- EP 1 -
ใบหน้าขาวที่ซีดเซียว ที่แต่ก่อนเคยเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝาดทำให้แก้มขาวแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูอ่อน ริมฝีปากบางที่แห้งแตกมีคราบเลือดกรังจากการถูกรบกวนเซลล์ที่ตายให้หลุดลอกออก ขอบตาคู่สวยบวมช้ำจนเป็นสีแดงบ่งบอกได้ถึงการร้องไห้ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ร่างทั้งร่างปะทะเข้ากับสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านดาดฟ้าของอาคารเรียนแปดชั้นที่เพิ่งจะหมดคาบเรียนเมื่อไม่นานมานี้
ผมหย่อนขาให้ลอยอยู่กลางอากาศ นั่งอยู่บนขอบกำแพงให้เท้าลอยเหนือจากพื้น ให้ร่างกายได้สัมผัสและรับรู้ถึงแสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ในยามพลบค่ำ ที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีฟ้าเป็นโทนอุ่นไล่สีจากสีอ่อนไปจนสีเข้ม เป็นตัวบอกเวลาได้ดีว่าขณะนี้เย็นมากแล้ว
ผมได้แต่หวังว่าการมองสีพระอาทิตย์ที่สาดแสงส่องฉายมายังท้องฟ้ากว้าง รวมกับเสียงนกที่พากันทยอยบินกับรังนั้น จะทำให้ผมได้รู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น…แต่เปล่าเลย…ตรงกันข้ามมันกับยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหงาและแย่ลงมากกว่าเดิม ความว่างเปล่าค่อยๆแทรกเข้ามา เกาะกินพื้นที่ข้างในหัวใจ
สายตาเหม่อมองออกไปยังสุดเส้นขอบฟ้ากว้างที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา สลับกันกับมองไปยังเมืองเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยอาคารสูงหลายชั้น ตั้งเรียงรายซ้อนทับกันจนแน่นขนัด เต็มไปทั่วทุกพื้นที่…มองถนนที่พอตกเย็นการจราจรเริ่มติดขัด รถยนต์มากมายหลายคันแน่นิ่ง ทั้งๆที่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ แต่รถกลับไม่ยอมขยับเคลื่อนที่…โลกมันน่าเบื่อเกินไปสำหรับผม
คิดอะไรได้บางอย่างก่อนจะมองไปยังลานจอดรถกว้างที่ฉาบไปด้วยคอนกรีตสีเทาอ่อน ที่ก่อนหน้านี้ เคยมีรถยนต์ของเหล่าอาจารย์และนิสิตจอดแน่นจนเต็มลานกว้าง ต่างกับเวลาในตอนนี้ที่ไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียวและไร้วี่แววของผู้คน
…ถ้าผมทิ้งตัวลงไปลานข้างล่างนั่น...ทุกอย่างก็คงจบ…ตัวผมเองก็คงไม่ต้องรับรู้ถึงความรู้สึกใดใดก็ตามแต่ ที่ทำให้เจ็บปวดได้อีก…ไปตลอดกาล
" ลาก่อนครับ " พูดกับสายลมที่พัดผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย โดยหวังว่ามันจะพัดพาคำพูดของผมไปหาทุกคนบนโลกที่ผมรักและให้พวกเขาได้ยินคำสั่งลาสุดท้ายของผม ถึงแม้ว่าบนโลกนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะเหลือเพียงไม่กี่คนก็ตาม…
...หลับตาลงช้า ๆ
เอนตัวไปข้างหลัง…
ไม่นาน...ทุกอย่างก็คงจะผ่านพ้นไป ผมได้ไตร่ตรองมาดีแล้วกับสิ่งที่กำลังคิดจะทำในอีกเพียงไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ และผมอยากให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของผมในครั้งนี้
โปรดเข้าใจว่าผม อยากจะหลุดพ้นจากความทรมานที่ผมกำลังต้องเผชิญพบเจออยู่เพียงลำพัง และไม่สามารถรับมือกับมันได้ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ…ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าผมอ่อนแอเกินไป…ทั้งความอ้างว้าง…ความเดียวดาย…ความเหงา…ความเศร้า ทุกอย่างรวมๆกันแล้ว มันเหมือนกับลวดหนามที่พันธนาการผมเอาไว้ ไปทั่วทั้งร่างกาย แล้วลวดหนามเหล่านั้นก็ค่อยๆบีบรัดรอบตัวผมจนแน่น นอกจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว มันยังสร้างบาดแผลลึกให้กับจิตใจของผม มันมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถเยี่ยวยามันได้ด้วยตัวเอง
'พรึ่บ' ไม่ทันได้ทิ้งตัวลงไป ผมถูกคว้าลงมาจากขอบกำแพงเสียก่อน
" ทำบ้าอะไร " เขาบีบข้อมือผมแน่น
" ... " อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นร่างกายของผมก็จะหล่นลงไปแล้วแท้ๆ
" คิดบ้าอะไร ทำไมถึงได้จะฆ่าตัวตาย "
" ... " น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ผมเช็ดมันด้วยหลังมือลวกๆ
...จะฆ่าตัวตายแค่นี้ ยังทำไม่สำเร็จ ชีวิตผมช่างแย่สิ้นดี ผมได้แต่แค่นยิ้มให้กับความห่วยแตกของตัวเอง
คนมาใหม่ดึงผมเข้าไปกอด…ใบหน้าของผมแนบชิดอยู่กับอกหนาของเขา…สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่บรรยายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ได้…กอด…นานมากแล้วที่ไม่ได้สัมผัสรับรู้ถึงมันว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่ เขากระชับกอดผมแน่นกว่าเดิม ร่างของผมทั้งร่างแถบจะถูกกลืนจมเข้าไปกับอกของเขา
ไหล่ของผมสั่นแบบควบคุมไม่ได้ ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่จะเล็ดรอดออกมา
ผมเกลียดตัวเอง…
…เกลียดที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองร้องไห้ทำไม
น้ำตาที่ไหลไม่รู้ว่าไหลเพราะไม่สำเร็จกับสิ่งที่ได้คิดจะทำ หรือไหลเพราะสัมผัสที่ไม่ได้รับมาเนิ่นนาน ผมเองก็ไม่แน่ใจ มันเป็นความรู้สึกดีผสมไปกับความเจ็บปวด และวินาทีนั้นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าน้ำตาที่กำลังไหล นั้นคือความสับสนที่กำลังเกิดขึ้นภายในจิตใจ…
“ แน่ใจนะ ว่าไม่ต้องให้ขึ้นไปส่ง ” คนที่ขัดขวางแผนของผม พาผมมาส่งหน้าหอ
“ ครับ ” ผมตอบกลับคนที่ขับรถมาส่งผมที่หน้าหอทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักผม
“ อย่าคิดอะไรตื้น ๆ อีก ”
“ หอผมไม่มีดาดฟ้า ”
“ ใครจะไปรู้…นายอาจจะทำอย่างอื่นก็ได้ ”
“ … ”
“ ว่าแต่ชื่ออะไร ”
“ ผมขอไม่บอกคุณละกัน ” อย่าให้คนอย่างผมเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาของคุณ อย่าให้การเจอกันในวันนี้เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของเรา เจอกันครั้งแรกก็ต้องมารู้จักกันในสถานการณ์ที่อีกคนกำลังจะจบชีวิต มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่ายินดีสักเท่าไร
“ … ” เขาไม่ได้พูดอะไร แต่จ้องกลับมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจในคำตอบของผม
“ ขอบคุณที่มาส่งครับ ” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวอะไร ปิดประตูรถและรีบหันหลังหนีแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปที่ประตูหอ และยืนแอบอยู่ตรงนั้นรอให้อีกฝ่ายขับรถออกไป
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเราไม่เคยพบเจอหรือได้พูดคุยกันอีกเลย คงเพราะผมไม่เคยโผล่หน้าไปให้เขาเห็น แต่ผมยังคงเห็นเขาทุกวันในที่ของผม
‘ ธิปแทน ’ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีหนึ่ง เราเรียนอยู่ในรั้วมหา’ลัยเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเป็นผู้ชายร่างโปร่งที่มีส่วนสูงมากกว่าผมหลายเซน เขาเปรียบเสมือนพระจันทร์ที่มอบแสงสว่างให้กับทุกคนที่อยู่รอบตัวในยามเวลาที่มืดมิดรวมทั้งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
คอยนำทางให้กับคนอย่างผม...บางครั้งก็อยู่กับที่ให้ผมได้ชื่นชมความงาม…บางครั้งพระจันทร์ก็สว่างเกินกว่าที่ผม จะเข้าไปอยู่ใกล้ๆได้...บางครั้งพระจันทร์ก็เคลื่อนที่เร็วเสียจนผมตามไม่ทัน...และในบางครั้งพระจันทร์ของผมก็ถูกเมฆบดบังจนแถบจะไม่เหลือแสงใดๆให้กับผม
ในสายตาของเขา ผมคงเป็นเพียงเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่บังเอิญเขาผ่านมาเจอผมตอนกำลังจะปลิดชีวิตตัวเองโดยการกระโดดตึก
วันนี้เป็นอีกวันที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ตรงที่ผมคิดแล้วว่าเขาจะมองไม่เห็นผม แต่ผมสามารถมองเห็นทุกการกระทำของเขาได้อย่างชัดเจน ตรงมุมตึกแบบนี้ ในที่ที่เงาอย่างผมควรอยู่
‘ เงาจะอยู่ได้ก็เมื่อมีแสงสว่าง ’ ผมทำตัวหลบๆซ่อนๆก็ถูกแล้ว
‘ เงามองเห็น แต่ไม่มีตัวตน ’ ผมคงไร้ค่ายิ่งกว่าเงา เพราะผมคงไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย
ทุกเย็นเขาจะมานั่งทานข้าวที่โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ที่อยู่ใต้ตึกเรียนก่อนที่จะต้องขึ้นไปเรียนวิชาในตอนค่ำ
ผมอิจฉาคนมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา
ได้พูดคุยเรื่องสนุกและส่งเสียงหัวเราะให้กัน
เหมือนกับดวงดาวมากมายที่อยู่รายล้อมรอบดวงจันทร์ พากันเจิดจรัสและส่องแสงสกาวไปทั่วท้องฟ้าสีดำ
ส่วนผมทำได้เพียงแค่หลบซ่อนตัวเป็นได้แค่เงาตามติด ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องพูดคุย หรือให้เขามอบรอยยิ้มให้เหมือนกับคนอื่นๆ ขอแค่เพียงได้เห็นหน้าเขาจากระยะที่สมควรในทุกวันก็มากเกินพอที่คนอย่างผม สมควรจะได้รับ
หอพักเล็ก ๆ ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ป้ายรถประจำทาง เป็นที่อาศัยของผมมาตลอดหลายเดือนและผมคิดว่าผมน่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะเรียนจบ
หลังจากเลิกเรียนในทุกๆวัน ส่วนใหญ่ผมมักจะเดินเท้ากลับมา เพราะหอผมไม่ได้อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าหากผมจะเดินกลับมา
ห้องพัก…เป็นเพียงที่ที่เดียวที่ผมสามารถอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ไม่ต้องพบเจอผู้คน ทำให้ผมได้ทบทวนกับตัวเองในสิ่งที่ได้ทำลงไปในแต่ละวัน
ซึ่งในแต่ละวันมันก็คงซ้ำซากไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไร
…ผมไม่มีเพื่อน
…ไม่มีสังคม
มักจะอยู่ตัวคนเดียว…
ไม่มีใครเข้าหา…และไม่คิดจะเข้าหาใคร
ผมเคยมีเพื่อนเป็นกลุ่มเหมือนกับคนทั่วไป นั่งเรียนด้วยกัน เคยนั่งกินข้าวด้วยกัน ไปเดินเที่ยวซื้อของด้วยกัน แต่การคบเพื่อนเป็นกลุ่มมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ไม่รู้สึกอินกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้าเครียดทำไม ไม่รู้ว่าเขาหัวเราะทำไม ผมได้เพียงแต่นั่งฟัง และทำท่าทีหัวเราะตาม ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
สุดท้ายเลือกที่จะปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียว มันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว อาจจะมีเหงาบ้างเป็นครั้งคราว
ผมเริ่มจะชินกับกับการอยู่คนเดียว ไม่ต้องไปตามใจใคร อยากทำอะไรก็ได้ทำ ใช้ชีวิตอิสระในแบบของผมเอง
แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมก็เพิ่งรู้ว่าความจริงแล้ว ทุกสิ่งที่ผมคิดมันเป็นแค่เพียงการหลอกตัวเองว่าตัวผมรู้สึกชินกับการอยู่คนเดียว ทั้ง ๆ ที่ข้างในมันแถบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ผมเคยลองเข้าหาเพื่อน แต่ผมรู้สึกกลัว…
…กลัวการกระทำ กลัวคำพูด ทุกอย่างมันดูน่ากลัวไปหมด โดยเฉพาะสายตาที่พวกเขามองมา มันทำให้ผมรู้สึกเป็นตัวประหลาด ผมก็หายใจ เดินสองขา กินข้าวเหมือนกันกับพวกเขา ผมเองก็มีหัวใจเต้นอยู่ข้างซ้ายเหมือนกับพวกเขา แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกต่างจากคนอื่น
ทำให้ผมไม่กล้าคิดที่จะเอ่ยปากทักทายใคร และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียว
จะโทษใครได้ในเมื่อทั้งหมดมันเป็นความผิดของผม
น่าแปลกคือบางครั้ง ทั้งๆที่ผมนอนอยู่ในห้องคนเดียวแต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าอยู่คนเดียว หลายครั้งที่ผมมักจะได้ยินความคิดของใครอีกคนอยู่ในหัว เขาจะมาและจากไป แต่พักหลัง เขาเริ่มมาคุยกับผมบ่อยขึ้น
เขาพูดคุยกับผม มันทำให้ผมไม่เหงา แต่นั้นก็แค่เพียงช่วงแรก ๆ เท่านั้น นานเข้า เขาเริ่มสั่งให้ผมทำอะไรหลายอย่าง เริ่มจากสิ่งที่ผมทำได้ สิ่งที่ควรทำ และกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ มันยากมากในการที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ให้ทำตามคำสั่งของเสียงที่ได้ยิน
แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ คืนไหนที่ฝนตก จนทำให้อุณหภูมิรอบตัวลดต่ำลง มันสร้างความหนาวเย็นให้แก่ผมทั้งกายและใจ มันเหมือนกับฝันที่โหดร้ายสำหรับผม
ผมรู้สึกปวด
อึดอัด…บีบคั้น
เจ็บและทรมาน
เหมือนว่าผมหายใจไม่ค่อยสะดวก
ผมกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในลำคอ เพราะกลัวว่าหากส่งเสียงดังจะรบกวนคนอื่นเข้าได้ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความทรมานนี้ให้คลายลงบ้าง กลับกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาปลดเปลื้องความทรมานเหล่านั้นให้ค่อย ๆ ทุเลาจางหายไปแทน
แต่เมื่อน้ำตาเริ่มแห้งหายไป อาการพวกนั้นมันจะกลับมาอีกครั้ง และมันจะวนเวียนกลับมาทุกคืน ผมหมดแรงไปกับการร้องไห้ กลั้นเสียงกรีดร้อง และการสะอื้นก่อนที่จะหลับไป
ทุกๆเช้า...การลุกขึ้นจากเตียงเป็นอีกเรื่องที่ยากมากสำหรับผม ผมลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กับใช้เวลาไปกับการนอนมองเพดานว่างเปล่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆตามเข็มนาฬิกา
ผมไม่ได้กำลังคิดอะไร นึกถึงใคร หรือกำลังคิดเรื่องอะไร
แต่มันแค่รู้สึกสบายใจที่ได้ทำแบบนี้
ได้นอนนิ่งอยู่บนเตียงและฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่ในวันนี้มันยังเคลื่อนไหวอยู่
เหมือนได้ตัดขาดออกจากโลกภายนอกชั่วคราว เหมือนอยู่ในฟองสบู่ โดยที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวใดใด โลกมันน่าเบื่อเกินไปสำหรับผม มันไม่น่าอยู่ ที่ผมคิดจะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าชีวิตของผมไร้ค่า แต่แค่มันไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองได้ผ่านอะไรมาหมดทุกอย่างแล้ว ทุกวันนี้เหมือนทำตามโปรแกรมที่ถูกตั้งเอาไว้ เวลานี้คือผมต้องกิน ผมต้องไปเรียนและเวลานี้ผมต้องเข้านอน…มันวนอยู่แบบนั้นและเหมือนกันในทุกๆวัน
ก่อนออกจากห้องเพื่อไปพบเจอผู้คน ผมได้แต่ยิ้มและให้กำลังใจกับตัวเองอยู่หน้ากระจก เพราะยังไงวันนี้ก็คงไม่มีใครยิ้มให้ผมเหมือนเช่นเคย
ถ้าหากวันไหนผมมาถึงมหาวิทยาลัยเร็วและพอมีเวลาเหลือให้นั่งทานอาหารเช้า ผมจะเลือกเดินเข้าไปยังส่วนด้านในสุดของคณะ ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก เป็นมุมที่สงบที่ผมชอบ ผมเลือกนั่งใต้ต้นไม่ใหญ่ที่มีโต๊ะม้าหินอ่อนสีขาวตั้งอยู่ข้างใต้ต้นไม้ ไม่เยอะมากนัก
นั่งดื่มด่ำกับอาหารเช้าง่ายๆ อย่างเช่นวันนี้เป็น แซนวิชและนมจืดหนึ่งกล่อง ที่แวะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางระหว่างเดินมา
...เงียบสงบไม่มีผู้คน
อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนนั่งฟังเสียงของคนที่ทิ่มแทงกันด้วยคำพูด
ได้นั่งจัดการมื้ออาหารตรงหน้าแบบไม่ต้องเร่งรีบนัก
และไม่ต้องคอยแคร์สายตาของผู้คน
ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่ต้องเป็นห้องเรียนวิชาแรกในเช้านี้ เสียงพูดคุยดังเล็ดรอดออกมาจนทำให้พอเดาได้ว่าข้างในเต็มไปด้วยผู้คน ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เกลียดการที่จะต้องเดินผ่านหลังประตูบานนี้จริง ๆ เมื่อผมใช้มือผลักเข้าไป เสียงเหล่านั้นก็เงียบลง จะไม่ให้ผมเกลียดได้ยังไง ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังพูดคุยอยู่ วางมือกับสิ่งที่ทำ เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงอะไรบางอย่างที่บางครั้งก็มักจะได้ยินชื่อของผมหลุดออกมาอย่างชัดเจน รวมถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังผมโดยที่ผมไม่กล้าจะมองกลับไป ผมไม่สามารถรับรู้ความคิดของพวกเขาได้เลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรเกี่ยวกับผมอยู่ แต่ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
โต๊ะเลคเชอร์สีน้ำเงินที่ตั้งอยู่แถวแรก ตรงข้ามกับโต๊ะอาจารย์
นั้นเป็นที่ประจำของผม
จากประตูเดินไป ระยะทางไม่ได้ไกลมาก แต่สำหรับผมมันไกลด้วยระยะทางในความรู้สึก ทุกย่างก้าวกว่าผมจะเดินไปถึงที่หมายมันทำให้ผมอึดอัดมากจริง ๆ
ผมได้แต่เดินก้มหน้า ปิดปากแน่น ไม่สบตากับคนที่มองมา หากปิดหูไม่ให้ได้ยินได้ก็คงจะทำ
หลังจากร่างกายของผมสัมผัสกับเก้าอี้ได้ไม่นานอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาสอนพอดี วันนี้ผมเรียนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานและทฤษฎีทางการวาดภาพ นี้คงเป็นเสียงที่น่าฟังสำหรับผมมากที่สุดในเช้านี้ ก่อนหมดคลาสอาจารย์สั่งงานชิ้นเล็ก ๆ และปล่อยให้พวกผมไปทำงานตามที่สั่งไว้
ผมเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์วิชาเรียนส่วนใหญ่จึงเป็นไปในทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี
หัวข้อในวันนี้ค่อนข้างน่าสนใจ
‘ วาดส่วนไหนก็ได้ในมหาลัยที่นักศึกษาสนใจ ’
หลังจากอาจารย์แจ้งรายละเอียดงาน เมื่อหมดเวลาผมไม่ลังเลหยิบแผ่นไม้กระดานที่มีกระดาษร้อยปอนด์อยู่ไม่กี่แผ่นถือชิดแนบตัว มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นึกถึงตั้งแต่อาจารย์บอกหัวข้อยังไม่ทันจบ
คณะแพทยศาสตร์
คือที่ที่ผมเลือกวาดเพื่อใช้เป็นการบ้านส่งอาจารย์ เป็นตึกที่มีโครงสร้างซับซ้อนและรายละเอียดค่อนข้างจะเยอะ ด้วยความที่เป็นตึกเรียนที่สร้างมานานไม่ได้มีการสร้างใหม่ แต่มีการบูรณะบ้างเมื่อถึงเวลาอันสมควร และอีกอย่างมันอยู่ค่อนข้างไกลจากคณะของผม ทำให้ไม่มีเพื่อนคนไหนเลือกมาที่นี้แน่นอน
เพราะต่างจากคณะอื่นที่มีการปรับปรุงและซ่อมบำรุง รวมถึงทุบเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างตัวอาคารให้ทันสมัย
เพื่อนร่วมคลาสส่วนใหญ่คงวาดตึกคณะของตัวเอง เพราะไม่ยากและมีโครงสร้างน่าสนใจ เพราะเพิ่งถูกทุบทิ้งและสร้างใหม่เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พวกผมจะเข้ามาเรียน
โชคดีที่ตอนบ่ายผมไม่มีเรียน
เลยมีเวลาเหลือเฟือที่จะวาดรูปให้เสร็จ แต่คาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาไปจนถึงตอนเย็น ผมเลยเลือกที่จะหาร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่เพื่อบังแดด ซึ่งเป็นมุมที่ตรงตามต้องการของผมพอดี มองดูทุกรายละเอียดของตึกตรงหน้าก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นหญ้าสีเขียวอ่อน ผมจรดปลายดินสอลงไปบนแผ่นกระดาษสีขาว เริ่มร่างตัวอาคารตรงหน้า
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือต้นไม้สีเขียวที่ขึ้นเต็มไปเกือบทุกชั้นของตัวตึก ตึกสีขาวที่เพิ่งได้รับการทาสี กับต้นไม้สีเขียวอ่อน เข้ม สลับกันไปไม่ได้ถูกจัดวางให้เป็นระเบียบแต่มันกลับสวยงามในแบบที่ไม่ตั้งใจ สีเขียวกับสีขาว เป็นสีที่เข้ากันอย่างลงตัว
มันมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ คือมันดูแล้วสบายตา
ผมใช้เวลาทั้งวันไปกับกระดาษสีขาวและดินสอสีน้ำตาลในมืออยู่กับการก้ม ๆ เงย ๆ นั่งวาดองค์ประกอบโดยรวมของตึกตรงหน้าจนเสร็จ ต่อไปคงเป็นการลงสีให้กับมันเพื่อให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด
เป็นเวลาพอดีกับดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ผิดกับที่ผมคิดเอาไว้ว่างานทั้งหมดจะเสร็จพร้อมที่จะสามารถส่งได้ แต่แค่วาดรูปก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง คงเป็นเพราะผมมัวแต่เก็บรายละเอียดของต้นไม้หลายสิบต้น
นี้คือส่วนสำคัญที่สุด คณะแพทย์และมุมที่ผมเลือก คือที่เดียวในมหา’ลัยที่จะสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ลับลาหายไปกับเส้นขอบฟ้าได้ ซึ่งแสดงให้รู้ว่าวันนี้ใกล้จะหมดวันแล้ว เพราะคณะอื่นจะถูกบดบังไปด้วยตัวอาคารเรียนจนไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์สีสวยแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าคนออกแบบผังคณะนี้ตั้งใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญ อาจจะวางผังแบบนี้เพื่อให้นักศึกษาคณะแพทย์ที่เรียนมากหนักได้ผ่อนคลายในเวลาที่เครียด เมื่อได้มองพระอาทิตย์ในเวลานี้
แสงสีส้มเหลืองจากดวงอาทิตย์สาดส่องมากระทบกับตัวตึก ทำให้ตึกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีส้ม
มองแล้วก็เพลินตา...
ผมเหลาดินสอที่กุดเพื่อจะเก็บรายละเอียดส่วนสุดท้ายของภาพ
ผมมัวแต่สนใจมองความสวยงามของบรรยากาศตรงหน้า จนไม่ทันระวังมองดินสอและคัตเตอร์ในมือ
ข้อมือผมถูกใบมีดบาดแต่ไม่ได้ลึกมาก ทำให้เลือดไหลซึมออกมา ยังดีที่งานของผมไม่เปื้อนเลือดไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลามานั่งวาดใหม่
ผมมองใบมีดคมสลับกับข้อมือตัวเอง ชั่งใจอยู่สักพัก
ก่อนที่จะหันปลายแหลมคมกรีดลงไปใหม่ให้มันลึกกว่าเดิม
เลือดสีแดงสดไหลอาบเต็มข้อมือ และใบมีด บางส่วนหยดลงไปบนหญ้าสีเขียว
“ ทำบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย ”
ผมสะดุ้งหลังจากถูกชายตรงหน้ามาดึงใบมีดออกไปจากมือของผม
ผมทำอะไรไม่ถูก
...มือไม้สั่นไปหมด
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมา กดตรงบริเวณแนวที่เกิดบาดแผล
แล้วมัดมันติดกับข้อมือ
ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนของเขาชุ่มไปด้วยเลือด
“ ลุก ไปโรงพยาบาลเร็ว ”
สีหน้าของเขาตึงเครียด มือยุ่งอยู่กับการเก็บของของผมใส่กระเป๋า
“ เร็วเข้า จะรอให้เลือดหมดตัวก่อนหรือไง ”
ผมไม่ได้ทำตามที่เขาบอก แต่เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพตรงหน้า เพื่อที่จะเอาไปใช้ลงสีได้ถูกต้อง
แรงจากการถูกดึงแขนทำให้ผมต้องเดินตาม
รถคันเดิมที่ได้นั่งไปเมื่อวาน ผมไม่กล้าเข้าไปนั่ง
“ รออะไร ? ”
“ เอ่อ... ”
“ อะไร? ”
“ ผมกลัวเลือดเปรอะรถคุณ ”
“ … ”
“ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ไปเองก็ได้ครับ ” ร่างของผมลอยขึ้นจากพื้น เขาใช้แขนอุ้มผมขึ้นมา
“ ทำอะไรของคุณ ” เขาวางผมลงบนเบาะข้างคนขับ
“ เลิกดื้อ แล้วนั่งอยู่เฉยๆ ”
เขาปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมมานั่งอีกฝั่งนึง ก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วขับเคลื่อนมันออกไป
“ คุณไม่ต้องเรียนตอนเย็นหรอครับ ”
“ วันนี้อาจารย์ยกคลาส ”
“ … ”
“ เจ็บมากไหม ” เขาถามผมแต่ตาไม่ได้หันมามอง
“ ครับ? ” เขาขับรถเร็วจนผมกลัว
“ ที่ข้อมือ ”
“ นิดหน่อยครับ ” แต่คงสู้ความเจ็บปวดในใจไม่ได้ ผมก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่ข้อมือ ที่เริ่มจะมีเลือดซึมออกมา เพราะผ้าเช็ดหน้าไม่สามารถซึมซับเลือดได้เพราะเลือดที่ไหลออกมาไม่มีที่ท่าจะหยุดทำให้ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าแถบจะกลายเป็นสีแดงเกือบทั้งผืน
“ ตอนทำล่ะไม่คิด ”
“ … ” ไม่เห็นต้องว่ากันเลย
“ หนาวไหม ให้เบาแอร์รึเปล่า ”
“ ไม่เป็นไรครับ ”
“ บ้าจริงรถดันติดอีก ”
รถข้างหน้าติดสัญญาณไฟจราจร เขาหัวเสียไม่น้อย ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
อยู่ ๆ ก็รู้สึกหนังตาหนักแบบบอกไม่ถูก
“ นี้นาย ชื่ออะไร ”
“ … ”
“ บอกมา ผมจะได้เอาไว้ไปทำประวัติให้ ”
“ จันทร์ จันทร์เจ้า ”
“ เรียนศิลปกรรมศาสตร์ ใช่ไหม ”
“ ครับ ใช่ ”
“ แล้วคิดยังไงกรีดข้อมือตัวเอง ”
“ … ”
“ ถามก็ตอบ ”
“ … ”
“ เห้ย!!! อย่าเพิ่งหลับ ”
“ … ”
ผมหมดแรงที่จะตอบคำถามของเขาแล้ว ผมง่วงมากเหลือเกิน ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่แขนแต่หนังตาของผมหนักเกินกว่าที่ผมจะยกขึ้น เสียงของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป
อยู่ ๆ โลกก็เหมือนถูกดับไฟ ภาพตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยความมืด
นี้ผมกำลังจะตายแล้วสินะ
คงไม่ต้องทรมานอีกแล้ว…
....ไม่ต้องกรีดร้อง
ไม่ต้องเสียน้ำตา…
...ไม่ต้องเหงา
... คงถึงเวลาที่ผมจะได้หลุดพ้นจากความทรมานและได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มสักที ...
To Be Continuos .
TALKสวัสดีครับผมกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งนึงหลังจากไม่ได้เขียนมานานเกือบปี
ขอฝากเนื้่อฝากตัวและฝากผลงานด้วยนะครับ
สามารถพูดคุยกันได้
สามารถบอกและให้ปรับปรุงได้
แต่อย่าว่าผมด้วยคำรุนแรงเลยนะครับ ^^
ยังฝากเป็นกำลังให้ผมด้วยนะครับ