Scum's Wish
ถ้าที่นี่คือโพรงกระต่าย ผมก็คงกำลังตกลงไป ดำดิ่งอยู่ในความมืด ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด
12 January
แสงแดดให้ความรู้สึกถึงการมีชีวิต ประกายของมันระยิบระยับเมื่อต้องพื้นผิวของวัตถุ เวลาบ่ายของวันศุกร์ บนดาดฟ้าอาคารเรียน ผมเอนหลังพิงโต๊ะเรียนเก่า ทอดสายตาออกไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ เพื่อนสนิทนอนเหยียดยาวอยู่ที่พื้นข้างตัว อาศัยร่มของผนังกั้นเพื่อบังไอแดด
'เลขที่17' ดูน่ารักและสกปรกในเวลาเดียวกัน เขาไม่สนว่าเสื้อผ้าของตัวเองจะเลอะในเมื่อลงนอนไปทั้งตัวอย่างนั้น
เลขที่17แตกต่างกับผมมากพอสมควรในเรื่องลักษณะนิสัย หมอนี่เป็นคนชอบอะไรง่ายๆ กินอยู่ที่ไหนก็ได้ไม่เรื่องมาก เป็นคนอัธยาศัยดีและดูเข้าถึงง่าย สำหรับผมที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา รู้สึกถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนในครอบครัว
"นี่ไอ ถามอะไรหน่อยสิ" เจ้าตัวหันหน้ามาทางผม หน้าตาปกติที่มักจะยิ้มทะเล้นวันนี้ก็ไม่ยิ้มแล้ว แต่แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา เลยอดเลิกคิ้วตอบไปไม่ได้
"มันเป็นคำถามสำคัญมากเลยเหรอ ปกติไม่เห็นเคยขอนี่"
"อ้าวไอ้นี่ คือด่ากันว่าปกติไม่เห็นมีมารยาทว่างั้น"
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"
"นายนี่แม่ง หน้านิ่งแต่แอบจิกกัดดีนะ...”
“เอาจริงแล้ว ถามอะไรหน่อยได้มั้ย เป็นเรื่องที่นายอาจไม่สะดวกใจจะตอบมากๆ"
"อืม"
"คือ เรื่องทุนมหาวิทยาลัย...น่ะ" ถึงจะเป็นเรื่องที่คิดไว้ว่าคงจะสำคัญ แต่พอได้ยินชื่อนั้นออกจากปากเพื่อนข้างตัวก็อดชะงักไปเล็กน้อยไม่ได้ คือชื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ เป้าหมายในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของผม
"...ที่โดนเปลี่ยนทุนน่ะ มันยังไงเหรอ พวกคนอื่นนินทากันให้แซ่ดว่านายไปทำอะไรให้ครูไม่พอใจเลยถูกตัดสิทธิ์ออก"
"จะพูดก็พูดเถอะ ปกตินายเคยทำอะไรใครที่ไหน นอกจากเรื่องโดดเรียนมานอนเป็นเพื่อนฉันก็แทบจะไม่มีเรื่องอะไรให้ว่าได้แล้วนะ"
ผมฟังเลขที่17 พูดเรื่อยๆ สายตาทอดมองออกไปด้านนอกของตึก มีคนมองออกมาจากอาคารเรียนที่อยู่ตรงข้าม ใครสักคนกำลังจับได้ว่าเราโดดเรียน
เลขที่17ไม่รู้สึกตัวยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
"...ก็นะ ฉันว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของนาย ถ้าอยากเล่าก็คงจะเล่าเลยไม่ถาม แต่พอมีคนลือกันมากๆเข้าก็เลยอดสงสัยไม่ได้"
"จริงๆแล้วมันเป็นยังไงแน่?"
"เกี่ยวกับเรื่องรายได้ครอบครอบครัวน่ะ"
"ครูบอกว่า ควรที่จะให้เด็กที่จำเป็นทางการเงินมากกว่า เพราะยังไงฉันก็ต้องได้สิทธิ์เรียนดีอยู่แล้ว แถมยังไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทอง" ผมตอบคำถาม ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ
"โห ฟังดูไม่ยุติธรรมเลยว่ะ เพราะงั้นสิเลขที่ 23 เลยได้รับไป"
"ก็เขาเป็นอันดับ 2 นี่"
"อา โชคดีโคตรๆ อย่างหมอนั่นน่ะเก่งซะเปล่าแต่ทำตัวโคตรหวงวิชา น่าหมั่นไส้" เลขที่17ทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างที่ว่าหมั่นไส้จริงๆ
"เค้าไปทำอะไรให้นายไม่พอใจล่ะ"
"ไม่รู้ ไม่ชอบหน้า"
"อันธพาลแหะ"
"อย่าว่าแต่ฉันเลยเถอะ นายก็ดูไม่กินเส้นกับเลขที่23สักเท่าไหร่นี่ เท่าที่เห็นในห้อง ดูกระอักกระอ่วนกันจะตายชัก มันไปทางไหน นายต้องไปอีกทางตลอด
หงุดหงิดใช่มั้ยล่ะที่คนได้ทุนแทนเป็นหมอนั่น"
ผมอดที่จะเอียงคอถามออกไปไม่ได้ "ดูออกอย่างนั้นเลย"
"ใช่"
พอนึกตามแล้วก็หัวเราะออกมา เลขที่17ขมวดคิ้วมองหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจ "ไม่หรอก"
"ถ้าไม่แล้วหัวเราะทำไม"
"ก็นายทำท่าตลก"
"ไอ นายยอมรับมาเถอะว่านายก็ไม่พอใจเหมือนกัน หน้าตาเทวดานี่นายจะจริงจังกับมันเกินไปแล้ว" เลขที่17 ยื่นมือมาผลักหน้าผากผม ‘ทากาฮาระ ไอ’ คือชื่อจริงๆของผมที่ถ้าไม่มีเขา เราก็อาจจะลืมไปแล้ว เพราะที่โรงเรียนแห่งนี้เราเรียกแทนกันตามลำดับที่ มีแค่หมอนี่คนเดียวที่เรียกชื่อจริงๆคนอื่นไปทั่ว
"ฉันไม่ได้ไม่พอใจจริงๆ ยินดีกับเขาด้วยซ้ำ"
"นายพูดแบบนี้ได้ก็เพราะบ้านนายรวย รู้ใช่มั้ย"
"เพราะฉันเป็นคนดีต่างหากล่ะ" ผมอดที่จะยิ้มออกไปไม่ได้ที่เห็นเพื่อนสนิทกลอกตาไปมา
"งั้นคนดีอย่างนายจะเลี้ยงมิ้ลค์เชคเพื่อนหลังเลิกเรียนหน่อยได้หรือเปล่าอ่ะ"
"อืม ได้" ผมชะงัก "ไม่สิ เย็นนี้ไม่ได้ แต่พรุ่งนี้ได้"
"เออๆ พรุ่งนี้ก็ได้ นายตอบตกลงไปทุกอย่างแบบนี้ทุกครั้งเลยเนอะ ทากาฮาระ ไอ นายเป็นคนดีเกินไปจนฉันชักจะรำคาญแล้ว"
"แสดงว่านายจะไม่กินสินะ?"
"ฝันเรอะ ของกินใครเขาจะล้อเล่น เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกเรียนนายรอฉันทำเวรแป้ปนึงแล้วเรานั่งรถไฟไปด้วยกัน ฉันมีร้านเปิดใหม่จะพาไป เลิกเรียนแล้วต้องรอก่อน โอเคมั้ย"
"แล้วแต่นายอยู่แล้ว"
"ดีมาก!"
"เราเข้าห้องเรียนกันดีกว่า ฉันว่าพวกครูที่อยู่ตึกโน้นกำลังจะโทรบอกครูที่ห้องปกครองว่าพวกเราโดดเรียน" ผมแตะบ่าเลขที่17
"เออ ไปๆ" เจ้าตัวรีบลุกขึ้นยืนปัดเสื้อผ้าบิดตัวไปมาด้วยความเกียจคร้าน แต่ไม่วายหันมาสั่ง "พรุ่งนี้อย่าลืมรอกันก่อนนะ"
"โอเค" ผมตอบรับคำแล้วเดินตามเพื่อนสนิทลงบันไดมาพอดีกับเสียงแจ้งเตือนจากกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเลยหยุดเดินหยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความเข้า
เลขที่ 17 เห็นผมหยุดเดินเลยหันมามอง
"นายเข้าห้องก่อนเลย ฉันจะไปห้องน้ำ" คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปไม่ได้ถามอะไรต่อ นั่นเป็นข้อดีของหมอนี่ ไม่เซ้าซี้
ผมก้มมองข้อความสั้นๆ ประโยคในมือถือที่ส่งมาจากเบอร์ส่วนตัว
From 34.
'ที่ทางหนีไฟชั้นสาม’
ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับต้นทางไป เป็นข้อความตอบตกลงสั้นๆ ก่อนจะเดินอย่างอ้อยอิ่งลงไปที่ชั้นสาม
เจ้าของข้อความครึ่งบรรทัดนั่นกำลังยืนพิงกำแพงเมื่อผมเดินลงมาถึง แค่เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ใกล้เจ้าตัวก็หันหน้ามามอง
เลขที่34ก็ยังเป็นคนที่รักษาลักษณะไม่น่าเข้าหาไว้ได้ดีเหมือนเดิม
"เรียกมามีอะไร"
"ของที่นายให้หา เอาไปสิ" เขายื่นซองขนาดเล็กมาตรงหน้าผม
"สาม?"
"ได้มาแค่นี้แหละ นี่ก็ใช้ได้เกือบสิบคนแล้ว จริงๆเขาจะไม่ขายให้ด้วยซ้ำแต่ฉันขอแบ่งมาใช้เอง"
"เขาเชื่อนายด้วยเหรอเนี่ย เฮโรอีนตั้งเกือบ10กรัม" ผมเลิกคิ้วแสดงสีหน้าสนใจ
"เงินต่างหากล่ะที่ทำให้เชื่อ"
"อ้อ" ผมพยักหน้าตาม "เท่าไหร่"
"ให้ฟรี" คำตอบเหมือนไม่ได้คิดของคนตรงข้ามทำให้อดเลิกคิ้วมองไม่ได้ วันนี้เกินความคาดหมายของผมหลายเรื่องเลยนะ
"แลกกับอย่างอื่น"
"อย่าง..."
"อย่างนี้"
"?"
จะว่าตกใจก็ดูจะโกหกไปหน่อย แต่หน้าตาของผมคงแสดงออกไปแบบนั้น เลยได้เห็นประกายตาแบบผู้ชนะมาจากคนตรงหน้า
ศีรษะถูกดันแนบกับกำแพง ริมฝีปากถูกกดทับด้วยริมฝีปากของคนตรงข้าม ขบเม้นเนิ่นนาน ผละออกและบดลงมาอีกครั้ง มุมปากถูกจูบซับไล่เล็มจนถึงปลายคาง
“แปลกแหะ จูบตอบด้วยนี่”
ผมหายใจเอาอากาศเข้าปอด แทบจะสำลักเพราะอาการหายใจไม่ทัน แต่คิดว่ายังสามารถรักษาท่าทางเอาไว้ได้
ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆอยู่ข้างหู เลขที่ 34 กับสายตาวาววับกำลังมองผมอย่างขบขัน ผมเอียงหน้าหลบ ขบเม้มริมฝีปากฉ่ำชื้น
"อย่างนี้ดีกว่าเงินเยอะ อย่าก้มหน้า ขอดูหน่อย... อ่า ... ปากแตกแหะ" เพราะเขาจ้องปากผมเขม็ง เลยอดแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากไม่ได้ รสเค็มปร่าของเลือดเจืออยู่ที่ปลายลิ้น กลิ่นฉุนกึกชวนอ้วกจนผมอยากเบ้หน้า
"เป็นหมาหรือไง" ผมพูดเสียงนิ่ง อีกคนเลิกคิ้วทำไม่รู้เรื่อง
"ขอโทษที แต่มันอดไม่ได้"
"จริงๆต้องโทษตัวนายเองที่อยากทำหน้าแบบนั้นก่อนนะหัวหน้าห้อง”
เหรอ...
ถ้าถามว่าแบบไหนออกไปก็จะดูเสแสร้งเกินใช่มั้ย
ผมรู้แหละ ว่าใครที่แพ้ใบหน้านี้บ้าง
นอกจากรอยยิ้มเสแสร้งที่มักแสดงออกแล้ว แววตาหลงใหลนั่นก็ปิดผมไม่มิด
"ฉันกลับห้องเรียนล่ะ ขอบคุณสำหรับของ"
"ไม่เป็นไร ...แค่อย่าติดก็พอ
ไอ้นี่มันไม่ได้มาบ่อยๆ ของหายากแบบนี้มันอันตราย"
ผมไม่ได้ใช้เอง เพราะอย่างนั้น "ไม่เป็นไรหรอก"
"อ้อ อีกอย่าง ยังไงก็ระวังหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้พวกอาจารย์กำลังจับตามองอยู่ สงสัยจะมีคนคาบข่าวไปบอก"
"ไม่มีหลักฐานใครจะเชื่อ"
"นายก็อย่าทำให้มีล่ะ"
"อย่าพลาด เพราะฉันก็ไม่อยากทำตัวเลว โดยเฉพาะกับนาย"
คนพูดเสียงจริงจังพร้อมกับจ้องเข้ามาในตา
ผมยิ้มรับ
"ไม่อยู่แล้ว"
...ต่อให้ทำพลาด คนที่ต้องได้รับโทษ ยังไงก็ไม่ใช่ผมแน่นอน
.
.
.
.
ผมเข้ามาในห้องเรียนหลังจากคาบเรียนสุดท้ายเลิกไปสักพัก พอเลขที่17หันมาเห็น หมอนั่นก็ส่งสายตาแบบเหลือเชื่อพร้อมคาดโทษมาให้
พอจะเดาออกว่าเพื่อนไม่พอใจที่ผมแอบหลบไปโดยปล่อยให้เขากลับมาห้องเรียนคนเดียว
เจ้าตัวกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านแล้วเหมือนกัน
อีกมุมหนึ่งของห้อง เลขที่ 23 คนในหัวข้อสนทนาของเราเมื่อตอนบ่ายกำลังตั้งหน้าตั้งตาจดจ่ออยู่กับหนังสือ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเล็กน้อย คิ้วเลิกขึ้นคล้ายจะถามว่ามองหน้าทำไม พอไม่ได้รับคำตอบจากผมก็ก้มหน้าลงจ้องงานที่กำลังทำเหมือนเดิม
ผมเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาของเพื่อนคนอื่นในห้อง บางส่วนกำลังเก็บของจะกลับบ้าน หัวข้อสนทนาไม่ได้เปลี่ยนไปจากทุกวัน เช่น เลิกเรียนแล้วไปกินข้าวที่ไหนดี ใครมีเรียนกวดวิชา ใครจะไปเดินซื้อของต่อบ้าง
"หัวหน้าห้องมาพอดี นายไปกินทงคัตสึกับพวกเรามั้ย เลขที่ 5 มันได้บัตรส่วนลดร้านที่เปิดใหม่ในห้างมา" เพื่อนคนหนึ่งหันมาถามผมที่เดินเข้ามาใหม่ ผมส่ายหน้าตอบช้าๆ
"ไม่ล่ะ พวกนายไปกันเถอะ ตอนเย็นฉันต้องไปทำธุระ"
"น่าสงสาร งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ"
"โอเค"
ผมโน้มตัวลงนอนกับโต๊ะเขียนหนังสือตอนที่ทั้งห้องเหลือนักเรียนอยู่ไม่กี่คน ใช้นิ้วชี้ไล้ตามขอบโต๊ะ ต้องรออยู่ถึงห้าโมงเย็นไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน มารู้สึกตัวเหมือนอะไรไต่อยู่บนเปลือกตา
ลูกแก้วใสสีดำกำลังจ้องผมจากระยะประชิด
"ทำอะไร" แม้จะบังคับไม่ให้เสียงที่เปล่งออกไปนิ่งเกิน แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เลขที่ 23 รีบผละออกจนเกือบหงายหลัง สีหน้าเขาดูตกใจเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิด
"พ...เพื่อนกลับกันหมดแล้ว ผมเห็นนายหลับอยู่เลยมาปลุก"
"ฉันยังไม่กลับ"
"อ่า เหรอ ..." ท่าทางเงอะงะแบบนี้มันอะไรน่ะ
"งั้นขอโทษที่ปลุกนาย นายนอนต่อเลย..."
"ไม่ล่ะ" ผมยืดตัวขึ้นคว้ากระเป๋าพาดบ่า
"งั้นผมขอกลับด้วยนะ"
"..." ผมไม่ได้ตอบ แค่หันไปมองอีกคนนิ่งๆ ตาใสภายใต้แว่นตากรอบสีดำดูไม่รู้เรื่องรู้ราว
รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยเครียดเกร็งขึ้นมา
ผมเดินกลับบ้านในเส้นทางเดิมเหมือนทุกๆวัน โดยมีคนเดินเดินตามเป็นเงา หมอนั่นค่อยๆสาวเท้าเดินด้วยท่าทางเงอะงะตามมาจากด้านหลัง ผมหยุดทีหนึ่งเขาก็หยุดทีหนึ่ง
น่าหงุดหงิดแหะ
“สนุกมากมั้ย” ผมเอ่ยถามเมื่อเราเดินมาหยุดหน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง หันไปมองคนด้านหลังอย่างใส่อารมณ์
“หมายถึงเรื่องอะไรเหรอ” เขาถามมองผมที่ขมวดคิ้ว “เข้าบ้านก่อนมั้ย วันนี้พ่อแม่ผมน่าจะกลับค่ำ”
“ที่นายทำอยู่ตอนนี้ ท่าทางเหมือนพวกขี้แพ้นี่มันอะไร”
“เอ๋ พูดเรื่องอะไรน่ะ” ดวงตาใต้แว่นมองมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา คนล้วงกระเป๋านักเรียนหยิบกุญแจบ้านออกมาหน้ายังคงฉาบรอยยิ้มซื่อ “เข้าบ้านก่อนสิ ผมอยากให้นายช่วยอะไรนิดหน่อย”
“ไม่ล่ะ”
“นายปฏิเสธได้ด้วยเหรอ หัวหน้าห้อง ...ขอร้องล่ะ”
.
.
.
.
ไอ้สารเลวเลขที่23
มือของหมอนั่นกดที่หลังของผม หายใจไม่ออกทั้งยังต้องกลั้นไม่ให้หลุดเสียงร้องจากการขยับอย่างรุนแรง
เจ็บไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาถูกจิกกระชากเส้นผม
“ฮะ... ยังเหมือน เดิมเลยนะ หลังจากครั้งล่าสุด ไม่ได้ไปทำกับใครอีกเลยเหรอ
ดูสิ อ...า ผมทำตั้งขนาดนี้ยังรับได้อยู่อีก
ร่างกายนายนี่มันสุดยอดเลย”
ผมกัดหมอนไว้แน่นไม่ให้เสียงลอดออกมาตามใจคนกระทำ แรงขยับเสือกกายยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“อึก”
“ทนได้ก็ทนไป อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนได้ซักกี่น้ำ” คนหยิบของสิ่งหนึ่งยื่นมาตรงหน้า ผมเบิ่งตาโพลง
“ฮ ...”
“ผมไม่ได้ยินเสียงนายร้องแสดงว่าไม่เจ็บสินะ ถ้าอย่างนั้น จะใส่ไอ้นี่ไปพร้อมกันก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่! ไม่เอา”
“ปฏิเสธทำไมล่ะ”
“ผมเห็นนะเวลาที่พวกผู้ชายมองนาย ท่าทางเชิญชวนก็เพราะต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อยากได้จนรัดผมแน่นขนาดนี้แล้วนี่”
“ไอ้โรคจิตน่าสมเพช”
“ฮะๆ ด่าได้แรงสุดเท่านี้เอง... จะใส่เข้าไปเบาๆนะครับ”
“อ....”
“เวลาว่าง่ายๆน่ะน่ารักจะตายครับ ทำไมชอบให้ผมบังคับก็ไม่รู้ ก็รู้นี่ว่าถ้าผมตกใจจนเอาเรื่องต่างๆนาๆไปพูด จะมีคนเดือดร้อน แต่นายชอบทำให้ผมโกรธอยู่เรื่อยเลย”
“รู้อะไรมั้ย เวลาเห็นนายทรมานแทบตายแต่ไม่ยอมร้องออกมามันยิ่งกระตุ้นความอยากเอาชนะของผมนะ... อยากให้คนอื่นมาเห็นสีหน้าตอนถูกกอด
ทากาฮาระ ไอ ที่มีตัวผมอยู่ข้างในต้องทำไอ้พวกนั้นคลั่งตายแน่ๆ”
“รูปตอนเต็มไปด้วยเหงื่อ คงจะขายได้สัก1500”
“รูปตอนนอนหลับน่าจะได้สัก 2000”
“เอ มีรูปตอนคุกเข่าทำให้ผมด้วยนี่...หน้าตาสวยๆเวลาแสดงสีหน้าลามก สัก4000เยนก็น่าจะไหวนะ”
“ซี๊ด รัดแน่นเกินไปแล้วครับ”
คลิ๊ก!
“อื้ออออ”
“ฮ่าๆๆ แบบนี้สิ! หน้าตาแบบนี้แหละที่ผมอยากเห็น ฮะ น้ำลายไหลแล้วนะครับ ลามกจริงๆหัวหน้าห้องเนี่ย”
คนตามมาไล่เลียตั้งแต่ริมฝีปากของผมจนถึงปลายคาง เสียงดูดกลืนได้ยินอยู่ข้างหู
“บอกว่าไม่เอา แต่ตรงนี้ออกมาเยอะขนาดนี้ เป็นคนมาโซคิสแท้ๆเลย”
“เหมือนนายจะสามารถใส่เข้าไปอีกได้เลยนะ แค่สองคงจะไม่พอแล้ว”
“ไอ้ แฮ่ก สารเ อื้ออ เลว สารเลว! อื้อๆๆ”
“ปากดีจริงๆน้า งั้นวันนี้จะเสร็จในปากแล้วกันนะครับ เด็กก้าวร้าวต้องถูกสั่งสอน”
“ฮะ ฮ่าๆ ทำหน้าอะไรอย่างนั้น ด่าผมอยู่ในใจเหรอ แช่งไปผมก็ไม่ตายในเร็วๆนี้หรอก
“เอาล่ะ ที้นี้ก็อ้าปากซะสิครับ
...ผมเห็นนายปากแตกด้วยนิ คงจะแสบหน่อย แต่ทนเอาแล้วกัน
ทำดีๆ อย่าให้โดนฟันล่ะ”
ไอ้ระยำเลขที่23 สวะเอ๊ย
ในความมืดผมมองเห็นมือหนึ่งที่ยื่นมาฉุดรั้งกลับขึ้นไป มองเห็นรอยยิ้มสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สะอาดและบริสุทธิ์เสียจนทั้งชีวิตก็ไม่อาจแตะต้อง
.
.
.
.
แม้จะผ่านมาแค่สองเดือน แต่นานเหมือนแรมปีสำหรับบางคน
สถานที่ตรงหน้าของผมเป็นถนนเส้นหนึ่งในย่านเที่ยวยอดนิยม มันคลาคลั่งไปด้วยผู้คน แต่ผู้หญิงและผู้ชายที่เดินกอดซบกันอยู่ตรงหน้านั้นจำได้ดี อาจารย์ที่โรงเรียนของผม และผู้หญิงสวยแต่มีอายุคนนั้นคือคนที่ได้ชื่อว่าแม่
โมเตลราคาถูกคือจุดหมายของทั้งคู่ ผู้ชายคนนั้นทำให้ผมขยะแขยง เพราะเป็นอาจารย์คนที่นึกรักและเคารพจากใจจริง ผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมขยะแขยง เพราะเป็นภรรยาที่ฉวยโอกาสลับหลังสามีและลูกมาทำเรื่องน่ารังเกียจได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมองด้วยความแปลกใจ มันเป็นเสียงของเพื่อนคนหนึ่งในห้อง เรียกได้ว่าจืดจางแทบจะเป็นอากาศสำหรับพวกเรา
เด็กผู้ชายตัวสูง ใส่แว่นทรงเหลี่ยม บ้าเรียน ลักษณะท่าทางเหมือนพวกขี้แพ้ มุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ถ้าหากเป็นเวลาปกติคงจะดูหล่อเหล่าและน่าคลั่งไคล้
ผมมองรอยยิ้มนั้นนิ่งค้าง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหมอนี่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นออกมา ตาพราวระยับจ้องไปที่คนสองคนที่กำลังเดินกอดเกี่ยวที่ทางเข้าของโรงแรมก่อนจะก้มลงมามองผม
“ฉาวโฉ่ดีแหะ ว่ามั้ยทากาฮาระ”
เป็นประโยคแรกที่ผมคิดว่าออกมาจากใจจริงๆของเขาตลอดการร่วมชั้นมัธยมปลายด้วยกันมา
.
.
.
.
“ถ้านายติดม.โตเกียวแล้วฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่มีเพื่อนคนไหนอีกแล้ว”
“วันหยุดก็มาเจอกันได้”
“มันไม่เหมือนกัน ปกติฉันกับนายเราตัวติดกันตลอด ถ้าต้องแยกกันอยู่ ก็ไม่ใช่คู่หูสิ”
“นายก็สอบเข้าม.โตเกียวสิถ้าอย่างนั้น”
“พูดง่ายทำยาก ฉันไม่ได้ฉลาดเหมือนนายนะทากาฮาระ”
“เกนจังก็พยายามมากขึ้นอีกนิดสิ เลิกโดดเรียนได้แล้ว”
“บอกว่าอย่าเรียกเกนจังไง ไม่ใช่เด็กๆแล้ว!”
“ถึงตัวจะเป็นผู้ใหญ่ แต่สมองนายยังเป็นเด็ก”
“ทากาฮาระ ไอ!”
“ฟูจิวาระ ฮิรากิ”
“นี่ฉันจริงจัง นายยังจะพูดเป็นเล่นอยู่อีก เรากำลังจะเสียเพื่อนที่รักที่สุดไปให้กับอุปสรรคทางการศึกษาอยู่นะ”
“ตกลงต้องการจะให้ฉันทำยังไง”
“ไม่รู้ ฉันแค่รู้สึกใจหาย”
“แยกกันอยู่ไม่ได้ตายจากกันสักหน่อย”
“แต่นายเป็นเพื่อนรัก เราแยกกันอยู่ไม่ได้”
“รักมากเลยเหรอ”
“มากกว่าที่นายรักฉันแน่นอน ...สีน้ำตาลในตาของไอกำลังฉายภาพของฉันล่ะ เป็นสีน้ำตาลที่อ่อนจริงๆ เห็นแล้วอยากดื่มชาเลย”
“อืม ...ถึงขนาดที่ตายแทนได้?”
“อ่า เอ่อ ต้องดูก่อนว่าตายแบบไหน”
“หึๆ นึกว่าจะแน่” ผมใช้นิ้วเกี่ยวผมที่หน้าผากของคนตรงข้าม เลขที่ 17 ตาใสเหมือนลูกแก้ว ภาพของผมที่ฉายในดวงตาดูหลงใหล และโง่งมเกินไป ผมหวังว่าคนตรงหน้าจะไม่สังเกตเห็นมันผ่านดวงตาสีดำคู่สวยนี้
“อ่า นายก็รู้นี่ว่าฉันเป็นคนขี้ขลาด ว่าแต่ทำไมคอนายถึงเป็นรอยล่ะ มันช้ำมากเลยนะ รอยอะไรน่ะ...” ผมเบี่ยงตัวหลบมือที่ยื่นมาดูคอเสื้อ ได้เห็นท่าทางชะงักจากเลขที่17 หมอนั่นดูอึ้งไปที่เห็นผมปฏิเสธ
“ภูมิแพ้น่ะ ฉันไปเกามันเลยเป็นแผล”
“ดูแลตัวเองดีๆหน่อยสิ อย่าเจ็บอย่าป่วย”
“แปลกใจเลยที่ได้ยินประโยคนี้จากคนที่เพิ่งขาดเรียนเพราะไข้หวัดใหญ่อย่างนาย”
“นั่นมันสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ต่างหากล่ะ” เลขที่ 17 สูดน้ำมูก ปลายจมูกเล็กเริ่มแดงจางๆเพราะถูกความเย็นกัด ผมเอื้อมมือไปคว้าข้อมืออีกคนแล้วนำมาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทด้วยกัน
“เอ๋ หิมะตกล่ะ” มือข้างที่ว่างถูกเจ้าของยกขึ้นรองละอองสีขาว ใบหน้าเล็กแหงนขึ้นมองท้องฟ้า ทันใดนั้นก็หันมายิ้มให้ ประกายในตาระริกเหมือนกำลังเต้นรำ ท่าทางตื่นเต้นดีใจ ใบหน้ายิ้มนั้นซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ เย็นจนเสียดแทงข้างในอก
“เลขที่ 17 นายรักแม่มั้ย”
“หืม ฮ่าๆ ทำไมอยู่ดีๆถามขึ้นมาล่ะ นายทะเลาะกับแม่อีกแล้วเหรอ”
“เปล่า แค่อยากรู้”
“รักแน่นอนอยู่แล้ว จริงๆฉันว่า ฉันรักแม่มากกว่ารักพ่อซะอีก”
“สส. ฟูจิวาระต้องร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดแน่ๆถ้าได้ยินลูกชายคนเดียวอย่างนายพูดออกมาแบบนี้”
“ฮ่าๆ พ่อฉันไม่ว่าอะไรหรอก พ่อยอมให้แม่เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว
สำหรับฉันแม่ก็เป็นที่หนึ่งเหมือนกัน ...”
.
.
.
.
เสียงเรียกในความมืดเป็นเสียงเดียวกับกับที่ผมเคยได้ยินเมื่อ 8 ปีก่อน ร่างกายของเด็กชั้นประถม ยังไม่ทันได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ก็ได้รับฝากรอยแผลที่หัวเข่าทั้งสองข้าง เสียงตะโกนเรียกนั้นใกล้เข้ามาก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้า เอ่ยคำปลอบใจสารพัด แต่ผมไม่หยุดร้องไห้ ความเจ็บปวดจากแผลที่หัวเข่ากลั่นออกมาเป็นหยดน้ำสีแดง
“หยุดร้องนะไอคนดีของฉัน แค่ปั่นจักรยานเอง นายคนเก่งทำได้อยู่แล้ว”
“ถ้าไอปั่นจักรยานได้ เราจะได้มาโรงเรียนพร้อมกันทุกวันเลย ไม่อยากมาโรงเรียนพร้อมฉันเหรอ”
ผมพยักหน้าทั้งน้ำตา แน่นอนว่าอยาก
“’งั้นก็ทำให้ได้สิ ...นะ...ทำเพื่อฉันนะ”
เข็มฉีดยาที่บรรจุน้ำสีใสถูกฉีดบรรจุกลับลงในขวดแก้ว แทบแยกไม่ออกกับสภาพเดิมที่เคยเป็น ไร้สี ไร้กลิ่น แม้แต่คนที่ใช้เป็นประจำก็คงไม่สังเกตถึงความต่าง ชั่วขณะหนึ่ง ความลังเลและกลัวแล่นเข้ามา มือที่ถือเข็มฉีดยากระตุกเกร็ง
เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว ผมบังคับให้มือหยุดสั่นได้ในที่สุด