<< วิมานไม้สน >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << วิมานไม้สน >>  (อ่าน 40147 ครั้ง)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
<< วิมานไม้สน >>
« เมื่อ02-12-2017 19:57:42 »


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง


ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






                                 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


 
  นิยายเรื่องนี้ ไม่มีที่ว่างให้คุณปลูกทุ่งลาเวนเดอร์วิ่งเล่นกับม้ายูนิคอร์น




                                               :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:




สารบัญ


บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทที่ 5
บทที่ 6
บทที่ 7
บทที่ 8
บทที่ 9
บทที่ 10
บทที่ 11
บทที่ 12
บทที่ 13
บทที่ 14
บทที่ 15
บทที่ 16
บทที่ 17
บทที่ 18
บทสุดท้าย วิมานของผม










                                                :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2019 23:13:32 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
<< วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
«ตอบ #1 เมื่อ02-12-2017 20:03:53 »



                                                                         วิมานไม้สน

                                                                            บทนำ


                  ผมนอนกองอยู่บนผืนดินหยาบกระด้างไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่ตะเกียกตะกายหนีมาจากขุมนรกนั่น ร่างกายนี้อ่อนแรงและ

เหนื่อยล้าเหลือเกิน อ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ จนลมหายใจแทบจะปลิดปลิวไปแล้ว ชีวิตที่เกิดมาอย่างไร้ค่าก็คงจะต้องแตกดับไปราวกับฝุ่น

ธุลีที่จับอยู่ตามเนื้อตัวปะปนไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับ

               ผมเจ็บจนด้านชา หนาวจนไม่รู้สึก เปลือกตาหนาหนักลืมเกือบไม่ขึ้นแต่ก็พอกะพริบจนมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า ราวกับ

แสงระยิบระยับเหล่านั้นกำลังเชิญชวนให้ผมไปอยู่กับมัน ผมยกท่อนแขนที่สั่นระริกขึ้นไปช้า ๆ ก่อนที่มันจะตกลงมาฟาดลงกับพื้นเพื่อ

บอกให้รู้ว่าไม่มีวันที่ผมจะเจิดจรัสเช่นดวงดาวได้



               อาจเป็นห้วงสุดท้ายที่ผมจะได้ระลึกถึงชะตากรรม หรือบางทีอาจเป็นการเลือกเดินเส้นทางที่พาไปสู่หายนะ ไม่ใช่ฟ้าลิขิต

แต่เป็นหัวใจที่หลงผิด ภาพแห่งความหลังที่ทำให้ผมต้องพบจุดจบด้วยการนอนข้างถนนเหมือนหมาขี้เรื้อนค่อย ๆ ฉายชัดอยู่ในมโน

สำนึก



             ไม่รู้ว่าพวกคุณจะอยากรู้หรือเปล่าว่าชีวิตของผมเป็นอย่างไร แต่ขอให้ผมได้เล่า อย่างน้อยก็เพื่อปลดปล่อยความระทมทุกข์

ของผม ก่อนที่ผมอาจจะไม่มีลมหายใจในเฮือกต่อไป



                     มาสิ ผมจะเล่าให้คุณฟัง ถึงเรื่องในวิมานของผม วิมานที่ทำจากไม้สนที่แสนจะเปราะบาง และมันกำลังจะพังทลาย

ลงในอีกไม่นานนี้แล้ว
 
 
   

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ตามมาเจิมเรื่องใหม่ของคุณบีเลิฟค่า
แอบเหนภาพประกอบเรื่องนี้ในเพจ
ดูพอร์นมว้ากกกกก คึคึ

แต่พออ่านอินโทรแล้วสงสัยจะไม่ใช่
น่าจะงานดราม่ามาเต็มแน่ๆ
ฮืออออ ต้องเตรียมใจขนาดไหนคะ

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1:  แวะมาเจิมจร้าาา

แต่ทำไมเซ้นมันร้องรัวๆๆเลยว่างานนี้ดราม่าแน่นวลลล

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ดราม่าฮาร์ดคอร์ แน่ๆ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ปูเสือ ต้มน้ำรอ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
สงสารหนักมาก

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
แค่เริ่มก็หน่วงแล้วอะ

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                             วิมานไม้สน

                                                                               บทที่ 1

                เสียงลมหายใจกระเส่าผสมปนเปไปกับเสียงคล้ายกรนของคนเจ้าเนื้อดังอยู่ภายในห้องนอนส่วนตัวแสนหรูหรา บนเตียง

กว้างท่ามกลางความเย็นจัดของเครื่องปรับอากาศมีร่างของคนสองคนที่กำลังประกอบกิจกรรมพื้นฐานที่สุดของสัตว์โลกแม้กระทั่ง

มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ



                  “อะ ฮัก ฮัก ท่าน ท่านช่วยสนด้วยสิครับ”



                 ร่างเพรียวบางผิวสีขาวเนียนราวกับไม่เคยออกแดดนั่งคร่อมอยู่บนเอวที่พอกพูนด้วยไขมันของชายสูงวัยที่อายุมากกว่าหก

สิบไปหลายปีแล้ว ใบหน้าหวานฉ่ำกว่าบุรุษเพศคนอื่นกำลังจือปากขบฟันด้วยแรงอารมณ์ที่เขาต้องกระตุ้นตนเองขณะบดสะโพกลงไป

ถูไถกับสิ่งที่สอดอยู่ในช่องทางเบื้องล่างของเขา



                    “ฉันยกเอวไม่ไหวแล้วสน โอ๊ย ดี อย่างนั้นแหละ เสียวโว้ย”



                   เจ้าของชื่อสนฉัตรอยากจะตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น เพราะคนที่นอนพังพาบอยู่เบื้องล่างอายุมากและอ้วนเผละ ตรง

ส่วนนั้นก็ยิ่งหดสั้นจนแทบจะเหลือเท่านิ้วก้อยในยามปกติ ขนาดว่าเขาเพียรปลุกปั่นก่อนหน้าที่จะสอดใส่มันเข้ามา แต่มันก็เหมือนใช้ไม้

จิ้มฟันสะกิดเนื้อหนังของเขาเท่านั้น



                       “ฉันไม่ไหวละสน โอยจะแตก”



                      “ท่านครับ อย่าเพิ่ง ผมยังไม่ได้...”



                สนฉัตรสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อรับรู้ว่าท่อนเนื้อที่อยู่ภายในนั้นหมดแรงลงอย่างกะทันหัน ชายชราเบื้องล่างหายใจ

หอบหนักอย่างยากลำบากจนน่ากลัวว่าจะขาดอากาศทั้งที่ใบหน้ายิ้มกริ่มด้วยความสุขสมไปแล้ว โดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร



                   “เก่งจริง ๆ สน ไม่เสียแรงที่ฉันเอาแกมาชุบเลี้ยงจากเด็กข้างถนน แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวละ”



                 “เหี้ยเอ๊ย”



                 ชายหนุ่มที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีหลุดคำหยาบออกมาเต็มปากเต็มคำเมื่อเห็นชายชราเจ้าของบ้านแผ่พังพาบและนอนกรน

เสียงดังสนั่นทั้งที่เขาก็ยังนั่งคร่อมอยู่บนเอว เขาลุกออกจากตรงนั้นก่อนจะเดินลงส้นเข้าไปยังห้องน้ำหรูและใช้มือจัดการตัวเองที่ยัง

ค้างเติ่ง จนกระทั่งน้ำเมือกขาวขุ่นพุ่งรดมือจึงได้สบถด้วยความหงุดหงิดอีกครั้งแล้วจึงอาบน้ำเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าชุดเดิมออกจากห้องน้ำ


               สนฉัตรเดินมาหยุดยืนปลายเตียงจ้องมองชายชราอย่างสมเพช ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ระดับที่เคย

เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญมาแล้วหลายกระทรวงแต่ก็ต้องหยุดบทบาททางการเมืองเพราะปัญหาความรุนแรง แต่ถึงกระนั้นนายทรง

เดชก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ให้บริหารและยังมีอิทธิพลในสังคมอยู่มาก


                   แต่ตอนนี้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองนอนแผ่ไม่เป็นท่ากับเซ็กส์ห่วย ๆ ที่ไม่เคยทำให้คู่นอนอย่างเขาได้สุขสมสักครั้งในระยะ

หลังมานี้ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกให้ผู้ใต้อำนาจรู้ว่ายังเตะปี๊บดังอยู่และมีคนข้างตัวคือชายหนุ่มรุ่นหลานอย่างสนฉัตร ใครจะรู้ว่า

ทุกครั้งที่ทรงเดชมีความต้องการนั้นสนฉัตรคือผู้ที่ต้องช่วยให้คนแก่อย่างทรงเดชบรรลุเป้าหมาย แต่เขาเองกลับไม่เคยอิ่มเอมจากเพศ

รสแม้สักครั้ง



                     “เมื่อไหร่จะตายตามเมียมึงไปสักทีไอ้อ้วนหมูตอนแก่หงำเหงือก”



                   สนฉัตรเค้นเสียงอยู่ในลำคอ เขายังไม่กล้าออกฤทธิ์มากกว่านี้เพราะตัวเองก็ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของทรงเดช อันที่จริงก็

ถือว่าทรงเดชมีบุญคุณต่อสนฉัตรอยู่เหมือนกันที่เก็บเขามาชุบเลี้ยงตั้งแต่อายุได้สิบขวบ แต่สำหรับสนฉัตรบุญคุณนั้นหมดไปแล้วตั้งแต่

นายทรงเดชบังคับให้เขาปรนนิบัติด้วยร่างกายตั้งแต่เพิ่งจะใช้คำนำหน้าว่านายได้ไม่กี่เดือน


                 นายทรงเดชเคยมีภรรยา ใช้คำนำหน้าว่าคุณหญิงอะไรสักอย่างที่สนฉัตรไม่อยากใส่ใจ สตรีที่ทำคอเชิดอยู่ในวงสังคมว่า

อุทิศตนเพื่อผู้ยากไร้แต่เมื่ออยู่ในบ้านกลับกดหัวคนในบ้านจนเทียบเท่าฝุ่นละออง ตอนที่สนฉัตรเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ใหม่ ๆ เมียของ

นายทรงเดชมองเขาราวกับเป็นขยะ เขาถูกเลี้ยงต่ำต้อยยิ่งกว่าคนรับใช้ในบ้าน ยังดีที่มีทรงเดชคอยปรามได้บ้าง จนกระทั่งในวันหนึ่งที่

รับรู้ว่าสามีบังคับให้เด็กผู้ชายในบ้านมาปรนเปรอความสุข เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากสตรีวัยหกสิบกว่า



                    “คุณจะบ้าหรือไงถึงไปเอาไอ้สนมานอนด้วย”



                  สนฉัตรจำได้แล้วว่าเมียของทรงเดชชื่อคุณหญิงอำไพ วันนั้นเขาถูกตบตีจนผิวขาวขึ้นรอยเป็นริ้ว ในขณะที่ชายแก่ที่ทั้ง

สร้างและทำลายเขาทำได้เพียงนั่งส่ายหน้าอย่างระอา



                 “จะโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมาอำไพ”



                 ทรงเดชตวาดตัดบท เขามองภรรยาของเขาด้วยความเบื่อหน่าย



                 “คุณควรจะสบายใจมากกว่าที่ผมเลือกไอ้สนมาช่วยบำบัดความต้องการที่คุณซึ่งเป็นเมียทำไม่ได้”



                “แต่ไอ้สนมันเป็นผู้ชาย” อำไพไม่ยอมแพ้



                “นี่คุณวิปริตผิดเพศถึงกับเอาผู้ชายด้วยกันแล้วหรือไง ถ้าใครรู้เข้าว่าอดีตรัฐมนตรีทรงเดชเอาเด็กผู้ชายมาทำเมีย ฉันจะเอา

หน้าไปไว้ไหน”



                  “ก็ไว้บนบ่านั้นแหละ” ทรงเดชหงุดหงิดจนอดตอบโต้ไม่ได้



                “ถ้าไม่มีใครในบ้านเอาไปโพนทะนาก็ไม่มีใครรู้หรอก ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่จะมีก็แต่คุณเองนั่นแหละที่หน้าบางทนไม่ไหว ถ้า

ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็หุบปากของคุณไว้ดีกว่า”



                       ในวันนั้นคุณหญิงอำไพโกรธจนความดันขึ้นต้องส่งโรงพยาบาล และหลังจากนั้นภรรยาของทรงเดชก็เริ่มป่วยกระเสาะ

กระแสะเพราะวัยที่มากขึ้น อำไพเคยล้มเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจนกลายเป็นอัมพาตนอนติดเตียงอยู่นาน จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อ

ปีที่แล้ว ทรงเดชและอำไพไม่มีบุตรด้วยกันประมุขของบ้านจึงไม่ลำบากใจนักที่จะเริ่มเปิดเผยต่อคนใกล้ชิดในพรรคการเมืองว่ามีความ

สัมพันธ์กับเด็กในบ้านอย่างสนฉัตร


                  ต่อหน้าทรงเดชพวกลูกน้องที่รู้ว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงในบ้านก็จะพินอบพิเทา แต่สนฉัตรรู้ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นส่งสายตา

เหยียดหยามลับหลัง สนฉัตรจำเป็นต้องทำเหมือนไม่สนใจสายตาเหล่านั้นทั้งทีในหัวใจมีแต่ความกรุ่นโกรธ เขาได้แต่ระบายความขุ่น

ข้องด้วยการจับจ่ายใช้เงินที่ทรงเดชมอบไว้ให้ใช้บำรุงบำเรอความสุขตนเอง


                 ทรงเดชเลี้ยงดูเขาเหมือนนกน้อยในกรงขัง หากสนฉัตรจะเดาออกสักนิดว่าทำไมทรงเดชถึงรับเขาที่นอนเจ็บอยู่ข้างถนน

มาเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำ จนสนฉัตรกลายร่างจากหนอนน่าเกลียดเป็นผีเสื้องดงามตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม นั่นเพราะทรงเดชเห็นวี่แววความ

หน้าตาดีของสนฉัตรตั้งแต่แรกเห็นถึงแม้สนฉัตรจะมอมแมมทั้งตัว ทรงเดชส่งเสียให้สนฉัตรเรียนหนังสือแต่อำไพก็ขัดคอและบังคับให้

เขาเรียนที่โรงเรียนวัดไม่ไกลจากบ้านนัก ทรงเดชไม่อยากขัดภรรยาเรื่องนี้จึงต้อนโอนอ่อนผ่อนตาม และในที่สุดเมื่อสนฉัตรอายุได้สิบ

ห้านิด ๆ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปล่งประกายออกมา


                   สนฉัตรไม่ใช่คนสูงมากนักเมื่อยืนเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน เขามีรูปร่างผอมบางเพรียวลม และใบหน้าของเขาก็ออก

จะไปในแนวหวานคล้ายผู้หญิง ด้วยความที่ต้นกำเนิดจากมารดาที่ใช้อาชีพขายตัวและท้องกับแขกที่เป็นชาวต่างชาติ สนฉัตรจึงกลาย

เป็นเด็กลูกครึ่งที่ไม่รู้ว่าอีกครึ่งคือชาติไหน แต่ส่งผลให้เขามีเครื่องหน้าคมกริบไปทุกส่วน ผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ คิ้วโก่งเรียวคล้าย

ถูกกันจากช่างเสริมสวยฝีมือดี จมูกโด่งรับกับปากอิ่มสีแดงระเรื่อ และนั่นเองที่ทำให้ทรงเดชตัดสินใจครอบครองร่างกายนี้ตั้งแต่ตอนนั้น

เป็นต้นมา ทรงเดชบังคับให้สนฉัตรออกจากโรงเรียนเมื่อจบชั้นมัธยมต้น เขาหวงสนฉัตรโดยไม่คำนึงว่าสนฉัตรจะอยากเรียนต่อแค่ไหน



                 “เรียนไปทำไมมากมาย หือไอ้สน ยังไงแกก็ต้องมาคอยปรนนิบัติฉันอยู่ดี” นั่นคืออีกอย่างที่สนฉัตรเจ็บช้ำใจ



               บัดนี้สนฉัตรอายุสิบเก้าปีเศษ เก้าปีเต็มตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างมาสู่บ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วสูงกักขังเขาจากโลกภายนอก สี่ปี

เต็มที่กลายเป็นสมบัติของทรงเดช สนฉัตรเกลียดชะตาชีวิตเช่นนี้ เขาก่นด่าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ต้องเผชิญแต่ความเลวร้ายตั้งแต่จำ

ความได้ หากปีกกล้าขาแข็งเมื่อไหร่สนฉัตรจะไปเสียให้พ้นความน่าชิงชังขยะแขยงนี้


                เขามองร่างอ้วนพุงพลุ้ยของทรงเดชด้วยสายตาเกลียดชังก่อนจะสะบัดหน้าหนีและเดินออกมาจากห้องนอนของทรงเดชที่

เหมือนนรกสำหรับเขา สนฉัตรเดินมายังชั้นล่างของตัวบ้านหลังใหญ่ในเวลาเที่ยงคืน มีแต่ความมืดสลัวของแสงไฟจากภายนอกและ

ความเงียบสงัดเป็นเพื่อน


                 ทรุดตัวลงนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ สนฉัตรคว้าแก้วใสเจียรนัยอย่างดีมาใบหนึ่งจากนั้นจึงดึงขวดเหล้าราคาแพงที่เคยเปิดไว้แล้ว

ออกมารินใส่แก้ว เขายกมันกรอกเข้าปากก่อนจะกลืนลงไปพลางทำหน้าเหยเกกับฤทธิ์ร้อนของแอลกอฮอล์


                 ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำจากประตูทางเข้าบ้าน สนฉัตรไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เขาสนใจแต่เหล้าสีอำพัน

ในขวดที่เทใส่แก้วแล้วสาดลงลำคอเป็นแก้วที่สอง จนกระทั่งฝีเท้านั้นมาหยุดลงตรงหน้า






มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 12:38:29 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
อ่านต่อตรงนี้...



                   “โอ้โฮ ถึงว่าช่วงนี้ทำไมอากาศปรวนแปร เพราะคุณนกหงส์หยกมานั่งดื่มอยู่คนเดียวตอนมิดไนท์นี่เอง”


                  “เสือก”


                  สนฉัตรเงยหน้ามองเจ้าของเสียงแดกดันนั้น คนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาสี่ปี รูปร่างสูงหน้าตาคมเข้มผิวสีแทน

ด้านหลังสะพายกล่องเก็บกีต้าร์คู่ใจที่ใช้เป็นเครื่องมือหารายได้เสริมด้วยการเป็นนักดนตรี

                 ผู้ชายคนนี้ชื่อจริงว่าปวิธ ชื่อเล่นเปลว เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก่อนหน้าสนฉัตรในฐานะหลานคนหนึ่งของทรงเดช

แต่ก็เป็นหลานที่ค่อนข้างห่างหากจะนับญาติ ยายของปวิธเป็นลูกพี่ลูกน้องของทรงเดชไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ และเมื่อแม่กับพ่อของปวิธ

ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กยายของปวิธไม่มีปัญญาเลี้ยงดู ปวิธจึงถูกส่งมาอยู่กับญาติห่างๆ อย่างทรงเดช ปวิธคิดอยู่เสมอว่า

เขามาพึ่งพาอาศัยใบบุญของทรงเดช เขาจึงไม่ขออะไรมากไปกว่าค่าเทอมการศึกษา ปวิธเลือกเรียนทางสายเทคนิคเพื่อที่เขาจะมีเวลา

หางานพิเศษอื่น ๆ ทำ ปวิธประพฤติตนเช่นนี้จนกระทั่งเขาเรียนในปีสุดท้ายระดับปริญญาตรีในวิทยาลัยเทคนิคคณะสถาปัตยกรรม


               คุณหญิงอำไพให้ความเอ็นดูปวิธมากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เขาเป็นเพียงหลานห่าง ๆ ของสามี เขาให้ความเคารพคุณหญิง

อำไพและเริ่มรู้สึกไม่ดีกับสนฉัตรตั้งแต่รู้ความจริงว่าเด็กหนุ่มกำพร้าคนนี้สร้างความแตกแยกให้แก่ผู้มีพระคุณของเขา และยิ่งคุณหญิง

อำไพต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บช้ำจนเสียชีวิตเขาก็ยิ่งชิงชังหน้าตาหวาน ๆ ที่สนฉัตรใช้เป็นเครื่องมือไปสู่ความสุขสบาย

                     ปวิธเดาท่าทีของสนฉัตรออกตั้งแต่เด็กแล้ว คนตรงหน้ามักจะเชิดหน้าผยองและมองเขาด้วยหางตาทุกครั้งราวกับเขา

เป็นไส้เดือนกิ้งกือ และเมื่อทรงเดชเริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์ สนฉัตรก็ยิ่งทำตัวเห่อเหิมใช้เงินเป็นเบี้ยอย่างคนไม่รู้คุณค่าจนปวิธอดไม่

ได้ที่จะค่อนแคะบ่อยครั้ง


                 “สงสัยคุณนกหงส์หยกจะเหงา ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนแก้เหงาไหมล่ะ”


                 ปวิธไม่สนใจคำด่าทอหยาบคาย ยิ่งแหย่ให้สนฉัตรอารมณ์เสียได้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น เขามองใบหน้า

หวานที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เจ็บใจที่ต้องยอมรับว่าขนาดทำหน้าบึ้งตึงแต่สนฉัตรก็ยังดูดีเสมอ


                  “ไปให้ไกลๆ กูไอ้เปลว”


                แม้ปวิธจะอายุมากกว่าถึงสี่ปีแต่สนฉัตรก็ไม่เคยเคารพ คำพูดคำจาระหว่างกันจึงเป็นภาษาที่ไม่ไพเราะเท่าใดนัก สนฉัตร

เกลียดหน้าปวิธตั้งแต่ยังเด็กที่มีคุณหญิงอำไพหนุนหลัง เขามองว่าปวิธคือหนึ่งในเครื่องมือที่คุณหญิงอำไพใช้กลั่นแกล้งเขา


                 “หงุดหงิดอะไรนักหนาล่ะ หรือว่าวันนี้คุณลุงปรนเปรอให้ไม่พอ ก็เลยร้อนรุ่มอยากหาที่ระบาย”


                “ไอ้เปลว”


                 “ถ้าอยากมากเดี๋ยวกูไปตามบอดี้การ์ดของลุงมาสักสองสามคนให้ช่วยสงเคราะห์มึงเอาไหมไอ้สน”


                 “ไอ้เหี้ยเอ๊ย”


                 สนฉัตรเลือดขึ้นหน้า เขาวางแก้วเหล้าอย่างแรงจนมันแตกกระจาย จากนั้นเขาก็โผเข้าหาและง้างหมัดชกไปที่ใบหน้าของ

ปวิธ อีกฝ่ายขยับตัววูบจนปลายหมัดเพียงแค่ถากแก้มของปวิธเท่านั้น ปวิธฉวยโอกาสคว้าข้อมือเล็กของสนฉัตรไว้ได้ คนตัวเล็กกว่าส่ง

สายตาเดือดดาลก่อนจะใช้อีกมือหมายจะต่อยอีกครั้ง คราวนี้ปวิธก็ยังไม่พลาด เขาคว้าแขนของสนฉัตรได้อีกข้าง ทั้งคู่จึงยื้อยุดกันไป

มา


                   “ทำไม กูพูดจี้ใจดำมึงเหรอไอ้สน” ปวิธลอยหน้าลอยตาถาม


                 “คนเราถ้าไม่ร่านจริงจะยอมให้คนแก่คราวปู่ระเบิดเหมืองทองหรือไงวะ”


                 “ไอ้เปลว!”


                สนฉัตรเจ็บใจกับคำพูดดูหมิ่นของปวิธจนขอบตาร้อนผ่าว เขาเชิดหน้าขึ้นแค่นยิ้มเยาะหยันส่งกลับ


                “แล้วมึงล่ะดีกว่ากูตรงไหนไอ้เปลว ไอ้ที่คุณหญิงป้าของมึงรักมึงนักหนาน่ะ อย่าให้สืบได้นะว่าเขารักเพราะมึงปรนเปรอผู้

หญิงคราวยาย”


                  “ไอ้สน!”


                 ปวิธเดือดขึ้นมาทันทีเมื่อเจอคำใส่ความของสนฉัตร เขาปล่อยมือจากข้อมือเล็กและเงื้อแขนสูง หากแต่กำปั้นกลับชะงัก

เมื่อสนฉัตรไม่คิดหลบแถมยังเชิดหน้าท้าทาย


                 “โมโหเหรอ เอาซี้ ต่อยหน้ากูนี่ แรง ๆ เลยนะ กูจะได้เอาหน้าที่มีรอยฟกช้ำไปอวดลุงของมึง แล้วก็ฟ้องว่าถูกหลานที่แสนดี

ต่อยมาเพราะโมโหที่กูพูดความจริง”


                  ปวิธโมโหจนพูดไม่ออก ทั้งคู่สบตากันราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติก่อน สนฉัตรเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบด้วยน้ำ

เสียงที่พยายามกดให้ราบเรียบที่สุด


                “อย่ามายุ่งกับกูอีก มึงก็อยู่ส่วนของมึงไป มึงเกลียดกูและกูก็เกลียดมึง เพราะฉะนั้นก็อยู่อย่างคนที่เขาเกลียดกันนั่นแหละ

ดีแล้ว”


                 ปวิธมองตามร่างโปร่งที่สะบัดหน้าหนีก้าวเร็ว ๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและหายลับไปในห้องส่วนตัวที่ทรงเดชจัดไว้ให้

ความร้อนระอุยังอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดออกมา


                เขาเกลียดสนฉัตร คนที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขสบายแม้จะไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีทางที่ปวิธจะยอมญาติดีกับคนอย่างสนฉัตร




                 ไม่มีทาง!



                                                                       TBC


เปิดตัวเรื่องใหม่ ฮ่า ๆๆๆๆ เรื่องเก่าก็ยังค้างอยู่ ช่างกล้า

นิยายเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าที่แรงที่สุดตั้งแต่บีเลิฟเคยแต่งมา

สายดราม่าเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า


ส่วนเรื่อง วิญญาณเสน่หา กับ มนุษย์ทาสแมว

ก็จะแต่งสลับกันไปจ้า ได้อ่านสลับอารมณ์กันทุกเรื่องเลย


                                  :a2: :a2: :a2: :a2: :a2:






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 12:47:04 โดย Belove »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
คนละแนวเลยค่ะ 55 รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เกลียดกันเหรอ น่าสนใจ  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สังหรว่ามันจะดราม่ามาก กลัวใจนักเขียนมากๆๆๆๆ จากอินโทรคิดว่านางคงตายแน่ๆ ไม่จริงใช่ไหม :katai1:

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
สงสารนางถึงมีคนเลี้ยงก็เหมือนเลือกหนูตะเพา

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รอตอนต่อไป :katai2-1:

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                              เนื้อหาในบทนี้มีความรุนแรงเชิงสังคม

                                            ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ




                                                                                 วิมานไม้สน

                                                                                    บทที่ 2


              สนฉัตรปิดประตูห้องดังปังอย่างไม่กลัวว่าใครจะมาด่าทอเพราะบนตึกใหญ่มีเพียงเขากับทรงเดชเท่านั้น ส่วนปวิธนั้นอาศัยอยู่

ในห้องเล็ก ๆ ทางด้านหลังของตัวบ้านหลังใหญ่ที่เขาขอให้ทรงเดชต่อเติมเป็นห้องสี่เหลี่ยมไว้ให้เขาได้ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนเพราะปวิธมี

อาชีพเสริมเป็นนักดนตรีในตอนกลางคืน เวลาเข้าออกจากบ้านจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนในบ้านมากนัก


                 ตั้งแต่อำไพเสียชีวิต ทรงเดชก็ยกห้องชั้นบนให้สนฉัตรห้องหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาตกเป็นขี้ปากของคนในบ้านที่ยังภักดีต่ออำไพ

สนฉัตรได้แต่เก็บงำความขมขื่นเอาไว้และได้แต่เชิดหน้าสวนกระแสสายตาเหล่านั้น ทำไมล่ะ อย่างน้อยเขานี่แหละคือคนที่เจ้าของบ้าน

ทั้งรักทั้งหลง ส่วนใครจะมองอย่างไรก็มองไป สนฉัตรจะไม่สนใจทั้งนั้น


                 ชายหนุ่มล้มตัวลงบนที่นอนนุ่ม หากแต่ความกว้างของมันกลับทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน สนฉัตรเกลียดความ

รู้สึกเหล่านี้ มันทรมานจนแทบขาดใจกว่าที่เขาจะข่มตาให้คล้อยหลับลงได้


                  ภาพแห่งความหลังปะทุขึ้นมาอยู่ในจิตใต้สำนึกแม้ว่าสนฉัตรจะพยายามลืมมันให้หมด แต่ใครจะรู้ว่ามันฝังลึกอยู่ในจิตใจ

จนกลายเป็นตะกอนสีดำและพร้อมจะลอยวนขึ้นมาตลอดเวลาหากมีสิ่งใดมาสะกิด ร่างกายบอบบางสั่นสะท้านจนต้องขดตัวงออยู่ภายใต้

ผ้าห่มผืนใหญ่เมื่ออดีตของเขาผุดขึ้นมาเป็นความฝันที่แสนเลวร้าย
 






               “ทำสิ กูบอกให้มึงทำ ดื้อนักเหรอมึง”



                เด็กชายสนฉัตรตัวน้อยไม่เกินหกขวบแทบจะปลิวไปกองกับพื้นเมื่อถูกฝ่ามือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อเลี้ยงตบลงมาดังฉาด

แก้มเนียนของเด็กน้อยขึ้นรอยสีแดงก่ำจนเจ้าตัวร้องไห้จ้า



              “ดื้อชิบหาย เด็กเหี้ยอะไรวะ กูบอกให้มึงอม---ให้กูไง หูมึงแตกเหรอ”



               เส้นผมสีน้ำตาลละเอียดถูกกระชากจนตัวลอยขึ้นมาทั้งที่ยังร้องไห้ สนฉัตรถูกกดหัวจนใบหน้าถูไถอยู่กับท่อนลำแข็งกระด้าง

ของผู้ชายคนนั้น



                  “ไอ้ป๋อง มึงก็เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวข้างห้องเขาก็ด่าเอาอีกหรอก”



                  ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแม่แท้ ๆ ส่งเสียงเตือนพลางตะไบเล็บทาสีแดงสดอย่างไม่สนใจสิ่งที่สามีใหม่กำลังทำต่อลูกในไส้

หล่อนมองภาพสามีที่อายุน้อยกว่าหลายปีกำลังกดหัวลูกชายวัยหกขวบให้จัดการตรงนั้นของเขาอย่างนึกระอาเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดัง

ลั่น



                  “ก็ดูลูกมึงสิอีจ๋า”



                  ป๋องตวาดเมื่อไม่ได้ดังใจ



                “มึงสั่งสอนลูกของมึงบ้างหรือเปล่าว่าให้เชื่อฟังพ่อแม่ นี่อะไรกูสั่งให้อมยังนั่งโง่อยู่ได้”



               “ไอ้สนมันยังเด็ก ประสาที่ไหน มานี่กูทำให้ก็ได้”



                จ๋าขยับลุกจากที่นั่งหน้าโต๊ะกระจกในห้องเช่าแคบ ๆ เพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวสามีกับลูกชาย ป๋องมองหน้าภรรยาก่อนจะสบถ

หยาบคายและยกเท้าขึ้นถีบจนจ๋าร่วงไปกองกับพื้น



                 “ไอ้เหี้ยป๋อง มึงถีบกูทำไม”



                จ๋าส่งเสียงกรี๊ดออกมาเมื่อถูกทำร้ายร่างกาย



                “มึงอยู่ตรงนั้นแหละอีกะหรี่ แก่จนรูหลวมโพรกแล้วอย่ามาสะเออะ ไอ้สนมานี่”



                “แม่ แม่จ๋า”



                 สนฉัตรร้องไห้ฮือตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อใบหน้าของเขาถูกบีบจนบิดเบี้ยว แล้วทันใดนั้นท่อนเนื้อใหญ่ยักษ์ก็เสียบ

เข้ามาในปากเล็กอย่างไม่ใยดี



               “ไอ้ป๋อง ไอ้เหี้ย นี่มึงเมายาหรือเปล่า เดี๋ยวไอ้สนมันก็ตายหรอก”



               จ๋ายังพอจะสนใจลูกอยู่บ้าง หล่อนผวาขึ้นมาและพยายามผลักให้ป๋องปล่อยสนฉัตร แต่สามีวัยรุ่นหันมามองตาขวาง ป๋อง

ผลักสนฉัตรออกไปก่อนจะหันมากระชากเส้นผมของจ๋าและตบลงไปบนใบหน้าเสียงดังหลายฉาด



                  “อีจ๋า อีกะหรี่แก่ สำนึกบ้างว่าทุกวันนี้มึงอยู่ได้เพราะเงินของใคร น้ำหน้าอย่างมึง รูหลวม ๆ อย่างมึงไปนอนแบกลางถนน

ยังไม่มีใครอยากเอา ถ้ามึงไม่มีกูเลี้ยงอยู่เพราะไอ้เงินที่กูขายยา มึงกับลูกกะหรี่ของมึงก็ไปนอนตายข้างถนนเหอะ”



                จ๋าทรุดฮวบไปกองกับพื้นเมื่อหล่อนสู้แรงสามีไม่ไหว ใบหน้าของหล่อนบวมปูดอย่างเห็นได้ชัด ป๋องยังไม่สาแก่ใจจนต้อง

ยกเท้าขึ้นมากระทืบลงไปบนหน้าท้องของจ๋าที่ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวน



              “ยังอีกอีโง่ ยังไม่รีบบอกให้ลูกมึงมาทำให้กูอีก อยากโดนกระทืบจนตายคาตีนใช่ไหม”



                จ๋าระบมไปทั้งตัว แต่หล่อนก็ต้องซมซานไปหาสนฉัตรที่นั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลนัก”



               “มึงจะร้องทำไมไอ้ตัวดี”



              จ๋ากัดฟันฝืนความเจ็บกายตะคอกใส่ลูก



                “มึงอยากเห็นกูตายเหรอไอ้มารหัวขน มันให้ทำอะไรมึงก็ทำ ๆ ไปเถอะ เร็วสิ”



                 คนเป็นแม่ผวาเมื่อเห็นผัววัยรุ่นเงื้อเท้าขึ้นมาอีกครั้ง จ๋ารีบกระชากสนฉัตรเข้ามาและเป็นฝ่ายกดหัวสนฉัตรให้จ่ออยู่ตรงหน้า

ท่อนเนื้อแข็งกระด้างของป๋องเสียเอง



             “อ้าปาก อม ๆ เข้าไปสิไอ้สน ไม่ตายหรอกน่า”



            จ๋าตวาดเมื่อเห็นลูกชายยังหวาดกลัว สนฉัตรจำใจอ้าปาก เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อป๋องเสียบมันเข้ามาในปากเล็กจนมุมปากแทบฉีก



             “เลียสิวะไอ้นี่ เอ้าอีจ๋าสอนลูกมึงหน่อย อย่าให้เสียชื่อกะหรี่มืออาชีพ”



                เด็กชายสนฉัตรน้ำตาไหลรินเมื่อถูกแม่ของเขาบังคับให้ทำเพื่อปรนเปรอความสุขแก่สามีของแม่โดยไม่เคยคิดถึงใจของเขา

แม้แต่น้อยและเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีใครกล้าช่วยเหลือเขาแม้แต่คนเดียว







                “อีจ๋า พาไอ้สนไปกับกูหน่อย”



               วันหนึ่งในเวลาค่ำพ่อเลี้ยงของสนฉัตรออกปากสั่งให้แม่พาเขาขึ้นรถกระบะคันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครไปด้วย จ๋าพาสนฉัตร

ขึ้นไปนั่งบนตักข้างกับพ่อเลี้ยง



               “ไปไหน แล้วนี่รถใคร”



               “หุบปากเถอะอีนี่ สงสัยอะไรนักหนาวะ”



                 ป๋องหันมาตวาดหน้าตามีพิรุธขณะเหยียบคันเร่งไปตามถนนเส้นเลียบชายทะเลในจังหวัดทางภาคตะวันออกที่เขาเกิดและ

อาศัยอยู่ที่นี่ จ๋าหันไปมองสามีหนุ่มพลางถามเสียงขุ่น



                   “ไม่ใช่ว่ามึงเอากูกับไอ้สนมาส่งยากับมึงนะไอ้ป๋อง”



                   ผลัวะ



                 หลังมือของป๋องลอยมากระทบปากของจ๋าทันที



                 “กูบอกให้มืงเงียบ”



                  ป๋องเหยียบคันเร่งอย่างระแวดระวัง แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ เสียง

ไซเรนดังขึ้นบาดแก้วหูจนสนฉัตรตกใจร้องไห้เสียงดังลั่น จ๋าเองก็หน้าซีดเผือด



                  “ไอ้ป๋อง พ่อมึงมา”



                 “สัสเอ๊ย”



                ป๋องสบถก่อนจะหักพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งหนี รถตำรวจขับติดตามมาอย่างรวดเร็ว



              “เอาไงดีไอ้ป๋อง โอ๊ยไอ้สนเงียบหน่อย”



               ทั้งผัวทั้งเมียใจเต้นด้วยความตื่นเต้นและเคร่งเครียด ป๋องตัดสินใจคว้าปืนจากลิ้นชักด้านข้างออกมา



               “ไอ้ป๋อง จะบ้าหรือไง มึงจะสู้ตำรวจเหรอ ไอ้สนมาด้วยนะ”



                 “ดีสิ อีจ๋า มึงอุ้มไอ้สนชูขึ้นมาไอ้เหี้ยพวกนั้นจะได้ไม่กล้าทำอะไรเพราะเรามีเด็กมาด้วย”



                “แต่ว่า...”



                ด้ามปืนทุบลงมาที่ขมับของจ๋าจนหล่อนลนลาน



                “กลัวแล้ว คุณตำรวจ อย่ายิง มีเด็กมาด้วยค่ะ”



                 จ๋าอุ้มสนฉัตรขึ้นมาให้ตำรวจมองเห็น ระหว่างนั้นป๋องรีบเหยียบคันเร่งคิดจะหนี เขาไม่นึกว่าจะมีรถตำรวจอีกคันพุ่งมาดัก

หน้าจนเขาเบรกรถด้วยสัญชาตญาณ



               “เหี้ยเอ๊ย ตายไปเหอะพวกมึง”



                ป๋องตัดสินใจยิงสู้ และเมื่อเสียงปืนนัดแรกจากป๋องดังขึ้นสนฉัตรก็ตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงปืนอีกหลายนัดตามมา จ๋า

ตกใจจนปล่อยมือจากสนฉัตร เด็กน้อยเอาตัวรอดด้วยการลงไปอยู่ในช่องว่างวางเท้าและขดจนตัวงอ กว่าเสียงปืนจะเงียบลงก็พักใหญ่

จากนั้นเขาได้ยินเสียงแม่กรีดร้องขึ้นมาแทน สนฉัตรเงยหน้าขึ้นไปมองจึงเห็นว่าที่แม่กรีดร้องเพราะพ่อเลี้ยงของเขามีแต่เลือดและนอน

นิ่งอยู่ตรงเบาะรถ
 




มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 19:53:56 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


อ่านต่อตรงนี้...




                     เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก สนฉัตรมาเข้าใจตอนโตแล้วว่าพ่อเลี้ยงของเขาถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนแม่ถูกจับกุม

ตัวเข้าคุกในข้อหาร่วมกันค้ายาบ้า และสนฉัตรก็ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

                    ชีวิตของเด็กในสถานสงเคราะห์เหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยังมีข้าวให้กินแม้จะไม่อร่อยเท่าไหร่ เด็กในบ้านมี

จำนวนมากจนต้องนอนรวมกันราวห้องละสิบคนบนที่นอนฟองน้ำที่วางไว้เรียงราย ในช่วงปีแรกสนฉัตรต้องปรับตัวกับเด็กโตกว่าที่มา

รังแก แต่ไม่นานเขาก็พอจะเข้ากับเพื่อนได้บ้าง

                      เด็กชายสนฉัตรในวัยแปดขวบค่อย ๆ เจริญเติบโตมีเนื้อมีหนังขึ้นบ้าง เขาไม่เคยคิดถึงแม่ และความรุนแรงที่พ่อเลี้ยง

กระทำยังคงฝังใจ ความเลวร้ายยังไม่จบกับเขาแค่นั้นเมื่อสถานสงเคราะห์เด็กมีครูผู้ปกครองคนใหม่เข้ามาทำงาน

                      ครูผู้ปกครองเป็นผู้ชายสูงอายุหน้าดุ หากใครดื้อเขาจะสั่งให้เข้าไปในห้องปกครองและลงโทษด้วยการตีจนน่องลาย

เด็กทุกคนขยาดหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรขัดคำสั่งแม้แต่ตอนที่ครูก้าวเข้ามาในห้องนอนของเด็กตอนกลางคืนและเอนกายลงนอน

ขนาบข้างอยู่ด้านหลัง เช่นในคืนนี้คนที่โชคร้ายคือสนฉัตร!

                     สนฉัตรสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีท่อนแขนใหญ่โอบลงมาบนเอวของเขา รวมทั้งอีกมือที่ปิดลงมาบนปากเล็ก


                    “ชู่ว ครูเอง”


                     เด็กน้อยได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เขาจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงครูห้องปกครอง


                      “ครูมาเยี่ยมสนนะ”


                     สนฉัตรกวาดสายตาในความมืด ไม่มีเพื่อนสักคนที่ขยับตัว ทุกคนนอนนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ


                   “อึก ครู”


                    “สนอย่าร้องนะ ครูแค่อยากมาดูว่าเด็ก ๆ นอนกันหลับไหม”


                  พูดอย่างนั้นแต่มือสากกลับเลื่อนมาอยู่ที่เป้ากางเกงของสนฉัตร เด็กชายนอนตัวแข็งเมื่อมันกำลังลูบไล้ไปมา เสียงของครู

สั่นพร่าขณะกระซิบ ตอนนี้สนฉัตรขนลุกไปหมดทั้งตัว


                “ถอดกางเกงสิสน ครูขอถูนิดเดียว อย่าดื้อ”


                 สนฉัตรนอนตัวสั่นเมื่อครูดึงกางเกงขาสั้นของเขาลง รู้สึกถึงอะไรบางอย่างถูไถอยู่ที่ร่องก้นของเขา


               “สนเป็นเด็กน่ารัก อย่าดื้อกับครูนะ รู้ใช่ไหมว่าถ้าดื้อกับครูผลจะเป็นยังไง ครูจะตีจนคลานเลย อา”


                 เขานอนตะแคงหันหลังและปล่อยให้ครูล่วงเกินอย่างจำใจ สนฉัตรไม่อยากถูกไม้เรียวฟาดลงมาจนน่องปูด น้ำตาของเด็ก

น้อยไหลรินจนกระทั่งได้ยินเสียงครูครางอย่างสุขสม


               “ดีมาก สนน่ารักจริง ๆ”


                  ครูลุกออกไปแล้ว ประตูห้องปิดลงจนเหลือแต่ความเงียบคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น สนฉัตรได้แต่เหลียวมองไปรอบห้องด้วย

น้ำตาแห่งความหวาดกลัว เขาสบตากับเพื่อนคนอื่นจึงได้รู้ว่าไม่มีใครหลับแต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ  ทุกคนอยู่ด้วยความหวาดระแวง

                  ไม่นานหลังจากนั้นโชคร้ายก็มาเยือนสนฉัตรอีกครั้งหลังจากวนเวียนไปหาเพื่อนห้องอื่นพักใหญ่ สนฉัตรนอนตัวแข็งเมื่อ

ร่างใหญ่ราวกับยักษ์ในสายตาของสนฉัตรมาเยือน


                 “สนคนดีของครู”


                “ครูครับ สนไม่...”


                 “อยากถูกทำโทษใช่ไหม”


                 สนฉัตรสะดุ้งสุดตัวเมื่อท้องของเขาถูกครูหยิกอย่างแรง เขาเผลอร้องออกมาแต่เพื่อนในห้องก็เงียบกริบเช่นเคย


                 “ก็รู้อยู่ถ้าดื้อจะโดนอะไร หันหลังสิสนเหมือนเคยนั่นแหละ”


                 เด็กน้อยจำใจหันหลัง เขาถูกมือใหญ่ล่วงเกินด้านหน้าด้วยการลูบคลำ ด้านหลังเขาถูกท่อนเนื้อถูไถไปตามร่องก้น แต่วันนี้

สนฉัตรตัวแข็งเมื่อปลายนิ้วของครูสอดเข้ามาในก้นของเขา


                “ถ้าร้อง ครูจะตีเธอ”


               เสียงครูใหญ่กระซิบข่มขู่ สนฉัตรกัดฟันกั้นก้อนสะอื้นเมื่อปลายนิ้วนั้นแหวกวนอยู่ในช่องทาง สนฉัตรขยะแขยงเสียเหลือเกิน

แต่เสียงไม้เรียวแหวกอากาศกลายเป็นเครื่องมือข่มขู่เขาได้เป็นอย่างดี


                 “อา ตัวแค่นี้แต่ทำให้ครูเสียวมาก พรุ่งนี้ไปหาครูที่ห้องนะ”


                “ไม่ ครูครับ สนไม่...”


               “บอกแล้วว่าครูเกลียดเด็กดื้อ”


                เสียงเหี้ยมดังกลบเสียงหัวใจเต้น สนฉัตรสะอื้นออกมา


               “ถ้าไม่ไป ครูจะจัดการขั้นเด็ดขาด เธอก็รู้ว่าครูทำได้”


                 ร่างยักษ์มารก้าวออกไปแล้ว สนฉัตรดึงกางเกงขึ้นมาใส่พลางขดตัวงอราวกับเด็กทารกหาที่คุ้มภัย



                 “มึงจะไปหาครูหรือเปล่า”



                ในเย็นวันรุ่งขึ้น เพื่อนในห้องที่นอนติดกันเอ่ยถาม สนฉัตรกัดฟันตอบ



                “ไม่ กูไม่ไป”



                 “แต่ว่ามึงจะโดนตีนะโว้ย”



                 แม้จะกลัวแต่สนฉัตรอยากจะลองเสี่ยง และแล้วสนฉัตรก็รู้ว่าเป็นการเสี่ยงที่ได้ไม่คุ้มเสียเลยเมื่อเขาถูกกระชากจากที่นอน

ในยามดึกลากออกมานอกห้องและถูกตีด้วยไม้เรียว



                 “ดื้อนักหรือ รู้ไหมจุดจบของเด็กดื้อเป็นยังไง กล้าหือกล้าขัดคำสั่งใช่ไหม ห้ามร้องนะ”



                  ไม้เรียวฟาดเข้าที่ร่างกายของสนฉัตรนับครั้งไม่ถ้วนกว่าที่ครูจะปล่อยให้เขาซมซานกลับไปนอนจนไข้ขึ้น หลังจากวันนั้น

สนฉัตรจำเป็นต้องยอมให้ครูล่วงเกินเขาจนในที่สุดสนฉัตรก็ทนไม่ไหว เขาตัดสินใจหนีออกไปจากขุมนรกเมื่ออายุได้สิบขวบ
 





                 “พรุ่งนี้จะมีรัฐมนตรีกระทรวงอะไรก็ไม่รู้จากรุงเทพมาทำพิธีเปิดอาคารใหม่”



                เพื่อนบอกกับเขา สนฉัตรหูผึ่ง



                “เขาจะเลี้ยงข้าวกลางวันเราด้วยนะไอ้สน กูงี้ล้างท้องรอตั้งแต่วันนี้เลย”



                  ความหวังของสนฉัตรทอขึ้นมา ในวัยสิบขวบสนฉัตรพอจะรู้เรื่องมากแล้ว เขารู้ว่าในวันเช่นนี้การดูแลเด็กในสถาน

สงเคราะห์จะหละหลวมเป็นพิเศษ


                  ในคืนนั้นครูเลือกเขาเป็นที่ระบาย สนฉัตรจำใจยอมด้วยความขยะแขยง นิ้วมือสากล้วงเข้าไปในก้นของเขาพร้อมกับถูไถ

ท่อนเนื้ออยู่ตรงร่องก้นเพื่อแสวงหาความสุขโดยไม่คำนึงว่าจะสร้างบาดแผลให้กับผู้กระทำขนาดไหน สนฉัตรหันไปมองแผ่นหลังของ

ครูแล้วถ่มน้ำลายตามหลังเมื่อครูเดินออกไปจากห้อง อีกไม่กี่ชั่วโมงสนฉัตรจะไปสู่อิสรภาพ และสนฉัตรจะไม่กลับมาที่ขุมนรกนี้อีก


                   เด็กและคุณครูในสถานสงเคราะห์ออกมายืนที่สนามหญ้าหน้าเสาธงท่ามกลางป้ายต้อนรับรัฐมนตรีที่มาทำพิธีเปิดอาคาร

แห่งใหม่ในตอนสายของวัน จังหวัดที่สนฉัตรอาศัยอยู่เป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคการเมืองที่ท่านรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค สนฉัตร

กระสับกระส่ายเมื่อมองหาช่องทางหนีจนได้โอกาสเหมาะ

                     ช่วงเลี้ยงอาหารกลางวันนั่นเองเพราะรัฐมนตรีจะไปยืนอยู่ด้านหน้าและครูทุกคนต้องไปห้อมล้อมบุคคลสำคัญ สนฉัตร

กวาดสายตาไปมาก่อนจะค่อย ๆ เบี่ยงกายออกจากแถว เขาเดินก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังจนเมื่อพ้นมุมอาคารเขาก็วิ่งตับแลบไปทาง

กำแพงสูงด้านหลังที่สนฉัตรเล็งไว้แล้ว เขารีบปีนกำแพงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว



                     “เฮ้ย ไอ้สน ทำอะไรวะ”



                      เสียงภารโรงดังขึ้นจนสนฉัตรตกลงมาดังตุ๊บ เขาร้องลั่นเมื่อเจ็บไปหมดทั้งตัว สนฉัตรมองทางภารโรงที่กำลังวิ่งตรงมา

เขาฝืนความเจ็บตะกายขึ้นกำแพงและปีนขึ้นไปอีกครั้ง ปลายเท้าของเขาถูกภารโรงคว้าไว้ตอนที่เขาปีนอยู่ตรงปลายกำแพงแล้ว สน

ฉัตรรีบสะบัดให้หลุดแล้วโผลงไปกับพื้นอีกฝั่งทันที


                ร่างน้อยกระแทกพื้นคำรบสอง สนฉัตรนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกราวกับกระดูกลั่นกร๊อบ ความหวาดกลัวทำให้เขาต้องรีบลุกขึ้นและ

ลากปลายเท้าวิ่งหนีด้วยเนื้อตัวมอมแมม อย่างน้อยก็ขอให้พ้นไปจากขุมนรกแห่งนี้ก่อน สนฉัตรวิ่งไม่คิดชีวิต ไม่ต้องดูทิศทาง สนฉัตร

ไม่รู้จักโลกภายนอก ที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นจนกระทั่งแรงของเขาหมดลงที่ริมถนนแห่งหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่

                   สนฉัตรนอนนิ่งอยู่ข้างถนน  ท้องร้องหิวแต่เขาก็ไม่มีแรงลุก ได้แต่นอนมองแสงแดดยามบ่ายคล้อยที่แสบตาจนน้ำตาไหล

ตอนนั้นเองที่สนฉัตรมองเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่หลายคนมามุงโดยรอบและจับเขาลุกนั่งเพื่อให้คนที่เพิ่งลงมาจากรถยนต์คันหรูเดินตรง

เข้ามาหา


                       รัฐมนตรีคนนั้น ที่มาเปิดอาคารใหม่



                    สนฉัตรเบิกตากว้างเมื่อเขาได้พบกับรัฐมนตรีทรงเดชในระยะประชิด สายตาของผู้สูงอายุยังคงคมปลาบขณะจ้องมองเด็ก

มอมแมมที่เนื้อตัวมีแต่บาดแผล ริมฝีปากบนใบหน้าอวบอูมคลี่ยิ้มแปลก



                    “หน่วยก้านไอ้เด็กคนนี้มันดี นี่ใส่เสื้อของสถานเลี้ยงเด็กนี่นา”



                    เด็กชายสะดุ้งเฮือก เขาจ้องมองท่านรัฐมนตรีด้วยสายตาอ้อนวอนขอร้อง



                   “ท่านครับ ผมขอร้อง อย่าส่งผมกลับไปเลย ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกแล้ว”



                    รัฐมนตรีทรงเดชหรี่ตานิ่งคิด สนฉัตรไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จนกระทั่งเขาได้ยินคำสั่งที่ทรงเดชมีต่อลูกน้อง



                    “พาเด็กคนนี้ขึ้นรถ ฉันจะพามันไปเลี้ยงที่กรุงเทพ”

 


                                                                     TBC


                                เนื้อหาในเรื่อง อาจจะเครียดไปบ้าง แต่จะได้รู้ปูมหลังตัวละครนะคะ

                                                   o1 o1 o1 o1 o1 o1





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 20:03:26 โดย Belove »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชะคาชีวิตของสนช่างโหดร้ายจริงๆ  :mew2:
แม้แต่แม่แท้ๆก็ไม่ดีต่อลูก
พ่อเลี้ยงก็สัตว์นรกชัดๆ  :fire: :fire: :fire:
ครูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ชิงนรกมาเกิด  :fire: :fire: :fire:
รทต.ทรงพล ก็ไม่ต่างกัน
แต่อย่างน้อย สนไม่ถูกทำร้ายร่างกาย
กินดีอยู่ดี  แต่อารมณ์เพศแย่หน่อย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปวิธ ไม่รู้ความเป็นมา ก็โกรธแทนป้าสะใภ้
โกรธเกลียดผิดคนแล้วปวิธ  คนเลวน่ะลุงตัวเอง  :angry2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เข้าใจสนฉัตร ยิ่งมีอดีตแบบนี้ ยิ่งสงสาร อยากให้สนเจอคนที่ดี ทีมสนฉัตร :mew1:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
เท่าที่ตามอ่านของบีเลิฟมาเรื่องนี้สงสัยดราม่าหนักสุดพยายามอ่านจนจบตามต่อไปนะถึงจะไม่ใช่แนวเลยก็ตาม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เดาว่าสนกับปวิธจะลอบได้เสียกัน แม้ปากจะบอกเกลียดก็ตาม ฮ่าๆๆๆ

ไม่หวังว่าจะจบดีตอนอินโทรเฉลยมาขนาดนั้น

บางทีอ่านแนวนี้ก้อคิดเนอะน.ข.ต้องใจดำขนาดไหนถึงย่ำยีตัวละครได้ขนาดนี้

จิตใจต้องสตรองมากแฟนคลับต้องเป็นไฟต์เตอร์ตาม จะตามอ่านต่อปาย

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราไม่ค่อยชอบนิยายแนวข่มขืนเท่าไหร่เลยยิ่งทำกับเด็กยิ่งเกลียดอ่านแล้วมันรู้สึกทรมานยังไงไม่รู้ แต่ตอนที่ผ่านมายังพอรับได้อยู่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ก็ไม่รู้ว่าถ้ามันมีจุดพีคจริงๆจะทนอ่านไหวรึเปล่า ทั้งๆที่เราเป็นคนชอบนิยายดราม่าแท้ๆ

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                                              วิมานไม้สน

                                                                     บทที่ 3




             ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ต่อเติมจากตัวบ้านหลังใหญ่ปวิธก็รีบวางกล่องกีตาร์ลงและหงายหลังลงไปกับ

เตียงที่มีขนาดพอดีกับร่างสูงของเขา ห้องนี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรที่เกินความจำเป็นเพราะเขาไม่เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ
 
           แผ่นหลังของสนฉัตรยามเดินหนีบทสนทนายังตามมารบกวนจิตใจให้หงุดหงิดในเวลานี้ ปวิธก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็น

เพราะเหตุใด เขาหงุดหงิดเพราะดูออกว่าก่อนหน้าที่จะได้ปะทะคารมกันสนฉัตรคงเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจที่ต้องดูแลทรงเดชญาติผู้มี

พระคุณของเขา ดูจากดวงตาแดงก่ำนั่นสิว่ายังทิ้งรอยความใคร่เอาไว้ให้เห็นตอนที่ได้สบตากัน


              เก้าปีแล้วที่ปวิธได้รู้จักสนฉัตร เด็กชายตัวมอมแมมสกปรกไปทั้งเนื้อตัวในวันแรกที่ทรงเดชพาลงมาจากรถยนต์หลังจาก

เดินทางไปจังหวัดฐานเสียง ทรงเดชสั่งให้คนรับใช้ในบ้านพาเด็กชายแปลกหน้าไปอาบน้ำทำความสะอาด ตอนนั้นเองที่ปวิธมองเห็นรูป

ร่างหน้าตาที่แท้จริงของเด็กคนนั้น


             เด็กชายสนฉัตรตัวแคระแกร็นเหมือนเด็กขาดสารอาหาร แต่กระนั้นก็รู้ว่าเป็นเด็กหน้าตาดี ผิวพรรณสีขาวเนียนเส้นผมสี

น้ำตาลละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากสีแดงจิ้มลิ้ม ถ้าหากสนฉัตรมีนัยน์ตาไร้เดียงสาเหมือนเด็กวัย

เดียวกันสักนัดปวิธก็คงอดสงสารไม่ได้ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามเด็กคนนี้ไม่เคยมีแววตาที่น่าไว้ใจเลย



             “คุณจะเลี้ยงเด็กคนนี้หรือ”



              คุณหญิงอำไพภรรยาของทรงเดชเอ่ยถามพลางขมวดหัวคิ้วเมื่อทราบเรื่อง ทรงเดชกล่าวตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ



              “แค่เด็กคนเดียว เลี้ยงมันเอาบุญเถอะคุณ มันก็เหมือนกับที่คุณทำงานเพื่อการกุศลนั่นแหละ”



               “เหมือนตรงไหน” อำไพไม่เห็นด้วย



               “พวกมูลนิธินั่นก็แค่บริจาคเงินแล้วถ่ายรูปออกสื่อ แต่นี่คือคุณกำลังจะเอาเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายตีนมาอยู่ในบ้าน”



              “ผมโทรไปถามประวัติเด็กมันจากสถานสงเคราะห์แล้ว มันไม่มีญาติโกโหติกามาให้คุณกลัวหรอกน่าอำไพ”



                ทรงเดชตอบภรรยาเช่นนั้นก่อนจะหันมามองปวิธที่อยู่ไม่ไกลนัก



               “คิดเสียว่าเลี้ยงเอาบุญเหมือนเลี้ยงไอ้เปลวก็แล้วกัน”



              “เปลวน่ะถึงยังไงมันก็เป็นหลานของคุณแม้จะห่าง ๆ กันก็เถอะ แต่ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ใช่”



                ปวิธเดาว่าอำไพคงไม่ชอบใจนักเมื่อเห็นสนฉัตรนั่งเงียบพลางบิดมือตัวเองไปมาไม่มีวี่แววของความเคารพเจ้าของบ้าน

อย่างเธอ แต่ในที่สุดอำไพก็ขัดใจสามีไม่ได้จำต้องยอมให้ทรงเดชรับเลี้ยงสนฉัตรตั้งแต่วันนั้น



               “ให้มันนอนที่ห้องแถวคนใช้นั่นแหละ”



               ในเมื่อจำเป็นต้องยอมรับอำไพก็ทำได้เท่าที่ทำ



              “มีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งก็ให้มันอยู่ที่นั่น เปลวมันอยู่ได้เด็กสนนี่ก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน”



                ปวิธเข้ามาอาศัยที่บ้านหลังนี้ก่อนหน้าสนฉัตรสองปี แต่เขารู้ตัวดีว่าเป็นแค่ญาติห่าง ๆ ของทรงเดชเขาจึงไม่ต้องการอะไร

มากนอกจากที่ซุกหัวนอนและเล่าเรียนอย่างที่ต้องการ จนตอนนี้เขาเรียนใกล้จะจบมัธยมต้นที่โรงเรียนวัดแถวบ้านนั่นเอง ปวิธวางแผน

ไว้ว่าเขาจะเลือกเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคเพราะจะได้มีเวลาทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่เงินของทรงเดช

มากนัก



              “จะให้ไอ้สนมันเรียนหนังสือที่ไหนดี”



              อีกไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาเปิดภาคเรียนทรงเดชจึงปรารภออกมาให้ได้ยิน ตอนนั้นสนฉัตรมาอาศัยที่บ้านหลังนี้ได้ราวสาม

เดือน ปวิธไม่ค่อยได้คุยกับสนฉัตรมากนักเพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนช่างพูด แต่มีวันหนึ่งที่เขาเห็นสนฉัตรประจบทรงเดชกับตาตัวเอง



              “ท่านครับ สนอยากเรียนโรงเรียนดี ๆ”



             มือเล็กนวดเฟ้นท่อนขาอวบอูมของทรงเดช เจ้าของบ้านมองอย่างอารมณ์ดีแต่ปวิธกลับรู้สึกแปลก ๆ กับพฤติกรรมของทั้งคู่



              “ท่านส่งให้สนเรียนโรงเรียนฝรั่งได้ไหมครับ สนจะได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ”



              “เอางั้นเหรอสน เออ นวดเก่งดีว่ะ เดี๋ยวฉันถามคุณหญิงก่อนนะ”



               สนฉัตรหน้ามุ่ยเมื่อรู้ว่าความต้องการของตัวเองต้องผ่านความเห็นชอบของอำไพ และแล้วก็เป็นดังคาดเมื่ออำไพไม่เห็น

ด้วย



              “ทำไมต้องเรียนโรงเรียนค่าเทอมแพงอย่างนั้น คนเราถ้ามันจะเก่งอยู่ที่ไหนมันก็ต้องเก่งสิ ขนาดเปลวที่เป็นหลานคุณมัน

ยังเรียนโรงเรียนวัดได้เลย ฉันไม่ได้จะรังคัดรังแกอะไรนะแต่เห็นว่าคุณน่ะควรจะยุติธรรม ในเมื่อเลี้ยงเด็กสองคนก็ต้องเท่าเทียมกันคน

อื่นจะได้ไม่ครหา”



                ความเห็นของอำไพมีเหตุผลมากพอจนทรงเดชต้องยอมรับ เขาส่งให้สนฉัตรเรียนโรงเรียนเดียวกับปวิธนั่นเอง หลังจาก

วันนั้นสนฉัตรก็มองปวิธอย่างไม่เป็นมิตรอีกเลย


                 เมื่อสนฉัตรโตขึ้นจนเข้าชั้นมัธยมร่างกายก็เปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่ก็ยังถือว่ารูปร่างเพรียวบางกว่าเด็กผู้ชายวัย

เดียวกัน และยิ่งดูออกชัดเจนว่าสนฉัตรน่าจะเป็นลูกครึ่งต่างประเทศเพราะเครื่องหน้าของสนฉัตรเด่นชัดและหวานกว่าเด็กชาย จนดูผิว

เผินคล้ายเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำและช่วงนั้นปวิธก็ยิ่งผิดสังเกตกับสายตาของผู้เป็นลุงมากขึ้น



               “ไอ้สนนี่มันโตขึ้นแล้วหน้าตาดีจริง ๆ นะ แกคิดอย่างนั้นไหมเปลว”



                วันหนึ่งทรงเดชเอ่ยถามเขา ปวิธฉุกใจคิดแต่เขาก็ตอบได้เพียงสั้น ๆ



                “ครับคุณลุง”



               “แล้วมันก็ช่างอ้อนนะ”



               คนที่สนฉัตรอ้อนคงมีคนเดียวคือทรงเดชเท่านั้นที่ปวิธเห็น และรางวัลของคนช่างอ้อนก็จะมีธนบัตรลอยเข้ามือสนฉัตรอยู่

บ่อยครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่สนฉัตรจะกลายเป็นคนช่างอ้อน และตอนนั้นเองที่ปวิธเริ่มมีบทสนทนากับสนฉัตร



                “อย่าขอเงินคุณลุงบ่อยนักจะดีกว่า”



               ปวิธเอ่ยเตือนสนฉัตร นับเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับสนฉัตรตั้งแต่อยู่ใต้รั้วบ้านเดียวกันมาปีกว่า ๆ



                “เราเป็นแค่คนอาศัยเขาอยู่ แค่หลังคาบ้านที่เขาให้ซุกหัวนอนก็เยอะแล้ว อย่าไปรบกวนคุณลุงบ่อย ๆ อยากได้อะไรก็

เก็บเงินซื้อเองสิ”



                ดวงตากลมโตของสนฉัตรฉายแววกระด้างผิดกับเวลาอยู่ต่อหน้าทรงเดช มุมปากกระจับเหยียดยิ้มจนปวิธเห็นแล้วหมั่นไส้



               “ที่ห้ามนี่เพราะอิจฉาที่ท่านไม่ให้เงินหรือไง”



                เสียงเล็กที่แม้จะแตกแล้วก็ยังไม่ห้าวเหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นดังขึ้นเหมือนประชด



               “ท่านรับกูมาเลี้ยง กูอยากได้อะไรก็แค่ขอแล้วท่านก็ให้กูผิดตรงไหน ทำไมกูต้องสนใจคนอื่นด้วย”



                สนฉัตรเด็กกว่าปวิธสี่ปี ตอนนั้นปวิธเรียนปวช.แล้วแต่สนฉัตรกลับไม่ได้พูดจาเคารพความอาวุโสแม้แต่สักนิด ปวิธรู้

ประวัติเลวร้ายของสนฉัตรจากลุงของเขาที่ไปสืบมาจากสถานสงเคราะห์ เขาเข้าใจว่าสนฉัตรเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน แต่ก็นึก

ไม่ถึงว่าความกระด้างจะฝังอยู่ในนิสัยของเด็กคนนี้



               “กูเตือนเพราะหวังดี”



              ในเมื่ออีกฝ่ายพูดจาหยาบคาย ปวิธก็ไม่คิดจะพูดดีด้วย



               “จะทำอะไรก็คิดถึงความเหมาะสมบ้าง เรื่องเงินนี่ก็เรื่องนึง ไอ้เรื่องที่ไปเกาะแข้งเกาะขาประจบประแจงคุณลุงก็อีกเรื่องนึง

มันไม่เหมาะสม”



               สายตาคู่นั้นดูแคลนเขาจนปวิธเลือดขึ้นหน้า



               “ที่พูดมานี่ทั้งหมดเพราะอิจฉาที่ทำไม่ได้เหมือนกูว่างั้น เป็นหลานแท้ ๆ แต่ท่านเอ็นดูกูมากกว่ามึงก็เลยอิจฉาสินะ”



               พลัก!



                เขาผลักร่างเล็กจนล้มลมก้นจ้ำเบ้าด้วยความโมโหในวาจาเหล่านั้น สนฉัตรเงยหน้ามองเขาอย่างเคียดแค้นก่อนจะลุกขึ้น

เดินหนีไป ปวิธเองรู้สึกผิดอยู่ในใจเมื่อเขาลงมือทำร้ายเด็กที่อายุน้อยกว่าเพราะอารมณ์ แต่ความรู้สึกผิดเหล่านั้นกลับมลายหายไปเมื่อ

เขาถูกเรียกขึ้นไปบนบ้านในยามค่ำ



               “อยู่บ้านเดียวกันทำไมต้องทะเลาะกัน”



                ทรงเดชผู้เป็นลุงมองเขาด้วยความไม่พอใจนักโดยมีคู่กรณีของเขานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นข้าง ๆ นั่นเอง สายตาที่มองมา

ราวกับจะยิ้มเยาะที่ปวิธถูกดุ



              “แล้วไปรังแกไอ้สนมันทำไม มันตัวเล็กกว่ามึงตั้งเยอะไอ้เปลว”



              “เอะอะอะไรกัน”



                 คุณหญิงอำไพได้ยินเสียงจึงเดินมาจากห้องส่วนตัวบนชั้นสอง สามีภรรยาเจ้าของบ้านแยกห้องกันอยู่หลายปีแล้วตั้งแต่

เข้าสู่วัยเริ่มชรา



              “ไอ้เปลวหลานตัวดีของเธอน่ะสิ ผลักไอ้สนจนเขียวไปหมดทั้งตัว”



               ปวิธถึงกับงง เขาผลักสนฉัตรแค่ครั้งเดียวไม่น่าจะถึงกับรุนแรงอย่างที่ทรงเดชพูด เขาหันขวับไปมองหน้าสนฉัตรที่เอาแต่

ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ อำไพที่เอ็นดูปวิธเบ้ปากทันที



              “แล้วไปทำอะไรให้ไอ้เปลวมันทำอย่างนั้นเข้าล่ะ นี่ ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้านะไอ้สน ส่วนคุณน่ะก็อย่าตามใจมันจนเคยตัว

อย่าลืมว่ามันเป็นแค่ลูกเสือลูกตะเข้เก็บมาเลี้ยง ไป แยกย้ายกันได้แล้ว”



                 นึกขอบคุณที่อำไพช่วยจบเรื่องในวันนั้น แม้จะปากร้ายแต่อำไพก็เอ็นดูปวิธอยู่มากถึงจะเป็นเพียงป้าสะใภ้ อาจเป็นเพราะ

ปวิธเป็นเด็กมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เช่นเธอและไม่ใช่คนทะเยอทะยาน บ่อยครั้งที่อำไพมักจะบ่นให้ปวิธฟัง



               “ฉันไม่เคยไว้ใจไอ้เด็กสนเลยนะเปลว หูตามันแปลก ๆ ผิดกับเด็กคนอื่น ฮึ ขออย่าได้มาสร้างความเดือดร้อนในบ้านหลังนี้

ก็แล้วกัน”



                แต่แล้วความเดือดร้อนนั้นก็เกิดขึ้นในบ้านจนได้เมื่อตอนที่สนฉัตรเพิ่งจะใช้คำนำหน้าว่านายเพียงไม่กี่เดือน



                  ในวันนั้นทรงเดชกลับบ้านเร็วกว่าปกติ เขามาทันเห็นสนฉัตรยืนจับมือกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งไม่ไกล

จากประตูรั้วเมื่อรถยนต์ของเขากำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน และนั่นเองทำให้ทรงเดชโกรธมาก ในเย็นวันนั้นทรงเดชตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้

สนฉัตรหลุดมือไปได้ และตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


                  ที่ผ่านมาเกือบสิบปีหากจะถามว่าใครที่รู้จักสนฉัตรดีที่สุดแล้วล่ะก็ ตอบได้เลยว่าคือเขานี่แหละ


                  ปวิธนอนมองเพดานห้อง เขาสบถอย่างหงุดหงิดเมื่อมองเห็นใบหน้าของสนฉัตรลอยเด่นอยู่ในจินตนาการ
 



มีต่ออีกนิด...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2017 00:39:56 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...




              สนฉัตรลืมตาตื่นมาในตอนสายพร้อมกับข่าวใหญ่ประจำวัน เมื่อไม่นานมานี้เกิดการรัฐประหารจนคณะรัฐมนตรีต้องหยุดการ

ปฏิบัติงานเป็นผลให้ทรงเดชเครียดจัด และวันนี้สิ่งที่ทรงเดชกลัวก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อเขาและคณะรัฐมนตรีอีกหลายคนถูกฟ้องในข้อหาโกง

เงินงบประมาณแผ่นดิน

               สนฉัตรเดินลงมาจากชั้นสองเงียบ ๆ เขากวาดสายตามองความวุ่นวายในห้องรับแขกเมื่อมีผู้คนที่อยู่ในความสนใจของสังคม

มารวมกันด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แต่ละคนสนฉัตรรู้จักว่าเป็นสส.ของพรรค บางคนเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครสนใจเขาที่ปรากฏตัวเพราะมีเรื่องที่

ต้องปรึกษากันอย่างเร่งด่วน สนฉัตรได้แต่ปลีกตัวไปอยู่มุมหนึ่งของโถงกว้างที่ดูคับแคบไปถนัดตา

                 เสียงรถยนต์สองถึงสามคันฝ่าด่านนักข่าวที่เกาะอยู่หน้าประตูรั้วเข้ามาจอดหน้าตัวบ้าน สนฉัตรมองเห็นใครอีกหลายคนที่

ทยอยกันลงจากรถ เขาส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายเพราะอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ สนฉัตรจึงเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปนั่งดูหนังฟัง

เพลงในห้องโฮมเธียเตอร์จนกระทั่งนึกอยากเข้าห้องน้ำจึงได้เดินไปยังห้องน้ำ

                 จัดการธุระเรียบร้อยจึงเปิดประตูออกมา สนฉัตรตกใจเมื่อประตูเกือบจะชนคนที่ยืนอยู่นอกห้องน้ำ


               “ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง...”


                เสียงของสนฉัตรหายไปทันทีเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่สูงกว่า บอกไม่ถูกว่าหัวใจของสนฉัตรมันหยุดเต้นหรือว่า

มันกำลังเต้นไหวระรัวอยู่กันแน่

                คนตรงหน้าเป็นผู้ชายอยู่ในช่วงอายุราวสามสิบกว่าแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรู ใบหน้านั้นหล่อเหลาแม้จะมีแว่นตากรอบใส

เป็นเครื่องประดับ บุคลิกของเขาช่างดูสุขุมและฉลาดเฉลียว เพียงแค่เขาคลี่ยิ้มออกมาสนฉัตรก็พร้อมจะลืมทุกอย่างบนโลกใบนี้


                 “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่นึกว่าจะมีใครใช้ห้องน้ำอยู่”


                  น้ำเสียงของเขาทุ้มและนุ่มกำลังดี สนฉัตรจมอยู่ในภวังค์จนกระทั่งสะดุ้งเมื่อชายแปลกหน้าแตะปลายนิ้วที่ข้อศอกของสน

ฉัตรอย่างสุภาพเพื่อเดินออกมาจากหน้าห้องน้ำ


               “ผมชื่อจิรัชครับ เป็นทีมทนายความของพรรค”


              ชื่อของเขาฝังลึกลงไปในใจของสนฉัตรทันที


              “ผมชื่อสนฉัตร”


               ตอบออกไปแทบจะไม่รู้ตัว สนฉัตรแทบละลายเมื่อมองเห็นความสดใสอยู่ในนัยน์ตาหลังกรอบแว่นใส


              “คุณสนฉัตรเป็นหลานของท่านทรงเดชหรือครับ”


                  จิรัชรู้มาว่ารัฐมนตรีทรงเดชไม่มีบุตรกับภรรยาที่เสียชีวิตไป มีเพียงหลานชายที่รับเลี้ยงไว้เท่านั้น และคำถามของเขาเป็น

สิ่งที่ปลุกให้สนฉัตรตื่นจากภวังค์ หน้าของสนฉัตรเปลี่ยนสีทันที


              “ผม เอ่อ... ครับ ผมเป็นหลานท่าน”


              จะให้บอกว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงของทรงเดชอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง


               สนฉัตรเม้มปากแน่นเมื่อพูดปดออกไป อย่างน้อยจิรัชก็ไม่ได้สงสัย เขายิ้มแย้มให้สนฉัตรอีกครั้ง


               “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสนฉัตร แต่ตอนนี้ผมขอเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวผู้ใหญ่จะรอ”


              “อ๊ะ ขอโทษครับ เชิญเลย”


                 สนฉัตรรีบขยับเปิดทางให้จิรัชเดินไปยังห้องน้ำ และก่อนจะปิดประตูเขายังหันมายิ้มให้อีกครั้ง


                ยิ้มให้กับประตูห้องน้ำจากนั้นสนฉัตรจึงเดินตัวลอยกลับไปยังห้องโฮมเธียเตอร์ หากแต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจภาพยนตร์ที่

เปิดอยู่แม้แต่น้อยเมื่อตอนนี้เขานึกถึงแต่ใบหน้าหล่อเหลาของจิรัชจนได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว





                จิรัชเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็ไม่เห็นชายหนุ่มร่างเพรียวบางที่เพิ่งพบเสียแล้ว ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ได้คุยมากไปกว่านี้

เขาเดินกลับไปยังห้องรับแขกที่มีผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเมื่อต้องหาทางรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น จิรัชเป็นทนายความหน้าใหม่ของทีมที่ทำงาน

ให้พรรคการเมืองที่มีทรงเดชเป็นหัวหน้าพรรค


                  นั่งลงใกล้กับรุ่นพี่ในสำนักทนายความที่พักดื่มกาแฟอยู่มุมห้องชื่อสมศักดิ์ รุ่นพี่จิบกาแฟพลางเอ่ยถาม



               “เป็นไง ไหวไหมจิรัช”


               จิรัชพยักหน้ารับ ก่อนจะเข้ามาทำงานร่วมกับสำนักทนายความแห่งนี้เขาฝึกปรือประสบการณ์จนเข้าตาหัวหน้าทีมจึงได้ถูกดึง

ตัวมาช่วย



                “ก็หนักเอาการครับพี่ แต่คิดว่าพวกพี่ ๆ เก่งกันทุกคนผมก็ได้แต่เรียนรู้”



                เขาเป็นคนคิดก่อนพูดเสมอ อะไรที่จะทำให้ตนเองดูไม่ดีจิรัชจะไม่เอ่ยออกมาเด็ดขาด



               “เมื่อครู่ผมเจอหลานของท่านทรงเดชด้วย”



                 “เหรอ แปลกดีนะ ปกติไม่ค่อยมีใครเจอหรอก หลานของท่านเขาไม่ค่อยออกสังคมส่วนใหญ่จะเรียนแล้วก็เล่นดนตรีตอน

กลางคืน”



                “งั้นหรือครับ” จิรัชนึกถึงใบหน้าหวานนั้น



               “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักดนตรีเลย”



              “เดี๋ยวนะจิรัช ที่เจอนี่ รูปร่างหน้าตายังไง”



               “ตัวเล็กผิวขาว หน้าตาลูกครึ่ง”



                เขาบรรยายออกไปทันที แปลกใจที่เห็นรุ่นพี่ทนายความเหยียดยิ้ม



               “อ๋อ งั้นไม่ใช่หลานหรอก เด็กของท่านน่ะ”



              “อะไรนะครับ”



               จิรัชนึกว่าเขาฟังผิด แต่สมศักดิ์ยังตอกย้ำคำเดิม



               “เด็กไง เด็กเลี้ยงน่ะ เด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ สนๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ ท่านเลี้ยงของท่านมาแต่เด็กก่อนจะจับทำเมีย จุ๊จุ๊ อย่า

พูดดังไป คนใหญ่คนโตก็ต้องมีความลับกันทั้งนั้นแหละ”



                  จิรัชนิ่งงันเมื่อนึกถึงความลับของรัฐมนตรีทรงเดช
 
 


                                                                              TBC


                                                         :confuse: :confuse: :confuse: :confuse: :confuse: :confuse:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2017 00:46:42 โดย Belove »

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ขอตอนต่อไปเลยได้ไหม อยากรู้เรื่องราวของสนฉัตร
ตอนนี้มีจิรัชมาเพิ่มอีกคน  :mew2: ดูเหมือนสนฉัตรจะถูกใจ แต่อยากให้มีฉากเปลวกับสนฉัตร
 :ling1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ไม่อยากให้เป็นอย่างที่เดาเล๊ยยเละเทะแน้สนเอ๋ยเดาว่าสนนี่คงได้
กับใครหลายคนแบบลำยองไรงี้ :katai1:ส่วนประวิธคงต้องดูไปก่อนเพราะดูเขาไม่ชอบมากกว่ารัก
ถ้าได้กันคงไม่ได้หวานซึ้งก็ชู้นะจะซึ้งตรงไหน

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                               วิมานไม้สน

                                                                 บทที่ 4

   


             การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่บ้านของนายทรงเดชกินเวลาจนถึงมืดค่ำจึงได้สิ้นสุดลง หลายครั้งที่สนฉัตรแง้มประตูห้องโฮมเธียเตอร์ออกไปเพื่อมองหาเจ้าของดวงตาอบอุ่นหลังกรอบแว่นใสคนนั้น และทุกครั้งหัวใจของสนฉัตรก็ต้องเต้นตึกตักเมื่อจิรัชหันมาสบตาและยิ้มให้เขา สนฉัตรเดินตัวลอยกลับขึ้นไปบนชั้นสองเข้าห้องส่วนตัวอย่างอารมณ์ดี


             แม้จะปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ดวงตาของสนฉัตรที่นอนมองเพดานก็ยังมีภาพของจิรัชแสดงอยู่ให้เห็น เขานอนเกลือกกลิ้งไปทั่วเตียงพร้อมกับจินตนาการว่าเขาได้อยู่เพียงลำพังกับจิรัช จนดึกดื่นเสียงฝีเท้าจากภายนอกจึงดังก้องเข้าหู สนฉัตรจำได้แม่นว่านั่นคือเสียงเดินของทรงเดช


              นึกดีใจที่ทรงเดชไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปบำเรอความสุขในคืนนี้ อาจเป็นเพราะการประชุมแสนเคร่งเครียดตลอดทั้งวันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองจนทำให้มีเรื่องขบคิดมากมาย น่าแปลกที่สนฉัตรรู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมาทันใดเมื่อคิดถึงสายตาของจิรัชเพราะร่างกายนี้ตกเป็นของนักการเมืองชื่อดังไปแล้ว


              “ทำไมไม่เจอกันเร็วกว่านี้วะ”


              โกรธเกลียดชะตาชีวิตของตนจนน้ำตารื้น สนฉัตรได้แต่ปัดความคิดเหล่านั้นออกและแทนที่ด้วยภาพใบหน้าของจิรัชจึงได้หลับลงและเป็นคืนแรกตั้งแต่เกิดมาที่สนฉัตรรู้จักคำว่าฝันดี








              โดยปกติกว่าสนฉัตรจะตื่นก็สายมากแล้ว หากแต่ในเช้าวันนี้เขากลับลุกจากเตียงเร็วกว่าปกติเพราะรู้ว่าการประชุมอย่างไม่เป็นทางการอย่างเมื่อวานนี้จะมีอีกครั้ง และสนฉัตรคาดว่าคนที่ปรากฏตัวในฝันของเขาจะมาด้วย


              เริ่มมีสมาชิกพรรคการเมืองหลายคนแล้วในห้องโถงใหญ่ของบ้านเพื่อรอนายทรงเดชที่ยังไม่ออกมาจากห้อง สนฉัตรลงจากบ้านหลังใหญ่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สวนหน้าบ้าน ชายหนุ่มยืนชะแง้แลหาบุคคลที่อยู่ในความสนใจไปทางประตูรั้วถนนสำหรับรถแล่นมาจอดหน้าบ้านอย่างกระวนกระวาย


                 “มองหาใครหรือครับ”


                  สนฉัตรสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทุ้มนั้นดังมาจากเบื้องหลัง เขาหันขวับไปมองพลันหัวใจพองคับอกเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือจิรัชนั่นเอง สายตาเบื้องหลังกรอบแว่นใสยังคงฉายแววอ่อนโยนจนสนฉัตรแทบจะวางตัวไม่ถูก


                 “เอ่อ .. เปล่าครับ ผมแค่ตื่นเต้นที่เห็นว่ามีนักข่าวเต็มหน้าบ้านไปหมด”


                 พยายามหาข้อแก้ตัวที่ดูดีที่สุด สนฉัตรใจสั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของจิรัช


                “เป็นธรรมดาครับ ท่านทรงเดชอยู่ในกระแสสังคมตอนนี้ ใคร ๆ ก็อยากรู้ข่าว”


                “คุณมาเช้าจัง”


               เมื่อจิรัชพูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงสุภาพ สนฉัตรก็วางใจขึ้น เขากล้าพูดคุยกับจิรัชโดยไม่เก้อกระดาก


              “ผมเพิ่งเข้าทีมทนายมาใหม่ ยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะไม่กล้ามาสายหรอกครับ”


              จิรัชใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ข้อศอกของสนฉัตร เพียงแค่นั้นหัวใจของสนฉัตรก็เต้นโครมคราม


              “การประชุมยังไม่เริ่ม เราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะตรงนั้นดีกว่า”


               สนฉัตรเดินนำไปที่ชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของสวนสวย จิรัชเป็นฝ่ายชวนเขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ จนสนฉัตรคลายจากความเคอะเขิน เสียงทุ้มและนุ่มในการเจรจาของจิรัชทำให้สนฉัตรเพลิดเพลินและแทบจะหลงไปกับเสน่ห์ของทนายหนุ่ม


                 “แล้วสนอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”


                จิรัชเริ่มตั้งคำถามในเรื่องส่วนตัวของสนฉัตรโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว


               “หลายปีแล้วครับพี่จิรัช ท่านพาผมมาอยู่ที่นี่ก็เกือบสิบปีแล้ว”


               เมื่อพูดคุยกันมากขึ้นสนฉัตรเริ่มกล้าเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม


              “งั้นหรือ แล้วนี่สนอายุเท่าไหร่ เรียนหนังสือที่ไหน หน้ายังอ่อน ๆ อยู่เลย”


              “สิบเก้าแล้วครับพี่ เรื่องเรียน เอ่อ ท่านให้สนออกตั้งแต่จบมอสาม”


               นัยน์ตาของสนฉัตรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แม้จะชั่วระยะเวลาแวบเดียวแต่จิรัชก็สังเกตเห็น เขาส่งสายตาแสดงความเห็นใจตอบกลับไป


                “ทำไมท่านทำอย่างนั้นล่ะ การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญนะ ขนาดจบปริญญาตรียังหางานทำยากเลย แล้วนี่เรียนแค่มอสาม พี่สงสารสนนะ”


                 สนฉัตรนึกไม่ถึงว่าจิรัชจะวางมือมาบนหลังมือของเขาแล้วบีบกระชับเบา ๆ มันเป็นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ดวงตาสวยเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตาพลางมองจิรัชอย่างตื้นตัน


                “ขอบคุณครับพี่จิรัช เพิ่งมีพี่นี่แหละที่เข้าใจสน”


              “ถ้าไม่ลำบากใจ สนบอกพี่ได้ไหมว่าสนกับท่านทรงเดชเป็นอะไรกัน”


                วินาทีนั้นสนฉัตรลืมความอับอายแล้ว แค่เพียงมีคนที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของเขาที่อัดแน่นคล้ายบาดแผลฝีหนอง สนฉัตรก็อยากจะระบายมันออกมา


                “ตอนเด็กสนหนีจากสถานสงเคราะห์มานอนรอความตายอยู่ข้างถนนแล้วท่านมาช่วยเอาไว้ ท่านพามาอยู่บ้านหลังนี้ให้ข้าวให้น้ำ แต่แล้วท่านก็ให้สนทดแทนบุญคุณด้วยการ...”


                คำพูดจุกอยู่ในอกจนจิรัชยิ่งกระชับมือแทนคำปลอบโยน น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงอาบแก้มสนฉัตรทันที


              “โธ่ สน นานหรือยังที่สนต้องตกอยู่ในสภาพนี้”


               “นานแล้วครับพี่จิรัช ตั้งแต่สนอายุสิบห้า”


              ได้ยินเสียงทอดถอนหายใจจากคู่สนทนา สนฉัตรอับอายจนไม่กล้าสบตาจิรัชเมื่อเปิดเผยความจริงถึงความสัมพันธ์ของเขากับทรงเดช


              “เฮ้อ ท่านทรงเดชก็ไม่น่าเลย ถ้าเรื่องนี้ได้ยินถึงหูนักข่าวต้องแย่แน่ เพราะนี่ถือว่าพรากผู้เยาว์นะ ทำไมไม่มีใครช่วยเหลือสนเลยล่ะ”


              สนฉัตรเหยียดยิ้ม ใครเล่าจะกล้าเอาเรื่องกับคนมีอำนาจอย่างทรงเดช


              “หลายคนในพรรคก็รู้เรื่องนี้ ทนายแก่ ๆ ที่ทำงานกับพี่เขาก็รู้นี่ครับ แต่ไม่เห็นจะมีใครสนใจเรื่องนี้เลย”


              “พี่ไงล่ะ” จิรัชยิ้มอ่อนโยน “พี่สนใจเรื่องนี้เพราะพี่เห็นใจสน ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้าย ถ้าหากพอจะเป็นกำลังใจให้สนได้พี่ก็จะทำ”


              “พี่จิรัช”


               สนฉัตรประทับใจเหลือเกิน เขามองสบตากับจิรัชที่แสนจะอบอุ่น แม้จะเพิ่งพูดคุยกันไม่นานแต่ผู้ชายตรงหน้าเหมือนเทวดาสำหรับสนฉัตร จิรัชคือน้ำทิพย์ชโลมใจให้หัวใจแห้งแล้งดวงนี้


                เสียงรถยนต์ของเจ้านายจิรัชดังแว่วมาจากประตูรั้วขัดจังหวะการสนทนา จิรัชจำใจต้องคลายมือเรียวของสนฉัตรอย่างเสียดาย


                “คุยกับสนแล้วสนุกดีนะ อยากคุยด้วยบ่อย ๆ ขอเบอร์โทรของสนได้ไหม”


                สนฉัตรรีบบอกเบอร์โทรไปอย่างไม่อิดออด จิรัชเองก็รีบดึงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์บันทึกลงไป


               “พี่จะแอดไลน์ไปด้วยนะ”


               อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนทันที


              “โทรศัพท์ของสนรุ่นเก่าครับ ท่านไม่อนุญาตให้สนใช้สมาทโฟน สนไม่มีไลน์กับเขาหรอก”


               จิรัชมองสนฉัตรด้วยสีหน้าแปลกใจ


               “ไม่มีไลน์เหรอ เฟซบุ๊คล่ะ มีไหม อายุเท่าสนใคร ๆ ก็เล่นพวกนี้ทั้งนั้นแหละ เอาไว้ติดต่อเพื่อนและดูข่าวสารไง”


                สนฉัตรส่ายหน้า


                “ท่านไม่ให้สนติดต่อใคร ให้อยู่แต่ในบ้าน ถ้าหากไปไหนก็ต้องมีคนของท่านติดตามไปด้วย สนไม่มีเพื่อน จะมีก็พี่จิรัชนี่แหละครับที่สนคุยด้วย”


                 อีกครั้งที่จิรัชถอนหายใจ เขายิ้มให้กับสนฉัตรจนคนมองแทบละลาย


                “คุยกันที่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยสะดวก อืม พี่รู้มาว่าท่านจะไปสนามกอล์ฟเพื่อไปพบกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน พี่กับหัวหน้าต้องไปด้วย กอล์ฟน่ะไม่ได้เล่นจริงจังหรอกคงหาที่คุยกันให้พ้นหูพ้นตานักข่าวเสียมากกว่า สนลองขอไปกับท่านด้วยสิ เผื่อเราจะได้คุยกันอีก”


                  จิรัชยิ้มและโบกมือให้อีกครั้งเมื่อเขาต้องเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน สนฉัตรมองตามแผ่นหลังนั้นและได้แต่นั่งยิ้ม จิรัชเป็นคนดีเหลือเกิน ดีจนความประทับใจฝังลึกจนสนฉัตรแอบฝันว่าหากได้อยู่กับจิรัชชีวิตของเขาคงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์


                  สนฉัตรคงจะนั่งฝันต่ออีกพักใหญ่ถ้าไม่มีเสียงกระแอมดังขึ้น หน้าสวยหุบลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนนั้นคือปวิธ


                “ไม่นึกว่าจะเห็นนกหงส์หยกตื่นก่อนตะวันตรงหัว”


                 เพราะทุกทีสนฉัตรจะตื่นเกือบเที่ยง ปวิธจึงแทบไม่ได้เห็นหน้าหากเขาต้องไปเรียนตอนเช้า แต่วันนี้ปวิธแปลกใจเมื่อได้เห็นสนฉัตรนั่งเหม่อขณะที่เขาเดินลัดมาจากห้องเล็กด้านหลังของเขา และถ้าตาไม่ฝาดก่อนเขาจะเดินตรงมาทางนี้ปวิธเห็นสนฉัตรกำลังคุยกับใครบางคนอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่


                “ถ้าไม่ได้เสือกเรื่องของกู ชีวิตมึงคงเหมือนปลาในหม้อต้มแกงละมั้งไอ้เปลว”


                สนฉัตรลุกขึ้นยืนและเบ้ปากใส่ วันนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะมาเสียเวลาเสวนากับคนปากหมาอย่างปวิธ


                 “มึงจะไปเรียนก็ไป กูไม่อยากคุยกับมึง”


                 พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังให้และเดินผิวปากจากไป ทิ้งให้ปวิธมองตามหลังอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นสนฉัตรรื่นเริงเช่นนี้มาก่อน เขาได้แต่ปัดความคิดนั้นทิ้งเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของเขา จากนั้นปวิธจึงเดินออกไปจากบ้านและลืมเรื่องของสนฉัตรไปเสีย







               สนฉัตรเดินงุ่นง่านอยู่ภายในห้องของตนในยามค่ำคืน ตลอดทั้งวันเขาได้แต่เฝ้าแอบมองจิรัชอยู่ในมุมต่าง ๆ จนกระทั่งก่อนกลับจิรัชยังลอบส่งยิ้มและพูดโดยไม่มีเสียงให้กับสนฉัตรที่อยู่ไกลออกไป


               “อย่าลืมนัดพรุ่งนี้”


                 สนฉัตรอ่านปากของจิรัชได้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกอยากจะออกจากบ้านไปไหนพร้อมทรงเดชเท่าพรุ่งนี้มาก่อนแต่เพราะพรุ่งนี้มีจิรัชสนฉัตรจึงอยากไป เขาเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงทรงเดชเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันสนฉัตรจึงรีบตามเข้าไปทันที


                 “ท่านครับ”


                 สนฉัตรส่งยิ้มยั่วยวนให้เจ้าของร่างอวบอ้วนในวัยชรา ได้ยินมาว่านายทรงเดชเป็นทั้งเบาหวานและไขมันในเส้นเลือดจนหมอต้องเตือนให้ระวังสุขภาพ แม้จะรังเกียจแต่สนฉัตรยังต้องเอาใจทรงเดชเพราะเขายังอยู่ใต้อาณัติของคนๆนี้


               “เหนื่อยไหมครับ สนเห็นประชุมติดต่อกันหลายวันแล้ว”


               จริตของสนฉัตรใช้ได้ดีเสมอกับทรงเดช เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปหาเจ้าของบ้านที่นั่งพักอยู่บนเตียง ความเครียดยังปรากฏอยู่ในสีหน้าเพราะเหตุทางการเมืองที่อาจส่งผลให้ทรงเดชต้องถูกอายัดทรัพย์


              “เหนื่อยสิวะ มาก็ดีแล้ว มาช่วยฉันหน่อย”


              สนฉัตรตรงเข้าไปอย่างรู้งาน เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นระหว่างขาของทรงเดช มือเล็กเรียวรูดซิปกางเกงของทรงเดชลงพลางคว้าท่อนเนื้อที่ใหญ่กว่าหัวแม่มือของสนฉัตรไม่มากขึ้นมาอยู่ในมือก่อนจะอ้าปากดูดมันเข้าไป


               “อืม ปากดีชิบไอ้สน”


               ทรงเดชส่งเสียงอืออาไม่กี่ครั้งสนฉัตรก็เรียกน้ำออกมาได้ เขาแอบบ้วนทิ้งด้วยความขยะแขยงแล้วก็ต้องรีบเงยหน้าฝืนยิ้มขึ้นมา


                “พอช่วยให้ท่านหายเครียดไหมครับ แล้วพรุ่งนี้ต้องไปข้างนอกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ไปสนจะได้ดูแลท่าน”


               “ไปสิ”


                ชายชราทิ้งกายหงายลงไปบนเตียงปล่อยให้เด็กหนุ่มรุ่นหลานปรนนิบัติเอาใจ


               “ต้องไปสนามกอล์ฟ นัดกับรัฐมนตรีชิงชัยไว้ เกลียดมันฉิบหายแต่ก็ต้องร่วมมือกับมัน ไม่งั้นพากันตายหมู่แน่”


               สนฉัตรไม่สนใจว่าใครจะตายหมู่ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการไปสนามกอล์ฟในวันพรุ่งนี้ เขายิ้มโปรยเสน่ห์ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของทรงเดชออก


               “ให้สนไปด้วยได้ไหมครับ”


                ทรงเดชผงกหัวมองเด็กในปกครองก่อนจะทิ้งลงไปกับที่นอนนุ่มอีกครั้ง


                “ไปทำไม มีแต่เขาคุยกันเรื่องการเมือง เคยให้ไปด้วยหลายครั้งก็ทำหน้าบึ้งตลอด”


               “ไม่เหมือนกันนี่ครับ คราวนี้ท่านมีเรื่องให้คิดเยอะ สนก็อยากไปดูแลท่าน นะครับ นะ”


               ออดอ้อนวอนขอพร้อมกับขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนเอวที่พอกพูนด้วยไขมัน ทรงเดชจึงส่งเสียงอือออตอบรับ


               “เออ จะไปก็ไป แล้วจะมาบ่นหรือทำหน้าบึ้งไม่ได้นะ อ๊ะ อีกนิดสิ จะแตกแล้ว”


               ชายชรานอนหอบพักใหญ่ก่อนจะส่งเสียงกรนสนั่นดั่งเช่นเคย สนฉัตรยิ้มสมใจจึงค่อยลุกออกจากร่างนั้นเดินไปยังห้องน้ำ เขาสาวรูดตัวเองอย่างเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ในจินตนาการกลับมีจิรัชเป็นตัวกระตุ้นชั้นเลิศ


               “อา...”


               สนฉัตรพิงกายไปกับผนังห้องน้ำเปียกชื้นเมื่อปลดปล่อยออกมา ดวงตาของเขาลอยคว้างเมื่อเฝาแต่คิดถึงใบหน้าของจิรัช จะดีแค่ไหนถ้าได้สัมผัสกับเทพบุตรของเขา แค่คิดสนฉัตรก็เกิดอารมณ์จนต้องจัดการตัวเองอีกครั้ง





มีต่ออีกนิด...






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2018 23:45:15 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี...





               ทรงเดชพาสนฉัตรไปยังสนามกอล์ฟตั้งแต่เช้าเพื่อไปพบกับนายชิงชัยหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ต่างฝ่ายก็มีลูกน้องคนสนิทและทีมทนายติดตามมาด้วย เกมกีฬาแทบไม่ได้แตะเพราะส่วนใหญ่ผู้นำของพรรคใช้เวลาไปกับการปรึกษากันในเรื่องการเมือง


                 สนฉัตรนั่งอยู่บนรถไฟฟ้า เขามองกลุ่มคนวัยชราอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อเบนสายตาไปหาร่างสูงในชุดลำลองหัวใจของสนฉัตรก็พลันเต้นรัวทุกครั้ง เขาอยากจะอยู่กับจิรัชและพูดคุยกันให้ออกรสชาติแต่ก็ไม่ถึงจังหวะเหมาะเสียที จนกระทั่งจิรัชส่งสายตาเป็นสัญลักษณ์มาให้ สนฉัตรจึงปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินไปหาทรงเดช


                “ท่านครับ สนไปหาเครื่องดื่มที่สโมสรนะครับ คอแห้งจังเลย”


                 ทรงเดชหันมามองก่อนพยักหน้า


               “มีเงินหรือเปล่า”


                ควักเงินจากกระเป๋าส่งให้ คนในวงสนทนาไม่มีทีท่าแปลกใจนักเพราะรู้ว่าสนฉัตรเป็นเด็กเลี้ยงของทรงเดชมานานแล้ว สนฉัตรรับเงินมาแล้วจึงเดินไปยังรถไฟฟ้าอีกครั้งเพื่อให้ไปส่งที่สโมสร


               “ผมขอติดรถไฟฟ้าไปเข้าห้องน้ำนะครับ”


               จิรัชกระซิบบอกหัวหน้าทีมทนายที่พาเขามาด้วย ทนายรุ่นพี่พยักหน้าอนุญาตจิรัชจึงรีบเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเคียงข้างสนฉัตรทันที ทั้งคู่นั่งนิ่งเพราะกลัวคนขับรถไฟฟ้าจะผิดสังเกต จนรถมาถึงด้านหน้าสโมสรให้ได้ลงกัน


              “นึกว่าสนจะไม่มาแล้ว”


                เสียงของจิรัชยังนุ่มเหมือนเมื่อวาน เขาแตะข้อศอกให้สนฉัตรเดินตรงเข้าไปในสโมสรที่มีคนใช้บริการบางตาเพราะไม่ใช่วันหยุด


               “ถ้าไม่มาล่ะครับ”


               สนฉัตรส่งเสียงสดใสกว่าทุกวัน แค่ได้เห็นหน้าของจิรัชหัวใจของเขาก็พองโตแล้ว


              “ถ้าสนไม่มาพี่คงเสียใจ เพราะพี่หวังไว้มากว่าจะได้พบกับสน”


              คำหวานนั้นทำให้สนฉัตรแทบจะลอยได้ เขารู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาทันที จากเด็กที่ขาดแคลนและโหยหาความรักมาตลอดชีวิต จิรัชเปรียบเสมือนทุ่นลอยน้ำให้เขาเกาะกลางทะเลเวิ้งว้าง


              “สนก็อยากเจอพี่ อยากคุยกับพี่ พี่จิรัชเป็นคนเดียวที่เข้าใจสน”


               จะว่าสนฉัตรขาดที่พึ่งก็ได้ เด็กหนุ่มเหมือนไม้เลื้อยที่ไร้หลักยึด เพียงพบเจออะไรที่พอจะให้ฝังรากเพื่อความอยู่รอดเขาก็ต้องคว้าไว้ แม้จะเป็นต้นไม้ที่เพิ่งรู้จักไม่นานก็ตาม


               เมื่อพ้นสายตาคนจิรัชจึงคว้าข้อมือของสนฉัตรเพื่อให้เดินตามเขา สนฉัตรไม่ได้คัดค้าน วินาทีนี้ต่อให้จิรัชพาเขาไปไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น


                 จุดหมายของจิรัชคือห้องน้ำห้องสุดท้ายที่มีไว้สำหรับอาบน้ำ ห้องน้ำของสโมสรที่เก็บค่าสมาชิกราคาแพงสะอาดสะอ้านและปราศจากผุ้คนในตอนนี้ จิรัชดึงแขนให้สนฉัตรเดินตามเข้าไปในห้องและปิดประตูตามทันที ร่างของสนฉัตรถูกผลักเบา ๆ จนแผ่นหลังชิดกับผนังโดยมีจิรัชก้าวเข้ามายืนแนบชิด คางของสนฉัตรถูกปลายนิ้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น


                 แทบไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจาเมื่อดวงตาบอกถึงความต้องการในกันและกัน จิรัชโน้มใบหน้าลงมาและบดริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว สนฉัตรเผยอปากรับลิ้นร้อนให้ส่งผ่านเข้ามาตวัดอย่างชำนาญ ร่างบางสั่นระริกไปกับจูบหนักหน่วงที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต




                                                                 TBC



                                           กลับมาแล้วจ้า หลังจากที่เรื่องนี้หายไปสามเดือน


                                            :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2018 23:51:21 โดย Belove »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คิดว่าจิรัชก็ไม่ได้จริงจัง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด