กิตต์ตัวผมก็ถูกพามาที่ห้องของพี่เขา ทั้งสองนั่งมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

        ริน ฟังเราต้องหนี ไม่ต้องสนใจพวกมัน

        “ไม่ต้องฟังเสียงในหัวให้มาก เพราะนั้นมันเป็นแค่บุคลิกหนึ่ง รินต้องฟังพี่เข้าใจไหม”

        “ครับ” ไม่ ผมกับรันเราพูดพร้อมกันมีแต่ผมเท่านั้นที่ได้ยินรัน

        แกไม่มีทางหนีฉันได้หรอกริน เราเป็นคนเดียวกัน ฉันอยู่ในหัวแก อยู่ในความคิดแก และฉันรู้ว่าแกอยากจะเป็นฉัน

        “รินตั้งสติแล้วฟังพี่ ทุกอย่างแก้ไขได้”

        พวกมันจะจับแกเข้าคุก

        “พี่จะช่วยรินเอง” พี่ไม้พูดออกมา

        อย่าไปฟังมัน

        “ช่วยด้วย” นี่คือเสียงผม

        “ใครก็ได้ช่วยด้วย” แกมันอ่อนแอรินนภัทร ฉันผิดหวังในตัวแกจริง ๆ

        ผมรู้สึกราวกับร่างกายในตอนนี้ของผมแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง มีบางอย่างกำลังบังคับความรู้สึกของผมแต่ผมพยายามต่อต้านมัน จนผมรู้สึกเหนื่อย

        จนสุดท้ายสายตาของผมเริ่มจะเห็นไม่ชัด เสียงเรียกของคนทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าก็แทบจะจับใจความไม่ได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร ผมได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ ภายในหู ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อย ๆ ดับลงไป

         
        ที่พื้นที่ผมเหยียบไม่ได้นุ่ม แต่ก็ไม่ได้แข็งจนเกินไป ความรู้สึกเหมือนกำลังเหยียบพื้นอะไรสักอย่าง ผมจำไม่รู้ว่าจะเรียกมันยังไงดี รอบ ๆ กายมีเพียงความมืดเท่านั้น น่าแปลกที่ผมเองก็รู้สึกว่าผมยังมองเห็นหนทางข้างหน้าได้อยู่ ผมเดินไปตรงไปข้างหน้า ตรงไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับที่กลุ่มก้อนที่เหมือนหมอกสีเทาค่อย ๆ โผล่ออกมา

        กลุ่มก้อนนั้นเหมือนเมฆแต่เหมือนเมฆสีเทามากกว่า เมฆสีเทาที่จะปรากฏทุกครั้งในเวลาฝนตก แต่มันไม่ได้จับกลุ่มกันแต่มันเป็นก้อนที่กระจัดกระจายไปทั่ว มีแสงแวบ ๆ ที่ทำให้นึกถึงสายฟ้าในยามฝนตก สักพักกลุ่มก้อนนั้นก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นนอกจาก ฟ้าผ่าแต่สักพักก็เปลี่ยนกลับเป็นภาพที่ผมคุ้นเคย

        ภาพอดีตของผมตั้งแต่เด็ก จนโต ทั้งเหตุการณ์ร้ายและเหตุการณ์ดี ๆ มันถ่ายทอดออกมาทั้งหมด มันฉายสวนเวียนไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น ถึงแม้ว่าผมพยายามที่จะหันหน้าหนีแต่ว่ากลุ่มก้อนพวกนั้น ก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มก้อนเดียวแต่มันมีหลายก้อนและแยกออกไปตามแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

        ผมวิ่งหนีอย่างสุดแรงเกิด

        แม้จะรู้ดีว่าหนีไม่พ้น สักพักเสียงที่ผมเองก็คุ้นเคย เสียงร้องของผมก็ดังขึ้น มันดังมากเหมือนไม่ได้ดีงมาจากรอบ ๆ แต่ดังมาจากในหัวของผมอีกที มันเป็นเสียงที่ทรมานสลับไปมาจนผมเองต้องเอามือขึ้นปิดหูของตัวเอง

        “เห็นมั้ยว่าเธอไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง”

        ผมหันไปมองร่างสีเทาเป็นกลุ่มก้อนที่ค่อย ๆ มารวมกันมีขนาดเท่ากับผม ทุกอย่างดูเจือจางเหมือนหมอก แต่ใบหน้ากลับเป็นใบหน้าของคนที่ผมคุ้นเคยที่สุดมาทั้งชีวิต…เพราะมันคือตัวผม

        “รัน” ผมรู้ดีว่านั้นคือใคร คนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผมช่วงนี้มากที่สุด

        “ฉันผิดหวังจริง ๆ อีกสามคนเองริน แค่สามคน ทำไมถึงยอมแพ้”

        ผมไม่ตอบนอกจากพยายามที่จะหาลู่ทางหนี

        “ตอนนี้แกอ่อนแอมาก ต่อให้แกพยายามหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น สุดท้ายฉันก็เป็นคนที่ต้องออกมาเป็นแกอยู่ดี ไม่ใช่สิ ฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์”

        ผมไม่สนใจนอกจากเดินหนี แต่ว่าร่างกลุ่มก้อนเมฆของรันก็ยังคงตามมา

        “ฮ่า ๆ”

        เสียงหัวเราะของเขาก็ไล่ตามหลังมา แต่ผมก็เดินออกไป เดินไปเรื่อย ๆ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองเดินวนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดก็ตาม

        “แกหนีไม่พ้นหรอก แกมันอ่อนแอ”

        ทุกอย่างกลายเป็นเลือด เป็นชิ้นเนื้อ มันเหมือนกับระเบิดตู้มออกมา แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเลือด ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง

        ในตอนนั้นผมภาวนาว่าขอให้ผมเป็นตัวเองที

 
        “ริน” เสียงของพี่ไม้ปลุกผมให้ตื่นขึ้น เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าผมยังอยู่ที่บ้านเดิมของพี่กิตต์

        “รินเป็นไงบ้าง” เสียงพี่ไม้ยังคงถามผม

        ผมดูเหมือนไม่ได้สนใจคำถามนั้น นอกจากอยากพูดในสิ่งที่อยากทำมากที่สุด ผมมองไปที่พี่กิตต์แล้วพูดว่า

        “ช่วยรินด้วย รินไม่อยากฆ่าคนแล้ว”

        ผมถูกพี่กิตต์พาไปวินิจฉัยที่โรงพยาบาลและรักษาด้วยวิธีของเขา ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับไว้ แต่ผมเองก็ต้องกินยาเพื่อกดบุคลิกรันเอาไว้ แม้จะรู้ดีว่ามันยากแต่ผมก็จะพยายามทำ

        “รันจะกลับมาอีกไหม”

        “ขึ้นอยู่กับริน ถ้ารินมีใจที่สู้ รินก็จะสู้ต่อไปได้”

        “ผมกลัว”

        “ไม่เป็นไรหรอก” พี่กิตต์พร้อมกับยิ้มให้ผม

        ผมถูกบังคับให้อยู่บ้านเดียวกับพี่กิตต์ ตอนนี้ผมติดต่อกับลินไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าลินคงรู้ว่าผมไปไหน ผมในตอนนี้ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเขา บางทีเขาจะไปอยู่กับคุณธาราแล้วก็ได้

        ผมถูกห้ามดูทีวีหรือสื่ออะไรก็ตามที่อาจกระตุ้นความรุนแรงในตัวผม ผมถามพี่กิตต์ถึงสิ่งที่ผมเป็นนั้นคืออะไร พี่กิตต์พูดถึงโรคหลายบุคลิก มันเป็นเหมือนกลไกป้องกันตัวของมนุษย์ที่เวลาเจอเรื่องร้าย ๆ กับตัวเองในอดีต ก็มักจะสร้างตัวตนอีกตัวหนึ่งที่แตกต่างจากบุคลิกดังเดิม “รัน” คือสิ่งที่ผมสร้างขึ้น เพื่อแก้แค้นคนที่ทำร้ายผม

        “รินรู้สึกตัวไหมตอนที่รันอยู่”

        “รู้บ้างไม่รู้บ้าง รันมักบอกกับผมว่า ไม่จำเป็นต้องรู้”

        “ปกติคนเป็นโรคนี้ บุคลิกต่าง ๆ จะไม่รู้จักกัน แต่ว่าของรินกับรันอาจเป็นกรณีที่พิเศษ”

        “ยังไงครับ”

        “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอผลต่อไป”

        ผมไม่ได้พูดอะไรกับพี่กิตต์ต่อเลยตัดสินใจเดินออกมา ก็พบว่าพี่ไม้นั่งรออยู่

        “วันนี้พี่ว่า พี่จะพารินไปเที่ยว”

        “ผมไปได้เหรอ”

        “ไปได้สิ พี่ถามหมอแล้ว เขาบอกว่าไปได้”

        ผมหันไปมองพี่กิตต์ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงห้องทำงานเขา ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพี่ไม้

 
        เราสองคนเดินทางมาที่ตลาดแห่งหนึ่งที่ขายของทั่วไป ผมเองในตอนแรกก็กลัวแต่ว่าพี่ไม้ก็ยื่นมือมาจับมือผมแล้วเดินไปด้วยกัน แม้มันจะดูแปลก ๆ แต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เราสองคนเดินซื้อของนั้นนี่ แล้วก็เดินมาพักที่สวนแห่งหนึ่ง แถวนั้นมีผู้คนมากมายกำลังนั่งเล่นกันอยู่ เราสองคนนั่งตรงม้านั่งแห่งหนึ่ง ในมือก็ถือของพะรุงพะรัง แล้วเราสองคนก็พูดกันเรื่อยเปื่อยทั่วไป

        บางทีผมก็คิดว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผมเจอ มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นบางทีชีวิตของผมเองก็คงมีความสุขมาก ๆ

        “แล้วรินตัดสินใจที่จะเรียนต่อไหม”

        “ไม่รู้สิ ตอนนั้นรินโกหกพี่ แต่ตอนนี้รินก็อยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาแล้วสิ”

        “พี่ยินดีช่วยเหลือรินทุกอย่าง รินมีอะไรก็บอกพี่ได้”

        “ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณพี่ไม้ที่รับผมได้ คนที่มีชีวิตเหลวแหลกอย่างผม”

        “พี่รับได้ พี่เข้าริน รินห้ามคิดมาก พี่…พี่รักรินนะ”

        ผมโอบกอดพี่ไม้ทันที เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรนอกจากนั่งกอดกันอย่างนั้น ผมเองก็ร้องไห้ จนผมเองก็ไม่ได้ทันสังเกตอะไร ผมผละออกจากพี่ไม้ พร้อมกับที่พี่ไม้ยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา

        “ผมก็รัก…”

        มีเสียงบางอย่างที่ผมคุ้นเคย มันเป็นเสียงของอาวุธขนาดเล็ก ที่มีอนุภาพทำลายล้างสูง มันสามารถส่งลูกตะกั่วด้วยระยะความเร็วที่มาก มากพอที่จะทำให้คนตรงหน้าของผมนั้น มีเลือดไหลออกมาช้า ๆ มือของผมที่จับหลังเข้าอยู่ก็สัมผัสถึงเลือดได้ กระสุนนั้นมันเฉียดมือผมไป นิดเดียวแต่กลับไปโดนพี่ไม้แทน

        “…พี่ไม้”

        ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าสติของผมไม่เหลืออีกแล้ว ไม่เหลือต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้วรินนภัทรคนเดิม

 
        ร่างของพี่ไม้ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที ผมเดินตามอย่างนิ่งเฉยเพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด ผิดกับรินที่ช็อคไปเลย ผมยืนมองมองร่างของเขาที่ถูกพากเข้าไป ก็ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะรอดในฐานะเพื่อนร่วมโลก

        “รินเป็นอะไรหรือเปล่า”

        เสียงของหมอโรคจิตที่ผมชิงชัง แต่ทำไงได้ตอนนี้ผมอยู่กับเขาดังนั้น สิ่งที่ผมจะทำคือเล่นละคร

        “พี่ไม้ ฮึก พี่ไม้” สมบทบาทชะมัด

        หมอนั้นถือวิสาสะเข้ามากอด แม้ตัวผมจะขัดขืนแต่สุดท้ายผมก็ยอม

        เรานั่งรอกันนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนผมขอตัวเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำท่ามกลางไฟมืดสลัว ผมเห็นตัวเองในกระจก กำลังร่ำไห้ เพียงแต่คราวนี้เสียงร้องนั้นไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ แต่มันคือความแค้น

        “ฉันจะจัดการให้เองริน ไม่ต้องห่วงฉันทำได้แน่”

        ในคืนนั้นรินก็รู้ว่า พวกสามคนที่เหลือออกจากคุกแล้ว แต่ไม่มีใครบอกรินเพระกลัวว่าตัวของรัน ซึ่งก็คือผมในตอนนี้จะออกมา แต่นั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าพวกมันก็รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเพื่อนมัน แล้วพวกมันเองก็ตามล่าผมเหมือนกัน

        เสียงมือถือของผมดังขึ้น พร้อมกับเบอร์ที่คุ้นเคย

        “สวัสดีครับคุณธารา”

        “สวัสดีค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงพักผ่อนเพียงพอแล้ว พร้อมหรือยังครับสำหรับการทวงหนี้”

        “ผมพร้อมแล้วครับ”

 
        พวกมันรู้จักผมได้ ผมเองก็รู้จักพวกมันได้เช่นกัน แม้ว่าความปลอดภัยจะรักษาหนาแน่นแต่ก็คงไม่มีใครสังเกต ขอทานผอมกะหร่องที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้า ขาด ๆ กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ถังขยะที่เหม็น ผมยกมือพนมขอเงินไปด้วย พร้อมกับชำเลืองพวกมันไปด้วย ผมกำลังอยู่ที่แถว ๆ ที่ทำงานของพวกมันที่เปิดผับบังหน้า แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้วก็คือค้ามนุษย์

        ผมสังเกตพวกมันอยู่นานจนสามารถที่จะส่งสัญญานไปยังคนอื่น ๆ ที่สังเกตพวกนี้เช่นกัน ตอนนี้เขามีข้อมูลว่าไอ้ทิดและไอ้มิ่งมันกำลังกบดานที่นี่ ภายใต้อาณัติของพ่อแม่พวกมัน ตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียวที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อให้ทุกอย่างมันจบเสียที

        “พี่รันตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง”

        “ยังคงปกติเช่นเดิม”

        ผมค่อย ๆ กระซิบกับเครื่องเสียงที่ติดอยู่ตรงหู พวกมันมองมาทางผมเล็กน้อย แต่คงไม่ใส่ใจมากเพราะคงคิดว่าบ้า ผมเดินผ่านพวกมันไป ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกดำเนินตามแผน ผมซ่อนตัวตรงช่องที่เคยมาดูลาดราวไว้ แล้วคอยเสียงสัญญาน

        ปัง

        ผมรีบเดินอ้อมไปทางหลังร้านที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแต่ตอนนี้ ทุกอย่างกำลังวุ่นวาย มีเพียงเสียงปืนและเสียงกรี๊ดร้องของผู้คนที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงจะดูแปลกเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสังเกตขอทานอย่างผม จนทำให้ผมลอบที่จะขึ้นไปชั้นบนได้

        ตรงโถงที่จะนำพาผมไปสู่พวกมัน มีบอดี้การ์ดสองคนกำลังยืนเฝ้าอยู่ ผมหยิบเครื่องเล็ก ๆ ที่แอบเก็บเอาไว้ โยนเข้าไป มันส่งเสียงดังตู้มพร้อมกับควันที่โม่งโฉงเฉง ผมใส่แว่นตาที่เตรียมมา หยิบมีด แล้วแอบแทงไปที่ท้องของพวกมันตรงจุดไม่สำคัญนัก เพราะผมไม่ได้หวังให้พวกนี้ตาย คนที่ผมหวังให้ตายคือคนที่อยู่ภายในห้องนั้น

        ผมรีบเปิดประตูเข้าไปทันที

        ห้องนี้มีเพียงไฟสลัว ๆ ที่คอยนำความสว่างเท่านั้น ผมปิดประตูแล้วค่อย ๆ ย่อง น่าแปลกที่พวกมันหนีออกไปได้อย่างเงียบเฉียบ ผมเดินไปที่ประตูอีกบานที่อยู่ในห้อง ก็ไม่พบอะไรนอกจากเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ที่กำลังฉายไปที่จอผ้าใบใหญ่ที่บนนั้นกำลังฉายภาพหนังเรื่องหนึ่ง หนังที่ผมนั้นเป็นผู้แสดง

        ใบหน้าที่ทรมานแตกต่างจากใบหน้าของผู้ชายอีกสี่ “ตัว” ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ตัวของผมนั้นก็เปื้อนเลือด ใบหน้าของผมบ่งบอกได้ว่าผมคงจะตายในไม่ช้า ตรงเครื่องฉายมีซองจดหมายกำลังเสียบเอาไว้ ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วเปิดอ่าน

        ‘ยินดีด้วยนะจ๊ะ นางเอกของพวกเราที่ได้ดังเป็นนักแสดงทางเน็ตเสียที’

        มีเสียงข้อความเข้าที่มือถือของผม มันเป็นข้อความของหมอกิตต์ที่สงเข้ามาถามว่า

        “เกิดอะไรขึ้น”

        ผมกรีดออกมาสุดเสียง ก่อนที่ตัวของผมจะถูกล็อคไว้จากด้านหลัง เสียงกระซิบที่หูผมยังคงจำมันได้ดี เสียงที่ทำให้ผมตายทั้งเป็น เสียงของคนที่พยายามเข้ามาหาผมก่อน เสียงของคนที่ขับแท๊กซี่ในคืนนั้น เสียงของไอ้เหี้ยทิด

        “สวัสดีจ๊ะ จำผัวตัวเองได้ไหม”

ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22 5/27/18
«ตอบ #49 เมื่อ27-05-2018 01:25:51 »

บทที่ 23




        ผมถูกไอ้ทิดเอาปืนจ่อมาที่หลังของผม พร้อมกับล็อคคอผมไว้อย่างแน่นหนา มันทำให้ผมหายใจไม่ค่อยสะดวกนัก ผมพยายามดิ้นและส่งเสียง แต่ว่ามันก็ขู่ผมไว้

        “เงียบ ๆ นะ ถ้าส่งเสียงหรือว่าดิ้นอีกละก็...รับรองว่าปืนนี้ได้ลั่นแน่”

        ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น มันพยายามที่จะลากผมไปอีกห้องหนึ่งก่อนที่ผมจะถูกผลักลงเตียง เสียงกรี๊ดและความวุ่นวายทั้งหลายยังคงดังลั่นมาถึงข้างบน ไอ้ทิดมันดูลาดราวข้างนอก ก่อนที่จะปิดประตูและลงกลอน

        มันมองผมด้วยแววตาอาฆาตแค้นผมอย่างหนัก ในมือของมันก็ยังคงถือปืนชี้มาที่ผม

        “ไม่คิดว่ามึงจะโง่ขนาดนี้”

        “…”

        “ไม่คิดจะทักทายผัวหน่อยเหรอจ๊ะที่รัก”

        มันพูดพร้อมกับเอาปืนกระบอกนั้นมาเขี่ยที่หน้าของผม แล้วไล่ลงต่ำไปเรื่อย ๆ จนหยุดที่อยู่ที่จุดกึ่งกลางของผม

        “น่าแปลกนะที่พวกนั้นเสือกโง่ปล่อยให้มึงฆ่าพวกมันได้อย่าง่ายดาย แต่ก็ช่างมันตอนนี้กูจะชดใช้ให้พวกมันเอง”

        ในเวลานั้นอยู่ ๆ ดีก็เสียงดังตู้มตรงหน้าห้องจนไอ้ทิดตกใจ หันกระบอกปืนไปที่ประตู เพราะมีคนพยายามจะพังเข้ามา ผมใช้โอกาสนั้นถีบมันและขึ้นคร่อมมันไว้ ผมพยายามแย่งปืนจากมัน มันเองก็พยายามต่อต้านผมไปมา จนมันสามารถพลิกกลับให้ผมไปนอนลงพื้น มันใช้มืออีกข้างบีบคอผมพร้อมกับจ่อปืนมาที่ขมับของผม

        “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”

        เสียงประตูยังคงดังไปเรื่อย ๆ ผมเองก็เริ่มหายใจไม่ออกพยายามที่จะหามีดที่ซ่อนไว้ตรงกางเกง ผมคว้ามันได้ก่อนที่จะแทงเข้าไปที่คอมัน

        “อ๊ากก”

        มันพลั้งทำปืนหล่น ผมรีบหยิบปืนขึ้นมาก่อนที่จะยิงไปที่ขาของมันทันทีโดยไม่ลังเล ประตูก็พังเข้ามาทันที

        “พี่รัน”

        ลินวิ่งมาหาผม ด้วยสภาพที่เลือดโชกมาหมาย

        “ไม่ใช่เลือดของผม เลือดคนอื่น”

        “ช่วยพี่ได้ไหม”

        ผมชี้ไปที่ร่างของไอ้ทิดที่กำลังนอนร้องอย่างทรมาน มือข้างหนึ่งของมันก็กำไปที่คอที่เลือดไหลจากมีด อีกข้างก็จับขา

        “มึงฆ่ากูเถอะ”

        “เมื่อกี้เห็นปากเก่งนักนี่ ทำไมไม่ปากเก่งต่อไปล่ะ”

        มันดูไม่สนใจที่ผมพูดนอกจากร้องโอดครวญ ผมเดินเข้าไปใกล้มัน ก่อนที่จะนั่งตรงข้างหน้ามัน ดึงผมมันขึ้น

        “บอกมาว่าไอ้สองตัวไปที่ไหน”

        “กูไม่บอก”

        ลินพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ผมห้ามไว้ ตอนนี้ผมคิดว่าจะปิดบัญชีไอ้นี่ให้เร็วกว่าคนอื่นเสียหน่อย ผมดึงมีดที่ปักจากคอก่อนที่จะแทงมันลงไปที่กลางลำตัวของมัน มันร้องเสียงหลงอย่างทรมาน

        “จะบอกกูไหม”

        “ไม่บอก”

        ผมก็แทงซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันแน่นิ่ง

        “อย่าเพิ่งตาย!”

        มันค่อย ๆ ที่จะหลับตาลงแล้วยังคงเงียบปากอยู่อย่างนั้น เลือดสีแดงกระจายไปรอบพื้นและไหลออกจากบริเวณที่ผมแทงย้ำ ๆ

        “เดี๋ยวกูจะพาเพื่อนมึงที่เหลือตามไปอยู่กับมึงเอง อีกไม่นาน”


        ผมกับลินออกจากห้อง เราไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดอะไรมากเพราะตอนนี้ ทุกอย่างเองก็กำลังจะถูกเก็บกวาดโดยคนจากองค์กรณ์อยู่แล้ว เราสองคนแค่เดินออกจากหลังร้านแบบเงียบ ๆ เดินผ่านศพมากมายที่นอนเกลื้อนบนพื้น ผมไม่รู้ว่าขณะที่เดินอยู่นั้นผมเหยียบพื้นหรือศพกันแน่

        รองเท้าของผมที่ถึงแม้มันจะขาด ๆ เหมือนรองเท้าขอทานที่ใส่ทั่วไป จากสีขาวของมันก็กลายเป็นสีแดงจากเลือดที่อยู่บนพื้น

        เราสองคนเดินไปที่รถที่จอดไว้ บริเวณรอบ ๆ ที่วุ่นวายตนไม่ได้สังเกตเห็นเราสองคนที่เดินออกมา ผมเดินไปเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งที่คนขับ ลินเองก็นั่งข้าง ๆ ผม

        “พี่กลัวเหรอ”

        “ไม่ พี่แค่รู้สึก…รู้สึกอยากหลุดพ้นจากเรื่องนี้สักทีต่างหาก”

        “ถ้าพี่ไม่ไหว ปล่อยให้ป้าธา…”

        “ไม่ พี่จะจัดการพวกมันด้วยมือของพี่เอง”

        ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกมา

        “พี่แวะไปล้างตัวที่ห้องก่อนไหม ผมว่าพวกนั้นคงหนีไปไหนไม่ไกลหรอก”

        “…”

        “พี่รัน”

        “เงียบ!”

        ผมจอดรถ แล้วทุบไปที่พวงมาลัยรุนแรงจนผมรู้สึกเจ็บมือ ผมร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยอ่อนแอ ผมเป็นรัน ไม่ใช่ริน ทำไม ทำไมทุกอย่างมันถึงเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ทำไมผมถึงอ่อนแอ

        “พี่รัน ผมว่าผมขับรถให้เองดีกว่า”

        “พี่ไม่เป็นไร…พี่ไหว พี่ว่าเรากลับห้องก่อนดีกว่า”

        ผมขับรถกลับมาที่หอของผม โดยผมพยายามเช็ดเลือด และอะไรหลายอย่างเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อย แล้วทิ้งมันไว้ในรถ เตรียมไปทำลาย เมื่อเช็ดความเรียบร้อยผมก็เดินเข้าหอทันที

        เพียงแค่ก้าวเดียวที่ผมเหยียบเข้าหอพัก ร่างสูงของผู้ชายที่ผมคุ้นตา ใส่แว่นหนา แต่งตัวภูมิฐาน กำลังนั่งรอตรงบริเวณล็อบบี้ เมื่อเขาเห็นผมก็รีบเดินมาหาก่อนที่จะชะงักเมื่อคนข้างกายผม เหมือนโลกทุกอย่างหยุดนิ่งอย่างนั้น นานหลายนาทีก่อนที่ผมจะทักเขา

        “หมอกิตต์”

        หมอนั้นพยายามขอคำอธิบายจากผม แต่ผมไม่ได้ตอบนอกจากบอกให้ลินขึ้นไปก่อน แล้วลากหมอกิตต์ออกมาคุยตรงที่นั่ง

        “หมายความว่าไง”

        “ก็ตามที่เห็น”

        “แต่คนนั้นมันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้ว…”

        “เขาเป็นน้องชาย น้องชายของไอ้ลี”

        “แล้วคุณรู้จักเขาได้ไง”

        “เรื่องมันยาว”

        “รันเกี่ยวกับอะไรกับการตายของพวกนั้นใช่มั้ย”

        เสียงของเขาเหมือนกับกระซิบ ใบหน้าที่โกรธจัดของเขาทำให้ผมรู้สึกถึงความน่ากลัวจากผู้ชายคนนี้ได้ตั้งแต่ครั้งแรก

        “มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”

        “เกี่ยวสิ ผมเป็นหมอ ผมต้องดูแลคนไข้”

        “คุณเป็นแค่คนรักษา ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายชีวิตคนอื่น”

        “…”

        “ผมมาไกลเกินกว่าที่จะหยุดแล้ว”

        “มันหยุดได้ เพียงแค่คุณจะหยุด”

        “ขอโทษด้วยนะ ผมไม่หยุดครับคุณหมอ”

        หมอกิตต์จ้องหน้าผมอย่างนั้นสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมเห็นแผ่นหลังที่สั่นไหวของเขาแล้วก็นึกสงสาร แววตาที่เขามองผม ก็เหมือนตอนมองริน ทั้งอบอุ่น แล้วก็รู้สึกถึงความปลอดภัย ขอโทษนะที่รินคนเดิมอาจกลับมาไม่ได้อีกแล้ว

        มือถือของผมสั่น ผมหยิบขึ้นมาดู มีข้อความและสถานที่บางอย่างที่ผมต้องไป ไม่งั้นคลิปที่มันมีจะถูกปล่อยลงเน็ต มันปล่อยออกมาบางส่วนแล้ว ผมได้แต่เก็บความแค้นนี้แล้วกลับขึ้นไปบนห้อง

 
        “เขาเป็นหมอที่รักษาพี่เหรอ”

        “เคยนะ”

        “พี่จะไปไหน”

        “ไปทำให้ทุกอย่างมันจบ”

        “ผมไปด้วย”

        “นายรออยู่นี่แหละ มันเริ่มที่พี่ ก็ต้องจบที่พี่”

        ผมพูดแล้วเดินออกมา ธาราโทรมาบอกถึงจุดหมายที่ไอ้สองตัวนั้นมันกลบดานที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง มันโทรมาหาธาราพร้อมกับจับลูกสาวของเธอเป็นตัวประกัน ผมตอบรับ พร้อมกับมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที ที่บ้านร้างหลังนั้น

        บ้านร้างที่ทำให้ชีวิตผมนั้นตกนรกทั้งเป็น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22 5/27/18
« ตอบ #49 เมื่อ: 27-05-2018 01:25:51 »





ออฟไลน์ ๋ื๋Jinnapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22 5/27/18
«ตอบ #50 เมื่อ27-05-2018 01:27:34 »

บทที่ 24




        สภาพของมันยังคงคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ภาพเก่า ๆ ที่ผมโดนกระทำเริ่มเข้ามาในหัวสมอง ทำไมผมต้องแยกรินกับรันด้วย ก็ในเมื่อเราทั้งสองนั้นเป็นคนเดียวกัน

        รันคือริน

        รินก็คือรัน

        รินก็แค่เจ็บปวดเกินไปจนต้องสร้างผม และผมเองก็ต้องทำหน้าที่รับความเจ็บปวดพวกนั้นเอาไว้คนเดียวเพื่อให้รินมีชีวิตรอด ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วก็ในเมื่อรินและรันต่างก็ได้รับความเจ็บปวดพอ ๆ กัน ดังนั้นตอนนี้เราสองคนก็กลายเป็นคนเดียวกันโดยสมบูรณ์แล้ว

        “เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ” 

        ไม่ต้องมีใครที่ต้องรับความเจ็บปวดเพียงคนเดียวอีกต่อไป

        ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในทางเดินบ้านหลังนั้นด้วยเส้นทางอีกเส้นทาง ผมเพิ่งรู้ว่าเรากลัวขนาดไหนในยามที่รู้ว่าภัยอันตรายกำลังจะอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่สิ ความกลัวที่เราต้องฆ่าต่างหาก ถ้าจะบอกว่าผมนั้นเก่งใช่ไหมถึงกล้ามาที่นี่คนเดียว ผมก็ตอบได้เลยว่าไม่ ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบเท่านั้นเอง

        บ้านหลังเดิมที่ดูทรุดโทรมผมเพิ่งได้เห็นมันเต็มตาในวันนี้ เพราะมันยังคงสว่างที่ทำให้เห็นได้ว่าสภาพที่นี่น่ากลัวกว่าที่คิดแม้ในเวลากลางวันก็ตาม ผมเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยุดที่ประตูหน้าบ้าน ผมเคาะประตู รอคอยเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ

        เพียงไม่กี่อึดใจ ประตูบานนนั้นก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคิดถึงมันมาตลอด คิดถึงในแง่ที่ว่า ผมจะทำยังไงให้มันตายอย่างทรมานดี ผมจะทำยังไงให้มันได้รับความเจ็บปวดที่ผมมีส่งไปถึงมันได้มากที่สุด

        “สวัสดีครับเมียสุดที่รัก เข้ามานั่งก่อนสิครับ”

        มันผายมือผมไปที่โต๊ะอาหารสุดหรูที่ดูขัดแย้งกับสภาพของบ้าน ตรงกลางมีอาหารมากมายวางอยุ่ดูน่ากิน ผมมองไปรอบ ๆ ก็เจอกับคนชื่อมิ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ตรงข้างหลังของลูกสาวคุณธารา เธอกำลังโดนมัดปาก มัดมือ หน้าตาดูไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยน้ำตา ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตาของเธอกำลังเว้าวอนของความช่วยเหลือ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบเธออะไรลับไป

        “อาหารอร่อยมาก นี่ให้เชฟดังทำให้เลยนะ ถือว่าเป็นการบำรุงก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องใหม่ไง”

        “หนัง”

        “ใช่”

        มีดเล็ก ๆ ที่ไอ้มิ่งถือค่อย ๆ จี้ไปที่คอของหญิงสาว

        “ให้เล่นเป็นอะไร”

        “หลายอย่าง แต่เริ่มด้วยการทรมานจากนั้นก็มีเซ็กซ์ จากนั้นก็…ฆ่า!”

        มันจับหน้าผมแล้วตบ จนผมหล่นลงไปที่พื้น

        “เหมือนที่มึงทำกับเพื่อนกู อีชั่ว!”

        “มึงควรโทษตัวเองก่อนดีกว่านะ ไอ้โรคจิต”

        ผมลุกขึ้นนั่งแล้วปัดผมของตัวเอง

        “เพราะพวกมึงมันชั่วไง”

        สักพักเสียงยิงของปืนก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้ไอ้มิ่งที่กำลังจ้อมีดอยู่ล้มลง

        “โอ๊ย”

        “ไอ้มิ่ง”

        ผมใช้โอกาสนั้นแย่งมีดจากมันมาแล้วก็แทงมีดไปที่ขาของมัน ก่อนที่จะมีคนบุกเข้ามา คุณธาราเดินเข้ามาพร้อมใครหลาย ๆ คนก่อนที่คนบางคนจะใช้สันปืนตีไปที่หน้าของพวกกระจอกทั้งสอง

        “ที่เหลือคุณจัดการเองนะคะ”

        แล้วพวกเขาก็เดินออกไป เหลือแต่ร่างของพวกมันสองคนที่กำลังนอนแน่นิ่ง แต่ไม่ได้ตายอยู่บนพื้น ผมลากพวกมันไปนอนกองกันก่อนที่จะใช้เชือกแถวนั้นมัดมันไว้ติดเก้าอี้ ผมวางกล้องวีดีโอของไอ้หมีที่ในนั้นยังคงมีคลิปของผมอยู่ ผมลบมันทิ้งก่อนที่จะตั้งไว้ตรงที่มันเคยตั้งในวันนั้น

        “เรามาเริ่มถ่ายหนังจริง ๆ ดีกว่า”

     
        อาวุธที่เตรียมมาดูท่าจะไม่ได้ใช้ ผมรู้แต่ว่าที่พวกมันมีก็มีเพียงพอแล้ว ที่จะจัดการได้ทันเวลาก่อนที่พวกตำรวจจะมา เครื่องทรมานที่มันเคยทรมาน”เหยื่อ”ของมันที่ผ่านมา

        ผมพบว่ามีอุปกรณ์มากมายจนผมเองตัดสินใจหยิบมีดหมอมาอันนึง

        “ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อผมเดินออกมาผมก็พบว่าไอ้หมีกำลังตื่นแล้วจ้องหน้าผมยังโกรธแค้น

        “มึงร่วมมือกับพวกนั้นเหรอ”

        “ก็ใช่ นึกว่าจะรู้ตั้งนานเสียอีก”

        “มึง…”

        “มึงมันโง่ มันประมาทคิดว่าคนอย่างกูทำอะไรไม่ได้ ที่มึงขู่ว่าจะปล่อยคลิปกู กูไม่ได้กลัวสักนิด เพราะสุดท้ายกูก็จะมาที่นี่ มาเพื่อฆ่ามึงและมึง”

        ผมชี้ไปที่ไอ้มิ่งที่กำลังนอนสลบไสลอยู่

        “มึงทำไม่ได้หรอก”

        “เพื่อนมึงที่ตายก็ฝีมือกูทั้งนั้น”

        ผมหยิบมีดขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปหาไอ้มิ่ง

        “มึงอย่าทำอะไรไอ้มิ่ง”

        “แหมรักเพื่อนจริงนะ ไม่เป็นไรหรอกมันไม่เจ็บปวด…แค่ตอนนี้นะ”

        ผมใช้มีดกรีดลงไปบนแก้มมัน น่าแปลกที่มันแหลมคมพอที่จะกรีดลึกเข้าไปมากกว่านั้น จนถึงริมฝีปาก

        “ไอ้เหี้ย”

        เสียงของไอ้หมียังคงดังอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้สนใจนอกจากกรีดอีกข้าง จนสภาพของไอ้มิ่งกลายเป็นหนุ่มปากฉีก ที่เหมือนกับสาวปากฉีกในตำนานของญี่ปุ่น ไอ้หมีร้องอย่างโหยหวนและทรมาน ราวกับเป็นมันซะเองที่โดนกรีด

        ผมเดินไปหยิบอาหารที่ดูมีสีจัดจ้านมากที่สุด หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปหาร่างของไอ้มิ่งที่แน่นิ่ง

        “มึงจะทำอะไร”

        “เล่นนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง”

        “มึงมันโรคจิต”

        “ไม่เท่ามึงหรอก”

        ผมพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพยายามปลุกไอ้มิ่งขึ้นมา มันสะลึมสะลือก่อนที่จะตกใจและพยายามร้องอย่างเจ็บปวด ผมเทอาหาใส่ปากของมันทันที จนมันร้องแกมาเสียงหลงอย่างทรมาน ปากของมันที่ถูกฉีกกว้างก็พะงาบ ๆ ออกอย่างน่าเวทนา มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย ผมเดินไปหยิบกระจกขึ้นมาก่อนที่จะส่องไปที่หน้าของมัน มันดูตกใจสุดขีดที่เห็นสภาพตัวเองเป็นอย่างนั้นและส่ายหัวไปมา

        “ฮ่า ๆ”

        ผมบ้าสุด ๆ ไปแล้ว ผมหัวเราะกับภาพตรงหน้า ผมขำกับอาการหวาดกลัวที่ปากของมันที่กว้าง ผมเดินไปหยิบมีดก่อนที่จะไปหาไอ้หมีที่พยายามดิ้นหนี คราวนี้ผมเดินไปหากล้องแล้วหยิบมันขึ้นมา แพนไปที่ตัวมันที่กำลังกลัวสุดขีด

        “ใจเย็น ๆ เดี๋ยวมึงจะได้โดนสิ่งที่โหดร้ายกว่านั้น”

        ผมหยิบยาชาที่เตรียมไว้ ก่อนที่จะเดินไปแล้วฉีดให้กับมัน มันดูอึกอักก่อนที่จะแน่นิ่ง ส่วนไอ้มิ่งดูเหมือนจะสลบไปนานแล้ว ผมหยิบเลื่อยที่นำมาจากห้องทรมาน แล้วเล็งไปที่ขาของมันก่อนที่จะหั่นช้า ๆ

        ด้วยความที่ยาชาเพิ่งฉีด และยังไม่ได้ออกฤทธิ์ดีจึงทำให้มันทรมานกว่าที่เป็น แม้มันพยายามดิ้นขนาดไหน แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นใบมีดของเลื้อยที่ผมกำลังเลื้อยมันช้า ๆ เลือกของมันไหลทะลักออกจากต้นขา มันกระเด็นใส่หน้าของผม และไหลลงเต็มพื้น เสียงของมันพยายามร้องแต่ร้องไม่ออกเพราะติดยาชาทำให้ผมเลื้อยขามันอย่างง่ายดาย

        และตอนที่ยากที่สุดก็คือตอนที่มันเลื้อยถึงกระดูก ผมไม่สามารถที่จะทำได้ถึงขั้นนั้นจึงหยุดเลื้อยและหันมาหั่นต่ออีกข้าง แม้ไอ้หมีพยายามจะดิ้นแต่ก็หมดแรงเสียแล้ว เพราะมันกำลังจะตายในไม่ช้า

        “กูจะไม่สั่งเสียอะไรกับพวกมึง กูไม่ต้องการคำขอโทษจากพวกมึง”

        ผมพูดต่อไปเรื่อย ๆ แม้คนที่ฟังเริ่มที่จะหมดสติลงแล้วก็ตาม

        “กูแค่อยากให้พวกมึงตาย ตายเท่านั้น ตาย ตาย ตาย”

        ในหัวและคำพูดมีแต่คำว่า ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!

 
        ร่างภูมิฐานของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างเงียบเฉียบ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากข้างนอกนานแล้วแต่เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเข้ามาตอนไหนดี แต่หลังจากที่ทุกอย่างเงียบมานานจนเขาคิดว่าเป็นเวลาที่ดีพอที่จะเดินเข้าไป

        ภายในบ้านที่โกโรโกโสตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่กระจายไปทั่วทุกที่ น่าแปลกมันควรจะเป็นภาพชินตาสำหรับเขาถ้าไม่ติดตรงที่ว่า สาเหตุที่เลือดเหล่าเปรอะผนังและกระจายไปทั่วเป็นฝีมือของคนที่กำลังนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่มุมห้อง เด็กผู้ชายวัยยี่สิบที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมากมาย มันทำให้เขารู้เห็นใจคนนั้นมากกว่าศพสองศพที่โดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

        “ริน” รัทชาติเรียกและเขย่าตัวของรินนภัทร

        รินนภัทรทำเพียงเงยหน้ามองขึ้นมา ด้วยแววตาเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ถูกปลุกจากที่นอนในยามเช้า รัทชาติสังเกตว่าอาจจะเป็นเรื่องผิดปกติเขาจึงตัดสินใจที่จะอุ้มเด็กคนนั้นออกมา

        อีกสักพักพวกตำรวจคงมาถึง แต่นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่ยืนรอเขาอยุ่ตรงรถเก๋งสีดำ เธอยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเปิดประตูด้านหลังให้ เขาวางของรินนภัทรใส่เบาะหลังก่อนที่จะมาสนทนากับผู้หญิงตรงหน้า

        “คุณจะทำยังไงต่อไป”

        “อันนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน คุณแค่ไปส่งรินนภัทรให้ถึงมือหมอก็พอ”

        รัทชาติพยักหน้า จากทุกอย่างที่ผ่านมาเขาควรที่จะไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ถ้าไม่มีเธอรินนภัทรคงทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาก็เช่นกัน

        มีเรื่องบางเรื่องที่ตำรวจธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เลยสักนิด การที่เขาจะเล่นสายมืดที่เขาเคยเกลียดเพื่อทำลายมัน มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ แต่มันก็แลกมากับเด็กบริสุทธิ์อย่างรินนภัทร ถึงแม้ตาของรัทชาติเพ่งไปที่ถนนแต่ในบางครั้ง เขาก็จะเหลือบมองไปที่รินนภัทรเพียงแค่เสี้ยววิ เพื่อพูดคำว่า “ขอโทษ”

        การเป็นตำรวจของเขาในครั้งนี้ มือของเขาไม่ได้ใสสะอาดเลยสักนิด ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่เขาควรจะทำคือการพารินนภัทรกลับไปหาคุณหมอกฤษณะ เขาเหยียบคันเร่ง ขับผ่านรถตำรวจมากมายที่กำลังมาถึง เขาไม่ได้สนใจพวกนั้น เพราะกว่าพวกนั้นจะรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง เขาเองก็อาจจะไม่อยู่ที่นี่รวมถึงเด็กที่อยู่ข้างเขา

        ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงที่เดินทางมาถึงบ้านของหมอกฤษนะ เขาอุ้มร่างของรินนภัทรที่ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งเฉย ๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่รู้สึกตัวกับอะไรทั้งนั้น

        “คุณตำรวจ! ริน!” หมอกฤษณะเดินมา

        “คุณหมอช่วยด้วยคุณรินหน่อยครับ”

        หมอกฤษณะพารินไปที่เตียง อาการของรินนภัทรเหมือนไม่รู้สึกตัวอะไรแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง นอกจากนั่งเหมอลอยไปเรื่อย ๆ

        “เขาอาจจะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาไปแล้วครับ” กฤษณะตอบ ตอนนี้เขากำลังน้ำตาไหลออกมา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดได้เกิดขึ้นจนได้

        “รินเคยเป็นแบบนี้ตอนสมัยเด็ก ๆ แต่เขาก็หายในระยะเวลาไม่นาน แต่นี้อาจไม่มีโอกาส”

        กฤษณะพูดจบก็หันมามองตำรวจหนุ่ม

        “ผมอยากให้คุณตำรวจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังได้ไหมครับ”

        รัทชาติพยักหน้าก่อนที่กฤษณะจะพาตำรวจหนุ่มไปที่ห้องรับแขก เมื่อทั้งสองนั่งลงรัทชาติก็เล่าทันทีตามฉบับของตำรวจหนุ่มที่ทำอะไรค่อนข้างรวดเร็วและรวบรัด

        “ตามจริงผมกำลังจับพวกนั้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่ผมช่วยรินจากเหตุการณ์ที่หอก็ยิ่งทำให้ผมอยากจับพวกนี้มากขึ้น แต่ไม่สำเร็จพวกมันมีแบ็คที่ใหญ่เกินไป หัวหน้าของผมก็มีส่วนเขาจึงโยกย้ายผมไปมาหรือไม่ก็พยายามทำให้ผมอยู่ห่างจากเรื่องพวกนี้มากที่สุด จนสุดท้ายผมได้เจอคุณธาราเธอยื่นข้อเสนอเรื่องหนึ่งให้ผม และแน่นอนเรื่องของรินเธอก็รู้เพราะผมแอบจับตารินอยู่”

        “คุณรู้เรื่องนี้มาตลอด แล้วทำไมปล่อยให้รินเจอเหตุการณ์นั้น”

        “มันเป็นสิ่งที่ผมให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย ผมพยายามไปช่วยแต่ทุกอย่างก็สายไป ถึงแม้ผมจะไปเร็วกว่าตอนที่คุณไม้โทรบอกผมก็ตาม แต่ไม่ทัน จากนั้นผมพยายามเฝ้าดูรินอยู่ห่าง ๆ จนรู้ว่าเขามีอาการทางจิตที่มีโรคหลายบุคลิกตามที่คุณบอก”

        “หมายความว่าไงครับ”

        “คุณธารารู้เรื่องนี้ ผมเองก็เลยตัดสินใจที่จะให้รินแก้แค้นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเพราะมันจะทำให้งานเราสะดวกแล้วพวกนั้นก็ตายแทนที่จะเข้าคุก”

        “คุณหลอกใช้ริน พวกคุณทุกคน”

        “จะว่าไปผมก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากขอโทษริน ผมรู้สึกผิด ผมมันทำอะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจแท้ ๆ”

        “คุณควรจะเป็นอย่างนั้น” กฤษณะลุกขึ้นทันทีเพราะไม่สามารถรับฟังอะไรต่อได้อีกแล้ว ความโกรธของเขามากพอที่ฆ่านายตำรวจตรงหน้า

        “ผมขอโทษ”

        “คำนี้คุณควรจะพูดกับรินมากกว่านะครับ”

        “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยรินมากที่สุดหลังจากนี้”

        “ถึงทำรินก็อาจกลับมาไม่ปกติ…”

        ไม่ทันที่กฤษณะจะได้พูดจบ เสียงมือถือของผู้กองรัทชาติดังขึ้น เจ้าตัวรับสายก่อนที่จะทำหน้าแปลกใจ

        “ครับ” จบคำของรัทชาติก็วางสาย

        “ผมต้องกลับไปที่สน. ตอนนี้เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคดีนี้”

        “คุณจะจับรินเข้าคุกเหรอ”

        “ไม่ครับ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเพราะคนที่ทำสารภาพหมดแล้ว”

        “หมายความว่าไง”

        “เดี๋ยวผมกลับมาใหม่ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่ส่วนนี้นะครับ”

        รัทชาติก็เดินออกไปทิ้งไว้แต่กฤษณะที่กำลังยืนคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา บางทีทุกอย่างมันอาจจะเกินความคาดหมายของเขามากเกินไป แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องราวทุกอย่างได้แน่นอน

        เขาเดินกลับมาหารินทั่งนั่งตรงมุมห้อง แววตาของรินไม่ได้มีความหวาดกลัว ความกังวล แววตาของรินเหลือเพียงแต่ความบริสุทธ์เรื่องราวทุกอย่างในตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปถึงรินได้และรินเองก็คงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

        กฤษณะเอื้อมมือไปช้าเพื่อลูบหัวริน รินไม่ได้หนีหรือหวาดกลัว มีแต่ทำหน้าสงสัยแล้วก็ยิ้ม

        ยิ้มอยู่อย่างนั้น ยิ้มราวกับเด็กเล็กที่ไม่ประสา

 
        รัทชาติเดินเข้ามาในสน. ก็พบความวุ่นวายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือไม่ก็ตำรวจที่พยายามจะทำข่าว

        “ผู้กองครับทางนี้”

        นายตำรวจที่ยสน้อยกว่าเขา พาเขาเดินไปที่ห้องขัง ในตอนนั้นที่เขาได้ยินว่ามีฆาตกรที่สารภาพความผิดเขาก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่เท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

        “นาย…”

        “ครับ”

        เด็กหนุ่มคนนั้นฝาแฝดของหนึ่งในคนที่ข่มขื่นรินนภัทรที่ชื่อ "ลิน" คนตรงหน้าคือลูกชายคนเดียวที่รอดชีวิตจากฆาตกรรมยกครัวบ้านของตัวเอง เด็กคนนั้นหน้านิ่งและไม่ตอบคำถามอะไรที่นอกเหนือจากการฆาตกรรม เมื่อพูดถึงแรงจูงใจคนทำเด็กคนนั้นตอบเพียงว่า

        “เพื่อช่วยเขาครับ”

        คนอื่นไม่อาจรู้ความหมาย บางคนอาจคิดว่าหมายถึงเหยื่อที่กำลังโดนไปค้ามนุษย์แต่สำหรับรัทชาติเขารู้เหตุผลนั้น เด็กคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนที่เหลือแต่ความว่างเปล่าในจิตใจ

        “เรียบร้อยแล้วครับ”

        การสอบสวนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ระดับของฆาตกรต่อเนื่องที่อาจลงทุนฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง สารภาพอย่างง่ายดายรวมถึงหลักฐานที่เด็กคนนี้พยายามโยงเข้าหาตัวเอง ไม่มีร่องรอยของรินไปเกี่ยวข้องเลย ต่อไปก็เป็นกระบวนการตามกฎหมายให้ทำหน้าที่ต่อไป

        เขาถามคนอื่นว่าเจอเด็กคนนี้ที่ไหน ทุกคนพูดว่าเด็กคนนั้นกำลังนั่งข้าง ๆ ศพทั้งสองในบ้านร้างและในมือของเขาถืออาวุธทุกชิ้นด้วยมือเปล่า รัทชาติได้แต่พยักหน้าแล้วเดินหลบมุมไปที่แห่งหนึ่ง เขาโทรหาธาราแต่เจ้าตัวไม่รับสาย

        บางทีทุกอย่างมันควรจะจบแล้วตรงนี้

        .

        .

        .

        หนึ่งปีผ่านไป

        ทุกอย่างในโลกยังคงดำเนินต่อไป ชีวิตมนุษย์กลับมาเป็นสงบสุขอีกครั้ง ถึงแม้ ว่าความสงบนั้นไม่ได้อยู่เป็นนิรันดร์แต่ ณ ตอนนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนได้พักหายใจ เพื่อต่อสู้อะไรหลาย ๆ อย่าง

        คดีสะเทือนขวัญที่ใหญ่โตถูกขุดคุ้ย เด็กที่สารภาพว่าตัวเองฆาตกรอย่าง ลิน มีใครหลายคนที่พยายามจะช่วยเหลือเพราะว่าข่าวลือเรื่องเด็กคนนั้นถูกทารุณกรรมและถูกกลุ่มค้ามนุษย์ที่ใหญ่โตและอื้อฉาวที่สุดในเมืองไทยจะนำไปขาย ดังนั้นเขาจึงลุกมาแก้แค้น แน่นอนเด็กคนหนึ่งที่เคยตกเป็นเหยื่อจริง ๆ กลับไม่ได้ถูกกล่าวถึง มีเพียงชื่อปรากฎเล็ก ๆ ว่าเคยมีคดีเรื่องข่มขืนซึ่งเป็นหนึ่งในคดีย่อย ๆ ของพวกที่ตายไปแล้วเท่านั้น ตอนนี้ลินกลายได้ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอนมันอาจจะดูโหดร้ายแต่เจ้าตัวกลับยิ้มแล้วยอมรับสภาพโดยไม่ปริปากใด ๆ ทั้งสิ้น

        รัทชาติเดินทางมาเยี่ยมลินบ่อย ๆ จนหลายคนแปลกใจ แต่สำหรับเขาการมาเยี่ยมก็เพื่อที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เขาเองก็รู้สึกผิด ถ้าเรื่องทุกอย่างเขาทำเต็มที่คนบริสุทธ์ทุกคนคงไม่ต้องมีชะตากรรมแบบนี้ ธาราก็ฝากเขามาเยี่ยม เธอไม่สามารถมาได้เพราะกำลังถูกตามล่าจากหลายฝ่าย แต่เขาเองก็เริ่มมีแบ็คที่ใหญ่พอที่จะช่วยเหลือเธอ รวมถึงคนตรงหน้า อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำมันก็มีประโยชน์ มันทำให้เขาได้รู้ว่าอำนาจมันก็ดีเหมือนกัน

        ส่วนโลกอีกด้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งหลังจากที่รักษาร่างกายเป็นปกติ วีรภัทรกลับมาทำงานและใช้ชีวิตปกติ เขาไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัด รู้แต่เพียงว่าตอนนี้รินได้จากไปไกลแสนไกลแล้วพร้อมกับหมอกฤษณะ เขาไม่ได้ข่าวในตอนที่เขาฟื้นมีแค่รัทชาติกับจดหมายจากกฤษณะเท่านั้น ที่บอกว่าจะพารินไปพักผ่อน เขาไม่ได้ความหมายของข้อความนั้นเท่าไหร่ แต่เขาก็มั่นใจได้ว่ารินอาจไม่กลับมาแล้ว

        น่าแปลกที่ชีวิตมนุษย์คนเรานั้นซับซ้อนบางทีก็ดีบางทีก็โหดร้าย แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่มีใครคาดเดากับมันได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่กฤษณะกำลังนั่งอ่านหนังอยู่ตรงชิงช้าที่สวนหลังบ้าน ที่แสนสงบ เขาตัดสินใจมาที่นี่เพราเขาอยากจะพัก บางทีการที่เขาเกษียนตัวเองก่อนวัยมาก ๆ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขามีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและคนข้าง ๆ ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้างเขา

        ร่างบางไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการนั่ง กฤษณะชอบมองแววตาของรินนภัทรในตอนนี้ มันว่างเปล่าแต่ก็มีความสุข...ความสุขในโลกของเขา

        รินนภัทรไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงต้องทำหน้าที่ในการดูแลเจ้าตัวทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่ารินนภัทรกำลังเดินทางไปที่ใดแต่เขาก็เฝ้ารอสักวัน วันที่รินนภัทรจะกลับมา แต่ทว่าอีกใจหนึ่งของเขาก็ต้องการให้รินนภัทรเป็นอย่างนี้ต่อไป เพื่อที่ว่าร่างบางจะไม่ต้องนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ตัวเองถูกกระทำและรวมถึงที่ตัวเองกระทำ

        “รินพี่อยากรู้ว่าตอนนี้รินกำลังคิดอะไรอยู่” กฤษณะกล่าวพร้อมกับที่ป้อนข้าวรินนภัทร

        “พี่อยากรู้ว่ารินเป็นยังไงบ้าง” ดูเหมือนแววตาของรินนภัทรจะขยับมองมาที่เขา แวบนั้นหัวใจของเขาเต้นแรง แต่ว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น รินนภัทรยังคงสงบนิ่งบนรถเข็นเช่นเดิมเหมือนทุกวัน

        “รินฝันว่ารินอยากเปิดร้านกาแฟ” กฤษณะพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง เขาชอบมักเล่าในสิ่งที่ร่างบางเคยบอกเมื่อตอนที่ยังรักษาตัวกับเขา เขาเองถึงจะหยุดงานเป็นหมอแต่ว่าเขาก็ยังคงที่จะรักษารินนภัทรต่อไป ในแบบของเขา

        “รินบอกว่ารินอยากเรียนให้จบ เรียนให้สูง รินอยากที่จะทุกอย่างด้วยตัวเองมากที่สุด” ชายหนุ่มก็ยังคงเล่าต่อไป ในช่วงหนึ่งที่เขาต้องเก็บจานที่ซิงค์ ตอนนั้นที่เขามักจะปล่อยให้รินนภัทรอยู่ตามลำพังปกติ แต่ว่าคราวนี้เมื่อเขากลับมากลับไม่เห็นรินนภัทรนั่งอยู่บนรถเข็นเช่นเดิม

        “ริน!” เขาร้องตะโกนวิ่งหาไปทั่วบ้าน “ริน!

        ห้องนอน ห้องน้ำ หน้าบ้าน ไม่มี  เขารีบวิ่งเข้าไปตรงป่าหลังบ้าน เขาเห็นรอยเท้าที่คุ้นเคยอยู่บนโคลน กฤษณะรีบวิ่งตามก่อนที่จะเจอรินนภัทรยืนอยู่ที่เหว

        “ริน” รินนภัทรหันมาแล้วยิ้มให้กับเขา

        “ขอบคุณนะครับพี่กิตต์”

        “จะทำอะไร อย่านะ พี่ขอร้อง”

        “ยังไงมันก็ลบล้างความจริงไม่ได้อยู่ดีว่าผมเป็นฆาตกร” รินมองไปที่เบื้องล่างที่ห่างกันหลายเมตรเป็นน้ำทะเลที่ลึกพอสมควร รินนภัทรกำลังจะก้าวขา

        “หยุดนะริน พี่ขอร้อง”

        “ขอโทษนะครับพี่กิตต์” ไม่ทันที่จะโดดลงกฤษณะรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปคว้ารินนภัทรเอาไว้

        “หยุดนะ คิดว่าแค่โดดลงแล้วทุกอย่างมันจะจบหรือไง”

        “ปล่อยผม” รินนภัทรตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

        “ริน ฟังพี่รินต้องอยู่ ตอนนี้รินไม่ต้อง...”

        “ผมรู้ดี แต่ผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมไม่อยากอยู่กับความทรงจำบ้า ๆ แบบนี้อีก” รินนภัทรกล่าวพร้อมกับร้องไห้ ในตอนนี้จิตใจของเขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่อาจทนได้เมื่อนึกถึง

        “พี่กิตต์ขอโทษนะ แต่ปล่อยผมไป”

        “ไม่”

        “...”

        “ขอร้องรินอยู่เพื่อพี่ได้ไหม”

        รินนภัทรหยุดดิ้นก่อนที่จะค่อยหันหน้ามาแล้วกอดกฤษณะไว้ ไม่มีการขัดขืนหรืออะไรจากรินนภัทรอีกเลย


        กฤษณะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน เขาพบว่าคนที่ควรนอนเตียงข้าง ๆ กลับหายออกไป กฤษณะรีบลุกออกจากเตียงแล้วลงมาข้างล่าง

        กลิ่นหอมของกาแฟและไข่ดาวทำให้เขาเดินเข้าไปตรงครัว

        ร่างผอมบางข้างหน้ายังคงง่วนกับการทำนั้นนี่ในครัว โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครสักคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าตัว

        “ริน” เสียงของกฤษณะแหบพร่าในยามเช้า ทุกอย่างมันตีบตันอยู่ในลำคอ เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า เขาถามตัวเองในหัวหลายรอบ ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นที่ดีที่สุด

        รินนภัทรหันหน้ามาช้า ๆ ก่อนที่จะปากของร่างบางจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา

        “อรุณสวัสดิ์ครับพี่กิตต์”





End



จบแล้วนะครับสำหรับนิยายเรื่องนี้ ขออภัยที่ไม่ได้อัพนานมากติดอะไรหลายอย่างจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะจบเรื่องแบบไหนดีก็เลยจบที่เป็นอ่านนี่แหละครับ 55555

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แนวรักโรแมนติก ค่อนข้างหนักหน่วงดราม่ามาก เจอกันใหม่ในเรื่องหน้านะครับ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #51 เมื่อ27-05-2018 11:24:34 »

ตอนจบรันหายไปไหน รินเอาชนะมาได้เหรอ สงสัยว่าหายไปเพราะอะไร

รู้สึกมันรวบรัดตัดความไปหน่อย ยังมีช่องโหว่ให้อุดและมีจุดให้เล่นได้อีก
แต่โดยรวมใช้ได้เลยค่ะ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #52 เมื่อ27-05-2018 17:21:09 »

จบได้ดีค่ะ

อย่างน้อยรินก็มีความสุข

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #53 เมื่อ28-05-2018 02:39:38 »

ในฐานะที่ทำงานพิสูจน์อักษรมาทั้งชีวิต
จะมองข้ามเรื่องตัวสะกดผิดไปนะคะ

เอาภาพรวม ... เป็นภาพที่ชัดเจนค่ะ
มองไกล ๆ นี่ ถือว่าได้ความครบ เห็นเป็นภาพ
เรื่องอยู่ในกรอบดี
แต่พอมองดี ๆ มันก็มีจุดแหว่งวิ่นเยอะอยู่
บางตอน ตัดออกก็ไม่เสียหาย
บางตอน เพิ่มมามันก็รกเรื้อเนอะ

เขียนจบแบบนี้แล้ว ลองนั่งลง "เกลา" ใหม่อีกครั้งนะคะ
อุดช่องโหว่ ตอบคำถามให้ปมที่สร้างมา
จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจแบบสมบูรณ์แบบเลยละ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #54 เมื่อ28-05-2018 20:42:58 »

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #55 เมื่อ29-05-2018 13:26:34 »

ปกติจะไม่ค่อยอ่านเรื่องแนวเครียดๆนะครับ แต่พอหลงมาอ่านก็วางไม่ลงเหมือนกัน  ขอบคุณเอานิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะครับ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #56 เมื่อ29-05-2018 17:53:40 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #57 เมื่อ31-05-2018 03:23:45 »

อยากให้มาสรุปให้หน่อยค่ะ จะได้เข้าใจตรงกันนนน  :katai1: เดี๋ยวสงสัยนอนไม่หลับ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #58 เมื่อ01-06-2018 01:22:41 »

อ้าว...หมอ!!!

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
«ตอบ #59 เมื่อ10-09-2018 13:31:35 »

 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด