#ซอโซ่ล่ามธีร์
ด่านที่ 5
Do you wanna join me?
“จะชวนไอ้โซ่เข้าทีม?”
เด็กหนุ่มสามคนเลือกนั่งเบียดกันมากกว่าจะส่งหน่วยกล้าตายไปเคียงข้างพี่ธีร์ จากที่นัดกันอย่างดีว่าจะกินบุฟเฟ่ต์แซลมอนแค่สาม แต่อยู่ ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาเซอร์ไพรส์ให้กระอักกระอ่วนจนไม่มีใครกล้าคีบปลาเข้าปาก
“ใช่ อนุญาตไหมอาร์ม?”
“ผมอยู่นี่” เจ้าของชื่อชี้หน้าตัวเอง คนทักผิดจึงนั่งหน้าม้านสบตาค้างอยู่กับเด็กอีกคนที่ไม่ได้ชื่ออาร์ม แล้วมันชื่ออะไรวะ
“พี่ธีร์ตาเข”
“เงียบแล้วย้ายมานั่งตรงนี้” เขาถลึงตาคาดโทษน้องเด๋อที่มองด้วยสายตาต่อต้านตั้งแต่รู้ว่าเขาเสนอหน้ามาแจมปาร์ตี้แซลมอนด้วย
“มึงไปเลยไอ้โซ่”
“ทำไมต้องกูอะ...”
“ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครล่ะ ไป!” เจมส์ดันโซ่จนแทบตกเก้าอี้ม้านั่ง เด็กหนุ่มตัวผอมส่งสายตามองเพื่อนเหมือนอยากขอความเห็นใจปนก่นด่าที่ทำกันได้ลงคอ สุดท้ายเขาก็ต้องนั่งลงข้าง ๆ พี่ธีร์อย่างจำใจ
“ว่าไง เอาด้วยเปล่า?”
“โซ่ไม่เคยลงแข่งทัวร์เพราะไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งกับใครน่ะครับ ที่เล่นก็เพราะว่าเกมมันสนุกเฉย ๆ” เสียงซื่อ ๆ กล่าวด้วยโทนเสียงปกติ พร้อมมองมาเหมือนอยากถามว่า ‘โซ่กินไปด้วย คุยไปด้วยได้ไหม?’
“แล้วทีมพี่ล่ะ?” อาร์มเลิกคิ้ว สบตากับรุ่นพี่อย่างหยั่งเชิง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะนิสัยห่วยแตกเหมือนที่ใคร ๆ ว่าไว้หรือไม่?
“คนนึงติดทหาร อีกคนเมียท้องเลยเหลืออยู่สองหน่อ”
“ถึงอยู่ครบก็ไม่เคยผ่านรอบสองไม่ใช่เหรอครับ แหะ ๆ” เจมส์คงอยากตายถึงกระตุกหนวดเสือด้วยประโยคนั้น โซ่จึงขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงพร้อมทำมือประกอบเพื่อปรามเพื่อน
“เพราะงั้นพี่ถึงอยากได้น้องเด๋อมาเข้าทีมไง” คนกำลังกินแซลมอนเบิกตาโพลงอย่างตกใจเพราะถูกคนข้าง ๆ กอดคอจนศีรษะเซไปซบกับแผงอกกว้างโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
พี่ธีร์เอาอีกแล้ว!!! “...!!!” โซ่เอามือฟาดท่อนแขนแกร่งที่ไม่ได้แสดงความรุนแรงทางกายแต่หยาบคายกับใจ ธีร์ก้มลงมองคนที่เอาแต่ยัดแซลมอนกลบความกดดันจนทำให้แก้มทั้งสองข้างบวมป่อง อดใจไม่ไหวจึงเอานิ้วชี้จิ้มแก้มแฮมสเตอร์สูงร้อยเจ็ดสิบกลาง ๆ ให้หายมันเขี้ยว
“ตะกละว่ะน้องเด๋อ”
“พี่ครับ เพื่อนผมจะสำ -- เปล่าครับลมพัดเย็นดี” ห่วงเพื่อนไม่จบประโยคเจมส์ก็โค้งศีรษะเพราะสายตาเอาเรื่องของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจำเป็นต้องสนใจแซลมอนมากกว่าความเป็นความตายของเพื่อน นักมวย WWE ยังเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ตั้งหลักเลยนะสัด
“ผมเชื่อว่าถ้าได้ไอ้โซ่เข้าทีมพวกพี่คงไปได้ไกลกว่ารอบสอง แต่ผมอยากถามอะไรหน่อย” อาร์มเป็นคนเดียวที่กัดฟันยางทำเข้มสู้สายตาพี่ธีร์ได้ ซึ่งเจมส์ได้แต่ส่งใจไปให้เพื่อนพร้อมแอบชูนิ้วโป้งใต้โต๊ะ “ถ้าไปถึงรอบสุดท้าย นั่นหมายความว่าทุกคนต้องเห็นไอ้โซ่?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าน้องเด๋อจะใส่หน้ากากเล่นเปล่า ถ้าโอเคก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่มีใครบังคับให้เปิดโชว์อยู่แล้ว”
“นอกจากพี่ธีร์ก็คงไม่มีใครบังคับโซ่แล้วล่ะครับ”
“จะผูกใจเจ็บไปยันลูกบวชเลยถูกปะ?” เห็นน้องเด๋อเงียบ ๆ หงิม ๆ ก็ขี้แซะใช่เล่น
“มึงจะเอาไงโซ่?” เด็กหนุ่มตัวผอมมองเพื่อนทั้งสองที่คงคาดหวังว่าเขาจะปฏิเสธ “พวกกูไม่ห้ามนะ แต่ถ้าซ้อมทีมแล้วจะทำให้กระทบผลการเรียนเปล่า มึงลองคิดดี ๆ” ด้วยความที่ยังอยู่ในวัยเรียนและแต่ละวิชาก็ใช่ว่าจะได้เกรดมาง่าย ๆ อาร์มกลัวว่าเพื่อนจะเสียคนเพราะการซ้อมแข่งที่ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง กว่าจะเลิกคงดึกดื่น ไอ้โซ่จะเอาเวลาไหนไปอ่านหนังสือแล้วนอนพักผ่อน
อาร์มกับเจมส์ก็ชอบเล่นเกม แต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงมาโดยให้ลำดับความสำคัญเรื่องเรียนเป็นอันดับแรก เรื่องเล่นเกมเป็นลำดับหลัง ๆ เขาจึงไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ถ้าหากว่าไอ้โซ่จะจริงจังกับเรื่องเกมจนเกินไป อีกอย่างบ้านมันก็ไม่ได้ขัดสนถึงขั้นจะพยายามเพื่อเงินรางวัลขนาดนั้นด้วย
“เรื่องซ้อมไม่มีปัญหา น้องเด๋อเล่นดีอยู่แล้ว พี่แค่อยากให้เข้าไปซ้อมกับทีมบ้างเพื่อให้เข้าขากัน” ธีร์นั่งกอดอก เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ม้านั่ง พลางผายมือบอกให้เด็ก ๆ กินแซลมอนบนโต๊ะแทนที่จะนั่งทำหน้าเคร่งเครียดกับอีแค่เรื่องขี้ประติ๋ว
“หมายความว่าโซ่ไม่ต้องนอนดึก แล้วก็เล่นเกมอื่นได้ด้วยใช่ไหมครับ?” เด็กคนนี้คงกลัวว่าจะต้องจริงจังกับการแข่งจนปลีกเวลาไปเล่นเกมที่ชอบไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าธีร์ไม่ใช่คนที่จะบังคับใครเพื่อตัวเองขนาดนั้น ถ้าไม่รวมเรื่องบังคับให้น้องเด๋อถอดหน้ากากหัวหมีน่ะนะ
เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ เพิ่มรอยยิ้มให้เด็กผ่อนคลายหน่อย น้องถึงดูจะแฮปปี้ขึ้นมา
“แล้วถ้าไม่ได้เงินรางวัล พี่ธีร์จะเซ็งไหมครับ จะเครียดกว่าเดิมหรือเปล่า?” โซ่เคยดูแข่งทัวร์นาเมนท์ที่กล้องมักจะแพลนไปทางผู้ชนะก่อนเพื่อให้เห็นสีหน้าว่าคนเหล่านั้นมีความสุขแค่ไหน ก่อนจะหยุดที่ผู้แข่งขันที่ได้รับความพ่ายแพ้กลับไป สีหน้าทุกคนดูเซ็งมาก ๆ เลย
“เรื่องเซ็งอะเซ็งอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากแพ้หรอกพอเป็นเรื่องแข่ง พี่ไม่ได้อยากได้เงินนะน้องเด๋อ แต่เพื่อนพี่มันจำเป็น คนนึงกำลังจะมีลูก อีกคนต้องส่งน้องเรียนหนังสือ ส่วนพี่จะได้ไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” นี่เลย กูตอแหลสร้างดราม่าเรียกความสงสาร ขอโทษนะแจ็คที่กูไม่ได้เอาเรื่องบัตรคอนน้องมึงมาอ้าง แต่จังหวะนี้แม่งต้องได้
“โห... ต้องเตรียมเงินไว้เลี้ยงเด็กใช่ไหมครับ เป็นคุณพ่อที่พยายามมาก ๆ” น้องเด๋อทำตาโต และเขาก็พยักหน้าช้า ๆ พร้อมถอนหายใจแรง ๆ เหมือนว่าทุกข์ใจกับปัญหานี้เหลือเกิน
“ชีวิตคนเรามีต้นทุนไม่เท่ากันน่ะนะ เงินที่คนดูโดเนทให้พี่มันก็ไม่ยอมเอา บอกว่าจะชนะทัวร์ด้วยฝีมือตัวเองให้ได้อยู่นั่น ก็นะ ศักดิ์ศรีคนเรามันยากลึกหยั่งถึง” ธีร์หลับตาพลางกุมขมับ ก่อนจะค่อย ๆ ชำเลืองมองดูน้องเด๋อว่าตอนนี้กำลังมีท่าทีอย่างไร
หลุมของเขามันสูง ขาสั้น ๆ อย่างน้องเด๋อคงปีนขึ้นไม่ได้หรอกบอกแค่นี้“อีกอย่างนะ ที่ทีมพี่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะสามคนนั้นเล่นเข้าขากันไม่ได้ ถ้าได้น้องเด๋อเพิ่มมาอีกคน พี่คิดว่าแมตช์นั้นต้องมันส์โคตร ๆ แน่นอน” ตะล่อมไปก่อน จังหวะนี้ต้องหยอดให้หลงตายใจแล้วเหยียบความปากผีเอาไว้
ถ้าพูดถึงพวกพี่ตั้บตอนเล่นเกมนี้แล้วล่ะก็... พวกมันเล่นดีกันทุกคน แต่กลับไม่มีความเป็นทีมเวิร์กเลยสักนิด คนนึงเอาแต่ซ่อมเครื่องปั่นไฟ อีกสองคนวิ่งกวนตีนฆาตกร ทำเข้มจู๊กโชว์เหนือ แต่พอเจอฆาตกรสายแข็งฟาดกระหม่อมดากเข้าให้ ถึงกับวิ่งกุมท้องจนขิงไม่ออก
“แล้วถ้าโซ่เข้าไปแล้วทำให้ทีมแย่ลงล่ะครับ?”
“เราเคยเล่นกับไอ้แจ็คตั้งหลายครั้ง เข้ากับมันได้ก็ถือว่าผ่านแล้ว ถ้าติดขัดตรงไหนค่อยปรับกันอีกทีตอนซ้อมก็ได้เว้ย” ชายหนุ่มตัวสูงวางมือลงบนศีรษะทุยของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากิน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบผมเบา ๆ เขายังคงให้ร่างพี่ชายที่แสนดีทำหน้าที่แทนพี่ธีร์คนปากหมา เพื่อหว่านล้อมน้องทุกวิถีทาง
“งั้นลองดูก็ได้ครับ แต่ถ้าโซ่อึดอัดเมื่อไหร่โซ่ขอลาออกนะ โซ่ไม่อยากให้ใครต้องรู้สึกไม่ดีจนต้องทะเลาะกันน่ะครับ” เขาพยักหน้าตกลงเพราะเห็นด้วยกับความคิดน้องเด๋อ จากประสบการณ์ที่เคยเจอเองกับตัวตั้งแต่วัยมัธยม ธีร์ค่อนข้างเข็ดหลาบที่ต้องเป็นคนกลางเวลาคนในทีมทะเลาะกัน
คนหนึ่งเห็นดีเห็นงามอย่างหนึ่ง อีกคนเห็นอีกแบบ ต่างคนต่างเชื่อความรู้สึกตัวเอง จึงทำให้ทีมแตกได้อย่างง่ายดาย และนั่นคือเหตุผลของการมีตัวท็อปหลาย ๆ คนอยู่ในทีม
*
พี่ธีร์เป็นคนจ่ายค่าบุฟเฟ่ต์ให้เด็กสามคนแล้วยังพาไปนั่งกินของหวานอีก หลังจากนั้นบรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น อาจเป็นเพราะพี่ธีร์ไม่ได้ขมวดคิ้ว มองหน้าเหมือนอยากกระชากคอเสื้อใครมาเขย่า พวกเขาจึงคุยเรื่องเกมกันได้อย่างออกรส จนคนวางท่าตั้งแต่แรกอย่างอาร์มถึงกับออกปากว่าจะแอดสตรีมไปเล่นกับพี่ธีร์
พอฟ้ามืดอาร์มกับเจมส์ก็กลับบ้าน ส่วนโซ่ยังอยู่ในเกมเซนเตอร์ มองพี่ธีร์ที่กำลังชู้ตบาสแข่งกับเวลา ลงบ้างพลาดบ้างแต่อย่างหลังค่อนข้างจะเกิดขึ้นบ่อยกว่า โซ่ประหลาดใจตอนเห็นพี่ธีร์อวยคะแนนตัวเองทั้งที่คะแนนค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับความเก่งตอนเล่นเกมอื่น
“โซ่คิดว่าพี่ธีร์จะหัวร้อนจนรีบไปแลกเหรียญมาเล่นใหม่ซะอีก”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้คีบตุ๊กตา หยอดเหรียญลงไปพร้อมฮัมเพลงเดียวกับตู้ โซ่จึงคิดว่าพี่ธีร์คงถนัดคีบตุ๊กตามากกว่าโยนลูกบาสเข้าห่วงแน่ ๆ
“โซ่เป็นคนนอก ถ้ามองเผิน ๆ พี่ธีร์ก็ดูเป็นคนรักความเพอร์เฟ็กต์ในระดับนึงเลยล่ะครับ อย่างตอนที่เราเล่นกันครั้งแรก พี่ธีร์ยังตามหาโซ่เพื่อที่จะแก้เกมให้ได้เลย”
“ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่กับทุกเรื่องหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะ เขาไม่แปลกใจนักถ้าน้องเด๋อจะมองเห็นเขาเหมือนที่คนอื่นเห็น ธีร์รู้ตัวว่าตนเองเป็นอย่างที่ใครว่ากัน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งเขาไม่คิดจะไปอัดคลิปประกาศบอกให้คนทั้งโลกเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว Thr33Gamer เป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขาเริ่มอยากจะอ้าปากบอกเด็กที่ถูกชะตากันแล้วว่า
‘นี่น้องเด๋อ ถึงพี่กระเสนอหน้าบุกไปหาถึงคอนโดน้องพร้อมกระชากหน้ากากออก แต่พี่เป็นคนดีนะ พี่ก็ให้เงินขอทาน แถมยังลุกให้คนแก่กับผู้หญิงนั่งด้วย เป็นไงล่ะ ประทับใจเลยใช่ไหม’แต่เขาไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวไม่เท่ในสายตาเด็ก
“เวลาชนะแล้วมันเท่นะเว้ย เหมือนเอาไปอ้างกับตัวเองได้ว่า เฮ้ย กูชนะอีกแล้วนะ เก่งเปล่าล่ะ อะไรเทือก ๆ นั้น”
“ทำไมต้องอ้างกับตัวเองด้วยล่ะครับ?”
โซ่หลุดปากออกไปจนได้ ทั้งที่คิดว่าควรมีช่องว่างให้อีกฝ่ายเพื่อเรียนรู้กันและกัน เขาไม่อยากเป็นฝ่ายถามเซ้าซี้เพราะกลัวพี่ธีร์รำคาญ ถ้ารอให้อีกฝ่ายเล่าให้ฟังเองคงดีกว่าเป็นไหน ๆ เลย ถึงจะเล่นเกมด้วยกันทุกวันอีกทั้งยังเห็นตัวจริงกันเป็นวันแรก แต่คำว่า ‘ยังไม่สนิทกัน’ ยังคงเป็นกำแพงกระจกเล็ก ๆ ที่กั้นเขาเอาไว้อยู่
“ขอโทษนะครับ เพราะโซ่ชอบถามไร้สาระอยู่เรื่อย เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาร์มกับเจมส์เลยว่าโซ่ซื่อบื้ออยู่บ่อย ๆ แหะ” เด็กหนุ่มตัวผอมยิ้มแห้ง เกาท้ายทอยแก้เก้อเพราะทำตัวไม่ถูก
ขนาดเพื่อนในคณะยังคุยกันแทบนับประโยคได้ เพราะฉะนั้นนอกจากอาร์มกับเจมส์ก็ไม่มีคนไหนเลยที่โซ่จะสนิทใจด้วย ดังนั้นการเริ่มต้นคุยกับพี่ธีร์เกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ โดยไม่ใช่เรื่องเกม จึงเป็นเรื่องยากสักหน่อยสำหรับเด็กมนุษย์สัมพันธ์แย่อย่างเขา ต่อไปโซ่จะคิดให้มาก ๆ ถ้าจะอยู่ทีมเดียวกันต้องรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรควรเก็บไว้ในใจ
“คิดมากไปเปล่า?” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำขมวดคิ้วมองก่อนจะหลุดขำออกมา ผู้ชายคนนั้นโน้มตัวลงบังคับปุ่มให้ที่คีบเคลื่อนไปหาตุ๊กตาหมูสีเหลืองแก้มแดงพร้อมเพ่งมองอย่างตั้งใจ “อยากรู้ก็ถามน่ะถูกแล้ว เพราะถ้ารอให้พี่เล่าเองก็ไม่รู้ว่าจะได้พูดเมื่อไหร่”
“ได้ใช่ไหมครับ ไม่โกรธนะ?” เสียงของโซ่เบาลงราวกับไม่แน่ใจ และการที่พี่ธีร์ละมือข้างหนึ่งขึ้นมายีผมเขาเบา ๆ เหมือนที่อาร์มกับเจมส์ชอบทำเป็นประจำ
“สัญญากันก่อนสิว่าถ้าเล่าแล้วจะไม่บอกคนอื่น”
“ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าต้องเป็นความลับแน่ ๆ เลย งั้นไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวโซ่รอดีกว่า” ธีร์ชะงักพลางหันไปสบตากับคนข้าง ๆ เพื่ออ่านความรู้สึกผ่านทางสีหน้าว่าน้องเด๋อประชดหรือไม่ และเขาก็ได้รับคำตอบว่า
‘ไม่’“อธิบายมาว่าทำไมถึงอยากรอ”
“โซ่คิดว่าความลับควรเล่าให้คนที่ไว้ใจฟังน่ะครับ ถ้าเกิดโซ่เล่าให้คนที่ยังไม่แน่ใจว่าเขามาดีหรือมาร้าย หลังจากนั้นโซ่คงกระวนกระวาย กลัวว่าเขาจะเอาไปเล่าต่อเมื่อไหร่ เพราะงั้นโซ่ถึงอยากให้พี่ธีร์ไว้ใจโซ่ก่อน ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ” เจ้าเด็กนั่นพูดเป็นต่อยหอย น่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ธีร์ดันรู้สึกดีกับคำตอบซึ่งน้อยคนที่จะมีให้ เพราะไม่ว่าใครที่เข้าหาเขาก็มีแต่หวังผลประโยชน์ ทั้งเกาะกระแสหวังอยากดังในวงการเกม ไปจนถึงล้วงความลับไปด่าลับหลังเอาสนุกปาก
“ซื้อใจเก่ง ถ้าเป็นเกม Deceit* คงโดนยิงตายไปแล้ว” เขายักคิ้ว และการเห็นน้องเด๋อยิ้มก็เป็นสัญญาณดีว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัดเพราะมีคำว่าความลำเป็นหัวข้อหลัก
*เกม Deceit คือเกมที่จะมีผู้เล่นทั้งหมด 6 คน ใน 1 รอบจะมีผี 2 ตัวแฝงอยู่ และจะกลายร่างไล่ฆ่าคนตามช่วงเวลา ซึ่งผีทั้ง 2 ตัวต้องเนียนเข้ากับคนอื่นให้ได้ อย่าให้ถูกสงสัยว่าเป็นผี ทั้ง 6 คนจะระแวงและสังเกตคนรอบตัวอยู่ตลอดว่าใครเป็นผี และคนเหล่านั้นต้องยืนยันตัวเองว่าไม่ใช่ โดยการเปิดไมค์คุย ซึ่งคนเล่นเป็นผีอาจจะซื้อใจคนในทีมด้วยการทำประโยชน์ เช่น เอาฟิวส์ไปใส่ประตู ถือกล้องสโลว์ผี จึงเป็นเหตุของคำว่าซื้อใจ“Deceit เป็นเกมเดียวที่โซ่เล่นไม่ได้ล่ะครับ มันยากเกินไป” เขาหุบยิ้มไม่ได้เพราะเด็กคนนี้ ก็น่าอยู่หรอก เพราะเกมนั้นต้องตอแหลเก่งถึงจะสนุก ถ้าโกหกไม่เป็นอย่างน้องเด๋อคงโดนรุมประชุมตีนตั้งแต่แรก
พอหาล็อกได้แล้วธีร์ก็ตัดสินใจคีบตุ๊กตา ทั้งคู่จ้องตู้แก้วอย่างลุ้น ๆ ระหว่างรอ ซึ่งเจ้าหมูอ้วนสีเหลืองก็ไม่แม้แต่จะติดแง่งที่คีบขึ้นมา
“เวร อีกแค่นิดเดียว”
“เอาใหม่เลยครับ เมื่อกี้พลาดนิดเดียวเอง” นิดเดียวมะเขืออะไรล่ะ
“เชื่อปะว่าตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยคีบตุ๊กตาได้เลยสักครั้ง”
“โห ไม่เชื่อหรอกครับ มันต้องมีสักครั้งที่พี่ธีร์คีบได้ โซ่รู้”
“จริง ๆ เห็นปะ พี่หลุดพูดความลับไปจนได้ ขู่เลยนะว่าห้ามเอาไปบอกใคร เดี๋ยวพี่ไม่หล่อ เข้าใจไหม?” ธีร์ชี้หน้าคนข้างตัวพลางกลอกตามองดูว่ามีใครแอบส่องอยู่แถวนี้หรือไม่
“ไม่เป็นไรครับ พี่ธีร์จะได้ตัวแรกก็วันนี้แหละ โซ่รับประกันเลย” เด็กนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ดวงตาคู่นั้นที่มองมาก็ดูซื่อเกินกว่าจะหลอกให้เสียเงินสิบยี่สิบบาทเล่นว่ะ เขาจึงชูเหรียญขึ้นมาระดับปลายคาง ซึ่งน้องเด๋อก็พยักหน้ารัว ๆ เซิ้งให้เขาจัดเต็มอีกสักครั้ง เดี๋ยวได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า
“ถ้าไม่ได้ต้องจ่ายคืนพี่สิบบาทนะเคปะ?”
“โซ่ให้ยี่สิบเลย พี่ธีร์ขยับขวาอีกนิดนึง”
“กี่ที”
“สักสองก็ได้ครับ”
“นี่ปะ?”
“ใช่ครับ แล้วก็ขึ้นบนอีกนิดนึง นั่นแหละครับ พอ ๆ”
ทั้งคู่ให้ความสนใจกับตุ๊กตาหมูสีเหลืองท่ามกลางเสียงเกมรถแข่งและเกมต่อสู้ จนศีรษะที่เคยอยู่ห่างเป็นช่วงแขนเริ่มขยับเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว โซ่วางมือลงบนกระจกใส เขาลุ้นอยู่ในใจขณะที่อีกฝ่ายกำลังพึมพำถึงความยากลำบากกับการเอาตุ๊กตาสักตัว พี่ธีร์เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพียงเพราะสายตาคู่นั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เหมือนตอนไลฟ์สตรีม หรือแม้แต่ตอนดึงหน้ากากเขาออก
พี่ธีร์มุมนี้น่าคบกว่าตอนคุยกันครั้งแรกเยอะเลย
“เข้!!!”
“โอ๊ะ!”
ในที่สุดหมูสีเหลืองก็ยอมมาอยู่กับพี่ธีร์จนได้ โซ่มองคนตัวโตที่ก้มลงหยิบตุ๊กตาขึ้นมาดูใกล้ ๆ ด้วยสายตาที่โซ่คิดว่าคงภูมิใจในตัวเองระดับหนึ่ง โซ่ทำตาโตอ้าปากหวอ ยกมือขึ้นปรบเบา ๆ พร้อมชูนิ้วโป้งให้คนที่กำลังเก๊กด้วยการเสยผมขึ้น
“เชี่ย คน ๆ นึงแม่งจะเก่งไปทุกอย่างจริง ๆ เหรอวะ เริ่มกลัวตัวเองแล้ว” โซ่ทำปากยื่น มองพี่ธีร์โหมดเดิมที่เขาไม่รู้ว่ากลับคืนร่างตั้งแต่เมื่อไหร่ “เอาไป พี่ให้”
เด็กหนุ่มตัวผอมมองเจ้าหมูสีเหลืองแก้มแดงที่คนตรงหน้ายื่นให้ ก่อนจะส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมดันมือแกร่งกลับไป “ตัวนี้ต้องเก็บไว้เองนะครับ มันเป็นตัวแรกของพี่ธีร์เลยนะ ขนาดเท่านี้วางบนชั้นหรือโต๊ะคอมกำลังดีเลย”
“มันไม่ได้พิเศษขนาดนั้นเปล่าหนู เรื่องอะไรจะเอาไปวางบนโต๊ะคอมระดับเทพของพี่ ของที่จะวางอยู่แถวนั้นได้ต้องเป็นฟิกเกอร์ราคาเป็นหมื่นเท่านั้น”
“งั้นโซ่เอาไปให้เด็ก” น้องเด๋อแย่งนังหมูน้อยไปจากมือเขาพร้อมตั้งท่าว่า ‘กูไปจริงแน่พี่’ เขาจึงรีบแย่งคืนพร้อมกอดไว้แนบอก
“พี่คีบได้ พี่ต้องเป็นคนตัดสินใจปะว่าพี่จะเอาไปให้ใคร?” เขาเลิกคิ้วมองหยั่งเชิง
“แต่พี่ธีร์ให้โซ่ โซ่ก็จะเอาไปให้เด็กครับ ตรงนู้น” ดูปากน้องเด๋อตอนยู่ลงตรงคำว่า ‘นู้น’ แล้วก็มันเขี้ยวอีกแล้ว อยากบีบปาก
“ไม่ได้ พี่เปลี่ยนใจแล้วว่าจะเก็บไว้เอง”
“โลเลจัง”
“อยากได้ก็คีบเองแล้วกัน แต่จะทำได้เร้อ?” เขาลูบหัวนังหมูสีเหลืองเหมือนว่ารักกันมาแต่ชาติปางไหน ก่อนที่น้องเด๋อจะเอานิ้วจิ้มตุ๊กตาในอ้อมกอดเขา และยิ้มเหมือนกับว่าเรื่องที่คุยกันมันไม่ได้ดูเป็นเด็กจนเกินไป
“โซ่จะเอาตัวที่สอง มาคราวหน้าพี่ธีร์คีบให้โซ่ด้วยนะครับ”
“...”
“ถือว่าเป็นการรับขวัญเด็กใหม่เข้าทีม แหะ”
เหมือนน้องเด๋อเกิดมาเพื่อให้คนทั้งโลกแกล้ง ไม่สิ ต้องใช้คำว่าเพื่อให้คนอย่างเขาแกล้งถึงจะถูก ธีร์เอาหมูสีเหลืองเขกศีรษะคนตรงหน้าเบา ๆ พร้อมกอดคอให้เดินออกไปด้วยกัน การละลายพฤติกรรมด้วยตู้คีบตุ๊กตาถือว่าได้ผล เมื่อเขาและคนข้าง ๆ เริ่มคุยกันได้อย่างสนิทใจโดยไม่ต้องคิดก่อนว่าควรพูดประโยคไหนถึงจะเข้าท่า
น้องเด๋อไม่ได้กลัวการสกินชิพของเขาแล้ว หมายถึงตอนนี้น่ะนะ แต่ถ้าผ่านคืนนี้ไปก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับไปสร้างระยะห่างอีกหรือไม่ แต่โดยรวมถือว่าคุ้มค่าที่ถ่อหนังหน้าไปนั่งเฝ้าเป็นสโตกเกอร์อยู่หลายวัน
“โซ่ก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องถอดหน้ากากอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ อันที่จริงมันเป็นความรู้สึกช่วงแรก ๆ เพราะโซ่กลัวการเผชิญหน้ากับคนเยอะ ๆ แต่พอถึงตอนนี้โซ่คิดว่าโซ่ถอดออกก็ได้นะครับถ้ามันจะทำให้ยุ่งยากในอนาคต”
ธีร์จะสนิทกับเด็กคนนี้เหมือนที่สนิทกับไอ้แหลมหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องที่อนาคตเท่านั้นจะบอกได้
“ไม่ต้องถอดหรอก เดี๋ยวพี่จะไปหาหน้ากากมาใส่เป็นเพื่อนเอง”
เพราะมีแค่เขากับคนในทีมเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เห็นหน้าน้องเด๋อได้To be continued*หรี่ตามองแล้วหันไปเล่นเกมแข่งรถต่อ*